Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 481-488
ราชันเร้นลับ 481 : ตัวเลขกับผู้คน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ เมืองเล็กแห่งหนึ่งรอบนอกเบ็คลันด์
หลังจากเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าแห้งและสะอาดสะอ้าน ไคลน์บรรจงวางธนบัตรเปียกเรียงรายบนโต๊ะทีละใบ รอให้พวกมันแห้งตามกระบวนการธรรมชาติด้วยอุณหภูมิห้อง
ขณะตั้งใจเรียง มันขยับปลายนิ้วอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ กระทั่งการจามหรือไอซึ่งยังป่วยค้างคาก็ยังถูกฝืนข่มไว้
เพื่อมิให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ไคลน์ตัดสินใจไม่ใช้พลังควบคุมไฟกับธนบัตรแสนมีค่า
หลังจากจัดการตาก มันเดินตรงไปยังมุมห้องของโรงแรม ณ ตรงนั้นมีกระจกเงาเต็มบานแผ่นใหญ่
เส้นผมสีดำเงางามของไคลน์ถูกหวีเรียบ ชายหนุ่มมีดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าผอมเพรียว และปลางคางเรียวแหลม
สวมแว่นตากรอบทองภูมิฐาน รอบริมฝีปากปราศจากหนวดเครา ใบหน้าค่อนไปทางอ่อนเยาว์แต่ไม่อ่อนต่อโลก
รูปลักษณ์ในปัจจุบันถูกดัดแปลงมาจากใบหน้าเดิมของโจวหมิงรุ่ย แต่ยังเจือกลิ่นอายของชาวทวีปเหนือไว้เพื่อมิให้ผิดแผก
มันเลือกใช้ใบหน้ากระฉับกระเฉงสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย มิใช่ใบหน้าอวบอูมหลังจากเข้าสังคมการทำงาน
ไคลน์เตรียมกลับไปยังเบ็คลันด์หลังจากเหตุการณ์ความวุ่นวายเริ่มซาลง จุดประสงค์เพื่อจัดหาเอกสารยืนยันตัวตนให้กับรูปโฉมใหม่ในปัจจุบัน
เทียบกับสมัยทิงเก็น มันมิได้ขาดแคลนช่องทางค้าขายเหมือนกับในอดีต ปัจจุบันมีทั้งเด็กหนุ่มเอียนจากผับวีรบุรุษ มาดามชารอนกับชุมนุมลับของเธอ รวมไปถึงยอดนักสืบไอเซนการ์ด·สแตนธอนผู้เป็นเจ้าของชุมนุมลับเสียเอง
คิดถึงจังแฮะ…
ไคลน์จ้องกระจกพลางพึมพำ ก่อนจะลงมือประกอบพิธีกรรมภายในห้องซึ่งม่านถูกขึงมิดชิดรอบด้าน อันดับแรก มันต้องการส่ง ‘ยุบพองหิวโหย’ ขึ้นไปบนมิติสายหมอกเทาเพื่อศึกษาข้อดีข้อเสียอย่างละเอียด
ท่ามกลางวังโบราณบรรยากาศเงียบเชียบ ไคลน์ปรากฏตัวบนเก้าอี้มุมโต๊ะทองแดงยาว แผ่นหลังเอนพิงพนักพลางถือถุงมือบางเฉียบซึ่งถูกสร้างจากผิวหนังของมนุษย์
โดยไม่รีรอ มันหลับตาลงและแผ่พลังวิญญาณเข้าไปในวัตถุซึ่งถูกผนึกมาอย่างดี
ไคลน์เริ่มสัมผัสถึงความหิวกระหายราวกับกระเพาะอาหารไม่มีวันถูกเติมเต็มจากถุงมือหนังตรงหน้า แต่คงเป็นเพราะกำลังอยู่บนห้วงมิติเหนือสายหมอก ถุงมือเจ้าปัญหากลับเชื่องจนผิดวิสัย ไม่กล้าปลดปล่อยแม้แต่เศษเสี้ยวของความมุ่งร้าย คล้ายกับหมาล่าเนื้อกำลังนอนหมอบข้างเจ้าของอย่างว่าง่าย
ยิ่งสำรวจ ไคลน์ก็ยิ่งได้ยินเสียงครวญครางอย่างคับแค้นและเจ็บปวดจากภายใน
ทันใดนั้น ทั้งใบหน้าเศร้าโศก ใบหน้าเกลียดชัง และใบหน้าบิดเบี้ยวจำนวนหนึ่งเริ่มปรากฏในนิมิตวิญญาณ ทุกใบหน้ากำลังท่วมท้นไปด้วยกลิ่นอายความบ้าคลั่งและโหยหาเหนือพรรณนา
แต่ละใบหน้าผสานเป็นหนึ่งเดียวกับตะกอนพลังต่างสีสันและต่างสถานะ โดยไม่ว่าไคลน์จะแผ่พลังวิญญาณเข้าไปหาตะกอนพลังชนิดใด มันจะผสานเป็นหนึ่งเดียวกับใบหน้าและมอบพลังพิเศษให้ไคลน์ยืมใช้ชั่วคราว
นี่คือวิธีใช้งาน…?
ไคลน์สำรวจดวงวิญญาณทั้งห้าภายในยุบพองหิวโหยพลางใช้พลังทำนายทดสอบควบคู่ไปด้วย สำหรับดวงวิญญาณเหล่านี้ ตนสามารถ ‘ปล่อยกินหญ้า’ ได้อย่างอิสระของเพียงเพ่งจิตนึกคิด
ดวงแรก ‘ผู้ไร้หน้า’ มีเพียงพลังเปลี่ยนแปลงใบหน้าและร่างกายเล็กน้อย
ดวงสอง ‘นักจิตบำบัด’ สามารถทำให้เป้าหมายบ้าคลั่ง สามารถฝังการชี้นำทางจิตอย่างลับ ๆ ใส่เป้าหมาย และสามารถปลดปล่อย ‘ฤทธิ์มังกร’ สำหรับข่มขู่กลุ่มคนหรือบุคคลให้เกิดความโกลาหลได้
ดวงสาม ‘นักสอบสวน’ ช่วยให้ผู้สวมถุงมือเชี่ยวชาญอาวุธทุกชนิด ชำนาญการใช้ระเบิด มีจิตใจเข้มแข็ง และสามารถเสียดแทงใส่ดวงวิญญาณเป้าหมายได้โดยตรง
ดวงสี่ ‘ฝันร้าย’ มีพลังแค่ชนิดเดียว นั่นคือการดึงเป้าหมายให้ตกอยู่ในภวังค์ความฝันโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพลังมิได้ถูกใช้ผ่านร่างกายผู้สวม แต่เป็นการใช้ผ่านยุบพองหิวโหย ผู้สวมถุงมือจึงยังเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระขณะเหยื่อตกอยู่ในภวังค์
ดวงห้า ‘นักบวชแสง’ มีพลังในการสร้างแสงทรงกลดเพื่อขจัดปัดเป่าสิ่งมีชีวิตประเภทอันเดดหรือชั่วร้ายภายในรัศมีรอบตัว รวมถึงมีทักษะด้านร้องเพลงปลุกใจของนักขับขาน ช่วยให้พวกพ้องแข็งแกร่งขึ้นจากปรกติเล็กน้อย และยังสามารถสร้างแสงศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นรอง ‘ยันต์เพลิงสุริยัน’ เพียงไม่มาก
ยุบพองหิวโหยสามารถกักเก็บวิญญาณได้สูงสุดห้าดวง…
หลังจากกลืนดูดวิญญาณใหญ่เข้าไป การ ‘ปล่อยกินหญ้า’ ครั้งแรกจะสุ่มทักษะออกมาตั้งแต่หนึ่งถึงสามชนิดโดยไม่สามารถเลือกเองได้ และทักษะชุดดังกล่าวจะคงอยู่ถาวรจนกว่าจะปลดปล่อยดวงวิญญาณนั้นให้เป็นอิสระ…
ไคลน์พยักหน้าพลางครุ่นคิด ตามด้วยการถอนหายใจยาวและกล่าวกับดวงวิญญาณอันเจ็บปวดทรมานทั้งห้า
“เราไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะเคยเป็นใครในอดีตมาก่อน เราจะค่อย ๆ มอบอิสระอันเป็นนิรันดรคืนกลับไปให้พวกเจ้าทุกคน และในอนาคต เราขอสัญญาว่าดวงวิญญาณใหม่ซึ่งจะนำมากักขังไว้ในถุงมือ ต้องเป็นดวงวิญญาณของคนชั่วช้าเกินกว่าจะได้รับการอภัยเท่านั้น หลังจากเราฆ่าผู้วิเศษและกักขังมันไว้ภายใน เราจะปล่อยหนึ่งในพวกเจ้าออกไปทีละคนโดยไม่สนว่าพลังนั้นจำเป็นหรือไม่”
เสียงอ่อนโยนแต่แฝงความขึงขังของชายหนุ่มกำลังก้องกังวานท่ามกลางราชวังโบราณ
เพียงพริบตา อารมณ์อาฆาตและเสียงโหยหวนเริ่มบรรเทาอย่างเห็นได้ชัด มิได้พยายามอาละวาดและต่อต้านเหมือนกับช่วงแรก
ฟู่ว!
ถอนหายใจโล่งอก ไคลน์ลืมตาขึ้นพลางใช้นิ้วเคาะโต๊ะทองแดงยาวและพึมพำกับตัวเอง
พลังผู้ไร้หน้าซ้อนทับกับเรา หมายความว่าดวงวิญญาณนี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง หากเราหาดวงวิญญาณอื่นมาทดแทนได้เมื่อไร คงต้องปล่อยผู้ไร้หน้าออกไปเป็นลำดับแรก
ถ้าวันนั้นมาถึง เราคงต้องหาโอกาสสื่อวิญญาณเพื่อสอบถามข้อมูลเบื้องต้น บางทีอาจได้รับเบาะแสสำคัญของเส้นทางนักทำนาย หรือไม่ก็วิธีการค้นหานางเงือก…
ไม่สิ… เราไม่จำเป็นต้องรอให้ได้ดวงวิญญาณใหม่มาทดแทน สามารถปล่อยออกไปได้ทันที…
ตกลงตามนี้… ในอีกสองสามวันข้างหน้า รอให้อาการหวัดหายขาด เราจะปลดปล่อยผู้ไร้หน้าและทำการสื่อวิญญาณ…
ขณะเดียวกัน ดวงวิญญาณของนักบวชแสงก็สามารถเติมเต็มสูตรโอสถนักบวชแสงอันไม่สมบูรณ์ในมือเราได้พอดิบพอดี… นอกจากนั้น เมื่อดวงวิญญาณสลายตัว เราจะได้รับตะกอนพลังของเส้นทางดังกล่าวมาครอบครอง…
หมายความว่า เดอะซันน้อยไม่ต้องกังวลกับการเลื่อนลำดับอีกต่อไป ดวงวิญญาณของนักบวชแสงจะถูกปล่อยเป็นลำดับสอง…
สำหรับเรา การต้องคอยป้อนเลือดเนื้อและวิญญาณของมนุษย์ให้ยุบพองหิวโหยภายในหนึ่งวันหากมีการนำพลังมาใช้ เรื่องนี้ไม่ค่อยน่ากังวลสักเท่าไร เพราะเราจะไม่ใช่มันในยามปรกติอยู่แล้ว การยืมพลังแต่ละครั้งจะต้องเข้าตาจนอย่างแท้จริง และในสงครามประเภทดังกล่าว ซากศพสังเวยคงมีจำนวนเกลื่อนกลาด…
หรือต่อให้ไม่มีเหยื่อเหมาะสม เราก็แค่โยนยุบพองหิวโหยกลับเข้าไปในมิติสายหมอกโดยไม่ต้องกังวลผลลัพธ์ตามมา มันไม่มีทางกินเราภายในมิติเหนือสายหมอกได้อยู่แล้ว อย่างมากก็คงใช้การไม่ได้ไปสักระยะ…
ไคลน์สลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งพลางใช้สมบัติวิเศษสุดอันตราย ยุบพองหิวโหย เป็นสื่อกลางสำหรับทำนายถามโอสถเส้นทางคนเลี้ยงแกะ
แต่ผลลัพธ์กลับออกมาล้มเหลว
ชายหนุ่มไม่กล้าถามถึง ‘ต้นกำเนิด’ ของถุงมือหนังมนุษย์ข้างนี้ เนื่องจากเกรงว่าตนอาจได้ ‘เห็น’ บุคคลไม่พึงประสงค์เข้า
จริงอยู่ ไคลน์มั่นใจว่าตนไม่มีทางถึงแก่ความตายถ้ามีมิติสายหมอกช่วยแทรกแซงและขัดขวางพลังไว้บางส่วน แต่มันกังวลว่าการทำเช่นนั้นจะส่งผลให้ยุบพองหิวโหยเสียหายหรือถูกปนเปื้อน
ไว้ค่อยทดสอบหลังจากไม่ใช้งานมันแล้ว…
ชายหนุ่มโน้มตัวไปด้านหน้าพลางกดศอกเท้ากับพนักแขน
ไคลน์นั่งทบทวนทุกเหตุการณ์ก่อนหน้าอย่างละเอียด ไม่ปล่อยให้เบาะแสเล็ก ๆ น้อย ๆ รอดพ้นสายตา
ไม่ผิดแน่… หลังจากผิวนอกของมาสเตอร์คีย์ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ ตะกอนพลังของมันจะไม่ปรากฏทันที แต่ถือกำเนิดใหม่เป็นละอองแสงสีขาวระยิบระยับ จากนั้นจึงพยายามรวมตัวเป็นตะกอนพลังชนิดใหม่…
เราสามารถอนุมานได้ว่า ตะกอนพลังใหม่จะไม่มีคำสาปเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตูแฝงอยู่…
หรือสรุปโดยสั้น วิธีนี้สามารถใช้แยกจิตปนเปื้อนออกจากตะกอนพลังได้เช่นกัน!
แต่ปัญหาคือ ในสถานการณ์ปรกติ ตะกอนพลังแทบไม่มีทางถูกทำลายได้เลย จำเป็นต้องผ่ากระบวนการพิเศษอย่างมาก…
สำหรับในตอนนั้น เราอาศัยความยิ่งใหญ่ของพิธีกรรมขณะมิสเตอร์ A พยายามส่งเทพลงมาจุติบนโลก ผนวกกับอิทธิพลของม่านแสงปริศนาและอารมณ์ด้านลบอันเข้มข้น…
เช่นเดียวกัน หากดวงตาดำล้วนของโรซาโก้แตกละเอียด จิตกัดกร่อนของพระผู้สร้างแท้จริงซึ่งฝังอยู่ภายในก็จะออกมาสัมผัสกับอากาศ แล้วแบบนั้นใครจะทนรับไหว?
หรือเราควรทำบนมิติเหนือสายหมอก?
ขณะคิดเรื่อยเปื่อย ไคลน์พลันเป็นกังวลถึงสถานการณ์ทางฝั่งเขตตะวันออก จึงรีบเสกปากกากับกระดาษและเริ่มทำนายด้วยคำถามสอดคล้อง
แต่เมื่อได้รับคำตอบ สีหน้าชายหนุ่มพลันดำมืดเจือความหดหู่ แผ่นหลังค่อย ๆ เอนพิงพนักอย่างเชื่องช้า
เบื้องล่างไคลน์ยังคงเป็นทุ่งสายหมอกสีเทากว้างไกลไม่แปรเปลี่ยน และคล้ายกับจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล
…
ออเดรย์กำลังยืนข้างหน้าต่าง จ้องมองหมอกหนาทึบปะปนกับสายฝนซึ่งโปรยปรายอย่างผิดธรรมชาติในฤดูหนาว
ปัจจุบัน บนท้องฟ้าแทบไม่เหลืองหมอกควันสีเหลืองซีดผสมดำเหล็กแล้ว สีหน้าแววตาเด็กสาวจึงเผยความโล่งใจอยู่หลายส่วน
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เธอและซูซี่ได้รับการบอกให้เดินออกไปต้อนรับเอิร์ลฮอลล์ ผู้เพิ่งกลับมาถึงคฤหาสน์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ท่านพ่อ เป็นอย่างไรบ้างคะ?” ออเดรย์ซักถามอย่างกังวล
เอิร์ลฮอลล์ยิ้มให้บุตรสาวขณะถอดเสื้อคลุมส่งคนรับใช้ชายประจำตัว
“ปัญหาถูกสะสางแล้ว แต่รายละเอียดข้อเท็จจริงยังไม่กระจ่างในหลายเรื่อง เจ้าหญิงน้อยของพ่อ คราวนี้เจ้าช่วยพ่อได้มากทีเดียว ควรค่าแก่การถูกประดับเหรียญกล้าหาญ!”
ดีจัง… ดีจังเลย…
ขอบคุณท่านเดอะฟูล ขอบคุณการเสี่ยงอันตรายของข้ารับใช้ของท่าน ชุมนุมทาโรต์ของพวกเราจึงขัดขวางการลงมาจุติของเทพมารสำเร็จได้อีกครั้ง พวกเราคือผู้กอบกู้โลก!
จิตใจออเดรย์กำลังชุ่มฉ่ำด้วยความภูมิใจ
เอิร์ลฮอลล์รับผ้าขนหนูจากสาวใช้ประจำคฤหาสน์และนำมาซับใบหน้า
“ตอนนี้ยังเหลือปัญหาตามมาอีกเป็นพรวน พ่อไม่อยากเชื่อเลยว่า หมอกหนาทึบเหนือท้องฟ้ากรุงเบ็คลันด์เมื่อครู่จะแฝงด้วยอันตรายถึงเพียงนี้… มีการคาดเดาเบื้องต้นไว้ว่า ประชาชนในเขตตะวันออก ย่านโรงงาน และย่านท่าเรือ เสียชีวิตทันทีไม่ต่ำกว่าหมื่นคน นอกจากนั้นยังหลงเหลือโรคระบาดรุนแรงแพร่กระจายเป็นวงกว้าง เจ้ายังไม่ควรออกไปไหน”
เสียชีวิตมากกว่าหนึ่งหมื่นคน…?
จำนวนคนเท่ากับตัวเลขดังกล่าว ออเดรย์อาจนึกภาพตามได้ไม่ยาก แต่เธอยังคงจินตนาการไม่ออกว่า คนจำนวนมหาศาลเหล่านั้นจะเสียชีวิตพร้อมกันในลักษณะใด
สำหรับหญิงสาว การจะได้เห็นผู้คนหลักหมื่นในคราวเดียวพร้อมกัน ต้องเป็นเทศกาลใหญ่อย่างขบวนแห่ของราชวงศ์ในวันครอบรอบการก่อตั้งอาณาจักรเท่านั้น
ทว่า ถึงจะนึกภาพไม่ออก แต่ก็มิได้ทำให้เธอเสียใจน้อยลงแต่อย่างใด
…
เดซีย์กำลังยืนเหม่อลอยหน้าบ้านของตน สายตาจ้องมองกลุ่มแพทย์และพยาบาลในชุดโค้ทสีขาวสวมหน้ากาก เดินเข้าไปในบ้านและเคลื่อนย้ายศพออกมา
เด็กหญิงทราบผลลัพธ์มานานแล้ว ดวงตากำลังว่างเปล่า สีหน้าด้านชาปราศจากอารมณ์โดยสิ้นเชิง ขาสองข้างขยับเดินไปทางประตูบ้านโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้น ตำรวจผู้คอยยืนกั้นจุดเกิดเหตุรีบเข้ามาขวางไว้
“ตรงนี้ห้ามผ่าน อยากติดเชื้อโรคหรือไง!”
เดซีย์ทำได้เพียงยืนนิ่ง จ้องมองศพมารดาของตน ไลฟ์ กำลังนอนกอดพี่สาว เฟรย่า อย่างแนบแน่นในวาระสุดท้าย ศพคนทั้งสองถูกยกขึ้นไปบนรถข้นสินค้าคลุมผ้าดำซึ่งถูกดัดแปลงเป็นรถขนศพชั่วคราว
เด็กหญิงจ้องมองศพคนในครอบครัวค่อย ๆ ถูกคลุมด้วยผ้าขาว และนำไปวางเรียงไว้ข้างศพอื่นอีกมากมาย
รถขนศพออกตัวแล่นไปอย่างมั่นคง
ทันใดนั้น คล้ายกับเดซีย์เพิ่งได้สติ เธอรีบวิ่งตามรถขนศพเต็มฝีเท้า หวังไล่หลังไปให้ทัน
ทว่า เนื่องจากบนพื้นเต็มไปด้วยคราบโคลนเพราะฝนตกหนัก เด็กหญิงจึงล้มลุกคลุกคลานหลายหนจนร่างกายสกปรกมอมแมม
แต่ไม่ว่าจะวิ่งสักเท่าไร เธอก็ไล่รถม้าคันดังกล่าวไม่ทันสักที จนกระทั่งมันหักเลี้ยวหายไปตรงหัวมุมถนน
เดซีย์ลดฝีเท้าลง ร่างกายเริ่มสั่นเทาอย่างมิอาจควบคุม หัวสมองขาวโพลนล่องลอย
เด็กสาวเอนตัวพิงต้นไม้ สายตาจ้องมองไปยังหัวมุมถนนซึ่งรถขนศพเคยแล่นผ่าน
เมื่อแข้งขาปราศจากเรี่ยวแรง เดซีย์คร่ำครวญด้วยหัวใจแตกสลาย
“คุณแม่… เฟรย่า…”
เสียงของเด็กหญิงทั้งแผ่วเบา อ่อนแรง และล่องลอย
ในวินาทีนี้ ทั่วทั้งเขตตะวันออก ย่านท่าเรือ และย่านโรงงาน กำลังระงมไปด้วยเสียงสะอื้นของครอบครัวผู้สูญเสียนับหมื่น
…
เขตราชินี บรมมหาราชวังโซเดอร์แล็ค
ในสภาพสวมมงกุฎเหนือศีรษะ ใบหน้าขึงขังเด็ดเดี่ยว หนวดถูกตัดแต่งจนเรียวงาม
กษัตริย์จอร์จที่สามกำลังนั่งบนบัลลังก์พลางจ้องมองเอิร์ลราชสำนักตรงหน้าโดยไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน
“ฝ่าบาทขอรับ คนจากสามโบสถ์หลักกำลังรออยู่ด้านนอกและต้องการคำอธิบายจากท่าน” เอิร์ลราชสำนักกล่าวขณะเหงื่อเม็ดใหญ่กำลังไหลซึมบนหน้าผาก
“คำอธิบายอะไรอีก! องค์ชายเอ็ดซัคถูกแม่มดล่อลวงและสมคบคิดกับนิกายนอกรีตเพื่อก่อกบฏ นั่นคือคำอธิบายของเรื่องนี้! แผนการของมันถูกเปิดโปงอย่างไร้ข้อกังขาจากหน่วยสืบสวน และตัวการต้นเรื่องก็ฆ่าตัวตายไปแล้ว พวกเขายังต้องการคำอธิบายใดอีก!” จอร์จที่สามแผดเสียงตวาดด้วยโทสะคุกรุ่น
ตามด้วยการสูดลมหายใจยาว พยายามเรียกคืนความเยือกเย็น
“ถ้าอย่างนั้น บอกกับพวกเขาไปว่า ขุนนางทั้งหมดในอาณาจักร ไม่ว่าจะได้รับตำแหน่งมาด้วยวิธีใด ทุกคนจะมีสิทธิ์เข้าร่วมสภาขุนนางนับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป! ข้อกำหนดในการลงสมัครเลือกตั้งจะถูกผ่อนปรนลงจากเดิม และเขตเลือกตั้งไม่ผ่านเกณฑ์จะต้องถูกยกเลิก สิ่งเหล่านี้คงพอจะปลอบใจบรรดานายธนาคารและเจ้าของโรงงานได้บ้าง และเช่นเดียวกัน คณะกรรมการมลพิษทางอากาศแห่งชาติจะต้องสรุปผลลัพธ์การตรวจสอบโดยด่วน ร่างกฎหมายเกี่ยวข้องจะถูกเร่งรัดให้ผ่านเร็วขึ้น กฎหมายความปลอดภัยพื้นฐานของโรงงานและชั่วโมงทำงานจะต้องเป็นรูปเป็นร่างในอนาคตอันใกล้ กฎหมายคนจนจะถูกเขียนขึ้นใหม่โดยอิงจากความต้องการของพวกเขาเป็นหลัก… ไม่เพียงเท่านั้น สามโบสถ์หลักสามารถส่งคนของตนมาแฝงตัวทำงานในกองทัพได้!”
