Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 461-464
ราชันเร้นลับ 461 : แฮงแมนผู้จริงใจและเป็นมิตร
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่เหมือนกับสมัยอดีต เดอร์ริคมิใช่เด็กหนุ่มซุ่มซ่ามปากพล่อยอีกแล้ว ก่อนจะเปิดเผยข้อมูลสำคัญ มันมักหันไปขอความเห็นชอบจากเดอะฟูลก่อนเสมอ
เมื่อได้รับอนุญาต เด็กหนุ่มเสก ‘ภาพฉาย’ ของฉากเหตุการณ์จากความทรงจำออกมาให้ทุกคนได้รับชม เลือกเฉพาะภาพสำคัญซึ่งคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อจัสติส แฮงแมน เดอะเวิร์ล และเมจิกเชี่ยน เป็นการฉายภาพนิ่งแบบไม่ปะติดปะต่อ โดยเดอร์ริคคอยอธิบายตามเป็นระยะ
ซากกำแพงเก่าของอาคารบ้านเรือน พื้นทางเดินผุพัง เสาหินสีขาวสลับฟ้า จิตรกรรมฝาผนังแสดงถึงความเสียสละของพระผู้สร้างเสื่อมทราม เห็ดส่องแสงเย้ายวน เทวรูปห้อยหัวพลางลืมตาจ้องมองผู้บุกรุก และแจ็คผมเหลือง เด็กชายผู้เอาแต่ขดตัวหลบหลังแท่นบูชาตลอดเวลา
เหตุการณ์ทั้งหมดปรากฏสู่สายตาสมาชิกชุมนุมทาโรต์ทุกคนโดยไม่ถูกบิดเบือน เป็นการมองเห็นจริงของเดอร์ริค ณ ขณะนั้น
ท่ามกลางโลกอันแสนอึมครึมราวกับจะเกิดอันตรายในทุกก้าวเดิน เหตุการณ์บีบหัวใจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหนแล้วหนแล้ว ทั้งหมดทำให้เลือดลมออเดรย์พลันสูบฉีดเต้นแรง เธอกำลังตื่นเต้นมากกว่าใคร และตั้งใจฟังคำอธิบายของเดอะซันโดยไม่ปล่อยให้ตกหล่น
นี่คือสถานการณ์ปัจจุบันของเมืองเงินพิสุทธิ์…น่าตื่นเต้นยิ่งกว่านิยายเรื่องใดในความทรงจำของเราทั้งหมด! สิ่งเหล่านี้คือเหตุการณ์จริงบนโลก เปี่ยมด้วยเสน่ห์ของศาสตร์เร้นลับ ความไม่แน่นอน และกลิ่นอายความสยองขวัญ… จริงอยู่ สำหรับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ สิ่งนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดี…
ออเดรย์ปล่อยความคิดล่องลอย ภายในใจต้องการกลายเป็นผู้วิเศษระดับครึ่งเทพประเดี๋ยวนี้ เพื่อจะได้ออกเดินทางไปผจญภัยในดินแดนอันมืดมิดและมีเพียงพายุสายฟ้า
ไคลน์นั่งมองด้วยอารมณ์ซับซ้อน
ก่อนจะถอนหายใจยาว
มันมิได้ถอนหายใจเพราะสงสารชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ แต่ถอนหายใจอย่างผิดหวัง เมื่อตระหนักว่าเดอะซันขาดประสบการณ์และไม่ฉลาดหลักแหลมสักเท่าไร ฉากเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวภายในวิหารของพระผู้สร้างแท้จริง สมควรถูกฉายออกมาในรูปแบบของภาพยนตร์สยองขวัญถึงจะถูก! นั่นจะต้องตื่นตาตื่นใจเหนือคำบรรยายแน่!
แต่ถ้าทำแบบนั้นคงใช้เวลานานเกินไป หากทุกคนนั่งดูหนังจนจบ พลังวิญญาณของเราคงได้เหือดแห้งกันพอดี และเหนือสิ่งอื่นใด ชุมนุมทาโรต์ควรใช้เวลาอย่างพอเหมาะ เพราะยิ่งถูกถอดจิตนาน ร่างเนื้อบนโลกภายนอกก็ยิ่งเสี่ยงอันตราย…
ไคลน์เริ่มรู้สึกโชคดี เมื่อเดอะซันน้อยไม่คิดฉายออกมาในรูปแบบภาพยนตร์
หลังจากนั่งดู ‘สไลด์ภาพ’ จนจบ อัลเจอร์ก้มหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะบอกให้เดอะซันทำการฉายบางภาพซ้ำ เนื่องจากมันคิดว่าอาจเป็นกุญแจสำคัญของการทำลายวังวนกระแสเวลา
เพียงไม่นาน ภาพจำนวนมากได้ถูกฉายลงบนผิวโต๊ะทองแดงยาวในแนวราบ หนึ่งในนั้นคือภาพจิตรกรรมฝาผนังขณะพระผู้สร้างแท้จริงกำลังต่อกรกับ ‘หกเทพมาร’ และรับแบกบาปของมนุษย์ไว้ตามลำพัง
“เทพมารเหล่านี้มีใครบ้าง” อัลเจอร์เริ่มก้มหน้าพิจารณาเทพตนหนึ่ง ศีรษะคล้ายปลาหมึก รอบกายรายล้อมด้วยสายฟ้า ใต้ฝ่าเท้ามีคลื่นสีดำพยุงตัว ด้านหลังสวมผ้าคลุมขนนกและถือหอกสามง่าม แฮงแมนพยายามหาจุดเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเหล่านี้
เดอร์ริคส่ายหน้า
“ผมไม่ทราบ…นึกว่าพวกคุณจะทราบเสียอีก”
ด้านออเดรย์และฟอร์สก็หันมาจ้องภาพฉายจิตรกรรมฝาผนังบนผิวโต๊ะพร้อมกัน แต่พวกเธอก็ไม่มีข้อมูลใดจะช่วยเสริม
เดิมที ทั้งสองสันนิษฐานว่าอาจเป็นเหล่าเทพบรรพกาล แต่คิดไปได้สักพักก็ต้องปัดตก เพราะถ้าเป็นเทพบรรพกาลจริง เดอะซันไม่มีทางไม่ทราบความหมาย และเทพบรรพกาลก็ยังมีถึงแปดตน มิใช่หก แถมยังเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทมังกร เอลฟ์ ฟินิกซ์ หรือหมาป่าอสูร
ผู้เข้าข่ายว่าจะเป็นเทพบรรพกาลเพียงตนเดียวในจิตรกรรมฝาผนังคือ เผ่าคนยักษ์สวมเกราะชำรุด เจ้าของขนาดร่างกายใหญ่โต
นี่มัน… เมื่อเดอะฟูลตั้งใจเพ่งมองบ้าง ตาดำของมันพลันหดเกร็งจนเล็กเท่าหัวเข็มหมุด
ในตอนแรก เพื่อรักษามาดนิ่ง ไคลน์จึงมองเพียงผ่านๆ แต่หลังจากสังเกตอย่างละเอียด มันเริ่มตระหนักว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง
รูปลักษณ์เหล่านี้คล้ายกับ ‘หกเทวรูป’ ภายในอาคารใต้ดินโบราณของราชวงศ์ทูดอร์ ซึ่งเรากับชารอนบังเอิญพบเข้า จุดแตกต่างเดียวก็คือ เทวรูปเหล่านั้นมีโฉมหน้าคล้ายมนุษย์ แต่ภาพในจิตรกรรมฝาผนังกลับจงใจทำให้ดูเหมือน ‘ร่างมาร’ …
ลำพังการมองธรรมดายังรู้สึกพะอืดพะอม โดยเฉพาะพระแม่ธรณี เทพวายุสลาตัน และสุริยันเจิดจรัส พวกเขาไม่เพียงถูกวาดให้ชั่วร้ายกว่าเดิม แต่ถึงขั้นจำแลงกายให้เป็นรูปลักษณ์ของสัตว์ประหลาด…
อย่างไรก็ตาม ไคลน์ไม่แปลกใจมากนักกับเรื่องดังกล่าว เพราะในฐานะเทพมารนอกรีต พระผู้สร้างแท้จริงย่อมต้องการให้สาวกของตนเข้าใจว่า เทพทั้งหกเป็นสิ่งมีชีวิตชั่วร้าย
ถึงกระนั้น เรายังไม่ควรด่วนตัดสินว่าภาพเหล่านี้ ‘ไม่ใช่ของจริง’ เพราะแต่เดิม เราเคยเข้าใจผิดว่า ‘เทพ’ ไม่มีรูปโฉม สาวกจึงต้องสวดภาวนาต่อตราศักดิ์สิทธิ์แทน แต่การค้นพบอาคารใต้ดินจากยุคสมัยที่สี่ ทำให้ความเข้าใจของเราเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร และเริ่มศรัทธาในตัวเทพน้อยลง…
เทพคงมีเหตุผลบางอย่างให้ไม่เผยใบหน้าของตน หรือบางที นี่อาจเป็นการซ่อนแผนกุศโลบายอันแยบยลไว้ในนั้น…
ไคลน์ค่อนข้างโล่งใจเมื่อเห็นว่าจัสติสมัวแต่สนใจภาพฉาย จนไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปรกติทางอารมณ์ของเดอะฟูลเมื่อครู่
เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของมันโดยตรง เดอร์ริคจึงไม่คิดปิดบังข้อมูลอันมากมายในความทรงจำ มันต้องการระดมสมองทุกคนเพื่อช่วยกันหาทางออกจากวังวนไม่รู้จบสิ้น
ไคลน์เองก็อยากช่วย แต่การนั่งอธิบายเทวรูปของหกเทพอย่างละเอียดนั้นไม่เข้ากับมาดของเดอะฟูล จึงวางแผนให้เดอะเวิร์ลเป็นผู้เปิดเผยเรื่องนี้กับทุกคนแทน
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังต้องการให้ทุกคนเข้าใจตรงกันว่า เดอะเวิร์ลคือบุคคลเดียวกับนักสืบเชอร์ล็อกบนโลกแห่งความจริง
แล้วเราควรเริ่มจากตรงไหนดี…ถ้าเป็นเดอะฟูลคงต้องตอบด้วยมาดเคร่งขรึมว่า :
“รัตติกาล สุริยัน วายุสลาตัน ปัญญา ธรณี และยักษา”
จากนั้นก็นิ่งเงียบ ไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดเพิ่มเติม ปล่อยให้ตีความกันเอาเอง…
ไคลน์ก้มหน้าครุ่นคิด ก่อนจะให้เดอะเวิร์ลเปล่งเสียงแหบพร่า
“ผมเคยเห็นเทวรูปคล้ายคลึงภาพเหล่านี้”
เมื่อตระหนักว่าสายตาทุกคู่กำลังจ้องมองมายังตน มันบังคับให้เดอะเวิร์ลกล่าวเสริม
“ผมบังเอิญพบเข้าขณะสำรวจซากปรักหักพังใต้ดินจากยุคสมัยที่สี่”
ออเดรย์พลันเกิดความสนใจ แต่เธอยังคงรักษากิริยาสง่างาม
“มิสเตอร์เวิร์ล รูปปั้นในความทรงจำคุณมีหน้าตาเป็นเช่นไรหรือ ช่วงแสดงให้พวกเราเห็นได้ไหม? หรือถ้าต้องการเปลี่ยน ก็ลองพูดออกมา…”
“ไม่จำเป็น เรื่องนี้ช่วยขจัดความคาใจของผมได้ไม่น้อยเช่นกัน” เดอะเวิร์ลยิ้ม
จากนั้น มันแสร้งทำเป็นขออนุญาตเดอะฟูลและตอบรับเองเสร็จสรรพ ก่อนจะฉายภาพเทวรูปของเทพทั้งหกคู่กับตราศักดิ์สิทธิ์
ภาพแรกเป็นรูปปั้นของสตรีเลอโฉม รายละเอียดบนใบหน้าไม่คมชัด มือขวากำลังรองศีรษะในท่านอน ร่างกายทอดยาวไปตามแนวแท่นยกสูง สวมเดรสนักบวชสีดำราบเรียบแต่หลายชั้น ไม่หรูหราหรือโดดเด่นเกินพอดี ใต้ศีรษะมีวัตถุทรงกลมกำลังส่องแสงนวล
ชุดคลุมสะท้อนกับแสงตะเกียงจนเกิดประกายระยิบระยับ ราวกับเนื้อผ้าถูกประดับประดาด้วยอัญมณีเม็ดเล็กจำนวนมาก
เหนือศีรษะมีตราศักดิ์สิทธิ์ซึ่งทุกคนบนทวีปเหนือต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี :
ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งรัตติกาล
รูปปั้นสตรีผู้นี้ละม้ายคล้ายกับ ‘เทพมาร’ ตรงมุมซ้ายบนของจิตรกรรมฝาผนัง เพียงแต่มีใบหน้าเหมือนมนุษย์มากกว่า และปราศจากดวงตาน่าขยะแขยงรอบตัว
ไอ้พวกนอกรีต! พวกแกกล้าดูหมิ่นพระองค์ท่านได้ยังไง! ออเดรย์พลันเดือดดาล แต่เธอพยายามระงับโทสะเอาไว้
ในฐานะเทพมารนอกรีตชื่อดัง พระผู้สร้างแท้จริงคงพยายามทำให้สาวกของมันดูแคลนพระองค์ท่าน… แต่ทำไมถึงมีเทวรูปของเทพธิดาอยู่ในซากปรักหักพังใต้ดินได้…?
