Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 469-480

 ราชันเร้นลับ 469 : ราชินีแวมไพร์

โดย

Ink Stone_Fantasy

เหนือห้วงมิติสายหมอกเทา ท่ามกลางวังโบราณลักษณะคล้ายถิ่นพำนักของคนยักษ์


เดอะมูน เอ็มลิน เค้นสมองนึกอยู่เป็นเวลานาน ว่าตนควรนำประวัติศาสตร์ของผีดูดเลือดในช่วงใดมาเล่าให้เดอะฟูลฟัง


ท่านและท่านบรรพชนเป็นสหายเก่าแก่…หมายความว่า ท่านย่อมทราบเหตุการณ์ก่อนยุคสมัยมหาภัยพิบัติ เราไม่จำเป็นต้องเล่าซ้ำ…


ระหว่างยุคสมัยที่สี่และห้าถึงแม้ความยิ่งใหญ่ของผีดูดเลือดจะยังไม่เลือนหายไปไหน และมีหลายสิ่งให้พูดถึง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าเหตุการณ์นั้นแล้ว…


เอ็มลินตัดสินใจได้


จากมุมมองของมัน เดอะฟูลคงเป็นเทพบรรพกาลสักตน ผู้ดำรงชีวิตมาตั้งแต่ก่อนยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ ด้วยเหตุผลบางประการ ท่านสามารถรอดพ้นจากการร่วงหล่น และคอยหลบซ่อนในเงามืดมาตลอด


นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมประวัติศาสตร์อันซับซ้อนและยาวนานของตระกูลผีดูดเลือดจึงไม่มีการบันทึกรายละเอียดของเดอะฟูลไว้เลย เพิ่งจะมาได้ยิน ‘นามเต็ม’ อันสูงส่งของท่านเอาเมื่อไม่นานมานี้


หลังจากเรียบเรียงคำพูด เอ็มลินนั่งตัวตรง


“เมื่อถึงคราวสิ้นสุดยุคสมัยมหาภัยพิบัติ เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดตัดสินใจหลบออกจากฉากหน้าของประวัติศาสตร์ทวีปเหนือ และแฝงตัวปะปนกับมนุษย์เพื่อกลายเป็นขุนนางใหญ่ในหลายตระกูล บางรายสามารถเป็นผู้ครองเมืองหรือปราสาทใหญ่ในสมรภูมิสำคัญ เป็นเช่นนั้นจนกระทั่งราชินีจันทราเลือด ออร์นิญ่า ผู้เคยนำพาพวกเราทุกคนหลุดพ้นจากยุคสมัยอันดำมืด ได้กลายเป็นภรรยาของจักรพรรดิรัตติกาลแห่งจักรวรรดิทรันซอสต์ เธอรวมผีดูดเลือดให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง พวกเรากลายเป็นกำลังรบสำคัญให้กับราชวงศ์ทรันซอสต์ โดย ณ เวลานั้น ออกัสตัสแห่งโลเอ็น และไอน์ฮอร์นแห่งฟุซัค ก็ยังเรียกขานราชินีของพวกเราว่า ‘ฝ่าบาท’ ในช่วงเวลาดังกล่าว ราชินีออร์นิญ่าคือสัญลักษณ์ของความเลอโฉม หากตอนนั้นมีกระจกวิเศษและถามว่า ‘ผู้ใดงามเลิศในปฐพี’ คำตอบจะต้องออกมาเป็นท่านอย่างไม่มีข้อกังขา…”


ยิ่งเอ็มลินเล่า สีหน้าแววตายิ่งเผยความตื่นเต้นยินดี อากัปกิริยาเปลี่ยนจากกังวลและเคร่งขรึม กลายเป็นผ่อนคลายและพูดคล่อง


กระจกวิเศษซึ่งสามารถตอบได้ทุกคำถาม?


หมายถึงอาโรเดส? จริงสิ ชักน่าสนใจว่า ถ้าจิตแห่งจักรกลเกิดตั้งคำถาม : ‘กระจกวิเศษเอ๋ย ช่วยบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี’ อาโรเดสจะมอบคำตอบเช่นไร…


ไคลน์นั่งในท่าเดิม สวมรอยยิ้ม และปล่อยให้ความคิดล่องลอย


หลังจากเล่ามานาน สีหน้าเอ็มลินเริ่มขึงขัง


“แต่ทั้งหมดก็พังครืนลงเมื่อสิ้นสุดสงครามสี่จักรพรรดิ จักรพรรดิรัตติกาลร่วงหล่นไปพร้อมกับราชินีออร์นิญ่า ตระกูลผีดูดเลือดได้รับความเสียหายใหญ่หลวง แต่ในทางกลับกัน ผู้กอบโกยผลประโยชน์สูงสุดในสงคราม ประกอบด้วยออกัสตัส ไอน์ฮอร์น เซารอน และกาสตีญ่า ได้แยกตัวออกจากจักรวรรดิทรันซอสต์พร้อมกับทำลายราชวงศ์ทรันซอสต์ซึ่งอ่อนแอลงมากหลังจากสูญเสียเหล่าเทวทูตไปมหาศาล เหล่าผีดูดเลือดจึงไม่มีทางเลือกนอกจากถอยเข้าไปหลบซ่อนตัวในภูเขาลึก เพื่อให้ตระกูลดำรงต่อไปได้”


ไม่ผิดคาด… ดูเหมือนเหล่าเทพจารีตกลายเป็นเทพมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สี่แล้ว หรืออย่างน้อยก็ในสงครามสี่จักรพรรดิ…


ไคลน์หวนนึกถึงหกเทวรูปภายในซากปรักหักพังของราชวงศ์ทูดอร์


“โชคยังดี ความสัมพันธ์ระหว่างเทพจารีตไม่ราบรื่นนัก สี่อาณาจักรใหญ่บนทวีปเหนือจึงรบราฆ่าฟันกันบ่อยครั้ง ส่งผลให้ตระกูลผีดูดเลือดของพวกเราเอาตัวรอดมาได้”


ในวินาทีนี้ เอ็มลินกำลังแสงสีหน้าตื่นเต้นอันหาได้ยาก


มันจ้องไคลน์และกล่าว


“ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ทราบว่าท่านต้องการรับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับคุณงามความดีของราชินีจันทราโลหิต หรือยุคสมัยอันรุ่งโรงของตระกูลผีดูดเลือดหรือไม่ขอรับ ข้าเคยอ่านพบในบันทึกประวัติศาสตร์เล่มหนา และสามารถจดจำมันทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ”


หมอนี่คงนั่งเล่าได้ทั้งวัน… เราเคยคิดว่าเขาเป็นแวมไพร์บ้าฟิกเกอร์และไม่สนใจความเป็นไปของตระกูลเสียอีก ใครจะไปคิดว่า ความจริงแล้วกลับเพียบพร้อมไปด้วยข้อมูลเชิงลึกมากมาย… ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงทระนงตนมาตลอด ว่าผีดูดเลือดคือเผ่าพันธุ์อันสูงส่ง…


คงเป็นคนประเภทหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน และดำดิ่งไปกับความสนใจของตนโดยไม่แยแสโลกภายนอก ไม่เพียงเท่านั้น แวมไพร์ยังมีอายุยืนยาวกว่ามนุษย์ปรกติ…


ไคลน์ออกท่าทางลังเล ภายในใจกำลังนึกคำปฏิเสธอย่างสุภาพ


แม้ว่ามันจะชื่นชอบประวัติศาสตร์ แต่ก็มิได้ต้องการรับฟังข้อมูลทั้งหมดในคราวเดียวทีละมากๆ


“พอแล้ว” ไคลน์ยิ้ม “เราชอบการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม ดังนั้นในอนาคต เจ้าไม่ควรเล่าสิ่งใดส่งเดชโดยไม่มีผลตอบแทน


“ถ้าต้องการให้เราช่วยเหลือในสิ่งใด สามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวมาแลกเปลี่ยนได้”


“…ขอรับ” เอ็มลินทำหน้าเสียดาย


สำหรับมัน นี่คือโอกาสแสนหายาก กับการได้เล่าประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีเกียรติของผีดูดเลือดให้ใครสักคนฟัง!


ตามปรกติแล้ว เพื่อปกปิดตัวตน เอ็มลินไม่มีทางนำเรื่องนี้ไปอวดโอ่กับมนุษย์ และผีดูดเลือดด้วยกันก็คงไม่อยากฟัง เพราะทุกตนล้วนทราบประวัติศาสตร์พื้นฐานของตระกูลเป็นอย่างดี โอกาสเดียวคือการเล่าให้ผีดูดเลือดรุ่นใหม่ แต่เอ็มลินก็มิได้ถูกมอบหมายให้ดูแลเด็กใหม่อยู่ดี


ไคลน์ไม่สานต่อประเด็นเดิม เพียงกล่าวกลับไปเสียงขรึม


“วันนี้เจ้ากลับไปก่อน”


เมื่อสิ้นเสียง แสงสีแดงเข้มพลันสว่างวาบพร้อมกับโอบกอดร่างจิตของเอ็มลิน


หลังจากผ่านช่วงเวลามึนงง แวมไพร์หนุ่มพบว่าจิตของตนถูกส่งกลับมายังรถม้าอีกครั้ง


แต่ในความทรงจำกลับ ‘มองเห็น’ แผ่นกระดาษหนังมายา เขียนถึงขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมพันธสัญญาลับถึงเดอะฟูล


ไว้มีเวลาว่างในช่วงบ่าย เราค่อยประกอบพิธีกรรมถึงมิสเตอร์ฟูล เพื่อให้ท่านช่วยขจัดการชี้นำทางใจ…


เอ็มลินออกอาการตื่นเต้น


ต้องรอให้รถม้าเคลื่อนตัวไปถึงวิหารฤดูเก็บเกี่ยว จิตใจแวมไพร์หนุ่มจึงเริ่มจะกลับมาเป็นปรกติ


หลังจากย่างกรายเข้าไปในวิหาร มันรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นหลวงพ่อยูทรอฟสกี้กำลังนั่งสวดมนต์พร้อมกับสาวกอีกสามคน


ปัจจุบัน เอ็มลินมิได้เกิดอาการหวั่นวิตกเหมือนกับทุกทีอีกแล้ว เพียงกำลังครุ่นคิดบางสิ่งภายในใจ


เหตุใดหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ถึงไม่เคยขัดขวางเมื่อเราพยายามขจัดการชี้นำทางใจ…


เขากำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่…



เขตตะวันออก ร้านกาแฟเรียบง่าย


ไคลน์ ผู้มาถึงตรงตามเวลานัดหมาย กำลังลิ้มรสขนมปังข้าวโอ๊ตพร้อมกับสตูแกะใส่ถั่วพลางรับฟังรายงานจากเฒ่าโคห์เลอร์


ค่อนข้างน่าเสียดาย สัปดาห์นี้ไม่มีข้อมูลใหม่น่าสนใจ


เมื่อโคห์เลอร์เล่าจบ ชายหนุ่มทำหน้านึกสักพัก ก่อนจะหยิบธนบัตรมูลค่ารวมสองปอนด์ออกมาวางบนโต๊ะ และเลื่อนไปหาเฒ่าโคห์เลอร์อีกฝ่าย


“ด…เดี๋ยวก่อน! คุณเพิ่งให้เงินผมมาเองไม่ใช่หรือ!” โคห์เลอร์ทำหน้าประหลาดใจพลางโบกไม้โบกมือปฏิเสธ


ไคลน์ยิ้ม


“สัปดาห์นี้ผมจะลงใต้เพื่อลาพักร้อน คงถึงเวลาผ่อนคลายตัวเองหลังจากตรากตรำทำงานหนักมาตลอดทั้งปี ผมคงไปสักสองสามสัปดาห์กว่าจะกลับ เงินก้อนนี้คือค่าจ้างล่วงหน้า หึหึ… อย่าลืมทำงานให้ผมด้วยล่ะ”


“ต…ตกลงครับ!” เฒ่าโคห์เลอร์รับธนบัตรมาด้วยความรู้สึกยินดีเจือซาบซึ้ง


มันเริ่มวางแผนฉลองปีใหม่ทันที


โคห์เลอร์คิดจะซื้อแฮมหมักคุณภาพสูงมากินกับขนมปัง มันปรารถนาจะลิ้มรสอาหารประเภทนี้มานานแต่ยังไม่มีความกล้ามากพอ


อดใจไม่ไหวแล้ว…!


ขอบคุณมาก! นักสืบเชอร์ล็อก!


โคห์เลอร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่โดยไม่รู้ตัว


ไคลน์หยิบหมวกขึ้นมาสวม สีหน้าเผยความลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวกับอีกฝ่าย


“คุณคงสังเกตเห็นแล้วว่า เขตตะวันออกเต็มไปด้วยความวุ่นวายในช่วงหลัง อย่านำพาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพียงเพราะอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเด็ดขาด หากตระหนักถึงความผิดปรกติ ให้รีบซ่อนตัวและหลีกเลี่ยงการเข้าไปพัวพัน”


ไคลน์ค่อนข้างกังวลว่าหายนะจากองค์ชายเอ็ดซัคจะลามมาถึงเขตตะวันออก จึงออกปากตักเตือนด้วยความเป็นห่วง


“เข้าใจแล้ว” โคห์เลอร์ลูบท้อง “ผมเป็นคนขี้กลัวมาก ไม่มีทางนำตัวเองเข้าไปเสี่ยงแน่นอน”


“ดีแล้ว” ไคลน์ชม


ทันใดนั้น ชายหนุ่มพลันนึกถึงสาวซักผ้า ไลฟ์ และบุตรสาวอีกสองคน เฟร์ย่าผู้เสียสละ และเดซีผู้รักการอ่าน พลางหันไปกล่าวกับโคห์เลอร์


“คอยจับตามองครอบครัวไลฟ์ไว้ด้วย อย่าปล่อยให้พวกเขาถูกรังแก หากเกิดความโกลาหลขึ้นในเขตตะวันออก ให้รีบพาพวกเขาไปหลบยังจุดปลอดภัยทันที”


“โกลาหล… คุณหมายถึงการประท้วงของกลุ่มคนงาน?” โคห์เลอร์ถามด้วยสีหน้างุนงง


“ทำนองนั้น” ไคลน์ตอบคลุมเครือ


มันเปิดเผยได้แค่นี้ เพราะมิฉะนั้น ตนอาจถูกจับตามอง หรือไม่ก็ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับสมบัติปิดผนึกอันตรายสักชิ้น



ภายในห้องซึ่งเต็มไปด้วยฟิกเกอร์เล็กใหญ่มากมาย เอ็มลิน·ไวท์ ผู้รีบกลับถึงบ้านตอนเที่ยงตรง กำลังนั่งบนเก้าอี้พลางดื่มด่ำไปกับบรรยากาศอึมครึมอันเกิดจากผ้าม่านหนาทึบ


มันสำรวจรอบตัวหนึ่งครั้งและกำหมัดแน่น


“เพื่ออนาคตอันสดใสของเรา!”


เมื่อสิ้นเสียง แวมไพร์หนุ่มดำเนินขั้นตอนประกอบพิธีกรรมด้วยน้ำมันสกัดและผงสมุนไพร เขียนนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของเดอะฟูล สัญลักษณ์ซับซ้อน และอักขระเวทมนตร์ลงบนกระดาษ


หลังจากเสร็จขั้นตอนอันวุ่นวาย พลังวิญญาณเอ็มลินเริ่มกระจัดกระจาย คล้ายกำลังทะยานไปขึ้นไปยังเบื้องบน


เพียงครู่เดียว เอ็มลิน·ไวท์เริ่มมองเห็นภาพเลือนรางมากมาย มีทั้งเงาดำไม่คมชัด ริ้วแสงเจ็ดสีซึ่งเปี่ยมด้วยองค์ความรู้มหาศาล และทุ่งสายหมอกสีเทากว้างไกลอยู่ด้านบนสุด


เหนือสายหมอกสีเทามีวังโบราณ ยากจะมองเห็นรายละเอียดได้คมชัด ภายในวังมีบุคคลกำลังนั่งบนเก้าอี้สูง รอบตัวรายล้อมด้วยม่านหมอกหนาทึบ


ทันใดนั้น เอ็มลินมองเห็นร่างสีทองเปี่ยมกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์เข้มข้น ด้านหลังมีปีกสีดำสยายกว้างนับสิบคู่


ยังไม่ทันจะได้นับจำนวนปีก ร่างสีทองได้ลอยลงมาโอบกอดจิตของแวมไพร์หนุ่มไว้อย่างอ่อนโยน


“อ๊ากกก!”


เอ็มลินแหกปากอย่าน่าสมเพช สองมือกุมศีรษะพลางลงไปนอนเกลือกกลิ้งบนพื้น ตามลำตัวมีควันสีเขียวเข้มลอยฟุ้งอย่างเชื่องช้า


ต้องใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าแวมไพร์หนุ่มจะใจเย็นลง ตามด้วยเสียงของเดอะฟูลซึ่งดังแว่วในเวลาไล่เลีย


“การชี้นำทางใจถูกขจัดแล้ว”


นี่คือความรู้สึกขณะถูกรักษา? ทำไมถึงได้เจ็บปวดรวดร้าวเพียงนี้…


เอ็มลินพยุงตัวนั่งบนพื้นด้วยลมหายใจกระเส่า เส้นผมหวีเรียบของมันเริ่มไม่เป็นทรง


ขณะเดียวกัน เหนือห้วงสายหมอกสีเทา ไคลน์กำลังพยักหน้ากับตัวเองพลางพึมพำ


“กะแล้วเชียว การใช้เข็มกลัดสุริยันกับแวมไพร์จะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดทรมาน”


ก่อนหน้านี้ ไคลน์เคยคำนวณอย่างมั่นใจแล้วว่า แสงบริสุทธิ์ของเข็มกลัดสุริยัน สามารถขจัดการชี้นำทางใจอ่อนๆ ในวิญญาณเอ็มลินได้อย่างหมดจด มันจึงไม่ต้องการเสียเวลาประกอบพิธีกรรมซับซ้อนตามหนังสือแห่งความลับ และเลือกใช้วิธีค่อนข้างรุนแรงแทน


ผลลัพธ์นับว่าตรงตามความคาดหมาย


เมื่อจัดการธุระเอ็มลินเสร็จ ไคลน์ปลดจี้บุษราคัมออกจากข้อมือซ้ายและเริ่มทำนาย


“เราจะปลอดภัยถ้าไปเยือนคฤหาสน์กุหลาบแดงในช่วงบ่ายของวันนี้”


เมื่อพึมพำครบเจ็ดครั้ง มันลืมตาขึ้นและพบว่าลูกตุ้มวิญญาณอยู่ในภาวะนิ่งสนิท


การจะทำนายถึงบางสิ่งเกี่ยวกับสมบัติปิดผนึกระดับ 0 หรือครึ่งเทพแต่ละครั้งช่างยากเย็นแสนเข็ญ… แทบไม่เคยได้รับการตอบสนองใดกลับมา…


ไคลน์ถอนหายใจยาว สีหน้าเริ่มกังวลเมื่อตระหนักถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์


ถัดมา ชายหนุ่มลองทำนายว่า ตนจะปลอดภัยหรือไม่ถ้าแวะเข้าไปเยี่ยมคฤหาสน์กุหลาบแดงในช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้แทน แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงล้มเหลวเช่นเดิม


เคยมีใครบางคนกล่าวว่า พลังทำนายมิได้ไร้เทียมทาน ปัจจุบันคือเครื่องพิสูจน์…


ต้องตัดสินใจเอาเองสินะ… คงมีแต่ต้องยอมเสี่ยง ไม่อย่างนั้นก็ไม่หลุดพ้นจาก ‘เวที’ และกลายเป็นคนนอกสักที… ยิ่งลงมือเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี จะมัวชักช้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้น สถานการณ์อาจแย่ลงจนถอนตัวไม่ทัน…


ไคลน์คิดไวทำไว


มันส่งตัวเองกลับโลกจริง สวมเสื้อโค้ทกระดุมสองแถวและหมวกทรงกึ่งสูง ตามด้วยการเดินออกจากอาคารหมายเลข 15 ถนนมินส์ โดยมีปลายทางเป็นคฤหาสน์กุหลาบแดงขององค์ชายเอ็ดซัค·ออกัสตัส


……………………


ราชันเร้นลับ 470 : ชื่อ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ด้านนอกคฤหาสน์กุหลาบแดง ไคลน์เดินออกจากรถม้าพร้อมด้วยไม้ค้ำในมือซ้าย


ชายหนุ่มหลับตาลงเพื่อสงบจิตใจ ก่อนจะลืมตาจ้องทหารองครักษ์ชุดแดงผู้ยืนประจำการหน้าประตูหลัก


ในเมื่อสมบัติปิดผนึก 0-08 คอยสร้างความบังเอิญมิให้เราได้พบกับหญิงสาวปริศนาเจ้าของแหวนพลอยสีฟ้ามาตลอด คราวนี้ก็คงไม่มีข้อยกเว้น… เราไม่น่าจะโชคร้ายบังเอิญพบเธอในคฤหาสน์ ฉะนั้น ขอเพียงเราอาศัยมารยาตีหน้าเศร้าให้องค์ชายเชื่อว่าเราอ่อนแอ ทุกสิ่งจะผ่านไปอย่างราบรื่น…


ไคลน์รีบวางแผนพลางเดินเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่


หลังจากถูกค้นตัวและยึดปืนกับซองปืนไปเก็บชั่วคราว ชายหนุ่มเดินตามบุรุษรับใช้ไปตามแนวถนนหินสีเทา ผ่านน้ำพุซึ่งกำลังพ่นละอองของเหลวสีใสตลอดเวลา จนกระทั่งเข้ามาในตัวอาคารหลัก


เพียงไม่นาน ชายหนุ่มขึ้นมายังชั้นสองและหยุดยืนหน้าห้องซึ่งน่าจะเป็นห้องกระจกสำหรับอ่านหนังสือ


ตลอดการเดิน ไคลน์ปิดปากเงียบสนิท ด้วยความกังวลว่าอาจมีสถานการณ์ไม่ปรกติเกิดขึ้น จนส่งผลให้ตนถอนตัวกลับไม่ทัน


ก็อก. ก็อก. ก็อก.


บุรุษรับใช้เคาะประตูห้องสามครั้ง ตามด้วยการโน้มตัวเข้าไปใกล้และเปล่งเสียง


“นักสืบเชอร์ล็อกขอรับ”


ความเงียบงันผ่านนานไปสิบวินาทีเต็ม จึงค่อยมีเสียงทุ้มดังเล็ดลอดมาจากด้านใน


“เข้ามาได้ เขาเป็นแขกขององค์ชาย”


เมื่อบานประตูเปิดแง้ม สายลมอบอุ่นพลันพรั่งพรูปะทะใบหน้าไคลน์ อากาศเบาสบายกว่าภายในโถงทางเดินยาวค่อนข้างมาก


หลังจากผ่านการตรวจตราอย่างละเอียดโดยองครักษ์ร่างใหญ่สองคน ไคลน์ย่างกรายเข้าไปในห้องซึ่งมีพรมสีเหลืองผืนหนา


มันเดินอ้อมตู้แสดงสมบัติ ผ่านฉากกั้นกึ่งกลางห้องและได้พบกับองค์ชายเอ็ดซัคนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ท่าทางคล้ายกำลังดื่มด่ำแสงแดดอันหายากในฤดูหนาว


ใบหน้ากลมกลึง ผิวพรรณสะอาดสะอ้านสมกับเป็นเชื้อพระวงศ์ เอ็ดซัคกำลังเงียบขรึมและไม่เผยรอยยิ้มใด บรรยากาศภายในห้องจึงค่อนข้างอึมครึมและอึดอัด


ด้วยอุณหภูมิจากเตาผิงหรูหราและท่อแก๊สผสมผสานเข้าด้วยกัน อากาศด้านใจจึงอบอุ่นไม่ต่างจากช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ


องค์ชายสามมิได้สวมโค้ท เพียงสวมเชิ้ตสีขาวพับแขน และทับด้วยกั๊กสีเหลืองหรูหรา


เห็นเช่นนั้น ไคลน์ผ่อนคลายตัวเองทันที เนื่องจากภายในห้องไม่มีหญิงสาวปริศนาเจ้าของแหวนพลอยสีฟ้าอยู่ด้วย


ชายหนุ่มรีบก้าวขาไปข้างหน้าและคำนับ


เอ็ดซัค·ออกัสตัสกำลังถือถ้วยชาดำหอมกรุ่นและมีควันลอยอยู่ด้านบน บรรยากาศรอบตัวยังคงเงียบขรึม มิได้เชื้อเชิญให้ไคลน์นั่งลงตามมารยาท


เอ็ดซัคกล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเย็นชา


“มีความคืบหน้าบ้างไหม”


“ไม่ขอรับ ทั้งการทำนาย การสื่อวิญญาณ การสอบปากคำ และการสอบสวนทั้งหมด ผลลัพธ์ล้วนตรงกันระบุว่าทาลิมเสียชีวิตเนื่องจากภาวะหัวใจล้มเหลว” ไคลน์กล่าวด้วยสีหน้าสำนึกผิดและตำหนิตัวเองอย่างหนัก “กระหม่อมอ่อนแอเกินไปในทุกด้าน องค์ชาย ท่านควรจ้างใครสักคน ผู้มีพลังและความชาญฉลาดมากกว่ากระหม่อม”


ระดับองค์ชายน่าจะหาได้ไม่ยาก…


มันกลืนคำสุดท้ายลงคอ


ขณะเดียวกัน องค์ชายเอ็ดซัคเริ่มตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ นักสืบหนุ่มผู้นี้แก่ชราลงอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าอิดโรยประหนึ่งอดหลับอดนอนติดต่อกันเป็นเวลานาน


นี่มิใช่ภาพลวงตาหรือการคิดไปเอง แต่เป็นเพราะไคลน์ใช้พลังผู้ไร้หน้า เปลี่ยนให้ผิวหนังของตนแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น เปลี่ยนให้หนวดเครารกรุงรัง และเปลี่ยนให้ถุงใต้ตามีลักษณะคล้ำจนเด่นชัด


องค์ชายสามเงียบงันครู่ใหญ่ ก่อนจะวางแก้วกระเบื้องเคลือบเลี่ยมทองลง


“เข้าใจแล้ว เราคงฝืนเจ้าเกินไป ไม่ต่างอะไรกับการใช้เข็มหมุดอุดหลุมใหญ่… ตกลง เราจะให้คนอื่นตามสืบเรื่องนี้ต่อ รบกวนเตรียมเอกสารรายงานอย่างละเอียดไว้ด้วย อย่าให้ขาดตกบกพร่องเป็นอันขาด”


ต้องอย่างนั้น!


ไคลน์กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ตามด้วยการล้วงหยิบกระดาษปึกหนึ่งออกจากกระเป๋า


“องค์ชายไม่จำเป็นต้องรอ กระหม่อมมีนิสัยชอบจดบันทึกเป็นกิจวัตร”


หลังจากส่งสัญญาณให้คนสนิทหยิบกระดาษแทนตน เอ็ดซัค·ออกัสตัสเปิดอ่านหลายวินาทีจะวางลงบนโต๊ะ


“เจ้าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมหรือไม่”


“ไม่ขอรับ องค์ชาย ขอเพียงอนุญาตให้กระหม่อมลาพักร้อนก็พอ เอ่อ… กระหม่อมวางแผนจะลาพักร้อนทางใต้สักพัก ร่างกายต้องการแสงแดดเพื่อช่วยเยียวยาหัวใจอันเจ็บปวด”


ไคลน์ถอนหายใจ


“ฉลองปีใหม่สินะ วัฒนธรรมปรกติของชาวโลเอ็น” เอ็ดซัคพยักหน้าเล็กน้อยพลางหันไปมองฟังเกล พ่อบ้านแก่ชรา และออกคำสั่ง “ส่งนักสืบเชอร์ล็อกกลับไปด้วยรถม้า”


จากคฤหาสน์กุหลาบแดง เมืองใกล้สุดอยู่ห่างประมาณสิบห้าถึงยี่สิบนาทีด้วยการเดินเท้า ถ้าไปถึงจะมีรถม้าคอยให้บริการ


“ขอรับ องค์ชาย” พ่อบ้านชราโค้งคำนับ


ไคลน์ยังไม่ลดความระแวงลงขณะเดินกลับออกจากคฤหาสน์


มันตามหลังพ่อบ้านชราจนกระทั่งถึงหน้าทางเข้า และรับปืนกับซองปืนกลับคืนมา


ไม่ถึงสิบนาที ไคลน์ขึ้นไปนั่งรถม้าประจำคฤหาสน์กุหลาบแดงอย่างผ่อนคลาย


มันเอนหลังอิงเบาะพลางจ้องมองภาพคฤหาสน์ด้านหลังเล็กลงทุกขณะ


จนกระทั่งลับสายตา จึงค่อยถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าโล่งอก หัวใจกลับมาสุขุมเยือกเย็นและปราศจากอาการตื่นเต้นได้อีกครั้ง


ไคลน์มั่นใจ ตอนนี้ตนออกจาก ‘เวที’ เรียบร้อยแล้ว


ขั้นตอนต่อไปคือ เราต้องบอกลาเบ็คลันด์และเดินทางลงใต้ ปิดม่านการแสดงลงอย่างสมบูรณ์… จากนั้นค่อยเปลี่ยนหน้าตาและย้อนกลับเข้าใหม่มาอย่างเงียบเชียบ…


ชายหนุ่มเริ่มวางแผนล่วงหน้า


ทันใดนั้น พลังวิญญาณไคลน์พลันสั่นกระเพื่อมรุนแรง มุมสายตาเหลือบเห็นประตูรถม้าเปิดแง้มชั่วครู่ และปิดสนิทอย่างเงียบงันภายในเวลาไม่กี่วินาที!


ยังไม่ทันได้ตอบสนอง มันมองเห็นสตรีผู้หนึ่งกำลังนั่งบนเบาะฝั่งตรงข้าม สวมเดรสสีดำหรูหรารุงรัง และมีแหวนพลอยสีฟ้าเม็ดใหญ่อยู่บนมือ


แหวนพลอยสีฟ้า!


ฉากตรงหน้าทำให้ไคลน์ ผู้คิดไม่ทันว่าตนควรหลบหนีหรือโจมตีกลับ ทำได้เพียงหรี่ตาลงและนั่งนิ่งโดยไม่กล้าบุ่มบ่าม


สตรีปริศนาผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เธอคือเจ้าของสมบัติปิดผนึกระดับ 0 หรือไม่ก็เป็นครึ่งเทพในระดับใกล้เคียงกัน!


นี่มัน…


เคยมีคำกล่าวว่า ยิ่งพยายามหลีกหนีสิ่งใด โชคชะตาก็ยิ่งนำพาสิ่งนั้นให้เข้ามาหา!


ทำไมคราวนี้ 0-08 หรืออะไรทำนองนั้น ถึงไม่ยอมสร้างความบังเอิญให้เธอคลาดกับเรา!


ทั้งจิตใจและวิญญาณไคลน์พลันหดเกร็ง ทำได้เพียงประสานสายตากับบุคคลตรงหน้าอย่างเงียบงัน


อายุจริงของหญิงสาวไม่สอดคล้องกับลักษณะการแต่งกาย หน้าตาประมาณสิบแปดสิบเก้า ใบหน้ากลมกลึง ดวงตาเรียวคม แผ่กลิ่นอายอ่อนโยนและสง่างาม


ลึกลงไป ไคลน์พบว่าสตรีผู้นี้มีรูปโฉมอ่อนหวานและงดงามจนน่าตกตะลึง


นี่มัน…!


ชายหนุ่มพลันถูกสะกด แต่เพียงไม่นานก็โพล่งขึ้นหลังจากจดจำอีกฝ่ายได้


“ทริสซี่!”


เป็นใครไปไม่ได้นอกจากอดีตนักกระตุ้น ทริส ผู้กลายเป็นแม่มด ทริสซี่ในตอนหลัง!


จากคนร้ายในประกาศจับ หล่อนกลายมาเป็นผู้หญิงข้างกายองค์ชายเอ็ดซัคได้ยังไง…


ทำไมสมาชิกของนิกายแม่มด ถึงมาเป็นคนรักขององค์ชายสามแห่งราชวงศ์ออกัสตัสได้!


แถมยังเป็นผู้ถือครองสมบัติปิดผนึกระดับ 0 หรือไม่ก็ใกล้เคียง!