“ฝ…ฝ่าบาท…”
เอิร์ลราชสำนักพลันหน้าซีด
การยอมผ่อนปรนถึงระดับนี้ มันไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าราชวงศ์จะกล้าเสนอ
โดยเฉพาะข้อสุดท้าย
จอร์จที่สามแผดเสียงขึงขัง
“จงนำเจตนารมณ์ของเราไปแจ้งให้คนของโบสถ์ด้านนอกทราบโดยทั่วกัน! ในเมื่อพวกเขาต้องการคำสั่ง! ก็จงน้อมรับคำสั่ง!”
“ขอรับ ฝ่าบาท!” เอิร์ลราชสำนักไม่กล้ายืนอยู่นาน รีบเดินออกจากวังหลวงทันที
จอร์จที่สามนั่งนิ่งบนบัลลังก์สักพักใหญ่ จนดูคล้ายกับรูปปั้นหินอ่อนไม่เคลื่อนไหว
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ
แววตาของมันเริ่มเผยความอ่อนโยน
……………………
ราชันเร้นลับ 482 : เก่าไปใหม่มา
โดย
Ink Stone_Fantasy
31 ธันวาคม ช่วงเช้า
ณ วิหารฤดูเก็บเกี่ยวย่านทิศใต้ของสะพาน
เอ็มลิน·ไวท์กำลังยืนในห้องครัว สวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำตาลของนักบวช
มันโยนสมุนไพรหลากชนิดลงในหม้อต้มใบใหญ่พลางใช้ทัพพีไม้คนกวนเป็นระยะ
หลังดำเนินทุกขั้นตอนเสร็จ แวมไพร์หนุ่มยืนรออย่างใจเย็นจนกระทั่งครบสิบนาทีเต็ม จึงค่อยใช้กระบวยเหล็กตักของเหลวคล้ายหมึกดำออกมาใส่แก้วและขวดแก้วบนถาดด้านข้างลำตัว
สี่สิบแปด สี่สิบเก้า ห้าสิบ…
เอ็มลินชำเลืองหม้อเปล่าพลางนับจำนวนยาวิเศษซึ่งมันเพิ่งปรุงเสร็จ
เมื่อยืนยันปริมาณจนแน่ใจ แวมไพร์หนุ่มยกถาดโลหะแผ่นใหญ่เดินถือเข้าไปในห้องโถง บนถาดมีขวดแก้วบรรจุของเหลวสีดำวางเรียงรายเบียดเสียด
ภายในโถงสวดมนต์ ม้านั่งเกินกว่าครึ่งถูกนำออก บนพื้นเต็มไปด้วยผ้าปูรองนอนสภาพเก่าโทรม บนผืนผ้ามีเหยื่อของโรคระบาดกำลังนอนอย่างแออัด บ้างหลับลึก บ้างครวญครางอย่างเจ็บปวด
เอ็มลินและหลวงพ่อยูทรอฟสกี้กำลังร่วมมือร่วมใจอย่างสามัคคี แยกกันไปแจกจ่ายยาวิเศษปรุงสดใหม่จากปลายแถวทั้งสองฝั่ง
บุคคลแรกในลำดับแถวเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าซีดเซียว มันรีบพยุงตัวนั่งอย่างยากลำบาก จากนั้นจึงรับยาและกระดกดื่มทันที
ชายคนเดิมคืนขวดเปล่ากลับมาและกล่าวกับเอ็มลินอย่างสำนึกในบุญคุณ
“หลวงพ่อไวท์ ขอบคุณมากครับ! ร่างกายของผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างชัดเจน สัมผัสได้ถึงกำลังวังชาและเรี่ยวแรง”
เอ็มลินเชิดปลายคางพอเป็นพิธีพลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงกึ่งเย้ยหยัน
“แค่นี้เรื่องเล็กน้อย ไม่คู่ควรกับคำชมเชยเลยสักนิด พวกคุณก็ทำได้ด้วยตัวเอง แค่ยังขาดโอกาสและความรู้”
พูดจบ เอ็มลินเร่งมือแจกจ่ายยาคนอื่น ๆ
ผ่านไปสิบนาทีหรือราว ๆ นั้น มันเดินกลับมายังแท่นบูชาของพระแม่ธรณีและบ่นกับหลวงพ่อยูทรอฟสกี้อย่างไม่สบอารมณ์
“ทำไมท่านถึงไม่หาอาสาสมัครมาช่วยทำงานอีกสักสองสามคน!”
หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ไม่ตอบโต้ เพียงมองไปทางกลุ่มคนไข้และกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“พวกเขาจะหายเป็นปรกติในอีกสามวัน”
“ท่านทราบได้ยังไง” เอ็มลินประหลาดใจ
บิชอปยูทรอฟสกี้ก้มมองใบหน้าเอ็มลินด้วยสายตากรุณา
“ยาสมุนไพรคือหนึ่งในขอบเขตของพระแม่ธรณี ด้วยฐานะสาวกของพระองค์ ผมย่อมมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับลักษณะพิเศษของพลัง ถึงแม้จะไม่ได้อยู่บนเส้นทางธรณีก็ตาม”
เอ็มลินส่ายหน้า
“ข้าไม่เคยสนใจคำสอนศาสนา”
การคัดลอกพระคัมภีร์ตลอดหนึ่งเดือนเต็มนั้นไม่นับ! เพราะเราถูกสั่งให้ทำ!
เอ็มลินเสริมในใจด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
ก่อนจะกล่าวต่อไป
“หลวงพ่อ ข้าไม่คิดมาก่อนว่าท่านจะรับคนไข้จากศาสนาอื่นมารักษา จากบรรดาผู้ป่วยมากมายของเรา กลับมีสาวกพระแม่ธรณีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น”
ยูทรอฟสกี้เพียงยิ้ม ไม่ถือสา
“ทุกคนคือหนึ่งชีวิตเท่าเทียม เป็นชีวิตอันบริสุทธิ์”
เอ็มลินชะงักงัน ก่อนจะถอนหายใจยาว
“หลวงพ่อ ข้าพบวิธีรักษาการชี้นำทางใจของท่านแล้ว อีกไม่นานคงต้องอำลาวิหารแห่งนี้เป็นการถาวร”
เดี๋ยวสิ… แล้วเราไปบอกเขาทำไม…
รู้สึกผูกพัน? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาตัดสินใจชกเราสักหมัดและจับกลับไปขังไว้ในห้องใต้ดินเหมือนเดิม?
เอ็มลินเริ่มลนลาน
สีหน้าหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ยังคงอ่อนโยน ดวงตาก้มมองเอ็มลินและเริ่มอธิบาย
“ด้วยความสัตย์จริง คุณไม่จำเป็นต้องหาวิธีรักษาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะอีกไม่นาน การชี้นำทางใจของผมจะสลายไปเอง คุณจะได้รับอิสระกลับคืนมาและมีสิทธิ์เลือกว่าจะแวะเข้ามายังวิหารแห่งนี้หรือไม่”
“ถ้าถูกชี้นำนานกว่านี้อีกสักนิด ข้าคงได้กลายเป็นสาวกของท่านแม่… พ…พระแม่ธรณีกันพอดี!”
เอ็มลินแผดเสียงโต้แย้ง
ยูทรอฟสกี้เลิกคิ้วเล็กน้อย สีหน้าคล้ายกับกำลังประหลาดใจ
“ผมไม่เคยโน้มน้าวให้คุณเปลี่ยนศาสนา การชี้นำทางใจของผมจะทำให้คุณรู้สึกต้องการแวะเข้ามายังวิหารแห่งนี้ในทุก ๆ วัน ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น ผมหวังเพียงให้คุณได้ซาบซึ้งกับคุณค่าของชีวิต ลิ้มรสความสุขอันแท้จริงทุกลมหายใจ”
“ก…การชี้นำทางใจ… มีผลแค่โน้มน้าวให้ข้าแวะมายังวิหารทุกวัน?” เอ็มลินอ้าปากค้าง
ยูทรอฟสกี้พยักหน้ารับหนักแน่น
“ถูกต้อง”
“…”
ริมฝีปากแวมไพร์หนุ่มพลันสั่นระริก
มันหันไปมองแท่นบูชา หันไปมองตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตของพระแม่ธรณีโดยไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน ประหนึ่งถูกสาปให้กลายเป็นหุ่นกระบอกใบ้
…
31 ธันวาคม ช่วงเย็น
เมืองทิงเก็น
ณ อาคารหมายเลข 2 ถนนดารารัตน์
เบ็นสันเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับถอดหมวกและเสื้อโค้ทแขวน ตามด้วยการหัวเราะ
“ฉันจองบัตรโดยสารรถจักรไอน้ำชั้นสองไปยังกรุงเบ็คลันด์เรียบร้อยแล้ว เที่ยวเดินทาง 3 มกราคม”
เมลิสซ่า ผู้กำลังนั่งในห้องกินข้าวพลางถือหนังสือพิมพ์ในมือ กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความกังวล
“เบ็นสัน อากาศในเบ็คลันด์กำลังแย่มาก ผู้คนนับหมื่นเสียชีวิตเพราะพิษของหมอกและโรคระบาดเมื่อไม่กี่วันก่อน…”
“ถูกต้อง นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่”
เบ็นสันเดินเข้ามาในห้องอาคาร ถอนหายใจยาวและเล่าต่อ
“แต่สองสภาต่างเห็นพ้องและยอมรับรายงานของคณะกรรมการมลพิษทางอากาศแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการปล่อยควันพิษและน้ำเสียจะถูกผลักดันให้เสร็จสมบูรณ์ในอีกไม่นาน หมายความว่า กรุงเบ็คลันด์โฉมใหม่จะเป็นมิตรกับพวกเรา เธออย่าได้กังวลไป”
เมื่อกล่าวจบ มันยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“ขากลับจากถนนกางเขนเหล็ก ฉันเห็นเจ้าของโรงงานในเบ็คลันด์ หรือไม่ก็ตัวแทน กำลังประกาศรับสมัครคนงานจำนวนมาก พวกเขาเล่าว่า ควันพิษและโรคระบาดทำให้โรงงานหลายแห่งขาดแคลนแรงงาน จึงต้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและลดชั่วโมงทำงานลง มาตรฐานใหม่จะทำให้ทุกคนพึงพอใจ ฮะฮะ!”
“แล้วนายคิดว่าพวกเขาทำได้จริง?”
“คงยาก เพราะหากผู้คนทั่วทั้งอาณาจักรพร้อมใจกันเข้าไปทำงานในกรุงเบ็คลันด์ สถานการณ์ก็จะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน คนงานถูกกดค่าแรงและบังคับให้ล่วงเวลา …นอกเสียจากรัฐบาลจะออกร่างกฎหมายฉบับใหม่มาบังคับใช้อย่างเป็นกิจจะลักษณะ”
เบ็นสันผายมือไปทางโต๊ะอาหาร
“เอาล่ะ ถึงเวลาฉลองปีใหม่กันแล้ว”
บนโต๊ะมีมีดส้อมถูกวางไว้สามคู่ ภาชนะลายครามสามชุด และแก้วเครื่องดื่มสามใบ
ใบหนึ่งใส่เบียร์ อีกสองใบใส่เบียร์ขิง
…
31 ธันวาคม ช่วงเย็น
ในสภาพแต่งกายออกงานเต็มยศ ออเดรย์กำลังยืนภายในห้องพักรับรองของคฤหาสน์ รอให้งานเลี้ยงปีใหม่เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม บนใบหน้ามิได้ปรากฏความตื่นเต้น เบิกบาน หรือความสุข แม้ว่าเธอกำลังจะได้เปลี่ยนสถานภาพกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวในค่ำคืนนี้
ในมือถือหนังสือพิมพ์ เนื้อหาเขียนไว้ว่า
“…จากการนับจำนวนเบื้องต้น เหยื่อของควันพิษมีมากถึงสองหมื่นหนึ่งพันราย และเสียชีวิตจากโรคระบาดอีกเกือบสี่หมื่นราย มีทั้งเด็กเล็ก เด็กหนุ่มแข็งแรง และหญิงสาว…”
ฟู่ว… ออเดรย์หลับตาลง
ทันใดนั้น บิดาของตน เอิร์ลฮอลล์ และมารดา คุณหญิงเคทลิน ทำการเคาะประตูห้องและกล่าวพร้อมกัน
“ความงดงามของเจ้าเหนือกว่าผู้ใดในงานเลี้ยงแห่งนี้อย่างไร้ข้อกังขา ถึงเวลาของเจ้าแล้วลูกรัก องค์ราชินีกำลังรอเจ้าอยู่”
ออเดรย์ถอนหายใจเชื่องช้า แต่ยังคงรักษากิริยาสง่างามและรอยยิ้มสดใส เด็กสาวเดินออกจากห้องพักตรงไปยังโถงใหญ่สำหรับจัดงานเลี้ยง เคียงข้างการเดินประกบจากบิดาและมารดาผู้มีมาดสง่างาม
จนกระทั่งย่างกรายขึ้นมาบนเวทีใหญ่ ท่ามกลางสายตาจับจ้อง ออเดรย์ยื่นมือขวาซึ่งสวมถุงมือผ้าบางสีขาวไปทางราชินี
ราชินีแห่งโลเอ็นเดินจูงมือเด็กสาวไปยังขอบเวทีด้านหน้าสุด เพื่อให้แขกในงานทุกคนได้ยลโฉมเด็กสาวอย่างเต็มสองตา
เว้นวรรคหนึ่งอึดใจ ราชินีฉีกยิ้ม
“แม้ไม่กี่วันก่อนจะเกิดโศกนาฏกรรมอันหดหู่และเป็นจุดด่างพร้อยในประวัติศาสตร์อันยาวนานของกรุงเบ็คลันด์… แต่เมืองของพวกเรายังมีอัญมณีเจิดจรัส ผู้ส่องแสงระยิบระยับฉาบให้ทั่วทั้งเบ็คลันด์สว่างไสวเจิดจ้า ปัญญาของเธอ ความงามของเธอ รวมถึงอุปนิสัยและกิริยามารยาทแสนสง่างามของเธอ ทั้งหมดหล่อหลอมให้เธอเป็นบุคคลสมบูรณ์แบบปราศจากจุดด่างพร้อย ในวินาทีนี้ ตัวเราขอแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับเธออย่างเป็นทางการโดยทั่วกัน คุณหญิงออเดรย์·ฮอลล์”
ปัง! ปัง! ปัง!
ด้านนอกหน้าต่างคฤหาสน์ งานแสดงพลุไฟสุดอลังการเริ่มต้นขึ้น
ณ ค่ำคืนสุดท้ายของปี 1349
ออเดรย์อายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์และเข้าสู่สังคมชนชั้นสูงของโลเอ็นอย่างเป็นทางการ
…
3 มกราคม ปี 1350 ช่วงบ่าย
ณ สุสานใหม่รอบนอกเขตตะวันออก
อาศัยพลังทำนาย ไคลน์เดินหาจนพบหลุมศพของโคห์เลอร์และไลฟ์
หากว่ากันตามตัวอักษร สิ่งนี้ไม่ควรถูกเรียกว่าหลุมศพ แต่เป็นตู้เก็บกล่องบรรจุเถ้ากระดูก แต่ละตู้วางเรียงติดกันและซ้อนทับในลักษณะแถวยาวหลายชั้น
ไคลน์ยืนจ้องมอง มันพบว่าไม่มีแม้แต่ภาพถ่ายหรือถ้อยคำจารึกหน้าตู้เก็บกล่องเถ้ากระดูกของโคห์เลอร์
แม้แต่ชื่อก็ไม่
สถานการณ์เช่นนี้มิใช่เรื่องผิดปรกติ เพราะบริเวณใกล้เคียงก็ยังมีศพไร้หน้าและปราศจากชื่อวางเรียงติดกันเป็นทิวแถว สาเหตุเป็นไปได้หลายประการ ทั้งไม่มีญาติพี่น้องช่วยยืนยันตัวตน รวมถึงการไม่มีเอกสารใดตัวตน หน้าตู้เก็บจึงปรากฏเพียงตัวเลขกันความสับสน
ไคลน์หลับตาลงพร้อมกับล้วงหยิบกระดาษแผ่นยาวออกจากกระเป๋า มันสะบัดข้อมือหนึ่งครั้งเพื่อเสกแผ่นกระดาษให้กลายเป็นแท่งเหล็กปลายแหลม ตามด้วยการเขียนข้อความลงบนฝาตู้ :
“โคห์เลอร์”
และจารึกถ้อยคำ
“อดีตคนงานฝีมือเยี่ยม อดีตหัวหน้าครอบครัวแสนอบอุ่น ผู้ขยันขันแข็งและดิ้นรนเอาชีวิตรอด”
ไคลน์ลดข้อมือลง สะบัดแผ่วเบา เปลี่ยนแท่งเหล็กลับเป็นกระดาษ
ไคลน์ในรูปลักษณ์ผมดำขลับ ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ร่างกายผอมเพรียว เริ่มเผากระดาษบนฝ่ามือจนลุกไหม้ คล้ายกับกำลังประกอบพิธีสวดส่งวิญญาณแก่เถ้ากระดูกทั้งหมดภายในบริเวณโดยรอบ
ชายหนุ่มตัดสินใจไม่ไปพบเดซีย์ เด็กหญิงผู้สูญเสียมารดาและพี่สาวโดยตรง แต่เลือกช่วยทางอ้อมโดยการเขียนจดหมายถึงนักข่าวไมค์แบบไม่ลงชื่อ อธิบายสถานการณ์ความยากลำบากของเธอ ทั้งหมดเพื่อมิให้เด็กสาวต้องเข้ามาพัวพันกับอันตรายจากตน
ไมค์เดินทางไปพบเดซีย์ทันที รับฟังเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ และกระตือรือร้นในการเปิดรับเงินบริจาคสำหรับใช้เป็นค่าเล่าเรียนจนจบหลักสูตรพื้นฐาน ไคลน์มั่นใจว่า เท่านี้คงมากพอจะช่วยให้เด็กหัวดีอย่างเดซีย์มีงานการมั่นคงทำหลังจากเรียนจบ
ชายหนุ่มถอยหลังออกมาสองก้าว กวาดสายตาไปรอบชั้นวางตู้บรรจุกล่อง พยายามบันทึกชื่อและรูปภาพของเหยื่อทุกคน รวมถึงผู้ปราศจากใบหน้าและชื่อเสียงเรียงนาม เอาไว้ในความทรงจำ
มันแหงนหน้ามองฟ้า ถอนหายใจยาว และเดินออกจากสุสานใหม่อย่างเงียบงัน
…
ขณะรถจักรไอน้ำกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังกรุงเบ็คลันด์ เมลิสซ่าตั้งใจอ่านหนังสือเรียน ส่วนเบ็นสันกำลังสนทนากับผู้โดยสารเก้าอี้ใกล้เคียง
“แพงมาก! บัตรโดยสารมีราคาแพงเกินไปอย่างมาก! ตั้งสิบซูลครึ่งเชียวนะ!”
ชายร่างกำยำอายุยังไม่ถึงสามสิบ ถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว
“ถ้าไม่เพราะบัตรโดยสายชั้นสามถูกจองจนเต็ม ผมก็คงไม่ต้องเสียเงินมากถึงครึ่งหนึ่งของค่าจ้างรายสัปดาห์เช่นนี้!”
