Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 465-468

 ราชันเร้นลับ 465 : ความมุ่งมั่นของเอ็มลิน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อนั่งฟังอย่างตั้งใจสักพัก ไคลน์ประสานมือพลางเอนตัวไปด้านหน้า


“เกี่ยวกับเดอะฟูลยังไง?”


“ข้าพูดมากกว่านี้ไม่ได้” เอ็มลินส่ายหน้า


ด้วยความกังวลว่าอีกฝ่ายอาจระแคะระคาย ไคลน์ตัดสินใจไม่ซักไซ้ เพียงวิเคราะห์ข้อมูลอย่างผิวเผินตามคำบอกเล่าของเอ็มลิน


เป็นเรื่องเกี่ยวกับเดอะฟูล… ช่วยให้เอ็มลินหลุดพ้นจากปัญหา… มีความเสี่ยงสูง…


เมื่อลองนำปัจจัยทั้งหมดมาประกอบเข้าด้วยกัน ดูเหมือนว่าเอ็มลินจะเตรียมประกอบพิธีกรรมวิงวอนถึงเดอะฟูล จุดประสงค์เพื่อขจัดการชี้นำทางใจของหลวงพ่อยูทรอฟสกี้…


แต่เอ็มลินมิได้เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมด้วยตัวเอง ยังมี ‘คนใหญ่คนโต’ คอยให้คำปรึกษาอยู่เบื้องหลัง… เมื่อประเมินว่าแวมไพร์ทระนงตนอย่างเอ็มลินไม่ชื่นชมใครส่งเดช มีโอกาสเป็นไปได้มากว่า คนใหญ่คนโตดังกล่าวคือสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพของเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด…


แล้วทำไมสมาชิกคนสำคัญของผีดูดเลือด ถึงต้องการให้ทายาทอ่อนแออย่างเอ็มลิน เป็นตัวแทนสวดภาวนาถึงเดอะฟูล…? พวกมันกำลังร่วมมือกับชุมนุมแสงเหนืออยู่รึไง…


ไคลน์ยังคงสับสน มันนั่งจ้องหน้าเอ็มลินสักพัก ก่อนจะรำพันติดตลก


คิดว่าฉันจะยอมให้ความฝันของนายเป็นจริงได้ง่ายขนาดนั้นเชียว?


ชายหนุ่มก้มหน้าลังเลราวสองวินาที และตัดสินใจยังไม่มอบคำแนะนำ เพียงทดสอบโน้มน้าวเบื้องต้น


“ในทางสถิติ การสวดวิงวอนถึงตัวตนลึกลับโดยไม่มีข้อมูลมาก่อน… สามสิบจากหนึ่งร้อยรายจะไม่ได้รับการตอบสนอง หกสิบแปดรายต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้ายจนถึงแก่ความตาย หรือไม่ก็แย่กว่านั้น มีเพียงสองรายที่ประสบความสำเร็จ ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ แต่ก็ต้องยอมจ่ายในราคาแสนแพงเช่นกัน”


จากการเป็นนักรบคีย์บอร์ดสมัยโลกเก่า ชายหนุ่มทราบเป็นอย่างดีกว่า หากมีการถกเถียงหาข้อสรุป ฝ่ายใดมีสถิติในเชิงตัวเลขมาแสดงให้เห็น จะสร้างความเชื่อถือได้มากกว่าอีกฝั่งหลายเท่า สิ่งนี้คือลูกไม้ตุกติกเล็กน้อยในการสร้างความได้เปรียบขณะสนทนา และส่วนมากมักมาพร้อมวลียอดนิยมอย่าง ‘เพื่อนให้เล่าฟัง’ ‘ฟังมาอีกที’ หรือไม่ก็ ‘ข้อมูลจากคนวงใน’


เพื่อจะโน้มน้าวเอ็มลินให้คล้อยตาม ไคลน์จำเป็นต้องกุสถิติขึ้นมาอ้างให้สมจริง


อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเมื่อครู่มิได้เลื่อนลอยเสียทั้งหมด เป็นการอ้างอิงสถิติจากเอกสารลับสมัยทำงานกับเหยี่ยวราตรี


“สำเร็จแค่สองรายเองหรือ… แถมยังเกิดปัญหามากถึงหกสิบแปดราย?” เอ็มลินพลันสั่นเทา มันอดเลื่อนมือขึ้นมาสางผมไม่ได้


“นั่นคือค่าพื้นฐาน ยังมีปัจจัยด้านเหตุผลในการสวดวิงวอนรวมอยู่ด้วย หากนายมีเจตนาร้าย โอกาสประสบเคราะห์กรรมก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมาก”


ไคลน์ตอบกลับด้วยสีหน้า ‘จริงใจ’


เอ็มลินรีบส่ายหัว


“ไม่ใช่ ข้าไม่มีเจตนาร้าย ถ…แถมคนใหญ่คนโตยังรับปากว่าจะคอยปกป้องขณะประกอบพิธีกรรม”


ไม่มีเจตนาร้าย? หืม… ต่อให้นายไม่มีเจตนาร้าย แต่คนข้างหลังนายก็ไม่แน่…


เหนือสิ่งอื่นใด เอ็มลินเป็นเพียงทหารเลวในแนวหน้าซึ่งแม่ทัพส่งมาตายชุดแรกเพื่อหยั่งเชิง…


ไคลน์ยกมือขวาขึ้นพร้อมกับออกท่าทางเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้คำพูด


“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ความเสี่ยงก็จะลดลงมาก แต่ยังไม่กลายเป็นศูนย์อยู่ดี แล้วก็… คนใหญ่คนโตของคุณ เตรียมรับมืออันตรายจากตัวตนลึกลับได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่หรือ”


“ก็… คงไม่” เอ็มลินตอบตะกุกตะกัก


“ถ้าอย่างนั้น…” ไคลน์ผายมือ


ตามด้วยการเผยรอยยิ้ม


“เอ็มลิน คุณไม่จำเป็นต้องนำตัวเองเข้าไปเสี่ยงเลยสักนิด ถึงจะกลายเป็นสาวกของโบสถ์พระแม่ธรณีแล้วยังไง ชีวิตคุณก็ไม่ได้แย่ลงสักหน่อย ดูตัวอย่างได้จากชาวเมืองเฟเนพ็อต พวกเขายังสามารถกิน ดื่ม เที่ยว แต่งตัวได้ตามปรกติไม่ใช่หรือ เมื่อวันนั้นมาถึง ผมเชื่อว่าหลวงพ่อยูทรอฟสกี้จะเลิกบังคับให้คุณไปช่วยงานในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว และนั่นคือจุดเริ่มต้นของอิสรภาพ และเหนือสิ่งอื่นใด ผมเชื่อว่าคุณคงศึกษาตำราไปพอสมควรแล้ว คงตระหนักได้ว่าคำสอนของโบสถ์พระแม่มิได้เลวร้ายขนาดนั้น”


เอ็มลิน·ไวท์ทำหน้าเคร่งเครียดสักพัก


“การเป็นสาวกของท่านเพราะศรัทธาในคำสอนและความเชื่อ ไม่เหมือนกับการเป็นสาวกเพราะถูกบังคับด้วยการชี้นำทางใจ… แม้ว่าสักวันหนึ่ง ข้าจะทอดทิ้งจันทราและหันไปนับถือพระแม่ธรณี แต่ก็หวังว่านั่นจะเป็นการตัดสินใจด้วยตัวเอง มิใช่เพราะถูกปัจจัยภายนอกรบเร้า นี่เป็นศักดิ์ศรีสุดท้ายของผีดูดเลือดอันสูงส่ง”


ไคลน์จ้องเอ็มลินด้วยสีหน้าประหลาดใจเป็นเวลานาน ชายหนุ่มคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยึดมั่นเช่นนี้


หลังจากครุ่นคิดสองสามวินาที ชายหนุ่มตัดสินใจเลิกโน้มน้าวเอ็มลิน ทำเพียง ‘หึ’ ในลำคอและกล่าวต่อ


“ปัญหาไม่ซับซ้อน อุปสรรคสุดท้ายคือความกล้าของคุณ เพราะในเมื่อเป็นคำสั่งจากคนใหญ่คนโต รวมถึงเป็นความต้องการจะขจัดการชี้นำทางใจของตัวเอง ไม่ว่าอย่างไร คุณก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ‘ทำ’ คำถามก็คือ คุณกล้าเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับอนาคตอันสดใสหรือไม่ สำหรับเรื่องนี้ ไม่มีใครตอบคำถามได้ดีกว่าตัวคุณอีกแล้ว”


เอ็มลินนั่งฟังด้วยสีหน้าดำมืด พลางใช้น้ำเสียงเชิงโต้แย้ง


“เจ้ากำลังเข้าใจผิด หากข้าเลือก ‘ทำ’ ประโยชน์จะไม่ได้ตกอยู่กับข้าผู้เดียว แต่เป็นเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดทั้งหมด! การขจัดปัญหาส่วนตัวเป็นเพียงผลพลอยได้ผิวเผินเท่านั้น!”


เพื่อช่วยเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดทั้งหมด? เดอะฟูลเก๊อย่างเราจะช่วยอะไรผีดูดเลือดได้…


ไม่ผิดแน่ คนใหญ่คนโตคงกำลังหลอกใช้นายด้วยจุดประสงค์บางอย่าง…


ไคลน์เย้ยหยัน


“แล้วทำไมคุณถึงยอมเชื่อว่า ลำพังแวมไพร์หนุ่มอ่อนแอตนหนึ่ง จะเปลี่ยนโชคชะตาของทั้งเผ่าพันธุ์ได้สำเร็จ”


“ผีดูดเลือด! ผีดูดเลือด!” เอ็มลินเน้นเสียงหนักแน่น “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่ได้อ่อนแอ! พลังของข้าเทียบเท่ามนุษย์ผู้วิเศษลำดับ 7 แถมยังเป็นเส้นทางเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้!


“เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็เชิญ ข้าไม่สน”


แวมไพร์หนุ่มลุกขึ้นยืนและกล่าวส่งท้าย


“แม้ว่าคำแนะนำของเจ้าจะไร้ประโยชน์ แต่ข้าก็คงต้องกล่าวขอบคุณ แล้วก็… สำหรับค่าปรึกษา หักเอาจากกระเป๋าเดินทางและกล่องดีบุกของข้าก็แล้วกัน”


“หือ…?” ไคลน์คิดตามไม่ทันในตอนแรก


จนกระทั่งเอ็มลินเดินออกจากบ้าน ชายหนุ่มจึงค่อยตระหนักได้เมื่อสาย


โดยทั่วไปแล้ว ภาชนะบรรจุสินค้าระหว่างการแลกเปลี่ยนต้องไม่ถูกคิดเงินไม่ใช่หรือ…


ไอ้แวมไพร์บัดซบ!



ท่ามกลางความมืดมิดซึ่งระลอกสายฟ้ายังหวนกลับมาไม่ถึง ทีมสำรวจจากเมืองเงินพิสุทธิ์เดินทางมาถึงบริเวณด้านหน้าซากปรักหักพังวิหารอย่าง ‘ตรงเวลา’


เดอร์ริคยังจำได้แม่นยำ ในภารกิจสำรวจครั้งแรก ตะเกียงหนังสัตว์ในมือทุกคนเกิดดับลงกะทันหัน ความมืดแผ่ปกคลุมบรรยากาศอย่างเข้มข้น มาพร้อมกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเด็กเล็กอันน่าขนลุก


หลังจากปรึกษากับสมาชิกชุมนุมทาโรต์และได้ข้อสันนิษฐานว่า เหตุการณ์รอบตัวทีมสำรวจน่าจะเกิดจาก ‘วังวันกระแสเวลา’ และถ้าเดาไม่ผิด บริเวณแถบนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรดังกล่าว… แต่ทำไมเราถึงลืมตาตื่นในค่ายพัก ไม่ใช่ตรงนี้?


ขณะทบทวนข้อมูลจากชุมนุมทาโรต์ เด็กหนุ่มตัดสินใจประสานมือใต้จมูกพร้อมกับสวดภาวนาตามคำแนะนำของแฮงแมน


แสงสีขาวบริสุทธิ์พลันสว่างออกจากลำตัวเดอร์ริค ส่งผลให้โจชัวและสมาชิกคนอื่นต่างรีบตั้งท่าเตรียมต่อสู้


“เกิดอะไรขึ้น?” นักล่าปีศาจโคลินซักถามเสียงทุ้ม


เดอร์ริคเหลียวซ้ายแลขวาด้วยสีหน้า ‘ตื่นตระหนก’ ก่อนจะรีบรายงาน


“ท่านเจ้าเมือง ผมได้ยินเสียงเด็กร้องว่า ‘ช่วยด้วย… ช่วยด้วย…’ ”


มันต้องการทดสอบให้แน่ใจว่า บริเวณจะใช่ ‘กุญแจ’ หรือไม่


“ยังได้ยินอยู่ไหม” โคลินขมวดคิ้วถาม


“ไม่แล้วครับ” เดอร์ริคพยายามเงี่ยหูฟังและมอบคำตอบอย่างฉะฉาน


นักล่าปีศาจโคลินชำเลืองไปทางโจชัวและคนอื่นพร้อมกับซักถาม


“มีใครได้ยินอีกไหม”


“ไม่ครับ” ทีมสำรวจส่ายหน้าพร้อมกัน


หลังจากครุ่นคิดหลายสิบวินาที โคลินตัดสินใจหยิบขวดสีน้ำเงินเข้มออกจากช่องเข็มขัด พร้อมกับเคลือบของเหลวเหนียวหนืดปราศจากสี ลงบนคมดาบ


จากนั้นก็เสียบดาบลงพื้น


เพียงพริบตา ท้องฟ้าพลันสว่างไสวไปด้วยริ้วแสงสีเทาเข้มข้น ‘อสรพิษแสง’ สีเงินจำนวนมหาศาล พุ่งออกจากใบดาบและเลื้อยขดเป็นเกลียว กระจายตัวไปยังทุกซอกมุม


แสงสีเงินแผ่โอบล้อมสมาชิกทุกคนอย่างทั่วถึง ทิวทัศน์รอบตัวกำลังสว่างไสวราบกับความมืดมิดถูก ‘ลบ’ ออกไปอย่างสมบูรณ์


ท่ามกลางเสียง ‘ฟ่อ’ อสรพิษแสงพุ่งหายไปในความว่างเปล่า ไม่มีใครทราบว่าปลายทางคือแห่งหนใด


เหตุการณ์จบลงอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงแสงสลัวจากตะเกียงหนังสัตว์ คอยมอบความสว่างให้ทีมสำรวจ


โคลินหรี่ตาลง ท่าทางคล้ายกับพยายามสัมผัสถึงตัวตนของบางสิ่ง


ผ่านไปห้าวินาทีเต็ม เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ชี้นิ้วไปทางด้านหน้าและกล่าว


“หลังจากเข้าไปข้างใน ทุกคนต้องเข้าสู่ภาวะพร้อมรบตลอดเวลา ห้ามประมาทหรือใจลอยโดยเด็ดขาด”


พูดเหมือนเดิมไม่มีผิด… เรายังออกจากวังวนกระแสเวลาไม่ได้… จุดนี้ไม่ใช่กุญแจ…


เดอร์ริคพยายามข่มสติขณะเดินตามทีมสำรวจเข้าไปในซากปรักหักพังของวิหาร


เนื่องจากมีบทเรียน เด็กหนุ่มไม่ก้มลงไปมองใบหน้าของเทวรูปพระผู้สร้างเสื่อมทราม โดยหลังจากสำรวจภายในห้องโถงเสร็จ เดอร์ริคอาสานำทีมลงไปสำรวจจิตรกรรมฝาผนังภายในชั้นใต้ดินด้วยท่าทางกระตือรือร้น


มือข้างหนึ่งถือตะเกียง อีกข้างคือขวานเฮอร์ริเคน มันนำทางกลุ่มย่อยของตนสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างรวดเร็ว


หลังจากเคลื่อนตัวผ่านแนวกำแพงผุพังแผ่นแล้วแผ่นเล่า เดอร์ริคพาตัวเองมาถึงเป้าหมายได้ตามความตั้งใจสักที


ยิ่งตะเกียงเข้าใกล้กับผนัง ภาพวาดด้านบนก็ยิ่งสว่างคมชัด


เดอร์ริคมองไปตรงมุมภาพและพบกับประโยคในความทรงจำ


กุหลาบไถ่บาป… มันพึมพำพลางยกตะเกียงส่องภาพวาด เพื่อจะได้สำรวจรายละเอียดอย่างชัดเจน


ด้านบนสุดของภาพวาดคือไม้กางเขนสีดำขนาดใหญ่ เงาดำของใครบางคนกำลังห้อยลงมาในสภาพกลับหัว


เบื้องล่างเป็นทะเลทรายแห้งแล้ง


ใจกลางทะเลทรายมีกลุ่มคนกำลังต่อแถวยาวเหยียด หัวแถวคือเชิงเขาห่างไกล บนจุดยอดภูเขาคือจุดปักไม้กางเขนใหญ่สีดำ


ท่ามกลางแถวยาว ใครบางคนกำลังคุกเข่าสวดวิงวอนด้วยสีหน้าเทิดทูน บางกลุ่มกำลังเดินฝ่าลมพายุกระโชก เพื่อไปให้ถึงภูเขาลูกใหญ่ข้างหน้า


ใบหน้าผู้คนถูกวาดอย่างหยาบ มิได้ลงรายละเอียดมากนัก ประหนึ่งต้องการเน้นย้ำให้เห็นเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเสียมากกว่า มีเพียงใบหน้าของผู้นำด้านหน้าสุดซึ่งยังกระจ่างชัด


เพศชาย ตัวสูงผอม ผมสีเงินยาวถึงหลัง


ใบหน้าอ่อนโยน ศีรษะก้มต่ำ ดวงตาปิดสนิททั้งสองข้าง บนแผ่นหลังมีปีกกว่าสิบคู่ซ้อนทับกันจนนับไม่ถ้วน


เทวทูต…! เทวทูตในตำนาน!


เดอร์ริคพยายามเก็บรายละเอียดรอบตัว ‘ผู้นำ’ ในภาพวาดด้วยสีหน้าตื่นเต้น


ถัดมา มันได้พบแม่น้ำซึ่งกำลังกระเพื่อมแผ่วเบาใต้ฝ่าเท้าของชายผู้น่าจะเป็นเทวทูต


แม่น้ำมีลักษณะคดเคี้ยว แต่สุดท้ายก็กลับมาบรรจบในจุดเดิมอย่างสมบูรณ์


วังวน…! นี่คือต้นกำเนิดวัฏจักร?


เดอร์ริคพลันทราบทันทีว่าตนกำลังค้นพบเบาะแสสำคัญ


…ท่ามกลางวังวนแห่งกระแสเวลา เรากลับได้พบสายน้ำบรรจบครบรอบ ภายในจิตรกรรมฝาผนังบนกำแพงวิหาร!


ต้องเป็นคำบอกใบ้ของบางสิ่งแน่!


เดอร์ริคตั้งใจสำรวจเทวทูตผมสีเงินเจ้าของปีกนับสิบคู่อย่างตั้งใจ และพบว่าใบหน้าแสนอ่อนโยนแต่เย็นชาของอีกฝ่าย กำลังก้มลงคล้ายกับจ้องมองแม่น้ำ ประหนึ่งแม่น้ำสายนี้คือลำธารแห่งโชคชะตา


นี่คือความหมายแท้จริงในคำบอกใบ้ของมิสเตอร์ฟูล?


เดอร์ริคยืนครุ่นคิดสักพักก่อนจะตัดสินใจทำบางสิ่ง หากมันทำสำเร็จ ความผิดปรกติของตนจะถูกโยนให้กับเด็กชายแจ็ค แต่ถ้าล้มเหลว เมื่อวังวนกลับไปเริ่มต้นใหม่ ทุกคนก็จะลืมว่าเกิดอะไรขึ้นไปบ้าง!


