Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 449-460

 ราชันเร้นลับ 449 : ทางเลือกฉลาดกว่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

เขตราชินี คฤหาสน์หรูของเคาต์ฮอลล์


อากาศภายนอกมิอาจสอดแทรกเข้าไปในตัวอาคาร บรรยากาศด้านในตึกอบอุ่นประหนึ่งช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ เตาผิงทำงานของมันได้อย่างไม่มีจุดบกพร่อง


ออเดรย์กำลังถูกวัดตัวโดยมาดามจีเนียร์ นักออกแบบเสื้อผ้าส่วนตัว เพื่อเตรียมตัดชุดสำหรับฉลองปีใหม่ให้เข้ากับอารมณ์ความคิดและขนาดตัวปัจจุบัน


สาวใช้ส่วนตัว แอนนี เดินเข้ามาใกล้และกระซิบข้างหู


“มาดามเอสลันด์ขอพบ”


เร็วขนาดนี้เชียว…?


ออเดรย์พลันตื่นเต้น แต่เธอไม่แสดงออกทางสีหน้า เพียงเผยรอยยิ้มตามมารยาท


“บอกให้รอในห้องศิลป์ เอ่อ… ห้านาที”


“ห้องศิลป์?” แอนนีทำหน้างุนงง


“ถูกต้อง ฉันจะให้คุณครูติชมผลงานภาพวาดชิ้นใหม่ฝีมือตัวเอง เธอกล่าวว่า ผลงานทางศิลปะซึ่งเกิดจากจิตใจอันผ่อนคลาย จะบ่งบอกตัวตนของคนผู้นั้นได้อย่างละเอียด” ออเดรย์อธิบายอย่างใจเย็น


แอนนีพลันกระจ่าง


“ค่ะ คุณหนู”


ไม่ถึงห้านาทีถัดมา ออเดรย์เดินเข้าไปในห้องศิลป์และพบว่าเอสลันด์กำลังยืนชื่นชมภาพวาดบนผนัง


“นั่นคือ ‘รัตติกาลในฝัน’ ของเซนซี สุดยอดผลงานชิ้นเอกอันโด่งดังซึ่งจะมอบอารมณ์ปลอดโปร่งและสงบนิ่ง” เด็กสาวอมยิ้มพลางแนะนำภาพให้เอสลันด์ทราบ


“รัตติกาลในฝันของเซนซี? หนึ่งในสิบภาพวาดของปีก่อน และหนึ่งในร้อยภาพวาดประจำศตวรรษจากการลงคะแนนของหนังสือพิมพ์ทัสซอคหรือคะ?”


แน่นอน เอสลันด์เป็นคนประเภทอ่านหนังสือพิมพ์ทุกเช้า และในฐานะผู้วิเศษเส้นทางผู้ชม ความจำของเธอย่อมเป็นเลิศ


“ค่ะ” ออเดรย์ตอบกระชับราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก


“เป็นเกียรติอย่างยิ่งกับการได้ยลโฉมภาพวาดของจริงเต็มสองตาเช่นนี้…” เอสลันด์กล่าวพลางเงยหน้าจ้องภาพอีกครั้ง


เธอกลืนประโยคตามหลัง ‘ราคาเท่าคฤหาสน์เลยนะคะ’ ลงคอ เพราะกังวลว่าจะถูกมองเป็นพวกบ้านนอกเข้ากรุง


ออเดรย์ไม่เสียเวลากล่าวแนะนำภาพอื่น เด็กสาวหาข้ออ้างส่งแอนนีออกจากห้อง ตามด้วยการส่งสัญญาณบอกให้ซูซีออกไปอารักขาหน้าประตู


โกลเดนรีทรีเวอร์ขนฟูอ่านใจนายหญิงได้ทันทีและรีบตะกุยเท้า


เอสลันด์ช่วยปิดประตูและเดินกลับมานั่งข้างขาตั้งสำหรับวาดรูป เธอไม่ปล่อยให้เด็กสาวซักถามสิ่งใด ครูสอนวิชาจิตวิทยาสาวเริ่มเข้าประเด็นทันที


“พวกเรามีทั้งตะกอนพลังเงามืดหนังมนุษย์และสูตรโอสถผู้รับใช้วายุ เพียงแต่ สมาคมแปรจิตไม่ได้ร้อนเงิน จึงไม่คิดขายนอกเสียจากจะได้รับข้อเสนอยากปฏิเสธ”


ถ้ามีการเจรจา… แปลว่ายังมีหวัง!


ดวงตาเขียวมรกตของเด็กสาวพลันลุกวาวขณะตั้งคำถามกลับ


“ราคาเท่าไรบ้างคะ”


เอสลันด์ลูบไล้เส้นผมดำขลับและมอบคำตอบซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้า


“สองพันห้าร้อยปอนด์สำหรับตะกอนพลังเงามืดหนังมนุษย์ สามพันปอนด์สำหรับสูตรโอสถผู้รับใช้วายุ”


กะขายทีเดียวรวยเลยหรือ…


แม้ออเดรย์จะมองเป็นเพียงเศษเงิน แต่เธอก็ไม่ค่อยปลื้มนักเมื่อพบว่าสมาคมแปรจิตหวังฟันกำไรเกินกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์


จากคำอธิบายของมิสเตอร์แฮงแมน ภายใต้สถานการณ์ปรกติ สูตรโอสถลำดับ 6 จะมีมูลค่าไม่เกินสองพันปอนด์ แต่ยิ่งโอสถเข้าใกล้ลำดับสูงเพียงใด โอกาสหลุดมาในตลาดมืดก็ยิ่งน้อย เรียกว่ามีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้ ส่งผลให้ราคาอาจดีดตัวขึ้นบ้าง ไม่เพียงเท่านั้น เนื่องจากเป็นสิ่งของมูลค่าสูง โอกาสถูกหลอกขายสูตรโอสถปลอมก็ยิ่งมาก ดังนั้น หากผู้ขายมีความน่าเชื่อถือ ราคาจะสูงขึ้นย่อมไม่แปลก แต่สามพันปอนด์ก็ออกจะ…


เอสลันด์รีบเสริม


“ถ้าอีกฝ่ายมีสมบัติวิเศษมูลค่าใกล้เคียงกันหรือต่ำกว่าเล็กน้อยมาแลกเปลี่ยน ทางเราก็ยินดีพิจารณา”


หรือก็คือ พวกคุณต้องการสมบัติวิเศษมากกว่าเงิน… สมาคมแปรจิตถือเป็นหน้าใหม่ในวงการ คงไม่แปลกหากจะมีจำนวนสมบัติวิเศษน้อยกว่าองค์กรลับอื่น…


ออเดรย์เม้มปากตอบ


“ดิฉันจะนำไปบอกพวกเขาให้ค่ะ แต่ไม่ขอรับประกันความสำเร็จ”


ออเดรย์ไม่กังวลเลยสักนิดว่า สมาคมแปรจิตจะเคลือบแคลงว่าเธอเอาเวลาตอนไหนไปเข้าร่วมชุมนุมลับอื่น ในฐานะบุตรสาวแห่งตระกูลเคาต์ ตารางชีวิตของเด็กสาวย่อมต้องยุ่งวุ่นวาย


มีทั้งงานเลี้ยงน้ำชารอบบ่าย งานเลี้ยงอาหารค่ำ งานเลี้ยงเต้นรำ เรียนขี่ม้า เรียนสื่อสาร และอีกมากมาย มีโอกาสพบปะคนแปลกหน้าไม่น้อย ใครจะรู้ อาจมีชุมนุมลับแฝงอยู่ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ หรือไม่ก็ ครูสอนดนตรีคือผู้วิเศษมากประสบการณ์ปลอมตัวมา สมาคมแปรจิตไม่มีทางตรวจสอบเรื่องนี้ได้ทั้งหมด พวกมันซ่อนอยู่ในเงามืด การออกมาเคลื่อนไหวฉากหน้าจึงไม่ใช่เรื่องสะดวก


เมื่อกล่าวจบ ออเดรย์ซักถามต่อท้าย


“มาดามเอสลันด์ ดิฉันคาดไม่ถึงว่าพวกคุณจะกล้าขายสูตรโอสถผู้รับใช้วายุ มันเป็นถึงลำดับ 6 ไม่ใช่หรือคะ”


“สำหรับเรื่องนี้ ถ้ามีโอกาส พวกเราก็อยากกระจายข้อมูลดังกล่าวออกไป เพราะจะเกิดประโยชน์ต่อสมาคมแปรจิตมากกว่า”


เอสลันด์ตอบคลุมเครือ


จริงอยู่ คุณหนูออเดรย์อาจเป็นบุคคลสำคัญซึ่งเบื้องบนของสมาคมให้ความสำคัญเป็นพิเศษ แต่ในสายตาเอสลันด์ ออเดรย์ยังเป็นแค่เด็กใหม่ในโลกเร้นลับ มีหลายสิ่งยังไม่ถึงเวลารับรู้


เธอหมายความว่ายังไง…?


แต่เด็กสาวตัดสินใจข่มความสงสัยไว้ก่อน ทำเพียงเปลี่ยนประเด็นอย่างไร้เดียงสา


“มาดามเอสลันด์ หากการค้าขายในคราวนี้ผ่านไปอย่างลุล่วง ดิฉันจะได้รับคะแนนผลงานไหมคะ?”


เอสลันด์ฉีกยิ้ม


“แน่นอนค่ะ”



ไคลน์ ‘ทำตัวยุ่ง’ ตลอดช่วงเช้า จนกระทั่งกลับถึงถนนมินส์และเติมเต็มความอิ่มท้อง แต่ขณะเตรียมตัวพักผ่อน เสียงสวดภาวนาจากใครสักคนดังพลันซ้อนทับในหัว ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกนอกจากส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก


มิสจัสติสหาคนขายตะกอนพลังเงามืดหนังมนุษย์ได้แล้ว? พูดเป็นเล่นน่า… เราไม่พบเบาะแสแม้จะหามาตั้งนาน แต่พอเจอกลับเจอทีเดียวสองเนี่ยนะ… ในฐานะองค์กรลับ สมาคมแปรจิตคงมีวัตถุดิบประเภทนี้เก็บสำรองไว้พอสมควร…


เมื่อมีตัวเลือกเพิ่ม ไคลน์พลันรู้สึกปวดหัวมากกว่าเก่า


ต่อให้นับเงินห้าร้อยปอนด์ซึ่งแฮงแมนยังติดค้างรวมเข้ามาด้วย แต่เงินออมของไคลน์ก็มีเพียง 1,335 ปอนด์เท่านั้น ยังขาดไปอีกมากหากต้องการซื้อในราคาสมาคมแปรจิต


หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มส่งต่อข้อความจากจัสติสไปให้แฮงแมน เพื่อรอดูว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองเช่นไร



สามพันปอนด์?


อัลเจอร์·วิลสันซึ่งยังพักอยู่ในเมืองหลวงของหมู่เกาะรอสต์ นครแห่งการให้ มันรู้สึกราบกับถูกใครบางคนใช้ไม้หวดใส่ท้ายทอยยามกลางวันแสก ๆ


หลังจากเป็นกัปตันเรือโทสะสีคราม อัลเจอร์รับบทบาทโจรสลัดสลับกับผู้บังคับใช้กฎหมายเสมอ แอบจัดการกลุ่มโจรสลัดและนำไปขึ้นเงินกับทางการก็บ่อย แต่เงินออมกลับไม่เคยมากไปกว่าสองพันเลย แถมส่วนใหญ่ยังต้องแบ่งให้กะลาสีใต้บังคับบัญชา


ในส่วนของเรือและอาวุธสงคราม ถึงมันจะยึดมาได้ แต่ก็ต้องส่งทั้งหมดให้กับโบสถ์วายุสลาตันอยู่ดี


อัลเจอร์เคยตัดพ้อเรื่องโจรสลัดไม่มีวันรวยกับตัวเองหลายหน ยิ่งถ้าเป็นโจรสลัดฟุ่มเฟือยผู้หมดเงินไปกับเหล้า ปาร์ตี้ โสเภณี กัญชา และการพนัน บางคนอาจเลวร้ายถึงขั้นเป็นหนี้ก้อนโต


นอกเสียจากจะได้ถล่มเรือโจรสลัดผู้วิเศษ ไม่อย่างนั้นเราคงหาเงินมาจ่ายเธอไม่ไหว…


อัลเจอร์เดินวนเวียนไปมาพลางครุ่นคิด


จนกระทั่ง มันตัดสินใจล้วงหยิบหน้ากากสีทองออกจากกระเป๋าลับของเสื้อตัวใน


หน้ากากสีทองไม่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ใบหน้าค่อนข้างหยาบ ลักษณะคล้ายกับถูกสร้างโดยฝีมือของชนเผ่าโบราณ


อัลเจอร์นั่งคุกเข่าอย่างนอบน้อมพร้อมกับเอ่ยพระนามเต็มของเดอะฟูล ก่อนจะปิดท้ายด้วย:


“…ผมขอใช้สมบัติวิเศษในการแลกเปลี่ยนกับสูตรโอสถผู้รับใช้วายุ คุณสมบัติมีดังนี้ ขณะสวมหน้ากาก ผู้สวมจะเยือกเย็นและไม่ถูกอารมณ์ใดรบกวนจิตใจ ขณะเดียวกันก็จะได้รับพลังฟื้นฟูร่างกาย ได้รับความเร็วและพละกำลังมหาศาล รวมถึงความรู้ด้านมนตร์ดำและคำสาปชนเผ่า ผลข้างเคียงก็คือ ยิ่งใช้งานบ่อยครั้ง ผู้สวมใส่จะเริ่มเย็นชาจนไม่เหมือนกับมนุษย์ อาจร้ายแรงขั้นทระนงตนว่าเป็นเทพ”



ณ เก้าอี้เดอะฟูล ไคลน์นั่งจ้องธนบัตรห้าร้อยปอนด์บนโต๊ะทองแดงยาว เส้นผมสีน้ำเงินเข้มจำนวนห้าเส้นลักษณะคล้ายงูตัวเล็ก และหน้ากากหยาบสีทอง ชายหนุ่มใช้นิวเคาะขอบโต๊ะพลางไตร่ตรองว่าตนจะนำสมบัติวิเศษชิ้นใดไปแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายได้บ้าง


ดวงตาดำล้วน? ตัดทิ้งได้เลย… สิ่งนี้จะกลายเป็นวัตถุดิบหลักโอสถนักเชิดหุ่นในอนาคตของเรา แค่รอเวลาให้เดอะซันพบวิธีนำการกัดกร่อนทางจิตออกจากวัตถุ


ไพ่จักรพรรดิมืด? ไพ่ซึ่งไม่เคยได้เห็นเดือนเห็นตะวันของโลกภายนอก มูลค่าของมันสูงกว่าตะกอนพลังเงามืดหนังมนุษย์หลายสิบก้อนด้วยซ้ำ…


นกหวีดทองแดงมิสเตอร์อะซิก? ถึงจะเป็นเพียงอุปกรณ์อัญเชิญผู้ส่งสาร แต่ก็นับเป็นเครื่องมือสื่อสารแสนสะดวก ยังขายไม่ได้…


นกหวีดทองแดงของสมาชิกนิกายวิญญาณผู้ทิ้งขนนกสีขาวไว้ในหลุมศพ? เหมือนกับเมื่อครู่ ทำได้แค่อัญเชิญผู้ส่งสาร และบุคคลเบื้องหลังผู้ส่งสารรายนี้นับว่าอันตรายเกินไป…