ไม่ใช่ว่าเทพจารีตจะต้องปราศจากร่างจริงหรอกหรือ? ควรจะมีเพียงตราศักดิ์สิทธิ์ให้สาวกได้กราบไหว้บูชา…
ออเดรย์ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าสับสน
อัลเจอร์เริ่มกระจ่างขึ้นจากเดิมเล็กน้อย
“เข้าใจแล้ว… เทพมารในจิตรกรรมฝาผนังคือหกเทพจารีตในปัจจุบันนี่เอง และในอดีต พวกท่านก็เคยมีรูปโฉมของมนุษย์มาก่อน…”
เข้าใจแล้วว่าทำไมโบสถ์ถึงต้องการค้นหาดินแดนเทพทอดทิ้งให้พบ…ดินแดนดังกล่าวคงมีทางเข้าซ่อนอยู่สักแห่งในทะเลโซเนีย แต่ถูกอำพรางไว้ด้วยวิธีพิเศษ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางเล็ดลอดสายตาเหล่าครึ่งเทพไปได้…
อัลเจอร์สรุปความคิด
เดอะซันพลันประหลาดใจ
“มิสเตอร์แฮงแมน ทั้งหมดนี่คือเทพจารีตตามคำบอกเล่าของพวกคุณใช่ไหม? เทพธิดารัตติกาล เทพวายุสลาตัน…”
“ถูกต้อง” แฮงแมนยืนยันหนักแน่น
“แล้วพวกท่านกระทำสิ่งใดลงไปบ้างในเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ? เกี่ยวข้องกับดินแดนเทพทอดทิ้งของพวกเราอย่างไร?” เดอร์ริครีบซักไซ้อย่างลืมตัว
น่าเสียดาย ไม่มีใครตอบคำถามมันได้
จากนั้น ฟอร์สยกมือขึ้นเล็กน้อย สีหน้าของเธอเจือความสับสนชัดเจน
“ทำไมถึงไม่มีเทพจักรกลไอน้ำ”
นั่นคือองค์ศาสดาของเธอ
จากพระคัมภีร์ของทวีปเหนือ เจ็ดเทพจารีตล้วนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันเสมอ!
“มีข่าวลือว่า เทพจักรกลไอน้ำ หรือชื่อเดิมคือเทพช่างฝีมือ เพิ่งเริ่มปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในช่วงยุคสมัยที่สี่เท่านั้น นับว่าช้ากว่าใครทั้งหมด และหากประเมินจากหลักฐานเหล่านี้ โอกาสเป็นจริงตามนั้นมีค่อนข้างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเพิ่งจะปรากฏตัวในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่ ไม่ใช่ช่วงต้นหรือกลาง…”
แฮงแมนอธิบายกึ่งคาดเดา
ท่ามกลางหัวข้อสนทนาเช่นนี้ มันยินดีเปิดเผยข้อมูลสำคัญโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน
แบบนี้นี่เอง… เมื่อตระหนักว่าตนขาดข้อมูลของศาสนาตัวเอง เนื่องจากแทบไม่เคยอ่านพระคัมภีร์เลยสักครั้ง ฟอร์สเกิดความรู้สึกผิดเล็กน้อย เธอไม่ต้องการให้ใครมองว่าตนนับถือศาสนาแบบขอไปที
เดอร์ริคไม่ถามซ้ำซาก เพียงกลับเข้าประเด็นความกังวลของตน
“ภาพนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญ?”
“บางทีล่ะนะ ขอแนะนำให้คุณลองหาวิธีทำลายมันดู แต่อย่าได้… เอ่อ อย่าได้ทำต่อหน้าประมุขของเมืองพิสุทธิ์เป็นอันขาด”
ใจจริง แฮงแมนต้องการพูดว่า ‘อย่าได้วิงวอนถึงพระนามเต็มของพวกท่านเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้น พวกท่านอาจลงมาสำแดงฤทธิ์เดชบนดินแดนเทพทอดทิ้ง’ แต่เมื่อลองไตร่ตรองอีกครั้ง มันลืมเสียสนิทว่าเดอะซันไม่เคยทราบพระนามเต็มของหกเทพจารีต
“ขอบคุณมาก มิสเตอร์แฮงแมน คุณช่างจริงใจและเป็นมิตรเหมือนกับทุกที และขอบคุณพวกคุณเช่นกัน มิสจัสติส มิสเมจิกเชี่ยน มิสเตอร์เวิร์ล ทุกคนมีจิตใจดีงามมาก”
เดอร์ริคกล่าวจากก้นบึ้ง
เป็นมิตร…? จริงใจ…?
แฮงแมนอึ้งจนหมดคำพูด
นับตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีใครอธิบายอุปนิสัยของมันด้วยสองคำนี้มาก่อน
หลังจากปล่อยให้สมาชิกแลกเปลี่ยนข้อมูลกันสักพัก ไคลน์พลันฉุกคิดบางสิ่งได้
ย้อนกลับไปในการสำรวจซากวิหารพระผู้สร้างต้นกำเนิดคราวก่อน เมืองเงินพิสุทธิ์ได้พบข้อความตรงมุมจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งแปลความหมายออกมาได้ว่า ‘กุหลาบไถ่บาป’ แต่ในคราวนั้น ชายหนุ่มมิได้สนใจชื่อดังกล่าวมากนัก
คงมองข้ามไม่ได้แล้ว… จากคำบอกเล่าของวิญญาณมารใต้ดิน องค์กรกุหลาบไถ่บาปถูกก่อตั้งและขับเคลื่อนโดยตระกูลเทวทูตปีกหัก เราจึงประเมินเอาเองว่า พวกมันอาจมีศักยภาพไม่ด้อยไปกว่าสภานักสิทธิ์สนธยา… บางที ‘วังวนกระแสเวลา’ ในคราวนี้อาจเป็นฝีมือพวกมันเช่นกัน…
คิดได้เช่นนี้ เดอะฟูลบนเก้าอี้หัวโต๊ะเริ่มขยับตัวเปลี่ยนท่านั่ง มือข้างหนึ่งเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวเป็นจังหวะ
ออเดรย์รีบหันมาจ้องด้วยดวงตาเปล่งปลั่ง เธอกำลังรอให้ท่านช่วยบอกใบ้แนวทางการสืบสวน
แฮงแมน เดอะซัน เมจิกเชี่ยน หรือแม้กระทั่งเดอะเวิร์ล ทุกคนกำลังแสดงสีหน้าคาดหวัง
ท่ามกลางม่านหมอกเทาหนาทึบ ไคลน์หัวเราะ ‘หึ’ ในลำคออย่างน่าเกรงขาม
“กุหลาบไถ่บาป”
กุหลาบไถ่บาป? ท่านหมายถึงอะไร…
หรือนี่คือกุญแจสำหรับหลุดพ้นจากวังวนกระแสเวลา? จริงสิ มุมหนึ่งของจิตรกรรมฝาผนังมีคำว่า ‘กุหลาบไถ่บาป’ ถูกเขียนเอาไว้!
เดอร์ริคเริ่มขมวดคิ้วด้วยสีหน้าครุ่นคิด คล้ายกับกำลังเข้าถึงแก่นสำคัญของบางสิ่ง
ด้านอัลเจอร์ ออเดรย์ และฟอร์สต่างก็จดจำคำว่า ‘กุหลาบไถ่บาป’ จนขึ้นใจ แต่ก็ยังไม่กระจ่างว่ามิสเตอร์ฟูลกำลังหมายถึงสิ่งใด
“ท่านเดอะฟูล กุหลาบไถ่บาปหมายความว่าอย่างไรหรือคะ” ออเดรย์อดใจไม่ไหว เธอชิงถามเป็นคนแรก
แต่ในคราวนี้ ไคลน์เอาแต่นิ่งเงียบโดยไม่ยอมบอกใบ้เพิ่มเติม เพียง ‘หึ’ หนึ่งครั้งในลำคอประหนึ่งกำลังมอบบททดสอบ
หลักการของมันไม่ซับซ้อน องค์กรกุหลาบไถ่บาปมีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับพระผู้สร้างแท้จริง ฉะนั้น ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง กุหลาบไถ่บาปต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิหารของพระผู้สร้างแท้จริงแน่นอนอยู่แล้ว
คำตอบคลุมเครือเช่นนี้ ยังไงก็ไม่มีวันผิด!