เมื่อจ้องมองอีกครั้ง ไคลน์พบว่ามีบางจุดแตกต่างไปจากทริสซี่คนเดิม สำหรับปัจจุบัน ไม่เพียงใบหน้าจะงดงาม แต่ยังเปี่ยมด้วยความอ่อนละมุนและตึงกระชับ เมื่อรวมทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกัน ทั้งหมดส่งเสริมให้เธอกลายเป็นบุคคลซึ่งบุรุษยากจะเบือนสายตาหนีไปทางอื่น


หลังจากได้ยินไคลน์โพล่ง ตรงข้ามกับอาการตื่นกลัว ทริสซี่พลันยินดีปรีดาอย่างออกนอกหน้า


“คุณรู้จักฉัน… คิดไว้แล้วเชียว! นักสืบผู้มีพลังพิเศษย่อมสามารถจดจำใบหน้าคนร้ายบนประกาศจับได้แม่นยำ!”


เห…? เอ่อ… ทำไมเธอถึงดีใจ?


ไคลน์ซักถามด้วยสีหน้างุนงง


“คุณต้องการอะไร”


ชายหนุ่มยังจำได้แม่นยำว่า หญิงสาวตรงหน้าไม่ใช่คนดีนัก ทริสเคยสร้างโศกนาฏกรรมร้ายแรงบนเรืออัลฟาฟ่าด้วยตัวตนเดียว และทริสซี่ก็เคยทำให้ชาวเมืองทิงเก็นจำนวนมากต้องตาย


ทริสซี่เม้มปาก พลางเผยรอยยิ้ม


“ง่ายมาก รีบรายงานเรื่องของฉันให้เหยี่ยวราตรี ทูตพิพากษา หรือจิตแห่งจักรกลทราบโดยด่วน! เรียกให้พวกเขามาจับฉัน!”


เรียกตำรวจให้มาจับตัวเอง?


กะเทย— เอ่อ… ผู้หญิงคนนี้ต้องเสียสติไปแล้วแน่…


ไคลน์พูดไม่ออกไปพักใหญ่


แต่เพียงไม่นาน เมื่อลองไตร่ตรอง มันเริ่มพบความนัยแฝง :


ทริสซียอมถูกขังหลังประตูยานิส มากกว่าต้องอยู่ในคฤหาสน์กุหลาบแดงต่อ เธอกำลังหาทางหลบหนีออกจากตรงนั้น…


สรุปโดยสั้น ทริสซี่เชื่อว่าการถูกหน่วยพิเศษของทางการจับตัว มีความทรมานน้อยกว่าต้องทนทุกข์ในคฤหาสน์กับองค์ชาย…


ไคลน์พยายามควบคุมสีหน้า


“คุณกำลังหนีจากสิ่งใด”


ทริสซี่เงียบงันหลายวินาที ก่อนจะมอบคำตอบด้วยดวงตาเหม่อลอย


“ใครบางคนกำลังบงการชีวิตฉัน รอบตัวฉันมักเกิดความบังเอิญติดต่อกันหนแล้วหนเล่าจนแทบจะกลายเป็นบ้า ฉันเป็นตัวเองน้อยลงทุกที”


กล่าวถึงตรงนี้ หญิงสาวยกมุมปากจืดชืด


“คุณพอจะจินตนาการออกหรือไม่ ในอดีตเคยหลงรักบรรดาสาวใช้ขี้อายและน่าทะนุถนอม แต่แล้ววันหนึ่ง คุณกลับตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษเปลือยกาย”


พอแค่นั้นแหละ! นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่อยากเข้าใกล้นักลอบสังหารหรือแม่มด…


ไคลน์อดนึกภาพตามไม่ได้ และนั่นทำให้ชายหนุ่มเกิดอยากอาเจียน


ทริสซี่เล่าต่อด้วยรอยยิ้มขื่นขม


“ฉันเข้าใจเอาเองว่า การเลื่อนลำดับกลายเป็น ‘สุขสม’ จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากภาวะดังกล่าว จึงพยายามหาคนช่วยรวบรวมวัตถุดิบหลักของโอสถแทน แต่ผลลัพธ์กลับเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ในบางครั้ง สมองของฉันว่างเปล่าอย่างกะทันหัน โดยมีหลายสิ่งเกิดขึ้นในระหว่างนั้น ฉันพยายามกล้ำกลืนความน่าขยะแขยงและล่อลวงทาลิม ให้เขาพาฉันออกไปจากคฤหาสน์ แต่ใครจะไปรู้ว่า ฉันดันสาปทาลิมเข้าโดยไม่รู้ตัว… คุณเชื่อคำพูดฉันไหม ฮะฮะ…! บ้าบอสิ้นดี พวกมันเปลี่ยนแม้กระทั่งชื่อของฉัน พยายามทำให้ฉันละทิ้งอดีตและกลายเป็นคนอื่นโดยสมบูรณ์… ไม่ยอมเด็ดขาด! แต่เรื่องน่าสนุกก็คือ พวกมันดันเชื่อว่า ฉันสามารถเอาชนะความบังเอิญได้แค่ไม่กี่ครั้ง ก่อนจะกลับไปอยู่ในลู่ทางปรกติ แต่ความจริงคืออะไรรู้ไหม ฉันแค่แสร้งทำให้พวกมันเข้าใจแบบนั้น! หากต้องการ ฉันสามารถหลุดพ้นจากความบังเอิญได้ตามใจชอบ เหมือนกับตอนนี้ยังไงล่ะ คุณนักสืบ”


สุขสม… แม่มด… วัตถุดิบหลัก…


ไคลน์พลันหวนนึกถึงเหตุการณ์ในชุมนุมลับของเนตรแห่งปัญญา มันยังจำได้ว่า ชายคนหนึ่งพยายามซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถแม่มดสุขสมกลับไป แม้ว่าไคลน์จะทราบสูตรโอสถ แต่มันตระหนักถึงความอันตรายและตัดสินใจไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว


ผู้ช่วยของทริสซี่นี่เอง… ตอนนั้นเธออยู่กับองค์ชายเอ็ดซัคแล้วหรือ… ชิ! ทำไมรอยยิ้มของหล่อนถึงได้เจิดจ้าและน่าหลงใหลเช่นนี้!


เส้นทางแม่มดน่ารังเกียจชะมัด…


ไคลน์สูดลมหายใจยาว


หลังจากเรียบเรียงความคิดตัวเองเสร็จ ชายหนุ่มซักถามอย่างเป็นกันเอง


“พวกมันเปลี่ยนชื่อคุณเป็นอะไร”


ทริสซี่ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว พลางมอบคำตอบด้วยสีหน้าเหม่อลอย


“ทริสซี่·ชีค”


ทริสซี่·ชีค…


ชีค…?


ไคลน์เริ่มชาไปทั้งตัว ดวงตาจ้องมองหญิงสาวฝั่งตรงข้ามด้วยร่างกายแข็งทื่อประหนึ่งรูปปั้นแกะสลัก


สมองนึกทบทวนไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์หน้าหนึ่ง ซึ่งมีข้อความลงท้ายว่า :


“5 มิถุนายน เราค้นพบหนังสือโบราณกล่าวถึงนามของแม่มดบรรพกาล…เธอชื่อว่า ‘ชีค’ …”


……………………


ราชันเร้นลับ 471 : การเตรียมตัวของไคลน์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชีค…


เส้นขนจำนวนมากกำลังตั้งชูชันบนผิวหนังชายหนุ่ม มันยังคงมองเข้าไปในดวงตาอันพร่ามัวและเย้ายวนของสตรีเลอโฉมอ่อนวัย


อาการขนลุกในคราวนี้ค่อนข้างรุนแรง มาพร้อมเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นทุกซอกมุมร่างกาย


ไคลน์รู้สึกประหนึ่งย้อนเวลากลับไปอยู่ในห้องรับแขกของบริษัทหนามทมิฬแห่งเมืองทิงเก็นอีกครั้ง ขณะมันเตรียมเปิดเนตรวิญญาณเพื่อส่องทารกในครรภ์เมกูส ความหวาดกลัวจากก้นบึ้งได้กระตุ้นให้สัญชาตญาณเกิดความตึงเครียดฉับพลัน คล้ายกับมีมือของใครบางคนกำลังบีบกำหัวใจแน่น


ชายหนุ่มเข้าใจทันทีว่า ต้นตอของความล้มเหลวหนแล้วหนเล่าขณะใช้พลังทำนายบนมิติสายหมอกเกิดจากสิ่งใด


ไม่ใช่สมบัติวิเศษระดับ 0 แต่เป็นบางสิ่งในร่างกายทริสซีซึ่งมีระดับตัวตนสูงกว่านั้นหลายเท่า!


สัญลักษณ์แห่งหายนะ แม่มดบรรพกาล!


ไม่สิ เธอยังมิได้เป็นแม่มดบรรพกาลเต็มตัว ไม่อย่างนั้น เราคงเกิดอาการคลุ้มคลั่งทันทีเพียงได้เข้าใกล้ จากนั้นก็กลายเป็นเศษเนื้อสีแดงยุบพองน่าสะอิดสะเอียน


เธอกำลังอยู่ในภาวะประหลาด…


ทันใดนั้น คิ้วของทริสซีเริ่มคลายออก หญิงสาวได้รับประกายแววตากลับคืนมาอีกครั้ง


ขณะเธอกำลังจ้องไคลน์ ทริสซีเริ่มเลื่อนฝ่ามืออันขาวเนียน ลูบไล้ไปตามด้านข้างลำตัวอย่างเย้ายวน ปลายนิ้วเน้นหนักรอบวัตถุทรงกลมบริเวณทรวงอก กิริยาท่าทางเปี่ยมด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งเย้ายวน เศร้าโศก และแฝงความคิดร้าย


พลางกล่าวกับไคลน์


“หากคุณสามารถแจ้งเหยี่ยวราตรี จิตแห่งจักรกล หรือทูตพิพากษาเกี่ยวกับเรื่องของฉันสำเร็จ และถ้าเรามีโอกาสได้พบกันอีกครั้งก่อนฉันถูกจับขัง ขอรับปากว่าจะมอบความสุขสมอันยากจะลืมเลือนไปชั่วชีวิตให้ได้ลิ้มรส”


สายตาไคลน์ยังคงจ้องมองการขยับมือของทริสซี่โดยไม่รู้ตัว ภาพลามกอนาจารพลันพรั่งพรูเข้ามาในสมองอย่างมิอาจยับยั้ง


…ถึงจะไม่ใหญ่ แต่ก็กระชับพอดีมือ…


เชี่ย! เราคิดอะไรอยู่! กำลังมองไปทางไหน!


นี่คือพลังยั่วยวนของแม่มดสุขสม? อันตรายฉิบหาย… ต่อให้เธอไม่เคยเป็นชายมาก่อน จนทำให้จินตนาการของเราหดลงหลายระดับ หรือต่อให้เธอไม่เคยฆ่าคนบริสุทธิ์ในเมืองทิงเก็นเลยสักครั้ง แต่ลำพังการมีออร่าของแม่มดบรรพกาลอยู่ในร่าง ก็มากพอจะทำให้เราเผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิต…


หากแม่มดบรรพกาลตื่นขึ้นมา เกรงว่า แม้แต่เดอะฟูลก็คงรับมือไม่ไหว…


ไคลน์ถอนหายใจเงียบงัน ก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นและมองไปบนเพดานห้องโดยสาร


“คุณคิดว่าตัวผม ผู้วิเศษลำดับกลางหรือไม่ก็ลำดับต่ำ จะมีน้ำยาหนีรอดจากเงื้อมมือของราชวงศ์เชียวหรือ พวกเขาทราบแล้วผมเข้ามาพัวพันกับคุณ คงไม่มีทางปล่อยให้มีชีวิตรอดกลับไปแน่…”


คล้ายกับทริสซีพึงพอใจเมื่อไคลน์ไม่กล้าสบตาเธอโดยตรง


หญิงสาวหัวเราะคิกคัก


“ไม่ต้องห่วง ฉันจะพยายามดึงแกนหลักของหน่วยพิเศษเอาไว้ให้เอง ถึงแม้อีกฝ่ายจะค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ถ้าเป็นการหนีให้รอดก็ยังพอมีโอกาส ฉันเชื่อว่าคุณคงต่อสู้อย่างสุดฝีมือ นั่นก็เพื่อความอยู่รอดของตัวคุณเอง…”


เมื่อสิ้นเสียง ร่างของทริสซีเลือนหายไปจากห้องโดยสาร ลักษณะคล้ายกับการใช้ผ้าขี้ริ้วลบชอล์กบนกระดานดำ


แตกแต่างจากมาดามชารอนในร่างวิญญาณอาฆาตมาก นี่คงเป็นเทคนิคการหายตัวอันสมบูรณ์แบบของนักลอบสังหาร…


ตึง!


ประตูห้องโดยสารรถม้าเปิดแง้มและปิดสนิทอีกครั้งด้วยเสียงอื้ออึง


กลิ่นหอมหวานของสตรียังคงติดอยู่ปลายจมูกเจือจาง ไคลน์เบือนหน้ากลับมาอีกครั้งพลางครุ่นคิดอย่างตึงเครียด


จวบจนตอนนี้ สองมือของชายหนุ่มก็ยังสั่นเทาโดยไม่มีทีท่าจะหยุด ประหนึ่งกำลังป่วยเป็นโรคเฉพาะทางบางอย่าง


ดูเหมือนทริสซีจะยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตัวเอง และยังไม่ทราบถึงน้ำหนักของชื่อ ‘ชีค’ …


ไคลน์พยายามสงบสติ สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง คำนวณระยะทางและเวลาหลังจากแล่นออกห่างคฤหาสน์กุหลาบแดง


สัมผัสวิญญาณและประสบการณ์รนหาความตายอันช่ำชองได้บอกกับมันว่า ในเวลาเช่นนี้ การดิ้นรนเอาชีวิตรอด ย่อมดีกว่าการไม่ลงมือทำอะไรเลย!


ฉะนั้น ในเมื่อตนกำลังจะถูกปิดปากด้วยฝีมือในสักคน อย่างน้อยก็ขอตะเกียกตะกายให้สุดฝีมือเสียก่อน!


สาม. สอง. หนึ่ง…


ไคลน์ลืมตาขึ้นพร้อมกับดีดนิ้ว


ณ มุมถนนใกล้เคียง เปลวเพลิงสีแดงส้มพลันลุกไหม้กิ่งไม้แห้งบนซากต้นไม้ ยอดเปลวเพลิงพุ่งสูงขึ้นไปยังบนท้องฟ้า


พร้อมกันนั้น ก้านไม้ขีดไฟซึ่งไคลน์กระจายไว้ตามช่องกระเป๋าลับ เกิดลุกไหม้และครอกร่างบุรุษสวมเสื้อโค้ทสีดำ


บุคคลในรถม้าเลือนหายไป ก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งริมถนนในละแวกใกล้เคียง


เป๊าะ! เป๊าะ! เป๊าะ!


ชายหนุ่มรัวดีดมือซ้ายไม่หยุดพัก ส่งตัวเองทะลุเข้าไปในแนวป่าซึ่งมีแต่ซากต้นไม้แห้งสุดลูกหูลูกตา ไคลน์ ‘โดยสาร’ เปลวเพลิงหลายระลอกและส่งตัวเองเข้าไปในป่าลึก จนกระทั่งแทบมองไม่เห็นจากริมถนน


ทันใดนั้น มันรีบหยุดทุกการกระทำและล้วงหยิบเครื่องประดับออกจากลำคอ


แน่นอน ไคลน์อยู่ก่อนแล้วว่า การเข้ามาพัวพันกับ 0-08 ย่อมเต็มไปด้วยอันตรายเสมอ ดังนั้น มันจึงเตรียมพร้อมค่อนข้างดีก่อนจะเดินทางมายังคฤหาสน์กุหลาบแดง


สิ่งนี้คือกฎเหล็กของนักมายากล ห้ามขึ้นแสดงโดยไม่เตรียมความพร้อมล่วงหน้า


สมบัติวิเศษถูกพกติดตัวมาบางส่วน ก้านไม้ขีดไฟถูกแบ่งเก็บไว้ในกระเป๋าลับรอบโค้ท


จากบรรดาสมบัติวิเศษทั้งหมดในปัจจุบันของชายหนุ่ม ขวดพิษชีวภาพและเข็มกลัดสุริยันนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีคาพิน ไคลน์จึงนำพวกมันเก็บไว้ในมิติเหนือสายหมอกโดยไม่มัวคิดให้เสียเวลา ในกรณีดวงตาดำล้วนของนักเชิดหุ่น โรซาโก้ สิ่งนี้คงไม่ผ่านด่านตรวจของทหารองครักษ์เสื้อแดงเช่นกัน จึงถูกโยนไว้บนมิติเหนือสายหมอกในสภาพไม่ต่าง


ลงเอยด้วย นอกจากกระสุนพิเศษทั้งสามชนิดอันประกอบด้วย กระสุนปราบมาร กระสุนปัดเป่า และกระสุนชำระล้าง ไคลน์พกพาสมบัติวิเศษติดตัวเพียงสองชิ้น


ชิ้นแรก มาสเตอร์คีย์ กุญแจซึ่งช่วยให้ทะลุกำแพงบ้านได้ตามใจ ไขกลอนส่งเดชได้ทุกบานประตู และเหนือสิ่งอื่นใด หน้าตาของมันแสนธรรมดาจนยากจะพบความผิดปรกติ


อีกหนึ่งชิ้นคือ อุปกรณ์หลักสำหรับเตรียมตัวเผชิญหายนะ ‘นกหวีดทองแดงอะซิก’


สรุปโดยสั้น หากเลี่ยงเผชิญหน้ากับศัตรูแข็งแกร่งไม่ได้ ทางเลือกฉลาดคือการขอความช่วยเหลือจากบุคคลแข็งแกร่งกว่า!


…เมื่อเข้ามาพัวพันกับเหตุการณ์ ไม่สนว่าเราจะรู้จักทริสซี่มาก่อนหรือไม่ แต่ตอนนี้คงตกอยู่ในรายชื่อจับตายของ 0-08 เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น การขอให้มิสเตอร์อะซิกช่วยจึงไม่ทำให้สถานการณ์แย่ลง… แต่ทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่า เวทีปัจจุบันกำลังถูกกำกับโดย 0-08…


ไคลน์หยิบนกหวีดโบราณเย็นเฉียบขึ้นมาใส่ปากและเป่าสุดแรง


ไม่มีสุ้มเสียงใดเกิดขึ้น แต่เนตรวิญญาณชายหนุ่มเริ่มมองเห็นกองกระดูกสีขาวกำลังปะทุออกมาจากพื้นในลักษณะคล้ายน้ำพุ ผู้ส่งสารก้มมองไคลน์ด้วยเบ้าตาไฟทมิฬลุกโชน


ร่างกายอันใหญ่โตของอีกฝ่ายทำให้ไคลน์ใจชื้นขึ้นเล็กน้อย ชายหนุ่มรีบหยิบปากกาและกระดาษซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้า เขียนข้อความลงไปว่า :


“ช่วยด้วย!”


ถัดมา มันรีบพับและยัดใส่มือของผู้ส่งสาร


หลังจากผู้ส่งสารหายไป ไคลน์รีบเก็บนกหวีดทองแดง และเปลี่ยนไปทำท่าสวดวิงวอนพลางเอ่ยนามเต็มของเดอะฟูล


ต่อด้วย


“….ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ การสืบสวนของผมได้ผลลัพธ์แล้ว หญิงสาวสามัญชนซึ่งองค์ชายเอ็ดซัคตกหลุมรัก ความจริงแล้วคือแม่มดทริสซีแห่งนิกายแม่มด เธออยู่ในลำดับแม่มดสุขสม ขณะเดียวกันก็ยังถูกเรียกขานจากอาวุโสของนิกายว่า… ทริสซี่·ชีค”


หลังจาก ‘รายงาน’ เสร็จ ไคลน์ไม่มัวเสียเวลาปกปิดตัวตนหรือฉากรอบตัว เพียงเดินถอยหลังทวนเข็มสี่ก้าว ส่งตัวเองขึ้นไปบนวังคนยักษ์โบราณ


มันทำการโยนคำวิงวอนของตัวเองเข้าไปในดาวแดงตัวแทนจัสติส และเสริมถ้อยคำเหยียดหยันตามประสาเดอะฟูล


“ชีคหรือ… หึหึ… นั่นคือนามจริงของแม่มดบรรพกาล”


เมื่อจัดการเสร็จ ไคลน์รีบกลับโลกจริงและเตรียมเผ่นหนีสุดชีวิต


แต่ผ่านไปได้สองก้าว ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าแหงนมองขึ้นไปมองบนท้องฟ้าตามสัญชาตญาณ


มันได้พบกับห่าฝนอุกกาบาตหลายสิบลูก แต่ละลูกมีเปลวเพลิงร้อนแรงลุกท่วม กำลังพุ่งแหวกผ่านชั้นบรรยากาศลงมายังผืนป่าแห้งเบื้องล่าง!


เชี่ย…!


ในวินาทีนี้ แสงสีแดงอมส้มอันเจิดจ้ากำลังฉายให้เห็นเต็มสองตาชายหนุ่ม พวกมันมอบความรู้สึกสิ้นหวังเหนือพรรณนา


ไคลน์ไม่เคยคิดมาก่อนว่า อีกฝ่ายจะส่งอุกกาบาตจากนอกโลกลงมาปิดปากตน!



บนหน้ากระดาษของสมุดสีเหลือง ปากกาขนนกแสนธรรมดากำลังขีดเขียน :


“ด้วยเหตุผลบางประการซึ่งมิอาจหาคำอธิบายได้ กลุ่มฝนอุกกาบาตดัลลัสก์ได้ตกใส่โลกเร็วกว่ากำหนดการถึงสองวัน ฝนอุกกาบาตบางส่วนบังเอิญตกใส่ผืนป่าซึ่งนักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้กำลังหลบซ่อนอยู่ ใช่แล้ว… บังเอิญ!”



บ่ายวันอังคาร ห้องอ่านหนังสือออเดรย์


เด็กสาวน่ารักน่าชัง ผู้ใกล้จะกลายเป็นผู้ใหญ่ในอีกไม่กี่วัน กำลังตั้งใจฟังคำบรรยายจากมาดามเอสลันด์แห่งสมาคมแปรจิต หัวข้อการศึกษาเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างโอสถผู้ชมและนักอ่านใจ ข้างปลายเท้าออเดรย์มีซูซี่กำลังหมอบฟังอย่างตั้งใจ


ทันใดนั้น วิวทิวทัศน์รอบตัวเด็กสาวพลันแปรเปลี่ยนเป็นทุ่งหมอกสีเทา ตามด้วยฉากการสวดวิงวอนของชายคนหนึ่งภายในป่าแห้ง


เสียงของรายละเอียดดังตามหลังมาติดๆ


องค์ชายเอ็ดซัค… นิกายแม่มด… แม่มดทริสซี… แม่มดสุขสม… ทริสซี่·ชีค…


ออเดรย์กรองเฉพาะคำสำคัญและจับประเด็นของสาร


อย่างนี้นี่เอง! องค์ชายเอ็ดซัคตกหลุมรักแม่มด… ถ้าเราจำไม่ผิด แม่มดส่วนใหญ่เคยเป็นชายมาก่อน…


ออเดรย์ นี่ไม่ใช่เวลามัวยืนขำ! หายนะร้ายแรงของกรุงเบ็คลันด์กำลังจะเกิดขึ้นโดยมีเรื่องนี้เป็นจุดศูนย์กลาง? ไม่ได้การ เราต้องรีบแจ้งให้ท่านพ่อทราบ…


แต่จะอ้างเหตุผลใด…


เด็กสาวพยายามปั้นหน้าเรียบเฉยขณะรับฟังการแจ้งข่าว


ทันใดนั้น มิสเตอร์ฟูลบนเก้าอี้มุมโต๊ะทองแดงยาว พลันกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเจือความดูแคลน


“ชีคหรือ… หึหึ… นั่นคือนามจริงของแม่มดบรรพกาล…”


นามจริงของแม่มดบรรพกาล…


แม่มดบรรพกาล!


สมองเด็กสาวเกิดปั่นป่วนกะทันหัน เธอมิอาจสวมสีหน้าเรียบเฉยได้อีกต่อไป


“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ” ในฐานะนักอ่านใจอาวุโส เอสลันด์ตรวจพบความผิดปรกติทางภาษากายของออเดรย์ในทันที


เด็กสาวแสร้งครุ่นคิดด้วยสีหน้ากังวลอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะสร้างข้ออ้างแก้ต่าง


“มิสเอสลันด์ ดิฉันเพิ่งนึกเรื่องด่วนขึ้นได้ เคยคิดจะแจ้งให้ท่านพอทราบมาสักระยะแล้ว แต่ก็ลืมตลอด เรื่องนี้อาจทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงตามมาเป็นวงกว้าง”


ตัวอย่างเช่น กรุงเบ็คลันด์จะถูกทำลายจนเสียหายสถานหนัก บรรดาขุนนาง ชนชั้นกลาง หรือชนชั้นล่าง จะมีผู้รอดชีวิตรวมกันเพียงหยิบมือเดียว…


ออเดรย์เสริมในใจพลางเม้มปาก ความกังวลของเธอมิอาจถูกเก็บซ่อนภายใต้ดวงตาสีเขียวมรกตระยิบระยับ


เอสลันด์ขมวดคิ้ว


“แจ้งตอนนี้ยังทันไหมคะ”


“ค่ะ! ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย คุณช่วยรอตรงนี้สักพัก… ไม่สิ คงต้องรบกวนให้คุณกลับไปก่อนค่ะ มิสเอสลันด์”


ออเดรย์เข้าสู่ภาวะผู้ชมและเริ่มตัดสินใจอย่างเยือกเย็น


เด็กสาวลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องอ่านหนังสือ


ท่านพ่อไปสภาขุนนาง… มีเพียงท่านแม่ยังอยู่บ้าน… แต่เราจะเกริ่นอย่างไร…


ออเดรย์ขมวดคิ้ว ฝีเท้ามิได้เบาลงหรือเร่งให้เร็วขึ้น ข้างกายยังมีสาวใช้ส่วนตัวและสุนัขขนทองตัวใหญ่เดินตามไม่ห่าง


เพียงไม่นาน เด็กสาวนึกถึงวิธีน่าสนใจได้ จึงตัดรีบตัดสินใจอย่างฉับไว


ออเดรย์สูดลมหายใจยาว บ่าสองข้างเริ่มหนักอึ้งคล้ายกับถูกบางสิ่งกดลง


เธอเดินเข้าไปเคาะประตูโดยไม่ลังเล


……………………


ราชันเร้นลับ 472 : อันตรายซ่อนเร้น

โดย

Ink Stone_Fantasy

คุณหญิงเคทลินกำลังนั่งบนโซฟาภายในห้องนั่งเล่นคฤหาสน์ เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามมีรองพ่อบ้าน ผู้ช่วยพ่อบ้าน และคนรับใช้หัวหน้าส่วนงานต่างๆ กำลังนั่งตั้งใจฟัง


สตรีเลอโฉมมาดสง่างามกำลังแจกแจงรายละเอียดพลางมอบคำแนะนำสำหรับงานเลี้ยงรับรองในค่ำคืนนี้ บทสนทนาเป็นไปอย่างไหลลื่นจนกระทั่งบุตรสาว ออเดรย์ เดินมานั่งด้านข้างผู้เป็นมารดา


“ท่านแม่ หนูมีเรื่องจะคุยด้วย” เด็กสาวชำเลืองสายตาไปทางบุคคลอื่นภายในห้อง


ระหว่างมายังห้องนั่งเล่น ออเดรย์สัมผัสถึงแรงกระเพื่อมแผ่วเบา แต่ก็ไม่พบความผิดปรกติใดมากไปกว่านั้น


คุณหญิงเคทลินพยักหน้ารับ


“พวกคุณออกไปก่อน”


ห้องนั่งเล่นถูกบรรยากาศเงียบงันครอบงำอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งซูซี่ก็ยังได้รับสัญญาณจากออเดรย์ให้ออกไปก่อน


“เจ้าควรใช้เวลาอยู่กับแม่มากกว่านี้ เพื่อศึกษาหลักการบริหารสิ่งต่างๆ ภายในบ้านอย่างละเอียด จริงอยู่ เจ้าได้รับการศึกษาโดยไม่ขาดตกบกพร่อง แต่การได้เห็นของจริงย่อมเสริมสร้างให้ทฤษฎีชัดเจนยิ่งขึ้น”


แม้จะมีอายุจริงห้าสิบกว่า แต่คุณหญิงเคทลินกลับมีใบหน้าคล้ายหญิงสาววัยสามสิบตอนต้น เธอกำลังเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางสอนสั่งบุตรสาว


“เอาล่ะ นางฟ้าของแม่ เจ้าต้องการพูดคุยในเรื่องใด”


ออเดรย์พยายามฉีกยิ้มอย่างสง่างามตามคำสอนในคาบเรียนมารยาท แต่สุดท้ายกลับทำได้เพียงเผยรอยยิ้มจืดชืดและไม่สบายใจ


เด็กสาวเม้มริมฝีปาก


“ท่านแม่ หนูปิดบังบางสิ่งจากท่านแม่และท่านพ่อมาตลอด”


“หืม…” คุณหญิงเคทลินเอียงคอ ไม่กล่าวสิ่งใดขณะรอคำอธิบายเพิ่มเติม


คำตอบของออเดรย์ตะกุกตะกักในตอนต้น แต่หลังจากนั้นก็เริ่มลื่นไหลและคล่องแคล่ว


“น…หนูเป็นผู้วิเศษ หมายถึง บุคคลผู้มีพลังพิเศษด้วยการดื่มโอสถ”


คุณหญิงผมทองยกคิ้วเล็กน้อย พลางมอบคำตอบโดยปราศจากอาการตกใจ


“แม่รู้อยู่แล้ว ทั้งพ่อและแม่ทราบมาตลอด”


“เอ๋…?” ออเดรย์อึ้งจนหมดคำพูด


คุณหญิงเคทลินปิดปากหัวเราะในลำคอ


“เจ้านำวัตถุดิบวิเศษออกไปจากคลังสมบัติของตระกูล คิดว่าคนอย่างพ่อเจ้าจะดูไม่ออกเชียวหรือ ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว ทั้งรอบตัวพ่อเจ้า ภายในคฤหาสน์แห่งนี้ รวมถึงดินแดนในครอบครองของตระกูลเราทั้งหมด ไม่มีแห่งใดขาดแคลนผู้วิเศษ ส่วนหนึ่งถูกว่าจ้างตามปรกติ ส่วนหนึ่งถูกส่งมาจากโบสถ์รัตติกาล และส่วนหนึ่งเป็นสมาชิกของตระกูลฮอลล์ ฝ่าบาทเองก็ทราบในเรื่องนี้และแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พวกเราจึงไม่ได้ขัดขวางเมื่อเจ้าต้องการลิ้มรสประสบการณ์แปลกใหม่ของโลกเหนือธรรมชาติ… เฮ่อ… สักวันหนึ่ง เจ้าต้องโตขึ้นและกลายเป็นผู้ใหญ่ พ่อและแม่คงปกป้องเจ้าได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง ฉะนั้น ในเมื่ออาจต้องเผชิญหน้ากับอันตราย การมีพลังพิเศษติดตัวไว้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย จากความรู้ของแม่ ผู้วิเศษในช่วงแรกจะไม่ได้เผชิญอันตรายมากนัก และการเลื่อนลำดับแต่ละครั้งต้องใช้เวลากว่าหนึ่งถึงสองปี พ่อเจ้าจึงมิได้คัดค้าน พวกเราคิดจะรอให้ลูกโตกว่านี้อีกสักหน่อย จึงค่อยกล่าวตักเตือน และห้ามมิให้เลื่อนลำดับไปมากกว่าปัจจุบัน”


ผิดแล้วค่ะแม่ ความรู้ของแม่ล้าสมัยมาก! แม่ยังไม่รู้จักเทคนิคสวมบทบาทดีพอ ถ้าหนูมีวัตถุดิบครบเมื่อ ก็สามารถกลายเป็นผู้วิเศษลำดับ 7 ได้ก่อนปีใหม่…


และเหนือสิ่งอื่นใด หนูไม่มีแผนจะหยุดพัฒนา ความตายของดยุคนีแกนทำให้หนูเข้าใจว่าโลกมิได้สงบสุขเหมือนกับในจินตนาการสมัยเด็ก พลังคือสิ่งจำเป็นในการปกป้องทุกคนในครอบครัว…


ขณะพลังของมิสเตอร์ฟูลเริ่มฟื้นฟูกลับมาทีละนิด เทพมารจำนวนมากพยายามแบ่งร่างลงมาจุติและสร้างความเสียหายบนโลกมนุษย์ แม้ว่าเราจะยังไม่โต และยังขาดประสบการณ์ชีวิตค่อนข้างมาก แต่เราก็สัมผัสถึงอันตรายแอบแฝงจากเรื่องเหล่านี้ได้…


ออเดรย์รู้อยู่แก่ใจว่า ตนไม่มีวันปกปิดเรื่องการแอบหยิบวัตถุดิบวิเศษออกจากคลังสมบัติตระกูลได้ตลอด แต่เธอคิดว่าอย่างน้อย พ่อและแม่คงมองเป็นเพียงการขโมยไปเพราะอยากรู้อยากเห็น มิใช่กลายเป็นผู้วิเศษ


ไม่อยากจะเชื่อ… ฟู่ว!