เข็มกลัดสุริยัน? เราลงทุนซื้อมากับมือ เพื่อกลบจุดอ่อนในการต่อสู้กับภูตผี…


มาสเตอร์คีย์? สิ่งนี้เกี่ยวกับกับมิสเตอร์ประตูและมีความลับซ่อนอยู่อีกมาก และถึงเราต้องการขาย แต่ถ้ำนำข้อเสียมาหักลบกับข้อดี ราคาของมันยังไม่น่าจะเทียบเท่าตะกอนพลังเงามืดหนังมนุษย์ได้…


ขวดพิษชีวภาพ? สมบัติวิเศษชิ้นนี้เหมาะกับร่างวิญญาณของเรามาก ถ้าหากเตรียมการอย่างรัดกุมล่วงหน้า เราสามารถรับมือผู้วิเศษเป็นกลุ่มได้สบาย…


กระสุนปราบมาร กระสุนชำระล้าง กระสุนปัดเป่า? สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สมบัติวิเศษ เป็นเพียงอาวุธวิเศษซึ่งจะเสื่อมมูลค่าตามกาลเวลา ไม่สามารถนำไปใช้แลกเปลี่ยนได้…


หนังสือแห่งความลับ? นี่ก็ไม่ใช่สมบัติวิเศษเช่นกัน แถมยังไม่เหมาะกับสมาคมแปรจิตสักเท่าไร พวกเขาคงมีความรู้ในด้านนี้มากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว…


ดังนั้น สิ่งของพร้อมขายจึงเหลือเพียงตะกอนพลังของนักสอบสวน แต่สมาคมแปรจิตต้องการสมบัติวิเศษมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ขอบเขตการแลกเปลี่ยนคือกรุงเบ็คลันด์ มิสจัสติสอาจถูกสาวถึงจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดจากสิ่งนี้ได้ เสี่ยงเกินไป…


ไคลน์ถือโอกาสทบทวนทรัพย์สินของตนไปในตัว มันครุ่นคิดอยู่นานจนกระทั่งได้คำตอบ


ชายหนุ่มเสกเดอะเวิร์ลขึ้นและทำท่าทางสวดภาวนาพลางเปล่งเสียงแหบพร่า


“…ผมยินดีจ่ายในราคาสองพันห้าร้อยปอนด์ แต่ขอเวลารวบรวมเงินสองวัน”


ถัดมา มันโยนคำตอบของแฮงแมนและเดอะเวิร์ลใส่ดาวแดงตัวแทนจัสติสในเวลาไล่เลี่ยกัน



หลังจากจัสติสรับทราบ ไคลน์นั่งรออย่างใจเย็นภายในบ้านถนนมินส์ตลอดช่วงบ่าย


จนกระทั่งเกือบเย็น คาร์ลเซ่นจากจิตแห่งจักรกลได้มาสั่นกระดิ่งบ้าน


ไคลน์ไม่ซักถามมากความ ทำเพียงเดินตามอีกฝ่ายไปยังวิหารชะแลงในเขตอู่ต่อเรือไบลัมตะวันตก จากนั้นก็เดินเข้าไปในอาคารสามชั้นหลังติดกับวิหาร


ป้ายสำนักงานเขียนว่า :


“สถาบันวิจัยเครื่องกลเบ็คลันด์”


ใช้ชื่อทางการฉิบ…


ไคลน์แอบนำไปเทียบกับชื่อบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬพลางอมยิ้มขบขัน


จากการนำทางของคาร์ลเซ่น ชายหนุ่มผ่านอุปกรณ์พิสดารหลายชิ้นจนกระทั่งเข้าไปในห้องอับไร้หน้าต่าง


บนโต๊ะยาวกลางห้อง สิ่งของหลายชนิดถูกวางเรียงรายเป็นระเบียบ ประกอบด้วยวัตถุส่องแสงระยิบระยับหลายชิ้น หนึ่งในนั้นคือเพชรตะกอนพลังเงามืดหนังมนุษย์ นอกเหนือจากนั้นยังมีกรอบรูปวิญญาณซึ่งถูกห่อผ้าสีดำคลุมไว้มิดชิด ทว่า ในรายการให้เลือกไม่มีตะกอนพลังของคณะสำรวจสุสานชุดแรก


พวกเขาไม่อยากให้เราทราบถึงกฎอนุรักษ์พลังพิเศษในเส้นทางใกล้เคียงและความถาวรของพลังพิเศษ…


ไคลน์ไม่ประหลาดใจสักเท่าไร


“เลือกได้หนึ่ง” ไอคานส์·เบอร์นาร์ดในสภาพไม่สวมหมวกชี้ไปบนโต๊ะ


ไคลน์แสร้งทำเป็นตรวจสอบสิ่งของบนโต๊ะอย่างละเอียด ก่อนจะถอนหายใจผิดหวัง


“ไม่มีเป้าหมายของผม… เปลี่ยนเป็นเงินได้ไหม? ได้เท่าไร?”


มันตัดสินใจแล้วว่า ตนจะไม่เรียกร้องตะกอนพลังของเงามืดหนังมนุษย์จากจิตแห่งจักรกล


ถึงแม้จะหาข้ออ้างมาแก้ตัวได้มากมาย เช่นการนำไปสร้างเป็นสมบัติวิเศษ หรือไม่ก็นำไปประกอบพิธีกรรมเฉพาะ แต่จิตแห่งจักรกลก็ไม่ได้โง่ ถ้าตนเลือกตะกอนพลังเงามืดหนังมนุษย์ มีโอกาสค่อนข้างสูงว่าอีกฝ่ายจะคาดเดาลำดับและเส้นทางของตนได้แม่นยำ ภายใต้สถานการณ์ซึ่งมีตัวเลือกดีกว่า ไคลน์ตัดสินใจไม่ขอเสี่ยงกับเงินเพียงเล็กน้อย


ดังนั้น มันมาในวันนี้เพื่อไถเงินโดยเฉพาะ


ไม่เพียงจะช่วยให้รวบรวมเงินได้เกินกว่าสองพันห้าร้อยปอนด์ตามความต้องการของสมาคมแปรจิต แต่ยังขจัดความเคลือบแคลงจากจิตแห่งจักรกลไปได้พร้อมกัน เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว


ไอคานส์แสดงสีหน้าโล่งใจชัดเจน มันสางเส้นผมแข็งกระด้างพร้อมกับเผยรอยยิ้ม


“หนึ่งพันห้าร้อยปอนด์… แต่พวกเราอยากให้คุณเลือกเงินสดมากกว่า ดังนั้น… สองพันปอนด์”


ไคลน์พลันเผยรอยยิ้มสุดแสนจริงใจ


“ด้วยความยินดี!”


……………………


ราชันเร้นลับ 450 : จัดสรรเงินทอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ด้วยพิธีกรรมรับมอบ ไคลน์ส่งเงินสองพันห้าร้อยปอนด์และหน้ากากสีทองของแฮงแมนให้มิสจัสติส ปิดท้ายด้วยการให้เดอะเวิร์ลฝากข้อความเร่งปิดการซื้อขายไปถึงเด็กสาว


เราใช้เงินไปเกือบห้าพันปอนด์ภายในสองสัปดาห์…หากยังอยู่ทิงเก็นกับครอบครัว คงได้ใช้ชีวิตสุขสบายไปทั้งชาติเหมือนกับครอบครัวมาดามสตาร์ลิ่งข้างบ้าน…


โจรขึ้นบ้านสิบครั้ง ยังไม่วอดวายเท่ากับปรุงโอสถครั้งเดียว…


ไคลน์มองไปยังพื้นสายหมอกสีเทาและพระราชวังบรรยากาศเงียบสงบรอบตัว อารมณ์ปัจจุบันค่อนไปทางหงุดหงิดคล้ายกับเพิ่งสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิต


ชายหนุ่มนั่งนิ่งหลายวินาที ก่อนจะตัดสินใจส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง สำหรับเงินแปดร้อยสามสิบปอนด์สุดท้าย มันหยิบธนบัตรห้าซูลจำนวนหกใบเก็บใส่กระเป๋าสตางค์แบนฟีบ ส่วนอีกแปดร้อยปอนด์ ไคลน์แบ่งออกเป็นสองปึกอย่างละครึ่ง เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทสองข้างซ้ายขวา


หลังจากนั้น ชายหนุ่มเปิดลิ้นชักและหยิบเส้นผมนากาทะเลลึกสองเส้นซึ่งเพิ่งนำลงมาจากห้องมินิเหนือสายหมอก ใส่กระดาษห่อหลายชั้นและยัดไว้ในกระเป๋าเสื้อไม่ซ้ำกัน


เมื่อจัดการทุกสิ่งเสร็จสรรพ ไคลน์เดินออกจากบ้านโดยอาศัยแสงเทียนริมถนนนำทาง ก่อนจะเดินหักเลี้ยวตรงหัวมุมและขึ้นรถม้าต่อไปยังผับวีรบุรุษในเขตสะพานเบ็คลันด์


ท่ามกลางบรรยากาศอบอ้าวและเสียงอึกทึกครึกโครม ไคลน์นั่งละเมียดละไมเบียร์นันวีลล์จนหมดไปหนึ่งแก้ว จึงค่อยเดินกลับออกจากผับโดยผ่านเวทีมวยสุดแสนวุ่นวาย


ขณะรถม้ากำลังแล่นโดยมีเสียงล้อไม้บดกับถนนเป็นฉากหลัง ชายหนุ่มจงใจหลับตาลงและปล่อยตัวตามสบาย จนกระทั่งเสียงเคาะกระจกดังแว่ว


มุมปากไคลน์ยกขึ้นเล็กน้อย มันค่อยๆ ลืมตาขึ้นและพบมาดามชารอนกำลังนั่งบนเบาะฝั่งตรงข้ามด้วยกิริยามารยาทสง่างาม


โดยไม่รอให้อีกฝ่ายซักถาม ไคลน์ชิงเปิดประเด็นสนทนา


“ผมนำข้อมูลของคุณในคราวก่อนไปขายต่อได้ในราคาสูงมาก ผมหมายถึงเบาะแสของสุสานอามุนด์”


ชารอนทำเพียงนั่งจ้องโดยไม่ปริปาก


ชายหนุ่มวางไม้ค้ำพร้อมกับหยิบธนบัตรสองปึกใหญ่ออกจากกระเป๋าเสื้อโค้ท จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างล้วงหยิบห่อกระดาษ


“แปดร้อยปอนด์ถ้วน รวมถึงเส้นผมนากาทะเลลึกสองเส้น รวมทั้งหมดเป็นหนึ่งพันปอนด์ถ้วน นี่คือส่วนแบ่งของคุณ” ไคลน์เผยรอยยิ้มขณะยื่นปึกธนบัตรและห่อกระดาษไปอีกหาอีกฝ่าย


ชารอนก้มชำเลืองสักครู่ จึงค่อยเหยียดแขนข้างหนึ่งออกไปหามือไคลน์


เมื่อดึงมือกลับมา เธอก้มหน้าสำรวจส่วนแบ่งพลางตั้งคำถามด้วยเสียงล่องลอย


“คุณขายได้เท่าไร”


“สองพันปอนด์ หารกันคนละครึ่ง” ไคลน์มอบคำตอบด้วยรอยยิ้ม


หมายความว่า ถ้าจิตแห่งจักรกลตระหนี่จ่ายแค่หนึ่งพันห้าร้อยปอนด์ ส่วนแบ่งของคุณก็จะลดลงไปด้วย… มันเสริมในใจ


เพียงชารอนตวัดฝ่ามือสีขาวซีดแผ่วเบา ทั้งเงินและห่อกระดาษพลันอันตรธานหายไปอย่างน่าอัศจรรย์


เธอเงยหน้าจ้องไคลน์พลางผงกศีรษะรับเป็นเชิงขอบคุณ ตามด้วยคำถาม


“ข้างในสุสานมีอะไร?”


“ผมไม่ทราบ ไม่ได้เข้าไป” ไคลน์ไม่คิดเปิดเผยข้อมูลซึ่งตนได้ทราบมาจากกระจกวิเศษอาโรเดส


ทันใดนั้น มันจินตนาการว่า หากตนตัดสินใจเล่ารายละเอียดออกไป มาดามชารอนคงนั่งฟังโดยใช้มือข้างหนึ่งจับแก้มเฉกเช่นทุกครั้ง


วิญญาณอาฆาตสาวคนนี้คงมีงานอดิเรกเป็นการนั่งฟังเรื่องซุบซิบนินทาอย่างเงียบงัน… ไคลน์ได้ข้อสรุปให้ตัวเอง


ชารอนไม่เปลี่ยนสีหน้า ทำเพียงครุ่นคิดสองถึงสามวินาทีและเล่าต่อ


“ใครบางคนกำลังขุดอุโมงค์ไปยังซากอาคารใต้ดิน”


“หือ..?” ไคลน์ตามบทสนทนาของชารอนไม่ทันในตอนแรก


แต่เพียงไม่นานก็เริ่มตระหนักว่าซากอาคารใต้ดินในความหมายของเธอคือสิ่งใด


สำหรับไคลน์และหล่อน ทั้งสองแบ่งปันความลับเกี่ยวกับซากปรักหักพังเพียงแห่งเดียวเท่านั้น นั่นคืออาคารลึกลับซึ่งสงสัยว่าจะเป็นของราชวงศ์ทูดอร์มาก่อน


ใครบางคนพยายามขุดอุโมงค์เพื่อไปให้ถึงอาคารดังกล่าว?


ชายหนุ่มก้มหน้าตรึกตรอง ก่อนจะฉุกคิดบางสิ่งได้


“ฝีมือบาโรเน็ตคนนั้น?”


ไคลน์ลืมแม้กระทั่งชื่อทายาทรุ่นปัจจุบันของราชวงศ์ทูดอร์ จำได้เพียงว่า อีกฝ่ายถูกริบบรรดาศักดิ์จนเหลือแค่บาโรเน็ตและพักอาศัยบนถนนซิลวารัสติดกับสถานีตำรวจนครบาล


“ถูกต้อง” ชารอนตอบห้วน


“เขากำลังมองหาอะไร? ไม่รู้หรือว่าด้านในมีวิญญาณมารทรงพลังถูกผนึกอยู่ ไม่รู้หรือว่าบรรพบุรุษของตนเข้าไปตายมาแล้วกี่รุ่น?”