ส่วนกุญแจสำคัญคือสิ่งใด จะใช่ชื่อของกุหลาบไถ่บาปหรือไม่ ไคลน์ไม่จำเป็นต้องกังวลให้ปวดหัว เพราะมันเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายตีความเอาเองตามใจชอบ
แต่ถ้าเดอะซันหรือคนอื่นตีความผิดไป
นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเดอะฟูลสักหน่อย
……………………
ราชันเร้นลับ 462 : ปาฏิหาริย์คืออะไร
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเห็นเดอะฟูลหัวเราะในลำคอ ออเดรย์และทุกคนเบือนหน้ากลับมาโดยไม่มีใครซักถามเพิ่มเติม
ภายใต้สถานการณ์ซึ่งมีเพียงคำบอกใบ้โดยปราศจากการอธิบาย พวกมันมิได้มองว่าเป็นความผิดปรกติ ตัวตนระดับทัดเทียมเทพมักมีพฤติกรรมเช่นนี้แล้ว โดยในบางครั้ง ถ้อยคำจากปากก็มิใช่คำบอกใบ้ทางอ้อม แต่เป็นการมอบคำตอบทางตรง!
สำหรับตัวตนอย่างเดอะฟูล แค่ท่านช่วยบอกใบ้หนึ่งวลีก็นับว่ามากเกินพอ…
เป็นพวกเราเองต่างหาก ต้องนำมาตีความให้กระจ่าง และถ้ายังไม่พบคำตอบ นั่นแปลว่าแต่ละคนยังไม่แตกฉานมากพอ! ต้องรีบปรับปรุงตัวโดยด่วน!
ออเดรย์กำลังกดดันให้ตัวเองกลายเป็นนักจิตบำบัดโดยเร็ว
“…ถ้าจำไม่ผิด คุณเคยเล่าให้ฟังว่า มีข้อความ ‘กุหลาบไถ่บาป’ ปรากฏภายในวิหารดังกล่าว เมื่อครั้งทีมสำรวจชุดก่อนเข้าไปตรวจสอบใช่ไหม?”
อัลเจอร์เอียงคอถามเดอะซัน
โดยไม่ลังเล เดอร์ริคพยักหน้ารับหนักแน่น
“ถูกต้อง ถูกเขียนไว้ด้วยภาษาซึ่งพัฒนามาจากคนยักษ์อีกทอด ทางสภาอาวุโสใช้เวลามากพอสมควรในการถอดรหัส”
พัฒนามาจากภาษาคนยักษ์…
ขณะได้ยินเมื่อคราวก่อน อัลเจอร์มิได้เก็บไปใส่ใจมากนัก แต่เมื่อมีข้อมูลมากขึ้น มันจึงเริ่มเอะใจในบางประเด็น
เด็กชายแจ็คคนนั้นมาจากทะเลโซเนีย…
ภาษาต่อยอดจากคนยักษ์…
อัลเจอร์ก้มหน้าครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะขออนุญาตมิสเตอร์ฟูลฉายภาพข้อความหนึ่งวลี
อักษรดังกล่าวเป็นภาษาฟุซัคโบราณ สิ่งนี้คือรากฐานของภาษาทวีปเหนือทั้งหมด
ใจความว่า :
“กุหลาบไถ่บาป”
เมื่อได้เห็นเต็มสองตา เดอร์ริคพลันออกท่าทางตกตะลึงโดยไม่ปิดบัง
“ใกล้เคียงกันมาก… แต่อักษรสุดท้ายแตกต่างกันเล็กน้อย มิสเตอร์แฮงแมน นี่คือภาษาของดินแดนพวกคุณหรือ”
ขณะเอ่ยปากถาม เดอร์ริคฉายภาพอักษรตรงมุมจิตรกรรมฝาผนังซึ่งมีความหมายว่า ‘กุหลาบไถ่บาป’
“ถูกต้อง” อัลเจอร์พยักหน้า “แต่อักษรของผมถูกพัฒนาขึ้นจากเดิมเล็กน้อย อักษรบนผนังในวิหารคงเป็นภาษาเก่ากว่านี้”
ผิดแล้วสหาย ในโลกแห่งภาษาศาสตร์ อักษรซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับภาษาฟุซัคโบราณ จะถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในจักรวรรดิโซโลมอนแห่งยุคสมัยที่สี่…
นักศึกษาภาควิชาประวัติศาสตร์ ไคลน์ มอบคำตอบถูกต้องในใจ
อัลเจอร์เว้นวรรค
“ถ้าอย่างนั้น ภาพจิตรกรรมฝาผนังดังกล่าวมีรายละเอียดเป็นแบบไหน”
“ผมไม่ได้เข้าไปสำรวจภาพนั้น จึงไม่ได้เพ่งมองอย่างละเอียดก่อนออกมา…” ขณะกล่าว เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าละอายใจ
อัลเจอร์พยักหน้ารับพลางมอบคำแนะนำต่อไปด้วยสีหน้าปรกติ
“หาโอกาสตรวจสอบภาพให้ได้ ผมเชื่อว่าคงมีเบาะแสสำคัญซ่อนอยู่ในภาพดังกล่าว”
“ตกลง!” เดอร์ริคมั่นใจว่านี่คือกุญแจสำคัญในการหลุดพ้นจากวังวนกระแสเวลา
เมื่อเห็นบทสนทนาเริ่มบรรเทาความตึงเครียด ออเดรย์ยกมือถามอย่างสับสนกึ่งอยากรู้อยากเห็น
“มิสเตอร์แฮงแมน ถ้าเด็กชายแจ็คเป็นบุตรของผู้สดับตามคำอธิบายของคุณจริง ทำไมเขาถึงสื่อสารกับทีมสำรวจของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์รู้เรื่อง?”
หลังจากถกเถียงกันในหัวข้อภาษาศาสตร์ด้วยประเด็นของ ‘กุหลาบไถ่บาป’ ออเดรย์เริ่มมั่นใจว่าเมืองเงินพิสุทธิ์ใช้ภาษาและตัวอักษรไม่เหมือนกับทวีปเหนือใต้ หรือแม้กระทั่งอาณาจักรโลเอ็น
หากเป็นบนห้วงมิติเหนือสายหมอกแห่งนี้ ทุกคนสื่อสารกันอย่างไหลลื่นเพราะมีมิสเตอร์ฟูลคอยอำนวยความสะดวก…
หญิงสาวความคำสรรเสริญภายในใจ
อัลเจอร์หันมาพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งเย้ยหยัน
“มิสจัสติส คุณยังไม่เคยผ่านประสบการณ์เหนือธรรมชาติเลยสักครั้งใช่ไหม ในเมื่อแจ็คกลายเป็นปีศาจน่าสะพรึงกลัวไปแล้ว การจะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านอื่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เชื่อผมเถอะ ภายในโลกของผู้วิเศษ การเชี่ยวชาญสักภาษาไม่ใช่เรื่องยาก อาจใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที”
“…”
ออเดรย์พลันกะพริบตาถี่ เธอเพิ่งตระหนักว่าตนปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อออกไป คำพูดเมื่อครู่เป็นหลักฐานว่าเด็กสาวยังไม่เคยผ่านเหตุการณ์เหนือธรรมชาติด้วยตัวเองมาก่อน
เมื่อการถกเถียงเกี่ยวกับเดอะซันจบลง ชุมนุมทาโรต์กลับเข้าสู่กิจกรรมปรกติ ออเดรย์ชำเลืองไปทางบุคคลหัวโต๊ะและกล่าว
“มิสเตอร์ฟูล สำหรับวันนี้ ดิฉันรวบรวมไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์ได้สามหน้า ยังติดข้างอีกเจ็ดหน้าค่ะ!”
ได้ยินเช่นนั้น ฟอร์สรีบเสริม
“มิสเตอร์ฟูล ทางดิฉันก็ได้รับการยืนยันแล้วเช่นกัน คราวหน้าจะมีไดอารีจักรพรรดิโรซายล์มามอบให้ท่านแน่นอน”
“ทำได้ดี” ไคลน์หัวเราะในลำคอ
เดอร์ริคเริ่มรู้สึกผิดอีกครั้ง เพราะมันมัวแต่ติดภารกิจสำรวจเป็นเวลานาน จนไม่มีโอกาสแวะหอสมุดเพื่อศึกษาวิชาประวัติศาสตร์มาเล่าให้เดอะฟูลฟัง
เมื่อขั้นตอนการบันทึกลงบนกระดาษของเด็กสาวจบลง ไคลน์เสกไดอารีสามหน้ามาถือ พร้อมกับเริ่มอ่านด้วยความคาดหวัง
“8 สิงหาคม เราถูกเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังเมเปิลขาวเป็นครั้งแรก งานเลี้ยงคราวนี้จัดขึ้นโดยฝ่าบาทเอง! พวกชนชั้นสูงแม่งโคตรฟุ่มเฟือย! อาหารแต่ละชนิดล้วนเกิดจากความอยากลองของแปลกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นห่านย่างหรืออัณฑะแกะ…”
“แต่ต้องยอมรับเลยว่า ชนชั้นสูงของโลกนี้รักสะอาดจนน่าประหลาดใจ ขอเน้นย้ำว่าเฉพาะชนชั้นสูง พวกมันอาบน้ำบ่อยครั้งมาก แถมยังเริ่มมีกระดาษชำระใช้แล้ว แตกต่างจากโลกยุคกลางโดยสิ้นเชิง เดิมที เราเข้าใจว่าความสะอาดเกิดจากการมีอยู่ของเทพ มนุษย์จึงได้รับ ‘วิวรณ์’ คอยชี้นำอย่างต่อเนื่อง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย พวกมันรักสะอาดเพราะถูกปัจจัยด้านโรคระบาดคุกคาม ผู้วิเศษบางเส้นทางสามารถสร้างโรคระบาดร้ายแรงและแพร่กระจายได้เร็ว เราเองก็ชักอยากทราบว่า พลังดังกล่าวเป็นของเส้นทางใดกันแน่ ระหว่างนั้น เราเริ่มเกิดความสงสัยว่า บรรดาชนชั้นสูงมีปัญหาทางสมองหรือไม่ เพราะถ้าพวกมันหวาดกลัวโรคระบาดจริง ทำไมถึงไม่ทำถนนให้สะอาด? ทำไมถึงไม่ออกแบบระบบท่อน้ำทิ้งให้สมบูรณ์? ทำไมถึงไม่ยกระดับคุณภาพของชุมชนแออัด? เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเมืองเดียวกัน หรือกำลังจะบอกว่า ตรงนั้นจะเกิดโรคระบาดก็ช่างหัวมันปะไร ขอแค่ในวังปลอดภัยก็พอ? แต่พวกมันก็คิดไม่ผิด ด้วยการมีแหล่งน้ำเป็นของตัวเอง มีอาหาร และบริเวณวังก็ตัดขาดกับเมืองหลวงอย่างชัดเจน โอกาสได้รับเชื้อโรคจึงต่ำมาก…”
“แต่อย่าลืมว่ามีโรคระบาดซึ่งแพร่ทางอากาศอยู่ด้วย! หากเรากลายเป็นคนใหญ่คนโตเมื่อไร ขอสาบานว่าจะกำจัดความโสโครกออกจากเมืองหลวงโดยเร็ว ต่อให้ไม่มีโรคระบาดมาเกี่ยวข้อง แต่การต้องอาศัยภายในเมืองเหม็นบัดซบก็ชวนให้อาเจียนเต็มทีแล้ว! จริงสิ คืนนี้เราก็ได้รับคำเชิญจากฝ่าบาทให้ไปเข้าเฝ้าอีกครั้ง เราเคยคิดว่า ในฐานะผู้เดินทางจากต่างโลกและมีการศึกษาสูง มนุษย์ทุกคนนั้นเท่าเทียมกันหมด ไม่มีใครเหนือกว่าใคร เราจะไม่ทำตัวอ่อนน้อมหรือโอหังใส่พระราชาเด็ดขาด แต่ในความเป็นจริง เรากลับตื่นตระหนกและประหม่าอย่างมาก ร่างกายขยับคุกเข่าหนึ่งข้างและโค้งคำนับไปเอง ถึงเราจะมั่นใจมากก็ตาม ว่าศักดิ์ศรีของเรามิได้ด้อยไปกว่าองค์กษัตริย์สักเท่าไร… นี่คือความน่าเกรงขามของพลังอำนาจ!”