หลังจากยกภูเขาออกจากอก เด็กสาวกล่าวต่อไปโดยไม่สนใจคำเตือนของมารดา


“ท่านแม่ หนูได้เข้าร่วมองค์กรลับแห่งหนึ่ง เป็นองค์กรเชิงวิชาการและมิได้บูชาเทพมาร แต่หนูสาบานไว้ว่าจะไม่เปิดเผยชื่อขององค์กรให้ใครทราบ ได้โปรดอภัยในเรื่องนี้ด้วย”


โดยไม่รอให้มารดาซักถาม เด็กสาวรีบเล่าเข้าประเด็น


“วันนี้หนูเพิ่งได้รับแจ้งข่าวด่วน หญิงสาวสามัญชนซึ่งองค์ชายเอ็ดซัคตกหลุมรัก ความจริงแล้วคือแม่มด แต่ยังไม่มีใครทราบเจตนาแท้จริงของหล่อน”


ทั้งสองประโยคของออเดรย์มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลย ประโยคแรกหมายถึงสมาคมแปรจิต ส่วนประโยคหลังหมายถึงชุมนุมทาโรต์และมิสเตอร์ฟูล


ด้วยการจัดเรียงคำพูดในลักษณะเมื่อครู่ ทำให้ทุกคำกล่าวของเธอล้วนเป็นความจริง หากถูกทำนายตรวจสอบก็จะไม่พบการโกหกเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้คนฟังคล้อยตามไปเองว่า องค์กรลับนิรนามผู้แจ้งข่าวด่วนคือสมาคมแปรจิต


รอยยิ้มบนใบหน้าเคทลินเริ่มซีดจาง


“แม่มด…?”


เธออาจไม่สันทัดข้อมูลของโลกเหนือธรรมชาติมากนัก แต่วลีดังกล่าวได้มอบกลิ่นอายความชั่วร้ายเข้มข้น


ออเดรย์รีบพยักหน้า


“ใช่ค่ะ แม่มดสุขสม และเรื่องน่าตกใจกว่านั้นคือ เธอมีนามว่า ทริสซี่·ชีค”


“น่าตกใจอย่างไร” มารดาซักถาม


“สมาชิกขององค์กรเคยอ่านพบชื่อชีคภายในหนังสือโบราณ” ออเดรย์กุเรื่องอย่างชำนาญ ไม่ว่าจะแววตาหรือภาษากายล้วนสมบูรณ์แบบ “ในยุคสมัยที่สี่หรือนานกว่านั้น ชีคคือชื่อของแม่มดบรรพกาล”


เด็กสาวรีบเสริมต่อ


“หล่อนคือเทพธิดามาร!”


คุณหญิงเคทลินอาจไม่ทราบความหมายของแม่มดบรรพกาล แต่เธอไม่มีทางไม่ทราบความหมายของเทพธิดามาร


ผู้เป็นแม่นั่งไม่ติดเบาะ ตามด้วยการซักถามอย่างกระวนกระวาย


“เจ้ามั่นใจไหม…”


“…ไม่ค่อยค่ะ” ออเดรย์มิได้เคลือบแคลงในตัวมิสเตอร์ฟูล เพียงแต่ การกล่าวออกไปอย่างมั่นใจคงไม่เหมาะสมสักเท่าไร


“ถึงกระนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่หนูคิดว่าการติดต่อกับราชวงศ์… ไม่สิ ติดต่อกับหน่วยพิเศษของโบสถ์รัตติกาลและให้พวกเขาช่วยยืนยันข้อมูล ก็คงไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนัก เพราะถ้าอีกฝ่ายคือเทพธิดามารจริง สถานการณ์จะได้ถูกแก้ไขอย่างทันท่วงที”


เคทลินเงยหน้ามองบุตรสาวอย่างประหลาดใจ


“…ออเดรย์ ลูกโตขึ้นมาก”


ถ้าไม่เพราะนี่เป็นเรื่องเร่งด่วน ออเดรย์คงแสร้งทำหน้าขรึมและรีบกลับไปดีใจกระโดดโลดเต้นภายในห้องตัวเองแล้ว


แต่ปัจจุบันมิได้เป็นเช่นนั้น เธอหาได้ใส่ใจกับคำชมเชย บนใบหน้าปรากฏเพียงความกังวลใจ


“ท่านแม่ ช่วยปิดเรื่องของหนูไว้เป็นความลับได้ไหมคะ ได้ยินมาว่า หน่วยพิเศษของทางโบสถ์และราชวงศ์ไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้วิเศษนอกองค์กรพวกเขาสักเท่าไร… ให้บอกว่าเป็นข่าวจากท่านพ่อก็ได้ ท่านพ่อคงมีเครือข่ายข้อมูลในมือไม่น้อย”


เคทลินลุกขึ้นยืนพลางเดินเข้ามาสวมกอดบุตรสาวอย่างอ่อนโยน


“ไม่ต้องกังวล พ่อกับแม่จะไม่นำลูกไปเสี่ยงอันตรายแน่นอน พ่อของเจ้ายังไม่กลับจนกว่าจะเย็น แต่ไม่ต้องกังวล แม่จะให้องครักษ์เงาปรากฏตัว คนอื่นจะได้เข้าใจว่าเขาคาบข่าวมารายงาน จากนั้น แม่จะนำข้อมูลไปบอกกับโบสถ์รัตติกาล และให้พวกเขาส่งคนมาคุ้มครองครอบครัวเราทันที”


“ตกลงค่ะ!” ออเดรย์ฉีกยิ้มกว้าง


เด็กสาวพลันรู้สึกผ่อนคลาย ความกังวลใจหลายเรื่องซึ่งเคยค้างคามานาน ได้ถูกสะสางจนหมดในคราวเดียว



ขณะกำลังแหงนมองท้องฟ้าและเห็นกลุ่มอุกกาบาตกำลังกระจายตัวปกคลุมท้องฟ้าเหนือแนวป่าอย่างสมบูรณ์ ไคลน์เกิดความท้อแท้สิ้นหวังเหนือพรรณนา


ถึงจะใช้กระโจนเพลิงจนหมด แต่ก็ไม่มีทางหนีพ้นเขตป่าได้ทัน ไม่แคล้วตกเป็นเหยื่อของฝนอุกกาบาตอยู่ดี และร่างกายแสนอ่อนแอของนักทำนาย ก็ไม่ช่วยให้ทนทานต่อการพุ่งถล่มของอุกกาบาต


เรามั่นใจ ต่อให้เป็นโอสถซอมบี้ผู้ขึ้นชื่อด้านความแข็งแกร่งของร่างกาย แต่ก็คงกลายสภาพเป็นก้อนเนื้อบดถ้าต้องรับแรงกระแทกจากก้อนหินไฟระยำบนท้องฟ้าอย่างจัง…


กระโจนไฟ… จริงสิ…!


ทันใดนั้น ขณะเหลือบเห็นเปลวเพลิงสีเหลืองอมส้มอันโชติช่วงด้านบน ชายหนุ่มพลันเกิดแนวคิดบางอย่างทันที


ท่ามกลางสถานการณ์ซึ่งความเป็นความตายถูกตัดสินด้วยเสี้ยววินาที ไคลน์รีบลงมือโดยไม่มัวไตร่ตรองให้มากความ


เป๊าะ!


หลังจากคำนวณระยะทาง มันดีดนิ้วเพื่อจุดก้านไม้ไฟซึ่งยังเหลือในช่องกระเป๋าลับ


แสงสีแดงอมส้มลุกไหม้คลอกร่างสักพักก่อนจะเลือนหายไป


ไคลน์ปรากฏตัวอีกครั้งบนเปลวไฟเหนือก้อนอุกกาบาตบนท้องฟ้า


ฟ้าววววว!


ขณะลูกอุกกาบาตกำลังพุ่งแหวกอากาศด้วยความเร็วสูง ไคลน์โผล่ออกในจุดเหนือขึ้นไปจากก้อนอุกกาบาตเล็กน้อย แต่ยังคงสัมผัสถึงความร้อนในปริมาณแสนสาหัส


พลังกระโจนไฟอาจช่วยให้ชายหนุ่มทนความร้อนได้ในชั่วเวลาหนึ่ง แต่หลังจากเดินออกจากเปลวไฟปลายทาง ความสามารถในการทนไฟก็จะสูญหายไปด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ต้องใช้ ‘ควบคุมไฟ’ เพื่อลดอุณหภูมิอุกกาบาตลง ร่างกายของตนจะได้ไม่ถูกคลอกจนกลายเป็นเถ้าถ่าน


และเหนือสิ่งอื่นใด ไคลน์ไม่สามารถกระโดดหลบไปในอากาศได้ถ้าปราศจากกองไฟรอบตัว


เป๊าะ!


ชายหนุ่มดีดนิ้วอีกครั้ง อากาศอันร้อนระอุในระยะสายตาพลันเกิดเป็นประกายไฟลุกโชน


มันรีบหนีไปบนท้องฟ้าด้วยเปลวเพลิงลูกแล้วลูกเล่า หวังรักษาชีวิตให้รอดจากการแรงระเบิดอันเกิดจากอุกกาบาตปะทะพื้น


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะกระโจนไฟสักกี่ครั้งหรือลองเสี่ยงชีวิตสักกี่หน แต่การหนีให้พ้นจากอันตรายก็ยังไม่ใกล้ความจริงสักเท่าไร


ไคลน์มีสองทางให้เลือก หนึ่ง หนีลงพื้นและพยายามวิ่งเอาตัวรอดสุดชีวิต เตรียมรับแรงปะทะชุดแรกซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่ออุกกาบาตกระทบพื้น หรือสอง กระโดดลอยไปมาในอากาศโดยเอาตัวรอดจากแรงปะทะ แต่จะถูก ‘เมฆเห็ด’ สีขาวกลืนกินร่างกายแทน


ณ กลางอากาศ ขณะไคลน์กำลังชั่งใจ ภาพการมองเห็นของมันพลันแปรเปลี่ยนอย่างกะทันหัน ทุกเฉดเริ่มสีเข้มข้นและฉูดฉาดคล้ายกับภาพวาดสีน้ำมัน สีแดงยิ่งแดงสว่าง สีเหลืองยิ่งคมชัด และสีขาวยิ่งสว่างเจิดจ้า


ทันใดนั้น ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่า ภาพการมองเห็นรอบตัวอันคล้ายกับ ‘ภาพสีน้ำมัน’ นั้นมิใช่โลกแห่งความจริง ไคลน์ก้มมองลงไปเบื้องล่างและพบว่า ฝนอุกกาบาตระลอกแรกได้กระทบพื้นจนเกิดคลื่นกระเพื่อมทุกทิศทาง เมฆทรงเห็ดสีขาวปนเทาพลันพวยพุ่งขึ้นท้องฟ้าในปริมาณเข้มข้น


แต่ทุกสิ่งมิได้ส่งผลกระทบต่อไคลน์แม้แต่น้อย ราวกับมิติ ‘ภาพวาดสีน้ำมัน’ ถูกแยกออกจากโลกปรกติโดยสมบูรณ์


ชายหนุ่มทำหน้างุนงงสักพัก ก่อนจะมองเห็นบุคคลผู้หนึ่งกำลังยืนไม่ห่างจากตน


ผิวทองแดง สูงปานกลาง รูปร่างสันทัด สวมสูทยาวสีดำเกือบถึงเข่า หมวกทรงกึ่งสูง ดวงตาลุ่มลึกกร้านโลก ใบหน้าอบอุ่น และไฝสีดำเม็ดเล็กตรงติ่งหูขวา


“มิสเตอร์อะซิก!”


ไคลน์โพล่งด้วยสีหน้าปีติยินดี


ขณะเดียวกันก็เข้าใจทันทีว่า นิมิตความฝันเกี่ยวกับมิสเตอร์อะซิกเมื่อหลายเดือนก่อนหมายถึงสิ่งใด


มันหมายถึงวินาทีนี้!


ท่ามกลางทะเลเลือดอันกว้างใหญ่ ไคลน์ถูกมิสเตอร์อะซิกดึงแขนขึ้น จึงรอดพ้นจากความตายมาได้อย่างฉิวเฉียด ฉากนี้สามารถแปลความหมายได้ว่า ตนจะถูกช่วยชีวิตไว้โดยมิสเตอร์อะซิก!


ยังไม่ทันสิ้นเสียงยินดีของชายหนุ่ม อะซิกโบกมือทักทายพอเป็นพิธีพร้อมกับยื่นมืออีกข้างจับแขนไคลน์แน่น จากนั้น คนทั้งสองเริ่มท่องไปในโลกพิสดารอันเต็มไปด้วยสีสันฉูดฉาด



ปากกาขนนกแสนธรรมดากำลังอยู่ในสภาพแน่นิ่ง ผิวกระดาษซีดจางลงเล็กน้อย


ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนสีหน้าเคร่งขรึมและตาบอดหนึ่งข้าง พลางก้มหน้าขีดเขียนบางสิ่งอย่างรวดเร็วประหนึ่งถูกเข้าสิง


“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความทรงจำและพลังของอะซิก·อายเกสยังฟื้นฟูกลับคืนมาไม่หมด ขณะเขาเดินทางผ่านโลกวิญญาณ อันตรายไม่คาดฝันจึงเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ส่งผลให้เขากับนักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้หลงทางท่ามกลางโลกวิญญาณ จนกระทั่งโผล่ออกมาเผชิญหน้ากับอินซ์·แซงวิลล์และพวกพ้อง”


……………………


ราชันเร้นลับ 473 : ชายผู้ไร้หน้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

วิวทิวทัศน์รอบตัวไคลน์กำลังพร่ามัวไปด้วยสีสันฉูดฉาด ต้องรอให้ผ่านไปสักพัก โลกแห่งภาพสีน้ำมันจึงค่อยเริ่มซีดจาง


เมื่อได้รับการมองเห็น ชายหนุ่มรีบสำรวจรอบตัว และพบว่าตนกำลังอยู่ในอุโมงค์ของบางสิ่ง ไม่ว่าจะซ้ายขวาหน้าหลัง ทุกหนแห่งไปด้วยฉากสุดอลังการเหนือคำบรรยาย


ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่า ฝ่ามืออะซิกซึ่งกำลังจับตนแน่น เริ่มออกอาการสั่นเทา


ยังไม่ทันจะได้ตอบสนอง ไคลน์รู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวอย่างกะทันหัน ก่อนจะหมุนรอบตัวประหนึ่งลูกข่างอย่างหนักหน่วง


สีแดง เหลือง ขาว และดำเริ่มเลือนหายไปจากการมองเห็น ร่างกายชายหนุ่ม ‘หล่น’ ลงมาด้านล่างด้วยความเร็วสูงและกระแทกกับพื้นแข็งเข้าอย่างจัง แรงปะทะส่งผลให้ศีรษะพร้อมด้วยอวัยวะภายในออกอาการปั่นป่วนไปชั่วขณะ


ภาพการมองเห็นไคลน์มีเพียงดวงดาวสีทองหมุนวนโดยรอบอย่างมึนงง ก่อนจะกลับเป็นปรกติในอีกไม่กี่อึดใจถัดมา


เมื่อเงยหน้าขึ้น ฝั่งซ้ายมือคือหุบเขาอันมืดมิดคล้ายกับทางเข้านรกแห่งปีศาจตามคำอธิบายของบันทึกตำนาน ฝั่งขวาคือแนวกำแพงสีเทาทอดยาวขึ้นไปด้านบน คล้ายกับคอยปกคลุมอาณาบริเวณกว้างไกลโดยรอบอย่างทั่วถึง


ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีเมฆ ไม่มีหมอก


ความสว่างบางส่วนมาจากตะไคร่สองแสงตามจุดต่างๆ รอบตัว ไม่เกินจริงไปนักหากจะกล่าวว่า ความมืดมิดอันเข้มข้นคือองค์ประกอบหลักของ ‘มิติ’ ปัจจุบัน


ไคลน์ใช้มือซ้ายดันตัวลุกยืนอย่างชำนาญคล่องแคล่ว ก่อนจะเริ่มพบว่าใต้ฝ่าเท้าของตนมีหินก้อนใหญ่จำนวนมาก ถูกวางเรียงอย่างเป็นระเบียบจนกลายเป็นทางเดิน


ถนนฝั่งด้านล่างหมุนวนเป็นเกลียวโดยมีปลายทางคือรอยแยกสีดำมืดสนิท ส่วนถนนฝั่งด้านบนหมุนวนในลักษระตรงกันข้าม เมื่อพยายามแหงนมอง ไคลน์เริ่มมองเห็นเค้าลางของโดมสูงและห้องโถงด้านหลังแนวกำแพง


ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น แต่ก็ยังมองไม่เห็นจุดสูงสุดของอาคารเบื้องหน้า ทัศนวิสัยถูกบดบังไว้โดยกำแพงสูงสีเทาอย่างสมบูรณ์


ทันใดนั้น มันเริ่มทบทวนสถานการณ์รอบตัวและจำได้ว่า ตนกับมิสเตอร์อะซิก ‘หล่น’ ลงมายังมิติใต้ดินแห่งนี้ ลักษณะของมันคล้ายกับซากอารยธรรมโบราณสักแห่ง


ถูกส่งมายังเป็นดินแดนแห่งใหม่ หรือว่าเรายังอยู่ในเบ็คลันด์?


ขณะไคลน์ครุ่นคิด เสียงของอะซิกดังแว่ว


“คุณรีบหนีไปก่อน วิ่งขึ้นไปทางด้านบน”


หือ…?


โดยไม่มีโอกาสทำความเข้าใจ อากาศว่างเปล่าทางซ้ายมือไคลน์พลันส่องแสงเจิดจ้าอย่างกะทันหัน ตามด้วยการก่อตัวเป็นบานประตูมายาเปิดจากด้านในสู่ด้านนอก


บานประตูคล้ายกับทำจากทองแดง แต่ด้วยความเป็นภาพมายา ประตูจึงดูกึ่งสมจริงกึ่งเวทมนตร์ ผิวของบานประตูถูกสลักด้วยอักขระพิสดารเบียดเสียด


เพียงชำเลืองมอง ไคลน์สัมผัสได้ถึงความรู้สึกหนักอึ้งทันที


ทันใดนั้น เสียงประตูดังเปิดแง้ม ฝ่ามือสีขาวซีดชุ่มเลือกพุ่งพรวดออกจากบานประตูทีละข้าง ตามด้วยเถาวัลย์ยักษ์สีเขียวเข้มซึ่งมีใบหน้าของทารกและหนวดปีศาจ


ลักษณะการใช้งานคล้ายคลึงกับสมบัติวิเศษของชารอน…


ขณะใช้ความคิด ไคลน์เริ่มตระหนักว่าท่อนแขน เถาวัลย์ และหนวดปีศาจมิได้บ้าคลั่งเหมือนกับของชารอนเสียทีเดียว พวกบรรจงสานขัดกันจนมีลักษณะคล้ายกับบันไดทอดยาวลงมาถึงพื้น มิได้เกรี้ยวกราดประหนึ่งพยายามกระชากลำดับ 6 ซอมบี้ เข้าไป


ถัดมา เมื่อบานประตูอ้ากว้าง มนุษย์คนหนึ่งย่างกรายลงมาอย่างไม่รีบร้อน


เป็นชายสวมคลุมชุดนักบวชสีดำทรงโบราณ ใบหน้ากระจ่างชัดและสมส่วน ลักษณะคล้ายกับรูปแกะสลักจากยุคเก่าแก่


เส้นผมสีทองเข้ม ดวงตาน้ำเงินเข้ม ดั้งจมูกสูงโด่ง สวมหมวกใบเล็กซึ่งได้รับความนิยมในหมู่คนสูงอายุ จอนตรงขมับทั้งสองข้างเป็นสีเทา ขัดกันกับหน้าตาวัยกลางคน


เมื่อมองเข้าไปในแววตาอันไร้ชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง ไคลน์ไม่มีวันลืมชื่อของบุคคลผู้นี้


อินซ์·แซงวิลล์!


อดีตอาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์รัตติกาล ผู้เคยชักใยและวางแผนทำให้เหยี่ยวราตรีเมืองทิงเก็นได้รับความพินาศ รวมถึงยังเป็นเจ้าของสมบัติปิดผนึกรหัส 0-08!


แทบจะในพริบตา ไคลน์หันหลังกลับและรีบสับเต็มฝีเท้าตามคำสั่งของอะซิก ชายหนุ่มเผ่นหน้าตั้งขึ้นไปตามแนวกำแพงหินสีเทาและถนนก้อนหิน อันนำทางไปสู่อาคารด้านบน


มันทราบอย่างเต็มอกว่า ผู้วิเศษลำดับ 6 อย่างตน จะไม่ต่างอะไรกับ ‘ภาระ’ ในสงครามการดวลของครึ่งเทพ


เพื่อแข่งกับเวลา ไคลน์ไม่มัวเสียเวลาประดิษฐ์ถ้อยคำถ่อมตนหรือแสดงความเป็นพระเอกออกมา เพราะนี่คือหนทางรอดเดียวสำหรับตนและอะซิก ในการฝ่าฟันให้พ้นจากวิกฤติปัจจุบัน!


กึก. กึก. กึก.


เมื่อเริ่มตระหนักว่าไม่มีสิ่งใดสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับจุดไฟ ไคลน์ทำเพียงขบกรามกรอดอย่างหัวเสียและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนถึงขีดจำกัดร่างกาย


ขณะวิ่ง สุ้มเสียงอะซิกดังแว่วอ่อนโยน


“หนีจนกว่าคุณจะพ้นจากอันตราย ไม่ต้องห่วงผม ความทรงจำสมัยในอดีตกลับคืนมามากแล้ว ทราบถึงขั้นว่า ผมเคยติดอยู่ในบางลำดับมาเป็นเวลานานนับพันปี โอสถดังกล่าวมีชื่อว่า ‘อมรณา’ ”


กึก. กึก. กึก.


ไคลน์ยังคงวิ่งวนไปตามแนวถนนหิน จนกระทั่งถึงทางเดินยาวระนาบ ด้านบนเป็นหลังคาโดมสูง ผนังสองฝั่งเต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมและร่องรอยผุพัง


ทันใดนั้น ชายหนุ่มได้ยินเสียงแหบพร่าแต่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ จากจุดเดิมซึ่งตนและอะซิกถูกส่งเข้ามา


“ตรงนี้ไม่อนุญาตให้เดินทางข้ามมิติ!”


บุคคลผู้หนึ่งปรากฏตัวข้างอินซ์·แซงวิลล์จากความว่างเปล่า มันกำลังลอยตัวกลางอากาศโดยไม่สนกฎเกณฑ์แรงโน้มถ่วงใดๆ


ใบหน้าสวมหน้ากากสีทองหรูหราปกปิด


อินซ์·แซงวิลล์มิได้จู่โจมใส่อย่างบุ่มบ่าม ตรงกันข้าม มันชำเลืองหางมองร่างไคลน์ผู้กำลังวิ่งจากไปไกลทุกขณะ


ในฐานะลำดับ 4 แห่งเส้นทางเทพธิดารัตติกาล ‘ผู้พิทักษ์ราตรี’ อินซ์·แซงวิลล์มีอำนาจในการสร้างความโชคร้ายให้แก่เป้าหมายเล็กน้อย ทว่า แม้มันจะพยายาม ‘อวยพร’ ไคลน์ด้วยสายตาอยู่พักใหญ่ แต่ชายหนุ่มกลับไม่ประสบอุบัติเหตุลื่นล้มหรือหล่นลงไปในหุบเหวลึกตามความต้องการ


ไม่เพียงเท่านั้น อินซ์·แซงวิลล์รู้สึกคล้ายกับตนได้เห็นภาพหลอนของกลุ่มหมอกสีเทา


โดยไม่มัวคิดให้ปวดหัว มันเบือนหน้ากลับมาสนใจอะซิก·อายเกส


กึก. กึก. กึก.


ขณะกำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด ไคลน์เกิดชะงักกะทันหันเนื่องจากสัมผัสวิญญาณระบุชัดเจนว่าข้างหน้ามีคนกลุ่มหนึ่ง กลุ่มผู้วิเศษ!


ต้องเป็นองครักษ์แน่… หลังจากยืนพินิจพิเคราะห์ ชายหนุ่มยกมือซ้ายขึ้นมาปาดใบหน้า


โดยไม่ต้องรอนาน เสียงกระดูกลั่นเริ่มดังเล็ดลอดออกมาอย่างแผ่วเบา พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของส่วนสูงราวเจ็ดถึงแปดเซนติเมตร


เมื่อมือซ้ายพ้นจากใบหน้า มันได้กลายเป็นชายวัยกลางคน ดวงตาข้างเดียว เส้นผมสีทองเข้มและดั้งจมูกโด่ง อินซ์·แซงวิลล์!


หลังจากยืนนึกทบทวนการแต่งกายของอีกฝ่าย ไคลน์อาศัยเวทมนตร์ลวงตาเปลี่ยนแปลงเสื้อผ้าของตนพร้อมกับเดินเข้าไปในโถงทางเดินใหญ่ของอาคาร


องครักษ์สวมเกราะดำสี่คนพลันหันมาจ้อง


สีหน้าของไคลน์ยังคงเยือกเย็นขณะย่างกรายเข้าใกล้ ก่อนจะดัดเสียงให้แหบและกล่าวด้วยมาดเคร่งขรึม


“มีผู้บุกรุก! ฉันกำลังตามล่ามันอยู่ พวกนายพบเบาะแสบ้างไหม”


หัวหน้าองครักษ์สำรวจชายหนุ่มหัวจรดเท้าหนึ่งรอบ จึงค่อยก้มหน้าและมอบคำตอบด้วยน้ำเสียงสำรวม


“มิสเตอร์แซงวิลล์ ยังไม่มีความผิดปรกติใดเกิดขึ้นภายในครับ”


“เข้าใจแล้ว” ไคลน์พยักหน้ารับและเดินผ่านเข้าไปในห้องโถง


ตลอดขั้นตอนทั้งหมด แม้ว่าภายในจะกำลังประหวั่นและชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อไคลเต็มแผ่นหลัง แต่ภายนอกยังคงแผ่กลิ่นอายสง่างามอันน่าเกรงขามของอินซ์·แซงวิลล์อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะในเชิงกายภาพหรือเชิงออร่า


อาศัยพลังผู้ไร้หน้าและการย่ำเท้าถี่ ชายหนุ่มผ่านสามจุดตรวจด้านในอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งส่งตัวเองมาถึงส่วนลึกสุดของอาคารปริศนา


ในห้องถัดไปมีบานประตูมายาส่องแสงสีฟ้าอ่อนล่องลอย มองผิวเผินจะคล้ายกับแสงภูตผี หน้าประตูถูกคุ้มกันด้วยองครักษ์จำนวนหนึ่งอย่างแน่นหนา


แม้จะกังวลเกี่ยวกับศึกระหว่างครึ่งเทพด้านนอก แต่ไคลน์ก็ไม่คิดย้อนกลับไปช่วย เพียงซุ่มรอในเงามืดอย่างใจเย็น คอยสำรวจพฤติกรรมของผู้คนผ่านไปผ่านมา


จนกระทั่งพบว่า ประตูแสงผีบานนี้สามารถใช้ออกไปข้างนอกและกลับเข้ามา


แต่ก่อนจะผ่านประตูเข้าไป ทุกคนต้องแสดงบัตรผ่านลักษณะคล้ายตราสัญลักษณ์ต่อกลุ่มองครักษ์ อีกฝ่ายจึงจะอนุญาต


…เราไม่มีเวลามากพอจะรอให้เหยื่อถือบัตรผ่านคนถัดไปหลงเข้ามา คงมีแม้ต้องลองเสี่ยงเท่านั้น… การต่อสู้ของครึ่งเทพสามารถจบลงได้ทุกเมื่อ… หรือต่อให้ยังไม่จบ แต่พวกมันก็น่าจะสั่งให้คนในนี้ตามหาตัวเรา…


ไคลน์ตัดสินใจฉับไว มันเดินออกไปอีกครั้งในมาดของอินซ์·แซงวิลล์


“มีบางสิ่งเกิดขึ้นด้านนอก” ชายหนุ่มไม่มั่นใจการเลียนเสียงให้เหมือนอินซ์·แซงวิลล์สักเท่าไร จึงจงใจดัดให้แหบพร่า กลบเกลื่อนโดยแสร้งทำเป็นเหนื่อยล้าจากการต่อสู้


องครักษ์ทำหน้าตกใจเมื่อได้ทราบข่าวใหม่ แต่ก็หยุดพฤติกรรมไว้แค่นั้น


จนกระทั่งไคลน์ย่างกรายเข้าใกล้บานประตู องครักษ์คนหนึ่งยื่นแขนออกมาขวาง


“มิสเตอร์แซงวิลล์ ได้โปรดแสดงบัตรผ่านด้วยครับ”


“รีบๆ หน่อย!” ขณะแผดเสียงตวาด ไคลน์ควักบัตรผ่านออกจากกระเป๋าเสื้อโค้ทและยื่นให้องครักษ์คนหนึ่ง


ท่าทีใจเย็นและเป็นไปตามธรรมชาติของชายหนุ่มช่วยให้อีกฝ่ายตายใจ


ขณะพวกมันกำลังก้มมองเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของบัตรผ่าน ไคลน์ฉวยโอกาสกระโจนไปข้างหน้าโดยไม่ปล่อยให้ตั้งตัว!


เมื่อกลิ้งถึงพื้น ชายหนุ่มม้วนตัวอีกหนึ่งตลบอย่างชำนาญ ส่งร่างกายผ่านพ้นบานประตูแสงผีสีฟ้าอ่อนในพริบตา!


กว่าจะรู้ตัวเมื่อสาย ตราสัญลักษณ์ในมือองครักษ์ได้กลายเป็นเพียงเศษกระดาษ


มุมกระดาษฝั่งซ้ายบนมีข้อความเขียนไว้ด้วยภาษาโลเอ็นว่า :


“สุขสันต์วันปีใหม่!”



รอยแยกสีดำมืดคล้ายนรกเบื้องล่างเต็มไปด้วยของเหลวเหนียวข้นกึ่งมายา ผิวน้ำมีฟองผุดตลอดเวลา ท่อนแขนสีขาวซีดจำนวนมากเหยียดออกมาประหนึ่งหวังไขว่คว้าบางสิ่ง


อินซ์·แซงวิลล์ย่อมทราบถึงความแข็งแกร่งของอะซิก·อายเกสอย่างคร่าว แต่มันหาได้แสดงสีหน้าตกใจหรือหวาดกลัว เนื่องจากตนมีผู้ช่วยเป็นถึงครึ่งเทพอีกหนึ่งตน


ความกังวลของมันอยู่ตรงอื่น สิ่งนั้นคือปากกาขนนกสุดบัดซบ 0-08 ซึ่งสามารถเขียนเรื่องราวได้เอง และส่วนมากมักเป็นเรื่องราวอันจะทำให้ตัวมันเกิดความฉิบหาย!


ทันใดนั้น เมื่อใช้มุมสายตาเหลือบไปมอง อินซ์·แซงวิลล์พลันเผยสีหน้าประหลาดใจสุดขีด เนื่องจากปากกาขนนกสุดแสบได้ลอยออกไปจากกระเป๋าโดยไม่รู้ตัว และกำลังเขียนบางสิ่งลงบนกำแพงหินสีเทา!