“แย่หน่อยนะครับ มีผู้คนไม่น้อยเดินทางเข้าไปในเบ็คลันด์หลังจบเทศกาลปีใหม่”
เบ็นสันเห็นพ้อง
ชายร่างกำยำรีบสลัดสีหน้าหดหู่
“แต่เป็นเพราะเจ้านายสัญญาว่าจะตอบแทนด้วยค่าจ้างยี่สิบเอ็ดซูลต่อสัปดาห์ แถมยังไม่ต้องทำงานเกินวันละสิบสองชั่วโมง ผมจึงตอบตกลงทำสัญญากันทันที! หลังจากได้เงินค่าตอบก้อนแรกและเริ่มเช่าบ้าน ภรรยาของผมก็จะตามมาอาศัยในเบ็คลันด์ด้วยเช่นกัน! ไม่เพียงเท่านั้น เธอสามารถทำงานค่าจ้างค่อนข้างดีได้ด้วย ตกราวสิบสองถึงสิบสามซูลต่อสัปดาห์ เห็นว่ากรุงเบ็คลันด์กำลังขาดแคลนแรงงานประเภทนี้อย่างหนัก! …หากวันนั้นมาถึงเมื่อไร ด้วยรายได้รวมเกินกว่าสัปดาห์ละหนึ่งปอนด์ ครอบครัวของผมจะได้กินเนื้อวัวบ่อยขึ้นกว่าเดิมมาก!”
“ไม่ต้องห่วงครับ ความฝันของคุณเป็นจริงได้แน่นอน เพราะตอนนี้พระราชาได้ลงนามในร่างกฎหมายค่าแรงขั้นต่ำและจำกัดจำนวนชั่วโมงทำงานสูงสุดแล้ว”
เบ็นสันอวยพรอีกฝ่ายจากใจ
“สมกับเป็นดินแดนแห่งความหวัง”
ปู๊น—! รถจักรไอน้ำคันใหญ่พาผู้คนจำนวนมหาศาลมาถึงสถานีเบ็คลันด์
ท้องฟ้าด้านบนกำลังสดใส หมอกหนาทึบเจือจางลงจากปรกติมาก โคมตะเกียงบนชานชาลาจึงไม่จำเป็นต้องถูกจุดก่อนเวลาอันควร
เบ็นสันมากประสบการณ์ช่วยน้องสาวปกป้องทรัพย์สินสำคัญ พลางเดินออกจากสถานีในลักษณะเบียดเสียดกับผู้คน
ทันใดนั้น สองพี่น้องสัมผัสถึงสายตาจดจ้องจากบุคคลปริศนา
เมื่อมองกลับไป เบ็นสันและเมลิสซ่าพบกับชายหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์ ทรงผมหวีเรียบ ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม
พร้อมกันนั้น สุภาพบุรุษหนุ่มผู้สวมแว่นตากรอบทอง กดหมวกลงเล็กน้อยและมองผ่านทั้งคู่ไปยังด้านหลัง
เบ็นสันและเมลิสซ่าเบือนหน้ากลับทันที โดยหันไปให้ความสนใจกับปล่องพ่นควันใจกลางลานหญ้าสีเขียวด้านนอกแทน
ทั้งสองอยากลองใช้บริการรถไฟใต้ดินอันลือชื่อของมหานครเบ็คลันด์มานานแล้ว
ในสภาพหิ้วกระเป๋าเดินทางด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ไคลน์เดินผ่านสองพี่น้องพลางทำตัวตามปรกติ ก่อนจะเดินเข้าไปในชานชาลารถจักรไอน้ำขาออก เบียดเสียดกับผู้คนมากมายอันกำลังพรั่งพรูเข้ามายังดินแดนแห่งความหวัง แต่ละคนเปี่ยมด้วยความฝันอันสดใส
นี่คือยุคสมัยอันยอดเยี่ยม
ขณะเดียวกันก็เป็นยุคสมัยอันเลวร้าย
(จบภาคที่สอง)
……………………
ราชันเร้นลับ 483 : ตัวตนใหม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท้องฟ้าด้านนอกกำลังมืดครึ้ม แต่คราวนี้มิได้เกิดจากหมอกทะมึนซึ่งไคลน์เคยชินเป็นประจำ
คลื่นทะเลซัดสาดเข้าหาชายฝั่ง สายลมเย็นพัดพัดพาหมอกควันบนท้องฟ้าให้กระจัดกระจายกลายเป็นเมฆรูปทรงต่าง ๆ พวกมันยิ่งโดดเด่นกว่าปรกติเมื่อแสงอาทิตย์สีทองส้มคอยเฉิดฉายเป็นฉากหลัง
ท่าเรือพริสต์ ท่าเรือน้ำลึกซึ่งมีอาณาเขตและความวุ่นวายสูงสุดในอาณาจักรโลเอ็น
สวมเสื้อกั๊กสีอ่อนและเชิ้ตขาว ไคลน์ยืนข้างหน้าต่างพลางจ้องออกไปทัศนาโลกด้านนอกเป็นเวลานาน จนกระทั่งนาฬิกาพกดึงความสนใจกลับมายังโต๊ะไม้มะฮอกกานี
ท่ามกลางความอบอุ่นจากเตาผิง ชายหนุ่มหยิบปากกาหมึกซึมสีดำขึ้นมาถือ พร้อมกับคลี่กระดาษจดหมายและเขียนบางสิ่งลงไป
ถึงมิสเตอร์อะซิก
ขออภัยกับการไม่ได้เขียนจดหมายไปหาในช่วงหลายวันมานี้ ผมต้องตระเวนไปยังจุดต่าง ๆ ของเบ็คลันด์เพื่อซึมซับบรรยากาศและอารมณ์จากโศกนาฏกรรมของเมืองใหญ่
ระหว่างทาง ผมได้ตระหนักว่า หากเราสองคนเป็นเพียงมนุษย์ปรกติ บางทีอาจต้องกลายเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ถูกผ้าขาวคลุมร่าง ถูกลำเลียงศพไปเผาจนเหลือเพียงเถ้ากระดูก และกล่องกระดูกของพวกเราก็จะถูกเก็บใส่ตู้วางเรียงไว้ปะปนกับคนอื่น…
ผมรอสักพักจนกระทั่งเล็งเห็นโอกาสในการกลับไปเอาสิ่งของสำคัญกลับมาจากบ้าน หนึ่งในนั้นคือไพ่เย้ยเทพตามคำบอกเล่าก่อนหน้า และยังมีสิ่งของอีกหนึ่งชิ้นซึ่งผมจะแนบไปพร้อมกับจดหมาย มันคือนกหวีดทองแดงสำหรับอัญเชิญผู้สงสาร เป็นของชายวัยกลางคนผู้ลุกขึ้นมาจากหลุมศพของตัวเอง
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคุณคงตกตะลึงเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ เพราะรายละเอียดข้างต้นฟังดูคล้ายกับตัวคุณมาก แม้แต่ผมเองก็ยังประหลาดใจไม่น้อย
เรื่องราวมีอยู่ว่า…
…ผมจึงสงสัยว่า เจ้าของนกหวีดจะต้องเป็นสมาชิกนิกายวิญญาณซึ่งพยายามคืนชีพเทพมรณา ยิ่งไปกว่านั้น ระดับของเขาต้องไม่ต่ำแน่ บางที คุณอาจระบุตัวตนอีกฝ่ายได้ทันทีหลังจากตรวจสอบนกหวีดเสร็จ…
ก่อนออกจากเบ็คลันด์ ผมจะเขียนจดหมายไปหาจิตแห่งจักรกลพร้อมกับเล่าถึงอาคารใต้ดินขนาดใหญ่ซึ่งถูกใช้เป็นสมรภูมิการต่อสู้ระหว่างคุณกับอินซ์·แซงวิลล์
ได้แต่หวังว่าพวกเขาจะพบเบาะแสเพิ่มเติมจากในตอนแรก รวมไปถึงความจริงเบื้องหลังแผนการของพวกมันด้วย
หลังจากทดสอบทั้งทางตรงและทางอ้อม ผมสามารถยืนยันได้ว่า จิตแห่งจักรกลมิได้คิดร้ายต่อคุณ หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้แน่
หากคุณมีปัญหา บางที การติดต่อพวกเขาอาจไม่ใช่เรื่องเสียหาย
สุดท้ายนี้ ผมยังมีอีกหนึ่งคำถาม คุณพอจะทราบถึงวิธีลบการปนเปื้อนของตะกอนพลังแบบแข็งตัวหรือไม่ มันถูกปนเปื้อนจากถ้อยคำกัดกร่อนจนไม่สามารถใช้การได้
…ผมกำลังจะออกทะเล ขออวยพรให้การเดินทางตามหาความทรงจำของคุณประสบผลสำเร็จอย่างราบรื่น รวมถึงการเดินทางของผมด้วยเช่นกัน
ศิษย์และมิตรสหายของคุณ
ไคลน์·โมเร็ตติ
หลังจากวางปากกาลงและอ่านทวนซ้ำอีกหนึ่งรอบ ไคลน์พับกระดาษจดหมายยัดใส่ซองสีขาวพร้อมกับไพ่จักรพรรดิมืดและนกหวีดทองแดงของผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นสมาชิกนิกายวิญญาณ
เมื่อจัดแจงทุกสิ่งเสร็จสรรพ ชายหนุ่มหยิบนกหวีดของอะซิกขึ้นมาเป่า
ผู้ส่งสารยังคงเป็นโครงกระดูกสีขาวสูงสี่เมตรเช่นเดิม เบ้าตาทั้งสองข้างมีเปลวไฟสีดำลุกโชน ทว่า สัมผัสวิญญาณของไคลน์ระบุได้อย่างชัดเจนว่านี่เป็นคนละตัวจากปรกติ
ชายหนุ่มแอบถอนหายใจ พลางเหยียดแขนข้างถือจดหมายวางบนฝ่ามือผู้ส่งสาร
โครงกระดูกยักษ์ก้มศีรษะลงเพื่อให้พ้นจากขอบเพดาน สายตาจ้องมองใบหน้าของคนส่งจดหมาย
ทันใดนั้น มันรีบคว้าซองกระดาษสีขาวและสลายตัวเป็นโครงกระดูกจมลงไปในดิน
ได้เห็นภาพดังกล่าว ไคลน์กระทบกรามขวาแผ่วเบาเพื่อปิดการใช้งานเนตรวิญญาณ
สายตากลับมาเพ่งมองบนโต๊ะซึ่งมีบัตรยืนยันตัวตนสีเหลืองซีดวางอยู่ นี่คือสิ่งของสำคัญสำหรับใช้ซื้อบัตรโดยสารเรือเดินสมุทร
กว่าจะได้มา ไคลน์ต้องเดินทางไปพบมาดามชารอนเป็นการส่วนตัว ไหว้วานให้เธอจ้างใครสักคนภายในชุมนุม ทำตัวตนปลอมพร้อมกับเอกสารขึ้นมา
บุคลิกใหม่ของไคลน์คือนักล่าค่าหัวจิตใจอำมหิตโหดเหี้ยม ผู้ต้องการผจญภัยในทะเลเพื่อแสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวย
และตามความต้องการของไคลน์ ชายคนนี้มีชื่อเต็มว่า :
เกอร์มัน·สแปร์โรว์
“นักล่าจิตใจอำมหิต…” ไคลน์พึมพำพลางวางเอกสารเกี่ยวกับตัวตนใหม่ลง
ถัดมา มันลุกไปขึงผ้าม่านจนมิดชิดและเดินทวนเข็มถอยหลังสี่ก้าว ส่งจิตเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาอย่างราบรื่น
ยังเหลือเวลาอีกสักพักก่อนชุมนุมทาโรต์จะเริ่มขึ้น ไคลน์จึงหยิบยุบพองหิวโหยขึ้นมาสวมทดสอบ
หลับตาลง มันพยายามสัมผัสถึงทุกดวงวิญญาณมายาอันบิดเบี้ยวภายใน จุดประสงค์เพื่อค้นหาผู้ไร้หน้าและปล่อยอีกฝ่ายเป็นอิสระ
ถ้าเป็นโลกความจริง ยุบพองหิวโหยคงจัดการเขมือบดวงวิญญาณอย่างเอร็ดอร่อยไปนานแล้ว จากนั้นจึงถุยตะกอนพลังออกมา
แต่เมื่ออยู่บนห้วงมิติเหนือสายหมอก มันกลับว่านอนสอนง่ายและไม่ทำตัวเอาแต่ใจ ยอมปล่อยให้วิญญาณของผู้ไร้หน้าออกมาล่องลอยใกล้กับโต๊ะทองแดงยาวข้างไคลน์
อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าพร่ามัว สีหน้าอันเจ็บปวดและโกรธเคืองบรรเทาลงจากหลายวันก่อนเล็กน้อย
ด้วยท่าทางตะกุกตะกัก มันพยายามโค้งศีรษะให้ไคลน์ ผู้กำลังเอนกายพิงเก้าอี้พนักสูงของมุมโต๊ะ
ขณะเดียวกัน ความเข้มข้นของร่างวิญญาณมายาเริ่มซีดจางอย่างเห็นได้ชัด ประหนึ่งพร้อมเลือนหายไปจากห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาได้ทุกเมื่อ
ท่ามกลางวังโบราณ ไคลน์สามารถสื่อสารกับอีกฝ่ายได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านพิธีกรรมให้ซับซ้อน เพียงแผ่พลังวิญญาณเข้าไปสัมผัสกับร่างวิญญาณและซักถามเสียงขรึม
“เจ้าพอจะทราบหรือไม่ ว่าเราสามารถหานางเงือกตัวเป็น ๆ ได้จากไหนบ้าง”
ผู้ไร้หน้าตอบเสียงล่องลอย
“ถ้าไม่นับนางเงือกในโบสถ์รัตติกาล ทางเดียวในการหานางเงือกแบบมีชีวิตก็คือ ต้องล่องเรือจากหมู่เกาะการ์กัสไปยังทะเลโซเนียอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ติดต่อกัน นั่นคือจุดหมายปลายทางเดิมของผม”
เขาคือผู้ไร้หน้าซึ่งกำลังจะเลื่อนลำดับ…
เพื่อให้ได้พบนางเงือก จึงยอมเสี่ยงออกทะเลแสนอันตราย แต่โชคไม่ดีนัก ด้วยเหตุผลบางประการ เขาถูกพลเรือโทคีลิงเกอร์สังหารและนำวิญญาณมากักขังในถุงมือ…
โบสถ์รัตติกาลเลี้ยงนางเงือกไว้ด้วยหรือ…
หลังจากกระจ่าง ไคลน์ซักถามต่อ
“เจ้าทำงานรับใช้องค์กรใด หรือได้รับสูตรโอสถมาจากใคร”
ชายใบหน้าพร่ามัวพลันยืนตัวสั่น ตามด้วยการเว้นวรรคสองวินาทีจึงค่อยเล่า
“ลัทธิเร้นลับ”
ลัทธิเร้นลับ? องค์กรใหญ่ระดับนั้น แถมยังครอบครองเส้นทางนักทำนายเป็นหลัก แต่กลับไม่มีนางเงือกเป็นของตัวเอง…?
ไคลน์ซักถามหลังจากครุ่นคิด
“เคยพบหัวหน้าของเจ้าไหม เราหมายถึงซาราธ”
วิญญาณมายาของผู้ไร้หน้าพลันเงียบงันเป็นเวลานาน ก่อนจะแผดเสียงแหลมเล็กเจือความสั่นกลัว
“เคยสิ! ช…ชายคนนั้นไม่ปรกติ! เขาเป็นสัตว์ประหลาดอมตะ!” ขณะเล่าความ ร่างกายของผู้ไร้หน้าค่อย ๆ จางลงทีละนิด ราวกับพร้อมหายไปได้ทุกเมื่อ
นึกแล้วเชียว… ซาราธยังมีชีวิตอยู่!
แต่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมสมาชิกของลัทธิเร้นลับถึงหวาดกลัวมันนัก? ไม่สิ หรือเราควรใช้สรรพนามนำหน้าว่า ‘ท่าน’ แทน?
ไคลน์ซักถามในประเด็นสำคัญอื่นต่อไป
“นอกจากสมบัติของตระกูลอันทีโกนัสในความครอบครองของลัทธิเร้นลับแล้ว เราจะหาสูตรโอสถลำดับสูงของเส้นทางนักทำนายได้จากไหนอีก”
ขณะร่างกายผู้ไร้หน้าใกล้เลือนหายเต็มที มันเปล่งเสียงมอบคำตอบอย่างล่องลอย
“โบสถ์รัตติกาล… มหาวิหารสุขสงบ…”
วิหารศักดิ์สิทธิ์…
ไคลน์ทวนคำพลางนั่งจ้องวิญญาณของผู้ไร้หน้าได้รับอิสรภาพอันเป็นนิรันดร์
วิหารสุขสงบคือศูนย์บัญชาการใหญ่ของโบสถ์รัตติกาล บรรดาเหยี่ยวราตรีต่างเรียกกันว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์
ภายในนั้นมีสูตรโอสถลำดับสูงของเส้นทางนักทำนายถูกเก็บรักษาไว้… ชักอยากรู้แล้วว่า แต่ละโบสถ์ซ่อนความลับแบบไหนไว้ในศูนย์บัญชาการใหญ่ของตัวเองบ้าง…
ไคลน์ถอนหายใจพลางปล่อยให้ของเหลวลักษณะคล้ายกาวหนืดสีเขียวเข้ม ไหลจากหลังมือข้างสวมยุบพองหิวโหย ลงไปบนโต๊ะทองแดงยาว
ไม่กี่วินาทีถัดมา ตะกอนพลังของผู้ไร้หน้าเริ่มก่อตัวเป็นวัตถุดิบโปร่งใสลักษณะคล้ายเยลลีสีเขียวเข้ม บนผิวเยลลีปรากฏใบหน้าอันไม่ชัดเจนจำนวนมาก สลับกันโผล่ออกมาอย่างต่อเนื่องและไม่ซ้ำ ราวกับการนำผ้าสีดำไปคลุมบนใบหน้ามนุษย์หลายคน
หลังจากจ้องมองจนพอใจ ไคลน์พึมพำ
คงต้องให้เดอะเวิร์ลนำตะกอนพลังของผู้ไร้หน้าไปฝากมิสเตอร์แฮงแมนขายต่อ จะเป็นช่างฝีมือหรือผู้วิเศษก็ได้…
จริงอยู่ ไคลน์สามารถหาช่องโหว่ของการตรวจตรารอบบ้านหมายเลข 15 ถนนมินส์ได้ด้วยพลังทำนาย แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดกลับไปเก็บข้าวของจากบ้านหลังดังกล่าวอยู่ดี เพราะนั่นจะไปกระตุ้นความสนใจจากหน่วยพิเศษ
ชายหนุ่มจึงตัดสินใจใช้เงินก้อนสุดท้ายซื้อเสื้อผ้าสำหรับสับเปลี่ยนท่ามกลางท้องทะเล รวมถึงของจำเป็นอื่น ๆ อีกหลายชนิด
มูลค่าโดยรวมของสัมภาระติดตัวชุดใหม่จึงเท่ากับสิบสองปอนด์ถ้วน เมื่อนับรวมอีกแปดปอนด์ค่าทำบัตรยืนยันตัวตนปลอม กระเป๋าสตางค์ของไคลน์จึงบางเฉียบราวกับไม่มีอะไรใส่อยู่ด้านใน
ในส่วนของหุ้นบริษัทจักรยานจำนวนสิบเปอร์เซ็นต์ ไคลน์หาโอกาสแอบไปพบไอเซนการ์ด·สแตนธอนและทำสัญญามอบให้อีกฝ่ายบริหารจัดการหุ้นแทนอย่างอิสระ โดยความสัมพันธ์ของคนทั้งสองมิได้เป็นความลับในสายตาเหยี่ยวราตรีหรือจิตแห่งจักรกลอยู่แล้ว
เราเหลือเงินสดห้าปอนด์และเหรียญทองปอนด์อีกห้าเหรียญ… ค่าเดินทางไปยังหมู่เกาะรอสต์คงไม่ต่ำกว่าสี่ปอนด์ และนั่นเป็นเพียงบัตรโดยสารชั้นสามแสนแออัดคับแคบ…
ไม่เพียงเท่านั้น เรายังต้องใช้อีกสี่ปอนด์เพื่อเดินทางจากหมู่เกาะรอสต์ไปยังหมู่เกาะการ์กัส…
คงต้องรีบขายตะกอนพลังผู้ไร้หน้าโดยด่วน ไม่อย่างนั้นจะไม่มีโอกาสได้โดยสารเรือเดินสมุทรชั้นสองและกินอาหารคุณภาพสูง…
โชคยังดี เป็นเพราะกระเป๋าเดินทางหนังของเอ็มลินถูกเก็บไว้บนห้วงมิติสายหมอกเทามาตลอด เราจึงไม่ต้องหาซื้อใบใหม่…
ไคลน์ก้มหน้าวางแผนการใช้เงินของตนอย่างละเอียด โดยกำลังกังวลว่าตนจะกลับไปยาจกเหมือนกับสมัยเพิ่งเดินทางข้ามโลกมาหมาด ๆ ตอนนั้นต้องอาศัยเงินเดือนอันน้อยนิดของเหยี่ยวราตรีเพื่อประทังครอบครัวและซื้อเสื้อตัวใหม่
ตามปรกติแล้ว ตะกอนพลังโอสถลำดับ 6 จะมีมูลค่าราวสามพันถึงสี่พันปอนด์ แต่ถ้าได้พบคนต้องการ ก็สามารถขายได้ในราคาสูงกว่าเดิมเล็กน้อย…
นอกจากค่าครองชีพหลัก เรายังต้องคำนึงถึงวัตถุดิบโอสถนักเชิดหุ่น และยังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการประกอบพิธีกรรมสำหรับลบจิตกัดกร่อนออกจากดวงตาดำล้วน…
ไคลน์ถอนหายใจยาวพลางนำนาฬิกาพกออกมาตรวจสอบเวลา
เมื่อเห็นว่าใกล้บ่ายสาม ชายหนุ่มส่งเสียงบอกให้เดอะซันเตรียมตัวให้พร้อม
…
หลังจากทัศนวิสัยของฟอร์สกลับมาเป็นปรกติ เธอเริ่มมองเห็นร่างของสามบุคคลบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
สมาชิกใหม่…?