แม้ว่าไดอารีทั้งหน้าจะเต็มไปด้วยเรื่องราวในชีวิตประจำวันเหมือนเคย แต่จักรพรรดิกลับยังทำให้เราขำได้… จริงอยู่ เขาอาจเป็นคนมีความมุ่งมั่นสูง เนื่องจากเป็นคนยุคใหม่และหัวก้าวหน้า ผู้ชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน…
แต่เมื่อได้เจอ ‘ของจริง’ กลับยังเลี่ยงการประจบประแจงบุคคลทรงอิทธิพลไม่ได้…
ไคลน์ยิ้มอย่างผ่อนคลาย
มันเปิดไปยังหน้าสองและเริ่มอ่านต่อ
“11 พฤศจิกายน เรากำลังจะกลายเป็นลำดับ 4 หรือรู้จักกันในนามครึ่งเทพ หลังจากนี้ หากเราไม่เกิดคลุ้มคลั่งไปก่อน ‘ระดับตัวตน’ ของเราจะถูกพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จะมิใช่สิ่งมีชีวิตอ่อนแออายุสั้นเหมือนกับมนุษย์ปรกติอีกแล้ว แต่ถ้าถามว่าจะมีอายุยืนได้สูงสุดกี่ปี คำตอบคือ : ขึ้นอยู่กับแต่ละเส้นทาง! เรามีสองทางเลือก หนึ่ง นักแปรธาตุแห่งเส้นทางนักปราชญ์ และสอง ปราชญ์พิศวงแห่งเส้นทางผู้ส่องความลับ ลงเอยด้วย เราตัดสินใจไม่เปลี่ยนเส้นทาง เพราะมองว่า ‘ปราชญ์เร้นลับ’ นั้นอันตรายเกินไป และยิ่งไปกว่านั้น เราเคลือบแคลงมาตลอดว่า ปราชญ์เร้นลับอาจไม่ใช่เทพตัวจริง เป็นการสวมรอยของเทวทูตลำดับรองลงมาเล็กน้อย”
“หากได้เป็นนักแปรธาตุ เราจะมีพลังในการฝัง ‘วิญญาณ’ ลงไปในวัตถุและมอบชีวิตใหม่ให้กับพวกมัน คงเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับพระผู้สร้างกระมัง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พลังของนักแปรธาตุนั้นยากจะหาใครทัดเทียม และยังเป็นเหตุผลให้เราเลือกเดินบนเส้นทางนี้อย่างไม่ไขว้เขว หากกลายเป็นนักแปรธาตุได้เมื่อไร หนึ่งในความฝันของเราก็จะลุล่วงสักที ในอนาคตจะต้องมีใครบางคนพูดขึ้นว่า ‘กองทัพของเรามิได้อ่อนแอ เพียงแต่ไอ้พวกขี้โกงนั่นมันมีกันดั้ม!’ และจะไม่มีกันดั้มใดสมจริงไปกว่าของเราอีกแล้ว! แต่ปัญหาสำคัญก็คือ พิธีกรรมการเลื่อนลำดับเป็นนักแปรธาตุค่อนข้างโหดร้าย เราต้อง ‘ดึง’ ทุกชีวิตภายในหนึ่งดินแดนออกมา เปลี่ยนให้บริเวณดังกล่าวกลายเป็นทะเลทราย ไม่มีแม้กระทั่งสายน้ำไหลผ่าน… ฟังดูเหมือนกับพิธีกรรมบูชายัญของนิกายนอกรีตฉิบ… เราคิดอยู่เสมอว่า ระบบโอสถของโลกใบนี้เต็มไปด้วยความดำมืดและบ้าคลั่ง ยิ่งในบางกรณี เรื่องราวฟังดูโหดร้ายจนทำให้หดหู่เพียงแค่จินตนาการภาพตาม”
จักรพรรดิคิดเหมือนเราเลยแฮะ…
อ่านถึงตรงนี้ ไคลน์อดถอนหายใจไม่ได้
ในบางครั้ง มันเองก็รู้สึกว่าเบื้องหลังของโลกปัจจุบันช่างมีสีเทาเข้มจนเกือบดำสนิท แถมยังเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
โดยเฉพาะกฎเหล็กทั้งสามข้อ กฎอนุรักษ์พลังพิเศษในเส้นทางใกล้เคียง กฎความถาวรของพลังพิเศษ และกฎการดึงดูดระหว่างพลังพิเศษในเส้นทางเดียวกัน ทั้งหมดล้วนนำพาหายนะมาให้โลกทั้งสิ้น
‘อาชีพ’ นักแปรธาตุนับว่าน่าสนใจมาก และพลังในการเล่นแร่แปรธาตุชีวิต ก็ยังฟังดูเหมือนกับพลังต้องห้ามซึ่งอยู่ในขอบเขตของเทพเท่านั้น… ชักน่าสนใจแล้วว่า ก่อนถูกลอบสังหาร จักรพรรดิโรซายล์สร้างกันดั้มเสร็จสักตัวหรือไม่… บางทีคงไม่…
ไคลน์ปล่อยความคิดเตลิดโดยไม่ควบคุม
ขณะเดียวกัน มันก็ยังอยากรู้รายละเอียดของพิธีกรรมสำหรับก้าวเข้าสู่ขอบเขตแห่งครึ่งเทพ แต่น่าเสียดาย โรซายล์มิได้เขียนบันทึกไว้อย่างละเอียด เพราะนี่เป็นเพียงไดอารี มิใช่สมุดบันทึกกิจวัตรประจำวัน
สำดับ 4 ‘ปราชญ์พิศวง’ แห่งเส้นทางผู้ส่องความลับก็ฟังดูน่าสนใจไม่น้อยเช่นกัน…
ไคลน์พลิกไปยังกระดาษแผ่นสุดท้ายและเริ่มอ่านไดอารีหน้าสาม
“23 เมษายน พวกคนชั้นสูงของโลกนี้เสียสติกันไปใหญ่แล้ว! เราเคยคิดว่า มาดามคาเรนยั่วยวนให้เรามีเพศสัมพันธ์ด้วยเพราะหลงใหลในหน้าตาหรือบุคลิก แต่ใครจะไปคิดว่า สามีของหล่อน เอิร์ลแห่งแชมเปญ กำลังแอบดูจากผนังห้องติดกัน! ไอ้วิตถารนั่นเกิดเงี่ยนขึ้นมาและอยากสอยก้นเรา! ต้องขอโทษจริงๆ แต่เรื่องเวรตะไลแบบนี้เกิดขอบเขตการทำใจยอมรับของเราไปมาก เราไม่มีทางเลือกนอกจากเตะก้นมันไปหนึ่งที เมื่อเทียบกับความจังไรของคนเหล่านี้ เราจะกลายเป็นเด็กทารกไปเลย!”
“…”
ไคลน์ถึงกับหมดคำพูด มันรู้สึกว่าชีวิตประจำวันของโรซายล์เต็มไปด้วยความตื่นเต้นแสนพิสดาร ความวิตถารของขุนนางอินทิสได้อยู่นอกเหนือจินตนาการไปมากทีเดียว
หากชนชั้นสูงสักคนเกิดอยากลองอะไรแปลกๆ เช่นการมีเซ็กซ์กับลิงบาบูนขนหยิก รับรองได้เลยว่าอีกไม่นานต้องเกิดการระบาดของโรคบางชนิดซึ่งรักษาไม่หาย…
ไคลน์ถอนหายใจยาว
“25 เมษายน เพื่อทำให้จิตใจสงบนิ่งและเสริมสร้างความสุขุม เราตัดสินใจเดินทางไปตกปลายังทะเลสาปสวอน หวังว่าสักวันจะมีโอกาสได้ตกนางเงือกในทะเลบ้าง เฮ่อ พักหลังมานี้ เราเริ่มทำตัวเอื่อยเฉื่อยมากไปแล้ว ไม่ได้การ! ต้องปลุกจิตวิญญาณนักประดิษฐ์กลับมาให้ได้! ในฐานะนักเดินทางข้ามโลก เราต้องจารึกชื่อตัวเองไว้ในหน้าประวัติศาสตร์!”