“…ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ยกตัวอย่างเช่น เข็มขัดของอินซ์·แซงวิลล์เกิดฉีกขาดกะทันหัน จนขอบกางเกงหลุดลงไปกองอยู่กับตาตุ่ม”



รอบตัวไคลน์กำลังเต็มไปด้วยแสงสีฟ้าอ่อน มันตระหนักว่าตนกำลังอยู่ภายในอุโมงค์ลึกลับของบางสิ่ง เบื้องหน้ามีม่านแสงซ้อนทับหลายชั้น ซ้ายขวาเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตล่องหนแหวกว่ายไปมา


ไคลน์ไม่มัวเสียเวลาสำรวจ มันรีบนำพาตัวเองไปยังอีกฝั่งของอุโมงค์โดยเร็ว


ก่อนจะถึงทางออก ชายหนุ่มจัดระเบียบเครื่องแต่งกายอีกครั้งให้เหมือนกับไม่มีความทุลักทุเลเกิดขึ้น จากนั้นจึงเดินผ่านม่านแสงลักษณะคล้ายคลื่นน้ำเข้าไป


ภาพการมองเห็นเริ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อย


เพียงไม่นาน ไคลน์พบว่าตัวเองถูกส่งออกมายังอีกห้องโถงหนึ่ง รอบตัวมีองครักษ์สองสามคนคอยอารักษ์เหมือนกับอีกฝั่ง


“มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นใต้ดิน คอยจับตามองเอาไว้ให้ดี ห้ามมิให้ผู้ใดผ่านเข้าออกโดยเด็ดขาด” ไคลน์มอบคำสั่งอย่างสุขุมลุ่มลึก ตามด้วยการเดินออกจากประตูห้องโถงโดยไม่รีบร้อน


“รับทราบครับ! มิสเตอร์แซงวิลล์!” องครักษ์ขานรับแข็งขันไล่หลัง


ผ่านไปเพียงครู่เดียว องครักษ์จากอีกฝั่งได้ผ่านอุโมงค์แสงเข้ามาและรีบตะโกนโหวกเหวกอย่างลนลาน


“อินซ์·แซงวิลล์คนเมื่อครู่มีพิรุธ!”


ทุกคนรีบหันกลับไปทางประตูห้องโถง แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า


กึก. กึก. กึก.


องครักษ์รีบกระจายตัวออกตามหาทุกซอกมุมของอาคาร พวกมันคอยเน้นย้ำกับทุกคนตลอดทางว่า ‘อินซ์·แซงวิลล์มีพิรุธ’


บรรยากาศเป็นไปในทำนองโกลาหล


ผ่านไปสักพัก องครักษ์คนหนึ่งหักเลี้ยวมุมทางเดินและพบกับแผ่นหลังอินซ์·แซงวิลล์เข้าโดยบังเอิญ


โดยไม่รีรอ มันรีบชักดาบอาบสายฟ้าออกมากำแน่นตามสัญชาตญาณ ก่อนจะพุ่งฟันใส่ด้วยท่วงท่าเกรี้ยวกราด


แคว่ก!


‘อินซ์·แซงวิลล์’ ลอยปลิวและฉีกขาดเหมือนกับกระดาษ


พร้อมกันนั้น เสียงปืนดังสนั่นสองนัดซ้อนจากมุมมืด กระสุนสีทองอ่อนพุ่งใส่บริเวณกะบังหน้าของหมวกเหล็กซึ่งไม่ถูกเลื่อนลงมาปิด หัวกระสุนทะลวงผ่านเนื้อหนังมนุษย์และทำลายทุกสิ่งบนเส้นทาง


ไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งเสียงร้อง องครักษ์โชคร้ายทรุดลงบนพื้นด้วยร่างกายชักกระตุก


ไคลน์โผล่ออกจากเงามืดตรงมุมทางเดิน พลางเก็บลูกโม่ดัดแปลงกลับเข้าซองปืนรักแร้ด้วยสีหน้าเย็นชา


มันเผาเศษกระดาษรูปคนทิ้ง ก่อนจะลากองครักษ์เข้าไปซ่อนในอีกห้อง และนำชุดเกราะสีดำของศพมาสวมแทน ใบหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นองครักษ์คนดังกล่าว


ถัดมา ไคลน์ก้มหยิบดาบอาบสายฟ้าและเดินออกจากห้องด้วยประตูอีกฝั่ง


มันเริ่มวิ่งด้วยสีหน้า ‘แตกตื่น’


ไคลน์เตรียมบอกกับ ‘พวกพ้อง’ ทุกคนว่า มีบางสิ่งผิดปรกติเกี่ยวกับอินซ์·แซงวิลล์!


……………………


ราชันเร้นลับ 474 : เรื่องราวของเอ็ดซัค

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ ห้องกระจกของคฤหาสน์กุหลาบแดง


เอ็ดซัค·ออกัสตัสกำลังยืนข้างหน้าต่างเต็มบานตั้งแต่พื้นถึงเพดาน สายตาจ้องมองทริสซีผู้มีใบหน้าเฉยเมยอย่างโกรธเคือง พลางส่งเสียงตวาดประหนึ่งภูเขาไฟใกล้ปะทุ


“ทำไมเธอถึงพยายามหนีไปจากเรานัก!”


ทริสซีมองผ่านไหล่เข้าไปในหน้าต่างพลางหัวเราะคิกคัก


“ไม่เห็นฝนดาวตกนั่นหรือ… ไม่สัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนบ้างเลยหรือ”


ด้านหลังหญิงสาว เครื่องแก้วลายครามและข้าวของจำนวนหนึ่งกำลังกระจัดกระจายไปบนพรมผืนหนาอ่อนนุ่ม ข้างทริสซีมีพ่อบ้านชรา ฟังเกล คอยยืนคุมเชิงไม่ห่าง


“ปรากฏการณ์เช่นนี้มิได้หายากขนาดนั้น” เอ็ดซัคมอบคำตอบด้วยเสียงต่ำ


ทริสซีเลิกคิ้วอย่างเหนื่อยหน่าย


“ทำไมนายถึงได้ซื่อบื้อแบบนี้… จะพูดอย่างไม่อ้อมค้อมก็แล้วกัน ฉันเป็นแม่มด!”


สีหน้าองค์ชายเอ็ดซัคมิได้แปรเปลี่ยน เพียงหันไปกล่าวกับพ่อบ้านชรา


“เฝ้าประตูไว้อย่าให้ใครเข้ามา”


“ขอรับ องค์ชาย” ฟังเกลจ้องทริสซีด้วยสายตาเย็นชาขณะเดินออกจากห้องกระจก


เมื่อประตูปิดสนิท เอ็ดซัคถอนหายใจยาว


“ทริสซี่·ชีค… แต่เธอคงชอบถูกเรียกว่าทริสซีมากกว่า เราทราบนานแล้วว่าเธอคือแม่มด ยังจำผู้ช่วยซึ่งเธอฝากฝังให้ซื้อวัตถุดิบโอสถมูลค่าสูงได้ไหม จะบอกอะไรให้ ชายคนนั้นทำงานไม่สำเร็จ แต่เป็นเรา ผู้จัดหาวัตถุดิบชิ้นนั้นมาให้! เราไม่สนว่าเจ้าหญิงพระชายาจะเป็นแม่มดหรือนางมาร เราเคยเห็นหน้าเธอบนใบประกาศจับมาแล้ว!”


ทริสซีประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มเหยียดหยัน


“รู้มากจังเลยนะ… แต่เคยรู้หรือไม่ ว่าฉันคนนี้เคยเป็นผู้ชายมาก่อน โดยมีชื่อจริงว่าทริส…”


“อะไรนะ…?” ดวงตาเอ็ดซัคพลันลุกวาว ถึงขั้นเอียงคอเล็กน้อยด้วยสีหน้าตกตะลึง ราวกับยังไม่เชื่อว่าเมื่อครู่คือความจริง


ได้เห็นท่าทีตอบสนอง ทริสซีพลันระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ หัวเราะดังจนเอนตัวไปด้านหลังพลางใช้มือกุมท้องราวกับคนบ้า


“ฮะฮะ! นายฟังไม่ผิดหรอก ฉันเคยเป็นผู้ชายมาก่อน! เคยมีไอ้นั่นมาก่อน และใหญ่ยาวกว่าของนายด้วย! แต่ผลของโอสถแม่มดทำให้ฉันต้องกลายเป็นเพศหญิง! เริ่มรังเกียจขึ้นมาแล้วใช่ไหม? เริ่มขนลุกขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหม! ฮะฮะ!”


เธอพรั่งพรูถ้อยคำซึ่งอัดอั้นมานานโดยไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร ตามด้วยการขยับตัวเข้าไปใกล้สองก้าว


เอ็ดซัคผงะถอยหลัง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงอย่างชัดเจน


“ม…ไม่ใช่แบบนั้น… ปัจจุบันเธอคือเพศหญิง เรื่องนี้ไม่มีข้อผิดพลาดแน่นอน เรายืนยันด้วยตัวเองมาแล้ว!” องค์ชายสามพึมพำเสียงค่อย “อย่างน้อยเธอก็เป็นผู้หญิงหลังจากพวกเราพบกัน ก่อนหน้านั้นจะเป็นอะไรก็ช่าง เราไม่สน! เราจะถือว่าเรื่องแบบนั้นไม่เคยเกิดขึ้น! เรารักปัจจุบันของเธอ!”


ทริสซีถึงกับผงะ ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมาปาดน้ำตาจากการหัวเราะเมื่อครู่


“ช่างน่าสมเพช ยังไม่เข้าใจอีกหรือ… การพบกันของพวกเราไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือแม้แต่ความรักของนายก็…” เธอเว้นวรรค “แม้แต่ความรักของนายก็ถูกบงการโดยใครบางคน! ไม่คิดบ้างหรือว่าเรื่องราวมันปุบปับเกินไป ฉันเองก็เชื่อเรื่องรักแรกพบ แต่ฉันไม่เชื่อว่าจะมีใครหลงหัวปักหัวปำอย่างไรเหตุผลได้เช่นนี้! นายทำตัวเหมือนพระเอกในนิยายโรแมนติกตลาดล่าง ตกหลุมรักใครบางคนจนโงหัวไม่ขึ้นหลังจากพบกันแค่ครั้งเดียว นายหลงลืมว่าตัวเองเคยมีรสนิยมเรื่องผู้หญิงเป็นเช่นไร และเปลี่ยนมาชอบฉันโดยไม่ลังเล นั่นมันบ้าบอสิ้นดี!”


ดวงตาเอ็ดซัคพลันเหม่อลอย ปากอ้าค้างอย่างตกตะลึง มันไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน


ร่างกายสั่นเทาอย่างโงนเงน ประหนึ่งเพิ่งถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์หลับลึกอันยาวนาน


“ธ…เธอคือรสนิยมของเราไม่ผิดแน่… แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ท่าทีของเราออกจะใจร้อนเกินไปสักหน่อย”


ทริสซียกโค้งมุมปาก พลางเบือนหน้าไปทางอื่นและพ่นถ้อยคำเย้ยหยัน


“น่าสมเพช… แม้แต่รสนิยมผู้หญิงของตัวเองก็ยังถูกคนอื่นบงการ นายไม่ต่างอะไรกับหุ่นกระบอกให้คนเขาเชิดเล่น ยังไม่เข้าใจอีกหรือ… คนพวกนั้นไม่ได้แยแสชีวิตของนายเลยสักนิด! ส่วนฉันเป็นเพียงตัวประกันของนิกายแม่มด ทางนิกายแอบร่วมมือกับราชวงศ์ด้วยวัตถุประสงค์บางอย่าง แม้แต่ฉันเองก็ยังถูกหลอกมาอีกที ฉันครอบครองสมบัติมูลค่าสูงของนิกายแม่มดไว้กับตัว จากนั้นก็ถูกส่งมาเป็นตัวประกันให้นาย ภายใต้ความเข้มงวดของคฤหาสน์กุหลาบแดง สมบัติชิ้นนั้นถึงไม่ต่างอะไรกับอยู่ในกำมือของราชวงศ์แล้ว พร้อมจะถูกทำลายได้ทุกเมื่อหากนิกายแม่มดคิดไม่ซื่อหักหลังราชวงศ์ และนั่นจะทำให้นิกายเกิดความสูญเสียใหญ่หลวง นี่คือหลักประกันซึ่งนิกายแม่มดมอบให้แก่ราชวงศ์ และถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายไปถึงหูสามโบสถ์หลัก เรื่องราวทั้งหมดก็จะจบลงอย่างง่ายดาย บทละครได้ถูกกำหนดไว้ว่า องค์ชายเอ็ดซัคเลี้ยงแม่มดไว้ข้างกายเพราะมักมากในตัณหา แต่หลังจากตระหนักถึงบาปของตัวเอง เขาทำการยิงปืนกรอกปากตัวเองเพื่อจบชีวิตอันน่าสมเพช… สำหรับเรื่องนี้ ไม่มีฝ่ายใดต้องเดือดร้อนนอกจากนายกับฉัน”


“ไม่จริง!” เอ็ดซัคโพล่งขึ้น


ด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว มันรีบซักถาม


“แล้วทำไมราชวงศ์ถือร่วมมือกับนิกายแม่มด…”


“ตัวประกันกึ่งเครื่องสังเวยอย่างฉันจะไปทราบได้อย่างไร” ทริสซีเผยรอยยิ้มจืดชืด “นั่นคือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงคิดหนี”


เธอก้มหน้าลงพลางหัวเราะเบาในลำคอ ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยจากพฤติกรรมดังกล่าว


ไม่กี่วินาทีถัดมา หญิงสาวเงยหน้าอีกครั้ง พลางยกมุมปากและกล่าวอย่างยียวน


“แล้วนายจะทำยังไงต่อ? เปลื้องผ้าฉันแล้วผลักลงบนเตียงเหมือนทุกที? คงไม่ใช่แน่ ตอนนี้นายมีเกราะป้องกันทางใจจากเพศสภาพในอดีตของฉัน… แต่ด้วยความสัตย์จริง ฉันไม่ถือสาหรอกนะ ถ้านายต้องการความอบอุ่นทางร่างกายเล็กๆ น้อยๆ จากฉัน… คงไม่ใช่เรื่องน่าละอายสักเท่าไร หากเหยื่อผู้ถูกกระทำสองคนจะปลอบใจซึ่งกันและกัน”


ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าอวบกลมขององค์ชายเอ็ดซัคพลันอึมครึม มันจ้องทริสซีโดยไม่กล่าวสิ่งใดนานกว่าหนึ่งนาที


จนกระทั่ง เอ็ดซัคหลับตาลง พลางชี้ไปยังมุมหนึ่งและกล่าว


“เธอออกไปได้ ด้วยประตูบานนั้น”


ทริสซีเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ


“นายจะปล่อยฉันไป?”


“ถูกต้อง” เอ็ดซัคจ้องออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่และกล่าวเสริม “ฉันจะห้ามฟังเกลไว้ให้ แต่เธอต้องหลบหนีผู้ไล่ล่าคนอื่นด้วยฝีมือตัวเอง จะรอดหรือไม่รอดขึ้นอยู่กับตัวเธอและโชคชะตา”


แววตาทริสซีเผยอาการตกตะลึงอย่างไม่ปิดบัง แต่เพียงไม่กี่วินาที หญิงสาวรีบพุ่งไปทางบานประตูลับโดยปราศจากความ


ก่อนจะก้าวพ้นกรอบประตู ทริสซีชะงักฝีเท้าและหันกลับมามอง


“แล้วนายจะทำยังไงต่อ”


เอ็ดซัคไม่หันหน้าไปมอง สายตายังคงจ้องออกไปนอกหน้าต่างเต็มบาน ประหนึ่งกำลังย้อนดูอดีตอันน่าสมเพชของตน


มันอมยิ้มขื่นขม


“เราหรือ… เราขอจมอยู่กับเรื่องราวอันหอมหวานและน่าประทับใจเช่นนี้ ไปจนกว่าวาระสุดท้ายของมันจะดำเนินมาถึง …ไม่ว่าผลลัพธ์จะดีหรือร้ายก็ตาม”


ทริสซีหยุดหายใจไปหลายวินาที


ก่อนจะพุ่งตัวผ่านกรอบประตูลับไปโดยไม่ลังเลหรือเหลียวหลังกลับมามองอีก



ณ ห้องเงียบสงบภายในมหาวิหารแซมมัว


หนึ่งในสิบสามอาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์รัตติกาล ประมุขสูงสุดแห่งมุขมณฑลเบ็คลันด์


นักบุญแอนโทนี·สตีเวนสัน


มันได้รับโทรเลขด่วนจากตระกูลฮอลล์


ชายชราผู้นี้ปราศจากหนวดเครา ดวงตาลุ่มลึก สีหน้าแววตากระจ่างสดใสราวกับผิวทะเลสาบสงบนิ่ง แม้จะสวมชุดคลุมนักบวชสีดำสลับแดงของอาร์ชบิชอป แต่ก็มิได้มอบบรรยากาศอึมครึมแก่ผู้พบเห็น


ทว่า หากใครเผลอสบตาเข้า ร่างกายจะเกิดอาการสั่นเทาจากก้นบึ้งจิตใจ ประหนึ่งวิญญาณถูกความกลัวกัดกินอย่างหิวกระหาย หรือประหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับสายตาของสัตว์ประหลาดในเงามืด


ทริสซี่·ซีค… แม่มดบรรพกาล…


นักบุญแอนโทนีใช้ฝ่ามือตบกระดาษโทรเลขแผ่วเบาพร้อมกับลุกขึ้นยืน


แสงสว่างภายในห้องพลันเลือนหาย คล้ายกับถูกความมืดอันเข้มข้นแทรกเข้ามาทดแทน


สาวกทั้งหมดภายในวิหารแซมมัวต่างสัมผัสถึงกลิ่นอายของบรรยากาศยามราตรีอย่างท่วมท้น แต่ละคนจึงยิ่งทวีความศรัทธาในตัวเทพธิดารัตติกาล


ทุกสิ่งกลับเป็นปรกติภายในเวลาอันสั้นหลังจากนักบุญแอนโทนี·สตีเวนสันเดินมาถึงหน้าประตูยานิส


สำหรับวันนี้ ทีมคุ้มกันประตูยานิสถูกนำโดยผู้นำทางวิญญาณ ดาลีย์·ซิโมเน่


โดยไม่รอให้หญิงสาวซักถาม อาร์ชบิชอปแอนโทนีออกคำสั่งลุ่มลึก


“ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม รีบเข้าประจำตำแหน่งของตัวเอง ผมจะทำการปลุกสมบัติปิดผนึกในอีกไม่ช้า”


ในคราวนี้ มันคิดจะใช้ 0-17


งานของสมบัติปิดผนึกทรงพลังและน่าหวาดหวั่นชิ้นนี้คือ การยืนยันแน่ให้ชัดว่าทริสซีคือต้นตอของหายนะจริง ขณะเดียวกันก็ยังเป็นเครื่องมือสำหรับแก้ไขปัญหาดังกล่าว


นี่คือสมบัติปิดผนึกระดับ 0 เพียงชิ้นเดียวนอกมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ และมีสมาชิกระดับเบื้องบนของโบสถ์แค่สองคน ทราบว่ามันถูกเก็บรักษาไว้หลังประตูยานิสกรุงเบ็คลันด์


“ค่ะ เจ้าคุณท่าน” ดาลีย์ผงะเล็กน้อย ก่อนจะรีบตอบสนองอย่างมืออาชีพ


ขณะยืนรอ นักบุญแอนโทนีหลับตาลงเพื่อทบทวนข้อมูลของ 0-17 ในความทรงจำ


รหัส : 17


ชื่อ : XXXXXX


ระดับอันตราย : 0 อันตรายยิ่งยวด หนึ่งในสมบัติชิ้นสำคัญและมีความลับสูงสุดของโบสถ์ ห้ามถามถึง ห้ามเผยแพร่ ห้ามอธิบาย และห้ามพยายามสืบหาข้อมูล


ผู้มีสิทธิ์เบิกใช้ : สันตะปาปา นักวิจัยทีม A และอาร์ชบิชอปประจำมุขมณฑลเบ็คลันด์


(เมื่อมีการเปลี่ยนตำแหน่งอาร์ชบิชอปประจำกรุงเบ็คลันด์ คนเก่าต้องถูกลบความทรงจำด้วยสมบัติปิดผนึก 1-29)


วิธีการผนึก : สามารถผนึกอย่างสมบูรณ์ด้วยการทำงานร่วมกันของ 1-29 และ 1-80


คำอธิบาย :


นี่ไม่ใช่สิ่งของ


นี่คือเทวทูตมีชีวิต!


ท่านมีรูปโฉมงดงาม ดวงตาและเส้นผมดำขลับแวววาว ใบหน้าอาจเหมือนหญิงสาวเยาว์วัย แต่อายุจริงของท่านมิอาจประเมินได้


…ท่านไม่มีปีกตามตำนานเทวทูตในพระคัมภีร์ หากมองผิวเผิน ท่านจะเหมือนกับมนุษย์ปรกติทุกประการ


…ท่านไม่มีสตินึกคิด ปราศจากอารมณ์ทั้งปวง


…หากมีสิ่งใดเข้าใกล้ท่าน สิ่งนั้นจะหายไปอย่างสมบูรณ์ ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์… จากการทำนายด้วยหลากหลายวิธี พวกเราสามารถยืนยันได้ว่าเหยื่อยังมีชีวิตอยู่ แต่มิอาจระบุตำแหน่งชัดเจนได้ ปัจจุบันเคยทดสอบการระบุตำแหน่งไปแล้วทั้งสิ้น 1,825 วิธี แต่ยังไม่มีวิธีใดประสบความสำเร็จ


…ระยะแสดงผลของ 0-17 สามารถกว้างขึ้นหรือแคบลงได้โดยไม่มีแบบแผนตายตัว


…ปัจจุบัน ท่านทำให้ผู้ทดสอบหายตัวไปแล้วเกินกว่าเจ็ดสิบราย



คำเตือน : ไม่มีใครสามารถออกคำสั่งท่านได้!


ภาคผนวกที่หนึ่ง : สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้ปรากฏตัวครั้งแรกในยุคไร้ชีวิตชีวาแห่งยุคสมัยที่สี่


ระบุปีพบ : ไม่ปรากฏ


ระบุวันพบ : ไม่ปรากฏ


ระบุตำแหน่ง พบ : ไม่ปรากฏ


ภาคผนวกที่สอง : จากข้อมูลของทีมวิจัย ท่านเคยตื่นขึ้นมาแล้วห้าครั้ง



หลังจากปลอมตัวเป็นองครักษ์และป่าวประกาศว่าอินซ์·แซงวิลล์มีพิรุธ ไคลน์อาศัยพลังทำนายช่วยนำพาไปยังทางออก ขณะเดียวกันก็เพื่อไม่ให้ตัวเองพลัดหลงจากฤทธิ์ของมาสเตอร์คีย์


มันทราบดี ด้วยวิธีการค้นหาแบบปูพรมหน้ากระดาน อีกไม่นานศพต้ององครักษ์ต้องถูกพบแน่ ก่อนจะถึงตอนนั้น ตนต้องแข่งกับเวลาและหาทางออกให้พบ


พลังผู้ไร้หน้าควรมีสมบัติวิเศษเกี่ยวกับการทำลายศพและกลบร่องรอยช่วยเกื้อหนุน…


ขณะได้เรียนรู้จากสถานการณ์จริง ไคลน์ใช้เวลาไม่นานในการนำพาตัวเองผ่านจุดตรวจจำนวนมาก จนกระทั่งมาถึงประตูบานหนึ่งซึ่งพลังทำนายระบุว่าเป็น ‘ทางออก’


ทว่า เรื่องน่าประหลาดใจคือ บริเวณนี้กลับไม่มีองครักษ์แม้แต่คนเดียว ปรากฏเพียงประตูหินเด่นตระหง่านบานหนึ่งรายล้อมด้วยกำแพงหินซ้ายขวา


เกิดอะไรขึ้น…? ทำไมถึงไม่มีองครักษ์คอยเฝ้าทางออกแม้แต่คนเดียว? พลังทำนายของเราถูกแทรกแซง?


ขณะเกิดสงสัยมากมาย ไคลน์หลบมุมเพื่อถอดชุดเกราะสีดำออก เรียกคืนความคล่องแคล่วกลับมา


จากนั้น ชายหนุ่มเดินเรียดไปยังกำแพงฝั่งซ้ายมือของบานประตูหินซึ่งถูกเปิดแง้มออกไปเล็กน้อย


เมื่อทำนายยืนยันด้วยเหรียญทองจนแน่ใจว่าตนมาถูกทาง ไคลน์ทำการควักกุญแจทองแดงออกมาไขกำแพงพร้อมกับบิดข้อมือ


ม่านคลื่นน้ำกระเพื่อมแผ่วเบา ชายหนุ่มเดินทะลุผ่านไปกำแพงโดยไม่ต้องใช้ประตู!


สิ่งแรกในการมองเห็นคือ แสงจากธรรมชาติซึ่งส่องลงมาจากหลังคาโดมสูง ช่วยยืนยันว่าจุดปัจจุบันคือด้านนอกตัวอาคาร


ไคลน์ยังคงยืนนิ่งเพื่อให้ดวงตาปรับความเคยชินกับแสง ก่อนจะเริ่มมองเห็นพื้นหินผุกร่อนใต้ฝ่าเท้า และเสาหินต้นใหญ่ถัดไปไม่ไกลนัก


มองเข้าไปยังใจกลางโถงใหญ่ มันพบกับกลุ่มบุคคลสวมชุดคลุมสีดำปกปิดศีรษะมิดชิดจำนวนสี่ราย ทุกคนกำลังคุกเข่ารอบบางสิ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นแท่นบูชา


ทันใดนั้น เสียงอ่อนโยนของสตรีดังแว่ว


“มิสเตอร์ A คุณพร้อมหรือยัง”


……………………


ราชันเร้นลับ 475 : ท่านหญิงสิ้นหวัง

โดย

Ink Stone_Fantasy

มิสเตอร์ A?


มิสเตอร์ A จากชุมนุมแสงเหนือ?


หลังจากไคลน์เอนหลังแนบกำแพงและหลบซ่อนภายในมุมมืด ร่างกายมันพลันสั่นเทาเมื่อได้ทราบชื่อของหนึ่งในบุคคลปริศนา


ไม่ผิดแน่ อินซ์·แซงวิลล์ร่วมมือกับราชวงศ์หรือไม่ก็ขั้วอำนาจบางกลุ่มภายใน…


เพราะหากไม่ใช่ขั้วอำนาจหลังของอาณาจักรโลเอ็น ก็คงไม่มีฝ่ายใดสามารถจัดหาอาคารใต้ดินหลังใหญ่ใกล้กับกรุงเบ็คลันด์ สำหรับใช้เป็นแหล่งกบดานได้อีกแล้ว…


เมื่อมีอินซ์·แซงวิลล์และ 0-08 เข้ามาเกี่ยวข้อง เราสามารถตัดโบสถ์รัตติกาลทิ้งได้ทันที ทางโบสถ์วายุสลาตันก็เช่นกัน พวกมันป่าเถื่อนและถือเพศชายเป็นใหญ่ จึงไม่น่าจะยอมร่วมมือกับนิกายหญิงล้วนอย่างแม่มด ไม่เพียงเท่านั้น เรายังไม่พบว่าเคยมีผู้วิเศษเส้นทางกะลาสีมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้… และด้วยเหตุผลด้านเส้นทาง โบสถ์จักรกลไอน้ำจึงไม่น่าจะเข้าข่ายเช่นกัน…


แม้แต่ชุมนุมแสงเหนือก็ร่วมด้วย? พวกมันคิดจะทำอะไรกันแน่?


ไคลน์เอนหลังพิงกำแพงพลางหายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้า สมองประมวลผลเกี่ยวกับบทสนทนาสั้นกระชับเมื่อครู่


หลังจากเงียบงันหลายนาที เสียงแหบพร่าของเพศชายได้ดังขึ้น


“เรียบร้อย”


บทสนทนาสั้นห้วนเสียจน ไคลน์ไม่สามารถเดาได้ว่าพวกมันกำลังวางแผนใดไว้


หญิงสาวหัวเราะในลำคอ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงสดใสอย่างแผ่วเบา


“คุณยังไม่เชื่อใจพวกเราใช่ไหม”


“แน่นอน” มิสเตอร์ A ตอบกระชับ


“ฮิฮิ… ถ้าอย่างนั้น ฉันจะแสดงความจริงใจด้วยการอธิบายแผนของพวกเราให้ฟัง รวมถึงเล่าว่าทำไม ฉันจึงต้องการความร่วมมือจากคุณ” เสียงออดอ้อนของสตรีปราศจากเศษเสี้ยวอารมณ์โกรธเคือง “ฝ่ายเราเคยทำบางสิ่งร้ายแรงลงไปและหลงเหลือหลักฐานทิ้งไว้อย่างแจ่มชัด ฉะนั้น ก่อนจะถูกพบโดยโบสถ์รัตติกาล วายุ และไอน้ำ พวกเราต้องเร่งมือเก็บกวาดให้หมดจด โดยขั้นตอนดังกล่าวต้องการความช่วยเหลือจากคุณ


“อา… บางที คุณอาจยังไม่เข้าใจดีพอ จะขอยกตัวอย่างก็แล้วกัน ลองจินตนาการตาม หากคุณลงมือสังหารเหยื่ออย่างโหดเหี้ยมภายในบ้าน คุณต้องทำอย่างไรเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยและทำลายหลักฐานทิ้งในคราวเดียว?”


“ไม่จำเป็นต้องกลบเกลื่อน ข้าต้องการให้ทุกคนได้ประจักษ์ความโหดเหี้ยมของพวกเราอยู่แล้ว” มิสเตอร์ A ตอบเสียงเรียบ


…คำตอบสมกับเป็นพวกเสียสติของชุมนุมแสงเหนือฉิบหาย… พวกมันไม่มีคนปรกติอยู่เลยหรือไง…


ไคลน์สามารถยืนยันได้ว่า หนึ่งในกลุ่มบุคคลปริศนาคือมิสเตอร์ A ผู้ลงมือลอบสังหารราชทูตอินทิส เบเคอร์ลัน·ฌอง·มาติน


“…ให้ลองสมมติว่าคุณเป็นฉัน” เสียงอ่อนโยนของสตรีเริ่มเจือความระอา


มิสเตอร์ A มอบคำตอบภายในหนึ่งวินาที


“เผาบ้านทั้งหลังไปพร้อมกับเบาะแส”


น้ำเสียงของสตรีเริ่มแฝงความพึงพอใจ


“ถูกต้อง พวกเรากำลังจะทำในเรื่องเดียวกัน ฉันจะเป็นฝ่าย ‘ลงมือเผาบ้าน’ ส่วนคุณคอยทำให้ไฟลุกลามไปไกลกว่าปรกติ สรุปก็คือ จงใช้โอกาสดังกล่าวเพื่อสร้างภาชนะหรืออุโมงค์สำหรับอัญเชิญพระเจ้าของพวกคุณลงมายังโลก ผลเสียของแผนการนี้คือ ทางคุณจะต้องแบกรับความโกรธแค้นและกลายเป็นศัตรูจากทุกกองกำลังทั่วอาณาจักร ไม่เว้นกระทั่งสามโบสถ์หลัก แต่ฉันคิดว่าชุมนุมแสงเหนือคงไม่ถือสาเรื่องนี้กระมัง”


“หึ… ขอเพียงพระองค์ลงมาจุติสำเร็จ ต่อให้ต้องกลายเป็นศัตรูกับทุกกองกำลังบนโลกก็ไม่เกี่ยง พวกเราไม่มีทางแสดงความขลาดกลัวออกมาให้เห็นอยู่แล้ว” น้ำเสียงมิสเตอร์ A เริ่มสั่นเครือ ไม่ราบเรียบไร้อารมณ์เหมือนตอนแรก


วางเพลิงเผาบ้าน? ให้ชุมนุมแสงเหนือฉวยโอกาสนี้เพื่อประกอบพิธีกรรมอัญเชิญพระผู้สร้างแท้จริง?