ไคลน์รัวยิงคำถาม


ชารอนขยับท่านั่งเล็กน้อยพร้อมกับตอบด้วยสีหน้าจริงจัง


“ฉันก็ไม่ทราบ ว่าเขาทราบหรือไม่”


“…อีกนานแค่ไหนกว่าขุดถึง” ไคลน์ซักถามหลังจากพยายามไตร่ตรองหาคำตอบ


“คงราวสองถึงสามเดือน การขุดคนเดียวไม่น่าจะเร็วไปกว่านี้” ชารอนคาดคะเน


ฟู่ว! ไคลน์ถอนหายใจ


“ยังไม่จำเป็นต้องรีบ รอให้ผมพร้อมก่อน พวกเราค่อยไป ‘เยี่ยม’ เขาพร้อมกัน”


มันอธิบายต่อ


“คุณคงทราบอยู่ก่อนแล้ว ผมจำเป็นต้องเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อความไม่ประมาท”


เราจะไม่เสี่ยงอันตรายใดจนกว่าจะกลายเป็นผู้ไร้หน้าเด็ดขาด! มันเตือนสติตัวเอง


“ตกลง” ชารอนไม่ไต่ถามว่าไคลน์จะเตรียมตัวในเรื่องดี ทำเพียงเลือนหายไปจากห้องโดยสารรถม้าราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่


ไคลน์เอนหลังพิงเบาะอย่างผ่อนคลาย


วัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถถูกเตรียมไว้ครบหมดแล้ว รอแค่ส่วนผสมสำคัญ ‘เดลิเวอรี’ มาถึงถือเรา… หนี้สินก็ถูกสะสางแล้วเช่นกัน ไม่มีสิ่งใดให้ค้างคาใจ…


อารมณ์หงุดหงิดก่อนหน้าเริ่มมลายหายเป็นปลิดทิ้ง มันโดยสารรถม้าด้วยอารมณ์ปลอดโปร่งจนกระทั่งถึงบ้าน


ปัญหาเดียวในตอนนี้คือ…ไคลน์ล้วงจับกระเป๋าสตางค์ฟีบแบนในเสื้อโค้ท


มันเอนตัวมาด้านหน้าเล็กน้อยพลางพึมพำอย่างห่อเหี่ยว


“เหลือเงินเก็บแค่สามสิบปอนด์…กับอีกห้าเหรียญทองปอนด์และเศษเหรียญ…”



พฤหัสช่วงบ่าย


ออเดรย์·ฮอลล์กำลังนั่งรอครูสอนพิเศษ มาดามเอสลันด์ อยู่ในห้องอ่านหนังสือ


เมื่อได้รับคำตอบจากแฮงแมนและเดอะเวิร์ล เด็กสาวรีบส่งจดหมายหาเอสลันด์ทันที


ใจความในจดหมายไม่มีพิรุธ ออเดรย์เพียงแจ้งว่าเธอต้องการให้คาบเรียนจิตวิทยาของสัปดาห์นี้เลื่อนมาเป็นวันพฤหัส


แต่ในความเป็นจริง เด็กสาวได้นัดแนะกับอีกฝ่ายไว้ล่วงหน้าแล้วว่า หากตนเขียนแสดงความประสงค์เช่นนี้ออกไป แปลว่าอีกฝ่ายตอบรับข้อเสนอของสินค้า


ติ๊ก. ต่อก.


เข็มยาวของนาฬิกาแขวนบนผนังหมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งครูสอนพิเศษวิชาจิตวิทยาผู้มีผมยาวถึงสะโพก เอสลันด์ เดินผ่านกรอบประตูเข้ามาในห้องอ่านหนังสือพร้อมกับอุปกรณ์การสอนจำนวนหนึ่ง


ออเดรย์ส่งสัญญาณบอกซูซีทางสายตา สุนัขขนทองตัวใหญ่รีบเดินออกจากห้องไปอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะนอนหมอบหน้าประตูพลางเฝ้ามองเหตุการณ์รอบตัวจากมุมมืดของคฤหาสน์


เอสลันด์ใช้มือปิดประตูตามหลังและเดินมานั่งบนเก้าอี้อีกฝั่งของโต๊ะกลมสีขาวตัวเล็ก พลางวางอุปกรณ์การสอนลง


“พวกเขาจ่ายด้วยเงินสดหรือสมบัติวิเศษคะ?” หญิงสาวบีบเสียงกระซิบ


“คนหนึ่งจ่ายสองพันห้าร้อยปอนด์ ส่วนอีกคนเสนอสมบัติวิเศษแลกเปลี่ยน” ออเดรย์หยิบกล่องกระดาษแข็งออกจากกระเป๋าถือสีส้มด้วยท่าทีไม่ได้ระมัดระวังอะไรนัก ด้านนอกกล่องมีกำแพงวิญญาณผนึกอยู่อย่างชัดเจน


หลังจากสลายกำแพงวิญญาณ เด็กสาวเปิดฝากล่องและหยิบหน้ากากสีทองลักษณะหยาบออกมาถือ


จากนั้นก็อธิบายคุณสมบัติอย่างละเอียด


ด้วยความสัตย์จริง ออเดรย์อยากทดสอบใช้งานหน้ากากสักครั้งเนื่องจากเป็นการสัมผัสสมบัติวิเศษครั้งแรก อย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดความอยากรู้อยากเห็นเกินห้ามใจ แต่สุดท้ายก็ต้องข่มความรู้สึกและปล่อยผ่านไป ออเดรย์ยังไม่อยากกลายเป็นคนเย็นชา


“มูลค่าใกล้เคียงกัน…” เอสลันด์ถอนหายใจด้วยสีหน้าโล่งอก


ผ่านไปสองวินาที ครูสอนพิเศษสาวหยิบหนังสือเล่มหนาสุดเปิดไปยังหน้าสี่สิบแปด


เนื้อกระดาษด้านในถูกคว้านเป็นร่องลึกทรงสี่เหลี่ยม บรรจุกล่องโลหะขนาดเท่าฝ่ามือและม้วนกระดาษหนึ่งแผ่น


“ตะกอนพลังของเงามืดหนังมนุษย์… สูตรโอสถผู้รับใช้วายุ…” เอสลันด์แนะนำสินค้าในมือทีละชื้น


เพียงออเดรย์ชำเลืองวัตถุลักษณะคล้ายเพชรซึ่งมีใบหน้าจำนวนมากซ้อนทับ ศีรษะของเด็กสาวพลันวิงเวียนรุนแรง


นี่มัน… สามารถสะกดพลังของผู้ชมได้… เป็นวัตถุดิบหลักของเส้นทางมิสเตอร์เวิร์ล? นึกแล้วเชียวว่าทำไมเราถึงไม่เคยอ่านอารมณ์ของเขาได้เลย…


ออเดรย์เบือนหน้ามาทางสูตรโอสถ


ลำดับ 6 : ผู้รับใช้วายุ


วัตถุดิบหลัก :


– ผลึกขนเหยี่ยวเงาฟ้าหกเส้น


– ดวงตาอินทรีทะเลตามังกรหนึ่งคู่…


โดยไม่ปล่อยให้เด็กสาวอ่านจบ เอสลันด์ชิงม้วนสูตรโอสถกลับสู่สภาพเดิม


จากนั้น เธอเก็บสินค้าใส่กล่องโลหะใบเดิมและยัดกลับคืนโพรงช่องว่าง ก่อนจะผลักมาทางเด็กสาวหลังจากผนึกกำแพงวิญญาณเสร็จเรียบร้อย


ออเดรย์หยิบหนังสือขึ้นมาถือ แต่ยังไม่จ่ายเงินสองพันห้าร้อยปอนด์หรือมอบหน้ากากสีทองให้อีกฝ่าย


เมื่อเห็นเอสลันด์แสดงสีหน้าประหลาดใจ เด็กสาวอธิบายอย่างใจเย็นคล้ายกับเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้า


“พวกเขากังวลเกี่ยวกับความถูกต้องของตะกอนพลังและสูตรโอสถ จึงต้องการยืนยันให้แน่ใจก่อนแลกเปลี่ยน ขอรับประกันว่า สินค้าของทุกฝ่ายจะอยู่ในมือดิฉัน ไม่มีใครโกงใครได้แน่นอน หวังว่าทางคุณจะมองว่าดิฉันมีความน่าเชื่อถือมากเพียงพอ กับเงินจำนวนแค่นี้ ดิฉันไม่ทำให้ชื่อเสียงของตัวเองมัวหมองแน่นอนค่ะ”


“ทางเราเข้าใจความกังวล” เอสลันด์เว้นวรรคเล็กน้อย “และทางเราก็เชื่อใจคุณ”


ในเมื่อเงินและสมบัติวิเศษกำลังอยู่ในมือ ‘พวกเดียวกัน’ เอสลันด์จึงไม่กังวลว่าตนจะถูกโกง ตรงกันข้าม เธอกำลังโล่งใจ


คุณหนูออเดรย์ร่ำรวยและมีชื่อเสียงมาก ไม่มีใครเป็นคนกลางได้ดีกว่าเธออีกแล้ว…


เอสลันด์ถอนหายใจยาว



ท่ามกลางพระราชวังโบราณเหนือสายหมอกสีเทากว้างไกลไร้ก้นบึ้ง


ไคลน์ถือลูกตุ้มวิญญาณด้วยมือซ้ายพลางนำไปจ่อเหนือม้วนกระดาษหนังเขียนสูตรโอสถผู้รับใช้วายุ


มันไม่ต้องการให้ชุมนุมทาโรต์สูญเสียสมาชิกทรงพลังอันดับหนึ่ง มิสเตอร์แฮงแมน ไปกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน


เมื่อลืมตาขึ้นและพบว่าจี้บุษราคัมกำลังหมุนตามเข็มนาฬิกา ชายหนุ่มทำสีหน้าโล่งอกพร้อมกับถ่ายทอดความคิดเข้าไปในดาวแดงตัวแทนแฮงแมน



นครแห่งการให้


วิวทิวทัศน์รอบตัวอัลเจอร์พลันกลายเป็นสายหมอกสีเทา ตามด้วยเสียงสุขุมและกังวานของเดอะฟูลดังจากระยะไกล


“มิสจัสติสจัดการเรียบร้อยแล้ว”


ทันใดนั้น ภาพมายาของแผ่นกระดาษหนังได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าอัลเจอร์ ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากสูตรโอสถผู้รับใช้วายุ


หากสูตรโอสถผ่านมือมิสเตอร์ฟูลโดยตรง มันก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกหลอกขายของปลอม อัลเจอร์รีบโค้งศีรษะคำนับและกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม


เมื่อภาพมายาทั้งหมดเลือนหาย ชายหนุ่มรีบหยิบปากกาและกระดาษขึ้นมาจดสูตร


ไม่กี่นาทีถัดมา มันเดินวนเวียนไปมาในห้องด้วยสีหน้าตื่นเต้น ปากขยับพึมพำ


“เหยี่ยวเงาฟ้า…บนเกาะแห่งนั้นมี…”



หลังจากจัดการธุระให้แฮงแมนเสร็จ ไคลน์มีเวลาสำรวจตะกอนพลังเงามืดหนังมนุษย์ของตัวเองเสียที


เมื่อยืนยันว่าเป็นของจริง ชายหนุ่มเอนกายพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้าสุดเคลิบเคลิ้ม


จบสักที…


สามวินาทีถัดมา มันลุกพรวดพร้อมกับวางแผนเตรียมปรุงโอสถผู้ไร้หน้าในคืนนี้ทันที!


จะปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่าแม้แต่วินาทีเดียวไม่ได้เด็ดขาด!


……………………


ราชันเร้นลับ 451 : ผู้ไร้หน้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

อาคารหมายเลข 15 ถนนมินส์ ภายในห้องครัวอับชื้นและค่อนข้างหนาว


ไคลน์พยายามรื้อหาหม้อต้มใบใหญ่ซึ่งตนเพิ่งซื้อมาได้ไม่นาน เมื่อหาพบ มันเปิดน้ำสะอาดใส่พร้อมกับใช้มือขัดถูทุกซอกมุม


จากนั้น ชายหนุ่มโยนก้านไม้ขีดไฟลงไปพร้อมกับดีดนิ้ว


เพลิงสีแดงอมส้มพลันลุกโชน แผดเผาหยดน้ำตกค้างทั้งหมด จนระเหยไปในอากาศโดยไม่เหลือไว้แม้แต่หยดเดียว


เนื่องจากในคราวนี้ สูตรโอสถไม่มีน้ำสะอาดเป็นส่วนผสม จึงต้องตั้งใจมากกว่าสองครั้งก่อนอย่างมาก ไคลน์ต้องการให้ทุกสิ่งออกมาสมบูรณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความล้มเหลวตามมา


แม้จะทำนายยืนยันแล้วว่า การปรุงโอสถครั้งนี้จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะออกมาสำเร็จลุล่วงเช่นกัน


 เทคนิคการสกัดวัตถุดิบหลักออกจากโอสถคงไม่ง่ายรัก อาจต้องใช้วิธีพิเศษ หรือพิธีกรรมบางชนิด คล้ายกับการดึงจิตกัดกร่อนออกจากดวงตาดำล้วนของโรซาโก้ และถ้าดึงออกไม่สำเร็จ ไคลน์ก็จะไม่มีเงินพอสำหรับซื้อวัตถุโอสถชุดใหม่มาปรุงชดเชย


หลังจากเตรียมการพื้นฐานเรียบร้อย มันสูดลมหายใจยาวสุดปอด สายตาชำเลืองยังกล่องวัตถุดิบซึ่งถูกจัดเรียงไว้ตามขั้นตอน


สมองเค้นนึกสูตรโอสถในความทรงจำ :


ลำดับ 6 ผู้ไร้หน้า :


วัตถุดิบหลัก :


– ต่อมใต้สมองกลายพันธุ์ของนักล่าพันหน้า


– ตะกอนพลังของเงามืดหนังมนุษย์


วัตถุดิบรอง :


– โลหิตนักล่าพันหน้าแปดสิบมิลลิลิตร


– ยางต้นลำโพงดำห้าหยด


– ผงหญ้าเขี้ยวมังกรสิบกรัม


– เส้นผมของนากาทะเลลึกสามเส้น


ก่อนอื่น ไคลน์หยิบกล่องกระดาษแข็งซึ่งซื้อมาจากแวมไพร์เอ็มลิน ด้านในมีกองสำลีรองก้น และมีหลอดแก้วบรรจุโลหิตนักล่าพันหน้าจำนวนหนึ่งร้อยมิลลิลิตร


สายตาเพ่งมองมาตรวัดข้างขวด ปลายนิ้วออกแรงบิดเปิดฝา ตามด้วยการบรรจงเทลงหม้อด้วยข้อมือไม่สั่นคลอน ของเหลวดังกล่าวจะเปลี่ยนสีตลอดเวลาตามแต่มุมของแสงตกกระทบ


ในฐานะวัตถุดิบเสริม ไคลน์มองว่าแค่กะเกณฑ์ด้วยสายตาก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเทในปริมาณแม่นยำมากนัก อย่างให้ถึงขั้นต้องพึ่งพาอุปกรณ์หยดทางวิทยาศาสตร์


โลหิตนักล่าพันหน้าไหลลงก้นหม้อในลักษณะเหนียวหนืดคล้ายน้ำผึ้งเจือจาง เพียงไม่นานก็เริ่มเต็มก้นหม้อ ผ่านไปสักพัก ไคลน์ยกขวดตั้งตรงและหมุนเกลียวปิดฝากลับคืน


ยังเหลืออีกยี่สิบมิลลิลิตร สัมผัสวิญญาณของเราแม่นยำทีเดียว…


ไคลน์เบือนสายตาออกจากก้นขวดแก้ว นิ้วบิดหมุนฝาปิดจนแน่นหนา


โลหิตนักล่าพันหน้าอีกยี่สิบมิลลิลิตรยังนับว่ามีมูลค่าสูง สามารถนำไปสร้างสมบัติวิเศษ อาวุธวิเศษ ม้วนคาถาเวทมนตร์ หรือใช้วาดเป็นสัญลักษณ์ในพิธีกรรมเฉพาะ ซึ่งต้องการพลังวิญญาณก็ยังได้


หลังจากนำขวดแก้วเก็บคืนกล่องกระดาษแข็งซึ่งรองด้วยสำลี ไคลน์ไล่ตามขั้นตอนในสูตรโอสถอย่างละเอียด เริ่มจากการเทยางต้นลำโพงดำและผงหญ้าเขี้ยวมังกรลงไปตามลำดับ และไม่ต้องรอนาน การเปลี่ยนแปลงแรกเริ่มขึ้นทันที ของเหลวในหม้อเหล็กกำลังผุดฟองอากาศเป็นระยะ


โดยไม่รีรอ ไคลน์ใช้มือขวาซึ่งสวมถุงมือหนังสีดำ หยิบเส้นผมนากาทะเลลึกสีน้ำเงินเข้มคล้ายงูตัวเล็กจำนวนสามเส้น และบรรจงวางลงไปบนผิวของกลุ่มก้อนของเหลว


ฉ่า!