แต่รุ่นพี่น่าจะทำตัวเอื่อยเฉื่อยไปตามเดิมมากกว่า… มุมปากไคลน์เริ่มกระตุกขณะแสดงความเห็นติดตลก
ถัดมา มันก้มหน้าอ่านย่อหน้าสุดท้ายของไดอารีอย่างใจเย็น
“26 เมษายน ซาราธมาเยี่ยมบ้าน เราจึงตัดสินใจถามไปว่า ‘ปาฏิหาริย์’ หมายถึงสิ่งใด เขาถามเรากลับ ว่าเราคิดเช่นไร คิดแบบไหนงั้นหรือ? ปาฏิหาริย์ก็ต้องเป็นพวกสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอยู่แล้ว! ยกตัวอย่างเช่น บรมมหาราชวังสนธยาแห่งจักรพรรดิฟุซัค หนึ่งในถิ่นพำนักของมหาราชาคนยักษ์ เออร์เมียร์”
“ซาราธยอมบอกคำตอบของตัวเอง เขากล่าวว่า : สิ่งใดคือปาฏิหาริย์? ปาฏิหาริย์คือการคืนชีพจากความตาย!”
……………………
ราชันเร้นลับ 463 : ถามเองตอบเอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปาฏิหาริย์คือการคืนชีพจากความตาย?
ไคลน์พลันหวนนึกถึงเรื่องราวรอบตัว
ชายผู้ยิงสมองตัวเองจนทะลุแต่บาดแผลกลับสมานติดกันภายในเวลาอันสั้น ชายผู้ถูกทำลายหัวใจจนแหลกละเอียดและถูกวินิจฉัยว่าเสียชีวิต แต่กลับคลานออกจากหลุมศพได้ในตอนกลางคืนของวันเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ต้องเป็น ‘ปาฏิหาริย์’ ในความหมายของผู้นำลัทธิเร้นลับ ซาราธ อย่างไม่ต้องสงสัย!
ไม่เพียงเท่านั้น ลำดับสองของเส้นทางนักทำนายยังมีชื่อว่า ‘ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์’ …
ในวินาทีนี้ ไคลน์รู้สึกคล้ายกับตนสามารถจับประเด็นสำคัญได้ แต่ยังมิอาจนำข้อมูลทั้งหมดมาปะติดปะต่อให้เกิดภาพชัดเจน
ไปเป็นตามทฤษฎีของเราก่อนหน้านี้ การตัดสินใจเลือกเส้นทางนักทำนายของเรา ถูกปัจจัยภายนอกรบกวน… อา… ห้วงมิติเหนือสายหมอกสนับสนุนพลังของนักทำนายได้อย่างเหมาะเจาะ โดยเฉพาะพลัง ‘ขจัดการแทรกแซง’ ผลทำนาย… บางที การเกิดใหม่ของเราก็อาจเป็นผลมาจากห้วงมิติเหนือสายหมอกด้วยเช่นกัน…
หลังจากเดินทางมายังเบ็คลันด์ได้ไม่นาน นักเชิดหุ่น โรซาโก้ ก็ถูกบางสิ่งชักจูงให้มาพัวพันกับเราทันที นี่คงเป็นกฎการดึงดูดระหว่างพลังพิเศษในเส้นทางเดียวกัน…
ยิ่ง ‘ระดับ’ ของพลังสูงเท่าไร แรงดึงดูดก็ยิ่งมากเท่านั้น และมิติเหนือสายหมอกคงมีแรงดึงดูดมหาศาล…รวมถึงเหตุการณ์พิสดารของสมุดบันทึกอันทีโกนัส มันควบคุมให้ตุ๊กตาอัปมงคลแสดงสัญลักษณ์เกี่ยวกับเทือกเขาโฮนาซิสต่อหน้าเรา นี่ก็คงเป็นอิทธิพลจากกฎข้อดังกล่าวด้วย…
เมื่อนำทุกปัจจัยมารวมกัน เราสามารถอนุมานได้ว่า ห้วงมิติพิสดารแห่งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเส้นทางนักทำนายอย่างลึกซึ้ง…
หรือจะเป็นสมบัติปิดผนึกประจำเส้นทาง? หรือจะเป็นอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของลำดับ 0 แห่งเส้นทางนักทำนาย?
รวมถึงยังมีโอกาสเป็น ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางนักทำนายด้วยเช่นกัน…
ไคลน์เบือนหน้าออกจากไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ มันเริ่มเกิดความกระหายอยากเป็นครึ่งเทพยิ่งกว่าเก่า เนื่องจากกำลังสงสัยว่า ดินแดนเบื้องบนเหนือ ‘ขั้นบันไดแสง’ จะมีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่
ภายในนั้นอาจมีความลับการเดินทางข้ามโลกของเรา รวมไปถึงวิธีกลับบ้าน…
ชายหนุ่มข่มความตื่นเต้นพร้อมกับสลายไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ทิ้ง
ใจเริ่มหวาดระแวงหัวหน้าใหญ่แห่งลัทธิเร้นลับ ซาราธ ยิ่งกว่าเดิม
ชายคนนั้นคือบุคคลทรงพลัง และยังเป็นผู้ชี้นำปาฏิหาริย์มานานหลายปีแล้ว!
บางที ซาราธอาจกำลังแอบวางแผ่นชั่วร้ายอยู่ในเงามืด รอคอยให้ถึงเวลาอันเหมาะสมหรือเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น!
แม้ว่าเรื่องราวตึงเครียดจะกำลังผุดเต็มสมองไคลน์ แต่สีหน้าและแววตาภายนอกกลับมิได้เผยอาการผิดปรกติ
“พวกเจ้าเริ่มได้”
ฟอร์สรีบหันไปมองจัสติส ผู้นั่งเก้าอี้ฝั่งเดียวกันกับตน พลางซักถามด้วยสีหน้าแกมคาดหวัง
“อาจารย์ของดิฉันตอบกลับมาแล้ว เขาบอกว่ายินดีขายดวงตามังกรกระจกหนึ่งคู่ในราคาหนึ่งพันปอนด์”
เมื่อกล่าวจบ หญิงสาวพลันรู้สึกผิดในใจ เพราะอาจารย์ของตน โดเรียน·เกรย์ ได้ตั้งราคาให้เธอสูงถึงแปดร้อยปอนด์ นับเป็นราคาสูงกว่าตลาดราวสองสามร้อยปอนด์ และเพื่อตัวเธอเอง ฟอร์สจำเป็นต้องหักค่านายหน้าเพิ่มอีกสองร้อยปอนด์ กลายเป็นหนึ่งพันปอนด์ถ้วน
ด้วยประสบการณ์จากชุมนุมลับมากมาย เราจึงเข้าใจสัจธรรมอย่างถ่องแท้หนึ่งข้อ…เฉกเช่นคำกล่าวของจักรพรรดิโรซายล์ :
“เงินไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา แต่ทุกปัญหาแก้ไขได้ด้วยเงิน”
แม้ว่าเราจะมีรายรับค่อนข้างแน่นอนจากการขายนิยายเรื่องใหม่ และยังมีเงินออมประมาณสามร้อยห้าสิบปอนด์ แต่ค่าใช้จ่ายของเราก็ไม่น้อยเช่นกัน ยังเหลือถุงกระเพาะของผู้กลืนวิญญาณให้ต้องซื้อ ยังเหลือค่าใช้จ่ายสำหรับโอสถลำดับ 7 6 5 และ 4…
มิสเตอร์ฟูลเคยบอกใบ้ว่า เราจะหลุดพ้นจากคำสาปจันทร์เต็มดวงก็ต่อเมื่อกลายเป็นครึ่งเทพแล้วเท่านั้น… จริงอยู่ บางส่วนอาจหาได้จากอาจารย์ แต่เราไม่ควรพึ่งพาตระกูลอับราฮัมไปเสียทั้งหมด…
ดังนั้น ลำพังเงินจากการเขียนนิยายย่อมไม่เพียงพอต่ออนาคต เราต้องมีช่องทางทำเงินด้านอื่นควบคู่…
ราคาหนึ่งพันปอนด์นับว่าค่อนข้างสูง ถ้ามิสจัสติสต้องการต่อรอง เราจะกลับไปขอให้อาจารย์ช่วยลดค่านายหน้าลงสักหนึ่งร้อยปอนด์ จากนั้นค่อยกลับมาเสนอราคาใหม่…
ขณะรอคำตอบจากอีกฝ่าย ฟอร์สกำลังปลอบใจตัวเองไม่ให้รู้สึกผิด
“หนึ่งพันปอนด์?” ออเดรย์คาดไม่ถึงว่าตนจะได้รับข่าวคราวของวัตถุดิบโอสถนักจิตบำบัดเร็วขนาดนี้ จึงต้องถามย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิด
แต่เด็กสาวไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับ เธอรีบเสริมอย่างตื่นเต้นยินดี
“ตกลง!”
แม้ว่าจะยังติดเงินผ่อนงวดสุดท้ายกับไวเคาต์กายลินอยู่ และยังติดเงินผู้รับใช้เดอะฟูลอีกสองพันปอนด์ แต่ออเดรย์ก็ไม่ตระหนี่การใช้จ่ายมากนัก เพราะในช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ เธอกำลังจะถูกประกาศให้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
การเป็นผู้ใหญ่ไม่เพียงจะได้รับสิทธิ์บริหารสมบัติของตัวเองมากขึ้น แต่ยังจะได้รับของขวัญราคาแพงอีกหลายชิ้น เช่น เอิร์ลฮอลล์ให้สัญญาไว้แล้วว่า จะโอนหุ้นของธนาคารเบ็คลันด์มูลค่าห้าหมื่นปอนด์ให้เป็นในนามของบุตรสาว รวมถึงเงินสดอีกไม่ต่ำกว่าสองพันปอนด์ ดังนั้น กับสิ่งสำคัญอย่างวัตถุดิบหลักโอสถแสนหายาก การใช้จ่ายหนึ่งพันปอนด์จึงแทบไม่ต้องคิดให้ปวดหัว
โดยก่อนหน้านี้ออเดรย์ได้ขอเลื่อนจ่ายเงินสองพันปอนด์ให้ข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูลไปเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคมแล้ว
ขณะเดียวกัน เธอวางแผนเร่งสะสางหนี้สินของไวเคาต์กายลินให้เสร็จ ไปพร้อมกับการแอบเก็บเงินก้อนหนึ่งสำหรับซื้อวัตถุดิบโอสถนักจิตบำบัด คนในครอบครัวจะได้ไม่เคลือบแคลงการใช้เงินของเธอ
และนี่คือเวลาเหมาะสมสำหรับใช้เงิน!
อย่างน้อย ถ้าเรารัดเข็มขัดให้เหมือนกับช่วงก่อนหน้า ก็คงไม่มีใครเอะใจว่าเราแอบใช้เงินมากผิดปรกติ รอจนกระทั่งมีนาคม อิสระทางการเงินก็จะกลับคืนมาสักที!