เธอครุ่นคิดด้วยจิตใจไม่ตื่นตระหนก
สำหรับปัจจุบัน หญิงสาวมิได้ใส่ใจการเพิ่มเข้ามาของสมาชิกใหม่ชุมนุมทาโรต์มากนัก เพียงจดจ่ออยู่กับเรื่องราวในกรุงเบ็คลันด์เมื่อสัปดาห์ก่อน
ฟอร์สยังจำได้อย่างชัดเจนว่า มิสเตอร์เวิร์ลเตือนให้มิสจัสติสและตนระวังตัว เหตุการณ์อาจร้ายแรงถึงขั้นเป็นโศกนาฏกรรม
ทางด้านมิสเตอร์ฟูลก็มิได้โต้แย้ง แถมยังบอกอีกว่า ต้นตอของปัญหามาจากองค์ชายเอ็ดซัค·ออกัสตัส
เธอมิได้เคลือบแคลงในตัวมิสเตอร์ฟูล เพียงแต่เข้าใจว่า สถานการณ์รุนแรงย่อมต้องเกิดจากการสั่งสมปัญหาสักระยะ ระหว่างนั้นจึงยังพอมีเวลาสืบสวนหาเบาะแสให้เห็นเค้าลาง แต่ใครจะไปคิดว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นอย่างปุบปับภายในสัปดาห์เดียวเช่นนี้!
แถมองค์ชายเอ็ดซัคก็ถูกรายงานว่าเสียชีวิตภายในหมอกพิษอย่างน่าเศร้า…
คำพูดของท่านเป็นจริงทั้งหมด…
ท่านทราบล่วงหน้า!
หญิงสาวทบทวนเนื้อหาบนหนังสือพิมพ์ฉบับไม่กี่วันก่อน เธอเข้าใจในบางเรื่อง แต่ก็ไม่ทั้งหมด และยังมีบางจุดไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้ ปัจจุบันจึงเกิดความกระสับกระส่ายและหวาดหวั่น
แม้จะเป็นแค่ผู้วิเศษลำดับ 9 แต่เรากลับมีโอกาสทราบล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ใหญ่ระดับภัยพิบัติ รวมไปถึงการเสียชีวิตขององค์ชายเอ็ดซัคและการจากไปของชาวเมืองนับหมื่น…
ทั้งหมดเพียงเพราะเราคือสมาชิกของชุมนุมทาโรต์!
ฟอร์ส เมจิกเชี่ยน กำลังตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นสมาชิกชุมนุมทาโรต์
ถัดมาไม่นาน หญิงสาวได้ยินเสียงทักทายจากมิสจัสติสตามปรกติ เพียงแต่วันนี้ขาดความเบิกบานไปสักเล็กน้อย
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล ท่านช่วยกรุงเบ็คลันด์ไว้ได้อีกแล้วนะคะ”
หือ… อะไรนะ…?
เราเคยถูกช่วยไว้ตั้งแต่เมื่อไร…
เดอะมูน เอ็มลิน นั่งฟังด้วยสีหน้าฉงน
……………………
ราชันเร้นลับ 484 : ไม่สมมาตร
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เดอะมูน เอ็มลิน เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวและเข้าใจว่าหญิงสาวกิริยามารยาทสง่างามฝั่งตรงข้าม กำลังพูดถึงโศกนาฏกรรมหมอกพิษและโรคระบาดภายในกรุงเบ็คลันด์เมื่อไม่กี่วันก่อน
แต่เราได้ยินมาว่า นั่นเกิดจากฝีมือของแม่มดสิ้นหวังผู้ต้องการเลื่อนลำดับ…
ยิ่งไปกว่านั้น เป็นเพราะโบสถ์วายุสลาตันตอบสนองได้รวดเร็ว หมอกควันส่วนใหญ่จึงถูกพัดพาออกไปนอกเมือง แล้วเหตุใดถึงกล่าวอ้างว่าเดอะฟูลได้ช่วยเบ็คลันด์ไว้…
เอ็มลินมีตระกูลผีดูดเลือดคอยหนุนหลัง ข่าวสารรอบตัวจึงมาถึงเร็วกว่ามนุษย์ปรกติ เมื่อลองชั่งน้ำหนักในใจสักพัก มันยังคงเกิดความสับสนและเคลือบแคลง
แม้เอ็มลินจะไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนอันยิ่งใหญ่ซึ่งมันต้องใช้สรรพนามเรียกนำหน้าว่า ‘ท่าน’ เอ็มลินย่อมรู้จักกาลเทศะ จึงมิกล้าปริปากซักถามรายละเอียดออกไป
ขณะเดียวกัน อัลเจอร์อาจอยู่ในทะเลตลอดเวลา แต่มันย่อมทราบข่าวใหญ่อย่างโศกนาฏกรรมหมอกพิษภายในเมืองหลวง
แน่นอน อัลเจอร์ต้องการฟังรายละเอียดเบื้องลึกของเหตุการณ์ เพราะมันเชื่อว่าต้องเป็นความขัดแย้งระหว่างตัวตนระดับทวยเทพอย่างแน่นอน มิฉะนั้น บุคคลอย่างมิสเตอร์ฟูลคงไม่จับตามองเป็นพิเศษ
ไว้เราค่อยถามมิสจัสติสในช่วงแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระ แต่เธออาจไม่แม่นยำในรายละเอียดมากนัก ต้องคำนึงว่า เธอยังไม่ใช่สมาชิกระดับสูงขององค์กรใหญ่…
หึหึ จัสติสเองคงกำลังตื่นเต้นมาก ถึงกับใช้เป็นหัวข้อเปิดประเด็นชุมนุมคราวนี้เลยทีเดียว อาจเป็นการถามหยั่งเชิงแกมขอร้องให้มิสเตอร์ฟูลช่วยเล่ารายละเอียดทั้งหมด…
ได้แต่หวังว่า เราจะได้ฟังคำบอกเล่าจากปากของบุคคลวงในโดยตรง…
หลังจากครุ่นคิดจนพอใจ อัลเจอร์หันไปทางเดอะซันและพบว่า เด็กหนุ่มมิได้ออกอาการวิตกกังวลเหมือนคราวก่อน ตรงกันข้าม อีกฝ่ายกำลังสงบนิ่งและวางมาด จึงเดาได้ไม่ยากว่า ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์หลุดจากวังวนกระแสเวลาสำเร็จแล้ว
เช่นเดียวกันกับออเดรย์ เธอค่อนข้างมั่นใจว่าทีมสำรวจของเดอะซันเดินทางกลับถึงเมืองได้อย่างปลอดภัย อ้างอิงจากสีหน้าและแววตาอันสุขุมของเด็กหนุ่ม
ออเดรย์ถอนหายใจยาว เตรียมรอฟังรายละเอียดการผจญภัยจากปากอีกฝ่ายด้วยสีหน้าคาดหวัง
ถัดมา หลังจากคำนับมิสเตอร์ฟูลอย่างนอบน้อม ออเดรย์หันไปขอบคุณสมาชิกชุมนุมทาโรต์ผู้มีบรรยากาศไม่เป็นมิตร เดอะเวิร์ล สำหรับคำเตือนล่วงหน้าอันแสนมีค่า
“…มิสเตอร์เวิร์ล หากไม่ใช่เพราะคุณแจ้งให้พวกเราเตรียมรับมือ บางที อาจมีผู้คนอีกหลายหมื่นต้องสังเวยในโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันคราวนี้ ด้วยความสัตย์จริง ผมทำไปเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง” ไคลน์บังคับเดอะเวิร์ลยิ้มพลางเปล่งเสียงแหบพร่า
มันขอบคุณจากใจโดยไม่เสแสร้ง เพราะถ้ามิสจัสติสไม่แจ้งให้โบสถ์หลักทราบล่วงหน้าถึงภัยอันตราย หญิงสาวปริศนาผู้ ‘ลบ’ มิสเตอร์ A คงปรากฏตัวออกมาช่วยตนไว้ไม่ทัน เหตุการณ์หลังจากนั้นคงไม่ต้องเล่าถึง
หากมิสเตอร์ A แยกชิ้นส่วนเราออกมากินอย่างเอร็ดอร่อย บางที พลังคืนชีพอาจไม่ทำงานในคราวนี้…
ไคลน์จินตนาการภาพตามอย่างขนลุก
งานเลี้ยงปีใหม่ระหว่างตนกับมิสเตอร์ A อาจเกิดขึ้นจริง แต่เป็นการกินดื่มและฉลองอยู่ฝ่ายเดียวของมิสเตอร์ A!
ทันใดนั้น เดอะฟูลบนเก้าอี้กล่าวเสริมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“เราแทบมิได้ทำสิ่งใดเลย”
“หามิได้ค่ะ! ข้ารับใช้ของท่านมีส่วนอย่างมากในการช่วยเหลือกรุงเบ็คลันด์ ผลงานความสำเร็จของเขาเหนือกว่าผู้ใดทั้งหมด”
ออเดรย์ยกยอจากก้นบึ้งหัวใจ
“คำเตือนของเขาช่วยให้องค์เทพธิดา… ช่วยให้โบสถ์รัตติกาลมีเวลาเตรียมตัวระดมพลหน่วยพิเศษ และออกจัดการกับแม่มดสิ้นหวังได้ทันเวลาก่อนเหตุการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้ ลงเอยด้วย โบสถ์รัตติกาลสามารถยับยั้งมิให้แม่มดบรรพกาลลืมตาตื่น ไม่เพียงเท่านั้น ข้ารับใช้ของท่านยังทำลายพิธีกรรมชั่วร้ายของชุมนุมแสงเหลือ ช่วยขัดขวางมิให้พระผู้สร้างแท้จริงลงมาจุติ”
ออเดรย์ได้รับคำชมเชยอย่างล้นหลามจากเอิร์ลฮอลล์และภรรยา ข้อมูลของเธอมีค่ามากเสียจน เอิร์ลฮอลล์ถึงกับยอมเล่ารายละเอียดการสืบสวนให้ฟังโดยไม่ปกปิด
แน่นอน ในฐานะผู้ปกครอง พวกเขาย่อมไม่ปรารถนาให้บุตรสาวของตนถลำลึกเข้าไปในองค์กรลับมากกว่านี้ คงดีกว่า หากจะเป็นเพียงสมาชิกวงนอกและคอยรวบรวมข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ช่วยเหลือตระกูล โดยไม่พัฒนาพลังไปเกินกว่าลำดับ 7
แม่มดบรรพกาลเกือบลืมตาตื่นขึ้น…
พระผู้สร้างแท้จริงพยายามลงมาจุติ…
กรุงเบ็คลันด์กลายเป็นเมืองอะไรไปแล้ว!?
ทั้งอัลเจอร์และเอ็มลินต่างมีท่าทีตอบสนองคล้ายคลึงกัน แต่สีหน้าภายนอกกลับแตกต่างอย่างชัดเจน คนแรกดวงตาเบิกโพลง รูม่านตาหดลีบ และเผลอขยับร่างกายโดยไม่รู้ตัว
ส่วนคนหลังให้อารมณ์คล้ายกับเตรียมลุกพรวดขึ้นมาแหกปากอย่างตื่นตระหนก
พระแม่ธร… ไม่สิ องค์จันทรา! เบ็คลันด์กลายเป็นเมืองอันตรายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร… เทพมารสองตนพยายามปรากฏตัวบนโลกขณะเกิดโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน!
เด็กสาวคนนั้นอาจเล่าความเท็จ… ถึงแม้มิสเตอร์ฟูลจะเป็นตัวตนระดับเทพจริง แต่การสร้างความขัดแย้งกับเทพสองตนพร้อมกัน… ถ้าสิ่งนี้ไม่เรียกว่ารนหาความตาย แล้วจะให้เรียกอะไรได้อีก…
หรือว่าท่านคือเทพตัวจริง ผู้กำลังเรียกคืนพลังเพื่อกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม?
ไม่สิ บางที ท่านอาจมีพวกพ้องทวยเทพหนุนหลังเป็นจำนวนมาก โดยมิได้แจ้งให้มดปลวกอย่างพวกเราทราบ… นี่คงเป็นเหตุผลให้ท่านบรรพชนมอบวิวรณ์ พร้อมกับกำชับให้เราสวดภาวนาถึงท่าน…
ยิ่งเอ็มลินครุ่นคิด หัวใจมันก็ยิ่งเต้นแรงอย่างผิดจังหวะ แต่ไม่ว่าจะตรึกตรองนานสักเพียงใด ก็ยากจะหาคำตอบมายืนยันสมมติฐานของตัวเองได้
เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดมิได้ถูกเรียกว่า ‘แวมไพร์’ เพราะหัวใจของพวกมันไม่เต้น
ในความเป็นจริง หัวใจผีดูดเลือดยังคงยุบพองตามปรกติ เพียงแต่เต้นในจังหวะช้ากว่ามนุษย์มาก โดยขณะเดียวกัน หัวใจยังถือเป็นจุดอ่อนร้ายแรงซึ่งผีดูดเลือดทุกตนพยายามปกป้องอย่างสุดความสามารถ
คิดไว้ไม่มีผิด… มิสเตอร์ฟูลให้ความสนใจมากเป็นพิเศษเพราะมีเบื้องหลังซับซ้อนแบบนี้นี่เอง… แต่ท่านจะได้สิ่งใดหากขัดขวางแผนคืนชีพของเหล่าเทพมารสำเร็จ?
อัลเจอร์ก้มหน้าถอนหายใจ
ทางด้านฟอร์ส เธอกำลังหวาดผวาแกมประหลาดใจ หญิงสาวไม่คิดมาก่อนว่า โศกนาฏกรรมมหาหมอกควันซึ่งคร่าชีวิตชาวเมืองไปนับหมื่น ความจริงยังมีเบื้องหลังอันน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิมแอบซ่อนอยู่!
ถ้าถูกหยุดไว้ไม่ทัน เมืองเบ็คลันด์ทั้งหมดจะถูกทำลาย และเรากับซิลคงไม่มีชีวิตรอด…
ฟอร์สกลืนน้ำลายคำใหญ่
ด้านออเดรย์ก็กำลังคิดแบบเดียวกับฟอร์ส หลังจากโศกนาฏกรรมจบลง สตรีชนชั้นสูงอย่างเธอเริ่มตระหนักถึงความจริงอันโหดร้ายหนึ่งเรื่อง :
โลกอันสงบสุขเป็นเพียงเปลือกนอกของฟองสบู่ ชะตากรรมแท้จริงของคนธรรมดาล้วนอยู่ในมือทวยเทพ การวิวาทเพียงเล็กน้อยของตัวตนระดับสูงจะทำให้ฟองสบู่แตกพร้อมกับการหายไปของทุกสรรพสิ่ง…
เราสามารถกล่าวได้ว่า ทั่วทั้งอาณาจักร หรือแม้กระทั่งทั่วโลก ดำรงอยู่ได้ด้วยสมดุลระหว่างพลังของเทพแต่ละตน และสมดุลดังกล่าวก็ช่างเปราะบางเสียเหลือเกิน…
ทุกครั้งเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ทำนองนี้ ออเดรย์จะรู้สึกราวกับมีคลื่นความเศร้าโศกสาดกระทบจิตใจในส่วนลึก
ด้านไคลน์กำลังอิ่มเอมใจเมื่อทราบว่า มีผู้คนจำนวนหนึ่งเห็นคุณค่าของการเสี่ยงชีวิตของตน
มันใช้เสียงของเดอะฟูลกล่าว
“น่าเสียดาย เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เขาต้องออกห่างจากเบ็คลันด์สักระยะ”
ข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูลจะไม่อยู่ในกรุงเบ็คลันด์ชั่วคราว?
ออเดรย์ยืนขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะคำนับ
“รบกวนฝากคำขอบคุณของดิฉันไปถึงเขาด้วยค่ะ”
ไคลน์รักษามาดองอาจโดยไม่กล่าวคำใด ทำเพียงพยักหน้ารับแผ่วเบา
ทันใดนั้น ออเดรย์เสริม
“ดินฉันต้องขออภัยเป็นอย่างสูง แต่เนื่องจากสามโบสถ์หลักและกองทัพกำลังเข้มงวดในการตรวจตราทั่วกรุงเบ็คลันด์ จึงไม่มีโอกาสได้รวบรวมไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ตามคำสัญญา ช่วยรออีกสักสัปดาห์นะคะ”
“เข้าใจได้” ไคลน์ตอบเสียงเรียบ
ได้ยินบทสนทนาดังกล่าว ฟอร์สสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมกับรีบมองไปทางหัวมุมโต๊ะทองแดงยาว
“ท่านเดอะฟูล ดิฉันรวบรวมไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ได้สามหน้าค่ะ”
ไม่เลว… ยิ่งมีสมาชิกมากขึ้น ช่องทางข้อมูลก็ยิ่งเพิ่มขึ้นด้วย ทุกสิ่งกำลังไปได้สวย…
ไคลน์พยักหน้า
“ทำได้ดี”
ไดอารีจักรพรรดิโรซายล์? อะไรอีกล่ะนั่น…
เอ็มลินรู้สึกราวกับตนใช้คนละภาษากับสมาชิกคนอื่นของชุมนุม
ท่ามกลางการจ้องมองด้วยสายตาสุดฉงนจากแวมไพร์หนุ่ม ฟอร์สก้มหน้า ‘เขียน’ ไดอารีสามหน้าและส่งให้มิสเตอร์ฟูล
ทันใดนั้นเอง ไคลน์เพิ่งนึกได้ว่าตนลืมแนะนำสมาชิกใหม่ จึงเผยรอยยิ้มมุมปากพร้อมกับหันไปมองทุกคน
“ทางนี้คือสมาชิกใหม่ มิสเตอร์มูน… มิสเตอร์มูน การชุมนุมแห่งนี้มีชื่อว่าชุมนุมทาโรต์ สมาชิกประกอบไปด้วย…”
มิสเตอร์มูนหรอกหรือ… เราเคยคิดว่าไพ่เดอะมูนจะเป็นของผู้หญิงเสียอีก…
ออเดรย์ทักทายอย่างสุภาพพลางวิเคราะห์
และในทางกลับกัน เอ็มลินกำลังตั้งข้อสงสัยว่า สมาชิกชุมนุมทาโรต์เช่นแฮงแมนและจัสติส พวกเขาเป็นมนุษย์จริง หรือเป็นสัตว์วิเศษในรูปร่างมนุษย์กันแน่ รวมไปถึงคำถามว่า คนเหล่านี้อยู่บนเส้นทางใดบ้าง สังกัดองค์กรลับใด และเป็นมิตรกับผีดูดเลือดหรือไม่
ไคลน์ไม่แยแสสายตาระแวงซึ่งกันและกันภายในหมู่สมาชิก ทำเพียงเพ่งสมาธิอ่านเนื้อหาบนไดอารีในมืออย่างตั้งใจ
“11 กุมภาพันธ์ วันนี้เราบังเอิญได้พบกับความลับอันน่าตกตะลึงของตระกูลเซารอนเข้าจนได้ ฮะฮะฮะ! อยากจะขำให้ฟังร่วงหมดปาก! ฮะฮะฮ่าฮ่า! กลายเป็นว่า เส้นทางนักล่าในความครอบครองของพวกมัน จะมีการเปลี่ยนแปลงเพศเมื่อถึงลำดับ 4 เพศชายจะยังคงเดิม แต่เพศหญิงต้องกลายเป็นชาย! หายสงสัยแล้วว่า ทำไมคนรู้จักของเราในตระกูลเซารอนถึงได้เป็นเพศชายเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะบรรดาครึ่งเทพ! ‘อัศวินเลือดเหล็ก’ ช่างเป็นชายชาตรีสมกับชื่อของโอสถ! ฮะฮะฮ่าฮ่า!”
“ฮะฮะ! ถ้าไม่เพราะเรื่องนี้ถือเป็นความลับละเอียดอ่อน เราคงหาโอกาสกลั่นแกล้งฟลอเร็นในการพบกันคราวหน้า ว่าอย่าได้ใจไปนักเมื่อตระหนักว่าตนมีใบหน้าคล้ายคลึงบรรพบุรุษโด่งดังในอดีต เพราะ ‘เขา’ อาจเคยเป็น ‘เธอ’ มาก่อน! โอสถของโลกนี้ช่างมากมายไปด้วยกับดัก หวังว่าเส้นทางนักปราชญ์ของเราจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงพิสดารในลำดับสูง เราไม่ต้องการเลือกภายหลังว่า จะค้างอยู่ลำดับเดิมตลอดกาล หรือยอมเปลี่ยนเป็นเพศหญิงและบอกลา ‘น้องชาย’ อย่างถาวร”
ความคิดแวบแรกในหัวไคลน์หลังจากอ่านมาถึงตรงนี้ :
จักรพรรดิ… คุณไม่ต้องกังวลว่าจะกลายเป็นเพศหญิง แต่คุณควรกังวลว่า ตัวเองเคยนอนกับแม่มดมาแล้วกี่คน คงไม่ใช่แค่คนหรือสองคนแน่…
ตรงตามสมมติฐานของเรา มีเส้นทางสำหรับเปลี่ยนเป็นเพศชายอยู่จริง และยังเป็นหนึ่งในการคาดเดาของเราคราวก่อน…
‘นักล่า’ คือตัวแทนของการต่อสู้ จึงมีฤทธิ์เปลี่ยนให้หญิงกลายเป็นชายเมื่อถึงลำดับ 4…
แต่แบบนี้ก็ยิ่งน่าแปลก เพราะเส้นทางแม่มดสามารถเปลี่ยนเพศได้ตั้งแต่ลำดับ 7… ทำไมสองเพศถึงมีการเปลี่ยนแปลงคนละลำดับกัน แถมยังห่างกันมาก…
ไคลน์เริ่มตระหนักถึงความบิดเบี้ยวและขาดเหตุผลของโลกผู้วิเศษ ทุกองค์ประกอบล้วนไม่สมมาตรและเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
หรือกำลังจะบอกว่า โลกใบนี้มีชะตากรรมต้องถูกครอบงำโดยความบิดเบี้ยว โกลาหล บ้าคลั่ง และไม่สมมาตร?