หมอกควันเจือจางพลันคละคลุ้งลอยขึ้นเหนือปากหม้อเหล็ก เหลวด้านในเริ่มกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มกรมท่า


ยังไม่ทันใส่วัตถุดิบหลักก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว? สมกับเป็นโอสถลำดับ 6…


ไคลน์เหยียดแขนขวาออกไปเพื่อหยิบกล่องดีบุก สิ่งนี้ก็ซื้อมาจากเอ็มลิน·ไวท์เช่นกัน


แกร่ก! มันเปิดผาสำเร็จ และพบวัตถุลักษณะคล้ายลูกท้ออยู่ด้านใน


ชายหนุ่มไม่ใช้มือสัมผัสโดยตรง ทำเพียงเหยียดแขนขวาไปกลางหม้อ และบิดข้อมือคว่ำกล่องดีบุกลง


ด้วยอำนาจแรงโน้มถ่วง วัตถุสีเหลืองอมน้ำตาลซึ่งเต็มไปด้วยร่องลึกและริ้วรอยจำนวนมาก มองผิวเผินคล้ายสมอง หล่นลงไปบนของเหลวสีน้ำเงินเข้มกรมท่าก้นหม้อ


เรื่องน่าประหลาดก็คือ ของเหลวในหม้อมิได้กระเซ็นจากแรงปะทะ จนกระทั่งผ่านไปสักพัก ต่อมใต้สมองของนักล่าพันหน้าเริ่มละลายรวมกับของเหลวอย่างเงียบงัน


สีเทา น้ำตาล และเหลือง เริ่มผสานเข้าเป็นเนื้อเดียวกับของเหลวสีกรมท่า ฟองอากาศในหม้อเริ่มขยายขนาดขึ้นจากเดิม


มาถึงจุดนี้ ไคลน์ค่อนข้างประหวั่น แต่มันฝืนสะกดอารมณ์ตัวเอง แขนเอื้อมหยิบกล่องสุดท้ายซึ่งบรรจุเพชรเม็ดเท่าฝ่ามือ มีใบหน้ามนุษย์จำนวนมากซ้อนทับด้านใน


มันใช้มือเทลงไปในหม้อต้มทั้งอย่างนั้น


โดยไม่ต้องรอนาน กลุ่มหมอกซีดจางเหนือปากหม้อเริ่มทวีความเข้มข้น ในเวลาเดียวกัน คล้ายกับแสงตะเกียงถูกหมอกเหล่านั้นขโมยความสว่างไป บรรยากาศภายในห้องเริ่มสลัวเมื่อเทียบกับช่วงแรก


จนกระทั่งทุกสิ่งกลับสู่สภาพเดิม ไคลน์ยืนจ้องผลผลิตสุดท้ายของโอสถอย่างตื่นเต้น


ของเหลวเนื้อเดียวสีเขียวอมดำ ผุดฟองอากาศขนาดเท่าดวงตาตลอดเวลา และยังส่งเสียง ‘เรอ’ เป็นระยะราวกับมีชีวิต


เมื่อฟองอากาศลอยขึ้นถึงผิวน้ำ พวกมันจะระเบิดแตกตัวพร้อมกับสร้างสีสันฉูดฉาดจำนวนมาก


สีสันนานับชนิดรวมตัวกันเป็นเค้าโครงใบหน้ามนุษย์แบบสุ่มไม่ซ้ำเดิม


ไคลน์ใช้มือข้างหนึ่งยกด้ามจับหม้อต้ม ส่วนอีกข้างจับขวดแก้ว ซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้าสำหรับบรรจุโอสถ ชายหนุ่มบรรจงเทอย่างระมัดระวัง และด้วยความพิเศษของโอสถ ของเหลวทุกหยดจึงติดกันเป็นเนื้อเดียว ไม่หลงเหลือสิ่งตกค้างไว้ก้นหม้อ


เมื่อลองใช้พลังทำนายซักถาม ผลลัพธ์ระบุชัดเจนว่า มีอันตรายเล็กน้อย แต่อยู่ในขอบเขตรับได้ สิ่งนี้ช่วยยืนยันว่า โอสถในขวดไม่ใช่ผลผลิตล้มเหลว


ไคลน์หยิบขวดแก้วบรรจุโอสถผู้ไร้หน้าและเดินขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้านอย่างระมัดระวัง ผ้าม่านถูกปิดมิดชิด


เมื่อลงกลอนประตูห้องเสร็จ ชายหนุ่มเดินไปนั่งบนขอบเตียง มันอาศัยการเข้าฌานจนอาการกระวนกระวายและวิตกเริ่มบรรเทา


หลังจากนั่งทำใจราวสิบวินาที ไคลน์ตัดสินใจหนักแน่น มือขวาชูขวดแก้วโอสถ มือซ้ายบิดเปิดฝาและกระดกเข้าปากรวดเดียวหมด


ความรู้สึกซาบซ่านพลันแล่นผ่านช่องปากและหลอดอาหาร ถัดมา ความซาบซ่านได้ทวีความรุนแรงจนกลายเป็นอาการเหน็บชา ร่างกายไคลน์เริ่มสูญเสียประสาทสัมผัสไปทีละอย่างสองอย่าง


จิตของชายหนุ่มถูกกระชากออกจากร่างอย่างกะทันหัน มันกลายเป็น ‘ผู้ชม’ ซึ่งมองเห็นดวงตา ใบหู ริมฝีปาก และจมูกของตัวเองจากมุมมองของบุคคลภายนอก


อวัยวะทั้งหมดกำลังละลาย


ใบหน้าของไคลน์กำลังละลาย!


ภายในระยะเวลาเพียงสองสามวินาที ใบหน้าไคลน์กลายเป็นวัตถุสภาพกึ่งของเหลว คล้ายขี้ผึ้งสีขาวถูกความร้อนหลอมละลาย เป็นเช่นนี้กับทุกส่วนของร่างกาย พวกมันมีลักษณะเหลวข้นราวกับถูกเลือดในตัวแผดเผา


ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้…!


ไคลน์พลันตระหนักว่า หากตนไม่ควบคุมสถานการณ์ อีกไม่นานคงได้เกิดอาการคลุ้มคลั่งเป็นแน่


ในภาวะ ‘ผู้ชม’ มันพยายามดึงจิตของตัวเองกลับเข้าร่างอย่างสุดฝีมือ ขณะเดียวกันก็ต้องแบ่งสมาธิเพื่อสร้างลูกบอลแสงสำหรับเข้าฌาน


หลังจากพยายามยื้อยุดอยู่หลายยก ไคลน์ดึงจิตกลับเข้าไปในร่างสำเร็จเป็นครั้งแรก การควบคุมเริ่มกลับคืนมาเล็กน้อย มันรู้สึกว่าตัวเองกลับเป็นเจ้าของร่างอีกครั้ง


แต่การต่อสู้ยังคงดำเนินไปอีกหลายยก ชายหนุ่มถูกกระชากจิตออกจากร่าง และต้องดิ้นรนกลับเข้าไปใหม่ ใบหน้าหลอมละลายราวกับเทียนไขไหม้ พยายามก่อตัวกลับเป็นรูปทรงเดิมอย่างยากลำบาก


แต่จนแล้วจนรอด การต่อสู้ก็ต้องมีผู้ชนะ ไคลน์ได้รับสิทธิ์ปกครองร่างกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ ประสาทสัมผัสเริ่มคืนค่าทีละนิด


ในวินาทีนี้ ชายหนุ่มสัมผัสได้อย่างแจ่มชัดว่า ตนสามารถทะลวงด่านพลังขึ้นมาถึงลำดับ 6 บนเส้นทางเรียบร้อยแล้ว


ผู้ไร้หน้า!


หน้าผากไม่ผุดเหงื่อสักเม็ด แต่จิตใจกำลังอ่อนเพลียสุดขีด มันฝืนพยุงตัวลุกยืน ลากสังขารมาหยุดหน้ากระจกเต็มบาน หวังยลโฉมปัจจุบันของตนให้หายเหนื่อย


ท่ามกลางแสงสลัวจากตะเกียงแก๊ส ชายพลันหนุ่มโซเซถอยหลังสองก้าว พร้อมกับล้มก้นจ้ำเบ้าเสียงดังโครม


ภาพในกระจกสยดสยองเหนือคำบรรยาย!


ผิวหนังและใบหน้าทั้งหมดของไคลน์ กำลังถูกปกคลุมด้วยตุ่มเนื้อสีซีดเม็ดเล็ก เบียดเสียดกันเป็นจำนวนมหาศาล!


ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตประเภทใด หากได้เห็นรูปลักษณ์ปัจจุบันของไคลน์เข้า เกือบทั้งหมดคงเกิดอาการสะอิดสะเอียนเจียนตาย ยิ่งถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทอ่อนแอ อาจถึงขั้นหมดสติกลางอากาศเลยทีเดียว


แม้ว่าเราจะทราบเทคนิคสวมบทบาทและ ‘กฎ’ อย่างแจ่มชัด แม้จะย่อยโอสถนักมายากลจนสมบูรณ์แบบ แต่การเลื่อนเป็นลำดับ 6 กลับยากลำบากและอันตรายผิดคาด ห่างจากอาการคลุ้มคลั่งเพียงไม่กี่ก้าว…ได้แต่นึกสงสัยว่า ผู้วิเศษปรกติซึ่งไม่ทราบเทคนิคสวมบทบาท อาศัยการเลื่อนลำดับเมื่อครบกำหนดเวลา จะต้องเผชิญอันตรายเพียงใดในการเสี่ยงเลื่อนลำดับ 6 โอกาสคลุ้มคลั่งต้องสูงกว่าเราหลายเท่าแน่…ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมโบสถ์ถึงมีสมาชิกลำดับ 7 อยู่มากมาย ถึงขั้นได้เป็นหัวหน้าทีมและบิชอปตามมุขมณฑลในเมืองห่างไกล แต่ในทางกลับกัน ลำดับ 6 ขึ้นไปกลับมีเพียงหยิบมือเดียว…


ไคลน์ฝืนพยุงตัวเดินไปนั่งบนเก้าอี้


ด้วยความช่วยเหลือจากภาวะเข้าฌาน มันสามารถระงับพลังวิญญาณส่วนเกิน ซึ่งกำลังพรั่งพรูออกนอกร่างกาย ให้ไม่รั่วไหลออกไปจนสำเร็จ อาการเหน็ดเหนื่อยเริ่มบรรเทาลงหลายส่วน


ผ่านไปราวสิบนาที ตุ่มเนื้อทั่วร่างเริ่มผสานเป็นหนึ่งเดียวกับผิวหนังอย่างสมบูรณ์


ฟู่ว! ไคลน์ถอนหายใจยาว สองเท้าก้าวไปหากระจกเงาเต็มบาน สายตาเพ่งมองรูปลักษณ์ตัวเองในสภาพหนวดเคราดกดำ


ทันใดนั้น ใบหน้าชายหนุ่มเริ่มยุบพองอย่างน่าขยะแขยง ลักษณะคล้ายกับขี้ผึ้งละลาย ก่อนจะแข็งตัวฉับพลันในเวลาถัดมา


เพียงสองวินาที ไคลน์เปลี่ยนตัวเองกลับไปเป็นรูปลักษณ์เก่า ผมดำขลับ ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าเกลี้ยงเกลาแต่ไม่โดดเด่น โครงหน้าคมชัด ร่างกายผอมบาง กลิ่นอายนักวิชาการเต็มเปี่ยม


ไคลน์·โมเร็ตติ


หลังจากจ้องหน้าเก่าสักพัก ชายหนุ่มใช้ฝ่ามือขวากดลงบนใบหน้าอย่างอ่อนโยน


โครงหน้าเริ่มเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง สันจมูกสูงโด่งเด่นชัด ริมฝีปากบางเฉียบ แผ่กลิ่นอายความสง่างามและทระนงตนอย่างเต็มร้อย ไม่ใช่ใครนอกจากแวมไพร์หนุ่ม เอ็มลิน·ไวท์


เตี้ยไปหน่อยแฮะ…มันขำตัวเอง


ทันใดนั้น เสียงกระดูกพลันลั่นโครมคราม เส้นเอ็นเกิดการยืดหด และไม่ต้องรอนาน ส่วนสูงของไคลน์เพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อยอย่างน่าอัศจรรย์


ขณะเดียวกัน เรายังสามารถจดจำรูปโฉมและบุคลิกท่าทางของคนรู้จักได้อย่างละเอียด รวมไปถึง ‘กลิ่น’ พิเศษของพวกเขาด้วย…


ไคลน์ทดสอบขยับรูขุมขน ส่งผลให้กลิ่นกายเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย


สายตามองกลับไปทางกระจกเงาเต็มบานอีกครั้ง เส้นผมบนศีรษะเริ่มเถิกล้านทีละนิด ตาดำเปลี่ยนเป็นสีเทาเข้มลุ่มลึก


ดันน์·สมิธกลับมาปรากฏตัวบนโลกอีกครั้งโดยไม่ให้สุ้มเสียง ดวงตาของหัวหน้าหน่วยเหยี่ยวราตรีแห่งทิงเก็น จ้องมองมายังลูกน้องอย่างเป็นมิตรพลางรอฟังรายงานประจำวันเหมือนทุกที


ชายหนุ่มถอนหายใจหดหู่ มือขวาลูบหน้าเพื่อเปลี่ยนกลับเป็นนักสืบเชอร์ล็อก แต่มุมปากยังคงยกโค้งอย่างมีเลศนัย


มันนึกเรื่องน่าสนุกขึ้นได้


ไคลน์ถอยหลังสองก้าวเพื่อกลับไปมองปกนิตยสารสตรี ‘สุนทรียศาสตร์แห่งหญิงสาว’ ซึ่งซื้อมาเพื่อเชยชมความงามของกุลสตรีในยุคปัจจุบัน มันเพ่งมองและพยายามจดจำใบหน้าของนางแบบบนหน้าปกสักพัก


จากนั้นก็เดินกลับมายังหน้ากระจกเงาและใช้มือขวาลูบหน้าแผ่วเบา


เมื่อมองอีกครั้ง ไคลน์ได้พบหญิงสาวหน้าตางดงามเลอโฉม ผมดำขลับสั้นประบ่า


ได้ผลแฮะ… ไคลน์ก้มมองหน้าอกตัวเองตามสัญชาตญาณ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง


แต่มันก็มีทางแก้ ชายหนุ่มเคลื่อนย้ายไขมันและเนื้อบางส่วนมาถมอกจนได้คัพ A


อย่างไรก็ตาม สำหรับช่วงล่าง มันจนปัญญาจะปลอมแปลง


สรุปได้ว่า ผู้ไร้หน้าเปลี่ยนได้แค่เปลือกนอก ไม่เกี่ยวข้องกับภายใน…เราสามารถยืดหรือหดความสูงได้ไม่เกินสิบเซนติเมตร ถ้ามากกว่านี้คงลำบากสักหน่อย…เราไม่สามารถหดหรือขยายศีรษะได้มากนัก อย่างน้อยก็มิอาจเลียนแบบศีรษะของหลวงพ่อยูทรอฟสกี้เจ้าของส่วนสูง 2.2 เมตรได้…เราสามารถจดจำรูปกายภายนอกของคนแปลกหน้าได้ทันทีเมื่อแรกเห็น ต่อให้ไม่รู้จักกันเลยก็ตาม แต่ข้อเสียคือ หากไม่เลียนแบบบุคลิกให้ดี จะมีโอกาสถูก ‘ผู้ชม’ ตรวจพบความผิดปรกติได้ในง่ายมาก เหมือนกับกรณีของคีลิงเกอร์… ชักน่าสนใจแล้วสิ ลำดับ 8 ตัวตลกมีพลังชนะทาง ‘ผู้ชม’ แต่ลำดับ 6 ผู้ไร้หน้า กลับมีพลังแพ้ทางพอสมควร…