เธอตอบตกลงทันที…? ใช่แล้ว เราฟังไม่ผิด เธอตอบตกลงทันที! ฟอร์สทั้งดีใจและสับสน
จากนั้น เธอขอให้เดอะฟูลเป็นสักขีพยานการแลกเปลี่ยน และนัดแนะให้มิสจัสติสจ่ายเงินมาก่อน ตนจะได้นำเงินก้อนดังกล่าวไปซื้อสินค้า และส่งมอบกลับคืนให้ในวันพุธ
ภายในใจฟอร์สกำลังวางแผนว่า เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ เธอจะตรงดิ่งไปยังท่าเรือพริสต์ทันทีเมื่อได้รับเงินหนึ่งพันปอนด์ หลังจากครุ่นคิดจนพึงพอใจ หญิงสาวหันไปจ้องสามสุภาพบุรุษ เดอะซัน แฮงแมน และเดอะเวิร์ล
“มีใครพบเบาะแสถุงกระเพาะของผู้กลืนวิญญาณบ้างไหม”
ในรอบสัปดาห์ผ่านมา หลังจากเริ่มใจเย็นลงและตั้งสมาธิกับการสวมบทบาท ฟอร์สพบว่าตนสามารถย่อยโอสถได้เร็วกว่าช่วงก่อนหน้าถึงสองเท่า หนึ่งสัปดาห์ใหม่มีค่าเท่ากับสองสัปดาห์เก่า
ขอเวลาอีกสิบวัน เธอมั่นใจว่าโอสถผู้ฝึกหัดของใหม่จะถูกย่อยโดยสมบูรณ์
หญิงสาวยังเชื่อด้วยว่า หากเธอสามารถรวบรวมวัตถุดิบหลักของโอสถนักตุกติกได้เองจนครบ ตนจะผ่านบททดสอบแรกของอาจารย์โดเรียน·เกรย์ด้วยคะแนนประเมินสูง นั่นจะทำให้อีกฝ่ายมองตนในมุมใหม่ ไม่ใช่การเป็นศิษย์เพียงเพราะความสงสารหรือหนี้บุญคุณอีกต่อไป
เดอร์ริคพยักหน้ารับ
“ผมกำลังจะบอกคุณอยู่พอดี ทีมสำรวจในคราวนี้ได้รับถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนวิญญาณติดมาแล้ว และผมสามารถแลกเปลี่ยนได้ในราคาต่ำกว่าปรกติ แต่คงต้องรอให้กลับถึงเมืองก่อน แล้วก็ เอ่อ ผมต้องไม่ถูกจับตามองโดยสภาอาวุโส”
“ไม่มีปัญหา แต่ทางคุณไม่ได้ใช้หน่วยเงินทองปอนด์ใช่ไหม” ฟอร์สถามเถรตรง
หลังจากฟังเรื่องราวเกี่ยวกับวังวนกระแสเวลา หญิงสาวเริ่มเข้าใจธรรมชาติของเมืองเงินพิสุทธิ์มากขึ้น
โดยไม่รอให้เดอะซันตอบ อัลเจอร์ชิงแทรก
“คุณสามารถส่งเงินมาให้ผมได้โดยตรง สักสามร้อยปอนด์ก็แล้วกัน ถือว่าเป็นราคากลาง ส่วนผมจะมอบสูตรโอสถ ‘ข้ารับใช้สุริยัน’ ให้เดอะซันเอง”
“มิสเตอร์แฮงแมน คุณมีสูตรโอสถข้าใช้รับสุริยันแล้วหรือ” เดอร์ริคโพล่งถามด้วยสีหน้าตื่นเต้นโดยไม่ปิดบัง
ในภารกิจปัจจุบัน เด็กหนุ่มเริ่มตระหนักอย่างแจ่มชัดว่า พลังของเส้นทางสุริยันเหมาะแก่การรับมือความมืดเป็นอย่างมาก
จริงอยู่ ลำดับ 6 ของเส้นทางคนยักษ์ อัศวินรุ่งอรุณ สามารถสร้างแสงแรกของวันได้อย่างสว่างไสว แต่ยังเป็นคนละชั้นถ้านำมาเทียบกับความบริสุทธิ์ของแสงศักดิ์สิทธิ์จากเส้นทางสุริยัน
แฮงแมนพยักหน้ารับ
“ถูกต้อง”
ในความเป็นจริง คลังเก็บเอกสารของโบสถ์วายุสลาตันประจำหมู่เกาะรอสต์มีสูตรโอสถข้ารับใช้สุริยันเก็บรักษาไว้ แต่มันเพิ่งมีสิทธิ์เข้าไปอ่านเมื่อไม่กี่วันก่อน โดยอัลเจอร์อาศัยความเจ้าเล่ห์ ฉกฉวยโอกาสบางอย่างอ้างตัวเข้าไปอ่านสูตรผ่านสายตาหนึ่งรอบ
มันให้เหตุผลกับทางโบสถ์ว่า ตนพบเบาะแสของนักบวชของโบสถ์สุริยันเจิดจรัสในทะเลโซเนีย และเมื่ออีกฝ่ายไม่สามารถกลับอินทิสได้ในช่วงนี้ การจะซื้อสูตรโอสถจึงต้องเกิดขึ้นภายในทะเลโซเนีย ดังนั้น หากต้องการจะจับตัวมาสอบสวน อัลเจอร์ใช้ข้ออ้างว่า ตนจำเป็นต้องทราบวัตถุดิบทั้งหมดของโอสถข้ารับใช้สุริยันเสียก่อน
พฤติกรรมเช่นนี้ถือเป็นเหตุการณ์ปรกติ เพราะโบสถ์วายุสลาตันและโบสถ์สุริยันเจิดจรัสขัดแย้งกันอย่างรุนแรงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
เดอร์ริคโล่งใจในตอนต้น แต่จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วน
“สูตรโอสถลำดับ 7 มีค่ามากกว่าถุงกระเพาะของผู้กลืนวิญญาณหลายเท่า ล…และผมก็ไม่มีทองปอนด์จะมอบให้คุณ”
“ไม่ต้องห่วง คุณสามารถเพิ่มเติมด้วยวัตถุดิบโอสถมูลค่าใกล้เคียงกันได้” แฮงแมนตอบเสียงเรียบ ท่าทีเป็นไปอย่างคล่องแคล่วราวกับเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว “แต่ผมยังไม่ทราบว่าทางคุณมีวัตถุดิบประเภทใดบ้าง… ก่อนอื่น ช่วยจดรายชื่อสัตว์ประหลาดรอบเมืองเงินพิสุทธิ์อย่างละเอียดรวมถึงวัตถุดิบโอสถเกี่ยวข้องมาให้ผม จากนั้น ผมจะเลือกให้เหมาะสมกับราคาเอง”
“ไม่มีปัญหา ไว้ภารกิจสำรวจคราวนี้จบลงเมื่อไร ผมจะรีบจัดการให้ทันที” เดอร์ริคถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย
ไม่ห่างออกไป ไคลน์อยากเลื่อนมือขึ้นมาปิดหน้าเมื่อเห็นว่าเดอะซันหลงกลแฮงแมนเข้าอีกแล้ว ว่ากันตามตรง มันเองก็อยากทราบว่าสัตว์ประหลาดรอบเมืองเงินพิสุทธิ์ประกอบไปด้วยสายพันธุ์ใดบ้าง และมอบวัตถุดิบโอสถแบบใด แต่ข้อมูลดังกล่าวมีราคาต้องจ่าย จึงไม่เคยหยิบยกขึ้นมาพูด
ขณะออเดรย์กำลังถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แฮงแมนกวาดสายตาหนึ่งรอบและบอกข้อเรียกร้องกับทุกคน
“ผมต้องการดวงตาของอินทรีทะเลตามังกรหนึ่งคู่ จะจ่ายให้อย่างเหมาะสม”
ในคราวนี้ เขาเอ่ยเพียงดวงตาของอินทรีทะเลตามังกร…หรือก็คือ มิสเตอร์แฮงแมนพบเบาะแสของผลึกขนเหยี่ยวเงาฟ้าแล้ว…รวดเร็วมาก เขามีช่องทางและเครือข่ายข้อมูลกว้างขวางแค่ไหนกัน…
ออเดรย์ ผู้ทราบสูตรผลิตโอสถข้ารับใช้วายุอย่างคร่าว กำลังนั่งประเมินสถานการณ์
เมื่อช่วงเวลาแลกเปลี่ยนจบลง ถัดไปเป็นการพูดคุยอิสระ แต่ละคนเริ่มเล่าถึงสถานการณ์ในละแวกใกล้เคียงของตัวเองไปตามปรกติ ชุมนุมทาโรต์ประจำสัปดาห์ดำเนินเข้าใกล้จุดยุติเต็มที
ระหว่างนั้น เดอะเวิร์ลพยายามถามถึงเบาะแสของนางเงือก แต่ก็ได้รับคำตอบแบบเดียวกับชารอน คือ ชาวประมงมากประสบการณ์ของหมู่เกาะการ์กัสเคยได้ยินพวกหล่อนร้องเพลงในวันพายุโหมกระหน่ำ
เมื่อใกล้ยุติชุมนุม ไคลน์ ผู้จับตามองทุกคนอย่างเงียบงันมาสัก ตัดสินใจตักเตือนมิสจัสติสและมิสเมจิกเชี่ยน
วัตถุทรงพลังซึ่งต้องสงสัยว่าจะเป็นสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ปรากฏตัวใกล้กับองค์ชายเอ็ดซัค และบางที สิ่งนี้อาจเกี่ยวพันกับสมบัติปิดผนึกรหัส 0-08 จึงต้องเตือนให้ระวังตัวมากเป็นพิเศษ เพราะในอดีตเคยมีเรื่องราวคล้ายคลึงกันเกิดขึ้นมาแล้ว เมืองทิงเก็นต้องเผชิญกับการคืนชีพทายาทของพระผู้สร้างแท้จริง จนเกือบถูกลบชื่อไปออกจากทวีป!