ภายใต้สายตาตกตะลึงของพวกพ้อง เด็กหนุ่มเล็งสับขวานเฮอร์ริเคนใส่ ‘แม่น้ำ’ บนจิตรกรรมฝาผนังอย่างแม่นยำ


คมขวานพลันสว่างวาบ เป็นสัญญาณว่าพลังพิเศษของมันทำงาน สายฟ้าสีเงินฟาดลงจากเบื้องบนและตกลงบนขวาน


……………………


ราชันเร้นลับ 466 : ผู้กลืนหาง

โดย

Ink Stone_Fantasy

โครม!


ขวานในมือเดอร์ริค อันกำลังถูกห่อหุ้มด้วยสายฟ้าสีเงิน ฟันสับเข้าใส่ภาพแม่น้ำในจิตรกรรมฝาผนังจนเกิดเป็นร่องลึก เศษหินร่วงกราวกระจัดกระจาย


เพียงการสับครั้งเดียว แม่น้ำก็ถูกตัดขาดออกจากการอย่างสมบูรณ์


ขณะกำลังยืนรอให้วังวนกระแสเวลาถูกทำลายและปล่อยทุกคนเป็นอิสระ ร่างของนักล่าปีศาจโคลินพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเด็กหนุ่มกะทันหัน


อีกฝ่ายกล่าวด้วยแววตาดุดันขึงขัง


“คุณคิดจะทำอะไร”


ปลายดาบอาจชี้ลงล่าง แต่ฝ่ามือของโคลินกำลังบีบด้ามจับแน่น


เดอร์ริคอาศัยบทเรียนจากชุมนุมทาโรต์ มอบคำตอบกลับไปด้วยสีหน้าสับสนแกมหวาดผวา


“ท…ท่านเจ้าเมือง เมื่อครู่มีเงาดำพุ่งผ่านหน้าผมไป เป็นเงาดำรูปร่างคล้ายเด็ก!”


โคลินส่งเสียงถามสมาชิกด้านหลังโดยไม่เบือนหน้าหนีจากเดอร์ริค


“ฮาอิม คุณเห็นรึเปล่า”


สมาชิกทีมสำรวจนามฮาอิมขยับตัวเข้าใกล้โคลิน พร้อมกับมอบคำตอบอย่างมั่นใจ


“ไม่ครับ ผมไม่เห็นอะไรเลย”


ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาสีฟ้าอ่อนของโคลินเริ่มส่องแสง กระจกตาปรากฏอักขระโบราณซับซ้อนสีเขียวเข้ม


ในสภาพดังกล่าว มันยืนจ้องเดอร์ริคนานถึงห้าวินาที


จนกระทั่ง โคลินเบือนหน้าไปทางอื่นและกล่าวเสียงเรียบ


“นี่คือภารกิจสำรวจครั้งแรกของคุณ ย่อมมองเห็นภาพหลอนเป็นเรื่องปรกติ ฉะนั้น คุณคอยมาอยู่ข้างผม อาจทำให้จิตใจสงบได้มากกว่า”


“ครับ ท่านเจ้าเมือง” เดอร์ริคขานรับขึงขังและปราศจากความลังเล


ขณะเดียวกัน มันยืนยันได้ว่า ภาพวาดดังกล่าวไม่ใช่กุญแจสำหรับฝ่าวังวนกระแสเวลา


วลีกุหลาบไถ่บาปของมิสเตอร์ฟูลคงซ่อนความหมายลึกซึ้งเอาไว้ เราคิดง่ายเกินไป…


เดอร์ริคเดินสำรวจเคียงข้างโคลินอย่างเงียบงันพร้อมกับขวาเฮอร์ริเคนในมือ


เหตุการณ์หลังจากนี้ไม่แตกต่างความทรงจำในอดีตมากนัก ทุกคนมีพฤติกรรมแบบเดิม สำรวจในจุดเดิม จนกระทั่งผ่านเข้ามาถึงโถงสีเทาห้องเดิม และได้พบเด็กชายแจ็คคนเดิม ผู้มีผมสีเหลือง กำลังขดตัวด้านหลังเทวรูปและแท่นบูชาขนาดใหญ่


มันเคยเห็นฉากแบบนี้มาแล้วห้าครั้ง


เมื่อได้ยินเสียงร้อง ‘ช่วยด้วย… ช่วยด้วย…’ และร่างของเด็กชาย โคลินผงกศีรษะเล็กน้อยพลางคลายความสงสัยในตัวเดอร์ริค


ขณะเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์กำลังยืนเรียบเรียงคำพูด เดอร์ริคชิงถามแทรก


“พวกเราจะช่วยเจ้าได้อย่างไร”


แจ็คเผยสีหน้ายินดีปรีดา


“ช่วยด้วย! ช่วยพาผมกลับบ้าน! ช่วยพาผมกลับบ้าน!”


“แล้วบ้านเจ้าอยู่แห่งหนใด” เดอร์ริคซักถามด้วยสีหน้าสงสัยกึ่งระแวง


เมื่อเห็นฉากตรงหน้า โคลินทำเพียงปิดปากเงียบและเริ่มกำด้ามดาบแน่น


แจ็คทำไม้ทำมือขณะตอบ


“บ้านของผมอยู่ข้างท่าเรือเอ็นมาร์ท!”


ท่าเรือเอ็นมาร์ท… แม้ว่ามิสเตอร์แฮงแมนจะไม่เคยเอ่ยถึง แต่ลำพังคำว่า ‘ท่าเรือ’ ก็เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่า แจ็คไม่ใช่คนบนดินแดนต้องสาปแห่งนี้… เขาน่าจะมาจากโลกภายนอก มาจากดินแดนซึ่งมีอาณาจักรโลเอ็นของมิสจัสติสและคนอื่น!


เดอร์ริคเริ่มตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่


ท่าทีของเด็กหนุ่มมิได้ทำให้นักล่าปีศาจโคลินประหลาดใจนัก เนื่องจากเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์สุดทรงพลังก็ไม่เคยเห็นทะเลมาก่อนเช่นกัน มันเพียงได้อ่านจากหนังสือโบราณและทราบว่า ‘ทะเล’ ใหญ่กว่า ‘ทะเลสาบ’ หลายเท่า รวมถึงยังเคยอ่านพบคำว่า ‘ท่าเรือ’ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับทะเล


ถ้อยคำของเด็กชายได้เติมเต็มจินตนาการเอายาวนานของโคลิน·อีเลียด ผู้ดิ้นรนหาทางอยู่รอดให้เมืองเงินพิสุทธิ์มานานหลายปี


มันซักถามต่อไปโดยไม่สนใจสิ่งอื่น


“เจ้าหรือพวกพ้องของเจ้า เดินทางมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร”


แจ็คทำหน้านึก


“พ่อพาผมขึ้นเรือเล็กออกทะเล จากนั้น พวกเราได้พบกับเพื่อนของพ่อและเริ่มเดินทางต่อด้วยเรือใหญ่ ระหว่างทางได้เผชิญพายุขนาดมหึมา พวกเราทุกคนตื่นขึ้นบนดินแดนแห่งหนึ่ง ทุกคนเดินตามทิศทางการมองของพระองค์ จนกระทั่งมาถึงวิหารแห่งนี้”


“เดินตามทิศทางการมองของพระองค์?”


นักล่าปีศาจโคลินและสมาชิกทีมสำรวจต่างหันไปจ้องเทวรูป พวกมันพยายามวิเคราะห์ว่า ปลายทางของสายตากำลังมองไปยังแห่งหนใด


ผ่านไปสักพัก โคลินเริ่มได้ข้อสรุป


หากบุคคลภายนอกเดินตามทิศทางสายตาของเทวรูปมาถึงตรงนี้ได้ หมายความว่า ถ้าเรากระทำในสิ่งย้อนกลับ ก็จะทราบว่าพวกเขาเข้ามาจากชายฝั่งทางไหน…


ทิศทางตรงกันข้ามกับสายตาของเทวรูป…


โคลินกำลังจินตนาการแผนผังของจุดสำคัญรอบเมืองเงินพิสุทธิ์ในหัว ข้อมูลนี้ถูกรวบรวมจากประสบการณ์สำรวจอันยาวนานของเมืองเงินพิสุทธิ์ และไม่กี่อึดใจถัดมา นักล่าปีศาจโคลินสามารถวาดเส้นทางการผจญภัยของเด็กชายตรงหน้าได้ชัดเจน


หากไม่มีวิหารอื่นหรือเทวรูปคั่นกลาง คณะเดินทางของเด็กคนนี้จะตรงมาจากซากปรักหักพังของวังราชาคนยักษ์!


ดวงตาโคลินพลันสั่นระริก


ณ ตรงนั้นคือวังของเทพบรรพกาล ราชาคนยักษ์ เออร์เมียร์ และยังอยู่ไม่ห่างจากเมืองเงินพิสุทธิ์มากนัก!


ในฐานะทายาทของอาณาจักรเงินพิสุทธิ์ซึ่งเคยถูกคนยักษ์ปกครองมาหลายชั่วอายุคน โคลินย่อมทราบว่าวังราชาคนยักษ์อยู่ในบริเวณใด แต่ปัจจุบัน เมืองเงินพิสุทธิ์ยังมิอาจดำเนินการสำรวจได้อย่างละเอียด เพราะด้านในเต็มไปด้วยอันตรายเหนือความคาดหมาย น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าการถูกความมืดมิดครอบงำเสียอีก!