ชายหนุ่มพยายามไม่ขมวดคิ้วให้ใครเห็น
“12 กุมภาพันธ์ แบบนี้ไม่ดีแน่ เรายับยั้งชั่งใจตัวเองไม่ได้เลย คงได้หลุดขำเข้าสักวันขณะกำลังยืนคุยกับฟลอเร็น วะฮะฮะฮ่าฮ่า! 15 กุมภาพันธ์ ปืนใหญ่พิสัยไกลรุ่นดัดแปลงเสร็จสมบูรณ์แล้ว เราลงมือทำทั้งการออกแบบและควบคุมการผลิต ประสิทธิภาพอาจด้อยกว่าในจินตนาการเล็กน้อย แต่ปัญหาก็มิได้ปรากฏออกมาเด่นชัด ถ้าเริ่มผลิตเป็นจำนวนมากเมื่อไร เราจะแสดงให้โลกเห็นว่ากลศึกสำคัญกับสงครามมากเพียงใด! เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง เราจะจัดงานเลี้ยงอย่างหรูหราขึ้นในคฤหาสน์ และชวนพวกปากเสียซึ่งเคยปรามาสเราไว้ต่างๆ นานา พวกมันจะรู้สึกเหมือนกับถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง!”
จักรพรรดิยังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่เปลี่ยน…
ไคลน์เปิดไปยังหน้าสองของไดอารี
“5 พฤษภาคม องค์กรลับห้ามเอ่ยนามได้จัดการชุมนุมขึ้นอีกครั้ง เราทึ่งเสมอเมื่อพวกเขารับสมาชิกใหม่เข้ามา แทบไม่อยากเชื่อว่าบุคคลระดับนี้จะมารวมตัวอยู่ในองค์กรเดียวกัน มันบ้ามาก นี่มันระดับปรากฏการณ์… ไม่สิ… ระดับปาฏิหาริย์! หลังจากรับบทผู้เฝ้ามองมาสักพัก เราตัดสินใจซักถามสมาชิกภายในชุมนุม คำถามก็คือ เมื่อเทียบกันระหว่างลำดับ 0 ของทุกเส้นทางบนศิลาเย้ยเทพ เหตุใดเส้นทาง ‘นักบวชสีชาด’ ถึงได้ฟังดูธรรมดานัก ชื่อชั้นมิได้องอาจหรือดุดันสมราคาเทพเหมือนกับเส้นทางอื่น สุภาพบุรุษสูงวัยด้านข้างเรามอบคำตอบเป็นคนแรก เขากล่าวว่า ‘สีชาด’ สื่อถึงภาวะนองเลือดของสงคราม และนักบวชหมายถึงผู้ชำนาญการประกอบพิธีกรรม แต่ใครบางคนคัดค้าน เขากล่าวว่า นักบวชหมายถึงผู้ศรัทธาอย่างแรงกล้าในตัวพระผู้สร้างต้นกำเนิดต่างหาก เราตัดสินใจโน้มตัวไปกระซิบถามชายชราด้านข้างว่า เขาชื่ออะไร แม้จะเป็นสมาชิกมาสักพักแล้ว แต่เรายังจำใบหน้าและชื่อสมาชิกได้ไม่ครบทุกคน เรียกว่าจำได้เพียงส่วนน้อยเท่านั้น”
“สุภาพบุรุษสูงวัยยิ้มและตอบกลับมา… เฮอร์มิส! ใช่แล้ว เฮอร์มิส! หูของเราไม่ได้ฝาด! เฮอร์มิสผู้สร้างภาษาเฮอร์มิสโบราณ! เฮอร์มิสผู้เป็นบิดาแห่งศาสตร์เร้นลับของเผ่าพันธุ์มนุษย์คนนั้น!”
……………………
ราชันเร้นลับ 485 : เต็มไปด้วยข้อมูล
โดย
Ink Stone_Fantasy
เฮอร์มิส? บุคคลในตำนานของมนุษย์…
ไคลน์ขมวดคิ้ว
ด้วยความรู้ความเข้าใจทางด้านศาสตร์เร้นลับอันเข้มข้น มันพอจะทราบว่าชายชราผู้สร้างภาษาเฮอร์มิสโบราณ โด่งดังและรุ่งเรืองในช่วงใดของประวัติศาสตร์โลก
ยุคสมัยที่สอง ขณะคนยักษ์ยังปกครองผืนดินและมังกรปกครองผืนฟ้า
หากข้อมูลไม่ผิดพลาด ดูเหมือนชื่อเสียงของเฮอร์มิสจะโด่งดังขึ้นมาก่อนการปรากฏตัวของเทพสงครามและพระแม่ธรณีเสียอีก
หรือก็คือ หากนำเรื่องนี้ไปถามเดอะซันน้อย ผู้ไม่เคยรู้จักเจ็ดเทพจารีตจนกระทั่งได้เข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ เขาอาจเคยได้ยินชื่อของเฮอร์มิสมาบ้าง… ไว้ค่อยให้เดอะเวิร์ลถามเพื่อความแน่ใจภายหลัง…
ถ้าอย่างนั้น สุภาพบุรุษสูงวัยแห่งสภานักสิทธิ์สนธยา จะต้องมีประสบการณ์ขณะมนุษย์กำลังลองผิดลองถูกเกี่ยวกับโอสถอย่างไร้ทิศทาง จุดประสงค์เพื่อพยายามไขความลับของโลกผู้วิเศษให้กระจ่าง
จนกระทั่งวันหนึ่ง เฮอร์มิสอาศัยรากฐานของภาษามังกรและคนยักษ์เป็นต้นแบบ และทำการสร้างภาษาเวทมนตร์ให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นมาเป็นครั้งแรก
ในภายหลัง เฮอร์มิสคงมีโอกาสได้เห็นศิลาเย้ยเทพแผ่นแรกด้วยตาตัวเอง
จากนั้นก็มีชีวิตยืนยาวมาจนถึงยุคสมัยของจักรพรรดิโรซายล์ และบางที อาจอยู่มาจนถึงยุคสมัยปัจจุบันของเรา!
ไม่ต่างอะไรกับซากดึกดำบรรพ์เดินดิน!
อารมณ์หลากหลายกำลังท่วมท้นจิตใจชายหนุ่ม ในทางกลับกัน ไคลน์เริ่มตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของสภานักสิทธิ์สนธยา
พวกมันมีกระทั่งเฮอร์มิสเป็นสมาชิก!
เฮอร์มิสยิ่งใหญ่มากเพียงใดดูได้จาก องค์กรลับส่วนใหญ่ รวมถึงเจ็ดโบสถ์หลัก ก็มักใช้ภาษาเฮอร์มิสโบราณในพิธีกรรมบ่อยครั้ง!
สภานักสิทธิ์สนธยาช่างลึกลับ ทรงพลัง และอยู่คนระดับโดยสิ้นเชิง…
ไคลน์ถอนหายใจเงียบงัน
ชายหนุ่มกำลังอิจฉาพวกมัน มิได้อิจฉาเพราะอีกฝ่ายมีเฮอร์มิสเป็นสมาชิก แต่กำลังอิจฉาว่า สภานักสิทธิ์สนธยามีศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองในครอบครอง!
แบบนี้เอาเปรียบกันชัดๆ …
ไคลน์ถอนหายใจอีกครั้งเมื่อตระหนักว่าชุมนุมทาโรต์ของตนมีไพ่เย้ยเทพเพียงใบเดียวจากทั้งหมดสี่สิบสองเส้นทางสู่การเป็นเทพ
ชายหนุ่มดึงสมาธิกลับมาบนหน้ากระดาษไดอารีอีกครั้ง ก่อนจะอ่านรวดเดียวให้จบ
“โอ้สวรรค์! ชายชราใบหน้าแสนธรรมดาด้านข้างเรา แท้จริงแล้วคือเฮอร์มิส ตำนานผู้ยังมีลมหายใจจากยุคสมัยที่สอง ยุคแห่งความมืด! และมีชีวิตยืนยาวมาจนถึงยุคสมัยที่ห้าของเรา! คิดถูกจริงๆ กับการตัดสินใจเข้าร่วมชุมนุมลับแห่งนี้! เรากำลังมองเห็นอนาคตอันสดใสของตัวเองอย่างแจ่มชัด ไม่มีสิ่งใดอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ได้ดีไปกว่าเครื่องหมายตกใจสามอันอีกแล้ว!!!”
“ชักสงสัยแล้วว่า คนใหญ่คนโตระดับซากดึกดำบรรพ์มากมายในชุมนุม ทั้งหมดล้วนเชื่อในการมาถึงของยามสนธยาจริงหรือ? ไม่ใช่แน่ เพราะอย่างน้อยเราก็ไม่ใช่! จริงอยู่ อาจมีบางส่วนเชื่อในอุดมคติดังกล่าวอย่างแรงกล้า รอคอยให้พระผู้สร้างต้นกำเนิดลืมตาตื่นขึ้น หวังให้การแทรกแซงจากฝ่ายตน นำพาโชคชะตาไปยังจุดหมายปลายทางในฝันเข้าสักวัน หึหึ… แต่จากความเข้าใจของเรา กรณีของท่านไม่น่าจะเรียกว่า ‘ลืมตาตื่น’ แต่เป็นการ ‘คืนชีพ’ มากกว่า แต่ ‘ผู้เชื่อ’ ไม่น่าจะมากไปกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด เพราะส่วนมากมักมีเป้าหมายของตัวเองชัดเจน หากไม่ใช่คนทะเยอทะยานเหมือนเรา ก็ต้องเป็นพวกเจ้าเล่ห์วางแผนชั่วร้ายบางอย่างอยู่… จริงสิ… มีบางอย่างไม่สมเหตุสมผล เราตัดสินใจเข้าร่วมชุมนุมทันทีหลังจากถูกชวนแค่ครั้งเดียว แทบไม่มีการใคร่ครวญให้รอบคอบก่อน…”
“จริงอยู่ คนชวนอาจเล่าให้ฟังว่า สมาชิกส่วนใหญ่ลงคะแนนให้เราเข้าร่วมมากกว่าสองในสาม เราจึงถูกชวนเข้ามาเป็นสมาชิก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก สาระสำคัญคือ ทำไมทางนั้นถึงไม่เกรงกลัวว่าเราจะไม่ศรัทธาในอุดมคติ แถมยังไม่เคยบังคับให้เรามีความเชื่อแบบเดียวกันสักครั้ง พวกเขาใช้สิ่งใดเป็นหลักประกันว่าเราจะไม่มีเจตนาร้ายต่อองค์กร? หรือว่ามีตัวตนระดับเทวทูตบนเส้นทางผู้ชมแฝงตัวอยู่? บางที ท่านคนนั้นอาจแอบฟังการชี้นำทางใจภายในตัวเรา และบังคับให้เราเอ่ยวาจาสาบานโดยไม่รู้ตัว? แถมทางองค์กรยังมั่นใจเสียเต็มประดาว่า จะไม่มีสมาชิกคนใดสามารถปกปิดเจตนาร้ายต่อองค์กรได้อย่างมิดชิด เป็นไปได้มากทีเดียว…”
“เมื่อตระหนักถึงเรื่องดังกล่าว เราพลันเกิดความสั่นกลัวจากก้นบึ้งทันที และเหนือสิ่งอื่นใด หากไม่ได้รับอนุญาต สมาชิกทุกคนห้ามกล่าวถึงชื่อขององค์กรบนโลกภายนอกโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะถูก ‘รับรู้’ ทันที พวกเขายกตัวอย่างรายชื่อบุคคลผู้เคยฝ่าฝืนและถูกจำกัดทิ้ง… และการเขียงลงกระดาษด้วยภาษาใหม่ก็ไม่มีข้อยกเว้น! พวกเขาใช้วิธีใด? รีบคิดเข้าสิ! ถ้าจำไม่ผิด… ลำดับ 2 ของเส้นทางผู้ชมจะมีชื่อว่า ‘ผู้เห็นแจ้ง’ ส่วนลำดับ 1 มีชื่อว่า ‘นักประพันธ์’ สมาชิกคนใดของชุมนุมเข้าข่ายโอสถสองชนิดนี้บ้าง? นึกออกแล้ว ผู้ต้องสงสัยคนแรก ไม่ใช่ใครนอกจากเจ้าของชุมนุมเสียเอง…”
“จริงสิ ยังมีอีกหนึ่งโอสถเข้าข่ายต้องสงสัย ลำดับ 0 แห่งเส้นทางผู้ชม นักสร้างฝัน! แต่เราไม่เชื่อว่าจะมีใครในหมู่สมาชิกเป็นถึงลำดับ 0 ไม่อย่างนั้น องค์กรของเราไม่มีความจำเป็นต้องหลบซ่อนอยู่หลังฉาก แต่ไม่แน่ว่า ทางองค์กรอาจมีสมบัติเทพซึ่งพลังใกล้เคียงลำดับ 0 อยู่ในมือ หรือไม่ก็ครอบครอง ‘เอกลักษณ์’ ของบางเส้นทางไว้ บางที พลังในการ ‘รับรู้’ ขณะชื่อองค์กรถูกกล่าวถึงบนโลกด้านนอก อาจมาจากดินแดนความฝันประหลาดอันสมจริงแห่งนี้ ดินแดนซึ่งเชื่อมต่อชายฝั่งตะวันตกและตะวันออกของทวีปเข้าด้วยกัน แต่ในตอนนั้น เรามิได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เลย มัวแต่ตกตะลึงถึงชายชราเฮอร์มิส พลางซักถามความคาใจด้วยความอยากรู้อยากเห็น คำถามมีอยู่ว่า เหตุใดมนุษย์ถึงเลือกใช้ ‘อำนาจ’ ของพวกท่านมาอธิบายลักษณะเฉพาะของเทพแต่ละองค์ โดยมิสเตอร์เฮอร์มิสได้มอบคำตอบน่าสนใจกลับมาอีกครั้ง”
เมื่ออ่านถึงจุดนี้ ไคลน์พบว่าไดอารีหน้าสองจบลงแล้ว
ชายหนุ่มรีบพลิกไปยังหน้าถัดไป แต่จากนั้นก็ต้องรีบพลิกกลับ เพราะเนื้อหาของหน้าสามมิได้สอดคล้องกับแผ่นแรกและแผ่นสองเลยสักนิด
…คำตอบอยู่ไหน?
โรซายล์เขียนไว้ในไดอารีหน้าติดกันซึ่งเรายังไม่เคยอ่าน หรือเกิดความขี้เกียจเขียนเพราะมันยาวเกินไป? หรือมองว่าไม่สำคัญจนไม่จำเป็นต้องจดบันทึก?
ไคลน์กำลังเกรี้ยวกราดภายใน มันอยากเดินทางข้ามโลกกลับไปหาโรซายล์และบีบคอจนกว่าอีกฝ่ายจะยอมบอกคำตอบของเฮอร์มิส!
แน่นอน อากัปกิริยาของเดอะฟูลยังคงสุขุมเยือกเย็น ตรงข้ามกับอารมณ์คุกรุ่นภายใน
ลำดับ 0 เส้นทางผู้ชมชื่อว่า ‘นักสร้างฝัน’ นับว่ายังสอดคล้องกับมังกรจินตภาพ เราเคยคิดว่าลำดับ 0 จะชื่อ ‘มังกร’ เสียอีก…
นักสร้างฝันฟังดูมีกลิ่นอายความเป็นมนุษย์ค่อนข้างมาก หมายความว่า การดื่มโอสถจะไม่ทำให้ผู้วิเศษกลายเป็นมังกร…
ลำดับ 1 นักประพันธ์ แค่ฟังจากชื่อโอสถ ก็ทำให้นึกถึงปากกาขนนก 0-08 ทันที…
สภานักสิทธิ์สนธยาจัดชุมนุมผ่านดินแดนความฝันอันสมจริง ซึ่งเชื่อมต่อชายฝั่งตะวันออกและตะวันตกของทวีปเข้าด้วยกัน?
คำอธิบายแฝงกลิ่นอายความ ‘อัศจรรย์’ เช่นนี้ทำให้เราขนลุกไปทั้งตัว ทำไมถึงได้ฟังดูเหมือนห้วงมิติเหนือสายหมอกเทานัก…
ไคลน์พยายามข่มอารมณ์ พลางตระหนักว่าไดอารีหน้าเมื่อครู่ ได้มอบข้อมูลมหาศาลมากเพียงใด
ประการแรก มันได้รู้จักกับนักปราชญ์จากบรรพกาล เฮอร์มิส และทราบด้วยว่า อีกฝ่ายอาศัยในยุคสมัยเดียวกับโรซายล์เป็นอย่างน้อย เป็นช่วงเวลาราวหนึ่งถึงสองร้อยปีก่อน
ถัดมา เมื่อโรซายล์อธิบายเกี่ยวกับการห้ามเอ่ยถึงองค์กรดังกล่าวบนโลกภายนอก ไคลน์มั่นใจทันทีว่านี่คือสภานักสิทธิ์สนธยา
และสุดท้าย มันได้ทราบชื่อจริงของโอสถลำดับ 0 1 และ 2 ของเส้นทางผู้ชม จริงอยู่ ความรู้ดังกล่าวอาจยังไม่เกิดประโยชน์ทันที แต่คงมีโอกาสใช้เข้าสักวัน หรืออย่างน้อยก็เสริมให้องค์ความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับของตนเข้มแข็งขึ้น
ในอนาคต มิสจัสติสอาจซักถามก็เป็นได้… ความอยากรู้อยากเห็นของเธอน่าทึ่งเสมอ…
ไคลน์ไม่มีทางเลือกนอกจากสลัดความเสียดายในคำตอบของเฮอร์มิสทิ้ง และบังคับตัวเองให้อ่านไดอารีหน้าสุดท้าย
ขณะชายหนุ่มกำลังนั่งอ่าน ออเดรย์แอบใช้สายตาสอดส่องเป็นระยะ จนกระทั่งเธอพบว่าไพ่จักรพรรดิมืด ซึ่งมิสเตอร์ฟูลมักวางบนโต๊ะทองแดงยาวด้านหน้าเสมอ ยามนี้กลับหายไปจากตำแหน่งเดิม!
ท่านมอบให้ข้ารับใช้ของตนเพื่อเป็นการช่วยเหลือ หรือนำไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งของมีค่าชนิดอื่นแล้ว?
ออเดรย์กะพริบตาถี่ ภายในใจพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง
หญิงสาวเชื่อว่าสมมติฐานแรกมีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะลำพังข้ารับใช้เดอะฟูล คงไม่มีพลังมากพอจะทำลายพิธีกรรมอัญเชิญพระผู้สร้างแท้จริงด้วยตัวเองได้แน่
น่าเสียดาย ท่านพ่อไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเอกสารการสืบสวนของเหยี่ยวราตรี ไม่อย่างนั้น เราคงได้ทราบว่าข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูลเป็นใคร และมีหน้าตาเป็นเช่นไร…
หืม… ส่วนสูงปานกลาง แต่งกายคล้ายชาวโลเอ็น สวมเสื้อคลุมกระดุมสองแถวยอดนิยม และอยู่ใกล้กับคฤหาสน์กุหลาบแดงขณะเกิดเหตุ เราสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นการสืบสวนขยายผลได้…
แต่นั่นอาจทำให้มิสเตอร์ฟูลไม่พอใจ หากท่านต้องการเปิดเผยตัวตนข้ารับใช้ ท่านคงยอมบอกด้วยตัวเองไปนานแล้ว… ออเดรย์ ห้ามคิดเยอะ! ห้ามสงสัย! บางที เธออาจได้พบกับเขาในอนาคต…
หญิงสาวเบือนหน้ากลับมา
ขณะเดียวกัน ไคลน์เกือบหลุดขำเนื่องจากไดอารีหน้าสุดท้ายเต็มไปด้วยข้อความติดตลก
“16 มีนาคม เรามีโอกาสได้ร่วมงานเลี้ยงของชนชั้นสูงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดินทางข้ามมิติมายังโลกใบนี้ บรรดาคุณหนูและคุณหญิงแจ่มกว่าในจินตนาการของเรามากทีเดียว! ถ้าจำไม่ผิด เราเคยอ่านเจอในนิยายว่า บรรดาชนชั้นสูงของยุคกลางมักไม่ชอบอาบน้ำ โดยจะอาศัยกลิ่นของน้ำหอมช่วยดับกลิ่นอับในร่างกายแทน แถมยังเหยียบอุจจาระบ่อยครั้งเมื่อเดินทางออกจากบ้าน และมักนำครีมซึ่งมีส่วนผสมของโลหะหนักเป็นพิษทาใบหน้าตัวเองบ่อยครั้ง แต่ผิดคาด ขุนนางบนโลกนี้กลับทำตัวตรงกันข้าม พวกหล่อนชื่นชอบการอาบน้ำเป็นชีวิตจิตใจ ชื่นชอบน้ำหอมเย้ายวนและทรงเสน่ห์ มีผิวพรรณเป็นเลิศ แถมยังมีหุ่นดีอย่างน่าเหลือเชื่อ เกือบทุกคนเข้าข่ายสเปคของเราหมด!”