นี่คือความพยายามหนที่สามของพวกมัน… แล้วเราก็ดันดวงบัดซบเข้ามาพัวพันอีกแล้ว…


นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน! ไคลน์รำพันหยาบคายเป็นภาษาจีนกลาง


ในวินาทีนี้ มันเริ่มหวาดระแวงว่า ทั้งหนึ่งในขั้วอำนาจของราชวงศ์ ทั้งอินซ์·แซงวิลล์ รวมถึงนิกายแม่มด กำลังวางแผนใดไว้กันแน่


จะต้องร้ายแรงถึงขั้นให้พระผู้สร้างแท้จริงลงมาจุติเพื่อกลบเกลื่อนเชียวหรือ…


บางที พวกมันอาจมีไพ่ตายแอบปกปิดไว้ เป็นไม้เด็ดซึ่งสามารถทำลายพิธีกรรมของชุมนุมแสงเหนือ ไปพร้อมกับทำลายของกำลังของสามโบสถ์หลักในคราว โดยตัวเองไม่ได้รับผลกระทบใดเลย…


ไคลน์วิเคราะห์อย่างใจเย็น


“คงจะหมดคำถามแล้วใช่ไหม” เสียงอ่อนโยนของสตรีดังกังวาน


“ไม่ต้องกังวล อาคารหลังนี้ถือเป็นหนึ่งในความลับสุดยอด สามารถใช้เป็นจุดประกอบพิธีกรรมได้โดยไม่มีใครเข้ามารบกวน ในส่วนของปัจจัยภายนอกอื่น ๆ พวกเราเตรียมการเสร็จเรียบร้อยนานแล้ว ขอเพียงมี ‘ประกายไฟ’ ถูกจุดขึ้น ทุกอย่างก็จะเริ่มต้นได้ทุกเมื่อ หรือถ้าหากคุณยังกังวล ก็สามารถตรวจสอบซ้ำอีกครั้งจนกว่าจะมั่นใจ”


ขณะมิสเตอร์ A กำลังจะเปิดปาก ไคลน์ได้ยินเสียง ‘กึก’


เป็นเสียงของประตูหิน


“ใครอนุญาตให้เข้ามา! ฉันประกาศไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาในเขตนี้โดยเด็ดขาด!” เสียงของสตรีแฝงความโมโหไว้อย่างเจือจาง ประหนึ่งกำลังฝืนอดกลั้น


“ท่านหญิงสิ้นหวัง มีเรื่องด่วนขอรับ! ใครบางคนได้บุกรุกเข้าในฐานทัพใต้ดิน! เบื้องบนมอบหมายให้ผมจัดการเรื่องนี้พร้อมกับปิดอุโมงค์เชื่อมต่อทุกเส้นทาง” บุรุษสำเนียงเบ็คลันด์ตอบกลับอย่างฉะฉาน


สตรีผู้ถูกเรียกว่า ‘ท่านหญิงสิ้นหวัง’ เงียบงันนานหลายวินาที คล้ายกับกำลังสนทนากับใครบางคนเพื่อยืนยันสถานการณ์


จนกระทั่ง เธอหันมากล่าวกับชายสำเนียงเบ็คลันด์โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


“กลับเข้าไปก่อน แล้วอย่าได้ออกมาอีกเป็นอันขาด จนกว่าจะมีคำสั่งเพิ่มเติม”


“ขอรับ ท่านหญิงสิ้นหวัง!” ชายคนเดิมเดินกลับไปทางบานประตูหิน เสียงฝีเท้าดังกึกก้องไปทั่วห้องโถง


จากจุดซ่อนตัวของไคลน์ มันย่อมมองเห็นประตูหินซึ่งถูกใช้กลับไปยังอาคารใต้ดิน


จนกระทั่งผ่านไปเจ็ดแปดวินาที บุรุษรูปร่างสันทัด ส่วนสูงปานกลาง ได้เดินมาหยุดยืนหน้าประตูหิน


ฟู่ว…! ชายคนเดิมถอนหายใจยาวพร้อมกับเหยียดแขนออกมาข้างหน้า และออกแรงผลักประตูหินใหญ่ด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว


ในช่วงเวลาสั้น ๆ ไคลน์สามารถจดจำเอกลักษณ์ของอีกฝ่ายได้แม่นยำโดยไม่หลุดรอดแม้แต่รายละเอียดหนึ่งจุด นี่คือความยอดเยี่ยมของผู้ไร้หน้า


อีกฝ่ายมีผิวพรรณน้ำตาลแดง ค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นคนของทวีปใต้ ใบหน้าไม่มีจุดเด่นใดเลย ค่อนข้างยากในการจำจด


เนื่องด้วยท่าทางการขบกรามแน่นขณะออกแรงผลัก ฟันบางส่วนจึงเผยให้ไคลน์เห็นเด่นชัด ฟันซี่สามจากทางซ้ายบนส่องประกายสีทองแวววาว เป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากฟันปลอมโลหะ


นี่มัน…! สัมผัสวิญญาณของนักทำนายในตัวไคลน์กำลังบ่งบอกว่า ตนคุ้นเคยกับคำอธิบายของรูปลักษณ์อีกฝ่ายเป็นอย่างดี


โดยไม่ต้องรอนาน ความทรงจำในส่วนเกี่ยวข้องถูกเรียกออกมาทันที


ครั้งหนึ่ง แฮงแมนเคยขอให้ชุมนุมทาโรต์ช่วยตามหาเบาะแสของชายผิวน้ำตาลแดง พูดสำเนียงเบ็คลันด์ และฟันซ้ายด้านบนซี่สามหายไป


ชายคนดังกล่าวมีชื่อว่าบาลุน เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของทาสบนเกาะอาณานิคม


และในวินาทีนี้ ชายตามคำอธิบายของแฮงแมน มีรูปพรรณสัณฐานเหมือนกับบุรุษปริศนาเบื้องหน้าไคลน์ทุกประการ!


การหายตัวไปของทาสในหมู่เกาะอาณานิคม…


ชนเผ่าของทวีปใต้จำนวนมากหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา…


บาลุนปรากฏตัวในอาคารแห่งนี้…


คาพิน ผู้ถือครองส่วนแบ่งใหญ่ของตลาดการค้าทาสในเบ็คลันด์ ถูกคุ้มกันโดยผู้วิเศษซึ่งน่าจะเป็นเส้นทางผู้ตัดสินของราชวงศ์…


และจากบรรดาบอดี้การ์ด แข็งแกร่งสุดเป็นถึงลำดับ 6 ซึ่งถือครองสมบัติวิเศษจนเก่งกาจเทียบเท่าลำดับ 5 ปลายแถว…


คาพินจงใจลักพาตัวเด็กหญิงไร้เดียงสา…


ร่างกฎหมายเมล็ดพันธุ์และการยกระดับเทคโนโลยีเครื่องจักร สองสิ่งนี้ส่งผลให้คนจนจำนวนมากต้องตกงาน…


แรงงานหญิงโรงงานทอผ้าเดินทางออกจากเขตตะวันออกเนื่องจากได้รับงานใหม่ในเขตอื่น แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีเบาะแสอีกเลย…


ข้อมูลมากมายเริ่มเรียงร้อยปะติดปะต่อในหัวไคลน์ ทั้งหมดได้มุ่งหน้ามายังอาคารแห่งนี้!


พวกมันกำลังเล็งอะไรไว้ แล้วทำไมถึงต้องใช้มนุษย์จำนวนมาก? แถมส่วนใหญ่ยังเจาะจงให้เป็นเด็กสาวไร้เดียงสา…


พิธีกรรม? พิธีกรรมอันตรายซึ่งใช้ระยะเวลาดำเนินการนาน จึงต้องซ่อนตัวเป็นความลับมาตลอด?


ดวงตาไคลน์เริ่มหดเกร็ง


แอ๊ด— ปัง! ประตูหินปิดสนิทพร้อมกับการหายตัวไปของบาลุน


ห้องโถงถูกความเงียบงันปกคลุมนานหลายวินาที จนกระทั่งมิสเตอร์ A เปล่งเสียงแหบพร่าอีกครั้ง


“ข้าสัมผัสถึงอันตราย มาเริ่มกันเลยดีกว่า ต้องรีบทำให้จบก่อนอันตรายจะมาถึง”


ท่านหญิงสิ้นหวังขานรับอย่างใจเย็น


“ฉันเองก็คิดแบบเดียวกัน ถ้าอย่างนั้น คงต้องขอให้คุณช่วยส่งฉันไปยังเขตตะวันออกสักหน่อย”


เขตตะวันออก? ไคลน์เริ่มเกิดลางสังหรณ์เลวร้าย


“ไม่มีปัญหา” มิสเตอร์ A ตอบเสียงเรียบ


ภายใต้ผ้าคลุมหัว หนังสือมายาสีใสโผล่ขึ้นกลางอากาศตรงหน้ามิสเตอร์ A


เสียงคล้ายสวดมนต์ดังล่องลอยกังวาน


“ข้าบรรลุ ข้าประจักษ์ ข้าบันทึก”


หนังสือมายาพลิกไปยังหน้าหนึ่งอย่างรวดเร็ว ตามด้วยการส่องแสงสีฟ้าสว่างสดใส


แสงดังกล่าวโอบล้อมร่างท่านหญิงสิ้นหวังซึ่งสวมชุดคลุมสีขาว ร่างกายของเธอเริ่มพร่ามัวไม่คมชัด ก่อนจะเลือนรางโปร่งใสจนแทบมองไม่เห็น


ผ่านไปเพียงอึดใจ วิวทิวทัศน์รอบตัวท่านหญิงสิ้นหวังพลันเต็มไปด้วยเงามายาสีดำจำนวนมากแหวกว่ายล่องลอย รวมถึงริ้วแสงเจ็ดสีฉูดฉาดอัดแน่นด้วยความรู้มหาศาล


ร่างกายของเธอคล้ายกับถูกกระชากโดยฝ่ามือล่องหน เข้าไปในช่องว่างของห้วงมิติซึ่งถูกกรีดเฉือนจนฉีกขาด เพียงพริบตา เธอถูกเคลื่อนย้ายจากจุดเดิมภายในห้องโถง มายังตรอกแคบ เปลี่ยว ปลอดคน และน่าขยะแขยงแห่งหนึ่ง


ท่านหญิงสิ้นหวังดึงตาข่ายลงมาปิดใบหน้าจนมิดชิด ศีรษะแหงนมองท้องฟ้าด้านบน


ดวงอาทิตย์ยามบ่ายยังคงถูกบดบังโดยเมฆหมอกหนาทึบของกรุงเบ็คลันด์เช่นเคย บรรยากาศจึงอึมครึมและซีดจาง


แสงแดดสีเหลืองอ่อนยามบ่ายอาจไม่เข้มข้นนัก แต่ก็พอจะมอบความสว่างให้กับทุกซอกมุมของกรุงเบ็คลันด์อย่างทั่วถึง นับเป็นภาพอันน่ามองท่ามกลางสายลมเย็นเฉียบเจือความชุ่มชื้น


น่าเสียดาย บรรยากาศยังไม่เหมาะแก่การลงมือให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด…


ทั้งการแข็งข้ออย่างไม่คาดฝันของทริสซี ทั้งการสูญเสียการควบคุม 0-08 ไปชั่วขณะ ทั้งการปรากฏตัวของอะซิก·อายเกส ทั้งการปรากฏตัวของจักรพรรดิมืด สิ่งเหล่านี้ดึงดูดสายตาของผู้คนเป็นวงกว้างมากเกินไป จนสามโบสถ์หลักเริ่มสืบสวนหาเบาะแสอย่างจริงจัง ส่งผลให้วันลงมือต้องถูกเลื่อนขึ้นมาเร็วกว่าปรกติ…


ท่านหญิงสิ้นหวังสำรวจวิวทิวทัศน์รอบตัวขณะเดินออกจากตรอก


เมื่อถึงถนน ย่างก้าวของเธอเริ่มช้าลงเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังกรีดกรายไปบนทะเลหมอกอย่างสง่างาม


ไม่ว่าจะหนแห่งใด หากเธอเดินผ่าน หมอกควันในบริเวณดังกล่าวจะเข้มข้นขึ้นเล็กน้อยอย่างไร้เหตุผล


สีของควันจะมีลักษณะดำเข้มเหมือนแท่งเหล็ก ลดทอนการมองเห็นของมนุษย์ปรกติลงเล็กน้อย


หลังจากเดินถึงสุดถนนหนึ่งเส้น คนจรจัดใบหน้าซีดเซียวพลันไอกระแอมอย่างหนักพร้อมกับลงไปนอนกองบนพื้น


คนจนสองคนใกล้กับคนจรจัดรีบถอยหนีด้วยอากัปกิริยาหวาดผวา พลางใช้สองมือจับคอตัวเองคล้ายกับหายใจไม่ออก ประหนึ่งป่วยเป็นโรคหลอดลมอักเสบหรือปอดอักเสบกะทันหัน


ยิ่งเวลาผ่านไป หมอกควันสีดำเหล็กเจือเหลืองซีดเริ่มลอยขึ้นปกคลุมท้องฟ้าเขตตะวันออก ย่านท่าเรือ และย่านโรงงานอุตสาหกรรม


ฉากดังกล่าวสามารถอธิบายได้ด้วยคำว่า ‘จมท่วม’ บางส่วนของกรุงเบ็คลันด์กำลังจมอยู่ใต้ทะเลหมอกควันเข้มข้น แม้กระทั่งหอนาฬิกาสูงก็ยังมองเห็นเป็นเพียงเงาราง


ทีละคนสองคน ทั้งคนงาน คนจน และคนไร้บ้าน ร่างกายของพวกมันอ่อนแอเพราะต้องต่อสู้กับอากาศหนาว เริ่มล้มลงไปนอนบนพื้นในสภาพหมดสติ เกือบทั้งหมดจะใช้สองมือกุมลำคอด้วยสีหน้าทุกข์ทรมาน ชีวิตพวกมันอ่อนแอประหนึ่งฟองผงซักฟอกขณะซักผ้า เพียงสัมผัสนิดเดียวก็มากพอจะทำให้แตกตัว


ทั้งหมดเป็นฝีมือของท่านหญิงสิ้นหวัง


สีหน้าของเธอยังคงอ่อนโยนและเยือกเย็น ประหนึ่งกำลังบรรจงรังสรรค์งามศิลป์


เฉกเช่นคนปรกติ ย่างก้าวของเธอไม่ปรากฏร่องรอยพิรุธ ขณะเดินผ่านผู้คนก็ส่งเสียงพึมพำกับตัวเองไปพลาง


“อาณาจักรโลเอ็นจะจารึกเหตุการณ์ในวันนี้ไว้ในประวัติศาสตร์… มหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์”



ณ หุบเขาลึกและมืด อันกำลังถูกปกคลุมด้วยสายน้ำมายาทุกซอกมุม


0-08 ยังคงไม่หยุดขีดเขียน


มันกำลังแต่งเรื่องราวสุดอัศจรรย์และน่าสะพรึงกลัวทุกครั้งเมื่อปลายปากกาสัมผัสกับพื้นผิว


“…ถึงแม้กางเกงของอินซ์·แซงวิลล์จะหลุดลงมาถึงตาตุ่ม แต่ก็ไม่ทำให้ประสิทธิภาพในการต่อสู้ลดลง เนื่องจากเขากำลังสวมชุดคลุมยาวปกปิดภายนอกไว้อีกชั้น บางที เขาอาจเตรียมตัวรับมือกับสิ่งนี้ไว้ล่วงหน้า… ‘เจ้าแห่งกฎ’ ทำให้อะซิกต้องหยุดชะงัก พร้อมกับขโมยสองสุดยอดทักษะของเขาไปในจังหวะสุดท้าย ไม่มีผู้ช่วยคนใดจะแสดงฝีมือได้ยอดเยี่ยมไปกว่านี้แล้ว! แต่เป็นเพราะประตูเชื่อมต่อโลกวิญญาณและนรกเริ่มสนใจในความพิเศษของอะซิก·อายเกส ยิ่งเมื่อถูกกระตุ้นด้วยความเข้มข้นของการต่อสู้ บางปัจจัยจึงเข้ามาแทรกแซงเพื่อเปลี่ยนแปลงกระแสของสงคราม! เพียงไม่นานหลังจากบุคคลลึกลับให้ความสนใจ ท่านทำการส่งพลังบางส่วนของตนลงมายังโลกแห่งความจริง… โอ้แย่แล้ว! ท่านเริ่มลงมือกับอินซ์·แซงวิลล์!”


ท่ามกลางความว่างเปล่า ท่อนแขนชุ่มเลือดสองข้ามซึ่งถูกปกคลุมด้วยเนื้อหนังสีแดงสดน่าขยะแขยง ค่อย ๆ โผล่ออกจากรอยแยกห้วงมิติด้านหลังอินซ์·แซงวิลล์!


ท่อนแขนดังกล่าวจับบ่าอินซ์·แซงวิลล์พร้อมกับกระชากมันเข้าไปในโลกวิญญาณผ่านรอยแยกห้วงมิติ


……………………


ราชันเร้นลับ 476 : ฟางข้าว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ จุดการหายตัวไปของอินซ์·แซงวีลล์ ความมืดมิดเข้มข้นเข้าปกคลุมกะทันหัน


ท่ามกลางห้วงมิติสีดำ เสียงสวดภาวนาอันไพเราะกำลังลอยดังแว่ว บรรยากาศปลอดโปร่งและล่องลอยคงอยู่เช่นนั้นอยู่เป็นเวลานาน


แม้กระทั่งท่อนแขนจำนวนมากซึ่งพยายามกวัดแกว่งอย่างส่งเดชจากด้านล่าง ก็ยังลดความบ้าคลั่งลงจากตอนแรกหลายระดับ ประหนึ่งดวงวิญญาณพวกมันถูกส่งไปสู่สุคติ


จนกระทั่ง ภายใต้ความดำมืด บุคคลผู้หนึ่งย่างกรายออกจากจุดใจกลาง ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอินซ์·แซงวิลล์ ผู้เพิ่งถูกกระชากเข้าไปในโลกวิญญาณมาเมื่อครู่


เทียบกับในตอนแรก อินซ์·แซงวิลล์สูญเสียหมวกใบเล็ก เสื้อผ้าบริเวณไหล่ซ้ายขาดรุ่งริ่งไม่เหลือเค้าเดิม ผิวหนังฉีกขาดเป็นแผลยาวหลายจุด น้ำหนองสีเหลืองข้นผุดออกมาเป็นทางยาวง


ดวงตามิได้เฉยเมยเหมือนกับตอนแรก แต่กำลังอัดแน่นด้วยความเจ็บปวด ประหนึ่งเพิ่งผ่านการทรมานมาอย่างโหดร้าย


ปากกาขนนก 0-08 ยังคงเขียนต่อไป


“ใครบางคนอาจเสียดาย ใครบางคนอาจยินดีปรีดา อินซ์·แซงวิลล์ตัดสินใจใช้สายสะดือของเทพมารซึ่งได้รับมาจากทารกในครรภ์เมกูสเพื่อเอาตัวรอด สมบัติวิเศษนี้มีออร่าของพระผู้สร้างแท้จริงบรรจุอยู่เจือจาง ช่วยให้อินซ์·แซงวิลล์หนีรอดจากพันธนาการของตัวตนลึกลับซึ่งบังเอิญผ่านมา แต่ถึงอินซ์·แซงวิลล์จะกลับมายังโลกจริงสำเร็จ เขาก็ต้องสูญเสียสมบัติวิเศษแสนมีค่าชั้นดังกล่าวไป ไม่เพียงเท่านั้น เขายังได้รับความเคียดแค้นจากทายาทเทพมาร เนื่องจากทำให้ตนไม่สามารถคืนชีพกลับมาได้อีกครั้ง เหตุการณ์ข้างต้นทำให้พลังของอินซ์·แซงวิลล์ลดลงเหมือนกับป้ายราคาเสื้อผ้าในช่วงเปลี่ยนฤดูกาล… ถูกต้อง ลดแลกแจกแถมมากถึงห้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ พลังในปัจจุบันของเขาเหลือเท่ากับตัวเลขดังกล่าวพอดิบพอดี”



บนถนนลึกเข้าไปในเขตตะวันออก


เฒ่าโคห์เลอร์รีบร้อนเดินกลับห้องเช่าพร้อมถุงกระดาษบรรจุแฮมในมือ


มันมองไปรอบตัวอย่างหวาดระแวง วิตกกังวลว่าจะถูก ‘หมาป่า’ รอบ ๆ กระโจนเข้าขย้ำและขโมยของขวัญปีใหญ่ของตนไป


มันเคยเห็นหมาป่าตัวจริงมาแล้วในแถบชนบท แต่ด้วยเหตุผลบางประการ มันกลับรู้สึกแบบเดียวกันภายในกรุงเบ็คลันด์


…ก็ยังแพงอยู่ดี ถึงเราจะหารกับคนอื่นเพื่อซื้อมันมาแบ่งกันก็ตาม…


แต่ปริมาณเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับวันหยุดยาวในช่วงปีใหม่ เราสามารถฝานกินได้มื้อละสองชิ้น… หรือว่าสาม… ไม่สิ… ต้องห้าชิ้น! นอกจากนั้น เรายังสามารถฝานส่วนเกินเพื่อนำไปต้มกับมันฝรั่งได้ แค่นี้ก็อร่อยเหาะโดยไม่ต้องใส่เกลือ…


ด้วยความคิดดังกล่าว เฒ่าโคห์เลอร์จ้องมองแฮมในถุงกระดาษ ส่วนไขมันสีขาวแทรกตามเนื้อสีแดง ได้ทำให้ลูกกระเดือกของมันขยับขึ้นลงโดยไม่รู้ตัว


ขณะย่างกรายไปตามถนน โคห์เลอร์เริ่มตระหนักว่าหมอกควันรอบตัวหนาแน่นขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ หอนาฬิกาของวิหารซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เริ่มถูกบดบังด้วยหมวกควันสีเหล็กดำผสมเหลืองซีด ทัศนวิสัยเริ่มย่ำแย่สถานหนัก ถึงขั้นมองผู้คนรอบตัวไม่ถึงสิบเมตรเห็นเพียงเงาลาง


ขณะกำลังเลื่อนฝ่ามือขึ้นมาปิดจมูก โคห์เลอร์รู้สึกราวกับตนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกทีละนิด


“ทำไมหมอกวันนี้ถึงมีกลิ่นแย่นัก” มันพึมพำพร้อมกับเร่งฝีเท้า


หนึ่งก้าว. สองก้าว. สามก้าว.


โคห์เลอร์รู้สึกร้อนศีรษะกะทันหัน ลำคอเกิดอาการแสบทรวงราวกับกำลังลุกไหม้


หน้าอกแน่น หลอดลมตีบตัน จนกระทั่งเริ่มหายใจได้ยากลำบาก


เราป่วย…? บ้าจริง! อุตส่าห์คาดหวังปีใหม่แสนสุขเอาไว้ แต่กลับต้องใช้เงินเก็บไปกับค่ารักษาตัวในโรงพยาบาล… ไม่สิ บางที การได้นอนสักตื่นอาจทำให้ไข้หายไปเอง ใช่แล้ว ผ้าห่มผืนหนาต้องช่วยบรรเทาได้แน่!


โคห์เลอร์พึมพำกับตัวเองเงียบงัน หน้าผากชายชราเริ่มร้อนขึ้นทุกขณะ สมองออกอาการล่องลอยและคิดไม่ปะติดปะต่อ


แฮ่ก. แฮ่ก. แฮ่ก.


มันได้ยินเสียงลมหายใจติดขัดของตัวเองอย่างแจ่มชัด ท่อนแขนปราศจากเรี่ยวแรงจนถุงกระดาษใส่แฮมร่วงหล่นลงบนพื้น


ตามสัญชาตญาณ โคห์เลอร์รีบโน้มตัวก้มเก็บ แต่มันกลับเสียหลักล้มลงไปแทน


ชายชรานอนกอดถุงแฮมไว้ในอ้อมแขน


ในวินาทีนี้ โคห์เลอร์ตระหนักว่าอ้วกกำลังดันขึ้นมาจนถึงลำคอ มันฝืนเกร็งข่มเอาไว้จนของเหลวเริ่มไหลย้อนกลับลงไป แต่ผลลัพธ์กลับยิ่งทำให้หายใจหอบด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย


ตุ้บ!


โคห์เลอร์มองผ่านสายตาอันพร่ามัวของตนและพบว่า ถัดไปไม่กี่ก้าวด้านหน้า ชายคนหนึ่งทิ้งตัวล้มลงพร้อมกับหายใจหอบอย่างหมดสภาพ อายุอานามไม่ต่างจากตนมากนัก


ราวห้าสิบ จอนตรงขมับสีขาวหงอก


โคห์เลอร์เริ่มตระหนักว่าตนกำลังจะตาย


มันหวนนึกถึงภรรยาและลูกชาย ผู้เคยเป็นเหมือนกับมันในตอนนี้ ต้องเสียชีวิตไปด้วยโรคระบาดร้ายแรงอย่างกะทันหัน


มันหวนนึกถึงช่วงเวลาขณะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล คนไข้เตียงใกล้กัน ตกเย็นยังพูดคุยกันอย่างอารมณ์ดีสลับหัวเราะเฮฮา แต่เช้าวันถัดมากลับถูกส่งเข้าห้องดับจิต


มันหวนนึกถึงเพื่อนซึ่งมีโอกาสได้รู้จักกันขณะยังเป็นคนเร่ร่อน หลายต่อหลายคนหายตัวไปหลายวันในช่วงฤดูหนาว ก่อนจะถูกพบตัวอีกครั้งในสภาพแข็งทื่อตามจุดต่าง ๆ ของเมือง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใต้สะพานหรือซากอาคารร้าง คนเหล่านั้นคิดว่ากำบังหนึ่งแผ่นจะช่วยให้ตนรอดพ้นจากความหนาวเย็นไปได้ แต่ความจริงแล้วไม่ และยังมีเพื่อนบางส่วนเสียชีวิตไปเพราะรีบกินอาหารเกินไป


มันหวนนึกถึงสมัยตนยังเป็นคนงานฝีมือดี โคห์เลอร์เคยมีเพื่อนร่วมงานเสียชีวิตอย่างกะทันหันบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะตายเพราะปวดหัวเฉียบพลัน ตายเพราะพลัดตกลงไปในบ่อหลอมเหล็กร้อนระอุ ตายเพราะความเจ็บปวด ตายเพราะโรคภัย และบางคนฟุบหลับไปในโรงงานและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย


มันหวนนึกถึงขี้เมาในผับ ซึ่งตนเคยเลี้ยงเหล้าเพื่อแลกกับการให้อีกฝ่ายเปิดเผยข้อมูลความลับ


“คนอ่อนแออย่างพวกเราเปรียบดังฟางข้าวแห้ง ล้มลงเพียงเพราะเพียงสายลมบางเบาพัดผ่าน หรืออาจไม่ต้องมีลมช่วย ฟางข้าวก็สามารถล้มลงได้เองอย่างง่ายดาย”


สายลมกำลังพัดมา…


โคห์เลอร์พึมพำ


มือข้างหนึ่งยังคงกอดถุงกระดาษใส่แฮมแน่นถนัด อีกข้างล้วงแจ็คเก็ตตัวเก่าเพื่อควานหาซากบุหรี่ยับยู่ยี่ซึ่งมันเก็บไว้ดูต่างหน้า


โคห์เลอร์ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมร่างกายค่อนข้างแข็งแรงของตนถึงป่วยไข้อย่างกะทันหันขึ้นมาได้ หมอกเช่นนี้มิใช่เพิ่งเคยเกิดขึ้นในเบ็คลันด์สักหน่อย


มันไม่เข้าใจว่า ทำไมชีวิตอันกำลังจะไปได้สวยของตน ต้องล้มป่วยและกลับไปเป็นคนน่าสมเพชอีกครั้ง มันเพิ่งได้รับค่าจ้างล่วงหน้าก้อนโตมาจากนักสืบโมเรียตี้ เงินดังกล่าวถูกนำไปใช้ซื้อแฮมชุ่มฉ่ำเพื่อเตรียมฉลองปีใหม่ โดยยังไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสแม้แต่คำเดียว


เฒ่าโคห์เลอร์ล้วงบุหรี่ยับย่นออกจากกระเป๋า แต่มันไม่เหลือเรี่ยวแรงสำหรับกระทำสิ่งใดต่อ ท่อนแขนสองข้างพาดไปบนพื้นอย่างไร้การควบคุม


พละกำลังเฮือกสุดท้ายถูกใช้ไปกับการเปล่งถ้อยคำอันคับแค้นในใจ แต่ด้วยร่างกายแสนอ่อนแอ มันจึงไม่สามารถแข็งใจกล่าวให้จบประโยค


เสียงเล็ดลอดออกไปเพียงครึ่งคำ


เป็นคำถามซึ่งต้องการคำตอบ


“ทำไม…”



ณ บ้านพักหลังหนึ่งสุดขอบเขตตะวันออก


ไลฟ์แขวนผ้าชิ้นสุดท้ายและรอให้แห้ง


สายตาหญิงสาวมองขึ้นไปยังท้องฟ้าหม่นหมองด้านนอก ไลฟ์ไม่สามารถระบุเวลาได้เลย เนื่องจากเมฆหมอกหนาทึบผิดปรกติเกินไปจนมองไม่เห็นแสงแดด


“แต่ไม่ว่าจะกี่โมง พวกเราก็ซักผ้าเสร็จเร็วกว่าปรกติค่อนข้างมาก…” สีหน้าไลฟ์อึมครึมขณะกล่าว


สำหรับเธอ การเสร็จงานเร็วไม่ใช่เรื่องดี เพราะจะหมายความว่า วันนี้มีงานเข้าไม่มาก ส่งผลให้ไม่มีเงินเพียงพอสำหรับจุนเจือครอบครัว


ไลฟ์สูดลมหายใจยาว เธอหันหลังกลับและมองไปยังบุตรสาวคนโต เฟรย่า ผู้กำลังล้างมือพลางจ้องสมุดคำศัพท์ในห้องนอนตัวเอง


“ใกล้ปีใหม่แล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่มักอำลาเบ็คลันด์และใช้เวลาหยุดยาวในเมืองอื่น แม่จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ จำเป็นต้องหางานใหม่มาเสริม”


ขณะกล่าว หญิงสาวเดินไปทางประตูหน้า


“โชคยังดี ในระหว่างนี้ พวกคนรวยมักจัดงานเลี้ยงอย่างครื้นเครง จะต้องมีคฤหาสน์สักหลังขาดแคลนคนซักผ้าชั่วคราวแน่ แม่จะลองไปถามหางานดู เฟรย่า เจ้าอยู่บ้านไปก่อน คอยรับน้องกลับจากโรงเรียน จริงอยู่ พวกเราอาจต้องการเงิน แต่พวกหัวขโมยก็ต้องการเงินไม่ต่างกัน คงมีคนพยายามจ้องลักพาตัวเด็กผู้หญิงไปขายบริการให้พวกวิปริตในงานเลี้ยงปีใหม่”


สำหรับเขตตะวันออก ผู้หญิงทุกคน หากไม่ได้ทำงานในโรงงาน จะต้องมีทักษะเอาตัวรอดติดตัวไว้บ้าง หรือไม่ก็ต้องต่อสู้ได้เก่งกาจ


“ค่ะ!” เฟรย่าตอบกระชับ


จิตใจของเธอกำลังจดจ่ออยู่กับโต๊ะอ่านหนังสือและสมุดคำศัพท์ในห้องถัดไป เมื่องานเสร็จแล้ว หมายความว่าเธอจะมีเวลาทบทวนบทเรียนจากน้องสาว


แต่ขณะเปิดประตูบ้าน ไลฟ์ล้มลงกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ


แค่ก! แค่ก! แค่ก!


หญิงสาวไอแห้งด้วยสีหน้าเจ็บปวด แก้มสองข้างแดงก่ำอย่างผิดธรรมชาติ ทุกข้อต่อในร่างกายกำลังปวดระบมอย่างไม่มีเหตุผล


เฟรย่ารีบวิ่งมาดูอาการด้วยสีหน้าตื่นกลัว ก่อนจะนั่งยองลงข้างผู้เป็นมารดา


“คุณแม่! เกิดอะไรขึ้น? คุณแม่!”


“แม่ไม่เป็นอะไร… แค่ก! แม่สบายดี”


ไลฟ์พบว่าตัวเองเริ่มหายใจลำบาก


“ไม่ใช่! แม่กำลังป่วย! น…หนูจะรีบพาแม่ไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!” เฟรย่าพยายามพยุงตัวมารดาขึ้น


“ไม่ได้… โรงพยาบาลแพงเกินไป แค่ก! พาแม่ไปโรงพยาบาลกาลกุศล แม้รอได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก” ไลฟ์ฝืนตอบด้วยจังหวะหายใจติดขัด


น้ำตาเฟรย่าพรั่งพรูจนการมองเห็นพร่ามัว


แต่ทันใดนั้น เด็กสาวรู้สึกราวกับปอดของตนกำลังลุกไหม้ ร่างกายพลันอ่อนแรง ก่อนจะล้มลงนอนฟุบกับพื้นข้างไลฟ์


“เฟรย่า! เจ้าเป็นอะไร! แค่ก! เฟรย่า!” ไลฟ์เรียกหาอย่างตื่นตระหนก “ล…หลังตู้เสื้อผ้ามีเงินเก็บ! แค่ก! ตรงนั้นจะมีช่องอยู่ แม่ซ่อนเงินเอาไว้ เจ้ารีบพาตัวเองไปโรงพยาบาลดี ๆ หาหมอเก่ง ๆ รักษาเร็วเข้า!”