คิดมาถึงจุดนี้ ไคลน์หยุดแปลงร่างเล่นและเปลี่ยนกลับไปเป็นนักสืบเชอร์ล็อก


พลังทำนาย สมรรถภาพร่างกาย และเวทมนตร์ ทั้งหมดถูกยกระดับขึ้นมาก แต่ยังระบุแน่ชัดไม่ได้ว่ามากแค่ไหน ต้องทดสอบในสโมสรครักซ์ดูก่อน ไว้พรุ่งนี้ค่อยเดินทางไป…


ไคลน์สำรวจตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินลงมายังชั้นล่างเพื่อเก็บกวาดห้องครัว


หลังจากจัดการเสร็จ ชายหนุ่มล้างหน้าแปรงฟันและคลานเข้าไปมุดผ้าห่ม


บนเตียง สายตาจ้องมองจันทร์แดงด้วยจิตใจผ่อนคลายและสงบนิ่ง


ไม่กี่นาทีถัดมา ไคลน์หลับตาลง ฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุข และพูดกับตัวเอง


ราตรีสวัสดิ์ ผู้ไร้หน้า


……………………


ราชันเร้นลับ 452 : การตัดสินใจของเบ็นสัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เขตราชินี ถนนทาวน์เซ่น คาบเกี่ยวระหว่างเขตตะวันตก


ซิล·เดียร์ชากำลังยืนซุ่มในซอยมืดมิดและเปล่าเปลี่ยว โดยไม่ต้องเงยหน้า หญิงสาวมองเห็นอาคารใหญ่ ยอดหอคอยสูง และสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิกจำนวนมากในจุดห่างออกไป ระดับความสูงจากน้ำทะเลในแถบนี้ถือเป็นอันดับหนึ่งของกรุงเบ็คลันด์


นี่คือย่านพักอาศัยของราชวงศ์ออกัสตัสแห่งโลเอ็น


ทั่วทวีปเหนือใต้ เกียรติยศและความยิ่งใหญ่ของวังหลวงโลเอ็น มักถูกจัดให้อยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าพระราชวังเมเปิลขาวแห่งอินทิส และพระราชวังเออร์เมียแห่งจักรพรรดิฟุซัค


อย่างไรก็ตาม ชื่อของวังหลวงโลเอ็นกลับมิได้ฟังดูน่าเกรงขาม หรือสุนทรีย์เท่ากับวังหลวงของราชวงศ์อาณาจักรอื่น


วังโซเดอร์แล็ค ในภาษาฟุซัคโบราณมีความหมายว่า ‘สมดุล’


ซิลเบือนหน้าหนีจาก ‘ระฆังประกาศิต’ อันโด่งดัง สายตาจ้องมองไปยังอีกฝั่งของซอยเปลี่ยวและคับแคบ


ท่ามกลางเงามืดซึ่งแสงจากเสาตะเกียงส่องไปไม่ถึง บุคคลผู้หนึ่งย่างกรายออกมาอย่างเงียบงัน


อีกฝ่ายสวมหน้ากากสีทองปกปิดครึ่งใบหน้าส่วนบน ไม่ใช่ใครนอกจากชายปริศนาผู้ขายสูตรโอสถเจ้าพนักงานให้ซิล และยังคอยมอบภารกิจให้เธอทำอย่างต่อเนื่อง


หลังจากซิลและฟอร์สถกเถียงกันอย่างจริงจัง พวกเธอมีความเห็นตรงกันว่า ชายคนนี้น่าจะเป็นสมาชิกของ MI9


“มีความคืบหน้าบ้างไหม” ชายสวมหน้ากากถามอย่างเป็นกันเอง


ซิลส่ายหัว


“ไม่มี ฉันค่อนข้างมั่นใจว่า ไม่มีใครบาดหมางกับคาพินก่อนเกิดเหตุ”


เธอเว้นวรรค ก่อนจะซักถามอย่างไม่เต็มใจ


“ฉันยังต้องสืบเรื่องนี้ต่อไหม”


ชายสวมหน้ากากเงียบสักพัก


“ไม่ต้องแล้ว แต่ถ้าบังเอิญได้รับเบาะแสเพิ่มเติม ให้รีบรายงานผมทันที สำหรับวันนี้ ผมมีภารกิจใหม่ให้ทำ”


“ภารกิจอะไร” ซิลกำลังอยู่ในโหมดนักล่า เธอพร้อมรับความเสี่ยงทุกรูปแบบ


ชายสวมหน้ากากหัวเราะ


“ภารกิจไม่ซับซ้อน และคุณคงฝันอยากจะทำมันมานานแล้ว กว้านซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถเจ้าพนักงานและนักสอบสวนทั้งหมดจากชุมนุมลับในแวดวงของคุณ โดยเฉพาะวัตถุดิบชนิดพิเศษซึ่งสามารถใช้แทนวัตถุดิบหลักได้ ถ้ามีใครเสนอขาย ทางเราจะออกเงินให้เอง”


“วัตถุดิบเหล่านั้นจะกลายเป็นของฉัน?” ซิลโพล่งขึ้นอย่างตื่นเต้น


เธอกำลังคาดหวัง


“เปล่า คุณคิดว่าภารกิจง่ายดายเช่นนี้ จะมอบรางวัลตอบแทนสูงเทียบเท่าวัตถุดิบหลักโอสถเชียวหรือ แต่ถ้าคุณสามารถตามหาเป้าหมายหลักขอพวกเราพบ บางที คุณอาจได้รับคะแนนผลงานสูงมาก จนสามารถนำมาแลกเป็นวัตถุดิบหลักโอสถได้” ชายสวมหน้ากากกล่าวพลางอมยิ้ม


“แต่ฉันยังไม่ทราบว่าวัตถุดิบหลักของโอสถนักสอบสวนคืออะไร คงหาซื้อให้ไม่ได้” ซิลออกท่าทางลังเล


“ผมจะบอกคุณหลังจากตกลงรับทำภารกิจแล้ว ให้คิดเสียว่าเป็นค่าจ้างล่วงหน้า และถึงคุณจะไม่พบเบาะแสใดเลย แต่ก็จะได้ทราบชื่อของวัตถุดิบหลักโอสถลำดับ 7 ทั้งสองเป็นการตอบแทน ซึ่งตามปรกติแล้ว ข้อมูลนี้จะมีมูลค่าสูงถึงหกร้อยปอนด์ คงเห็นแล้วใช่ไหมว่าพวกเราจริงใจกับคุณแค่ไหน” ชายสวมหน้ากากพยายามโน้มน้าว


จ่ายหนักเอาเรื่อง…เป้าหมายของพวกเขาเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงยอมจ้างราคาแพงเพื่อพลิกแผ่นดินตามหา? จริงสิ… แต่ถ้าเขาเป็นสมาชิก MI9 จริง การรวบรวมวัตถุดิบหลักในเส้นทางผู้ตัดสินก็ไม่ใช่เรื่องแปลก กองทัพพยายามควบคุมจำนวนผู้ตัดสินอย่างเข้มงวดมาตลอด และเรื่องเงินก็ไม่ใช่ปัญหา…


ในฐานะนักล่าค่าหัวมืออาชีพ ซิลมักไตร่ตรองความสมเหตุสมผลของภารกิจอยู่เสมอ


หลังจากจัดระเบียบความคิดสักพัก เธอพยักหน้าและกล่าวเสียงเรียบ


“ตกลง ฉันจะทำ”


“ต้องอย่างนั้น” โทนเสียงของชายสวมหน้ากากผ่อนคลายลงเล็กน้อย สายตาชำเลืองรอบตัวก่อนจะเล่าต่อ “วัตถุดิบหลักโอสถนักสอบสวนประกอบด้วย เขาของอสรพิษดำสายฟ้า และละอองของพรายทะเลสาป”


หลังจากกล่าวจบ ชายลึกลับเริ่มกลมกลืนไปกับเงามืดด้านหลังทีละนิด จนกระทั่งไม่หลงเหลือกลิ่นอายหรือตัวตนอีกต่อไป


“เขายอมบอกวัตถุดิบหลักของโอสถนักสอบสวนกับเราง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ…”


ซิลกำลังตะลึง


สิ่งนี้ทำให้เธอก็มั่นใจหนึ่งเรื่อง องค์กรเบื้องหลังชายสวมหน้ากาก จะต้องให้ความสำคัญกับภารกิจในคราวนี้มากแน่นอน


พวกเขากำลังหมายหัวใครอยู่? และถ้าเราจับใจความไม่ผิด ฝ่ายนั้นกำลังเน้นไปยังวัตถุโอสถชนิดพิเศษ ซึ่งสามารถทดแทนวัตถุดิบหลักโอสถตามปรกติได้…


คิดมาถึงจุดนี้ ซิลพลันเย็นสันหลังวาบ


เธอหวนนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้


ขณะกำลังเตรียมเลื่อนลำดับเป็นเจ้าพนักงาน เพื่อนสนิทของตน ฟอร์ส ได้มอบของขวัญเป็นวัตถุดิบโอสถชนิดพิเศษ โดยระบุว่าซื้อมาจากชุมนุมลับ เป็นวัตถุดิบประเภทนำไปปรุงเป็นโอสถได้ทันที!


หรือว่า… นี่คือเป้าหมายของพวกเขา?


ซิลตัดสินใจปิดตายเรื่องนี้ไว้เป็นความลับตลอดกาล ไม่คิดแพร่งพรายสิ่งใดออกไปโดยเด็ดขาด


หญิงสาวใช้ขวามือลูบแก้มยุ้ย สองขาขยับเดินไปยังถนนด้านนอกตรอกเปลี่ยว เตรียมโดยสารรถม้ากลับบ้านเช่าในเขตเชอร์วู้ด


ทันใดนั้น รถม้าสีน้ำตาลคันใหญ่วิ่งผ่านหน้าซิลกะทันหัน เธอรีบเหลือบมองตราประจำตระกูลด้านข้างรถตามสัญชาตญาณ


ตราสัญลักษณ์ประกอบด้วยภาพของดอกไม้และแหวนสองวง ไม่มีสิ่งใดพิเศษ แต่ซิลกลับยืนจ้องเช่นนั้นด้วยสายตาเหม่อลอยเป็นเวลานาน ราวกับถูกแช่แข็งกะทันหัน


จนกระทั่งรถม้าลับสายตา หญิงสาวเบือนหน้ากลับมาด้วยอารมณ์ดำดิ่ง และไม่ดีขึ้นเลยแม้ว่าจะเดินทางกลับถึงบ้านแล้วก็ตาม


เมื่อเห็นเพื่อนสนิทกำลังหดหู่ ฟอร์สรินไวน์ใส่แก้วสองใบ มือขวาเลื่อนใบหนึ่งไปทางซิล


“เกิดอะไรขึ้น” ฟอร์สนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มือซ้ายหยิบแก้วตัวเองขึ้นมาจิบ


ซิลจ้องแก้วไวน์แดงเป็นเวลานานโดยไม่ปริปากกล่าวคำใด บรรยากาศเงียบงันปกคลุมอยู่ราวสองนาทีเต็ม จนกระทั่งเธอยอมเล่าด้วยเสียงแหบพร่า


“ระหว่างทางกลับ ฉันบังเอิญพบคนรู้จัก”


“ใครกัน” ฟอร์สถามอย่างกระตือรือร้น


“ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด” ซิลตอบห้วน ไม่คิดอธิบายให้ยืดยาว


ฟอร์สก้มหน้าตรึกตรอง


“หัวหน้าองค์รักหลวง?”


ในฐานะนักเขียนนิยายขายดี เธอมักได้รับคำเชิญจากขุนนางผู้หลงใหลในวรรณกรรม ให้ไปร่วมงานเลี้ยงน้ำชาหรืองานเลี้ยงเต้นรำ อย่างสม่ำเสมอ และด้วยจิตวิญญาณนักเขียนผู้ชื่นชอบการรวบรวมวัตถุดิบนิยาย ฟอร์สมักตอบตกลงทุกครั้ง เพื่อให้ได้แทรกตัวเข้าไปอยู่ในแวดวงชนชั้นสูงของอาณาจักร


การได้รู้จักไวเคาต์กายลิน ก็มีสาเหตุมาจากเรื่องราวทำนองเดียวกัน


“ใช่ ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดเคยเป็นมือขวาของพ่อฉัน…” ซิลเล่าด้วยสีหน้าซับซ้อน


“พ่อของเธอ?” ฟอร์สทราบเพียงว่า ตระกูลของซิลเคยเป็นอดีตขุนนางใหญ่ แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดมากกว่านั้น


ซิลหยิบแก้วไวน์แดงขึ้นมายกซด กระดกอึกแล้วอึกเล่าจนติดคอและอาเจียนแห้ง


เมื่อเริ่มสงบสติ เธอเล่าต่อ


“ตระกูลของฉันเคยอยู่ในลำดับชนชั้นสูงของอาณาจักร ยิ่งถ้าเป็นในยุครุ่งเรือง ผู้นำตระกูลเคยเป็นถึงเอิร์ลราชสำนักมาแล้ว”


“เอิร์ลราชสำนัก? ยศแบบไหน?” ฟอร์สพยายามซักถาม ใจหนึ่งต้องการชวนเพื่อนคุยเพื่อปลอบโยน แต่อีกใจหนึ่งก็อยากทราบข้อมูลสำหรับเขียนนิยาย


“ทำงานเป็นกระบอกเสียงให้เชื้อพระวงศ์ กล่าวกันว่า เป็นขุนนางผู้ใกล้ชิดเชื้อพระวงศ์มากกว่าใครทั้งหมด” ซิลเล่าพลางทำหน้านึกทบทวน แววตาแฝงความภูมิใจไว้มากมาย “นับแต่นั้น ตระกูลของฉันก็ยิ่งใหญ่เทียบเท่าเอิร์ลปรกติ ได้รับพระราชทานดินแดนระดับเดียวกับเอิร์ล รวมถึงความมั่งคั่งอีกมากมาย อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงรุ่นคุณพ่อของฉัน ตำแหน่งเอิร์ลราชสำนักไม่มีอยู่อีกแล้ว แต่ท่านพ่อก็ยังได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากอดีตกษัตริย์ ‘มหาเดชา’ วิลเลียมที่หก


“โดยในสมัยนั้น ท่านพ่อดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าอัศวินพระราชสำนัก ควบด้วยตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์หลวง”


น้ำเสียงซิลเริ่มเจือความเศร้า ฟอร์สสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังฝืนข่มความเจ็บปวด


“แต่เมื่อเจ็ดปีก่อน ท่านพ่อถูกตั้งข้อหาสมคบคิดกับกบฏ บทลงโทษคือการประหารชีวิตทันที อีกทั้งยังริบบรรดาศักดิ์และดินแดนทั้งหมดของตระกูลกลับคืนเป็นของหลวง ด้วยเหตุนี้ ตระกูลของฉันจึงสูญสิ้นเกียรติยศในชั่วข้ามคืน สมาชิกครอบครัวหลายคนถูกฆ่าอย่างไร้เหตุผล เพื่อเอาชีวิตให้รอด พวกเราตัดสินใจเปลี่ยนนามสกุลและอพยพออกจากรัฐทักเคอร์ตะวันออก… ฉันไม่เชื่อว่าท่านพ่อจะก่อกบฏ ท่านจงรักภักดีต่อราชวงศ์ยิ่งชีพ เหนือกว่าความศรัทธาต่อองค์เทพธิดาเสียอีก! เพื่อการนั้น ฉันก็เลย… ช่างเถอะ ฉันตัดสินใจแยกทางกับแม่และน้องชาย อพยพเข้ามายังเบ็คลันด์ตามลำพังเพื่อมองหาโอกาสพัฒนาตัวเอง รวมถึงโอกาสกอบกู้ชื่อเสียงในอดีตของตระกูลกลับคืนมา”


ค่อนข้างแน่ชัดว่า ซิลจงใจปกปิดรายละเอียดบางส่วน แต่ฟอร์สก็มิได้ถือสา เพียงถอนหายใจและกล่าว


“มันคงไม่ง่ายเท่าไร…”


ทันใดนั้น เธอยิ้ม


“แต่ฉันจะช่วยสนับสนุนอีกแรง!”