“เราเอาชนะความเขินอายและเริ่มมีบทสนทนาอันยอดเยี่ยมกับบุตรสาวของไวเคาต์เดลิโรส พวกเราคุยกันในเรื่องผลงานและคุณงามความดีของบรรพบุรุษ พูดคุยเกี่ยวกับดินแดนในการครอบครองของตระกูล และบรรดาศักดิ์ขุนนางในปัจจุบันของเรา จากนั้น เธอขอตัวโดยให้เหตุผลว่า เริ่มหิวและต้องการหาอะไรรองท้อง เราไม่ได้เก็บไปคิดมากนัก และจำใส่ใจไว้เสมอว่า การจีบสาวของค่อยเป็นค่อยไป แต่เมื่อเดินลงบันไดไปชมสวนดอกไม้ชั้นล่าง เรากลับได้พบหล่อนกำลังเปลือยกายสมสู่อยู่กับบุตรชายคนโตของเอิร์ลฟลอเนอร์! เชี่ย! บัดซบ! พวกมันเพิ่งเคยพบหน้ากันเป็นครั้งแรกไม่ใช่รึไง! ทำไมกัน! ทำไม!? ตัวข้าฮวงเทา โรซายล์·กุสตาฟผู้นี้ ยังหล่อเหลาไม่มากพอ ยังมีคารมคมคายไม่ดีพออย่างนั้นหรือ? แต่โชคยังดี ดูเหมือนมาดามจะยังพอมีใจให้เราบ้าง สัมผัสได้จากสายตาและกิริยาท่าทางเย้ายวนของเธอ หึหึ…”
ดูเหมือนโรซายล์ในช่วงแรกจะยังไม่ชินกับขนบธรรมเนียมสุดพิสดารของอินทิส…
จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ ตระกูลกุสตาฟเริ่มอยู่ในช่วงขาลง บรรดาศักดิ์ถูกถอดถอนจนเหลือเพียงบารอน และมีดินแดนในการครอบครองไม่มาก แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อโรซายล์เริ่มสร้างชื่อ…
ไม่เคยคิดมาก่อนว่าโรซายล์จะเคยมีประสบการณ์ถูกปาดหน้าแย่งสาวกับเขาเหมือนกัน…
เดี๋ยวสิ ถ้าจำไม่คิด โรซายล์เคยเขียนไว้ในไดอารีแผ่นแรกๆ ว่า เขามีโอกาสได้ ‘งาบ’ เคาต์เทสฟลอเนอร์…
เอาจนได้สินะ ขอคารวะ…
ไคลน์ก้มศีรษะอ่านต่ออีกสองย่อหน้า
ชีวิตประจำวันในคฤหาสน์ของโรซายล์มิได้หวือหวาหรือแฝงไว้ด้วยข้อมูลเป็นประโยชน์ รายละเอียดส่วนมากเกี่ยวกับความต้องการอยากออกไปล่าสัตว์ คิดถึงอาหารโลกเก่า ความปรารถนาจะครอบครองพลังพิเศษ และต้องการมีสาวใช้คนสวยหน้าอกใหญ่คอยปรนนิบัติข้างกาย
ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้ เสกไดอารีทั้งสามแผ่นเลือนหายไปจากฝ่ามือ และเงยหน้ากล่าวกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม
“เชิญตามสบาย”
ออเดรย์รีบหันไปมองเดอะซันฝั่งตรงข้าม
“คุณและทีมสำรวจหลุดพ้นจากวังวนกระแสเวลาแล้วใช่ไหม”
เดอร์ริคพยักหน้ารับอย่างซื่อตรงและหันไปทางตำแหน่งหัวโต๊ะ
“ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ขอบคุณสำหรับคำนำแนะอันแสนมีค่า คำบอกใบ้ของท่านช่วยให้ผมค้นพบกุญแจสำคัญเกี่ยวกับเทวทูตโชคชะตาบนจิตรกรรมฝาผนังซึ่งมีข้อความ ‘กุหลาบไถ่บาป’ สลักอยู่ สิ่งนี้ช่วยให้ท่านประมุขทำลายวังวนกระแสเวลาสำเร็จ”
อะไรคือเทวทูตโชคชะตา…?
ไม่เข้าใจเลยสักนิด…
เดอะฟูล ไคลน์ ตอบกลับด้วยเสียงขรึมแม้จะกำลังสับสน
“ทำได้ไม่เลว”
……………………
ราชันเร้นลับ 486 : การคาดเดาของไคลน์
โดย
Ink Stone_Fantasy
เอ็มลินกำลังประหลาดใจสุดขีด
ถ้อยคำจำพวก ‘กุหลาบไถ่บาป’ ‘เทวทูตโชคชะตา’ และ ‘ทำลายวังวนกระแสเวลา’ เกินความเข้าใจของผีดูดเลือดหนุ่มพอสมควร
จริงอยู่ หากแยกเป็นแต่ละคำ การตีความคงพอเป็นไปได้ แต่สมองของมันขาวโพลนทันทีเมื่อทุกคำปรากฏอยู่ในประโยคเดียวกัน
กำลังจะบอกว่า เด็กหนุ่มเดอะซันเพิ่งรอดพ้นจากการไล่ล่าของเทวทูต?
เอ็มลินพยายามคาดเดาจากข้อมูลตามความเข้าใจของตน
ขณะเดียวกัน หลังจากนั่งฟังเดอร์ริคกล่าวขอบคุณมิสเตอร์ฟูล แฮงแมนเปลี่ยนอิริยาบถเล็กน้อย มันโน้มตัวไปข้างหน้าและซักถามเชิงต่อยอดจากมิสจัสติสด้วยน้ำเสียงปรกติ
“ช่วยเล่าให้ฟังอย่างละเอียดด้วย”
เดอร์ริคไม่มีเจตนาปิดบัง มันมอบคำตอบด้วยความซื่อตรง
“มิสจัสติส มิสเตอร์แฮงแมน มิสเมจิกเชี่ยน และมิสเตอร์เวิร์ล ขอขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงจากทุกคน และขอบคุณสำหรับคำแนะนำอันมีค่า ในการสำรวจรอบหก ผมเริ่มต้นด้วย…”
เด็กหนุ่มอธิบายรายละเอียดและผลลัพธ์จากการกระทำตัวเอง เน้นย้ำเกี่ยวกับเด็กชายแจ็ค เล่าว่าอีกฝ่ายมาจากท่าเรือเอ็นมาร์ท และบรรยายรายละเอียดของจิตรกรรมฝาผนังซึ่งสลักข้อความกุหลาบไถ่บาป
ท่าเรือเอ็นมาร์ท… เด็กชายประหลาดนามว่าแจ็ค มาจากอาณาจักรโลเอ็นจริงด้วย!
ในอีกความหมายหนึ่ง ดินแดนเทพทอดทิ้งอันเป็นจุดกำเนิดของเมืองเงินพิสุทธิ์ สามารถไปมาหาสู่กับทวีปเหนือได้ด้วยวิธีการบางอย่าง ขอเพียงค้นหาความลับให้พบ…
มองผิวเผินจากภายนอก ไคลน์แสร้งทำเป็นฟังผ่านๆ แต่ในใจกำลังรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์อย่างละเอียด
ท่าเรือเอ็นมาร์ทตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองทิงเก็น ถือเป็นหนึ่งในท่าเรือพลุกพล่านเลียบชายฝั่งตอนกลางของอาณาจักรโลเอ็น
ท่าเรือเอ็นมาร์ทแห่งตะวันออกและท่าเรือพริสต์ทางตอนใต้ คือสองจุดยุทธ์ศาสตร์สำคัญในการลำเลียงสินค้าทางทะเลเข้าสู่เมืองหลวง
ผู้สื่อวิญญาณ มาดามดาลีย์ ครั้งหนึ่งเคยถูกส่งไปประจำการยังท่าเรือเอ็นมาร์ท รวมถึงมิสเตอร์ Z แห่งชุมนุมแสงเหนือก็เคยอาศัยอยู่ในท่าเรือเอ็นมาร์ทมาก่อน…
ไคลน์หวนนึกถึงความทรงจำสมัยอดีต
แนวคิดคล้ายคลึงกันได้เกิดขึ้นกับออเดรย์ อัลเจอร์ และฟอร์ส เรื่องราวข้างต้นทำให้ใครบางคนตื่นเต้น บางคนกังวลและหวาดระแวง โดยกลัวว่าความดำมืดของเมืองเงินพิสุทธิ์จะแพร่กระจายมายังทวีปเหนือ ทวีปใต้ และห้าห้วงสมุทรโดยรอบ
“ท่านประมุขบอกกับผมว่า จากข้อมูลภายในหนังสือโบราณซึ่งท่านฉุกคิดได้จากคำเตือนของผม มีข่าวลือระบุว่า เมื่อมหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง มหาเทพผู้รังสรรค์ทุกสิ่งจากต้นกำเนิด ชายตามองมายังดินแดนของเรา ท่านได้ปรากฏกายโดยมีเทวทูตหลายตนล้อมรอบ ผู้นำกลุ่มเทวทูตคือราชาเทวทูตจำนวนแปดตน กล่าวกันว่า ราชาเทวทูตนั้นใกล้ชิดบัลลังก์แห่งพระผู้สร้างมากกว่าใคร โดยในหมู่ราชาเทวทูตก็มีบุตรแห่งพระผู้สร้างรวมอยู่ด้วยเช่นกัน”
เดอร์ริคพรั่งพรูคำอธิบายจากนักล่าปีศาจโคลินอย่างตั้งใจ
“ท่านประมุขคาดเดาว่า อามุนด์อาจเป็นเทวทูตกาลเวลาแห่งแปดราชาเทวทูต และบุคคลในภาพจิตรกรรมฝาผนังคือเทวทูตโชคชะตา ผู้กลืนหาง โอโรเลอุส”
แปดราชาเทวทูต? แปดราชาทูตผู้ใกล้ชิดบัลลังก์พระผู้สร้างมากกว่าใคร?
ออเดรย์กำลังตื่นเต้นเหนือคำบรรยาย
เธออดถามอย่างสงสัยมิได้
“มิสเตอร์ซัน เช่นนั้นแล้ว สมญานามและชื่อของราชาเทวทูตตนอื่นมีอะไรบ้าง”
“ท่านประมุขมิได้เล่า… ผมก็มิกล้าถาม”
เดอร์ริคมอบคำตอบ สีหน้าแฝงความละอายใจ
อยากรู้คำตอบจัง…
หญิงสาวรีบหันไปทางมุมโต๊ะทองแดงยาว สายตาจ้องมองเดอะฟูลผู้อยู่หลังม่านหมอกอย่างคาดหวัง ประหนึ่งกำลังอ้อนวอนให้อีกฝ่ายช่วยไขความกระจ่าง เธอถึงกับเตรียมสิ่งของแลกเปลี่ยนไว้ในใจเสร็จสรรพ
สาวน้อย อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น…
ทางนี้ก็กลวงเหมือนกัน… ไคลน์พยายามระงับมิให้มุมปากของตนสั่นกระตุก
แต่มันมิได้ขาวโพลนโดยสิ้นเชิง ยังพอจะเดาได้บ้างว่าราชาทูตอีกสองตนเป็นใคร
วิญญาณมารในซากอาคารใต้ดินเคยอธิบายไว้ว่า ตระกูลเมดีซีคือหนึ่งในผู้ก่อตั้งองค์กรกุหลาบไถ่บาป และภาพจิตรกรรมฝาผนังได้ระบุว่าโอโรเลอุสก็น่าจะเป็นหนึ่งในผู้นำของกุหลาบไถ่บาปเช่นกัน ดังนั้น เมดีซีกับโอโรเลอุสควรจะมีศักดิ์เท่าเทียม แต่เราไม่มีข้อมูลว่าท่านร่วงหล่นไปแล้วหรือยัง…
ตระกูลเมดีซีถือครองเส้นทางนักล่า หรืออีกชื่อหนึ่งคือเส้นทางนักบวชสีชาด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สมญานามของราชาเทวทูตเมดีซีก็ควรจะเป็น…
ไม่เทวทูตสีชาด ก็เทวทูตสงคราม…
และบางที บุตรแห่งพระผู้สร้างอาจมีตำแหน่งเป็นราชาเทวทูตทั้งหมด…
ถ้าอามุนด์คือเทวทูตกาลเวลา อาดัมก็น่าจะเป็นราชาเทวทูตเช่นกัน เพียงแต่เรายังไม่มีเบาะแสสมญานามของท่าน…
ในส่วนของราชาเทวทูตอีกสี่ตน เรายังไม่มีเบาะแสแม้แต่นิดเดียว… บางที หนึ่งในพวกท่านอาจแฝงตัวอยู่กับสภานักสิทธิ์สนธยา…
เป็นไปได้มากทีเดียว… เพราะในเมื่อสภานักสิทธิ์สนธยามองพระผู้สร้างเสื่อมทรามและกุหลาบไถ่บาปเป็นศัตรู องค์กรของพวกเขาก็ควรถูกก่อตั้งโดยราชาเทวทูตซึ่งเป็นตัวตนระดับเดียวกัน…
จริงสิ ยังมีหลักฐานทางอ้อมจากเมืองเงินพิสุทธิ์ช่วยยืนยันว่า เมื่อพระผู้สร้างลืมตาขึ้น ท่านได้ ‘ริบ’ อำนาจของมหามังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล กลับคืน โดยในทางทฤษฎี อำนาจดังกล่าวสามารถถูกส่งต่อให้หนึ่งในแปดราชาทูตผู้ใกล้ชิดกับบัลลังก์ได้…
ผนวกกับข้อมูลในไดอารีของโรซายล์ สภานักสิทธิ์สนธยาจะต้องมีหนึ่งในสมาชิกเป็นเทวทูตบนเส้นทางนักสร้างฝัน…
คิดมาถึงจุดนี้ ไคลน์ยิ้มและกล่าว
“อีกเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้ทราบเอง”
ไม่ต้องห่วง… ถ้าทางนี้มีข้อมูลเมื่อไร จะรีบเสนอขายในราคาเหมาะสมทันที…
ชายหนุ่มเสริม
เมื่อตระหนักมิสเตอร์ฟูลยังไม่อยากตอบ ออเดรย์เบือนหน้ากลับไปด้วยสายตาเจือความผิดหวังเบาบาง พลางจ้องมองเดอะซันเล่าเรื่องราวต่อ
ขณะเดียวกัน อัลเจอร์เริ่มผุดแนวคิดอันตราย
อาจเป็นไปได้ว่า ประวัติศาสตร์ก่อนหน้ายุคสมัยมหาภัยพิบัติจากพระคัมภีร์ล้วนเป็นของปลอมทั้งหมด… เพราะในช่วงปลายยุคสมัยที่สามและต้นยุคสมัยที่สี่ เทพจารีตนั้นมีทั้งหมดหกองค์ เมื่อนำไปรวมกับอามุนด์และผู้กลืนหางก็จะครบแปดพอดิบพอดี…
หรือพวกท่านทั้งหกจะได้รับผลประโยชน์บางอย่างจากความตายของพระผู้สร้าง จนสามารถพัฒนาตัวเองกลายเป็นลำดับ 0 ได้อย่างพร้อมหน้า…
อัลเจอร์ตระหนักได้ทันทีตนคือคนบาปผู้สมควรถูกลงทัณฑ์ด้วยเพลิงแห่งเทพจากเบื้องบน แต่ถึงกระนั้น มันกลับมิอาจข่มความตื่นเต้นภายในหัวใจ ต้องรออีกพักใหญ่กว่าจะใจเย็นลงและเริ่มกลับมาฟังเรื่องราวของเดอะซันน้อยตามเดิม
ตลอดการเล่าเรื่อง เอ็มลินทำได้เพียงนั่งฟังด้วยสายตาเหม่อลอย
แม้เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดจะมีประวัติศาสตร์และอายุขัยยาวนาน แต่ก็แทบไม่ทราบข้อมูลก่อนยุคสมัยมหาภัยพิบัติเลย โดยความสนใจส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปในยุครุ่งเรืองของบรรพชนต้นตระกูล และช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่มีข้อมูลใดเกี่ยวข้องกับ ‘ราชาเทวทูต’
ขณะเดอร์ริคเล่าถึงขั้นตอนการทำลายวังวนกระแสเวลาโดยประมุขโคลิน ไคลน์กำลังครุ่นคิดเรื่องอื่น
เราสามารถยืนยันได้ว่า ผู้กลืนหาง โอโรเลอุส คือลำดับ 1 ‘อสรพิษปรอท’ แห่งเส้นทางสัตว์ประหลาด… หมายความว่า ราชาเทวทูตต้องเป็นลำดับ 1 ทั้งหมดใช่ไหม…
ถ้าอย่างนั้น อสรพิษปรอทผู้ตามคุกคามเด็กชายวิล·อัสติน คือเทวทูตกาลเวลา?
แบบนั้นก็จะหมายความว่า ขุมกำลังของพระผู้สร้างแท้จริงภายในเบ็คลันด์ มิได้จำกัดเฉพาะมิสเตอร์ A แห่งชุมนุมแสงเหนือเพียงคนเดียว แต่ยังรวมถึงโอโรเลอุส…
ไม่น่าใช่ หากมีแค่โอโรเลอุสต่อสู้กับวิล·อัสตินเพื่อแย่งชิงลำดับ 0 ตามลำพัง อีกฝ่ายไม่น่าจะปล่อยให้เด็กชายวิลรอดชีวิตมานานขนาดนี้….
จริงอยู่ เรายังไม่ควรตัดความเป็นไปได้ว่าโอโรเลอุสอาจกำลังอยู่ในวงจรกำเนิดใหม่และมีสภาพอ่อนแอเหมือนกับวิล·อัสติน แต่โอกาสเป็นเช่นนั้นค่อนข้างต่ำ เพราะกลุ่มกุหลาบไถ่บาปน่าจะมีตัวตนระดับครึ่งเทพมากมาย ดังนั้น วัฏจักรการเกิดใหม่ของโอโรเลอุสต้องมีคนคอยอารักขาอย่างแน่นหนา แตกต่างจากการแอบมาเกิดในท้องคนธรรมดาเหมือนกับเด็กชายวิล…
ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้… อสรพิษปรอทสองตนในกรุงเบ็คลันด์มิใช่เทวทูตโชคชะตาทั้งคู่ ส่วนโอโรเลอุสก็ยังอยู่บนดินแดนเทพทอดทิ้งตามเดิม และนี่จะเป็นสถานการณ์สมดุลระหว่างสามอสรพิษปรอท…
หลังจากเล่าจนจบว่าตนเอาตัวรอดจากวังวนกระแสเวลาได้อย่างไร เดอร์ริคแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจอีกครั้ง
ในส่วนของออเดรย์กับฟอร์ส แม้ว่าพวกเธอจะได้ฟังเรื่องราวเป็นหนสอง แต่ก็ยังมิอาจระงับอาการหวาดผวาไว้ได้ ภายในใจกำลังท่วมท้นด้วยความตื่นเต้นเจือหวาดกลัว
ต้องขอบคุณมิสเตอร์ฟูล พวกเราจึงมีโอกาสได้ฟังประสบการณ์ด้านมือของโลกผู้วิเศษอย่างแจ่มชัด… ออเดรย์สรรเสริญหัวหน้าชุมนุมทาโรต์จากก้นบึ้ง
ทางด้านอัลเจอร์ก็กำลังมีความคิดคล้ายคลึงกัน มันมองว่า วังวนกระแสเวลาดังกล่าว หากไม่มีตัวตนระดับเทพคอยช่วยเหลือ คงยากจะให้คนในหลุดพ้นด้วยตัวเอง
แต่โชคยังดี มิสเตอร์ฟูล หัวหน้าชุมนุมทาโรต์ของพวกเรา ท่านคือตัวตนระดับเทพ…
ขณะเดียวกัน เดอร์ริคมองไปยังฝั่งตรงข้ามและกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“มิสเมจิกเชี่ยน เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ผมจึงเดินทางกลับถึงเมืองเงินพิสุทธิ์ได้ช้ากว่าปรกติ จริงอยู่ ปัญหาอาจถูกคลี่คล้ายหมดแล้ว แต่ท่านประมุขได้กำชับให้เดินทางกลับอย่างระมัดระวังมากขึ้น ส่งผลให้ต้องกลับถึงช้ากว่ากำหนด ถุงกระเพาะอาหารผู้กลืนวิญญาณของคุณคงต้องรออีกประมาณวันสองวัน แต่ไม่ต้องห่วง เมื่อจบเรื่องคราวนี้ ผมคงหลุดพ้นจากการถูกเฝ้าจับตามองแล้ว”
“ไม่มีปัญหา ดิฉันรอได้ พร้อมเมื่อไรก็แจ้งได้เลย เตรียมเงินไว้ครบแล้ว” ฟอร์สกล่าวด้วยสีหน้าโล่งใจ
ในชุมนุมคราวก่อน เธอขายดวงตามังกรกระจกให้มิสจัสติสในราคาหนึ่งพันปอนด์
หลังจากนำเรื่องดังกล่าวไปเล่าให้อาจารย์ของตน โดเรียน·เกรย์ ฟังอย่างละเอียด รวมไปถึงการคิดค่านายหน้าสองร้อยปอนด์ของเธอ ได้ยินเช่นนั้น อีกฝ่ายชื่นชมในความซื่อสัตย์ของหญิงสาวอย่างมาก โดยมันขอรับเงินไว้เพียงเจ็ดร้อยปอนด์ และแบ่งอีกหนึ่งร้อยปอนด์ให้ฟอร์สเป็น ‘ค่าเสียเวลา’ ส่งผลให้เธอทำกำไรจากการขายดวงตามังกรกระจกทั้งสิ้นสามร้อยปอนด์ เมื่อนำไปรวมกับเงินเก็บเดิม ฟอร์สจึงมีเงินสดติดตัวพร้อมใช้จำนวนหกร้อยห้าสิบปอนด์ เพียงพอสำหรับแลกเปลี่ยนกับถุงกระเพาะผู้กลืนวิญญาณ
กว่าเราจะย่อยโอสถเดิมหมดก็ต้องรออีกไม่ต่ำกว่าสองสัปดาห์ ไม่มีความจำเป็นต้องรีบ…
หญิงสาวมองไปยังฝั่งตรงข้าม
“มิสเตอร์แฮงแมน ดิฉันมีอินทรีย์ทะเลตามังกรมาขายในราคาสองพันสองร้อยปอนด์”
โดเรียนบอกราคากับเธอมาสองพันปอนด์ หมายความว่า ฟอร์สสามารถเพิ่มอีกเล็กน้อยเพื่อทำกำไรให้ตัวเอง
สองพันสองร้อยปอนด์… อัลเจอร์ขมวดคิ้ว
สถานภาพทางการเงินของมันไม่สู้ดีนักหลังจากซื้อสูตรโอสถผู้รับใช้วายุ จริงอยู่ มันอาจมีเงินออมลับๆ สำหรับใช้ในยามฉุกเฉิน แต่ตอนนี้ยังใกล้เคียงยามฉุกเฉินดังกล่าว
ฟู่ว… มันถอนหายใจและกล่าวอย่างสุขุม
“ขอบคุณสำหรับข้อมูล แต่ผมต้องขอเวลารวบรวมเงินอีกสักพักใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น ราคาของคุณสูงเกินไป ในชุมนุมลับโจรสลัด ผมเคยเห็นคนอื่นขายเพียงหนึ่งพันเก้าร้อยปอนด์ นั่นคือราคาสูงสุดในใจผมแล้ว”
“ไม่ได้! สองพันปอนด์! ไม่ลดแล้ว!”