เฟรย่าพยายามพะงาบปากกล่าวบางสิ่ง แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา สายตายังคงจ้องไปทางประตูห้องนอน


เธอกำลังมองเตียงสองชั้น ด้านบนสุดมีสมุดคำศัพท์แสนรักวางอยู่


ร่างกายเด็กสาวเริ่มชักกระตุก


เสียงไอของไลฟ์ไลฟ์หยุดลง


***


ณ โรงเรียนรัฐบาลในย่านรอบนอกเขตตะวันออก เมฆหมอกบนฟ้ายังไม่หนาทึบมากนัก แต่นักเรียนหลายคนเริ่มออกอาการไอ


คุณครูมากประสบการณ์รีบออกคำสั่ง


“ทุกคนรีบวิ่งไปทางวิหาร! พวกเราจะอพยพไปวิหารใกล้โรงเรียน!”


เดซีย์ลุกยืนด้วยสีหน้าตื่นตระหนกพร้อมกับวิ่งปะปนไปกับกลุ่มเพื่อน ปลายทางคือวิหารใกล้โรงเรียน


ทันใดนั้น หัวใจเด็กหญิงพลันบีบเกร็ง เธอรู้สึกราวกับตนกำลังสูญเสียสิ่งสำคัญ


คุณแม่… เฟรย่า…!


โดยไม่รีรอ เดซีย์หันขวับกลับไปยังทิศทางของบ้านเช่า เตรียมวิ่งไปดูอาการคนทั้งสอง


ทว่า ครูคนหนึ่งได้คว้าแขนและอุ้มเธอไปยังวิหารโดยไม่สนใจเสียงตะโกนของเด็กหญิง


เดซีย์กรีดร้องสุดเสียงตลอดทาง


“คุณแม่! เฟรย่า! คุณแม่! เฟรย่า!”



ณ เขตตะวันออก ย่านท่าเรือ ย่านโรงงาน เมื่อหมอกควันคืบคลานเข้ามาปกคลุม คนชราและคนป่วยกระเสาะกระแสะต่างล้มหมดสติอย่างกะทันหัน หากมีใครเข้าไปใกล้และสัมผัสกับร่างกาย บุคคลดังกล่าวจะติดโรคไปด้วยอย่างไร้เหตุผล จากนั้นก็เสียชีวิตตามไปในเวลาไม่นาน ไม่เว้นกระทั่งชายฉกรรจ์หรือเด็กหนุ่มแข็งแรง


ในสายตาพวกมัน หมอกควันสีดำเหล็กผสมเหลืองซีดไม่ต่างอะไรกับการลงมาจุติของเทพมรณา



ณ วันอังคารสุดท้ายของปี 1349


กรุงเบ็คลันด์ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควัน



มุมหนึ่งของห้องโถง ไคลน์พยายามเอนหลังแนบชิดกำแพงเมื่อไม่ให้มิสเตอร์ A สัมผัสถึงการมีอยู่ของตน


ถัดมาไม่นาน เสียงร้องอย่างเจ็บปวดพลันดังแว่วมาตามสายลม พร้อมกันกับกลิ่นคาวเลือดอันชวนให้คลื่นไส้


“พวกเจ้าจงมอบชีวิตให้พระองค์”


เสียงมิสเตอร์ A ดังแหบพร่า


ตุ้บ. ตุ้บ. ตามด้วยเสียงคนล้มลง


สัมผัสวิญญาณไคลน์พลันตระหนักถึงแรงกระเพื่อมกังวานของบางสิ่ง


มิสเตอร์ A ให้ลูกน้องสละชีพ…?


ขณะเกิดความคิดดังกล่าว เสียงมายาของผู้คนร่ำไห้และร้องขอชีวิตเริ่มดังแว่วข้างใบหูชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา บ้างเป็นเสียงร้องไห้หาแม่ บ้างเป็นเสียงไอแห้งจนคอแทบแตก และบ้างเป็นเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด


ในฐานะผู้เชี่ยวชาญศาสตร์เร้นลับ ภาพนิมิตอันเลือนรางของเหยื่อสังเวยในพิธีกรรมเริ่มปรากฏในหัวทีละคนสองคน ตามด้วยออร่าด้านลบอันเข้มข้นพรั่งพรูถาโถม มีทั้งความด้านชา สิ้นหวัง เจ็บปวด และเคียดแค้น จากเขตตะวันออก ย่านโรงงาน และย่านท่าเรือ


พิธีกรรมเริ่มขึ้นแล้ว…?


ไคลน์หลับตาลงพลางเอนหลังพิงกำแพงแนบชิด มือขวาบีบกำสลับคลายเป็นระยะ


สำหรับมัน เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ชายหนุ่มควรฉวยโอกาสขณะมิสเตอร์ A ประกอบพิธีกรรมเพื่อหนีไปให้ไกล


ทว่า มันกลับเอาแต่บีบและคลายมืออยู่เช่นนั้นโดยไม่เคลื่อนไหว


ราวเจ็ดแปดวินาทีถัดมา ไคลน์ลืมตาขึ้น มุมปากยกโค้งสูงอย่างมีเลศนัย


มันล้วงหยิบปืนประจำกาย พร้อมกับกระโดดหมุนตัวออกไปยังทิศทางแท่นบูชา


ในสภาพแต่งกายด้วยเสื้อคลุมยาวกระดุมสองแถว มือขวาข้างกำปืนเล็งศูนย์ไปยังใจกลางแท่นบูชาอย่างเยือกเย็น


……………………


ราชันเร้นลับ 477 : เดอะฟูลกับความกังวลร้อยแปด

โดย

Ink Stone_Fantasy

สิ่งแรกในการมองเห็นไคลน์คือแท่นบูชาขนาดใหญ่ รอบนอกมีม่านแสงห่อหุ้มหนาหลายชั้น ด้านในสุดเป็นร่างของบุคคลผู้หนึ่งกำลังยืนตัวตรงในสภาพหลับตา


อีกฝ่ายสวมชุดคลุมยาวสีดำของนักบวช แต่ปลดผ้าคลุมหัวลง เผยให้เป็นใบหน้าอันงดงามลักษณะค่อนไปทางเพศหญิง บริเวณหน้าอกซ้าย หัวไหล่ ช่องท้อง และต้นขา ถูกปกคลุมด้วยก้อนเนื้อแดงฉ่ำน่าขยะแขยงกำลังยุบพอง


รอบตัวบุคคลดังกล่าวเต็มไปด้วยร่างมายากึ่งล่องหนจำนวนมาก ออร่าอัดแน่นด้วยอารมณ์ด้านลบมหาศาล ทั้งด้านชา สิ้นหวัง เจ็บปวด และหดหู่


เหนือสุดแท่นบูชามีร่างของสี่บุคคลสวมชุดคลุมสีดำ พวกมันเคยสวดภาวนาจนถึงเมื่อครู่ แต่ปัจจุบัน ผิวพรรณทุกคนเริ่มแห้งเหี่ยว ร่างกายหดเกร็งผิดรูป คล้ายกับซากศพซึ่งเสียชีวิตมาแล้วหลายปี


เหนือสุดของหลังคาโดมสูง ลำแสงเส้นหนึ่งแหวกอากาศสาดส่องลงมายังกึ่งกลางแท่นบูชาใหญ่ รอบข้างเป็นเสาหินต้นใหญ่สี่ทิศ รวมถึงอักขระเวทมนตร์ซึ่งกำลังลอยบนอากาศอีกจำนวนหนึ่ง


เมื่อไคลน์ออกจากจุดซ่อนตัว มิสเตอร์ A ลืมตาขึ้นและมองไปยังทิศทางชายหนุ่มทันที


ดวงตาของมันแดงก่ำราวกับเลือด อัดแน่นด้วยความบ้าคลั่งเหนือพรรณนา เจือความเย็นชาไว้เล็กน้อย


หากเป็นผู้วิเศษปรกติ คงได้รีบเบือนหน้าหนีอย่างหวาดผวา แต่ไม่ใช่กับไคลน์ ผู้เคยเฟอะฟะจ้องมองเทพสุริยันเจิดจรัสด้วยตาเปล่า แถมยังเคยเผชิญหน้ากับอามุนด์ ผู้เย้ยเทพจากอดีตกาล รูปลักษณ์ของมิสเตอร์ A จึงมิได้ส่งผลต่อจิตใจ ชายหนุ่มเพียงลั่นไกอย่างเยือกเย็นพร้อมกับส่งกระสุนปราบมารสีเงินสลักลวดลายซับซ้อนตรงไปยังแท่นบูชา


เมื่อเห็นภาพตรงหน้า จิตใต้สำนึกมิสเตอร์ A เตรียมสั่งให้มันยกมือ แต่สุดท้ายกลับชะงักไว้กลางคัน และทำเพียงจ้องมองกระสุนเงินพุ่งผ่านม่านแสงรอบนอกอย่างไม่กะพริบตา


กระสุนปราบมารสีเงินเริ่มละลาย ก่อนจะหายไปโดยสมบูรณ์ท่ามกลางแสงสว่างและอารมณ์ด้านลบอันเข้มข้น ไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวหรือร่องรอยการมีตัวตน


ดวงตาไคลน์เริ่มกระตุก ตาดำหดลีบ


มันรีบรัวยิงกระสุนนัดอื่นในรังเพลิงเข้าใส่จนหมด ไม่ว่าจะเป็นกระสุนชำระล้างสีทองอ่อนหรือกระสุนปัดเป่าสีทองแดง ทุกนัดพุ่งปะทะกับม่านแสงในเวลาไล่เลี่ย


ทว่า ทั้งหมดมีชะตากรรมเดียวกับกระสุนปราบมารนัดแรก สลายหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนบนโลก มิอาจสร้างการคุกคามแก่แท่นบูชาได้แม้แต่เศษเสี้ยว


มิสเตอร์ A หัวเราะแหบพร่า


“เปล่าประโยชน์… พิธีกรรมเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ด้วยพลังเยี่ยงหนอนแมลงอ่อนเช่นเจ้า การขัดขวางพิธีกรรมเป็นได้เพียงความฝัน แม้จะเป็นลำดับ 5 ก็หมดโอกาส! แต่อย่าได้เสียใจไป เจ้าคือผู้โชคดีอันหาได้ยากยิ่ง เจ้าได้รับสิทธิ์ให้เป็นเป็นพยานการลงมาจุติของพระองค์ และยังจะได้รวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกายาพระองค์ท่าน!”


มิสเตอร์ A เมินเฉยไคลน์อย่างแท้จริง มันกลับไปหลับตาและทำตัวสงบนิ่ง ประหนึ่งชายหนุ่มเป็นเพียงหนอนแมลงอ่อนแอตามปากว่า


ทันใดนั้น คนเลี้ยงแกะยกแขนขึ้นทั้งสองข้างในท่ากางออก ตามด้วยการเปล่งเสียงภาษาเฮอร์มิสโบราณ


“พระองค์ผู้รังสรรค์ทุกสิ่ง พระองค์ผู้คอยปกครองอยู่ด้านหลังเงามืด ผู้เป็นรากฐานแห่งการเสื่อมถอยทั้งปวง”


“สาวกอันซื่อสัตย์ของท่าน ขอวิงวอนให้ท่านลงมาจุติ ตัวข้า ขอสละร่างกายเพื่อเป็นภาชนะสำหรับบรรจุปณิธานอันยิ่งใหญ่ของท่าน!”


ท่ามกลางเสียงสวด แสงปริศนาโผล่ขึ้นเหนือศีรษะมิสเตอร์ A อย่างไร้เหตุผล ร่างกายของมันถูกลำแสงดังกล่าวห่อหุ้มอย่างทั่วถึง


ขณะเดียวกัน อารมณ์โศกเศร้าด้านลบรอบตัวเริ่มหลั่งไหลเข้าผสานเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายมิสเตอร์ A คล้ายกับวังวนวารี


ปัง! ปัง! ปัง!


ไคลน์พยายามดีดนิ้วอย่างต่อเนื่อง รวมถึงใช้พลังควบคุมไฟเข้าช่วย ทำทุกวิถีทางเพื่อให้แท่นบูชาได้รับความเสียหาย แต่ผลลัพธ์ช่างน่าเศร้า ไม่มีสิ่งใดทะลวงผ่านชั้นม่านแสงเข้าไปได้เลย


เราทำอะไรไม่ได้เลยหรือ สมบัติวิเศษเกือบทั้งหมดอยู่บนมิติสายหมอก การจะนำออกมาต้องผ่านพิธีกรรม ซึ่งสิ้นเปลืองเวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งนาที หากร่างกายบนโลกจริงไม่ได้อยู่ในจุดปลอดภัย อันตรายสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ…


เรายังทำอะไรได้อีก?


ไคลน์เลิกพฤติกรรมเปล่าประโยชน์และหยุดยืนครุ่นคิด


ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเข็มกลัดสุริยัน ขวดพิษชีวภาพ ดวงตาดำล้วน หรือไพ่จักรพรรดิมืด ในทางทฤษฎี ไม่มีสิ่งใดสามารถใช้พังม่านแสงรอบแท่นบูชาได้เลย


เราทำได้แค่รอให้กำลังเสริมจากจัสติสส่งมาถึงจริงหรือ… ต้องเป็นประจักษ์พยานการลงมาจุติของพระผู้สร้างแท้จริงเนี่ยนะ?


ไคลน์เริ่มตึงเครียด ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองอย่างรวดเร็ว วิธีแก้ปัญหาถูกจำลองในหัวหนแล้วหนเล่า


มันพยายามสำรวจว่า ตอนนี้ตนพกสิ่งใดติดตัวอยู่บ้าง ขณะใช้มือล้วงจับ เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดแทรกขึ้นตามรูขุมขนฝ่ามือเป็นระยะ


ทันใดนั้น มันฉุกคิดบางสิ่งได้


โดยไม่มัวไตร่ตรองให้เสียเวลา ชายหนุ่มควักวัตถุบางชนิดซึ่งมีผิวสัมผัสเป็นโลหะออกมาไว้ในมือ


กึก. กึก. กึก.


ไคลน์รีบวิ่งไปข้างหน้าสามก้าว ตามด้วยการกระตุกแขนขว้างวัตถุเนื้อโลหะไปยังแท่นบูชาเต็มแรง


แสงสีทองแดงส่องประกายวิบวับขณะวัตถุดังกล่าวทะลวงผ่านม่านแสงชั้นนอก


กุญแจราบเรียบทรงโบราณ


มาสเตอร์คีย์!


ภายในม่านแสง ผิวมาสเตอร์คีย์ทองแดงเริ่มละลายในลักษณะเดียวกับกระสุนปืน


แต่หลังจากเปลือกนอกสลายไป คำสาปด้านในจึงมีโอกาสสัมผัสกับโลกมนุษย์โดยตรง อุโมงค์เชื่อมต่อกับเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตูถูกสร้างขึ้นภายในแท่นบูชาทันที



เขตราชินี คฤหาสน์หรูของเคาต์ฮอลล์


ออเดรย์กำลังยืนข้างหน้าต่างเต็มบานพลางจ้องมองออกไปด้วยสีหน้ากังวล


เด็กสาวเพ่งพิจารณากลุ่มหมอกทึบบนเส้นขอบฟ้าอีกฟากฝั่ง ปริมาณหมอกหนาแน่นขึ้นทุกขณะ สีสันเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเหลืองซีดผสมดำเหล็ก อาณาเขตของมันค่อย ๆ ขยายตัวทีละนิด


“มีบางอย่างไม่ปรกติ” โกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่ขนฟู ซูซี่ ผู้กำลังนั่งด้านข้างปลายเท้าออเดรย์ กล่าวพลางมองไปยังทิศทางของหมอกหนาแน่นบนท้องฟ้าในจุดห่างไกล


ใช่แล้ว… ขอให้เหตุการณ์สงบลงโดยเร็ว…


แม้ออเดรย์จะยังไม่เข้าใจความหมายของหมอกเหล่านี้ แต่เธอก็เพ่งสมาธิสวดวิงวอนถึงเทพธิดารัตติกาลและเดอะฟูลอย่างเป็นกังวล โดยหวังว่าพวกท่านจะขัดขวางการลงมาจุติของแม่มดบรรพกาลสำเร็จ


ทันใดนั้น มุมสายตาเด็กสาวเหลือบเห็นการโยกเอนของกิ่งไม้แห้งอย่างรุนแรง กรอบหน้าต่างข้างลำตัวเริ่มกระทบกระเทือนเสียงดังโครมคราม


สายลมนี่มัน…


ออเดรย์พลันโล่งใจ



เขตเชอร์วู้ด มหาวิหารวายุ


ผู้คนสามารถมองเห็นมหาวายุสลาตันได้ด้วยตาเปล่าจากด้านนอกวิหาร ลมพายุอันเกรี้ยวกราดเริ่มก่อตัวเป็นวงกลมและมุ่งตรงหน้าไปยังทิศตะวันออก


ฟ้าว!


หมอกหนาทึบบนท้องฟ้าเริ่มสลายตัวอำนาจอันเบ็ดเสร็จของแรงลมผู้ปกครองผืนนภาตัวจริง ควันข้นสีเหลือสลับเทาเจือจางลงภายในพริบตา


ฟ้าว


กิ่งไม้แห้งหลุดร่วงจากต้น ใบไม้แห้งบนพื้นรวมถึงฝุ่นสีน้ำตาลถูกพายุลูกมหึมาพัดพาไปไกลพร้อมกับกลุ่มหมอก


ฟ้าว


หมวกของผู้คนเดินถนนจำนวนมากเริ่มปลิวกระเด็นไปคนละทิศทาง ร่างกายพวกมันโน้มเอนเนื่องจากพยายามรักษาสมดุล บางคนต้องอาศัยกิ่งไม้หรือกำแพงในการป้องกันมิให้ตัวเองลอยไปพร้อมกับพายุ


เมื่อได้เห็นมหาวายุสลาตันบนท้องฟ้า ลูกเรือตามท่าเรือพลันรู้สึกราวกับตนกำลังติดอยู่บนเกาะกลางทะเลลึก


เพียงพริบตา หมอกควันในเขตตะวันออก ย่านท่าเรือ และย่างโรงงาน สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ใครหลายคนต่างพากันแสดงสีหน้าโล่งใจอย่างชัดเจน


ครืนน! ครืนนน!


เปรี้ยง! ซ่า


เสียงฟ้าร้องคำรามมาพร้อมกับการโปรยปรายของสายฝนเม็ดใหญ่ เปรียบดั่งน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ช่วยชุ่มชโลมดินแดนเบื้องล่างให้ใสสะอาด


“…คราวนี้โบสถ์วายุสลาตันตอบสนองได้เร็วผิดคาด… ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแผนการของเราต้องเลื่อนมาเร็วขึ้น ทำให้มีเวลาเตรียมตัวไม่มากพอ… ฮิฮิ~ น่าเสียดาย ไม่อย่างนั้น พวกชนชั้นกลางและชนสูงของอาณาจักรคงได้ลิ้มรสความสิ้นหวังแบบเดียวกับเหล่าคนจนรอบนอก พวกมันเกือบจะได้เป็นลูกแกะรอวันถูกเชือดแล้วเชียว…” ท่านหญิงสิ้นหวังกำลังนั่งภายในรถม้าพลางฟังเสียงสายฝนโปรยปรายบนกระจก


แม้ว่าแผนการของเธอจะถูกขัดขวางหลังจากเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน แต่จากการคำนวณเบื้องต้น หมอกควันชุดแรกสามารถคร่าชีวิตมนุษย์ได้ไม่ต่ำกว่าสองหมื่นราย และเหนือสิ่งอื่นใด หลังจากนี้ยังจะมีปัญหาของโรคระบาดตามมาอีกสักระยะ


ด้วยความพินาศระดับนี้ โอสถของเราคงถูกย่อยจนเกือบสมบูรณ์… แต่นี่เป็นเพียงผลพลอยได้ ส่วนจุดประสงค์แท้จริงนั้น… ถึงแม้จะมีคนตายจำนวนมาก แต่บาปทั้งหมดจะตกเป็นของชุมนุมแสงเหนือและพระผู้สร้างแท้จริงแทน จึงไม่มีใครเอะใจว่า ราชวงศ์กำลังแอบวางแผนกระทำสิ่งใดอยู่…


ท่านหญิงสิ้นหวังครุ่นคิดอย่างอารมณ์ดี


เส้นทางหนีและแหล่งกบดานของเธอถูกปกปิดเป็นความลับสูงสุด ทุกสิ่งถูกเตรียมการล่วงหน้าเป็นเวลานาน จึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกกองทัพครึ่งเทพล้อมจับขณะเดินทางหลบหนีออกจากกรุงเบ็คลันด์


หากเริ่มพบเบาะแสของเธอเมื่อไร หมายความว่าเธอเผ่นหนีออกจากเมืองไปไกลมากแล้ว


ขณะท่านหญิงสิ้นหวังเตรียมลงจากรถม้าเพื่อหลบหนีไปยังเส้นทางถัดไป บุคคลผู้หนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นบนเบาะฝั่งตรงข้ามของห้องโดยสารอย่างน่าพิศวง


อีกฝ่ายคือหญิงสาวใบหน้าอ่อนเยาว์ สวมชุดคลุมนักบวชสีดำ ดวงตาและเส้นผมดำขลับแวววาว ใบหน้างดงาม แต่ปราศจากอารมณ์ใดทั้งปวง



หลังจากขว้างมาสเตอร์คีย์ออกไป ไคลน์รีบหยิบนกหวีดทองแดงอะซิกมากำในมือแน่น ลมหายใจเข้าออกเป็นไปอย่างกระเส่า สายตาจดจ้องผลลัพธ์ด้วยใจจดจ่อ


ถ้ากุญแจทองแดงยังไม่สามารถขัดขวางพิธีกรรมได้ มันเตรียมใช้นกหวีดทองแดงของมิสเตอร์อะซิกเพื่อเรียก ‘ผู้ส่งสาร’ ออกมา และทดสอบว่าตนสามารถพึ่งพาอีกฝ่ายได้มากน้อยแค่ไหน


ถ้านั่นยังล้มเหลวอีก ไคลน์จะเข้ามิติสายหมอกและนำสมบัติวิเศษออกมาใช้ ไม่เว้นแม้แต่ไพ่จักรพรรดิมืด เพราะไม่ว่าอย่างไร พิธีกรรมชั่วร้ายตรงหน้าก็ต้องถูกยับยั้งจนกว่าจะหมดสิ้นหนทางอย่างแท้จริง


ปัจจุบัน ท้องฟ้าด้านบนปราศจากจันทราเต็มดวงสีแดงเข้ม อย่าว่าแต่จันทร์เต็มดวง ตอนนี้เป็นเวลากลางวันเสก ๆ ไม่มีแม้แต่จันทร์แดงธรรมดา


ไคลน์จึงไม่มั่นใจว่าคำสาปภายในมาสเตอร์คีย์จะแสดงผล หวังเพียงแค่ ให้เสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตู สามารถทะลวงผ่านม่านแสงเข้าไปเล่นงานบุคคลด้านในได้บ้าง


ผ่านไปราวสามวินาที ไคลน์มองเห็นผิวชั้นนอกของมาสเตอร์คีย์เริ่มหลุดลอก ตามด้วยการแตกตัวเป็นเศษสีแดงระยิบระยับ


ประกายสีแดงสว่างวาบหนึ่งหน ก่อนจะเกิดเป็นระเบิดกัมปนาทรุนแรงหนักหน่วง!


เพียงพริบตา ไคลน์สูญเสียการได้ยินไปโดยสิ้นเชิง แต่ดวงตายังคงจ้องมองร่างมายาล่องหนรอบแท่นบูชา และพบว่าพวกมันแหกปากกรีดร้องอย่างโหยหวน


ร่างวิญญาณเหล่านั้นถูกย้อมกลายเป็นเขียวเข้มน่ารังเกียจ ศีรษะงอกเพิ่มหนึ่งข้าง ดวงตางอกเป็นสาม และแขนขางอกเป็นห้า


กลุ่มสัตว์ประหลาดดังกล่าวพลันกรูเข้าใส่มิสเตอร์ A จากทุกทิศทางอย่างบ้าคลั่ง


มิสเตอร์ A ลืมตาขึ้น สีหน้าเผยอาการตกตะลึงเจือความเฉยเมยแสนโอหัง


ถัดมาไม่นาน ม่านแสงหลายชั้นรอบแท่นบูชาเกิดการบิดเบี้ยวและพังครืนลงมาต่อหน้า


บึ้มมมมม!


เกิดระเบิดตามมาอีกระลอก ณ ใจกลางแท่นบูชา สายลมโดยรอบก่อตัวเป็นพายุกระโชกเกรี้ยวกราด


เปรี้ยะ!


เสาหินสี่ต้นรอบแท่นบูชาเริ่มแตกร้าว ผิวหินหลุดลอกเป็นแผ่น เศษดินร่วงกราวพร้อมกับละอองฝุ่นเม็ดเล็ก


แม้แต่ไคลน์ ผู้อยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกล ก็ยังตอบสนองไม่ทันต่อแรงระเบิดระลอกสอง


โครม!


ร่างกายชายหนุ่มกระแทกกับกำแพง ก่อนจะบางลงจนกลายเป็นเพียงกระดาษหนึ่งแผ่น


สายลมรุนแรงเฉือนทำลายแผ่นกระดาษจนฉีกขาดเป็นเศษเล็กเศษน้อย


ไคลน์โผล่ออกจากอีกมุมหนึ่งของห้อง อาศัยแผ่นหลังพิงกำแพงช่วยซับแรงปะทะ


มันไม่เคยคิดมาก่อน ว่ามาสเตอร์คีย์จะสร้างความพินาศได้มากถึงเพียงนี้!


คำสาปภายในกุญแจถูกบังคับให้แสดงผลหลังจากเนื้อกุญแจละลายไปจนหมด การทำงานของมันไม่ซับซ้อน เพียงส่งผ่านเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตู บุคคลจากอดีตกาลอย่างน้อยยุคสมัยที่สี่ บุคคลผู้มีระดับไม่ต่ำกว่าเทวทูต เข้าไปในเขตแท่นบูชาและกัดกร่อนเหล่าวิญญาณอาฆาตรอบนอก ซึ่งเปี่ยมด้วยอารมณ์สิ้นหวัง หดหู่ ด้านชา จนเกิดอาการคลุ้มคลั่งและอาละวาดใส่แท่นบูชาอย่างขาดสติ ผลลัพธ์ตามมาคือการเสียสมดุลและเข้าสู่วงจรระเบิดตัวเอง


เมื่อแรงระเบิดเริ่มสงบ ไคลน์พุ่งออกมาตรวจสอบสถานการณ์เบื้องต้น


ร่างมายาซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์ด้านลบเลือนหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงซากปรักหักพังของแท่นบูชาแตกหักกระจัดกระจาย


มิสเตอร์ A อยู่ในสภาพคุกเข่าพลางเอนตัวมาด้านหน้า แขนหายไปหนึ่งข้าง ใบหน้าหายไปครึ่งซีก รวมถึงอวัยวะภายในอีกมาก


ดวงตาเพียงข้างเดียวกำลังแฝงความอาฆาตแค้นต่อไคลน์อย่างไม่ปิดบัง


ขณะเดียวกัน บาดแผลของมันกำลังถูกปกคลุมด้วยก้อนเนื้อชุ่มฉ่ำไปด้วยเลือด!


เพียงชำเลืองผ่านครู่เดียว ไคลน์ตัดสินใจเผ่นหนีสุดชีวิตโดยปราศจากความลังเล


สำหรับมัน จุดประสงค์หลักผ่านไปอย่างราบรื่นตามความปรารถนา ตนสามารถขัดขวางการลงมาจุติของพระผู้สร้างแท้จริงได้ทันเวลา


ในเมื่อมิสเตอร์ A กำลังบาดเจ็บหนักและยังฟื้นฟูตัวเองไม่เสร็จ แล้วจะให้ผู้วิเศษลำดับ 6 อย่างตน อยู่รอกินข้าวเย็นฉลองปีใหม่ร่วมกับคนเลี้ยงแกะทรงพลังหรืออย่างไร


……………………


ราชันเร้นลับ 478 : สมบัติปิดผนึกระดับ 0 ออกปฏิบัติการ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในวินาทีเหลือบเห็นบุคคลแปลกหน้าบนเบาะฝั่งตรงข้าม ท่านหญิงสิ้นหวังพลันเสกหอกผลึกคริสตัลปลายแหลม พร้อมกับขว้างใส่อีกฝ่ายด้วยพละกำลังทั้งหมด


อาศัยแรงถีบ เธอเตรียมทำลายห้องโดยสารรถม้าเพื่อหนีไปยังทางถนนด้านหลัง


ด้วยความผันผวนของสถานการณ์ ท่านหญิงสิ้นหวังย่อมประหลาดใจว่าทำไมถึงมีศัตรูมาโผล่ตรงหน้าได้ เพราะในทางทฤษฎี เธอเตรียมตัวมาอย่างรัดกุม ไม่น่าจะถูกใครพบตัวได้รวดเร็วเช่นนี้ การหาตนให้พบมีระดับความยากไม่ต่างจากการทำลายเมืองใหญ่สักแห่ง หรือไม่ก็การเคลื่อนย้ายมิติจากเบ็คลันด์ไปยังทวีปใต้ในพริบตา


แต่ในฐานะลำดับ 4 ‘แม่มดสิ้นหวัง’ เธอขัดเกลาความชำนาญมาตั้งแต่ยังเป็นนักลอบสังหาร จึงทราบดีว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตนไม่ควรเสียเวลาโพล่งคำถามไร้สาระหรือไขว้เขวไปกับเรื่องอื่นจนเสียสมาธิ ไว้ค่อยกลับไปคิดหาคำตอบหลังจากปลอดภัยก็ยังไม่สาย


ดังนั้น การชิงโจมตีใส่อีกฝ่ายในพริบตาโดยไม่ให้ตั้งตัวคือทางเลือกถูกต้อง สิ่งนี้จะช่วยเปิดช่องให้ตัวเองได้หลบหนี


ท่านหญิงสิ้นหวังสามารถจินตนาการภาพสตรีปริศนาเจ้าของดวงตาและเส้นผมสีดำแวววาว ถูกแช่แข็งด้วยละอองความเย็นรอบหอกน้ำแข็ง การจะดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการคงต้องใช้เวลาสักพัก


กว่าอีกฝ่ายจะเริ่มเคลื่อนไหว เธอก็คงปะปนไปกับฝูงชนมหาศาลภายในเบ็คลันด์เรียบร้อยแล้ว


แต่ฉากดังกล่าวกลับไม่เกิดขึ้น ในวินาทีหอกน้ำแข็งแหวกอากาศพุ่งเข้าหาสตรีปริศนา ปลายแหลมของมันค่อย ๆ เลือนหายไปในความว่างเปล่าทีละนิด


เทวทูต…!


แม่มดสิ้นหวังหรี่ตาลง ตามด้วยการระเบิดเปลวเพลิงสีดำออกจากทุกส่วนของร่างกายอย่างพร้อมเพรียง เตรียมแผดเผาทุกสรรพสิ่งในบริเวณใกล้เคียง พร้อมกับการแพร่กระจายโรคภัยใส่ทุกคนในรัศมีรอบตัว


ทันใดนั้น ร่างกายหญิงสาวพลันสั่นเทาอย่างมิอาจหักห้าม แขนขาเกร็งทื่อประหนึ่งรูปปั้นหินอ่อน


สาเหตุมาจาก มือซ้ายของเธอเริ่มเลือนหายไปทีละหนึ่งเซนติเมตร ความสับสนและไม่เข้าใจกำลังพรั่งพรูท่วมท้นหัวสมอง


ยิ่งเวลาผ่านไป ร่างกายก็ยิ่งถูกกลืนกินอย่างเงียบงันมากขึ้นทุกขณะ


ภายในดวงตาของเธอ สตรีเลอโฉมฝั่งตรงข้ามแผ่กลิ่นอายมืดมิดและปลอดโปร่ง ราวกับผนึกความมืดอันบริสุทธิ์ไว้ในร่างกาย


“ไม่จริงน่า… เธอคือ…!”