รวมถึงชุมนุมทาโรต์เบื้องหลังเราด้วย!


หญิงสาวเสริมใจใน…



กลางดึกในเมืองทิงเก็น


อาคารหมายเลข 2 ถนนดารารัตน์


หลังจากได้ยินเสียง เมลิสซ่า ผู้กำลังตั้งใจแก้โจทย์คณิตศาสตร์ เงยหน้าขึ้นและรีบมองไปทางประตูหน้า ภาพแรกคือ เบ็นสันกำลังถอดหมวกทรงกึ่งสูงแขวนไว้บนราวผ้า


“ออกไปไหนมา? ผลการสอบประกาศพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือ”


“ความจริงแล้ว ผลสอบจะถูกส่งมาถึงแต่ละเมืองในคืนนี้ และฉันบังเอิญสนิทกับข้าราชการบางคน พวกเขาคอยตรวจข้อมูลและประกาศผลสอบ” เบ็นสันยิ้มมุมปาก


ในช่วงต้นเดือนธันวาคม มันสมัครสอบข้าราชการและเลือกลงในตำแหน่งซึ่งมีการแข่งขันต่ำ ระหว่างนั้น เบ็นสันอาศัยทักษะการพูดอันไหลลื่น สามารถตีสนิทกับข้าราชการคุมสอบบางคน รวมถึงเพื่อนผู้เข้าสอบในตำแหน่งเดียวกันอีกหลายคน


“แล้วผลเป็นอย่างไร?” เมลิสซ่าวางปากกาหมึกซึมลงโดยไม่รู้ตัว


ทันใดนั้น สีหน้าเบ็นสันพลันอึมครึมและเศร้าหมอง


แต่ขณะเมลิสซ่ากำลังจะกล่าวบางสิ่ง มันระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมกับเผยรอยยิ้มสดใส


“ฉันผ่าน! แถมยังมีคะแนนค่อนข้างสูง!”


“เยี่ยมเลย…” เมลิสซ่าลุกยืนและเดินสองก้าวเข้าไปหา “นายต้องเตรียมตัวสอบรอบสองอีกใช่ไหม? ถ้าจำไม่ผิด สนามสอบจะถูกจัดขึ้นในกรุงเบ็คลันด์ ฉันเตรียมกระเป๋าไว้ให้แล้ว คิดจะออกเดินทางเมื่อไร?”


เมื่อเห็นความกังวลของน้องสาว เบ็นสันเดินเข้าไปในห้องรับแขก มุมปากยกโค้งก่อนจะกล่าว “ค่อยไปหลังปีใหม่ และพวกเราจะย้ายไปอยู่เบ็คลันด์ด้วยกันถาวร! ไม่ว่าผลสอบจะเป็นอย่างไร แต่ฉันวางแผนอนาคตตัวเองไว้แล้วว่า จะพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดในกรุงเบ็คลันด์ให้ได้ ส่วนเธอต้องอาศัยช่วงหยุดยาวของปีใหม่ ย้ายไปอยู่โรงเรียนเทคนิคเบ็คลันด์ เพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมแห่งเบ็คลันด์ในช่วงเดือนมิถุนายน”


เมื่อราวหนึ่งเดือนก่อน มหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งกรุงเบ็คลันด์ได้ปฏิรูปองค์กรและเปลี่ยนชื่อเป็น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมแห่งเบ็คลันด์


เมลิสซ่าเม้มริมฝีปาก คล้ายกับต้องการคัดค้าน แต่สุดท้ายก็มิได้กล่าวสิ่งใด


เธอมองไปรอบ้านอย่างโหยหา ปากขยับพึมพำเสียงค่อย


“ตกลง”



วันศุกร์บ่าย ณ สโมสรครักซ์


ไคลน์เดินออกจากสโมสร และเช่ารถม้าเพื่อเดินทางไปยังคฤหาสน์กุหลาบแดง


ในช่วงไม่กี่วันก่อนตาย ทาลิมไปเยือนคฤหาสน์หลังดังกล่าวสองสามหน หากไคลน์ต้องการทำตัวให้เหมาะสมกับค่าจ้างหนึ่งร้อยปอนด์ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเดินทางไปตรวจสอบเบาะแสในคฤหาสน์กุหลาบบ้าง


ถึงจะไม่มีเจตนาสืบสาว แต่เราก็ต้องทำตัวให้เป็นมืออาชีพ…


ไคลน์พึมพำ สายตาดื่มด่ำไปกับวิวทิวทัศน์อันงดงามรอบข้าง


หลังจากทดสอบอย่างละเอียดในช่วงเช้า ไคลน์ได้ทราบว่าพลังพิเศษเดิมของตนถูกยกระดับขึ้นทั้งหมด ควบคุมไฟ กระโจนไฟ และพลังพิเศษชนิดอื่นจะแข็งแกร่งขึ้นราวสามสิบเปอร์เซ็นต์


ทางด้านความรุนแรงของกระสุนอากาศ และความยาวของท่อหายใจใต้น้ำ เพิ่มประสิทธิภาพขึ้นมากเป็นเท่าตัว และในด้านพลังทำนายกับสมรรถภาพร่างกาย สองสิ่งนี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน


ทางด้าน ‘กระดาษคนตัวแทน’ และ ‘ย้ายความเสียหาย’ ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก แต่เนื่องจากมีพลังวิญญาณเพิ่มขึ้น จำนวนการใช้งานจึงเพิ่มขึ้นด้วย


เมื่อการเดินทางอันยาวนานจบลง ไคลน์หยุดยืนหน้าคฤหาสน์กุหลาบและแจ้งความประสงค์กับทหารยามหน้าทางเข้า


เพียงไม่นาน มันได้พบพ่อบ้านชราคนเดิม


“คุณสามารถสอบปากคำได้ทุกคน” ชายชราผมขาวเว้นวรรค “ยกเว้นเธอคนนั้น”


กำลังต้องการแบบนั้นพอดี เราไม่อยากนำตัวเองเข้าไปพัวพันกับเรื่องราววุ่นวาย…


ไคลน์ยิ้มตามมารยาท


“ตกลง”


……………………


ราชันเร้นลับ 453 : ขั้นบันได

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ คฤหาสน์กุหลาบแดง ด้านนอกห้องพักหรูหราซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องเรือนเก่าแก่


ไคลน์ยืนริมประตูพลางตั้งคำถามกับสาวใช้ขององค์ชาย มันทำเช่นนี้มาแล้วห้าคน


สาวใช้วัยรุ่นสวมเดรสขาวดำอันเป็นเอกลักษณ์ของยุคสมัยปัจจุบัน ใบหน้าค่อนไปทางสะสวย กำลังอยู่ในวัยเบ่งบาน เส้นผมสีน้ำตาลหยักศกดูเป็นธรรมชาติ กลิ่นอายรอบตัวแฝงความขี้เล่นไว้พอประมาณ


“ก่อนเสียชีวิต มิสเตอร์ทาลิมพบใครบ้าง”


ไคลน์ทวนคำถามเดิมอย่างเฉื่อยชา


สาวใช้ร่ายยาวไม่พักหายใจ


“มิสเตอร์ทาลิมจะเข้าพบองค์ชายเป็นส่วนใหญ่ พาพระองค์ไปขี่ม้าและพูดคุยเรื่องราวต่างๆ แต่ถ้าองค์ชายไม่อยู่ มิสเตอร์ทาลิมจะเข้าไปพบผู้หญิงคนนั้น พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน และมิสเตอร์ทาลิมได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษจากคุณพ่อบ้าน”


ทาลิมเป็นเพื่อนสนิทกับหญิงสามัญชนซึ่งองค์ชายเอ็ดซัคหลงรัก? แถมยังเคยแอบพบกันหลายหน? อา… คงเป็นเพราะเขาหวังโน้มน้าวให้เธอถอนตัวกระมัง องค์ชายจะได้ไม่เสื่อมเสียเกียรติ…


ไคลน์พยักหน้ากับตัวเอง


“พวกเขา เอ่อ หมายถึงมิสเตอร์ทาลิมกับหญิงสาวคนนั้น มักสนทนาเรื่องใดเป็นพิเศษ”


หลังจากถามออกไป ชายหนุ่มเพิ่งนึกได้ว่า ก่อนจะตาย ทาลิมแสดงอากัปกิริยาของคนมีความรักชัดเจน ด้วยประสบการณ์อันโชกโชนของนักสิงเว็บบอร์ดสมัยโลกเก่า ไคลน์เริ่มจินตนาการเค้าโครงของบทละครรักโรแมนติกได้หนึ่งเรื่อง


สาวใช้มิได้หวาดระแวงนักสืบ เพียงอมยิ้ม และส่ายหัวอ่อนโยน


“ถ้าพวกเขานัดพบกัน สาวใช้ทุกคนจะถูกสั่งให้ออกจากห้องค่ะ”


นี่มัน…


ยิ่งได้ฟัง ไคลน์ก็ยิ่งนำไปเชื่อมโยงกับเรื่องราวรักต้องห้ามในความทรงจำ


โดยไม่รอให้ชายหนุ่มซักถาม สาวใช้เผยรอยยิ้มขี้เล่นและเริ่มเล่าต่อ


“มิสเตอร์นักสืบ ถ้าคุณอยากทราบว่ามิสเตอร์ทาลิมพูดอะไรกับเธอบ้าง คุณสามารถถามเอาจากเธอได้โดยตรง”


“พ่อบ้านชราไม่ยอมให้ผมทำแบบนั้นแน่” ไคลน์รีบผลักภาระให้คนอื่น


จากนั้น ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาพลางสวมรอยยิ้มเปื้อนหน้า


“แล้วทำไมคุณถึงทราบเรื่องราวมากกว่าสาวใช้คนอื่น? คุณทราบแม้กระทั่งชื่อผม”


สาวใช้มองไปรอบห้อง ก่อนจะบีบเสียงกระซิบกระซาบ


“เพราะว่าดิฉันเคยเป็นเวรประจำตัวของเธอคนนั้น นักสืบโมเรียตี้ เธอเองก็อยากพบคุณเช่นกัน จึงเอ่ยชื่อคุณออกมาหลายครั้ง และต้องไม่ลืมว่า เธอกับมิสเตอร์ทาลิมสนิทกันมาก จึงไม่แปลกหากอยากจะทราบสาเหตุการตายแท้จริง แต่น่าเสียดาย เธอคลาดกับคุณตลอด”


“ตลอด?”


ไคลน์ค่อนข้างอ่อนไหวกับคำว่า ‘ตลอด’ ‘คลาดกัน’ ‘แต่น่าเสียดาย’ และคราวนี้ดันรวมมาอยู่ในประโยคเดียวพร้อมกัน!


สาวใช้พยักหน้ารับ


“ย้อนกลับไปในตอนแรก เมื่อครั้งองค์ชายเชิญคุณมาเป็นแขกในสนามกอล์ฟ เธอพยายามออกไปพบคุณ แต่กลับถูกองค์ชายสั่งห้ามโดยเด็ดขาด ค่อนข้างน่าเสียดาย ทางคุณเองก็รีบกลับไปก่อน ไม่อย่างนั้นคงมีโอกาสได้พบเธอสักนิด หลังจากนั้น เธอเสนอตัวเป็นคนนำช่อดอกไม้ขององค์ชาย ไปวางหน้าหลุมศพของมิสเตอร์ทาลิม แต่น่าเสียดายอีกเช่นกัน เธอไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อน จึงพลาดโอกาสในการพบคุณ และในวันนี้ เธอมีกำหนดต้องไปขี่ม้าเล่นในสนามกอล์ฟเผื่อผ่อนคลายร่างกาย ไม่อย่างนั้น ต่อให้ถูกพ่อบ้านชรายืนกรานสั่งห้าม แต่เธอก็คงหาวิธีพบคุณเข้าจนได้”


ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้…


ไคลน์ถอนหายใจยาว พลางขบคิดถึงประเด็นสำคัญจากคำพูดเมื่อครู่


สาวใช้คนสวยเล่าว่า หญิงสาวสามัญชนผู้องค์ชายตกหลุมรัก ได้เสนอตัวนำดอกไม้ไปวางหน้าหลุมศพให้แทน!


ในวันดังกล่าว ไคลน์ไม่มีวันลืมหญิงสาวสวมเดรสสีดำ หมวกห้อยตาข่ายดำ และสวมแหวนพลอยสีฟ้าเม็ดใหญ่บนนิ้วก้อย ชายหนุ่มเกิดสันนิษฐานว่า เธออาจเป็นผู้ครอบครองสมบัติปิดผนึกระดับ 0 หรือไม่ก็ตัวตนลำดับครึ่งเทพ!


ทันใดนั้น ไคลน์เริ่มนึกถึงอีกหนึ่งเหตุการณ์ในวันเดียวกัน หญิงสาวปริศนาคนดังกล่าว เดินออกจากงานศพอย่างไม่รีบร้อนพร้อมกับสาวใช้จำนวนสองคน…


หนึ่งในสองสาวใช้มีผมสีน้ำตาลหยักศก…


ทันใดนั้น ภาพเค้าโครงของสาวใช้ในความทรงจำเมื่อวันก่อน ได้ซ้อนทับกับสาวใช้เบื้องหน้าพอดิบพอดี!


กล้ามเนื้อไคลน์พลันกระตุก เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นกลางหลัง แต่สีหน้ายังคงเรียบเฉยราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


อาศัยพลังตัวตลก มันแสร้งนึกทบทวนเหตุการณ์ในวันนั้น และทำเป็นซักถามโดยมิได้ให้ความสำคัญมากนัก


“ขณะวางดอกไม้หน้าหลุมศพ คุณเองก็อยู่กับเธอด้วยใช่ไหม?”


สาวใช้ขานรับโดยแทบไม่คิดนาน


“ใช่ค่ะ”


…ฉิบหายแล้ว เป็นหล่อนจริงด้วย!


ไคลน์ยังคงปั้นหน้ายิ้ม


“ครับผม สำหรับคำถามต่อไป…”


มันตีหน้าซื่อพลางยิงคำถามจิปาถะอีกหลายข้ออย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะเปลี่ยนไปสอบปากคำคนรับใช้อื่นในคฤหาสน์จนเกือบครบ


แต่มันแอบเร่งให้เสร็จเร็วขึ้นเล็กน้อย


ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เราก็ต้องรีบออกจากคฤหาสน์กุหลาบเวรตะไลแห่งนี้โดยด่วน! ต้องกลับก่อนหล่อนจะขี่ม้าเสร็จและวกกลับมา!