จากการคาดคะเนของโคลิน เด็กชายปริศนาและพวกพ้อง จะต้องเดินทางผ่านวังราชาคนยักษ์ก่อนมาถึงวิหารแห่งนี้แน่


พวกเขาผ่านเขตวังมาได้อย่างไร…ไม่สิ บางทีอาจใช้วิธีเดินอ้อม…แต่ไม่ว่าจะวิธีไหน ‘ทะเล’ ต้องอยู่ด้านหลังวังราชาคนยักษ์แน่นอน และอีกฟากของทะเลคืออาณาจักรมนุษย์ภายนอก…


นี่คือทางรอดของเมืองเงินพิสุทธิ์ใช่ไหม…


โคลินครุ่นคิดในหลายสิ่ง


ขณะเดียวกัน เดอร์ริคเริ่มสังเกตเห็นว่า เสื้อผ้าบริเวณหน้าอกของเด็กชายแจ็คมีสีแดงเข้มในลักษณะเปียกชุ่ม ราวกับมีของเหลวบางชนิดไหลออกมาทีละนิดอย่างต่อเนื่อง


“เจ้าบาดเจ็บอยู่หรือ” เด็กหนุ่มซักถาม


แจ็คก้มหน้าลงและตอบเสียงสั่น


“ส…สิ่งน่ารังเกียจกำลังเติบโตในนี้…”


เมื่อสิ้นเสียง เด็กชายถอดเสื้อและเผยให้เห็นหน้าอกเปลือยเปล่า


แต่ผิวหนังบนหน้าอกกลับมีดวงตาจำนวนสองข้าง จมูกหนึ่ง และปากหนึ่ง รวมกันเป็นใบหน้ามนุษย์อย่างครบถ้วน!


สิ่งนี้มิใช่ภาพวาดหรือการฝังอัญมณีให้มีลักษณะคล้ายคลึงใบหน้ามนุษย์ แต่ทั้งหมดคือตาของคนจริง จมูกจริง และปากจริง!


ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนอวัยวะทั้งหมดจะไม่ได้มาจากคนคนเดียวกัน ดวงตามาจากคนหนึ่ง จมูกจากอีกคน และปากจากอีกคน รวมทั้งหมดเป็นสามคน


เดอร์ริคพลันจินตนาการว่า แจ็คได้กินพวกพ้องเข้าไปจำนวนสามคน และนำตา จมูก ปาก มาเรียงกันเป็นใบหน้าใหม่บนหน้าอก!


แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดี ใบหน้าดังกล่าวกลับแผ่กลิ่นอายความอ่อนโยนและเย็นชา มอบความรู้สึกคุ้นเคยให้กับเดอร์ริคอย่างน่าประหลาด


ผ่านไปราวสองวินาที เด็กหนุ่มเริ่มนึกขึ้นได้ว่าความคุ้นเคยดังกล่าวมีต้นตอมาจากไหน


ใบหน้าบนอกเด็กชายแจ็คช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ ‘เทวทูต’ บนจิตรกรรมฝาผนังข้างข้อความ ‘กุหลาบไถ่บาป’ มาก!


เป็นใบหน้าของเทวทูตผู้มีเส้นผมสีเงินยาวถึงหลัง และใต้ฝ่าเท้ามีสายน้ำไหลบรรจบครบหนึ่งรอบถ้วน!


ไม่ผิดแน่ พวกเราติดอยู่ในวังวนกระแสเวลาเพราะฝีมือของเทวทูตตนนั้น!


ความคิดหนึ่งพลันแล่นเข้ามาในหัวเดอร์ริค เมื่อตั้งสติได้ เด็กหนุ่มรีบโพล่งถ้อยคำออกไป ราวกับเป็นคาถาสำหรับขจัดปัดเป่าภยันตราย


“กุหลาบไถ่บาป!”


ได้ยินเช่นนั้น แจ็คเงยรีบหน้ามองเดอร์ริค ตามด้วยการฉีกยิ้มกว้างไปถึงใบหู


“หิว…หิวจังเลย…”


“…” เดอร์ริคทำได้เพียงยืนผงะ


เหตุการณ์ถัดมาเป็นการต่อสู้ตามปรกติ ไม่ผิดไปจากความทรงจำเดิมแม้แต่น้อย


เมื่อได้สติกลับมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มรีบมองไปรอบตัวและพบกับกองไฟ รวมถึงพวกพ้องซึ่งกำลังยืนเวรยามเฝ้าค่าย


กุหลาบไถ่บาปไม่ใช่คาถาปลดผนึก…


มันเน้นย้ำในใจ


เมื่อภารกิจสำรวจรอบเจ็ดเริ่มต้นขึ้น หนนี้เดอร์ริคไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ เพียงเดินนำทีมของตนเข้าไปสำรวจจิตรกรรมฝาผนังข้างวลีกุหลาบไถ่บาปอย่างละเอียด


เมื่อเสร็จการสำรวจด้านนอก ทุกคนเดินเข้าไปในโถงใหญ่แท่นบูชาตามกำหนดการปรกติ และไม่นานก็ได้พบกับเด็กชายแจ็ค


บทสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่นเช่นเคย จนกระทั่งถึงเหตุการณ์เด็กชายแจ็คถอดเสื้อ เผยให้เห็นใบหน้าคล้ายกับถูกรวมจากสามบุคคล


แต่คราวนี้ เดอร์ริคมีประสบการณ์มาแล้ว มันไม่ทำให้แจ็คแตกตื่น เพียงพูดคุยอย่างเป็นกันเองและหันไปกระซิบกับนักล่าปีศาจโคลิน


“ท่านเจ้าเมือง ใบหน้าบนตัวเขาคล้ายกับใบหน้าของเทวทูตในจิตรกรรมฝาผนังด้านบนมากครับ เทวทูตตนดังกล่าวมีผมสีเงินยาว ใต้ฝ่าเท้ามีแม่น้ำบรรจบ ข้างภาพวาดมีข้อความเขียนไว้ว่า ‘กุหลาบไถ่บาป’ ”


โคลินทำหน้าประหลาดใจ ก่อนจะขมวดคิ้วชนกัน


ขณะแสร้งคุยกับแจ็คอย่างเป็นมิตร หางตาโคลินแอบเหลือบมองเดอร์ริค


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์บีบเสียงให้เล็กลงและกระซิบกับเด็กหนุ่ม


“คำพูดเมื่อครู่ของคุณ ช่วยให้ผมนึกถึงเรื่องสำคัญบางสิ่ง”


โดยไม่รอให้เดอร์ริคถาม


“สภาอาวุโสเคยศึกษาภาพวาดดังกล่าวอยู่นานและได้ข้อสรุปว่า เทวทูตในภาพคือผู้นำของคณะจาริกแสวงบุญ บางทีอาจมีชื่อกลุ่มว่ากุหลาบไถ่บาป เดิมที พวกเราตีความหมายของแม่น้ำไหลบรรจบครบรอบไว้ว่า เป็นการวนเวียนแสวงบุญหนแล้วหนเล่า แต่เมื่อครู่ ผมสามารถระบุตัวตนของเทวทูตตนดังกล่าวได้อย่างคร่าว เมื่อนำข้อมูลทั้งหมดในมือมารวมกัน มีทั้งข้อมูลจากคุณ และข้อมูลจากเหตุการณ์อามุนด์ใช้ร่างแยกสิงในตัวคุณ”


“เกี่ยวกันยังไงหรือครับ” เดอร์ริคไม่เข้าใจ


โคลินมองแจ็คพลางเล่าต่อ


“ซากหนอนของอามุนด์มีสัญลักษณ์ของกาลเวลา และภาพแม่น้ำไหลบรรจบครบรอบคือสัญลักษณ์ของโชคชะตา เมื่อนำมารวมเข้าด้วยกัน ผมหวนนึกถึงรายละเอียดในหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง ซึ่งยังเพียงทฤษฎี ไม่มีการรับรองความถูกต้อง เมื่อมหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง มหาเทพผู้รังสรรค์ทุกสิ่งจากต้นกำเนิด ถือกำเนิดขึ้นบนโลก ท่านมีเทวทูตมากมายรายล้อมรอบกาย ในบรรดาเทวทูตจะมีผู้นำซึ่งโดดเด่นกว่าใคร โดยเหล่าผู้นำจะถูกเรียกว่า ‘ราชาเทวทูต’ ราชาเทวทูตมีทั้งหมดแปดตน ชื่อของหลายตนสูญหายไปตามกาลเวลา มีการบันทึกรายละเอียดของราชาเทวทูตไว้เพียงบางตนเท่านั้น บ้างละเอียดชัดเจน และบ้างเป็นแค่รายละเอียดอย่างคร่าว ตามตำนานกล่าวไว้ว่า บุตรแห่งพระองค์เองก็เป็นหนึ่งในราชาเทวทูตเหล่านี้ จากเทวทูตทั้งแปดตน มีสองตนได้รับสมญานามว่า ‘เทวทูตกาลเวลา’ และ ‘เทวทูตโชคชะตา’ ”


เดอร์ริคพลันกระจ่าง ก่อนจะถามย้ำเพื่อความแน่ใจ


“ท่านเชื่อว่าอามุนด์คือเทวทูตกาลเวลา และบุคคลในภาพวาดคือเทวทูตโชคชะตา?”


“ผมยังไม่แน่ใจ ด้านเทวทูตกาลเวลาถูกบันทึกไว้เพียงชื่อ แต่ในทางกลับกัน เทวทูตโชคชะตานั้นมีข้อมูลค่อนข้างละเอียด…”


โคลินเว้นวรรคเพื่อสูดลมหายใจ


ตามด้วยการกล่าวเสียงขรึม


“เทวทูตโชคชะตา…ผู้กลืนหาง โอโรโบรอส”



ณ ยามเย็นภายในห้องใต้ดินของคฤหาสน์ตระกูลโอดรา


เอ็มลิน·ไวท์เพ่งมองโลงศพเหล็กพลางกล่าวกับผีดูดเลือดแก่ชราด้านใน


“ลอร์ดนีบาส กระผมยินดีทำภารกิจของท่านบรรพชน!”


นีบาสตอบด้วยเสียงชรา


“ตัดสินใจได้ดี แล้วเจ้าจะเริ่มเมื่อไร มีสิ่งใดยังค้างคาใจหรือไม่ได้สะสางบ้างไหม”


“…”


เมื่อได้ยินนีบาสถามถึงความปรารถนาสุดท้าย แข้งขาเอ็มลินพลันอ่อนระทวย ภายในใจรู้สึกอยากถอนคำพูด


แวมไพร์หนุ่มเกร็งคอเค้นเสียง


“ไม่จำเป็นขอรับ เริ่มกันได้เลย!”