เสียงของแม่มดสิ้นหวังขาดห้วงกลางคัน ร่างกายเลือนหายไปในลักษณะของภาพเขียนถูกยางลบปาดออก ไม่หลงเหลือไว้แม้แต่ร่องรอยให้ตามสืบหา


แววตาสุดท้ายเปี่ยมด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวังเหนือพรรณนา เบาะซึ่งเธอเคยเอนกายพิง ยามนี้ว่างเปล่าราวกับไม่เคยทิ้งก้นลงไปนั่ง


สตรีเลอโฉมใบหน้าไร้อารมณ์ ดึงผ้าคลุมหัวขึ้นมาปกปิดมิดชิด ริมฝีปากขยับแผ่วเบาพร้อมกับเลือนหายไปจากห้องโดยสาร



รอบนอกเขตราชินี บนรถม้าไร้ราง


ทริสซีนั่งเงียบภายในห้องโดยสาร เหนือศีรษะสวมหมวกตาข่ายปกปิดตามปรกติ


เธอมิได้หลบหนีออกจากเบ็คลันด์ด้วยเส้นทางแม่น้ำทัสซอค และมิได้หลบหนีผ่านสถานีรถไฟในหัวเมืองใกล้เคียงตามความคาดหมายของทุกฝ่าย


ตัวเลือกของเธอคือ ลอบเดินทางกลับเข้ามายังกรุงเบ็คลันด์หลังจากแยกกับไคลน์


มีเพียงเมืองใหญ่ประชากรกว่าห้าล้านคนและเต็มไปด้วยองค์กรลับมากมายเท่านั้น จึงจะช่วยมอบความปลอดภัยจากการไล่ล่าของนิกายแม่มดให้เธอได้


ในวินาทีนี้ หญิงสาวกำลังหวาดระแวงการไล่ล่าจากพ่อบ้านชรา ฟังเกล ทุกลมหายใจ


ทันใดนั้น สมองของเธอเริ่มปั่นป่วน


แต่เมื่อภาพการมองเห็นกลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง ทริสซีกลับพบว่าตนถูกย้ายตำแหน่งออกจากรถม้าอย่างปริศนา โดยปัจจุบันกำลังยืนริมถนนเปียกโคลนข้างทาง


รูม่านตาทริสซีพลันหดเกร็ง สายตารีบกวาดมองรอบตัวตามสัญชาตญาณ


ทันใดนั้น เธอเหลือบเห็นสตรีสวมชุดคลุมสีดำยาวทรงโบราณ ศีรษะถูกปกคลุมเกือบมิดชิดด้วยผ้าคลุมของชุด เผยออกมาเพียงดวงตาสีดำสนิทลอดผ่าน


ด้วยเหตุผลบางประการ ทริสซีรู้สึกคล้ายกับตนกลับไปเป็นทารกอีกครั้ง อ่อนแอถึงขั้นปราศจากเรี่ยวแรงต่อต้านด้วยประการทั้งปวง


เหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นบนหน้าผาก แข้งขาสั่นระริกโดยมิอาจหักห้าม ไม่สามารถก้าวเดินได้แม้แต่ครึ่งจังหวะ


เราไม่เคยพบใครมีกลิ่นอายน่าหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน ไม่แม้แต่สมาชิกระดับสูงของนิกายแม่มด…!


เรากำลังจะตาย… ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเพิ่งมาเกิดขึ้น หลังจากเราพยายามหลบหนีอย่างล้มลุกคลุกคลานจนกระทั่งสำเร็จ… ทำไมไม่รีบเกิดตั้งแต่แรกให้มันจบ ๆ ไปเสียเลย…


ความสิ้นหวังและโศกเศร้าเหนือพรรณนากำลังครอบงำจิตใจทริสซี ราวกับถูกกระชากลงไปในฝันร้ายชั้นลึกสุดของจิตใต้สำนึก


ทันใดนั้น วิวทิวทัศน์รอบตัวหญิงสาวพลันถูกแสงสีฟ้าหม่นปกคลุมอย่างกะทันหัน แสงดังกล่าวช่วยขจัด ‘คำสาป’ มิอาจขยับเขยื้อนร่างกายของเธอออกไป


ทริสซีรีบมองตรงไปข้างหน้า แต่ก็ไม่พบร่องรอยของบุคคลน่าหวาดกลัวคนดังกล่าวอีกเลย ทุกสิ่งกลับเป็นปรกติราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่คือภาพมายาสุดสมจริง


แต่เมื่อก้มหน้าลง หญิงสาวต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า แหวนพลอยสีฟ้าบนนิ้วก้อยข้างซ้ายได้แตกกระจายเป็นเศษอัญมณี สูญเสียความแวววาวเดิมไปจนหมดสิ้น


แกร่ก. แกร่ก.


เศษพลอยร่วงกราวจากฐานแหวน หล่นลงบนพื้นทีละชิ้นสองชิ้น



ไคลน์กระโจนม้วนตัวอ้อมเสาหินและมิสเตอร์ A ผู้กำลังบาดเจ็บหนัก ก่อนจะสับเท้าวิ่งไปยังทางออกฝั่งตรงข้ามโดยไม่คิดชีวิต


สำหรับตะกอนพลังซึ่งกำลังรวมตัวหลังจากมาสเตอร์คีย์สลายไป ชายหนุ่มหาได้แยแสแม้แต่ปลายหางตา ด้วยเพราะความกลัวว่ามิสเตอร์ A จะมีเวลาไล่ตามมาทัน


ไคลน์มั่นใจ แม้ว่าตนจะเตรียมตัวมาพร้อมและมีสมบัติวิเศษอย่างครบถ้วน แต่ก็ยังไม่เพียงพอหากต้องเผชิญหน้ากับคนเลี้ยงแกะมากประสบการณ์ จึงไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งมันมีเพียงนกหวีดทองแดงของมิสเตอร์อะซิกและกระสุนพิเศษสามชนิด ไม่เหลือแม้แต่ก้านไม้ขีดไฟ


จริงอยู่ มิสเตอร์ A อาจบาดเจ็บสาหัส แต่ไคลน์ยังเชื่อในสัญชาตญาณว่าตนไม่ควรเสี่ยงกับอีกฝ่าย แถมยังเคยได้ยินมาว่า ‘นักบวชกุหลาบ’ โอสถลำดับก่อนหน้าคนเลี้ยงแกะ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์เกี่ยวกับเลือดเนื้อ


ตามหลักการ พลังฟื้นฟูร่างกายของมิสเตอร์ A จึงไม่น่าจะด้อยไปกว่า ‘เคลื่อนย้ายความเสียหาย’ ของตนมากนัก


แอ๊ด~


มันดึงประตูบานใหญ่เข้าหาลำตัว


แสงธรรมชาติด้านนอกพลันสาดส่องปะทะใบหน้า กลุ่มเมฆบนท้องฟ้ามีสีเหลืองหม่น แสงอาทิตย์ซีดจางไร้ชีวิตชีวา


ไคลน์รีบวิ่งออกมาและพบว่าตนกำลังอยู่ใจกลางหุบเขา ทุกทิศรายล้อมด้วยขุนเขาสูงตระหง่าน ส่งผลให้อาคารหลังนี้กลายเป็นสุดยอดแหล่งกบดานอย่างไร้ข้อกังขา


กึก. กึก. กึก.


ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนใจทางเดินปรกติสำหรับขึ้นลงเขา ด้วยทักษะอันช่ำชองของตัวตลก มันเลือกวิ่งไต่หน้าผาสูงชันลงไปแทน


ซ่า!


ไคลน์เริ่มได้ยินเสียงสายน้ำกัดเซาะโขดหิน ดังห่างไม่ไกล ต้นเสียงดังมาจากทิศทางเบื้องหน้าเยื้องลงไปด้านล่างเล็กน้อย


แต่ขณะเดียวกัน สัมผัสวิญญาณพลันตระหนักถึงมวลสายลมปริศนาซึ่งกำลังพุ่งตรงมาจากด้านหลัง


โดยไม่มัวรีรอ ชายหนุ่มย่อเข่าลงพร้อมกับกลิ้งหลบไปด้านข้าง


ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ!


ในจุดเดิมซึ่งเคยยืน รวมถึงจุดด้านหน้าถัดไปอีกสองสามก้าว พื้นดินได้ถูกใบมีดสายลมคว้านจนเกิดเป็นร่องลึก


มิสเตอร์ A ร่อนลงมายังด้านล่างโดยมีสายลมคอยพยุง ร่างกายของมันยังคงถูกปกคลุมด้วยก้อนเลือดเนื้อสีแดงชุ่มฉ่ำ


เมื่อปลายนิ้วถูกชี้มาทางไคลน์ ก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นพุ่งออกจากมือมิสเตอร์ A ลอยแหวกอากาศตรงเข้าหาชายหนุ่มอย่างแม่นยำ


บึ้มมมมม!


ก้อนเนื้อระเบิดกระจัดกระจาย หยดเลือดและเศษเนื้อสาดกระเซ็นไปทุกทิศ ไคลน์รีบตีลังกาด้วยมือสองข้างเพื่อส่งตัวเองไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่


เศษเลือดเนื้อซึ่งเป็นราวกับสะเก็ดระเบิด ได้สร้างรูโหว่ขนาดใหญ่ไว้บนต้นไม้และธรรมชาติรอบบริเวณแทบทุกจุด


ย้อนกลับไปขณะไคลน์เริ่มวิ่งหนี มันบรรจุกระสุนกลับไปจนเต็มรังเพลิงอีกครั้ง


ขณะชักปืนออกมาเล็งศีรษะมิสเตอร์ A สายตาชายหนุ่มพลันเหลือบเห็นความมืดมิดอันเข้มข้นภายในดวงตาอีกฝ่าย


ทันใดนั้น แม้เหตุการณ์รอบตัวจะยังคงเดิมทุกประการ แต่ไคลน์ก็ได้ทราบทันที ว่าตนถูกดึงเข้าไปในภวังค์ความฝันเรียบร้อยแล้ว


มันเคยฆ่าฝันร้าย… อย่างต่ำฝันร้าย…


ขณะยังคงรักษาสติได้อย่างครบถ้วน ไคลน์มองเห็นมิสเตอร์ A หายตัวมาโผล่ด้านข้างตนในลักษณะขัดแย้งกับกฎของพลังพิเศษ ตามด้วยการเปลี่ยนร่างเป็นผ้าม่านโลหิตชุ่มฉ่ำผืนใหญ่ แผ่กลิ่นอายสยดสยองอย่างเต็มเปี่ยม หวังกลืนกินตนเข้าไปทั้งตัวโดยไม่เปิดโอกาสให้หลบหนี


คิดจะใช้พลังฝันร้ายทำให้เราหัวใจวายตายไปเองหรือไง… ไคลน์รำพันติดตลกพร้อมกับตอบสนอง


ในเมื่อนี่คือความฝันของตน บุคคลสติกระจ่างชัดย่อมสามารถสร้างอะไรก็ได้!


โดยไม่รีรอ พระอาทิตย์สีทองอร่ามเจิดจรัสปรากฏตัวกึ่งกลางท้องฟ้าทันที แสงแดงแผดเผาทุกสรรพสิ่งภายในความฝันจนมอดไหม้


ไคลน์เลียนแบบภาพนิมิตขณะตนเผลอจ้องมองเทพสุริยันเจิดจรัสโดยตรง!


แทบจะในเวลาเดียวกัน มันหลบหนีออกจากฝันตัวเองพร้อมกับได้ยินเสียงครวญครางของใครบางคนดังแว่ว


มิสเตอร์ A เสียหลักเซถอยหลัง โลหิตแดงฉานไหลซึมออกจากดวงตาทั้งสองเบ้า


ผ้าคลุมเลือดของมันเริ่มละลายทีละนิดในลักษณะคล้ายของเหลว


เปาะ!


ไคลน์ดีดนิ้วเพื่อจุดไฟบนต้นไม้ห่างออกไปราวสามสิบถึงสี่สิบเมตร


ใต้ฝ่าเท้า มันเผาไหม้วัชพืชแห้งและปล่อยให้เปลวเพลิงร้อนระอุลุกท่วมร่างกาย


ใบหน้าคล้ายสตรีของมิสเตอร์ A พลันแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าซึ่งใกล้เคียงกับหญิงสาวยิ่งกว่าเก่า ตามด้วยการเสกหอกน้ำแข็งเล่มยาวขึ้นบนฝ่ามือ และขว้างไปยังต้นไม้ติดไฟซึ่งห่างออกไปหลายสิบเมตรด้านหน้าอย่างสุดแรง


เมื่อไคลน์ย่างกรายออกจากกองเพลิงบนต้นไม้ปลายทาง คมหอกสีใสได้พุ่งมาจดจ่ออยู่หน้าจมูกเรียบร้อย


ขนาดของปลายหอกใหญ่ขึ้นทีละนิด จนกระทั่งบดบังทัศนวิสัยไคลน์เกือบสมบูรณ์


ชายหนุ่มรีบกระโดดหลบไปด้านข้างได้ทันท่วงที แต่ร่างกายกลับยังไม่รอดพ้นไอความเย็นซึ่งกำลังจับตัวเป็นก้อนน้ำแข็ง


หอกน้ำแข็งไฟดับไฟบนต้นไม้จนมอดสนิท พื้นดินใต้ฝ่าเท้าชายหนุ่มถูกเปลี่ยนให้เป็นลานน้ำแข็งรัศมีหลายเมตรในพริบตา


ในสภาพลอยตัวเคว้งกลางอากาศ ไคลน์ม้วนร่างกายพร้อมกับทิ้งศีรษะลงด้านล่าง


มือซ้ายถูกเหยียดออกมายันพื้นน้ำแข็งเพื่อส่งร่างกายให้ดีดตัวกลับขึ้นไปใหม่ ทว่า เนื่องจากฝ่ามือสัมผัสเข้ากับน้ำแข็งโดยตรง ผิวหนังในบริเวณดังกล่าวจึงเกิดการฉีกขาดพร้อมกับเสียง ‘ปึด’


หลังจากรอดพ้นระยะพื้นน้ำแข็ง ไคลน์กลิ้งตัวไปบนพื้นพร้อมกับควักยันต์หลับใหลทำเองออกมาเตรียมขว้าง


แต่ขณะกำลังจะท่องคาถา จมูกเกิดอาการคันยุบยิบพร้อมกับจามสุดแรง


ฮัดเช่ย! ฮัดเช่ย! ฮัดเช่ย!


ศีรษะเริ่มร้อนรุ่ม มันตะเบ็งจามไม่หยุดพัก เรี่ยวแรงในการต่อสู้เริ่มลดลงชัดเจน


เราป่วย? ถูกเล่นงานด้วยพลังพิเศษเกี่ยวกับโรคภัย?


ขณะกำลังวิเคราะห์อย่างใจเย็น ไคลน์เพิ่งตระหนักว่าตนถูกเส้นด้ายจำนวนมาก ยากจะมองเห็นด้วยตาเปล่า รัดพันจากทุกทิศทางพร้อมกันจนมีสภาพคล้ายมัมมี่


ในอดีต ไคลน์เคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาก่อน จึงทราบทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังใช้พลังของแม่มดสุขสม


ย้อนกลับไปในตอนนั้น มันเอาตัวรอดได้โดยการใช้ยันต์หลับใหลเสกหลับใส่ทั้งตนและเชอรอน จากนั้นจึงอาศัยความพิเศษของตัวเองเพื่อลืมตาก่อนอีกฝ่าย


แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน มิสเตอร์ A ยืนห่างออกไปราวยี่สิบเมตรเห็นจะได้ ไม่มีทางขว้างยันต์โลหะไปถึงด้วยสภาพกึ่งอัมพาตเช่นนี้


อย่างไรก็ตาม ไคลน์เองก็ไม่ใช่ตัวตลกอ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนเช่นกัน ปลายนิ้วบรรจงถูไถจนเกิดเสียง เกิดเป็นเปลวเพลิงสีแดงส้มลุกท่วมร่างกาย


เพียงพริบตา ‘ใยแมงมุม’ ลุกไหม้อย่างง่ายดายจนไคลน์ดูเหมือนคบเพลิงอันใหญ่


ชายหนุ่มกระโดดออกจากกองเพลิงพร้อมกับเริ่มจามอย่างหนักอีกครั้ง ตามด้วยการไอกระแอมอย่างรุนแรงอีกสองสามระลอก ส่งผลให้เวทมนตร์หลายชนิดของตนกลายเป็นหมันเพราะมิอาจเปล่งคาถา


ทันใดนั้น ใบหน้าคล้ายสตรีของมิสเตอร์ A เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกหน คราวนี้เจือความโอหังและทระนงตนไว้อย่างชัดเจน


คนเลี้ยงแกะเหยียดแขนขวาออกมาพร้อมกับกระตุกกำหมัดแน่น ไคลน์สัมผัสได้ทันทีว่า หากตนวิ่งหนีไปทั้งอย่างนี้ คงไม่แคล้วได้วนกลับมายังจุดเดิม


มิสเตอร์ A ในชุดคลุมยาวสีแดงสด เริ่มเผยรอยยิ้มชั่วร้ายเจือความอำมหิต ตามด้วยการเสกหนังสือมายาปกโบราณลอยออกมาตรงหน้า


เสียงโทนแหลมดังแว่วอย่างล่องลอย :


“ข้าบรรลุ ข้าประจักษ์ ข้าบันทึก”


ฮัดเช่ย! แค่ก! แค่ก!


ไคลน์ต้องการหลบหลังต้นไม้ แต่ทำไม่ได้เพราะมิได้กระฉับกระเฉงเหมือนในยามปรกติ


ในวินาทีนี้ มันกำลังลิ้มรสความสุดยอดของคนเลี้ยงแกะอย่างไม่เต็มใจนัก ไม่เกินจริงเลยสักนิดเมื่อมีคำกล่าวไว้ว่า ถ้าไม่นับตัวตนระดับครึ่งเทพ จะไม่มีโอสถใดถือครองพลังรอบด้าน ครอบคลุม และไร้จุดอ่อนได้เท่ากับคนเลี้ยงแกะอีกแล้ว


จริงอยู่ มันอาจไม่ได้เตรียมตัว และไม่ได้พกพาสมบัติวิเศษมาทำศึกมากนัก แต่การไล่ต้อนลำดับ 6 อย่างตนให้จนตรอกชนิดมิอาจโต้กลับได้เลยแม้แต่หนึ่งหน


แค่ ‘เก่ง’ อย่างเดียวคงอธิบายได้ไม่ชัดเจน


……………………


ราชันเร้นลับ 479 : รอยยิ้มไร้คำอธิบาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

พ่อบ้านชรา ฟังเกล กำลังวิ่งหนีท่ามกลางทุ่งกว้างอันแห้งแล้ง


มันสูญเสียหมวก และเส้นผมสีเทาอันเคยหวีเรียบกำลังมีสภาพยุ่งเหยิง เสื้อผ้าสกปรกเปรอะเปื้อนหลายจุด


แฮ่ก… แฮ่ก…!


มันหยุดพักครู่หนึ่ง พลางหันกลับไปมองข้างหลังด้วยลมหายใจหอบเหนื่อย เมื่อพบว่าไม่มีใครตามมาจึงเผยสีหน้าโล่งใจ


แต่เมื่อหันหน้ากลับ ฟังเกลมองเห็นบุคคลผู้หนึ่งกำลังยืนจ้องมองตน!


อีกฝ่ายสวมชุดคลุมยาวสีดำ ผ้าคลุมหัวปกปิดใบหน้า แววตาปราศจากอารมณ์ ภายใต้ผ้าคลุมมีเพียงดวงตาสีดำหนึ่งคู่


รูม่านตาฟังเกลพลันหดเกร็งทันที


ขณะกำลังจะกล่าวบางสิ่งด้วยภาษาเฮอร์มิสโบราณ มันพบว่าจมูกของตนได้อันตรธานหายไปอย่างเป็นปริศนา จึงไม่มีเสียงใดดังเล็ดลอดออกมา ใบหน้าเผยเพียงความหวาดผวาสุดขั้ว


ถัดมาไม่นาน ฟังเกลถูกลบตัวตนไปพร้อมกับเสื้อผ้า ไม่หลงเหลือสิ่งได้ไว้บนโลกอีกเลย



ฮัดเช่ย! แค่ก! แค่ก!


ท่ามกลางการกระหน่ำโจมตีอย่างไม่หยุดพักของมิสเตอร์ A ผนวกกับภาวะป่วยไข้เรื้อรังและรุนแรง ไคลน์ไม่มีโอกาสได้ใช้งานกระโจนไฟหรือควบคุมไฟแม้แต่ครั้งเดียว


จนกระทั่งถึงจุดย่ำแย่สุดขีด ไม่สามารถใช้ได้แม้กระทั่งกระสุนอากาศ


ขณะความกลัวในความไม่รู้เริ่มกัดกินจิตใจชายหนุ่มอย่างหนักหน่วง นิมิตลางสังหรณ์ของตัวตลกช่วยให้ ‘มองเห็น’ ภาพร่างกายของตนถูกป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย บางที มันอาจไม่คืนชีพกลับมาอีกครั้งในสภาพดังกล่าว


โดยไม่รีรอ ไคลน์ล้วงกระเป๋าและหยิบวัตถุชิ้นหนึ่งออกมา


นี่คือทางออกสำหรับเหตุการณ์เลวร้ายทุกชนิด ซึ่งมันเคยคิดเผื่อไว้นานแล้ว


ไม่ว่าจะกำลังเผชิญวิกฤติในรูปแบบใด นักมายากลต้องเตรียมความพร้อมไว้ในระดับพื้นฐานเสมอ จะได้ไม่ลนลานระหว่างกำลังต่อสู้


มือข้างหนึ่งถือนกหวีดทองแดง ไคลน์ออกแรงเป่าสุดหลอดลมพลางจามและไอกระแอมเป็นระยะ


บรรยากาศรอบตัวยังคงปรกติ แต่ไคลน์สามารถมองเห็นผ่านเนตรวิญญาณได้แจ่มชัด น้ำพุโครงกระดูกกำลังผุดขึ้นจากพื้นดินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก่อตัวกลายเป็นผู้ส่งสารร่างยักษ์ผู้มีเบ้าตาลุกโชนด้วยเพลิงดำ


ทันใดนั้น หน้าหนังสือมายาในมือมิสเตอร์ A พลันหยุดพลิกเปิด เสียงสวดคาถาอันล่องลอยหยุดลงในเวลาไล่เลี่ยกัน


เพียงพริบตา เสาลำแสงสีเขียวอ่อนขนาดมหึมา ถูกยิงออกมาจากหนังสือมายาเบื้องหน้ามิสเตอร์ A ด้วยความเร็วสูง แน่นอน เป้าหมายคือไคลน์ แต่ลำแสงปริศนาดันไปกระทบกับ ‘ผู้ส่งสาร’ โครงกระดูกสูงสี่เมตรเข้าเสียก่อน


โครงกระดูกแหลกละเอียดกลายเป็นละอองสีขาวกระจัดกระจายทุกทิศ


พร้อมกันนั้น ม่านพลังปริศนาซึ่งคอยทำให้ไคลน์วิ่งวนเป็นวงกลมตลอดเวลา ถูกทำลายลงไปพร้อมกับแรงปะทะมหาศาล


ในสภาพเสื้อโค้ทสีดำกระดุมสองแถว ชายหนุ่มไม่รอดพ้นจากพลังอำนาจของเสาลำแสงสีเขียวอ่อนเช่นกัน ร่างไคลน์พลันแหลกเป็นผุยผงประหนึ่งรูปปั้นทรายถูกพายุพัดผ่าน


ทว่า เศษชิ้นส่วนอันกำลังปลิวว่อนไปในอากาศมิใช่เนื้อหนังของมนุษย์ แต่เป็นจุดสีขาวคล้ายกับเศษกระดาษถูกป่นละเอียด


ร่างจริงไคลน์โผล่ออกจากอีกฝั่งในท่าคุกเข่าอย่างหมดสภาพ


หากไม่เพราะมีโครงกระดูกผู้ส่งสารช่วยบังการโจมตีไว้ให้ มันคงไม่เหลือเวลามากพอสำหรับฝืนข่มอาการจามและใช้พลังกระดาษคนตัวแทน


แต่แม้จะผ่านพ้นวิกฤติมาได้ อาการจามของไคลน์กลับยิ่งทวีความย่ำแย่ถึงขีดสุด ถึงขั้นแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงสำหรับปกป้องตัวเอง


พร้อมกันนั้น มิสเตอร์ A ผู้เพิ่งใช้ท่าไม้ตายไปอย่างล้มเหลว เริ่มแสดงอาการสำรอกอย่างหนักในสภาพย่ำแย่กว่าไคลน์หลายเท่าตัว


มันล้มลงไปนอนขดตัวบนพื้น มุมปากผุดฟองเลือดแดงข้นอย่างน่าสยดสยอง


แค่ก! แค่ก! แค่ก!


มิสเตอร์ A สำรอกอวัยวะภายในและก้อนเนื้อจำนวนมากออกทางปาก จากนั้น ด้วยความยากลำบาก มันพยายามอ้าปากและก้มลงไปเลียเพื่อกินสิ่งสำรอกกลับเข้าไปใหม่


เกิดอะไรขึ้น…?


ไคลน์ยังไม่เข้าใจสถานการณ์


แต่สภาพอันย่ำแย่ของมิสเตอร์ A ก็ไม่ช่วยให้มันหยุดไอ ชายหนุ่มบรรจงยกแขนขวาขึ้นพร้อมกับเล็งลูกโม่ไปยังศีรษะอีกฝ่าย


ในวินาทีนี้ มันเริ่มเข้าใจในบางสิ่ง :


ขณะมิสเตอร์ A ได้รับบาดเจ็บหลังจากเหตุการณ์แท่นบูชาระเบิด เวทมนตร์เลือดเนื้อของมันสามารถรักษาได้เพียงร่างกาย มิใช่จิตใจหรือพลังวิญญาณ


ตามปรกติแล้ว มิสเตอร์ A ควรสลับเป็นพลังด้านรักษาเพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูอย่างเต็มประสิทธิภาพเสียก่อน แต่เนื่องจากถูกความคับแค้นผลักดัน จึงตัดสินใจข่มอาการบาดเจ็บและเลือกไล่ตามไคลน์มาแทน ดังนั้น เมื่อใช้พลังติดต่อกันโดยไม่หยุดพักจนกระทั่งร่างกายถึงขีดจำกัด ปฏิกิริยาย้อนกลับจึงกำเริบจนทรุดหนักกว่าเดิม


ปัง! ปัง! ปัง!


ไคลน์ส่งกระสุนผ่านปากกระบอกลูกโม่ ประกอบด้วยกระสุนทองอ่อน ทองแดง และเงินพุ่งตรงไปยังเป้าหมายซึ่งอยู่ไม่ห่างมากนัก


แต่น่าเสียดาย ชายหนุ่มมิอาจอดกลั้นการจามและไอได้ระหว่างยิง กระสุนจึงพลาดเป้าไปสามจากห้านัด นัดหนึ่งตรงเข้าใส่ศีรษะมิสเตอร์ A อย่างแม่นยำ อีกหนึ่งนัดพุ่งเข้าปะทะกับช่วงลำตัว


โผละ!


เสียง ‘โผละ’ คล้ายกับแตงโมแตกดังสนั่น แต่เมื่อพิจารณาให้ดี ไคลน์สังเกตเห็นว่าศีรษะของมิสเตอร์ A ไม่มีกะโหลกห่อหุ้ม กระสุนเพียงพุ่งผ่านเศษเนื้อเน่าเข้าไปยังด้านหลัง ส่วนอีกหนึ่งนัดฝังอยู่ในลำตัวโดยไม่แสดงอิทธิฤทธิ์ใดนอกจากส่องแสงสว่างคล้ายดวงอาทิตย์


มิสเตอร์ A เงยหน้าขึ้น รูโหว่บนศีรษะยังคงเผยให้เห็นอย่างน่าหวาดเสียว


มันยังไม่ตาย… ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด!


นี่คือความหนังเหนียวบัดซบของนักบวชกุหลาบ!


เห็นเช่นนั้น ไคลน์รีบตัดสินใจอย่างชาญฉลาด มันเหลียวหลังกลับทันทีและเริ่มออกวิ่งด้วยความเร็วเต็มฝีเท้า ละทิ้งการโจมตีอย่างสูญเปล่าโดยไม่ลังเล


ทางด้านมิสเตอร์ A มันกำลังนอนหายใจรวยรินอย่างเหนื่อยหอบ พลางก้มหน้าลงไปเลียอวัยวะภายในกลับเข้าร่างกายต่อจนกว่าจะครบ


ท่ามกลางเสียงไอจามตลอดเวลา ไคลน์สุ่มวิ่งหนีในทิศทางส่งเดช มีการกลิ้งตัวหลบอุปสรรคอย่างประปราย


จนกระทั่งมาถึงขอบผาสูงชันไม่ต่ำกว่าห้าสิบเมตร


ด้านล่างเป็นแม่น้ำทัสซอคในสภาพไหลเอื่อย ไม่เชี่ยวกรากมากนัก ขนาดของแม่น้ำค่อนข้างกว้างและมีสภาพขุ่นมัว


โดยไม่ลังเล ไคลน์ย่อตัวพร้อมกับส่งแรงกระโดดไปยังขาทั้งสองข้าง


มันทิ้งดิ่งเหมือนลูกข่าง ปล่อยตัวตามสบายและพุ่งลงมาด้วยร่างกายเบาหวิว


ผิวหนังเสียดสีกับอากาศขณะพยายามจัดระเบียบร่างกายให้เป็นท่าพุ่งหลาวของนักกระโดดน้ำ


แค่ก! ฮัดเช่ย!


อาการป่วยส่งผลให้การหมุนตัวรอบสามเกิดชะงักกลางคัน ส่งผลให้ลำตัวและฝ่ามือไม่ได้อยู่ในท่าถูกต้อง


ร่างกายไคลน์กระทบสายน้ำอย่างผิดท่าจนเกิดเสียงปะทะหนักแน่น ก่อนจะกลายเป็นเพียงเศษกระดาษสีขาวลอยบนผิวลำธาร


เศษกระดาษเริ่มเปียกชุ่มและอยู่ในสภาพกึ่งจมกึ่งลอย


ในจุดใต้น้ำไม่ห่างออกไป ไคลน์โผล่ออกจากความว่างเปล่าด้วยร่างกายสั่นเทา


เสื้อผ้าเปียกแฉะ รวมถึงกระดาษรูปคนใบอื่นและธนบัตรในกระเป๋าสตางค์ล้วนมีสภาพไม่ต่างกันมากนัก


หลังจากรักษาระยะจากมิสเตอร์ A ได้ อาการไข้ของเราทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด…


ไคลน์ครุ่นคิดด้วยสีหน้าตื่นกลัว


หากอาการไอจามไม่หายไปในวินาทีสุดท้ายขณะใช้สลับตำแหน่งกระดาษรูปคน เกรงว่าป่านนี้มันคงกระแทกกับผิวน้ำจนเกิดอาการช้ำในตายไปแล้ว


แต่อย่างน้อย ถ้าตายในสภาพดังกล่าว โอกาสคืนชีพใหม่มีค่อนข้างมาก…


หลังจากเตะขาขึ้นเพื่อส่งตัวเองขึ้นมาลอยใกล้กับผิวน้ำ ไคลน์สร้างท่ออากาศล่องหนเพื่อช่วยให้ตนสามารถหายใจใต้น้ำได้อย่างปราศจากปัญหา


นี่คือหนึ่งในพลังของนักมายากลซึ่งแทบไม่มีโอกาสใช้งานมาก่อน


ไคลน์ใช้ปากเพื่อหายใจเข้า และใช้จมูกพ่นลมหายใจออกขึ้นไป เพื่อมิให้เกิดฟองบนผิวน้ำและถูกพบความผิดปรกติ


มันพยายามว่ายไปยังอีกฝั่งอย่างเงียบงันพลางภาวนามิให้มิสเตอร์ A ตามมาพบตัว


ช่างน่าเสียดาย แถวนี้ไม่ใช่เขตเมือง พลังผู้ไร้หน้าของเราจึงกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ไม่อย่างนั้นคงปะปนกับฝูงชนและหลุดพ้นจากการตามล่าได้ทันที…


ขณะแหวกว่าย ไคลน์ครุ่นคิดหลายเรื่อง


จนกระทั่ง มันเริ่มหวนนึกถึงเวทมนตร์ธาตุวายุซึ่งมิสเตอร์ A ใช้ในตอนเปิดศึก


ในทางทฤษฎี เวทวายุอยู่ในขอบเขตของเทพวายุสลาตัน… และบนเส้นทางดังกล่าว นอกจากเวทมนตร์วายุแล้ว ยังมีเวทมนตร์ธาตุวารีอีกเป็นกระบุง หนึ่งในนั้นคือการช่วยให้แหวกว่ายในน้ำได้เหมือนปลา…


แหวกว่ายในน้ำได้เหมือนปลา…


คนเลี้ยงแกะเอาเปรียบกันไปแล้วโว้ย!