ดังนั้น เมื่อเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันอาจเกิดขึ้นในเบ็คลันด์ มันกังวลว่าสองสาวชาวเมืองหลวงอาจติดร่างแหไปด้วย จึงบังคับให้เดอะเวิร์ลกล่าวกับทุกคนด้วยเสียงแหบพร่า
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน ผมได้รับข้อมูลมาว่า ในเบ็คลันด์กำลังจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น อาจเป็นเหตุการณ์ใหญ่ระดับภัยพิบัติซึ่งสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง”
“เป็นเหตุการณ์ใหญ่แบบไหน” ออเดรย์ซักถามอย่างกังวล
คิ้วของเธอขมวดชนกันโดยไม่รู้ตัว
“ผมเองก็ไม่ทราบ” เดอะเวิร์ลส่ายหน้า
“แล้วปัจจัยใดคือสาเหตุของเรื่องร้ายแรงดังกล่าว” ฟอร์สถามในอีกหนึ่งมุม
จากประวัติในอดีต ข้อมูลของเดอะเวิร์ลค่อนข้างน่าเชื่อถือ
เดอะเวิร์ลยังคงส่ายหน้าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ
“ข้อมูลในมือผมค่อนข้างขัดแย้ง จึงไม่สามารถระบุคำตอบอย่างชัดเจนได้”
เมื่อกล่าวจบ เดอะเวิร์ลเงยหน้าขึ้นพลางมองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงฝั่งตรงข้าม
“ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ข้ารับใช้ของท่านในเบ็คลันด์คงสัมผัสถึงบางสิ่งได้ใช่ไหม”
สายตาทุกคนพลันหันไปทางเดอะฟูลโดยมิได้นัดหมาย อารมณ์พวกมันหลากหลายแตกต่างกันไป บ้างใครรู้ บ้างกังวล บ้างคาดหวัง และบ้างตึงเครียด
เมื่อตระหนักว่าทุกคนกำลังสนใจ ไคลน์เอนกายพิงพนักเก้าอี้ด้วยมาดสง่างาม
ตามด้วยการกล่าวเสียงเรียบ
“เอ็ดซัค·ออกัสตัส”
………
ราชันเร้นลับ 464 : ปรึกษา
โดย
Ink Stone_Fantasy
องค์ชายเอ็ดซัค·ออกัสตัส?
เขามีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ร้ายแรงในอนาคตอย่างไร…ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนท่านเดอะฟูลจะให้ความสนใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ!
ออเดรย์จินตนาการใบหน้าอีกฝ่ายได้ทันทีหลังจากได้ชินชื่อ ภายในใจเด็กสาวทวีความกังวลและสงสัย
ตามความเห็นของเธอ หากมีสิ่งใดเข้าตามิสเตอร์ฟูล ถ้าไม่ใช่เรื่องอันตรายมาก ก็ต้องเป็นความลับสุดยอด หรือไม่เป็นสิ่งสำคัญเหนือจินตนาการ ไม่ว่าจะทางใดก็ไม่ใช่เหตุการณ์ธรรมดาแน่ ยกตัวอย่างเช่น แผนการส่งทายาทลงมาจุติของพระผู้สร้างแท้จริงโดยใช้ลาเนวุสเป็นภาชนะ ร่วมกับการอาศัยพลังงานด้านลบของเขตตะวันออก แผนจารกรรมไพ่จักรพรรดิจากในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ หรือกระทั่งความตายของดยุคนีแกน และตัวตนของสภานักสิทธิ์สนธยา
เมื่อนำปัจจัยข้างต้นมาประกอบ ออเดรย์เชื่อว่า หากตนไม่รีบจัดการปัญหาให้เรียบร้อยตั้งแต่เนิ่นๆ หรือให้ความสนใจกับปัญหาน้อยเกินไป เหตุการณ์อันตรายครั้งใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นรอบตัวองค์ชายเอ็ดซัคและนำไปสู่พายุแห่งหายนะครั้งรุนแรง!
อา… องค์ชายเอ็ดซัคไม่ได้มาตอแยเราสักพักแล้ว เราเคยโล่งใจและมองว่าเป็นเรื่องดี แต่เห็นทีคงต้องกลับมาคิดใหม่…
ย้อนกลับไปในงานเลี้ยงเมื่อหลายวันก่อน องค์ชายพยายามเข้ามาจีบเราด้วยตลกฝืดและบทสนทนาน่าเบื่อเหมือนกับทุกครั้ง แต่ในงานเลี้ยงอีกสองวันถัดมากลับทำตัวเย็นชาและหลบหน้าชัดเจน… เราต้องหาโอกาสถามจากท่านพ่อให้ได้ แต่ห้ามแสดงความสนใจจนเกินพอดี ไม่อย่างนั้น ท่านพ่ออาจตอบตกลงคำขอแต่งงานจากราชวงศ์…
ขณะออเดรย์ทบทวนเหตุการณ์ ไหล่ของเธอห่อเหี่ยวราวกับถูกบางสิ่งกดลง
เด็กสาวไม่เคยชอบองค์ชายสามเลย รวมถึงพี่ชายอีกสองคนด้วย ในหัวไม่เคยมีความคิดจะเป็นเจ้าหญิงพระชายาแม้แต่น้อย
เหตุผลไม่ซับซ้อน ในฐานะสาวกโบสถ์รัตติกาล เธอไม่มีทางยอมรับนิสัยน่ารังเกียจของราชวงศ์ออกัสตัสซึ่งนับถือเทพวายุสลาตันมาหลายชั่วอายุคน พวกมันโอหัง ฟุ่มเฟือย ชอบดูถูกคน และชอบใช้กำลังกับเพศหญิงจนเข้ากระดูกดำ ไม่มีทางรักษาให้หายขาด แค่นี้ก็มากพอจะทำให้ออเดรย์ต้องการเอาตัวออกห่างให้ไกล
เมื่อจินตนาการว่าตนต้องถูกจองจำในคุกของขนบธรรมเนียมหัวโบราณหลังจากได้เป็นเจ้าหญิงพระชายา ออเดรย์เชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า ตนคงกลายเป็นบ้า หรือไม่ก็หลบหนีออกมาโดยยอมสละทิ้งทุกสิ่ง ดังนั้น เด็กสาวจึงไม่เกิดความคล้อยตามเมื่อได้ยินถ้อยคำเยินยอเกินเหตุบรรดาองค์ชาย ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เธอรู้สึกอยากตีตัวออกหาก
เอ็ดซัค·ออกัสตัส…นามสกุลบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ และถ้าจำไม่ผิดจะเป็นหนึ่งในองค์ชาย… เขาจะนำพาอันตรายใหญ่หลวงใดมาให้เบ็คลันด์?
แต่จะสืบสวนอย่างไร เพราะเราไม่มีโอกาสใกล้ชิดกับคนระดับนั้นเลย…จริงสิ! สามารถถามเรื่องนี้จากมิสออเดรย์และไวเคาต์กายลินได้ แต่ต้องหาเหตุผลมารองรับ ไม่อย่างนั้นจะตกเป็นเป้าสงสัย…
ฟอร์สขมวดคิ้วพลางตีความคำใบ้จากมิสเตอร์ฟูล
อัลเจอร์เกิดความอยากรู้อยากเห็น แต่มันไม่กล้าถามมิสเตอร์ฟูลเพราะอีกฝ่ายไม่กล่าวสิ่งใดต่อหลังจากมอบคำใบ้ จึงทำเพียงก้มหน้าตรึกตรองสักพัก ก่อนจะหันไปพูดกับจัสติส เดอะเวิร์ล และเมจิกเชี่ยน
“บรรยากาศในทะเลก็กำลังปั่นป่วนเช่นกัน ผมเชื่อว่าคงมีบางสิ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในกรุ่งเบ็คลันด์ เหมือนกับพวกเครื่องจักรนั่น”
ในความเป็นจริง อัลเจอร์กุเรื่องดังกล่าวขึ้นเอง มันเพียงต้องการปลุกเร้าบรรยากาศให้สมาชิกในเบ็คลันด์เกิดความตื่นตัว จนเริ่มลงมือขุดคุ้ยหาความจริงมาเล่าให้ตนฟัง
ต้องขอชื่นชมว่า มิสเตอร์แฮงแมนมีความสามารถในการ ‘ตามน้ำ’ สูงมาก…
ไคลน์ ผู้เฝ้ามองบรรยากาศการสนทนาอย่างเงียบงัน ล้มเลิกความคิดจะให้เดอะเวิร์ลกล่าวในสิ่งเดียวกับแฮงแมน
ไคลน์ตัดสินใจระบุเพียงชื่อขององค์ชายเอ็ดซัค และมิได้กล่าวถึงหญิงสาวสวมแหวนพลอยสีฟ้าซึ่งน่าจะเป็นสมบัติปิดผนึกระดับ 0 รวมถึงยังไม่กล้าระบุว่า เหตุการณ์ความบังเอิญรอบตัวองค์ชายสาม เกิดจากอิทธิพลของสมบัติปิดผนึก 0-08 และอินซ์·แซงวิลล์ เพราะมันยังไม่ทราบสถานการณ์ของอีกฝ่ายมากพอ… ไคลน์ต้องบอกใบ้อย่างคลุมเครือเพราะตนมีข้อมูลในมือน้อย เพราะถ้าระบุไปอย่างชัดเจน เกรงว่ามิสจัสติสกับเมจิกเชี่ยนอาจเข้าใกล้องค์ชายเอ็ดซัค จนเริ่มพัวพันกับกระแสความ ‘บังเอิญ’ ของ 0-08
และนี่ยังเป็นเหตุผลว่า ทำไมไคลน์ไม่ถึงหาโอกาสไปแจ้งข่าวกับจิตแห่งจักรกล เพราะจากความเข้าใจของมันเกี่ยวกับ 0-08 ถ้าตนขึ้นรถม้าเดินทางไปยังยังวิหารชะแลงหรือมหาวิหารแห่งไอน้ำอย่างปุบปับ คงไม่แคล้วได้เกิดเหตุการณ์ความ ‘บังเอิญ’ สุดอันตรายมากมาย เช่น สมบัติปิดผนึกของโบสถ์เกิดตื่นขึ้นมาอาละวาดและโจมตี หรือไม่ก็ถูกจู่โจมจากนักบวชครึ่งเทพสักคน
ไคลน์มีพลังของมิติสายหมอกช่วยแทรกแซงอิทธิพลของ 0-08 ได้บางส่วน แต่สตรีทั้งสองไม่มี มันจึงตัดสินใจบอกใบ้มิสจัสติสและมิสเมจิกเชี่ยนไปอย่างคลุมเครือ
เหนือสิ่งอื่นใด ชายหนุ่มวางแผนล่วงหน้าไว้แล้ว มันจะแสร้งเดินทางออกจากเบ็คลันด์สักพักเพื่อให้หลุดจาก ‘เรื่องราว’ ของสมบัติปิดผนึก 0-08 จากนั้นค่อยแอบกลับเข้ามาใหม่และหาโอกาสติดต่อกับหน่วยจิตแห่งจักรกลโดยไม่ให้ 0-08 ตระหนักถึง!
หวังว่าแผนการคราวนี้จะสำเร็จ หวังว่าจะได้รับเบาะแสของอินซ์·แซงวิลล์เพิ่มเติม…ในเงื่อนไขว่าถ้ามันมีส่วนเกี่ยวข้องจริง…
เดี๋ยวสิ…ถ้าจำไม่ผิด ขณะมิสเตอร์อะซิกพยายามไล่ล่าอินซ์·แซงวิลล์ เขา ‘บังเอิญ’ ขัดแย้งกับ MI9 จนถูกประกาศค่าหัว…
และถ้าจำไม่ผิด MI9 คือส่วนหนึ่งของกองทัพโลเอ็น ขึ้นตรงกับราชวงศ์ออกัสตัส…
องค์ชายเอ็ดซัคคือคนในตระกูลออกัสตัส และความบังเอิญอย่างผิดปรกติได้เกิดขึ้นรอบตัวเขาในระยะหลัง… นี่คือเครื่องพิสูจน์ว่าอินซ์·แซงวิลล์มีส่วนพัวพันกับเรื่องนี้!