……………………


ราชันเร้นลับ 467 : เลื่อนการตอบสนอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เหนือโลงศพสีดำสลักลวดลายซับซ้อนใจกลางห้องสีเทา อากาศด้านบนกำลังสั่นกระเพื่อมแผ่วเบาและปราศจากสุ้มเสียง


เอ็มลิน·ไวท์ยืนตรงมุมห้อง ทำการจุดเทียนไขและดำเนินไปตามกระบวนการปรกติของพิธีกรรม ก่อนจะเริ่มเทน้ำมันสกัดกับผงสมุนไพรลงไปบนเปลวเทียนวูบวาบ


อากาศเข้มข้นและล่องลอยเริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง หลังจากแวมไพร์หนุ่มนั่งทบทวนขั้นตอนในการเข้าสู่ภาวะ ‘ละเมอเทียม’ จนขึ้นใจ เอ็มลินก้มศีรษะต่ำพร้อมกับเข้าฌาน และท่องนามเต็มอันสูงส่งของเดอะฟูล


“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”



ท่ามกลางเสียงสวดราบเรียบ เอ็มลินเริ่มเข้าสู่สภาวะล่องลอยทีละนิด ร่างกายเกิดความผ่อนคลายและสงบนิ่ง ประหนึ่งกำลังอยู่ในภวังค์หลับลึก แต่พลังวิญญาณกลับเบาหวิวและกระตือรือร้นผิดปรกติ คล้ายกับกำลังแผ่ออกไปรอบตัวอย่างเจือจาง


ทันใดนั้น แวมไพร์หนุ่มพลันตระหนักว่าจิตของตนกำลังลอยฟุ้งขึ้นไปข้างบน


ณ วังโบราณเหนือห้วงมิติสายหมอกเทา ไคลน์กำลังเอาพลังพิงเก้าอี้สุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอย่างสบายใจ มือข้างหนึ่งกดลงบนจอฉายภาพใกล้ตัว สายตาเพ่งมองบุคคลผู้กำลังสวดภาวนาถึงตนอย่างขบขัน


แม้จะคลุมเครือ แต่ไคลน์ไม่มีทางลืมว่านี่คือแวมไพร์เอ็มลิน


กล้าหาญมาก เป็นความกล้าระดับเดียวกับเมื่อครั้งออกไปซื้อฟิกเกอร์ตัวใหญ่กลับบ้าน… ไคลน์ถอนหายใจยาว แต่มิได้ตอบสนองทันที


ก่อนหน้านี้ มันพยายามทำนายถามถึงจุดประสงค์ของผีดูดเลือดอาวุโส แต่กลับไม่ได้รับคำตอบตรงประเด็นสักเท่าไร ทราบเพียงว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับชุมนุมแสงเหนือ


นั่นยิ่งทำให้ไคลน์เกิดความฉงน แต่มันตัดสินใจไม่เสี่ยงตอบสนองเอ็มลินทันที เนื่องจากรอบตัวแวมไพร์หนุ่มยังมีผีดูดเลือดทรงพลังคอยเฝ้าอยู่


ไคลน์ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายจะสัมผัสถึงห้วงมิติเหนือสายหมอกหรือไม่ หากไม่ระวัง อีกฝ่ายอาจจู่โจมเข้ามาเหมือนกับอามุนด์ก็เป็นได้


ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็ไม่ต้องการหาคำตอบให้เสียเวลาเปล่า เพราะในกรณีอามุนด์ มันเป็นเพียงร่างแยก แต่ผีดูดเลือดข้างกายแวมไพร์เอ็มลินคือร่างจริง


กับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ เราไม่ควรเอาตัวเข้าไปเสี่ยง ไม่ว่าจะอยากทราบจุดประสงค์ของผีดูดเลือดสักแค่ไหนก็ตาม…


และใช่ว่าเราจะไม่มีทางอื่น…


ไคลน์นั่งจ้องเอ็มลิน ผู้อยู่ในสภาวะละเมอเทียม พลางเผยรอยยิ้ม


“เลื่อนการตอบสนองออกไปก่อน…”


มันมีแผนรอให้ถึงวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ จึงค่อยตอบสนองหาเอ็มลินขณะอีกฝ่ายไม่มีคนคอยคุ้มกัน รวมถึงไม่มีผีดูดเลือดทรงพลังคอยเฝ้าจับตามอง


แต่ก่อนจะทำแบบนั้น ไคลน์ต้องทำนายให้แน่ใจเสียก่อนว่าไม่มีอันตรายตามมา



“ผู้กลืนหาง… เหมือนกับแม่น้ำบรรจบ?”


เดอร์ริค·เบเกอร์พลันฉุกคิดบางสิ่ง


นักล่าปีศาจโคลินพยักหน้าเคร่งขรึม


“ถูกต้อง สิ่งนี้หมายความว่า พวกเราอาจยื่นขาเหยียบลงบนแม่น้ำแห่งโชคชะตาเข้าแล้ว และคงหลุดพ้นออกไปได้ไม่ง่ายนัก แต่เรายังพอมีวาสนา นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวพลังของเทวทูตโชคชะตา ร่างจริงมิได้ซ่อนอยู่ในบริเวณใกล้เคียง”


ท่านเจ้าเมือง ไม่ใช่ ‘อาจจะ’ แต่พวกเราติดอยู่ในนี้มาหลายวันแล้ว… เดอร์ริคเสริม


ทันใดนั้น โคลินหยิบขวดโลหะสีแดงเข้มออกมาเปิดฝาดื่ม


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ดวงตาสีฟ้าอ่อนพลันซีดจางลงกว่าเดิม คล้ายกับถูกฉาบด้วยแผ่นกระจกสีเงิน ดวงตาดำเริ่มเปลี่ยนรูปทรงกลายเป็นแนวตั้ง สะท้อนภาพของเด็กชายแจ็คไว้บนผิวกระจก


ขณะเดียวกัน ประกายแสงสีเงินสองสามจุดปรากฏขึ้นในดวงตาโคลิน พวกมันวนเวียนชนกันอย่างส่งเดชปราศจากทิศทาง การชนแต่ละครั้งเป็นไปอย่างรุนแรงหนักหน่วง


ฉึก!


นักล่าปีศาจโคลินปีกดาบลงไปบนพื้นหิน ตามด้วยการใช้มืออีกข้างเอื้อมไปหยิบดาบสะพายหลัง


มือข้างหนึ่งจับดาบ ส่วนอีกข้างปล่อยจากเล่มบนพื้นเพื่อล้วงหยิบขวดของเหลวสีทองออกมาเทราด


เมื่อตระหนักถึงพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลของอีกฝ่าย แจ็คพลันเปลี่ยนสีหน้า ความดำมืดโดยรอบพลันเข้มข้นขึ้นทันที


โดยไม่เปิดโอกาสให้อ้าปาก โคลินเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน ดาบเล่มปักพื้นถูกดึงขึ้น เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์เคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วจนทิ้งไว้เพียงร่างมายา


แสงสีทองสลับเงินพลันสว่างวาบ มอบความเจิดจ้าไปทั่วทุกมุมห้องโถงใต้ดิน โดยเฉพาะจุดยืนของเด็กชายแจ็คซึ่งมีแสงเข้มข้นเป็นพิเศษ


ทุกสิ่งจบลงในพริบตา หลังจากเสียงโหยหวนหลุดลง ความอึมครึมและเงียบสงบกลับมาปกคลุมแท่นบูชาอีกครั้ง


แจ็คยังคงยืนในจุดเดิมโดยไม่ขยับตัวแม้แต่หนึ่งก้าว ทว่า ‘ใบหน้า’ พิสดารบนอกไม่หลงเหลืออยู่อีก ทิ้งไว้เพียงรูโหว่ขนาดใหญ่ซึ่งมองเห็นอวัยวะภายในกำลังยุบพองอย่างน่าขนลุก


ถัดจากแจ็คไม่กี่เมตร นักล่าปีศาจโคลินกำลังคุกเข่าลงหนึ่งข้าง ดาบทั้งสองเล่มวางราบไปบนพื้นในลักษณะปลายบานออกเล็กน้อย


เบื้องหน้าโคลินคือแผ่นหนังหน้ามนุษย์ซึ่งถูกฉีกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ดวงตา จมูก ปาก ล้วนกระจัดกระจายจนไม่เหลือเค้าเดิม


‘อวัยวะ’ เหล่านี้ดีดดิ้นประหนึ่งถูกไฟฟ้าแรงสูงช็อตอยู่สักพัก จนกระทั่งหยุดลงและเกิดการเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว


ในวินาทีนี้ เดอร์ริคพลันตระหนักว่ากำแพงล่องหนรอบตัวมัน เริ่มกระเพื่อมในลักษณะคล้ายคลื่นน้ำ แผ่ออกไปเป็นวงกว้าง ก่อนจะแตกตัวเป็นเสี่ยงๆ อย่างเงียบงัน


ภายในใจเกิดความรู้สึกคล้าย ตัวมันได้ถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากพัดพามาถึงริมตลิ่ง


เมื่อมองสำรวจไปรอบห้อง ไม่ว่าจะเป็นโถงกว้างซึ่งมีบรรยากาศอึมครึม ไม้กางเขนสีดำและเทวรูปคนห้อยหัว รวมถึงแจ็ค ผู้หมดสติไปเนื่องจากอาการบาดเจ็บ ภาพตรงหน้าทำให้เดอร์ริคมีความสุขเหนือคำบรรยาย


มันมั่นใจโดยไม่เคลือบแคลงว่า ตนและพวกพ้องทุกคนหลุดพ้นจากวังวนกระแสเวลาเรียบร้อยแล้ว


ถึงแม้กุญแจสำหรับปริศนาจะไม่ซับซ้อนอะไรนัก แต่ถ้าไม่มีเบาะแสใดเลย หรือไม่มีความทรงจำเก่า ก็คงกินเวลาการสำรวจหลายสิบหลายร้อยรอบ…


โดยระหว่างนี้ ความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยอาจนำพาไปสู่ความตาย และเดอร์ริคก็ยังไม่แน่ใจว่า คนตายจะคืนชีพกลับมาได้ใหม่หรือไม่ เมื่อวัฏจักรวนกลับไปหากองไฟอีกครั้ง