ฟอร์สรีบเจรจา
เธอกังวลว่า หากตนหวังฟันกำไรมากเกินไป อีกฝ่ายอาจละทิ้งข้อเสนอ และเธอก็จะไม่ได้อะไรเลย
อัลเจอร์พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม
“ตกลง!”
เชี่ย…!
ฟอร์สสบถด้วยแววตาตกตะลึง
หลังจากนั่งฟังการแลกเปลี่ยนของสมาชิกคนอื่นสักพักเพื่อประเมินสถานการณ์ เอ็มลินตัดสินใจตั้งคำถามของตัวเอง
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย มีใครทราบวิธีเพิ่มพลังให้กับผีดูดเลือด โดยไม่ต้องรอรับการประทานพลังจากผู้อาวุโสบ้าง”
เมื่อสิ้นคำถาม มันสัมผัสได้ทันทีว่าทุกสายตากำลังหันมาจ้องมอง
ผีดูดเลือด? หมายถึงแวมไพร์ในตำนาน?
ดวงตาออเดรย์พลันลุกวาว หญิงสาวรีบเก็บรายละเอียดรูปลักษณ์เดอะมูนหัวจรดเท้า
ในฐานะนักแต่งนิยาย ฟอร์สย่อมเคยจินตนาการถึงเรื่องราวโรแมนติกเกี่ยวกับผีดูดเลือดบ่อยครั้ง แววตาจึงเปล่งปลั่งไม่แพ้กัน
ผีดูดเลือด?
อัลเจอร์ทึ่งเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็คลายการขมวดคิ้ว
…หมายถึงแวมไพร์ในความมืด ตามตัวมีน้ำหนองไหลเยิ้มตลอดเวลา และเคลื่อนไหวได้ปราดเปรียวดุจดังสายลม?
เดอร์ริคกำลังจินตนาการภาพผีดูดเลือดตามตำนานเมืองเงินพิสุทธิ์
ผีดูดเลือด?
เดอะเวิร์ลตกใจช้ากว่าใครเล็กน้อย
……………………
ราชันเร้นลับ 487 : ชุมนุมทาโรต์โตวันโตคืน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อถูกสายตาจำนวนมากจ้องมอง เอ็มลินชะงักคำพูดชั่วขณะ พลางสงสัยว่า เมื่อครู่ตนกล่าวในสิ่งไม่ควรออกไปอย่างนั้นหรือ
ทำไมถึงจ้องกันด้วยสายตาแบบนั้น…
เรามีเพื่อนเป็นผีดูดเลือดไม่ได้รึไง…
ควรแก้ตัวดีไหม… ไม่สิ เป็นผีดูดเลือดแล้วมันผิดอะไร! เราคือผีดูดเลือด และภูมิใจในการเป็นผีดูดเลือด! เผ่าพันธุ์เรามีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีชีวิตยืนยาว และเต็มไปด้วยมรดกตกทอดจากบรรพชน! ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดทรงเกียรติเท่ากับผีดูดเลือดอีกแล้ว!
พวกเจ้าทุกคนก็มิได้วิเศษวิโสเช่นกัน! เพียงซื้อขายกันด้วยสิ่งของไม่เกินลำดับ 6!
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เอ็มลินเชิดคางขึ้นและกล่าวอย่างมั่นใจ
“เข้าใจถูกแล้ว ข้าคือผีดูดเลือดแท้”
ไม่มีใครถามสักหน่อย… มิสเตอร์มูนคงเข้าสังคมไม่เก่ง และไม่มั่นใจในตัวเอง ส่งผลให้มีพฤติกรรมโฉ่งฉ่างไปนิด…
ออเดรย์วิเคราะห์อย่างใจเย็น
ผีดูดเลือดตัวจริง…
ฟอร์สซักถามด้วยความใครรู้
“มิสเตอร์มูน ผีดูดเลือดเลียนแบบบรรดาศักดิ์ขุนนางของมนุษย์ตามความแข็งแกร่งและอำนาจใช่ไหม ตัวอย่างเช่นดยุค ไวเคาต์ เอิร์ล และบารอน”
“ผิดแล้ว ฝ่ายลอกเลียนแบบคือพวกมนุษย์ต่างหาก!” เอ็มลินเปลี่ยนท่านั่ง “ย้อนกลับไปในสมัยอดีตกาลก่อนยุคสมัยมหาภัยพิบัติ และก่อนยุคสมัยที่สองด้วยซ้ำ ผีดูดเลือดของพวกเราได้ใช้บรรดาศักดิ์เช่นนี้มานานแล้ว
“เรียงจากผีดูดเลือดวัยเยาว์ กลุ่มนี้ยังควบคุมพลังของตัวเองได้ไม่ชำนาญ ผีดูดเลือดโตเต็มวัย เหมือนกับข้า หลังจากนั้นจะเป็นบรรดาศักดิ์ไล่ตั้งแต่บารอนไปจนถึงดยุค เหนือดยุคยังมีองค์ชายผีดูดเลือดและราชินีผีดูดเลือด ในสมัยนั้น มนุษย์ยังเป็นแค่ทาสของคนยักษ์ อยู่ภายใต้การปกครองของราชาคนยักษ์ เออร์เมียร์ แล้วจะไปมีบรรดาศักดิ์ขุนนางได้อย่างไร!”
เมื่อสิ้นเสียง เดอร์ริคด้านข้างรีบโพล่งขึ้น
“เมืองเงินพิสุทธิ์ของพวกเราไม่เคยมีเรื่องแบบนั้นถูกบันทึกไว้! ผีดูดเลือดเพิ่งถูกจำแนกอย่างละเอียดเป็นครั้งแรกหลังจากศิลาเย้ยเทพแผ่นแรกปรากฏตัวขึ้นมา แต่ก่อนหน้านั้น ผีดูดเลือดจะถูกตีกรอบไว้อย่างกว้างๆ ตามลักษณะพฤติกรรม อาจมีบางส่วนถูกเรียกตามบรรดาศักดิ์ขุนนาง พบได้ในบางตระกูลหรือในผู้ปกครองเมืองใหญ่เท่านั้น โดยลำดับชั้นสูงสุดคือต้นตระกูลผีดูดเลือด ลิลิธ แต่ในช่วงหลังเริ่มมีการจำแนกตามลำดับและชื่อของโอสถ มิใช่บรรดาศักดิ์ขุนนาง”
ได้ยินเช่นนั้น เอ็มลินเย้ยหยันกลับไป
“ประวัติศาสตร์ของผีดูดเลือดถูกเขียนผ่านอายุขัยอันยาวนาน มิใช่เรื่องแต่งเติมส่งเดชของเมืองเล็กๆ นามว่าเงินพิสุทธิ์!”
เดี๋ยวก่อน… สมาชิกในชุมนุมพูดถึงเมืองเงินพิสุทธิ์บ่อยครั้ง แต่มันอยู่ตรงไหนกันแน่? ทำไมเราถึงไม่เคยได้ยินเชื่อ…
หลังจากพ่นลมหายใจ เอ็มลินเริ่มตระหนักว่าตนมองข้ามสิ่งสำคัญบางเรื่องไป
“เมืองเงินพิสุทธิ์ของเรามิได้แต่งเรื่องขึ้นมาอย่างส่งเดช! แต่อ้างอิงจากหนังสือโบราณซึ่งถูกพิสูจน์ความถูกต้องแล้ว หรือไม่ก็เอกสารสำคัญจากซากอารยธรรมของเมืองอื่น”
เดอร์ริคเน้นย้ำ สีหน้าเผยความขุ่นเคือง
ถ้าไม่มีใครห้ามศึก เกรงว่าคงได้เถียงกันจนกระทั่งชุมนุมทาโรต์หมดเวลาแน่… แม้ว่าเดอะซันจะเป็นเด็กหนุ่มซื่อตรง จริงใจ และยึดมั่นในคุณธรรม แต่ขณะเดียวกันก็หัวรั้นและไม่ยอมคน ในทางกลับกัน มิสเตอร์มูนเองก็ยึดถือกับประวัติศาสตร์ของผีดูดเลือดมาก…
ออเดรย์ทำตัวเป็นผู้ชมอย่างสนอกสนใจ
ทันใดนั้น อัลเจอร์แทรก
“ผมทราบวิธีเพิ่มลำดับพลังให้ผีดูดเลือด”
ความสนใจของเอ็มลินหันเหทันที
“เอ่อ… มิสเตอร์แฮงแมน เจ้าต้องการแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งใด ข้ายินดีเล่าประวัติศาสตร์ของผีดูดเลือดให้ฟังเป็นการแลกเปลี่ยน”
อัลเจอร์เผยรอยยิ้ม
“ไม่จำเป็น พวกเราทุกคนล้วนเป็นสมาชิกชุมนุมทาโรต์เหมือนกัน ข้อมูลเช่นนี้ไม่มีการคิดราคาให้เสียน้ำใจ”
มิสเตอร์แฮงแมนช่างเป็นคนดีมีน้ำใจ…
เอ็มลินเริ่มประเมินอุปนิสัยของอีกฝ่าย
“ขอบคุณสำหรับความใจกว้าง”
อัลเจอร์กล่าวหลังจากครุ่นคิดสองวินาที
“ผีดูดเลือดสามารถเลื่อนลำดับได้โดยการดื่มโอสถเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่โอสถต้องสอดคล้องกับพลังในปัจจุบัน ทางโบสถ์หลักเคยทดลองในเรื่องนี้และพบว่า การดื่มโอสถสามารถทำให้ผีดูดเลือดพัฒนาลำดับได้เหมือนกับการประทานจากอาวุโส แต่ผมก็ไม่ทราบรายละเอียดมากนัก”
“แต่วัตถุดิบหลักโอสถเหล่านั้นมาจากการเข่นฆ่าพี่น้องของข้า!” เอ็มลินปฏิเสธเสียงแข็ง
แฮงแมนยิ้มรับ
“ไม่เสมอไปสักหน่อย ตัวอย่างเช่น ผมมีเบาะแสของตะกอนบารอนผีดูดเลือด เขาล้มป่วยกะทันหันและไม่มีเวลามอบตะกอนพลังให้กับทายาท หากคุณนำไปใช้ จะเท่ากับเป็นการอนุรักษ์ให้พลังของผีดูดเลือดยังคงอยู่กับตระกูล ดีกว่าปล่อยให้ตกอยู่ในมือมนุษย์อย่างสูญเปล่า”
ตะกอนพลังดังกล่าวเป็นสมบัติของโจรสลัดชื่อดังซึ่งอัลเจอร์ได้ฟังรายละเอียดมาอีกทอดหนึ่ง เป็นเพราะอีกฝ่ายยังไม่ทราบลำดับของวัตถุดิบ จึงไม่กล้าค้าขายอย่างส่งเดช และยังไม่มีช่างมือคนใดรับไปประเมินราคาหรือสร้างเป็นสมบัติวิเศษ
การดื่มโอสถจะทำให้พลังของผีดูดเลือดไหลเวียนอยู่ในตระกูล… สมเหตุสมผลมาก…
เอ็มลินพบว่าคำพูดของแฮงแมนไม่มีข้อบกพร่องในเชิงตรรกะ จึงซักถามอย่างสนใจ
“ราคาเท่าไร”
อัลเจอร์ยังคงยิ้ม
“ระหว่างสี่พันถึงห้าพันปอนด์ ผมไม่ทราบราคาชัดเจน ต้องสอบถามคนขายให้แน่ใจอีกครั้ง”
ในความเป็นจริง มันยังไม่เคยสอบถามราคาจากโจรสลัดชื่อดังคนนั้น แต่ขอเพียงไม่กดราคากันเกินไป บรรดาโจรสลัดก็ไม่เข้มงวดเรื่องการ ‘ปล่อยของ’ มากนัก เพราะสมบัติของพวกมันเกือบทุกชิ้นจะ ‘ไม่มีต้นทุน’
“ห้าพันปอนด์…” เอ็มลินทวนคำ
ด้วยเงินก้อนใหญ่เช่นนี้ เราสามารถนำไปซื้อตุ๊กตาตัวเด็ดซึ่งหมายตามานาน แถมยังเหลือพอจะซื้อเสื้อผ้าตกแต่งอีกหลายชุด!
ความคิดแวบแรกในหัวเอ็มลินคือการคัดค้าน แต่เมื่อใจเย็นลงและเริ่มตระหนักว่าบรรพชนผีดูดเลือดฝากความหวังไว้กับตน มันจำเป็นต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบเพื่อเกียรติยศของตระกูลผีดูดเลือด
อัลเจอร์ไม่กดดัน
“ผมเข้าใจหัวอก การตัดสินใจในคราวนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย จงกลับไปคิดทบทวนเมื่อมีเวลา”
“ตกลง” เอ็มลินถอนหายใจ
มิสเตอร์แฮงแมนนี่ช่าง… ออเดรย์พึมพำ ก่อนจะหันไปทางเดอะมูนและสมาชิกคนอื่น
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย ท่านใดมีเบาะแสของผลต้นคนชราและโลหิตของมังกรกระจกบ้าง?”
“ข้ามี” เอ็มลินตอบโดยไม่ลังเล
หลังจากค้าขายกับนักสืบคนหนึ่ง มันก็พยายามเข้าร่วมชุมนุมลับของแวมไพร์มาตลอด หากคอยจับตามองการหมุนเวียนของวัตถุดิบหลักในตลาดมืดไว้ให้ดี ข้อมูลเหล่านี้จะกลายเป็นช่องทางทำเงินก้อนโต
โดยไม่รอให้มิสจัสติสซักถามรุ่มร่าม
“ผลของต้นคนชราอยู่ระหว่างหกร้อยถึงเจ็ดร้อยปอนด์ และโลหิตมังกรกระจกมีราคาไม่เกินหนึ่งร้อยปอนด์ ข้าจำตัวเลขแน่ชัดไม่ได้”
มันเกริ่นด้วยราคาต้นทุน ตามด้วย
“แต่เจ้าต้องจ่ายให้ข้าเพิ่มอีกห้าสิ— ไม่ใช่ ต้องเพิ่มให้ข้าอีกหนึ่งร้อยปอนด์ เจ้าคงเข้าใจใช่ไหมว่าข้าต้องเสียเวลาและเสี่ยงชีวิต!”
เอ็มลินได้เรียนรู้โมเดลธุรกิจนี้มาจากนักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ เมื่อลองคิดภาพตาม มันพบว่าการค้าขายอย่างซื่อตรงจะเกิดประสิทธิภาพมากกว่า เพราะฝ่ายผู้ซื้อย่อมเข้าใจอยู่แล้วว่า การเป็นคนกลางต้องมีค่าใช้จ่ายไม่มากก็น้อย
“ตกลง!” ออเดรย์ตอบรับทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ
เธอย่อมทราบ การซื้อขายเช่นนี้สามารถต่อรองได้เล็กน้อย แต่หญิงสาวกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจหากเธอจุกจิกมากเกินไป
สำหรับเรา สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการเลื่อนเป็นลำดับ 7 โดยเร็ว… จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวไว้ว่า หากปัญหาใดสามารถแก้ไขได้ด้วยเงิน สิ่งนั้นยังไม่ถือว่าเป็นปัญหา!
ออเดรย์ครุ่นคิดอย่างอารมณ์ดี
หลังจากงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ หญิงสาวได้รับสิทธิ์ให้บริหารทรัพย์สินส่วนตัวมูลค่ารวมมากถึงสี่หมื่นปอนด์ เพียงแต่ต้องจ้านักบัญชีและนักบริหารจากบิดามาช่วยจัดการ
พร้อมกันนั้น เธอยังได้รับของกำนัลมูลค่าไม่ต่ำกว่าสองหมื่นในรูปแบบของเครื่องประดับ อัญมณี ม้าพ่อพันธุ์ หมาล่าเนื้อ ภาพวาดราคาแพง และอีกมาก โดยส่วนใหญ่มาจากมารดา พี่ชายทั้งสองคน และสมาชิกตระกูลฮอลล์อันมั่งคั่ง
แต่ในด้านของเงินสด เธอกลับได้รับเพียงไม่ถึงห้าพันปอนด์
ความดีความชอบในโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ถูกตอบแทนในรูปแบบอำนาจทางการเมืองของเอิร์ลฮอลล์แทน ออเดรย์เป็นผู้เรียกร้องสิ่งนี้ด้วยตัวเอง เพราะเธอไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน แต่แน่นอน หญิงสาวย่อมมีข้อแลกเปลี่ยน โดยนายธนาคารใหญ่แห่งอาณาจักรโลเอ็นจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับของบุตรสาวทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ออเดรย์ไม่เปิดเผยความทะเยอทะยานในการเลื่อนเป็นลำดับ 7 เพราะเชื่อว่าบิดาคงไม่สบายใจหากรู้เข้า
ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จึงต้องควักเงินส่วนตัว
เราจะสะสางหนี้ของกายลินให้เสร็จภายในสิ้นเดือน และจัดการหนี้ของข้ารับใช้มิสเตอร์ฟูลอีกสองพันปอนด์ในเดือนถัดไป…
เราไม่จำเป็นต้องรัดเข็มขัดอีกแล้ว…
ยิ่งคิดคำนวณ ออเดรย์ก็ยิ่งมีความสุข
รวยมาก… เอ็มลินอึ้งไปสักพักจนกระทั่งดึงสติตัวเองกลับมา
“แล้วพวกเราจะแลกเปลี่ยนกันด้วยวิธีใด”
ออเดรย์อธิบายด้วยรอยยิ้ม
“สังเวยสิ่งของให้มิสเตอร์ฟูล”
หญิงสาวหันไปขออนุญาตเดอะฟูลอย่างคล่องแคล่ว ตามด้วยการเสกแผ่นกระดาษและปากกาเพื่อเขียนรายละเอียดพิธีกรรม
เอ็มลินรับกระดาษหนังสีน้ำตาลไปอ่านด้วยสีหน้าตกตะลึง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งนี้อยู่นอกเหนือจินตนาการของมันไปมาก
เอ็มลินได้รับรู้ทันทีว่า ชุมนุมทาโรต์แตกต่างจากทุกชุมนุมในความทรงจำของตนโดยสิ้นเชิง
ไคลน์เฝ้ามองการแลกเปลี่ยนระหว่างสมาชิกอย่างมีความสุข เพราะยิ่งเวลาผ่านไป เครือข่ายข้อมูลของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ก็ยิ่งแผ่ขยาย ความต้องการของแต่ละคนจะถูกตอบสนองได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอคอยอย่างไร้ความหวังเหมือนในอดีต จะไม่มีบรรยากาศเงียบงันระหว่างช่วงเวลาค้าขายอีกต่อไป
มิสจัสติสเป็นตัวแทนสมาคมแปรจิต ชนชั้นสูงแห่งโลเอ็น และพลังแห่งเงินตรา… มิสเตอร์แฮงแมนเป็นตัวแทนโบสถ์วายุสลาตัน และเครือข่ายโจรสลัดในท้องทะเล มิสเตอร์ซันเป็นตัวแทนดินแดนเทพทอดทิ้งและเมืองเงินพิสุทธิ์ มิสเมจิกเชี่ยนเป็นตัวแทนตระกูลอับราฮัมและชุมนุมลับขนาดย่อมในเบ็คลันด์ มิสเตอร์มูนเป็นตัวแทนตระกูลผีดูดเลือด ไม่มีเครือข่ายของใครก้าวก่ายซึ่งกันและกัน นับเป็นการรวมตัวอย่างสมบูรณ์แบบ…
ไม่เพียงเท่านั้น ทุกคนยังพัฒนาตัวเองตลอดเวลา…
คิดมาถึงตรงนี้ ไคลน์บังคับเดอะเวิร์ลเปล่งเสียงแหบพร่า
“ผมมีเบาะแสของตะกอนพลังนักจิตบำบัด มิสจัสติส ไม่ทราบว่าคุณสนใจหรือไม่”
ไคลน์ไม่กังวลว่าจนจะแย่งธุรกิจของเอ็มลิน เพราะชายหนุ่มทราบดี มิสจัสติสเลี้ยงสัตว์วิเศษไว้หนึ่งตัว แถมยังเป็นเส้นทางเดียวกันกับเธอ การซื้อวัตถุดิบโอสถสองชุดจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
“แน่นอนค่ะ” ออเดรย์แทบไม่ลังเล
แนวคิดของเธอไม่ซับซ้อน ในอนาคต หากตนถูกโจมตีทีเผลอ ตัวเธออาจตอบสนองไม่ทันการจนเสียท่าศัตรู การมีซูซี่ไว้ข้างกายจะช่วยมอบความอบอุ่นใจได้มาก
“แต่ผมคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก ราวหนึ่งถึงสองเดือน” เดอะเวิร์ลเสริมเสียงทุ้ม
“ไม่มีปัญหาค่ะ” ออเดรย์เองก็ไม่รีบร้อน
เพราะยังต้องใช้เวลาอีกสักพักเช่นกัน กว่าซูซี่จะย่อยโอสถนักอ่านใจเสร็จ
ฟู่ว… อย่างน้อยอีกฝ่ายก็รับปากแล้ว ได้แต่หวังว่าเราจะหาโอกาสปล่อยวิญญาณนักจิตบำบัดออกจากถุงมือได้โดยเร็ว… มิสจัสติสไม่ถามเรื่องราคาเลยสักนิด สำหรับเธอ ภายใต้การควบคุมดูแลของเดอะฟูล เธอคงมั่นใจว่าไม่มีการแลกเปลี่ยนเกินราคาแน่ หรือต่อให้เกินก็ไม่มากจนน่าเกลียด…
ขณะเดียวกันก็ยังหมายความว่า สภาพคล่องทางการเงินของเธอเริ่มดีขึ้นแล้ว…
ไคลน์บังคับเดอะเวิร์ลหันไปทางแฮงแมนและหัวเราะในลำคอ
“สนใจจะช่วยผมค้าขายอีกครั้งไหม มูลค่าไม่ต่ำกว่าสามพันห้าร้อยปอนด์ โดยคุณจะได้รับค่านายหน้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง” อัลเจอร์ตอบตกลงโดยไม่ลังเล ก่อนจะซักถามรายละเอียด “คราวนี้เป็นสินค้าแบบไหน”
มันค่อนข้างสนใจในตัวเดอะเวิร์ล เพราะมองว่าอีกฝ่ายมักมีข้อมูลและสิ่งของเหนือความคาดหมายมาแลกเปลี่ยนอยู่เสมอ
“เป็นตะกอนพลังของผู้วิเศษลำดับเทียบเท่า 6 พลังหลักคือการเปลี่ยนแปลงใบหน้าได้อย่างอิสระ และเปลี่ยนรูปร่างได้เล็กน้อย มีพลังเสริมเป็นการควบคุมไฟและการต่อสู้ระยะประชิดอีก หากนำไปให้ช่างฝีมือจัดการ พลังของสมบัติวิเศษจะขึ้นอยู่กับมาตรฐานและแนวคิดของช่าง” เดอะเวิร์ลหัวเราะ
เปลี่ยนแปลงใบหน้าและรูปร่าง…
เราอยากได้อันนี้!