กระทั่งสี่โมงเย็น ไคลน์ขอตัวกลับก่อนท้องฟ้าจะมืด และได้พ่อบ้านชราช่วยจัดแจงหารถม้ากลับมาส่งในตัวเมือง


เมื่อได้นั่งริมหน้าต่างและเอนหลังพิงเบาะบุด้วยผ้าไหม ไคลน์เริ่มผ่อนคลาย ปล่อยให้ความคิดล่องลอยอย่างอิสระ สมองเริ่มวิเคราะห์เกี่ยวกับหญิงสาวสามัญชนซึ่งองค์ชายสามตกหลุมรัก เธอยังเป็นผู้ร่ายคำสาปจนทาลิมถึงแก่ความตาย


ทำไมหล่อนถึงต้องลงมือกับทายาทตระกูลอดีตขุนนาง? เพื่อแก้แค้นทาลิม ผู้เข้ามาขัดขวางความรักระหว่างตนกับองค์ชาย?


แต่ไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเองสักหน่อย ขณะทำเรื่องอย่างว่าบนเตียง หล่อนมีโอกาสมากมายในการบอกองค์ชายเอ็ดซัค ระดับองค์ชายสามคงมีวิธีทำให้ทาลิมหายไปจากโลกอย่างไรร่องรอยอยู่แล้ว…


ทาลิมมีอาการตกหลุมหลังก่อนตาย… อาการดังกล่าวเพิ่งเริ่มขึ้น หลังจากเขาพยายามโน้มน้าวให้หญิงสาวสามัญชนหนีไปจากองค์ชาย… พวกเขาสองคนได้เสียกันแล้ว? และเมื่อหญิงสาวสามัญชนถูกนำตัวกลับมายังคฤหาสน์ เธอจึงต้องรีบปิดปากทาลิม?


ในทางทฤษฎี สมมติฐานของเราค่อนข้างสมเหตุสมผล แต่จุดน่าสงสัยก็ยังมี เช่น เหตุใดเจ้าของสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ถึงถูกองค์ชายสามกักตัวไว้ง่ายดายนัก? เพราะจึงจะเป็นตระกูลเทวทูตซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปีอย่างออกัสตัส แต่การกักขังบุคคลระดับดังกล่าวก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องพึ่งพาเทคนิคพิเศษ อาจรวมถึงสมบัติผนึกทรงพลังอีกหลายชิ้น บุคคลระดับองค์ชายสามจึงไม่น่าจะหน่วงเหนี่ยวเธอไว้ได้ด้วยพลัง…


แล้วทำไมหล่อนถึงสนใจในตัวทาลิม?


อยากพบเราไปทำไม? หรือเริ่มตระหนักแล้วว่า เราใช้ห้วงมิติสายเหนือหมอกเทาทำนายจนพบเบาะแสคำสาปของเธอ?


ไม่น่าใช่ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เราคงถูกฝังไปพร้อมทาลิมในวันงานศพ… เหนือสิ่งอื่นใด จากคำบอกเล่าของสาวใช้ เธออยากพบเราตั้งแต่การเยือนคฤหาสน์กุหลาบหนแรก โดยในช่วงดังกล่าว เรายังไม่มีเส้นผม เลือด หรือสิ่งของประจำตัวทาลิมสำหรับทำนาย…


เมื่อยิ่งวิเคราะห์ลงลึก ไคลน์ยิ่งพบความประหลาดใจ แต่ในตอนสุดท้าย มันตัดสินใจปล่อยวางทุกสิ่ง และไม่คิดขุดคุ้ยเรื่องดังกล่าวไปมากกว่านี้อีก!


ได้แต่หวังว่าจิตแห่งจักรกล ซึ่งเราบอกใบ้ความผิดปรกติไว้ล่วงหน้า จะสืบสวนคดีนี้อย่างสุดความสามารถ ไม่ผิดแน่ พวกเขาคงวางลำดับความสำคัญของราชวงศ์ไว้สูงสุดเสมอ ไม่เกี่ยวกับความเป็นองค์ชาย แต่ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของประเทศ!


ได้แต่หวังว่า ทางเชื้อพระวงศ์จะช่วยป้องกันไม่ให้หญิงสามัญชนคนนั้นแอบมาพบเราได้ง่ายนัก… จากนั้นก็ต้องรอสักสามวัน ให้ถึงเวลาเหมาะสมมากกว่านี้ จึงค่อยขอถอนตัวจากภารกิจและแสดงให้องค์ชายเห็นว่า ตัวเราอ่อนแอและไร้พลังมากเพียงใด…


จากนั้นจะเป็นการหนีลงใต้โดยใช้ข้ออ้างลาพักร้อน แต่ในความเป็นจริง เราจะใช้ชีวิตด้วยตัวตนอื่นสักพักจนกว่าเรื่องราวจะซาลง!


จิตใจไคลน์เริ่มกลับมาเยือกเย็น



ท้องฟ้ายามเย็นถึงหัวค่ำของเบ็คลันด์มักมีสีดำสนิทและฝนตกปรอยเสมอ ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งจับปีกหมวก สองเท้าก้าวฝ่าสายฝนไปบนถนนมินส์อันเปียกแฉะ อาศัยแสงสว่างจากเสาตะเกียงริมถนน มันส่งตัวเองมาถึงอาคารหมายเลข 15 ได้ไม่ยากเย็น


หลังจากนั่งผ่อนคลายสักพัก ท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมิด ไคลน์เดินทวนเข็มสี่ก้าวและเข้าไปยังห้วงมิติสายเหนือหมอก


เมื่อกลายเป็นลำดับ 6 มันต้องการตรวจสอบมาตลอดว่า มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาหรือไม่ แต่เป็นเพราะเมื่อคืนเหน็ดเหนื่อยเกินไป และนอนไม่ตื่นจนถึงเช้า แถมตอนกลางวันยังต้อง ‘ทำตัวขยัน’ ต่อหน้าเหล่าสายลับในเงามืด โอกาสตรวจสอบห้วงมิติเหนือสายหมอกจึงล่วงเลยมาจนปัจจุบัน


ยิ่งไปกว่านั้น ไคลน์มีบางสิ่งต้องการทำนายตรวจสอบเป็นพิเศษ และนั่นอาจใช้เวลานาน การแวะเข้าห้องจึงไม่เพียงพอ


ความคาใจของมันคือ หลังจากเลื่อนเป็นลำดับ 6 และพลังวิญญาณยังไม่สงบนิ่ง ทำไมตนถึงไม่ได้เสียงเพรียก ‘โฮนาซิส… เฟรเกีย…’ เหมือนกับการเลื่อนลำดับสามครั้งก่อนหน้า!


มันต้องการทราบให้ได้ว่า เรื่องนี้เป็นผลพวงมาจากพลังของลำดับ 6 หรือเกิดจากสาเหตุอื่นกันแน่


ท่ามกลางพระราชวังโบราณ โต๊ะทองแดงเก่าแก่และเก้าอี้ยี่สิบสองตัว ยังคงถูกวางอย่างสงบนิ่งภายในห้วงมิติไร้ขอบเขต ราวกับพวกมันคงอยู่มานานนับหมื่นปีโดยไม่เปลี่ยนสภาพ


เช่นเดียวกันกับสายหมอกสีเทาใต้ฝ่าเท้า และเช่นเดียวกันห้วงมิติไร้ขอบเขตรอบตัว


ทันใดนั้น เมื่อจิตไคลน์ถูกส่งเข้ามาด้านใน มันพลันตระหนักทันทีว่า มีบางสิ่งในห้วงมิติเหนือสายหมอกเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย


ชายหนุ่มไม่รีบร้อนสำรวจ เพียงสงบสติตัวเองให้เยือกเย็น ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้เดอะฟูล มือขวาตวัดเสกกระดาษและปากกาหมึกซึมขึ้นมาเขียนคำทำนาย :


“เหตุผลของการไม่ได้ยินเสียเพรียกหลังจากเลื่อนลำดับ”


สองมือถือเศษกระดาษ ไคลน์เอนกายพิงเก้าอี้พร้อมกับหลับตาลง สะกดจิตส่งตัวเองเข้าสู่โลกความฝันด้วยการเข้าฌาน


ท่ามกลางโลกสีเหลืองอมแดงคล้ายยามตะวันตกดิน ฉากแล้วฉากเล่ากะพริบเปลี่ยนผันต่อหน้าไคลน์ จนกระทั่งหยุดลงบนฉากหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ


บุคคลในฉากคือตัวไคลน์เอง ผิวหนังทุกซอกมุมกำลังถูกปกคลุมด้วยก้อนเนื้อจำนวนมากอย่างเบียดเสียด ลักษณะเป็นเม็ดกลมเล็ก สีซีดจาง ขณะเดียวกัน รอบตัวยังมีหมอกมายาสีเทาโปร่งใส รายล้อมอย่างเจือจางจนยากจะมองเห็นด้วยตาเปล่า


ความฝันพลันแตกละเอียด ไคลน์ลืมตาขึ้นและพยายามตีความ


พลังหมอกสีเทาเริ่มส่งกับตัวเราบนโลกจริง และช่วยปิดกั้นเสียงเพรียกไม่พึงประสงค์ได้…


หลังจากกลายเป็นลำดับ 6 สายสัมพันธ์ระหว่างเรากับมิติสายหมอกแน่นแฟ้นขึ้น ถึงขั้นยอมให้เรายืมพลังบางส่วนมาใช้บนโลกความจริง?


ไม่น่าจะเป็นอย่างอื่นไปได้อีก…


ดีล่ะ! ต้องลองสำรวจจนกว่าจะทราบว่า ห้วงมิติแห่งนี้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปบ้าง…


ไคลน์ลุกยืนอย่างไม่รีบร้อน สองขาก้าวเดินตามการนำทางของสัมผัสวิญญาณ ใต้ฝ่าเท้ายังคงเป็นทะเลหมอกสีเทาไร้ก้นบึ้งและขอบเขต


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ สัญชาตญาณเริ่มเตือนไคลน์ว่าควรหยุดเดิน ทันใดนั้น ปลายทางข้างหน้าพลันส่องแสงสุกใสอย่างน่าอัศจรรย์


ด้วยความตื่นเต้น ชายหนุ่มเร่งฝีเท้า


ราวเจ็ดแปดวินาทีถัดมา มันได้พบขั้นบันไดขนาดมหึมา ประหนึ่งกำลังนำพาไปสู่สรวงสวรรค์ก็มิปาน!


ขั้นบันไดก่อตัวขึ้นจากแสงบริสุทธิ์ ลักษณะโปร่งใสไร้มลทิน ไม่ว่าใครได้เห็นเป็นต้องทึ่งในความงาม


ขั้นบันไดมีเพียงสี่ในปัจจุบัน ปลายทางด้านบนเป็นความว่างเปล่า


ขั้นบันไดมีขนาดใหญ่โต ใหญ่เสียจน แม้แต่คนยักษ์ก็ยากจะเหยียดขาก้าวเดินได้ตามปรกติ ประหนึ่งสร้างไว้รองรับสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมายิ่งกว่านั้น


ไคลน์เงยหน้ามอง และพบว่าข้างบนมีม่านหมอกสีเทาหนาทึบกำลังลอยค้างกลางอากาศ ราวกับกำลังค้ำจุนบางสิ่งไว้ ระยะห่างระหว่างม่านหมอกด้านบนกับขั้นบันได ยังเหลืออีกมากพอสมควร


หรือว่า… สี่ขั้นบันไดจะหมายถึงโอสถแต่ละลำดับ 9 8 7 6…?


เหนือม่านหมอกขึ้นไป ข้างบนมีสิ่งใดอยู่?


ไคลน์เดินเข้าไปใกล้กับบันไดแสง ขาข้างหนึ่งทดสอบเหยียบลงไปอย่างทุลักทุเล


ไม่มีสิ่งใดผิดปรกติเกี่ยวกับขั้นบันได คล้ายกับกำลังเหยียบบันไดหินธรรมดา


ไคลน์เดินขึ้นไปจนถึงขั้น 4 ศีรษะแหงนมองและพยายามสอดส่อง แต่น่าเสียดาย หมอกสีเทาหนาทึบเกินว่าจะมองทะลุผ่าน


มันยืนครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะตัดสินใจวิ่งกระโดด และพยายามใช้แขนเอื้อมให้ถึงม่านหมอกเหนือศีรษะอย่างสุดความสามารถ


แต่ในวินาทีฝ่าเท้าลอยออกจากขั้นบันได ความสามารถในการบินของร่างวิญญาณพลันถูกลิดรอน ชายหนุ่มล้มไม่เป็นท่าและลงไปกลิ้งหัวคะมำบนพื้นสายหมอก


สงสัยต้องรอให้มีบันไดอีกสามขั้น เมื่อถึงลำดับ 4 เมื่อใด พลังวิญญาณของเราจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ตอนนั้นคงได้พบเบาะแสมากกว่าเดิม…


ไคลน์เงยหน้ามองพลางตรึกตรองลำพัง


……………………


ราชันเร้นลับ 454 : ฉันเป็นใคร

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากมองไปรอบตัว ไคลน์ ผู้ไม่พบสิ่งใดเพิ่มเติมไปจากบันไดแสง ตัดสินใจเดินกลับมายังแนวเสาหินต้นใหญ่ ท่ามกลางโดมสูงของมหาราชวัง


มันนั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะ ดวงตาสองข้างหรี่ลงเล็กน้อย สมองใคร่ครวญหาคำตอบว่า ตนยังรับสมาชิกชุมนุมเพิ่มได้อีกกี่คน


นับรวมหนึ่งตำแหน่งจากการเลื่อนลำดับคราวก่อน ตอนนี้เราสามารถรับสมาชิกใหม่เพิ่มได้สี่คน แต่ยังไม่มีใครเหมาะสม…


ไคลน์ส่ายหัวพลางพึมพำ ตามด้วยการส่งตัวเองกลับโลกจริง เพื่อเตรียมปรุงอาหารมื้อค่ำแสนอร่อย


หลังจากหันมันฝรั่งเตรียมไว้ มันเทเนื้อลงบนกระทะ เพิ่มหัวหอม และผัดรวมกันพลางโรยเครื่องปรุงจำพวกน้ำตาลและพริกไทย จนกระทั่งถึงจุดเหมาะสม ชายหนุ่มเทน้ำร้อนซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้าลงในกระทะท้องแบน ก่อนจะปิดฝาและลดไฟลงเล็กน้อย


ปฏิเสธไม่ได้ว่า เวทมนตร์ควบคุมไฟของนักมายากลนั้นมีประโยชน์อย่างมากในครัว…นับตั้งแต่ครอบครองพลังนี้ ฝีมือปรุงอาหารของเราก็เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน…หากไม่มีเรื่องของอาการคลุ้มคลั่ง สัตว์ประหลาด และเทพมารนอกรีต โลกคงจะสงบสุขมากถ้าทุกคนนำพลังพิเศษของตนมาใช้ให้เกิดประโยชน์…


ไคลน์ถอนหายใจยาว สองเท้าก้าวออกจากห้องครัวมายังห้องนั่งเล่น


เมื่อแสงจากตะเกียงริมผนังเริ่มสว่าง ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนโซฟา เตรียมนั่งอ่านนิตยสารและหนังสือพิมพ์ฆ่าเวลา จนกว่าจะถึงเวลาใส่มันฝรั่งและแคร์รอตลงไปเพิ่ม ระหว่างนั้น ไคลน์เริ่มครุ่นคิดไตร่ตรอง มองหาแก่นแท้และวิธีสวมบทบาทในฐานะผู้ไร้หน้า


หลังจากตื่นขึ้นในตอนเช้า พลังวิญญาณของเราสงบนิ่งจนน่าประหลาดใจ จริงอยู่ อาจไม่มีสัญญาณของการย่อยโอสถ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความกลมกลืนอันไม่ปรกติ ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นขณะเลื่อนลำดับนักทำนาย ตัวตลก หรือนักมายากล…


คิดมาถึงจุดนี้ ไคลน์ชำเลืองไปทางมุขหน้าต่าง เนื่องจากบรรยากาศด้านนอกกำลังมืดสนิท บานกระจกจึงทำตัวเป็นกระจกเงา คอยสะท้อนภาพของนักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้กลับมาอย่างซื่อสัตย์


เส้นผมและดวงตาสีน้ำตาล หนวดเคราคมเข้ม สวมแว่นตากรอบทอง


มันพยักหน้ากับตัวเองแผ่วเบา


อาจเป็นเพราะว่า เรา ‘สวมบทบาท’ เป็นผู้ไร้หน้ามาตลอด สวมบทบาทเป็นบัณฑิตหน้าใหม่ ไคลน์·โมเร็ตติ และยังเป็นเชอร์ล็อก ในคราบการปลอมตัวของไคลน์อีกที…


แม้จะได้รับความทรงจำและอารมณ์บางส่วนจากบุคคลซึ่งเคยมีชีวิตอยู่จริง แต่เนื้อแท้ลึกๆ ข้างใน เรายังคงเป็นคนแปลกหน้าจากต่างโลก เป็นนักรบคีย์บอร์ดผู้เชี่ยวชาญทุกเรื่องอย่างละนิด โจว·หมิงรุ่ย ไม่เปลี่ยนแปลง..