เรื่องแย่กว่านั้นคือ มนุษย์เรามักไม่ค่อยเปลี่ยนพฤติกรรม เดอร์ริคเคยเห็นด้วยตาตัวเองมาแล้วถึงเจ็ดครั้ง จึงเป็นการยากจะให้พวกเขาพบความผิดปรกติภายในวังวนอันน่าสะพรึงกลัวของโอโรโบรอส


เมื่อคิดทบทวนอีกครั้ง เด็กหนุ่มเริ่มมั่นใจโดยไม่เคลือบแคลงว่า หากทีมสำรวจปราศจากความทรงจำเก่าโดยสิ้นเชิง วัฏจักรคงดำเนินไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันรอบ จนกระทั่งเสียชีวิตเพราะความชราภายในวังวนแห่งกระแสเวลา เนื่องจากเวลาตามโลกภายนอกมิได้หยุดนิ่ง


คิดได้เช่นกัน เดอร์ริครู้สึกขอบคุณมิสเตอร์ฟูลจากก้นบึ้งหัวใจ การช่วยคืนความทรงจำแถมยังมอบคำใบ้ของมิสเตอร์ฟูล ไม่ต่างอะไรกับช่วยชีวิตของตนและเมืองเงินพิสุทธิ์ไว้


เด็กหนุ่มชำเลืองรอบตัว และพบว่าโจชัว ฮาอิม รวมถึงคนอื่น มิได้แสดงสีหน้าผิดปรกติแต่อย่างใด ทุกคนยังคงตั้งใจสำรวจบริเวณโดยรอบเหมือนกับวังวนรอบก่อน


คงต้องรอให้ถึงเมืองเงินพิสุทธิ์ก่อนกระมัง พวกเขาถึงจะรู้ตัวว่าเวลาชีวิตของพวกตนสูญหายไปบางส่วน… เดอร์ริคครุ่นคิด


พร้อมกันนั้น นักล่าปีศาจโคลินลุกยืนและดินตรงไปทางเด็กชายแจ็ค มันนำขวดโลหะใบเล็กออกมาเปิดผา และราดของเหลวสีดำลงไปบนรูโหว่บริเวณทรวงอก


เพียงพริบตา ของเหลวปริศนากลายสภาพเป็นเนื้อเยื่อล่องหน ช่วยหยุดบาดแผลฉกรรจ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์


“ฮาอิม โจชัว คุณสองคนคอยดูแลเขา” นักล่าปีศาจโคลินพยายามระงับฝ่ามือสั่นเทาของตนพลางออกคำสั่ง


สำหรับมัน แจ็คอาจเป็นผู้ไขปริศนาคำสาปอันยาวนานหลายพันปีของเมืองเงินพิสุทธิ์ และอาจเป็นกุญแจนำพาไปสู่แสงสว่างตามคำทำนาย!


ฟู่ว…! เดอร์ริครู้สึกอยากสรรเสริญเดอะฟูล แต่มันเพิ่งตระหนักว่า ตนยังไม่ทราบ ‘สัญลักษณ์มือ’ ของศาสนาเดอะฟูล



เขตราชินี คฤหาสน์หรูของเคาต์ฮอลล์


มื้ออาหารสุดอลังการกำลังส่องแสงระยิบระยับภายใต้แสงไฟจากโคมเทียนระย้า


ตรงข้ามกับคำบอกเล่าจากนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ ชนชั้นสูงของประเทศมิได้กินอาหารด้วยกิริยามารยาทเคร่งเครียด และไม่จำเป็นต้องสงบปากสงบคำ


นี่คือโอกาสแสนหายาก กับการได้พบปะสมาชิกในครอบครัวและสานสัมพันธ์ต่อกันให้แนบแน่น ฉะนั้น ขุนนางส่วนใหญ่มักสนทนาในหัวข้อทั่วไปอย่างผ่อนคลาย


ออเดรย์หันชิ้นสเต๊กซึ่งถูกผลิตจากฟาร์มส่วนตัวของเธอ พลางซักถามเคาต์ฮอลล์โดยไม่ปิดบังสีหน้าอยากรู้อยากเห็น


“ท่านพ่อ มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับองค์ชายเอ็ดซัคหรือคะ”


หากอีกฝ่ายตอบว่าไม่มี เธอก็แค่แสร้งทำเป็นว่าได้ยินข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับองค์ชาย สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปรกติ บรรดาเชื้อพระวงศ์มักมีข่าวลือฉาวโฉ่หลุดออกมาเป็นระยะเสมอ


เคาต์ฮอลล์ชะงัก พลางขมวดคิ้ว


“เจ้าไปได้ยินอะไรมา”


มีบางสิ่งเกิดขึ้นจริงด้วย!


เมื่ออ่านอากัปกิริยาของผู้เป็นบิดา ออเดรย์มั่นใจว่าตนกำลังมาถูกทาง จึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มมุมปาก


“แค่ข่าวลือทั่วไปค่ะ แต่ดูเหมือนจะเป็นความจริงใช่ไหม”


เคาต์ฮอลล์เลื่อนมือขึ้นมาลูบขมับ


“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ออเดรย์ พ่อทราบว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ จะไม่ปิดบังก็แล้วกัน เรื่องนี้เป็นเพียงคดีอื้อฉาวทั่วไปในหมู่เชื้อพระวงศ์ สรุปโดยสั้น องค์ชายเอ็ดซัคตกหลุมรักสามัญชน แต่เรื่องนี้กลับทำให้ลูกหลานของอดีตขุนนางเสียชีวิตไปหนึ่งคน ทางราชวงศ์จึงต้องการปิดข่าวไว้เป็นความลับ ไม่ให้รั่วไปออกไปเป็นถึงหูประชาชน”


ภรรยาเคาต์ฮอลล์จิบแชมเปญและกล่าว


“พฤติกรรมเช่นนี้… ยังไม่โตสักที”


ลางสังหรณ์ของท่านแม่แม่นยำเสมอ…


เราชักสงสัยแล้วว่า คดีอื้อฉาวขององค์ชายเอ็ดซัคจะทำให้กรุงเบ็คลันด์เกิดเรื่องเลวร้ายถึงขั้นเป็นมหันตภัยได้จริงหรือ…


ออเดรย์แสร้งทำสีหน้าเข้าใจ


“หนูมีคำถาม ทำไมความรักระหว่างองค์ชายและสามัญชน ถึงทำให้อดีตทายาทขุนนางใหญ่เสียชีวิตได้”


ฮิบเบิร์ต·ฮอลล์ ผู้ยังคงก้มหน้าหั่นสเต๊กหนานุ่มของตน ส่งเสียงคาดเดาอย่างสนใจ


“ทำเอานึกถึงเรื่องราวอันโด่งดังในหมู่สาวกวายุสลาตัน กล่าวกันว่า หากชายสองคนหลงรักหญิงสาวคนเดียวกัน พวกเขาจะต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงหัวใจของเธอมา”


“ค่านิยมหัวโบราณเช่นนั้น ป่านนี้คงเหลือแต่ในพิพิธภัณฑ์” เคาต์ฮอลล์คัดค้านข้อสันนิษฐานของบุตรชายคนโต


ออเดรย์ฉวยโอกาสถามต่อ


“หนูไม่คิดว่าองค์ชายเอ็ดซัคจะเป็นคนหุนหันเช่นนั้น และโดยทั่วไป ข่าวลือมักแพร่กระจายเกินจริงเสมอ… ประเด็นสำคัญอาจถูกทางราชวงศ์ปกปิดไปแล้วก็ได้ ก็อาจจะ…” เคาต์ฮอลล์ทวนคำพลางขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว


ออเดรย์แม่นำจังหวะจะโคน เธอรู้ว่าตอนไหนควรรุก ตอนไหนควรหยุด เด็กสาวไม่ซักไซ้ให้วุ่นวาย เพียงจงใจชักนำบทสนทนาไปยังทิศทางอื่น


เธอมีแผนสำรอง นั่นคือการทำเรื่องนี้ไป ‘ถามหยั่งเชิง’ กับเพื่อนขุนนางรอบตัว


ในฐานะผู้เคยถูกองค์ชายสามตามตื้อเป็นเวลานาน ความอยากรู้อยากเห็นของเธอย่อมไม่ใช่เรื่องผิดปรกติ ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์โกรธเคืองหรือสนใจ แต่คนทั่วไปล้วนมีอาการตอบสนองแบบเดียวกัน



หลังจากมิอาจรักษาสถานภาพ ‘ละเมอเทียม’ ไว้ได้นาน จิตของเอ็มลิน·ไวท์กลับเป็นปรกติพร้อมกับเกิดอาการอ่อนเพลียทางใจ เมื่อลืมตาขึ้น มันจ้องไปทางโลงศพเหล็กดำและกล่าวด้วยสีหน้าโล่งใจกึ่งผิดหวัง


“ลอร์ดนีบาส ไม่มีการตอบสนองขอรับ”


นีบาสเงียบงันเป็นเวลานาน ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงแหบพร่า


“ไม่เป็นไร เจ้าอยู่ต่ออีกสักคืน เผื่อไว้ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน”


“ขอรับ” เอ็มลินไม่ขัดข้อง


แวมไพร์หนุ่มปล่อยเวลาผ่านไปอย่างหวาดระแวง แต่ค่ำคืนดังกล่าวกลับมีเพียงความปลอดโปร่งและเงียบสงัด จนกระทั่งแสงแรกยามเข้าอันหายากในฤดูหนาวส่องผ่านบานกระจกเข้ามา


“อากาศห่วยแตกชะมัด” เอ็มลินเดินทางออกจากคฤหาสน์โอดรา กดหมวกลง พลางพึมพำขณะส่งตัวเองเข้าไปในรถม้าเช่า


จุดหมายคือวิหารฤดูเก็บเกี่ยวในย่านทิศใต้ของสะพาน


หลังจากรถม้าแล่นไปได้สักพัก วิวทิวทัศน์รอบตัวเอ็มลินพลันพร่ามัวและเต็มไปด้วยทุ่งสายหมอกสีเทากว้างไกล


ท่ามกลางความตื่นตัวและประหลาดใจ เมื่อรู้ตัวอีกที เอ็มลินพบตนกำลังนั่งบนเก้าอี้ท่ามกลางวังโบราณแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าเป็นโต๊ะทองแดงยาวเก่าแก่


หัวมุมของโต๊ะทองแดงยาวคือบุคคลปริศนา ผู้ถูกรายล้อมด้วยม่านหมอกสีเทาหนาทึบจนยากจะเห็นใบหน้าชัด กำลังก้มมองลงมาจากจุดสูงกว่า


……………………


ราชันเร้นลับ 468 : เดอะมูน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เอ็มลินตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ สมองกำลังขาวโพลนประหนึ่งรูปปั้นหินในท่านั่ง


ถัดมา มันได้ยินบุคคลเบื้องหลังม่านหมอกสีเทาซักถามด้วยเสียงเรียบ


“เจ้าวิงวอนถึงเราทำไม”


ในหัวเอ็มลินยังคงอื้ออึง จึงทำได้เพียงตอบกลับไปตามความจริง


“นี่เป็นวิวรณ์จากท่านบรรพชน ท่านบอกผ่านนิมิตความฝันว่า หายนะกำลังคืบคลานเข้าใกล้และพวกเราเหล่าผีดูดเลือดต้องเตรียมตัวรับมือล่วงหน้า ข้าคือกุญแจสำคัญในเหตุการณ์ดังกล่าว และภารกิจแรกคือการสวดวิงวอนถึงท่านเดอะฟูล!”