ออเดรย์และฟอร์สต่างเกิดความรู้สึกแบบเดียวกัน เพียงแต่ ฝ่ายหลังทำได้เพียงเก็บไปจินตนาการ
ออเดรย์รีบหันไปมองแฮงแมนพร้อมกับกะพริบตาถี่
“มิสเตอร์แฮงแมน ดิฉันสามารถจองสมบัติวิเศษผลงานช่างฝีมือล่วงหน้าได้ไหม? ขอแค่มีพลังเปลี่ยนแปลงใบหน้า!”
ถ้าผลข้างเคียงไม่ร้ายแรงเกินไป ท่านพ่อจะต้องเห็นด้วยกับสมบัติวิเศษชิ้นนี้อย่างแน่นอน!
หญิงสาวเสริมในใจอย่างตื่นเต้น
……………………
ราชันเร้นลับ 488 : ค่าครองชีพ
โดย
Ink Stone_Fantasy
จองสมบัติวิเศษล่วงหน้า?
อัลเจอร์มึนงงหลายวินาที ก่อนจะตระหนักถึงความนัยแฝงจากมิสจัสติส
ความคิดของมันกำลังเปิดกว้าง คล้ายกับได้สัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่
สรุปโดยสั้น ตะกอนพลังซึ่งเดอะเวิร์ลฝากเราขายได้ถูกจองเรียบร้อย โดยปลายทางคือการนำไปแปรรูปเป็นสมบัติวิเศษ…
หมายความว่า งานของเราจะสะดวกขึ้นและทำกำไรง่ายขึ้นมาก จากแต่เดิม เราต้องขายตะกอนพลังด้วยการตระเวนหาว่า มีช่างฝีมือคนใดต้องการซื้อตะกอนพลังไปทำเป็นสมบัติวิเศษบ้าง แต่ปัจจุบัน เราเพียงต้องตระเวนหาช่างฝีมือเพื่อ ‘จ้างทำ’ สมบัติวิเศษ จึงค่อยนำผลลัพธ์ไปขายต่อให้มิสจัสติส…
งานของเรามีแค่การเสียเวลาหาช่างฝีมือและออกค่าใช้จ่ายในการสร้าง เท่านี้ก็สามารถทำกำไรมหาศาล… แต่แน่นอน ฝ่ายเราต้องแบกรับความเสี่ยงเกี่ยวกับช่างฝีมือเอง…
ท่ามกลางชุดความคิดมากมาย อัลเจอร์คำนวณหาผลดีผลเสียของข้อเสนอจนกระทั่งได้ข้อสรุปสุดท้าย
“ตกลง ให้ผมจัดการเอง” มันหันไปจ้องจัสติสด้วยสายตาราวกับกำลังเพ่งมองแท่งทองอันเจิดจ้า
หลังจากเข้าร่วมโบสถ์วายุสลาตันและล่องทะเลมานานหลายปี อัลเจอร์ไม่เคยพบใครเหมือนกับเธอมาก่อน
จริงอยู่ บนเกาะอาณานิคมอาจมีพ่อค้ามั่งคั่งเดินทางไปแสวงหาโอกาสจำนวนไม่น้อย แต่ก็ไม่มีใครใช้จ่ายเงินทองต่างน้ำเท่าจัสติส
สภาพคล่องทางการเงินของเธอดีขึ้นถึงขั้นนี้แล้วหรือ?
ด้านไคลน์ก็กำลังประหลาดใจไม่ต่าง
ชั่วขณะหนึ่ง มันเกิดความคิดจะทวงเงินสองพันปอนด์ให้ข้ารับใช้เดอะฟูลขึ้นมา แต่หลังจากใจเย็นลงและตั้งสติ ชายหนุ่มยังไม่ลืมว่าเดอะฟูลอนุญาตให้เธอชำระเงินคืนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม หากกลับกลอกอาจทำให้เสียภาพพจน์
อย่างน้อย เราก็กำลังจะทำเงินได้จากตะกอนพลังของผู้ไร้หน้า เร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับว่าแฮงแมนติดต่อช่างฝีมือเมื่อไร และอีกฝ่ายมีความเร็วในการผลิตเป็นอย่างไร… น่าเสียดาย ถ้ารู้เช่นนี้แต่แรก เราคงขายตะกอนพลังให้เธอโดยตรง จากนั้นค่อยให้เธอไปว่าจ้างแฮงแมนเอาเอง…
ไคลน์เริ่มลังเลว่า ตนควรถอนคำพูดกับแฮงแมนและนำตะกอนพลังไปขายให้จัสติสโดยตรงดีหรือไม่
แต่สุดท้ายก็เลือกจะรักษามารยาทไว้
เมื่อการเจรจาได้ข้อสรุป อัลเจอร์หายใจทั่วท้องอย่างผ่อนคลาย เนื่องจากสภาพคล่องทางการเงินของมันกำลังฟื้นตัวทีละนิด
หลังจากครุ่นคิดสักพัก มันซักถามต่อ
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย มีใครในหมู่พวกคุณ ทราบวิธีทำให้ทุกคนบนเรือหลับสนิทพร้อมกันหรือไม่”
เหตุผลให้อัลเจอร์ยังไม่เดินทางไปยังเกาะนอกอาณานิคมเพื่อล่าเหยี่ยวเงาฟ้า เพราะมันยังไม่พบวิธีแอบออกจากโทสะสีครามอย่างลับๆ ขณะมีลูกเรือและกะลาสีกว่าสิบชีวิตจากโบสถ์วายุสลาตันร่วมโดยสารมาด้วย
วิธีทำให้ทุกคนบนเรือหลับ?
ความคิดแวบแรกในหัวไคลน์คือการใช้ขวดพิษชีวภาพ แต่ผลลัพธ์จะอยู่นอกเหนือการควบคุมโดยสิ้นเชิง จึงเกรงว่าอาจไม่ใช่วิธีถูกต้องนัก
ถัดมา ชายหนุ่มหวนนึกถึงพลัง ‘ฝันร้าย’ ภายในยุบพองหิวโหย การดึงเหยื่อให้ตกอยู่ในภวังค์หลับลึกถือเป็นจุดเด่นของเส้นทางดังกล่าว
แต่ปัญหาคือ ต่อให้เป็นลำดับ 7 ฝันร้ายตัวจริง ก็ยังไม่สามารถทำให้ผู้โดยสารจำนวนมากตกอยู่ในภวังค์หลับลึกพร้อมกันได้ หากจะให้เข้าเงื่อนไขของแฮงแมน บางทีอาจต้องใช้เส้นทางเดียวกันในลำดับ 5 หรือไม่ก็ต้องเป็นครึ่งเทพขึ้นไป…
ไคลน์กลืนคำตอบลงคอและมิได้บังคับให้เดอะเวิร์ลกล่าวสิ่งใด
ขณะเดียวกัน ออเดรย์ ฟอร์ส และเดอร์ริค ต่างก็ส่ายหน้าพร้อมกันเป็นเชิง ‘ไม่’
เอ็มลินทำหน้านึก
“ข้าสามารถถามให้ได้ เพราะบางที พวกเราผีดูดเลือดอาจมีสมบัติวิเศษประเภทดังกล่าวเหลืออยู่ภายในตระกูล”
เขาพูดว่า ‘พวกเราผีดูดเลือด’ บ่อยครั้ง… ในอนาคต เราสามารถกุมจุดอ่อนของเขาได้จากการใช้คำในลักษณะนี้…
อัลเจอร์พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“คงต้องรบกวนคุณแล้ว”
เมื่อเห็นว่าการแลกเปลี่ยนใกล้จบลง ไคลน์บังคับเดอะเวิร์ลกล่าวความต้องการสุดท้าย
“ทุกคน รบกวนช่วยจับตามองพลังวิญญาณตกค้างของวิญญาณอาฆาตโบราณ และดวงตาการ์กอยล์หกปีกให้ผมด้วย”
นอกเหนือจากวัตถุดิบหลัก ไคลน์สามารถหาวัตถุดิบรองได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาชุมนุมทาโรต์
“ตกลง” เดอร์ริคตอบสนองเป็นคนแรก จากนั้นก็เสริมด้วยสีหน้าเจือความสำนึกผิด
“มิสเตอร์เวิร์ล ในส่วนของวิธีขจัดการกัดกร่อนทางจิตออกจากตะกอนพลังปนเปื้อน ผมยังต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลดังกล่าว ตอนนี้กำลังเร่งพัฒนาตัวเองให้เป็นลำดับ 7 อย่างสุดความสามารถแล้ว”
เมื่อกล่าวจบ เด็กหนุ่มหันไปมองด้านข้าง
“มิสเตอร์แฮงแมน ไว้ให้ผมเดินทางกลับถึงเมืองเงินพิสุทธิ์ก่อน แล้วจะรีบจดรายชื่อของสัตว์ประหลาดโดยรอบให้ทันที”
เดอร์ริคไล่ทบทวนหนี้ตกค้างของตนโดยไม่ปล่อยให้ตกหล่นใครไป คล้ายกับสิ่งเหล่านี้คอยตามหลอกหลอนจนมันนอนไม่หลับมาตลอดหลายวัน
“ไม่มีปัญหา” เดอะเวิร์ลตอบเสียงเรียบ
ทางด้านไคลน์เองก็ไม่รีบร้อน ยังอีกนานกว่าจะย่อยโอสถผู้ไร้หน้าสมบูรณ์ ไม่สิ ยังหากฎและเทคนิคสวมบทบาทไม่ได้ด้วยซ้ำ
กระบวนการย่อยเพิ่งเริ่มต้นขึ้น จึงยังเหลือเวลาอีกหลายเดือนกว่าจะใช้วัตถุดิบหลักของโอสถนักเชิดหุ่น
ดังนั้น แผนออกทะเลของชายหนุ่มจึงไม่ใช่การเดินทางตรงดิ่งไปยังหมู่เกาะการ์กัสทันที ตรงกันข้าม ไคลน์จะทำตัวเป็นนักผจญภัย และท่องเที่ยวสลับทำงานตามหมู่เกาะอาณานิคมต่างๆ พลางหาโอกาสปลอมตัวเป็นคนอื่นเพื่อย่อยโอสถผู้ไร้หน้าอย่างต่อเนื่อง
ระหว่างการเดินทาง มันจะรวบรวมข้อมูลของนางเงือกอย่างละเอียดอีกครั้ง สืบเนื่องมาจาก โบสถ์รัตติกาลได้ครอบครองและเลี้ยงดูนางเงือกไว้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มจึงเริ่มระแวงว่าทางโบสถ์อาจวางกับดักบางชนิดไว้หลอกล่อผู้ไร้หน้าแถวหมู่เกาะการ์กัส
ในอีกความหมายหนึ่ง ไคลน์เตรียมใช้เวลาสองถึงสามเดือนถัดจากนี้เพื่อท่องเที่ยวไปรอบทะเลโซเนียอย่างไม่รีบร้อน นานพอจะให้เดอะซันรวบรวมวัตถุดิบหลักโอสถเพื่อเลื่อนเป็นลำดับ 7 ‘ข้ารับใช้สุริยัน’ และมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลระดับสูง
เมื่อช่วงเวลาค้าขายจบลง ชุมนุมทาโรต์ย่างเข้าสู่ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระ
ออเดรย์ไม่ทำให้แฮงแมนผิดหวัง เธอลุกยืนและโค้งคำนับไปทางมุมโต๊ะทองแดงยาว
“ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ดิฉันอยากทราบความจริงเบื้องหลังโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ ความจริงมีเพียงแค่ นิกายชั่วร้ายต้องการปลุกให้แม่มดบรรพกาลลืมตาตื่นขึ้น รวมถึงต้องการให้พระผู้สร้างแท้จริงลงมาจุติเท่านั้นหรือคะ? แล้วทำไมองค์ชายเอ็ดซัคถึงยอมร่วมมือ …จากกฎการแลกเปลี่ยนอันเท่าเทียม ท่านต้องการสิ่งใดเป็นการแลกเปลี่ยนกับข้อมูลในคราวนี้หรือคะ”
ถ้าเรารู้ ปัญญาก็คงถูกแก้ไขไปนานแล้ว…
นักต้มตุ๋นไคลน์ผ่อนคลายอิริยาบถเล็กน้อย ตามด้วยการหัวเราะในลำคอ
“ไม่จำเป็น รากฐานของปัญหายังไม่ถูกพบ แต่พวกมันทิ้งเบาะแสไว้ค่อนข้างจัดเจน ได้หวังว่าคนของสามโบสถ์หลักจะไม่โง่เขลาจนเกินไป”
ยังไม่มีใครทราบถึงรากฐานแท้จริงของปัญหา? หมายความว่าปัญหายังไม่หมดไปจากเมืองหลวง!
แต่อย่างน้อย มิสเตอร์ฟูลก็บอกให้ข้ารับใช้ของท่าน นำข้อมูลไปรายงานให้สามโบสถ์หลักทราบโดยทั่วกันแล้ว…
ออเดรย์ค่อนข้างตกใจเมื่อได้ยิน แต่ก็ไม่ตื่นตระหนกจนเกินพอดี เนื่องจากทำใจกับเรื่องมาสักพักใหญ่แล้ว
กรุงเบ็คลันด์ยังไม่หลุดพ้นจากอันตราย…?
ฟอร์สเริ่มกระสับกระส่าย
หลังจากจัสติสนั่งลง ไคลน์บังคับให้เดอะเวิร์ลหัวเราะเสียงแห้ง
“มิสเตอร์แฮงแมน ผมพบเบาะแสของชายชื่อบาลุนตามคำบอกเล่าของคุณแล้ว”
“บาลุนผู้มีส่วนเกี่ยวพันกับการหลบหนีของทาสจำนวนมากบนหมู่เกาะอาณานิคม?” แฮงแมนซักถามด้วยสีหน้าเคลือบแคลง
“ถูกต้อง ผิวสีแดงน้ำตาล สำเนียงเบ็คลันด์ และฟันซี่สามจากซ้ายเป็นของปลอม” เดอะเวิร์ลตอบฉะฉานด้วยเสียงแหบ
“…คงไม่ผิดตัว” อัลเจอร์ก้มหน้าตรึกตรองสองวินาที “มันอยู่ไหน? กำลังใช้ตัวตนปัจจุบันเป็นใคร?
“แล้วก็ มิสเตอร์เวิร์ล คุณต้องการรางวัลตอบแทนแบบใดระหว่าง เงินสดหนึ่งร้อยปอนด์ และสิ่งของมูลค่าใกล้เคียง”
ต้องเงินแหงอยู่แล้ว!
ชายตกงานและกำลังดิ้นรนหาเงินมาประทังชีวิตอย่างไคลน์ บังคับเดอะเวิร์ลเปล่งเสียงแหบพร่า
“เงินสดหนึ่งร้อยปอนด์ บาลุนอยู่ในกรุงเบ็คลันด์ ใครบางคนเห็นมันนัดพบกับสมาชิกของ MI9 ผู้ทำงานรับใช้ราชวงศ์อย่างซื่อสัตย์ ผมไม่ทราบตัวตนชัดเจนเพราะอีกฝ่ายสวมหน้ากาก”
สมาชิกของ MI9 ผู้ทำงานรับใช้ราชวงศ์อย่างซื่อสัตย์…
แฮงแมนทวนคำพึมพำ ก่อนจะหวนนึกถึงคำถามของมิสจัสติสเมื่อครู่ :
เหตุใดองค์ชายเอ็ดซัคถึงทำงานให้ชุมนุมแสงเหนือกับนิกายแม่มด?
ทุกสิ่งพุ่งเป้าไปยังราชวงศ์… เบาะแสทั้งสองนำพาไปยังจุดหมายเดียวกัน? เบื้องหลังของโศกนาฏกรรมใหญ่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายไปของเหล่าทาสบนเกาะ?
อัลเจอร์เริ่มพบกุญแจสำคัญ
“เครือข่ายข้อมูลของคุณน่าทึ่งมาก ไว้พรุ่งนี้ผมจะจัดการเรื่องเงินสดหนึ่งร้อยปอนด์ให้เรียบร้อย” อัลเจอร์กล่าวขอบคุณอย่างใจเย็น
“หึ” เดอะเวิร์ลยิ้มและหันไปทางเดอะซัน
“พ่อหนุ่ม คุณรู้จักเฮอร์มิสโบราณไหม”
เดอร์ริคตอบโดยไม่ปิดบัง
“ผมเคยได้ยินเกี่ยวกับภาษาเฮอร์มิส แต่เมืองเงินพิสุทธิ์ไม่มีข้อมูลมากนัก”
ในช่วงยุคสมัยที่สอง มนุษย์จะเรียกภาษาเฮอร์มิสโบราณว่าเฮอร์มิส จนกระทั่งเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อย่างเข้าสู่ยุคสมัยที่สี่ มนุษย์ตัดทอนให้ภาษาเฮอร์มิสโบราณถูกใช้งานได้ง่ายขึ้น เพื่อจะได้นำไปถ่ายทอดและปรับใช้ในชีวิตประจำวันอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม นั่นทำให้ตัวภาษาสูญเสียความแข็งแรงในเชิงพิธีกรรมไป
สรุปก็คือ เฮอร์มิสตามความหมายของเดอะซันคือสิ่งเดียวกับเฮอร์มิสโบราณ… เมืองเงินพิสุทธิ์มีการบันทึกชื่อของเฮอร์มิสไว้ในประวัติศาสตร์จริง…
ไคลน์พยักหน้ารับ
“น่าเสียดาย มีเรื่องจะให้ช่วยสักหน่อย”
ทันใดนั้น ออเดรย์ฉุกคิดบางสิ่งได้จากบทสนทนาของทั้งสอง เป็นข้อมูลซึ่งเธอเคยได้ยินจากสมาคมแปรจิต
ในตอนแรกหญิงสาวมีเจตนาเล่าให้ทุกคนฟังอย่างทั่วถึง แต่หลังจากชำเลืองหางตาไปทางสมาชิกใหม่ เดอะมูน ออเดรย์พบว่าตนยังไม่รู้จักบุคคลผู้นี้ดีพอ จึงยกมือขึ้นและกล่าว
“ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ดิฉันมีบางสิ่งต้องการรายงานส่วนตัว”
ไคลน์พยักหน้า พลางตัดประสาทสัมผัสการได้เห็นและได้ยินของคนอื่น
“ว่ามา” ชายหนุ่มถามเยือกเย็น
ออเดรย์เล่าไปตามจริง
“ดิฉันได้ยินจากสมาคมแปรจิตว่า สมบัติสำคัญอันดับหนึ่งขององค์กรถูกพบระหว่างการขุดค้นซากปรักหักพังของเฮอร์มิส ผู้ให้กำเนิดภาษาเฮอร์มิสโบราณ”
ซากปรักหักพังของเฮอร์มิส? สุภาพบุรุษสูงวัยคนนั้นยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งราวสองร้อยปีก่อนไม่ใช่หรือ… แล้วทำไมถึงได้มีซากปรักหักพังในนามของเขาในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน?
ชายคนนั้นจงใจให้สมาคมแปรจิตค้นพบสมบัติเพื่อชี้นำบางสิ่ง หรือว่าถูกสังหารหลังจากโรซายล์เสียชีวิตได้ไม่นานกันแน่…
ไคลน์นิ่งเงียบพักหนึ่ง ตามด้วยการเผยรอยยิ้มและเปรยกับหญิงสาว
“เฮอร์มิสเป็นคนของสภานักสิทธิ์สนธยา”
ชายหนุ่มไม่กล้าเล่าว่าเฮอร์มิสยังมีชีวิตอยู่ เพราะมันไม่มีหลักฐานยืนยันในเรื่องนั้น
คนของสภานักสิทธิ์สนธยา? สมาคมแปรจิตมีบางสิ่งเกี่ยวพันกับองค์กรลึกลับดังกล่าวด้วยหรือ…
ออเดรย์ตกตะลึงอยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างผ่อนคลาย
โชคยังดี เรามีชุมนุมทาโรต์และมิสเตอร์ฟูลคอยให้การสนับสนุน ไม่อย่างนั้น คงไม่มีทางทราบว่าต้องคอยระวังตัวเรื่องใดบ้าง…
หญิงสาวสรรเสริญเดอะฟูลจากก้นบึ้ง
มาถึงจุดนี้ ไคลน์ต้องการช่วยให้จัสติสไม่จิตตกกับโศกนาฏกรรมของเมืองหลวงมากเกินไปนัก เพราะการเติบโตขึ้นไม่จำเป็นต้องละทิ้งความสดใสร่าเริงและรอยยิ้ม สองสิ่งดังกล่าวเป็นเรื่องดี แถมยังมิได้กระทบต่องานใหญ่ในอนาคต ตรงกันข้าม มันจะช่วยปรับอารมณ์ในระยะยาวได้ดีกว่า
แต่หลังจากครุ่นคิดกับตัวเอง ไคลน์ตัดสินใจรักษาภาพพจน์ของเดอะฟูล และไม่มอบคำแนะนำซึ่งตนได้รับจากประสบการณ์อันมีค่าสมัยยังเป็นตัวตลก
ถัดมา ชายหนุ่มสลายม่านกีดขวางรอบตัวสมาชิกคนอื่นพลางเอนหลังพิง รอให้ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลของชุมนุมทาโรต์จบลง
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น