ไคลน์หลับตาลง ภาพของรองเท้าหนังมันเงาและฝ่ามือขาวซีดยังคงกระจ่างชัดในความทรงจำ
มันเอนหลังพิงเก้าอี้ มุมปากยกโค้ง
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย ไว้พบกันใหม่อีกครั้งในสัปดาห์ถัดไป”
…
เขตราชินี คฤหาสน์หรูของเคาต์ฮอลล์
ออเดรย์กำลังยืนหน้ากระจกเงาเต็มบาน สายตาจ้องมองภาพสะท้อนของตัวเอง
สำหรับชุมนุมทาโรต์เมื่อครู่ เธอได้รับทั้งข่าวดีและข่าวร้าย
ข่าวดีคือ ออเดรย์กำลังจะได้หนึ่งในวัตถุดิบหลักโอสถนักจิตบำบัดมาไว้ในครอบครอง
แม้ว่าเธอจะไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสาผู้เคยซื้อข้อมูลทั่วไปจากแฮงแมนในราคาหนึ่งพันปอนด์ และแม้ว่าเธอจะทราบราคาพื้นฐานของวัตถุดิบหลักโอสถลำดับ 7 เป็นอย่างดี แต่หญิงสาวก็ยังเต็มใจจ่ายเงินเกินราคาเพื่อคว้าดวงตาของมังกรกระจกมาไว้ในมือ
หลังจากประจักษ์ความตายของดยุคนีแกน เด็กสาวก็เกิดความปรารถนาในพลังอย่างแรงกล้า เธอต้องการเลื่อนลำดับ พัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่ง และเป็นปราการด่านสุดท้ายในการปกป้องครอบครัว เพื่อการนั้นแล้ว ออเดรย์ไม่ลังเลหากต้องซื้อวัตถุดิบหลักโอสถเกินราคาจริงไปบ้าง ขอเพียงวัตถุดิบเหล่านั้นปรากฏตัวและพร้อมขาย เธอยินดีจ่ายในทุกราคา ยกเว้นจะถูกโก่งไปเป็นสิบยี่สิบเท่า
ความรู้สึกคล้ายกับขณะสตรีทั่วไปได้เห็นอัญมณีล้ำค่า คล้ายกับขณะบุรุษได้เห็นม้าแข่งสายพันธุ์แท้ ยิ่งเรารีบร้อน ราคาก็ยิ่งต้องเพิ่มขึ้นอย่างมิอาจเลี่ยง ถ้าไม่เกินสองถึงสามเท่าก็ยังพอรับไหว… ในเมื่อฟอร์สจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เราก็หมดกังวลไปได้หลายส่วน เธอคงอยากรีบจบการซื้อขายโดยเร็วเช่นกัน ยิ่งปล่อยไว้นานจะมีแต่ความเสี่ยง…
และฟอร์สคงยังไม่รู้ว่าเราคือจัสติส…
ออเดรย์ครุ่นคิด
ในส่วนของข่าวร้าย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเรื่องขององค์ชายเอ็ดซัค ประเด็นนี้ค่อนข้างใกล้ตัวและทำให้เธอกังวลมาก
โชคยังดี มิสเตอร์เวิร์ลพบเบาะแสบางอย่างล่วงหน้า และมิสเตอร์ฟูลก็ช่วยยืนยันว่ามีเงื่อนงำจริง ไม่อย่างนั้น หากเราปล่อยปละละเลยเป็นเวลานาน เกรงว่าครอบครัวอาจโดนลูกหลงโดยไม่ทันระวังตัว…
ออเดรย์ ปัจจัยทุกด้านเข้าข้างเธอหมดแล้ว! เธอต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้! สู้เค้า!
เด็กสาววาดจันทร์แดงกลางหน้าอก ภายในใจพยายามมองโลกในแง่ดี
ถัดมา เธอเดินออกจากห้องนอนและตรงไปยังห้องเปียโน เตรียมเข้าเรียนวิชาเปียโนในช่วงเย็นโดยทำทีว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เนื่องจากเคาต์ฮอลล์และภรรยา รวมถึงฮิบเบิร์ต·ฮอลล์ พี่ชายคนโต จะยังไม่กลับจนกว่าจะถึงเวลาอาหารค่ำ ออเดรย์จึงต้องอยู่กับตัวเอง และพยายามระงับจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน
ขณะรอให้ครูสอนมาถึง เด็กสาวฆ่าเวลาด้วยการบรรเลงหนึ่งบทเพลงสุดไพเราะเพื่อดับความกระวนกระวายใจจิตใจและวิญญาณ
หลังจากเล่นเสร็จ ออเดรย์ชำเลืองเห็นซูซี่เปิดประตูเข้ามาและนั่งลงด้านข้าง โดยยังคงห้อยแว่นตากรอบทองไว้ตรงคออย่างน่าขบขัน
“ออเดรย์ เธอมีปัญหาอะไรหรือ เสียงเปียโนบ่งบอกชัดเจนว่า เธอกำลังกระสับกระส่ายและไม่สบายใจในบางสิ่ง” ซูซี่เปิดประเด็น
อึก… ออเดรย์พลันผงะ ไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปเช่นไร
เด็กสาวเริ่มตระหนักว่า การเลี้ยง ‘สุนัขอ่านใจ’ ไว้ในบ้านก็ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร
…
ภายในค่ายพักของทีมสำรวจ กองไฟกึ่งกลางยังคงลุกโชนเฉกเช่นทุกที
นับตั้งแต่ถูกส่งจิตกลับจากชุมนุมทาโรต์ มันยังไม่กล้าลืมตาขึ้นเผชิญหน้ากับความจริง
เดอร์ริคหลับตาและทบทวนความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับชุมนุมทาโรต์ และเริ่มมั่นใจว่าตนมิได้สูญเสียความทรงจำในภารกิจสำรวจหลายครั้งก่อนหน้า
ผ่านไปสักพัก เด็กหนุ่มกัดฟันลืมตาขึ้นและเก็บรายละเอียดของทุกสิ่งรอบตัว
ช่างน่าเศร้า มันยังไม่หลุดพ้นจากวังวนกระแสเวลาตามทฤษฎีข้อแรกของแฮงแมน รอบตัวยังคงเป็นพวกพ้องและกองเพลิง เหมือนกับฉากสุดท้ายก่อนถูกดึงเข้าไปร่วมชุมนุมทาโรต์
ทันใดนั้น นักล่าปีศาจ โคลิน·อีเลียด ผู้กำลังนั่งขัดสมาธิ เปล่งเสียงออกคำสั่งอย่างเยือกเย็น
“จะออกเดินทางในอีกห้าสิบรอบฟ้าผ่า”
ในวินาทีนี้ เดอร์ริคมั่นใจโดยไม่เคลือบแคลงแล้วว่า ความทรงจำทั้งหมดของตนไม่ใช่ความฝันหรือการเห็นภาพหลอน
…
เขตเชอร์วู้ด 15 ถนนมินส์
ไคลน์เดินลงมายังชั้นล่างเพื่อซึมซับไออุ่นจากเตาผิงลุกโชน
ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เอนหลังและนั่งผ่อนคลายเช่นนั้นเป็นเวลานาน โดยมิได้อ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือหนังสือควบคู่
เวลาผ่านไปอย่างสงบสุขจนกระทั่งเสียงกริ่งบ้านดังทำลายความสุนทรีย์
ไคลน์ ผู้กำลังสวมเชิ้ตอยู่บ้านและเสื้อกั๊กขนสัตว์ ลุกยืนและเดินตรงไปทางประตู
ภาพของผู้มาเยือนทำให้มันประหลาดใจ
ชายหนุ่มเปิดประตูออกไปและยิ้ม
“ทิวาสวัสดิ์ เอ็มลิน ไม่ใช่ว่าคุณควรอยู่ช่วยงานในวิหารฤดูเก็บเกี่ยวหรอกหรือ”
อีกฝ่ายคือบุรุษใบหน้าหล่อเหลา ค่อนไปทางสำอาง แวมไพร์หนุ่ม เอ็มลิน·ไวท์ ผู้หวีผมไปเฉียงด้านหลังในลักษณะเรียบแปล้
สีหน้าสุดโอหังของแวมไพร์พลันสะดุดเมื่อได้ยินคำทักทายจิกกัดจากไคลน์ ต้องใช้เวลาสักพักกว่ามันจะฟื้นตัวกลับมาได้
“ข้ามีบางสิ่งต้องการปรึกษาเจ้าอย่างเร่งด่วน นักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้!” เอ็มลินเน้นเสียงในแต่ละคำ
หลังจากนำทางอีกฝ่ายเข้ามายังห้องนั่งเล่น ไคลน์ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เอนหลังตัวเดิม พลางอมยิ้มและโพล่งขึ้น
“มีเรื่องอะไรให้ช่วยหรือ ค่าปรึกษาหนึ่งปอนด์ จำกัดเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง”
เอ็มลินไม่แยแสคำพูดอีกฝ่าย เพียงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหลังจากครุ่นคิดสักพัก
“คนใหญ่คนโตต้องการให้ข้าทำบางสิ่ง…จริงอยู่ เรื่องนี้อาจช่วยแกไขปัญหาส่วนตัวของข้าได้ แต่ก็มีความเสี่ยงไม่น้อยเช่นกัน ข้าไม่มีเพื่อนอื่น และกังวลว่าพ่อกับแม่จะเป็นห่วง จึงอยากปรึกษานักสืบผู้วิเศษมากประสบการณ์และเปี่ยมด้วยเครือข่ายข้อมูลอย่างเจ้า… คิดว่าอย่างไร ควรทำดีไหม…”
แก้ไขปัญหาส่วนตัวได้? หมายถึงการถูกชี้นำทางใจจากหลวงพ่อยูทรอฟสกี้?
ไคลน์มอบคำตอบหลังจากตรึกตรอง
“ด้วยรายละเอียดเพียงเท่านี้ ผมคงช่วยแนะนำอะไรคุณไม่ได้”
เอ็มลิน·ไวท์เงียบงันหลายวินาที ก่อนจะขบกรามกรอดและเค้นเสียงตอบ
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับเดอะฟูลคนนั้น…”
“เห…?” ไคลน์อยากกระชากหูตัวเองออกและยื่นเข้าไปฟังใกล้ๆ
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น