เมื่อได้ฟังเหตุผลอย่างละเอียด ไคลน์ซึ่งเกิดความสงสัยมานาน พลันหมดคำจะกล่าวไปพักใหญ่ แวมไพร์หนุ่มตรงหน้าได้อธิบายทุกความสงสัยของตนจนหมดในคราวเดียว


วิวรณ์จากบรรพชน… ไม่ใช่ว่าเทพธิดาบรรพกาลอย่างลิลิธ ร่วงหล่นไปแล้วตั้งแต่ยุคสมัยแห่งมหาภัยพิบัติหรอกหรือ และอำนาจในขอบเขตของเธอก็ถูกพระผู้สร้างต้นกำเนิดริบกลับคืนไปเช่นกัน… เรื่องนี้ไม่น่าจะผิดพลาด เพราะเมื่อแวมไพร์รุ่นหลังทดลองสวดวิงวอนถึงดวงจันทร์บรรพกาล ผลลัพธ์ส่วนมากมักเกิดความฉิบหายกับตัวเอง…


ยิ่งไปกว่านั้น มิสเตอร์ประตูยังระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ไพ่เดอะมูน’ อันเป็นตัวแทนเส้นทางจันทรายังคงว่างอยู่… อาจเป็นไปได้ว่า ดวงจันทร์บรรพกาลกำลังถูกสวมรอยโดยเทพตนอื่น หรือไม่ก็ปีศาจชั่วร้ายบางตน แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน เทพธิดาลิลิธได้สูญเสียตำแหน่งลำดับ 0 ไปแล้วอย่างแน่นอน โดยสิ่งนี้สามารถอนุมานได้ว่า ‘ตาย’ …


ไคลน์พยายามปะติดปะต่อเรื่องราว


เดิมที มันจินตนาการว่า ‘ลิลิธ’ ผู้ตอบสนองคำวิงวอนของเหล่าผีดูดเลือดในบางเรื่อง แท้จริงแล้วเป็น ‘มรดก’ จากเทพธิดาบรรพกาล อาจวัตถุจำพวกเป็น ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางจันทรา ฉะนั้น การตอบสนองต่อคำวิงวอนจึงควรมีลักษณะคล้ายกับข้อความอัตโนมัติ คลุมเครือ และอยู่ในขอบเขตจำกัด


แต่เอ็มลินกลับบอกว่า ผีดูดเลือดได้รับวิวรณ์ความฝันจากเทพธิดาลิลิธโดยตรง…


มีความเป็นไปได้สองทาง หนึ่ง ลิลิธถูกสวมรอยโดยเทพบางตนซึ่งถือครองวัตถุ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางจันทรามาสักพัก ส่งผลให้เทวทูตบนเส้นทางจันทราหมดโอกาสก้าวขึ้นไปเป็นลำดับ 0 โดยปริยาย… ในกรณีนี้ เทพดังกล่าวคงไม่ได้สนใจความเป็นไปของเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดสักเท่าไร อาจเป็นเพียงการมอบวิวรณ์เพื่อทดสอบพลัง… ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งคงหนีไม่พ้นเทพธิดารัตติกาล เพราะท่านถือครองสมญานาม ‘สตรีสีชาด’ …


แต่พระองค์คือลำดับ 0 บนเส้นทางของ ‘ไพ่เดอะสตาร์’ ไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดถึงปรารถนาอำนาจของ ‘ไพ่เดอะมูน’ ..


หรือแค่ต้องการขัดขวางศัตรู…


อีกหนึ่งความเป็นไปได้คือ เทพธิดาบรรพกาล ลิลิธ ยังไม่ร่วงหล่นโดยสมบูรณ์ จนกว่าจะมีลำดับ 0 คนใหม่ของเส้นทางจันทราปรากฏตัว ท่านสามารถใช้เอกลักษณ์และวิธีการพิเศษในการประคองชีวิตให้อยู่รอด จากนั้นก็รอวันคืนชีพเมื่อโอกาสเหมาะสมมาถึง ประเด็นนี้สอดคล้องกับคำอธิบายของไพ่จักรพรรดิมืด…


บางที การช่วงชิงสมญานาม ‘สตรีสีชาด’ ของเทพธิดารัตติกาล ก็อาจทำไปเพื่อขัดขวางมิให้ลิลิธคืนชีพ…


เมื่อประเมินจากข้อมูลในมือ ลิลิธอาจจงใจเผยวิวรณ์วันสิ้นโลกเพราะวางแผนคืนชีพไว้แล้ว โดยกุญแจสำคัญของแผนดังกล่าวก็คือเดอะฟูล… ถ้านี่คือเรื่องจริง การวิงวอนของเอ็มลินจะมีค่าเท่ากับ ‘จดหมายเชิญพันธมิตร’ ทางอ้อม… แต่เราเป็นเพียงผู้วิเศษลำดับ 6 แล้วจะเอาอะไรไปช่วยเหลือเทพธิดาบรรพกาลหมื่นปีผู้ยังรอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้…


ให้เอ็มลินเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์? ผีดูดเลือดคือเผ่าพันธุ์อายุยืนยาว มีตัวตนมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สอง และยังทราบความลับน่าสนใจในหลายประเด็น… แต่ถ้าทำแบบนั้น เราก็ต้องแบกรับความเสี่ยงพอสมควร… อา… ทุกครั้งก่อนดึงเอ็มลินเข้าร่วมชุมนุม เราต้องทำนายยืนยันให้แน่ใจว่าปลอดภัย…


ถ้าจำไม่ผิด เราเคยได้ยินคำทำนายคล้ายคลึงกันมาแล้วในหนังสือ ‘ประสบการณ์โลกวิญญาณ’ จากมิสเมจิกเชี่ยน แสงเหลืองกล่าวไว้ว่า คำสาปของตระกูลอับราฮัมจะถูกลบล้างโดยผู้ฝึกหัดซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลลึกลับ ฟังดูคล้ายคลึงกับสภาพแวดล้อมปัจจุบันของมิสเมจิกเชี่ยน… เธอคือผู้ฝึกหัด และเพิ่งได้รับความช่วยเหลือจากเรา เดอะฟูล…


ชักน่าสนใจว่า เหล่าตัวตนระดับสูงซึ่งสามารถตระหนักถึงสิ้นโลก จะเห็นเดอะฟูลเป็นทางออกของฝ่ายตนทุกคนเลยหรือไม่…


ไคลน์ครุ่นคิดหลายสิ่ง แต่สีหน้าแววตาภายนอกมิได้แปรเปลี่ยน


มันเอนกายพิงเก้าอี้อย่างสบายใจ มุมปากยกโค้งเผยรอยยิ้มอ่อนโยน


“บรรพชนของเจ้า บอกให้เจ้าสวดวิงวอนถึงเราด้วยเหตุผลอันใด”


น้ำเสียงสุขุมและใสกังวานได้ดึงเอ็มลินกลับจากภวังค์ตื่นกลัว แวมไพร์หนุ่มส่ายหน้าอย่างเชื่องช้าประหนังยังไม่ได้สติดี


“ไม่ทราบขอรับ…”


ขณะเดียวกัน ไคลน์สังเกตเห็นสัญลักษณ์รูปดาวหลังเก้าอี้เอ็มลินเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง กลายเป็นสัญลักษณ์ของจันทราสีเลือด


นึกแล้วเชียว ผู้วิเศษเส้นทางเดียวกับลิลิธ ย่อมมีพลังอยู่ในขอบเขต ‘จันทรา’ …


ไคลน์หัวเราะในลำคอ


“ในยุคสมัยอันเต็มไปด้วยเทพจารีตทั้งเจ็ด รวมถึงยังมีตัวตนลึกลับอีกมากมาย เหตุใดบรรพชนของเจ้าถึงมองว่าเราคือกุญแจสำคัญในการฝ่าฟันหายนะเล่า?”


ท่าทีของอ่อนโยนของเดอะฟูลทำให้เอ็มลินเริ่มใจเย็นลง หลังจากมันเคยกระวนกระวายจนทำตัวไม่ถูก เมื่อตระหนักว่าจิตของตน ถูกบุคคลทรงพลังดึงเข้ามาในห้วงมิติเหนือสายหมอกลึกลับตามใจชอบ


ท่านคือเดอะฟูล… ท่านไม่เกรี้ยวกราด…


เพราะเราคือตัวแทนของท่านบรรพชน?


คิดไว้ไม่มีผิด ตัวข้า เอ็มลิน·ไวท์ คือบุคคลพิเศษของโลก! ท่านบรรพชนเจาะจงให้เรารับการตอบสนองของเดอะฟูล!