หัวใจไคลน์แทบหยุดเต้นเมื่อฉุกคิดได้


มันรีบโผล่พ้นน้ำและสับแขนว่ายอย่างสุดฝีมือ ไม่สนการหลบซ่อนอีกต่อไป!


ขณะเริ่มเข้าใกล้ฝั่ง หางตาไคลน์เหลือบไปเห็นใบหน้าอันสง่างามแกมชั่วร้ายของมิสเตอร์ A จากด้านหลัง ลำตัวของอีกฝ่ายกำลังถูกปกคลุมด้วยเกล็ดปลาและครีบเหงือกสำหรับหายใจ!


มิสเตอร์ A ผู้กำลังลอยตัวบนผิวน้ำในชุดคลุมสีแดงเลือด เริ่มยกโค้งมุมปากอย่างมีเลศนัย ดวงตาแฝงจิตอาฆาตไว้อย่างเต็มเปี่ยมโดยไม่คิดเก็บซ่อน


ต้องสู้… มีแต่ต้องสู้เท่านั้น!


ต้องยื้อไว้จนกว่ากำลังเสริมจากโบสถ์หลักจะมาถึง หรือไม่ก็จนกว่ามิสเตอร์อะซิกจัดการกับทางนั้นเสร็จและกลับมาช่วยเรา….


โดยไม่ลังเล ไคลน์ ผู้เริ่มแสดงอาการไอจามอย่างหนักอีกครั้งหลังจากเข้าสู่ระยะการแพร่โรคของอีกฝ่าย รีบยกแขนขวาขึ้นหวังดีดนิ้วกระทำบางสิ่ง


แต่ทันใดนั้น คนทั้งสองพลันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือแม่น้ำอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย ราวกับเป็นสัญชาตญาณร่วมกันในส่วนลึกจิตใจผู้วิเศษทุกคน


หญิงสาวปริศนาปรากฏกายจากความว่างเปล่าทีละนิด สวมชุดคลุมยาวสีดำ สวมผ้าคลุมปกปิดศีรษะ


สตรีลึกลับหันไปทางมิสเตอร์ A ด้วยดวงตาอันว่างเปล่า


ในวินาทีนี้ ไคลน์กำลังเป็นประจักษ์พยานการหายตัวไปอย่างสมบูรณ์ของมิสเตอร์ A


คนเลี้ยงแกะลำดับ 5 สุดทรงพลัง เป็นรองเพียงครึ่งเทพ กลับมิอาจต่อต้านขัดขืนอีกฝ่ายด้วยประการทั้งปวง มันถูกลบหายไปราวกับใช้ยางลบขูดไปบนภาพวาดดินสอ


ร่องรอยสุดท้ายของมิสเตอร์ A คือสีหน้าหวาดผวาและสิ้นหวังจากก้นบึ้ง สิ่งนี้ยังคงตราตรึงในความทรงจำไคลน์ ผู้เป็นพยานเพียงคนเดียวในการเหตุการณ์อันยากจะหาคำอธิบายใดมารองรับ


นี่มัน… พลังระดับไหน?


เป็นพลังอะไรกันแน่!


ขณะเกิดคำถามมากมาย ไคลน์สังเกตเห็นว่าสตรีปริศนาเริ่มหันกลับมามองตนบ้างแล้ว


ใบหน้าของเธองดงามไร้จุดบกพร่อง เพียงแต่แววตาว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง ปราศจากอารมณ์ใดทางสีหน้า ดวงตาดำลุ่มลึกราวกับเป็นหลุมดำของจริงมากกว่าสี ๆ หนึ่ง


ขณะหัวใจชายหนุ่มกำลังเต้นโครมครามประหนึ่งจะหลุดออกมาเสียให้ได้ ขณะสมองกำลังลนลาน จินตนาการภาพตัวเองถูกลบหายไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่สามารถคืนชีพได้เหมือนในอดีต หญิงสาวปริศนาเพียงส่งรอยยิ้มกลับมาให้อย่างอ่อนโยน


เธอยิ้มให้เรา…?


ไคลน์พลันผงะ ทำได้เพียงคิดว่าตนกำลังฝันไป


จนกระทั่งคืนสติกลับมาอีกครั้ง มันพบว่าสตรีปริศนาไม่อยู่อีกแล้ว รอบตัวไคลน์มีเพียงเสียงน้ำไหลเอื่อยดังก้องอย่างเป็นธรรมชาติ


แม้จะกำลังสับสนสุดขีด แต่ไคลน์ก็ไม่ลืมว่ายน้ำกลับขึ้นฝั่งให้เรียบร้อย ตามด้วยการมองไปรอบตัวอย่างฉงนและไม่เข้าใจ


มันเริ่มแน่ใจว่า ตำแหน่งปัจจุบันของตนค่อนข้างทุรกันดาร ไม่มีแม้แต่ถนนหรือผู้คนพักอาศัยใกล้เคียง การเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวคือสายน้ำไหลเอื่อย


จบง่ายแบบนี้เลยหรือ…


มิสเตอร์ A หายไปทั้งอย่างนั้นเนี่ยนะ?


เธอเป็นใครกันแน่ ทรงพลังถึงขั้นมิสเตอร์ A ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ส่งเสียงร้อง…


เธอยิ้มให้เราทำไม…


บางที ท่านอาจเป็นตัวตนระดับเทวทูต…


แต่น่าแปลก นอกจากสันตะปาปา สามโบสถ์หลักก็ไม่น่าจะมีเทวทูตเดินดินอีกแล้ว… และตัวตนอย่างสันตะปาปาก็ไม่น่าจะอาศัยอยู่ในกรุงเบ็คลันด์…


ไคลน์ไม่อยากเชื่อว่าตนจะรอดชีวิตมาได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีคำอธิบาย


หลังจากพินิจพิเคราะห์ ชายหนุ่มเริ่มผูกโยงเรื่องราวเข้าด้วยกัน


ท่านคงเป็นเสาหลักของบางโบสถ์ และถ่อมาไกลเช่นนี้เพราะต้องการช่วยเรา หรือไม่ก็เจาะจงจำกัดมิสเตอร์ A…


ถ้าเราไม่แจ้งมิสจัสติสล่วงหน้า ทางโบสถ์คงไม่มีเวลาเตรียมตัวได้ทัน และเราคงเสร็จมิสเตอร์ A ไปแล้วเป็นแน่แท้ อาจเลวร้ายถึงขั้นไม่ได้คืนชีพกลับมาอีก…


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเพราะการยื้อชีวิตจนสุดความสามารถของเราด้วย สามารถลากการต่อสู้ออกมาได้ยาวนานจนกำลังเสริมมาถึง…


ทำได้ไม่เลว…


หลังจากถอนหายใจยาว ไคลน์เริ่มมองหาทางกลับ



“เนรเทศ!”


ชายสวมหน้ากากสีทองชี้นิ้วไปทางอะซิก·อายเกส พร้อมกับส่งบุรุษผิวแทนกระเด็นเข้าไปในห้วงมิติอันว่างเปล่าและไม่มีใครทราบปลายทางแท้จริง


จากนั้น มันหันมากล่าวกับอินซ์·แซงวิลล์ ผู้กำลังจ้องตนด้วยสีหน้าฉงน


“พวกเราไม่เหลือเวลาอีกแล้ว การสังหารชายคนนั้นจะทำให้เสียเวลามากเกินไป! ตอนนี้ต้องรีบซ่อนตัวโดยด่วน คุณคงไม่อยากให้ทางโบสถ์หลักค้นพบความลับหรอกใช่ไหม” ชายสวมหน้ากากตำหนิอย่างหัวเสีย


อินซ์·แซงวิลล์หายสงสัย เพียงพยักหน้ารับและเดินไปหยิบ 0-08 ซึ่งหยุดเขียนมาสักพัก


สภาพร่างกายของมันค่อนข้างดูไม่จืด กึ่งกลางตาตุ่มสองข้างยังมีขอบกางเกงขายาวกองอยู่ แต่ก็ใกล้ขาดเต็มทีหลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือดแลกชีวิตมาหมาด ๆ



ภายในคฤหาสน์กุหลาบแดง องค์ชายเอ็ดซัคกำลังนั่งข้างหน้าต่างเต็มบานด้วยสายตาเหม่อลอยอย่างผิดธรรมชาติ


“องค์ชาย ได้โปรดเร่งมือด้วย” เสียงของบุคคลผู้หนึ่งดังย้ำเตือน


ดวงตาขององค์ชายกลับมาส่องประกายแวววาวอีกครั้ง ก่อนจะสูดลมหายใจยาวพร้อมกับหยิบลูกโม่บนโต๊ะข้างลำตัวขึ้นมาจ่อขมับแนบชิด


ด้านในบรรจุกระสุนชนิดพิเศษ


กระสุนทำลายวิญญาณ


เอ็ดซัค·ออกัสตัสหันหน้าไปมองสนามกอล์ฟและลานกว้างสำหรับขี่ม้าเล่น


ปัง!


มันลั่นไกโดยไม่กล่าวคำใด


……………………


ราชันเร้นลับ 480 : รางวัลของคนซื่อสัตย์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายในห้องโถงซึ่งใจกลางมีซากแท่นบูชาถูกทำลาย กลุ่มเหยี่ยวราตรีในชุดกันลมและหมวกทรงกึ่งสูงสีดำกำลังย่างกรายสำรวจอย่างใจเย็น ผู้นำทีมไม่ใช่ใคร แต่เป็นอาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์รัตติกาล บุคคลอันดับหนึ่งของมหาวิหารแซมมัว นักบุญแอนโทนี·สตีเวนสัน


“ถูกใครบางคนขัดขวางกลางคัน?” มันพึมพำโดยไม่หยุดก้าวเดิน พลางนำทางทุกคนมาถึงบานประตูหินซึ่งพาไปสู่ด้านในตัวอาคาร


เมื่อประตูถูกเลื่อนเปิดจนสุด บรรยากาศด้านในมีเพียงความมืดสนิทเข้มข้น


นักบุญแอนโทนีเดินนำเหยี่ยวราตรีเข้าไปสำรวจด้านใน


ตลอดทาง พวกมันไม่พบองครักษ์หรือสิ่งของมีค่าแม้แต่ชิ้นเดียว ราวกับถูกเก็บกวาดอย่างหมดจดก่อนหลบหนีไป


จนกระทั่งมาถึงห้องด้านในสุด แต่ก็ไม่พบสิ่งใดหลงเหลือนอกจากเสาหินต้นใหญ่ ไม่มีประตูแสงสีฟ้าซึ่งไคลน์เคยใช้ผ่านเข้ามา


ทันใดนั้น ตะเกียงในมือเหยี่ยวราตรีพลันอับแสง ความดำมืดอันบริสุทธิ์เข้าครอบงำบรรยากาศรอบห้องเป็นเวลานาน


จนกระทั่งความสว่างกลับคืนสู่สภาพเดิม สมาชิกในทีมเริ่มสังเกตเห็นว่าผนังห้องถูกพลังบางอย่างละลายกลายเป็นของเหลว


แต่หลังจากค้นหาอย่างละเอียดก็ไม่พบประตูลับหรืออุโมงค์พิเศษซ่อนอยู่ หลังกำแพงมีเพียงโคลนเหนียวข้นหรือไม่ก็หินก้อนใหญ่


นักบุญแอนโทนีเงียบงันหลายสิบวินาทีก่อนจะออกคำสั่ง


“ทดสอบแกะรอยด้วยพลังทำนาย กระจายตัวค้นหาในบริเวณใกล้เคียง”



ฮัดเช่ย!


หลังจากวิ่งผ่านหน้าผาและผืนป่าหนาทึบตลอดทาง ไคลน์เริ่มหดหู่เมื่อตระหนักว่าตนเริ่มประสบอาการป่วยไข้


ด้วยผลข้างเคียงจากพลังพิเศษของมิสเตอร์ A ผนวกเข้ากับการแช่น้ำเป็นเวลานานในฤดูหนาว ไคลน์จึงเลี่ยงการป่วยเป็นหวัดไม่ได้


อย่างไรก็ตาม มันไม่กล้าแวะเก็บกิ่งไม้แห้งข้างทางขึ้นมาจุดไฟเพื่อให้ความอบอุ่น เหตุเพราะกังวลว่า ตนอาจยังถูกหน่วยพิเศษของโบสถ์ไล่ตามมาจากด้านหลัง


จริงอยู่ มันถูกรับรองโดยไอคานส์·เบอร์นาร์ดจากจิตแห่งจักรกลให้กลายเป็นผู้วิเศษกึ่งทางการ แต่เรื่องราวในปัจจุบันค่อนข้างพิเศษ เกี่ยวพันกับการคืนชีพของแม่มดบรรพกาลและพระผู้สร้างแท้จริง คดีจึงถูกจัดลำดับความสำคัญไว้สูงสุด มันคงไม่แคล้วถูกสอบสวนเป็นเวลานาน ต้องไปนั่งดื่มชากับจิตแห่งจักรกล ทูตพิพากษา และเหยี่ยวราตรีพร้อมกับเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะด้วยไม้อ่อนหรือไม่แข็ง


ขั้นตอนดังกล่าวรังแต่จะสร้างปัญหาใหญ่


หนึ่ง ปัญหาเรื่อง ไคลน์·โมเร็ตติเคยเป็นเหยี่ยวราตรีของเมืองทิงเก็นมาก่อน จริงอยู่ นักสืบเชอร์ล็อกอาจมีใบหน้าแตกต่างจาก ‘วีรบุรุษแห่งทิงเก็น’ ค่อนข้างมาก แทบไม่มีจุดใดเหมือนกันเลยในเชิงภาพถ่าย แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่วางใจ ถ้าเกิดให้คนใกล้ตัวมาเทียบเคียง ผนวกกับความเหมือนกันของเส้นทางนักทำนาย ความลับของตนอาจก็ถูกเปิดเผย


สอง เนื่องจากครอบครองเส้นทางใกล้เคียงกัน โบสถ์รัตติกาลจึงไม่เป็นมิตรกับผู้มีความสัมพันธ์กับเทพมรณาสักเท่าไร ย้อนกลับไปในยุคแห่งความไร้ชีวิตชีวาในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่ เทพมรณาได้ร่วงหล่นด้วยความร่วมมือจากเหล่าเทพจารีตทั้งหมดบนทวีปเหนือ


แต่นักสืบเชอร์ล็อกกลับสามารถ ‘อัญเชิญ’ ทายาทเทพมรณาสุดแข็งแกร่งได้ในช่วงเวลาวิกฤติ ปัญหาข้อนี้คงหาคำอธิบายได้ไม่ง่ายนัก


เสาหลักของโบสถ์สักแห่งคนนั้น หลังจาก ‘ลบ’ มิสเตอร์ A เสร็จ เธอคงมีภารกิจต้องไปจัดการกับอินซ์·แซงวิลล์ต่อ จึงไม่ต้องการเสียเวลากับมดปลวกอย่างเรานาน…


แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังประมาทไม่ได้ ต้องรีบหนีขณะยังมีโอกาสให้หนี!


ใช่แล้ว เราจะเขียนจดหมายหาจิตแห่งจักรกลเมื่อมีโอกาส อธิบายว่าทำไมถึงเดินได้ทางออกจากเบ็คลันด์ชั่วคราว ด้วยวิธีนี้ เรายังกลับมาทำงานร่วมกับพวกเขาได้ในฐานะสายข่าว แต่ก่อนจะเริ่มเขียนจดหมาย คงต้องขอจับตามองพวกเขาไปอีกสักระยะ เพื่อประเมินว่ามีพฤติกรรมรังเกียจทายาทเทพมรณามากน้อยแค่ไหน…


แล้วตอนนี้มิสเตอร์อะซิกกำลังทำอะไรอยู่…


ฮะฮะ… บางที เชอร์ล็อก·โมเรียตี้อาจถูกหน่วยพิเศษของทางการจำหน่ายให้เป็นคนตายไปแล้วก็ได้…


ชะตากรรมมิได้ต่างจากตัวจริงเลยสักนิด…


ไคลน์รีบเคลื่อนตัวออกมาให้ไกลจากอาคารซึ่งถูกใช้เป็นแท่นบูชา จนกระทั่งได้พบเมืองเล็กซึ่งสามารถปะปนไปกับผู้คนเพื่อใช้เป็นจุดหลบภัยจนกว่าจะหายไข้


มีเพียงในสังคมมนุษย์เท่านั้น ผู้ไร้หน้าจึงจะแสดงพลังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ!


ผู้หญิงชุดคลุมขาวคนนั้น หากเดาไม่ผิดคงเป็นแม่มด เธอบอกให้มิสเตอร์ A ส่งตนไปยังเขตตะวันออก…


เมื่อประเมินจากความชั่วร้ายและอารมณ์ด้านลบของพิธีกรรม เขตดังกล่าวจะต้องมีคนสังเวยชีวิตไปมากทีเดียว…


ด้วยสัญชาตญาณของนักทำนาย หัวใจชายหนุ่มเริ่มปวดแปลบ


ทันใดนั้น ทิวทัศน์รอบตัวพลันแปรเปลี่ยนให้มีลักษณะอึมครึม สีแดงยิ่งแดงสด สีขาวสิ่งเจิดจ้า และสีดำยิ่งดำสนิท คล้ายกับดวงตาของมันถูกฉาบด้วยสีน้ำมันกะทันหัน


เหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ เมื่อได้สติกลับมาอีกครั้ง ไคลน์รีบมองไปรอบตัวและพบว่า ตนมิได้อยู่ในจุดซ่อนตัวภายในเมืองเล็ก


ด้านข้างคืออะซิก·อายเกสผู้กำลังจ้องมองด้วยสายตาอ่อนโยน


“มิสเตอร์อะซิก…! คุณบาดเจ็บรึเปล่า?”


ไคลน์ซักถามด้วยสีหน้าโล่งใจ


“ก็มีบ้าง” อะซิกตอบเถรตรง “แต่ด้วยพลังของอมรณา บาดแผลแค่จึงนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โต”


ไคลน์พยายามสงบสติ


“เกิดอะไรขึ้นกับอินซ์·แซงวิลล์และ 0-08 บ้างครับ?”


“อินซ์·แซงวิลล์ยังมีชีวิตอยู่ มันยังคงเป็นเจ้าของ 0-08 ตามเดิม” อะซิกกล่าวขณะเดิน


ไคลน์เดิมตามพลางถอนหายใจยาว


“น่าเสียดาย…”


“คุณไม่ต้องกังวล ชายคนนั้นได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส” อะซิกเล่าเสียงขรึม “และเหนือสิ่งอื่นใด พวกเราทราบแล้วว่า มันลอบสมคบคิดกระทำบางสิ่งกับราชวงศ์ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะหามันไม่พบในอนาคต


“ด้วยเหตุนี้ คุณสามารถมีสมาธิกับการพัฒนาตัวเองได้โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ส่วนผมจะเดินทางไปยังดินแดนบางแห่งภายในความทรงจำ บางที อาจได้รับอดีตกลับคืนมาเพิ่มเติม… หึหึ นับว่าคุณยังมีโชค ในช่วงก่อนหน้านี้ ผมแอบจับตามองพฤติกรรมของ MI9 กับทางราชวงศ์มาตลอด เพื่อสังเกตว่าอินซ์·แซงวิลล์กำลังวางแผนใดร่วมกับราชวงศ์ และเมื่อพบว่าคฤหาสน์กุหลาบแดงคือจุดยุทธศาสตร์สำคัญของพวกมัน ผมจึงแฝงตัวในบริเวณดังกล่าวบ่อยครั้ง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางโผล่ออกไปช่วยคุณได้ทันเวลา”


ไคลน์พลันหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อได้ยินความจริงอันน่าตกตะลึง


“มิสเตอร์อะซิก แล้วคุณไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมผมถึงยังรอดชีวิตมาจากเหตุการณ์ในเมืองทิงเก็น”


“ไม่เลย เพราะตัวผมเองก็เคยตื่นขึ้นมาบ่อยครั้งหลังจากนอนในโลงศพ นี่คือส่วนหนึ่งของความทรงจำซึ่งผมทวงคืนกลับมาได้”


อะซิกเล่าพลางยิ้ม ปราศจากการปิดบัง


“ในความทรงจำไม่สมบูรณ์ของผม ถึงแม้การคืนชีพหลังความตายจะไม่ใช่เหตุการณ์ปรกติ แต่ก็สามารถพบเห็นได้เป็นครั้งคราว”


เขามักตื่นขึ้นมาหลังจากนอนในโลงศพบ่อยครั้ง…?


บ่อยครั้ง…?


ไคลน์เริ่มผ่อนคลายเมื่อทราบว่า ในสายตาบุคคลทรงพลัง ความกังวลใจตนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเลยสักนิด


สมกับเป็นอมรณาแห่งเส้นทางเทพมรณา!


หากจำไม่ผิด มิสเตอร์อะซิกเล่าไว้ว่า เขา ‘เคย’ อยู่ในลำดับอมรณามานานหลายปี…


ไคลน์ก้มหน้าครุ่นคิด ก่อนจะถามต่อ


“นั่นสามารถตีความได้ว่า ปัจจุบันได้ก้าวข้ามลำดับอมรณามาแล้ว… มิสเตอร์อะซิก อินซ์·แซงวิลล์จะทราบหรือไม่ว่า ผมเป็นคนเดียวกับไคลน์·โมเร็ตติ”


มันกังวลว่าอีกฝ่ายจะนำความแค้นไปลงกับเบ็นสันและเมลิสซ่าแทน


“คงไม่ อย่างมาก มันอาจเข้าใจว่าพวกเรารู้จักกันมาก่อน ทำนองว่าคุณเป็นสายข่าวของผม”


อะซิกเล่าพลางพยายามทวนความจำ


“อย่างไรก็ตาม สมบัติปิดผนึกระดับ 0 ชิ้นนั้นน่าจะรู้… แต่คุณก็ไม่ต้องเป็นกังวลอยู่ดี”


“ทำไมหรือครับ” ไคลน์ซักไซ้


ชายหนุ่มไม่ทราบว่าอะซิกรื้อฟื้นความทรงแบบใดขึ้นมา แต่สีหน้าของอีกฝ่ายเริ่มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน คล้ายกับพยายามกลั้นขำอยู่


“สมบัติปิดผนึกระดับ 0 ชิ้นนั้นจะจ้องแต่จะเขียนถึงความตายของผู้เป็นเจ้าของ สิ่งนี้น่าจะเป็นผลข้างเคียงด้านลบ และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยประการทั้งปวง ผมจึงเชื่อว่า ปากกาดังกล่าวน่าจะช่วยอำนวยความสะดวกให้พวกเราสักเรื่องสองเรื่อง อาจเป็นการเปิดเผยจุดอ่อนของอินซ์·แซงวิลล์เราให้ได้รับทราบ เพื่อให้เจ้านายของตนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและถูกสังหาร นอกเสียจากจะอยู่ในสภาพแวดล้อมพิเศษซึ่งไม่สามารถทำเช่นนั้นได้”


เมื่อเห็นมิสเตอร์อะซิกแสดงความมั่นใจพร้อมกับอธิบายอย่างกระจ่างชัด ไคลน์ถอนหายใจยาวโดยไม่เคลือบแคลง


ขณะเดียวกัน มันตระหนักว่าตนหายจากอาการไข้หวัดแล้ว


อะซิกเล่าเสริม


“แต่ผมขอแนะนำให้คุณออกจากกรุงเบ็คลันด์ไปก่อนสักพัก บางที อินซ์·แซงวิลล์อาจใช้สมบัติปิดผนึกระดับ 0 ชิ้นดังกล่าวเพื่อแก้แค้นโดยไม่เลือกหน้า และเป้าหมายอาจไม่ใช่ไคลน์ แต่เป็นชื่อปลอมของคุณ”


“ขอเพียงไม่อยู่ในเบ็คลันด์ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับความปลอดภัย สมบัติปิดผนึกระดับ 0 จะมีรัศมีการแสดงผลเป็นทรงกลมขนาดไม่กว้างไปกว่าหนึ่งเมืองใหญ่”


คิดไว้ไม่มีผิด ปากกา 0-08 มีรัศมีการแสดงผลเป็นวงกลมจำกัด…


ไม่อย่างนั้น อินซ์·แซงวิลล์คงหมกตัวอยู่แต่ในทวีปใต้และคอยเขียนกำหนดดวงชะตาของเหยื่อโดยไม่มีใครหาตัวพบ…


ไคลน์ซักถามหลังจากเรียบเรียงคำพูด


“ถ้าอย่างนั้น ผมจะกลับเข้าไปในเบ็คลันด์สักวันหรือครึ่งวันได้ไหม มีบางสิ่งต้องสะสางก่อนออกเดินทาง เช่นการปลอมแปลงตัวตนและใช้ใบหน้าใหม่”


เมื่อสิ้นเสียง ชายหนุ่มใช้มือลูบใบหน้าเพื่อเปลี่ยนกลับไปเป็นไคลน์·โมเร็ตติสมัยยังอยู่เมืองทิงเก็น


อะซิกเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางพยักหน้ารับ


“ไม่มีปัญหา”


ตามด้วยการหันไปมองในจุดห่างออกไป ห่างเสียจนไคลน์มองไม่เห็นว่ามีสิ่งใด


“ดูเหมือนผมจะถูกหมายหัวโดยโบสถ์รัตติกาลเข้าแล้ว ฉะนั้น คุณไม่ควรอยู่ข้างกายผมนานนัก ไม่อย่างนั้นจะถูกดึงเข้ามาพัวพันกับเรื่องอันตราย หึหึ… ดูเหมือนพวกเขาจะสนใจตะกอนพลังเกี่ยวกับเทพมรณามากเป็นพิเศษ”


“ครับ ผมมีแผนล่องทะเลอยู่แล้ว หากย่อยโอสถปัจจุบันเสร็จสมบูรณ์เมื่อใด ผมต้องตามหานางเงือกให้พบ นั่นคือเงื่อนไขในการเลื่อนเป็นลำดับถัดไป” ไคลน์อธิบายแผน


อะซิกเอียงคอ


“นางเงือก? ใช้วิญญาณนางเงือกแทนได้ไหม ผมหาให้ได้ไม่ต่ำกว่าสี่”


“คง… ไม่ได้ครับ…” ไคลน์ใช้มือปาดเหงื่อบนหน้าผาก


สัญชาตญาณของมันบอกว่าไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ แต่ยังไงก็ต้องทำนายยืนยันด้วยห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาอีกที


อะซิกเล่าต่อโดยไม่กลับไปพูดถึงวิญญาณนางเงือก


“หลังจากนี้ ถ้าคุณเดือดร้อนเรื่องใด สามารถติดต่อหาผมได้ทุกเมื่อผ่านผู้ส่งสาร”


ผู้ส่งสาร…!


ไคลน์พลันแสดงสีหน้ารู้สึกผิดพร้อมกับออกท่าทางกระอักกระอ่วน


“ม…มันตายไปแล้วครับ ในการต่อสู้ระหว่างผมมิสเตอร์ A มันช่วยชีวิตผมไว้”


อะซิกชำเลืองเล็กน้อยพลางหัวเราะ


“ฮะฮะ! เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ขอเพียงโลกแห่งความตายยังไม่ถูกทำลาย และมิได้ถูกฆ่าโดยฝีมือเทวทูตหรือตายด้วยวิธีพิเศษ มันสามารถคืนชีพอย่างเชื่องช้าภายในโลกแห่งความตาย โดยระหว่างนั้น ผมยังมีผู้ส่งสารในทำนองเดียวกันอีก… เอ่อ… นับจำนวนไม่ได้เหมือนกัน รู้แค่ว่าเยอะมาก”


คุณกำลังจะบอกว่า คุณครอบครองโครงกระดูกร่างยักษ์ไว้ในจำนวนมหาศาลเทียบกับเท่าหนึ่งกองทัพ?


ไคลน์ทำเพียงอ้าปากค้าง ไม่ทราบว่าควรสนองสองเช่นไร


แต่ประโยคดังกล่าวก็ช่วยบรรเทาความรู้สึกผิดในใจลงได้มากทีเดียว


“มิสเตอร์อะซิกครับ โลกแห่งความตายตั้งอยู่ตรงไหนหรือ”


“ภายในโลกวิญญาณ ระบุให้ชัดคือ เป็นดินแดนพิเศษในโลกวิญญาณซึ่งถูกสร้างโดยเทพมรณาบรรพกาล” อะซิกไม่ปิดบัง


“เทพมรณาบรรพกาล…? หมายถึงต้นตระกูลฟินิกซ์ เกรจารีหรือ? เข้าใจแล้ว… เป็นเพราะโลกแห่งความตายอยู่ในโลกวิญญาณ วิชาศาสตร์เร้นลับพื้นฐานจึงมิได้กล่าวถึงโลกแห่งความตายเอาไว้ โลกใบหลักจึงมีเพียง โลกแท้จริง โลกวิญญาณ และโลกดารา มิได้มีการระบุถึงนรกหรือโลกแห่งความตาย…”


ขณะไคลน์เตรียมตั้งคำถามต่อ มันฉุกคิดบางสิ่งและรีบกล่าวออกไป


“มิสเตอร์อะซิก ผมมีโอกาสได้รับไพ่เย้ยเทพซึ่งถูกสร้างโดยจักรพรรดิโรซายล์ ในนั้นมีความลับของผู้วิเศษลำดับสูงบรรจุอยู่ ผมคิดว่าสิ่งของนี้อาจช่วยคุณฟื้นฟูความทรงจำกลับมาได้บางส่วน แต่คงต้องรอสักพัก เพราะไพ่ดังกล่าวถูกเก็บไว้ในกรุงเบ็คลันด์”


ไคลน์ไม่พูดถึงเงินค่าหัวในการสังหารพลเรือโทโจรสลัด คีลิงเกอร์ เพราะนั่นอาจต้องเปิดเผยข้อมูลของชุมนุมทาโรต์ ห้วงมิติเหนือสายหมอก รวมถึงมิสจัสติส ดังนั้น ชายหนุ่มจึงหวังตอบแทนด้วยทางอื่น


อะซิกจ้องมองชายหนุ่มอย่างประหลาดใจ แต่ไม่แสดงความเห็นใดออกมา เพียงพยักหน้ารับและมอบคำแนะนำ


“หลังจากกลับถึงบ้าน ค่อยฝากไพ่ใบดังกล่าวมาพร้อมกับผู้ส่งสารของผม ไม่ต้องกังวล ผมจะคืนทันทีเมื่อศึกษามันครบทุกซอกมุม หรือถ้าคุณขยัน จะคัดลอกเนื้อหาด้านในส่งมาให้ก็ไม่ถือสา”


มันเว้นวรรคครู่หนึ่ง ราวกับนึกถึงสิ่งสำคัญขึ้นได้ อะซิกล้วงหยิบถุงมือหนังแผ่นบาง คล้ายกับถูกถลกออกจากร่างมนุษย์ทั้งเป็น พลางยื่นมาทางไคลน์


“ความทรงจำของผมฟื้นฟูกลับมาจำนวนหนึ่งแล้ว เจ้านี่จึงไม่จำเป็นอีกต่อไป หึหึ… มันคือสมบัติวิเศษจากพลเรือโทโจรสลัดคนนั้น ผมผนึกผลข้างเคียงไว้บางส่วน ทำให้มันไม่หิวกระหายทุกวัน แต่หากมีการใช้พลังด้านใน คุณต้องป้อนเลือดเนื้อและวิญญาณมนุษย์ภายในวันดังกล่าวโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นมันจะกินคุณแทน”


“…ยุบพองหิวโหย? สมบัติวิเศษจากเส้นทางคนเลี้ยงแกะ?”


ไคลน์ไม่มีวันลืมคุณสมบัติของถุงมือสุดพิสดารข้างนี้


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)