ด้วยความคิดเช่นนี้ เอ็มลินตัดสินใจเล่าทุกสิ่งออกไปอย่างเถรตรง


“ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ วิวรณ์ของท่านบรรพชนระบุว่า ตัวข้า เอ็มลิน·ไวท์ คือกุญแจสำคัญในการนำพาเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด ฝ่าฟันอุปสรรคและหายนะร้ายแรงในอนาคต และจุดเริ่มต้นคือการสวดวิงวอนถึงท่าน”


ความนัยไว้แฝงไว้ก็คือ : กุญแจสำคัญของเรื่องราวคือตัวข้า มิใช่ท่าน!


หมอนี่คงป่วยเป็นโรคม.2 อ่อนๆ …


ก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไร อุปนิสัยส่วนตัวก็เป็นพวกโอหังและคิดว่าตัวเองคือศูนย์กลางของโลกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว…


ไคลน์เหน็บแนมติดตลกพลางทอดแทรกวลีดังจากโลกเก่า


ชายหนุ่มยังคงพูดคุยอย่างอารมณ์ดี


“คำถามเดิม ทำไมถึงเป็นเรา มิใช่หนึ่งในเจ็ดเทพจารีตหรือตัวตนลึกลับอื่นๆ”


“…ข้าไม่ทราบขอรับ” เอ็มลินส่ายหน้าหนักแน่น


ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก


“ว่ากันตามตรง เราพอจะเข้าใจเจตนาของบรรพชนเจ้าอยู่บ้าง เธอหวังให้เราช่วยพัฒนาเจ้าจนแข็งแกร่ง กลายเป็นกำลังสำคัญและช่วยเหลือผีดูดเลือดให้รอดพ้นจากหายนะเลวร้ายในอนาคต”


“พัฒนา…?” เอ็มลินทำหน้างุนงง “ท่านคงทราบดีอยู่แล้ว เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดของพวกเราไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้ ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นได้จากพิธีกรรมพิเศษ หรือไม่ก็มรดกจากเหล่าอาวุโสเท่านั้น”


นั่นสินะ เพื่อให้เป็นไปตามกฎความถาวรของพลังพิเศษ แม้แต่แวมไพร์เองก็ต้องดื่มโอสถเพื่อเลื่อนลำดับ… หรือก็คือ อาจมีข้อยกเว้นในกรณี ขอเพียงไม่ขัดต่อสามกฎหลักแห่งโลกผู้วิเศษก็พอ… ไคลน์ยิ้ม


“ความรู้ของเจ้า คือโซ่ตรวนพันธนาการเจ้ามิให้ออกไปเห็นโลกกว้าง แน่นอน ผลลัพธ์มิได้ขึ้นอยู่กับเรา แต่เป็นตัวเจ้าของ เราช่วยได้เพียงสนับสนุน”


ชายหนุ่มจงใจเว้นวรรค


“เจ้าจะคว้าโอกาสนี้ไว้หรือไม่”


เอ็มลินลุกยืนและคำนับโดยไม่ลังเล


“ข้าปรารถนาสิ่งนี้มาตลอดขอรับ!”


สหาย ความโอหังและหยิ่งทระนงในสายเลือดแวมไพร์อันสูงส่งไปไหนเสียหมด ทำไมถึงได้นอบน้อมกับนักสืบเชอร์ล็อกคนนี้นัก?


ไคลน์จิกกัด พลางใช้มือเคาะโต๊ะทองแดงและกล่าวต่อ


“แต่เจ้าต้องรักษากฎ”


“เชิญรับสั่งขอรับ” เอ็มลินพยายามอดกลั้นความตื่นเต้น


ไคลน์ยิ้ม


“ห้ามแพร่งพรายข้อมูลและเบาแสทุกชนิดเกี่ยวกับเราจนกว่าจะได้รับอนุญาต ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ตาม”


“แน่นอน รวมไปถึงผีดูดเลือดอาวุโสผู้ช่วยเจ้าประกอบพิธีกรรมด้วย”


“แต่ว่า…” เอ็มลินออกท่าทางลังเล คล้ายกับไม่เต็มใจจะรับปาก


ไคลน์กล่าวต่อไปอย่างอ่อนโยนแต่เด็ดขาด


“ลิลิธมิได้บอกให้เจ้าต้องรายงานความคืบหน้ากลับไปไม่ใช่หรือ”


ชายหนุ่มมั่นใจ เนื้อหาของวิวรณ์ต้องไม่มีการระบุให้รายงานกลับไปแน่!


ลิ…? เดอะฟูลเรียกท่านบรรพบุรุษด้วยชื่อห้วนๆ เลยหรือ… ราวกับเป็นสหายเก่าแก่…


หัวใจเอ็มลินกำลังสั่นระริก มันก้มศีรษะต่ำพลางมอบคำตอบอย่างนอบน้อม


“ไม่ขอรับ”


ไคลน์เผยรอยยิ้มไม่แปรเปลี่ยน


“การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ถือเป็นความลับ เราจึงเลือกตอบสนองหลังเจ้าเป็นอิสระจากการเฝ้าจับตามอง ฉันใดก็ฉันนั้น เจ้าไม่ควรรายงานให้ลิลิธทราบ เพราะข้อมูลอาจรั่วไหลระหว่างทาง”


เมื่อเห็นเอ็มลินออกอาการลังเล ไคลน์เสริม


“หากเจ้าต้องการเป็นกุญแจสำคัญในการกอบกู้เผ่าพันธุ์แวมไพร์ หลักพื้นฐานคือความอดทน ต้องเก็บงำความเจ็บปวดไว้เพียงลำพัง คนรอบตัวจะไม่เข้าใจเจ้า หนีไม่พ้นการถูกนินทาลับหลัง และถูกดูหมิ่นเหยียดหยามต่างๆ นานา แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ต้องซุ่มพัฒนาตัวเองอย่างเงียบงันในเงามืด ไปพร้อมกับการแบกรับภารกิจอันใหญ่หลวงไว้บนบ่า”


คำพูดของไคลน์มีจุดประสงค์เพื่อให้เอ็มลินจินตนาการจนเกิดความคล้อยตาม


เอ็มลิน·ไวท์ ผู้มักถูกพี่น้องมองเป็นตัวตลกเนื่องจากรสนิยมในการสะสมตุ๊กตา รวมถึงเหตุการณ์พลัดหลงเข้าไปในวิหารฤดูเก็บเกี่ยวจนถูกฝังการชี้นำทางจิต ต้องเผชิญความอับอายเหนือพรรณนาและไม่เคยอยู่ในสายตาของเหล่าอาวุโส แต่ในความเป็นจริง ชายคนนี้คือผู้กอบกู้เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดจากในเงามืด คอยปกป้องทุกคนโดยไม่มีใครรับรู้!


และมันก็ได้ผล


เอ็มลินมอบคำตอบด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม


“สุดแล้วแต่ท่านขอรับ”


ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้พลางกล่าวเสียงผ่อนคลาย


“ทุกวันนี้ เราอนุญาตให้คนกลุ่มหนึ่งจัดการชุมนุมลับขึ้นรอบโต๊ะทองแดง เจ้าปรารถนาจะเข้าร่วมชุมนุมดังกล่าวเพื่อค้นหาวิธีพัฒนาตัวเอง และเป็นผีดูดเลือดทรงพลังหรือไม่”


“แน่นอนขอรับ!” เอ็มลินไม่ลังเล


ไคลน์พยักหน้าพึงพอใจ


“ยังมีคำขอร้องอื่นอีกไหม”


แวมไพร์หนุ่มพลันยินดีปรีดา มันรีบบอกความต้องการโดยเร็ว


“เรียนท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ข้าประสงค์จะให้ท่านช่วยขจัดการชี้นำทางใจภายในดวงวิญญาณ สิ่งนี้เกิดจากฝีมือของบิชอปจากโบสถ์พระแม่ธร—”


“เรารู้อยู่แล้ว” ไคลน์พูดแทรกเสียงเย็นชา


ท่านทราบ…? สมกับเป็นตัวตนลึกลับ…!


เอ็มลินก้มศีรษะต่ำ


ไคลน์ ‘หึ’ ในลำคอ


“เราช่วยเจ้าได้ แต่ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน”


เมื่ออยู่เหนือห้วงมิติสายหมอกเทา เนตรวิญญาณไคลน์จะถูกเสริมประสิทธิภาพขึ้นจากเดิมหลายเท่า ชายหนุ่มตรวจพบออร่าสีเข้มซึ่งน่าจะเป็นการชี้นำทางใจ แต่ออร่าดังกล่าวกำลังอ่อนแอและใกล้สลายตัวเต็มที


เดิมที ไคลน์มีแผนจะรักษาด้วยพิธีกรรมพิเศษตามหนังสือแห่งความลับ แต่เมื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้ง มันเชื่อว่า ลำพังพิธีกรรมพันธสัญญาลับและเทวทูตไพ่จักรพรรดิมืดคงเพียงพอในการรักษาเอ็มลิน


แลกเปลี่ยน…?


หลังจากนั่งครุ่นคิดสักพัก เอ็มลินไม่พบว่าตนมีสิ่งใดจะไปแลกเปลี่ยนกับตัวตนทรงพลังอย่างเดอะฟูล


เห็นเช่นนั้น ไคลน์ฉวยโอกาส


“เราสนใจประวัติศาสตร์ผีดูดเลือดของพวกเจ้า จะใช้สิ่งนั้นแลกเปลี่ยนก็ไม่ขัดข้อง”


ประวัติศาสตร์ผีดูดเลือด…?


หลังจากไตร่ตรอง เอ็มลินยินยอม


“จงคิดเตรียมไว้ล่วงหน้า ว่าจะเล่าเรื่องใดให้เราฟังเป็นอันดับแรก… แต่ก่อนอื่น เจ้าต้องเลือกโค้ดเนมของตัวเองจากสิ่งนี้”


ไคลน์เสกไพ่ทาโรต์สำหรับใหญ่ซึ่งยังไม่ถูกสมาชิกคนอื่นเลือก ไว้บนผิวโต๊ะทองแดงยาว


เอ็มลินก้มหน้าตรวจสอบสักพัก


“เดอะมูน ข้าเลือกไพ่เดอะมูน!”


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)