อาจเพราะเราผ่านเรื่องราวมากมายตลอดห้าเดือนเต็ม จนทำให้บางครั้ง เราเผลอคิดว่าตัวเองคือไคลน์·โมเร็ตติตัวจริง…


ท่ามกลางความเงียบสงบ ข้อมูลมากมายหลั่งไหลเข้ามาในสมอง ชายหนุ่มเริ่มพบมุมมองแปลกใหม่จากการใช้เวลาอยู่กับตัวเอง


ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงความจริงได้ว่า เราคือโจว·หมิงรุ่ยจากดาวเคราะห์โลก ผู้สวมหนังมนุษย์ของไคลน์·โมเร็ตติไว้ภายนอก…ผู้ไม่เคยลืมว่า ตนต้องหาทางกลับบ้านให้ได้…


ไคลน์บรรจงหลับตาลง และเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพสะท้อนบนกระจกได้กลายเป็นใบหน้าของอีกหนึ่งบุคคลไปเรียบร้อย


ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ผมดำตัดสั้น ใบหน้าไม่มีจุดใดโดดเด่น ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน ขอบตาหมองคล้ำเล็กน้อยตามประสานักรบคีย์บอร์ด คางมีริ้วรอยคล้ายกับคางสองชั้น


นี่คือโจว·หมิงรุ่ยจากดาวเคราะห์โลก


ไม่ได้พบกันเสียนาน…


ไคลน์ถอนหายใจสั้นพร้อมกับใช้สองมือลูบคลำใบหน้า และเมื่อลดแขนลง ชายหนุ่มกลับไปเป็นเชอร์ล็อก·โมเรียตี้อีกครั้ง


หลังจากใคร่ครวญและพิจารณาตนเองอยู่พักใหญ่ มันตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า พลังวิญญาณของตนเริ่มกลมกลืนไปกับโอสถทีละนิด ราวกับพยายามผสานให้เป็นเนื้อเดียวกัน


เราเข้าใจอย่างแจ่มชัดแล้วว่า ทำไมบุคคลซึ่งน่าจะเป็นอาจารย์ของนักเชิดหุ่นโรซาโก้ ถึงได้กำชับอย่างหนักแน่นว่า :


“จะปลอมตัวเป็นใครก็ได้ แต่ห้ามลืมว่าตัวเองเป็นใครเด็ดขาด”


นี่คงเป็นแก่นสำคัญของเทคนิคสวมบทบาทสำหรับผู้ไร้หน้า หากมีการเปลี่ยนหน้าอย่างต่อเนื่องจนหลงลืมว่าเนื้อแท้เคยเป็นใคร จุดจบสุดท้ายคงหนีไม่พ้น การคลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาดขาดสติปัญญา…


เมื่อนำความทรงจำเมื่อครั้งสื่อวิญญาณกับนักเชิดหุ่นโรซาโก้มาวิเคราะห์ประกอบ ไคลน์พลันกระจ่างทันที


ชายหนุ่มนั่งไขว่ห้างขวาทับซ้าย สมองตรึกตรองวางแผนสำหรับอนาคต


ข้อแรก ค้นหาและเพิ่มกฎการสวมบทบาทของผู้ไร้หน้าเข้าไป…


ข้อสอง ไม่ว่าจะเป็นชุมนุมลับของเบ็คลันด์หรือชุมนุมทาโรต์ พยายามรวบรวมวัตถุดิบหลักของโอสถนักเชิดหุ่น เตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกทะเลเพื่อไปประกอบพิธีกรรม…


ข้อสาม พยายามค้นหาสูตรโอสถ ‘ข้ารับใช้สุริยัน’ มาให้เดอะซันน้อย เขาจะได้เลื่อนเป็นลำดับ 7 และสามารถเข้าถึงข้อมูล ‘วิธีลบจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลัง’…


แต่เราจะหวังพึ่งเดอะซันน้อยเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องขวนขวายหาวิธีด้วยตัวเองไปพร้อมกัน…


ไคลน์ ผู้กำลังดำดิ่งอยู่ในห้วงพิจารณา ทำการดีดนิ้วเพื่อลดไฟบนเตาแก๊สลงเล็กน้อย


โดยไม่ต้องรอนาน กลิ่นหอมกรุ่นของเนื้อสุกเริ่มลอยโชยแตะจมูก


ทันใดนั้น เสียงกริ่งบ้านดังขึ้น


ผู้มาเยือนคราวนี้คือนักกฎหมายเยอร์เก้น


แม้ข้างนอกจะมีฝนตกปรอย แต่เยอร์เก้นกลับยังแต่งชุดประหนึ่งว่าจะไปร่วมงานเลี้ยงหรูหรา ถึงขั้นสวมเสื้อปกตั้งด้วยมาดสุภาพ


“มีอะไรหรือ” ไคลน์ซึ่งคุ้นเคยกับนิสัยเอาจริงเอาจังของอีกฝ่าย เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาด้วยการซักถามเข้าประเด็น


เยอร์เก้นหุบร่มและเดินผ่านกรอบประตูเข้ามาเล็กน้อย มือข้างหนึ่งปัดหยดน้ำฝนออกจากเสื้อโค้ทกระดุมสองแถวตัวใหญ่


“เชอร์ล็อก วันจันทร์หน้า ผมจะลงใต้เพื่อไปเที่ยววันหยุดพักร้อนกับคุณย่า สภาพอากาศอบอุ่นทางแถบนั้นเป็นผลดีกับสุขภาพของเธอมากกว่า”


“ข่าวดีเลยไม่ใช่หรือ?” ไคลน์อมยิ้ม ตามด้วยการลองคาดเดา “คุณจะให้ผมช่วยรับเลี้ยงโบรดี้ชั่วคราว?”


เยอร์เก้นส่ายหน้า


“คุณย่าทนห่างกับโบรดี้ไม่ได้ พวกเราจึงมีแผนจะนำเขาไปด้วย ผมลองสอบถามพนักงานรถไฟดูแล้ว ทางนั้นอนุญาตให้นำแมวขึ้นรถจักรไอน้ำได้ แต่ต้องซื้อตั๋วเพิ่มเต็มราคา และจับใส่กรงตลอดเวลา อีกทั้ง ต้องหมั่นรักษาความสะอาดกรง เพื่อไม่ให้กลิ่นไม่พึงประสงค์ไปรบกวนผู้โดยสารคนอื่น”


ด้วยความสัตย์จริง ของแบบนั้นไม่จำเป็นเลยสักนิด กลิ่นของห้องโดยสารชั้นสามช่างเหม็นบรรลัย จนสามารถกลบกลิ่นขี้แมวได้สบาย… ไคลน์เหน็บแนมติดตลก


“โบรดี้คงไม่ชอบการเดินทางกระมัง”


“แต่เขาไม่อยากแยกกับคุณย่ามากกว่า” เยอร์เก้นตอบเสียงเรียบ


มันกดหมวกและรีบกล่าวเข้าประเด็น


“ผมแวะมาเพื่อจะบอกว่า ถ้าคุณต้องประกันตัวหรือมีการฟ้องร้องในระหว่างการพักร้อนของผม ให้ติดต่อไปยังเพื่อนร่วมงานของผมแทน นี่คือนามบัตร เขารับปากว่าจะไม่ไปไหนตลอดช่วงหยุดยาวปีใหม่”


มืออาชีพชะมัด ถึงกับคิดเผื่อไว้ล่วงหน้า…แต่นั่นไม่จำเป็นอีกแล้ว เพราะเราคือสายข่าวของจิตแห่งจักรกล หากเผลอมีปากเสียงกับตำรวจเมื่อไร ค่อยให้คาร์ลเซ่นหรือไอคานส์ช่วยไกล่เกลี่ย..


ไคลน์กล่าวขอบคุณ มือข้างหนึ่งรับนามบัตรมาใส่กระเป๋าเสื้อ


เยอร์เก้นไม่มัวเสียเวลานาน ไม่แม้แต่จะเข้าไปจิบชาสักแก้ว นักกฎหมายหนุ่มโบกมืออำลาและกล่าวส่งท้าย


“ผมยังต้องแวะไปหาลูกค้าอีกหลายราย เชอร์ล็อก ไว้เจอกัน เอ่อ…ปีหน้า”


“ขอให้ครอบครัวของคุณเที่ยวอย่างมีความสุข” ไคลน์อวยพรพลางโบกมือตอบ


หลังจากเยอร์เก้นลับตาไปพร้อมกับร่ม ชายหนุ่มปิดประตูบ้านและเดินกลับเข้ามานั่งบนโซฟา


ในวินาทีนี้ นอกจากเสียงเปลวไฟกำลังเลียก้นกระทะในครัว บรรยากาศรอบตัวไคลน์ปราศจากสุ้มเสียงอื่นโดยสิ้นเชิง เงียบจนได้ยินล้อรถม้าจากด้านนอกเป็นระยะทางไกล


มัดมองไปรอบตัวและสำรวจสิ่งของในบ้านอย่างตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะกาแฟ เอกสารสัญญา ตู้กับข้าว ปากกาหมึกซึม เครื่องลายคราม โต๊ะอาหาร เก้าอี้ หรือกำแพงบ้าน


ไคลน์เบือนสายตากลับ แผ่นหลังพิงผนังห้องพลางมองไปยังถนนด้านนอก ท่ามกลางท้องฟ้ามืดสนิท แสงสลัวกึ่งพร่ามัวจากเสาตะเกียงริมถนนกำลังมอบความอบอุ่นนุ่มนวล


ชายหนุ่มถอนหายใจ


“จะปีใหม่แล้วสินะ…”



สายฟ้าเบื้องบนเริ่มจางหาย ความมืดมิดอันน่าขนลุกกลับมาปกคลุมไปทั่วบริเวณ


ปัจจุบัน ทีมสำรวจจากเมืองเงินพิสุทธิ์ได้เดินทางมาถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ เป็นการเดินทางไม่ใกล้ไม่ไกล แต่ต้องผ่านการต่อสู้อย่างโชกโชนและถี่ยิบ


มองไปยังริมสองฝั่งทางเดินรอบตัว อาคารบ้านเรือนจำนวนมากถูกเปลี่ยนเป็นซากปรักหักพังด้วยอำนาจของกาลเวลา เหลือเค้าโครงเดิมแค่เพียงไม่กี่หลัง


อาศัยแสงไฟจากตะเกียงหนังสัตว์ ซึ่งก็มอบความสว่างได้ไม่มากนัก เดอร์ริคก้มมองพื้นถนนผุพังและรกร้างจนไม่มีแม้แต่วัชพืชงอกเงย


สองฝั่งถนนรอบตัวเด็กหนุ่มล้วนเป็นซากของบ้านเรือนสภาพผุพังไม่ต่างจากจุดอื่น


สีเคลือบอาคารกลายเป็นสีเทาหม่น เมื่อลองพิจารณาจากสถาปัตยกรรมภายนอกซึ่งเหลือเค้าโครงอยู่เพียงน้อยนิด คณะเดินทางพอจะเดาได้ว่า เมืองแห่งนี้มีรูปแบบการตกแต่งและรสนิยมไม่เหมือนกับเมืองเงินพิสุทธิ์เลยสักนิดเดียว จึงไม่มีใครจินตนาการสภาพเมืองดั้งเดิมออกมาได้


อย่างไรก็ตาม เดอร์ริคพอจะเดาได้ว่า เมืองแห่งนี้เคยผ่านประวัติศาสตร์ยาวนานและมีประชาชนอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก


ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันเลวร้าย พวกเขาต้องคอยปกป้องตัวเองจากสัตว์ประหลาดในความมืด


พวกเขาดื่มโอสถ สร้างบ้านและคอยบำรุงซ่อมแซม พยายามต่อสู้ป้องกันกำแพงเมืองอย่างสุดฝีมือ และมีทีมสำรวจราวหกถึงเจ็ดหน่วย คอยออกไปค้นหาข้อมูลและสิ่งของสำหรับยืดอายุอารยธรรมของตนออกไป


พวกเขาจะเริ่มเฉลิมฉลองเมื่อเข้าสู่ช่วงสงบสุข ขณะเดียวกันก็คอยประกอบพิธีกรรมถึงเทพในความศรัทธาและรอการตอบสนองโดยไม่ย่อท้อ


พวกเขาให้กำเนิดทายาท สืบทอดความหวังของเมืองต่อไปยังชนรุ่นหลัง


แต่กลับลงเอยด้วย พวกเขาถูกความมืดมิดกลืนกินอย่างโหดร้าย สุ้มเสียงแห่งความสุขถูกพรากไปพร้อมกับการถือกำเนิดของซากปรักหักพังเสื่อมโทรม


ซากอาคารเหล่านี้เปรียบดังสุสานยักษ์สำหรับฝังศพของเหล่าผู้ดิ้นรน ซึ่งพยายามทุกวิถีทางให้เมืองของตนอยู่ต่อรอดไป


แต่ในตอนสุดท้าย เรื่องนั้นก็ไม่เกิดขึ้น


นักล่าปีศาจ โคลิน·อีเลียด มองไปรอบตัวด้วยสีหน้าอึมครึม ประหนึ่งกำลังจินตนาการภาพสุดท้ายของเมืองเงินพิสุทธิ์ในหัว


มันชี้ไปยังทิศทางหนึ่งและกล่าว


“แถบนี้ถูกสำรวจทุกซอกมุมแล้ว วิหารเป้าหมายตั้งอยู่ใจกลางเมือง”


สมาชิกทีมสำรวจพลันตึงเครียด แต่ก็ไม่มีใครลดการป้องกันลง ทุกคนตั้งใจทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด


หลังจากเดินผ่านแนวซากปรักหักพัง ซึ่งไม่มีใครแน่ชัดทราบว่าถูกทำลายมานานแค่ไหน เดอร์ริคและพวกพ้องหักเลี้ยวเปลี่ยนเส้นถนน ย่างกรายเข้าบริเวณใหม่แสนเงียบสงัด เงียบมากพอจะทำให้บุคคลจิตอ่อนเกิดอาการบ้าคลั่งกะทันหัน


โดยไม่ต้องรอนาน เด็กหนุ่มเริ่มมองเห็นลานยกระดับขนาดใหญ่ตรงหน้า


เหนือพื้นยกสูงเป็นซากวิหารซึ่งพังถล่มไปแล้วกว่าครึ่ง สถาปัตยกรรมภายนอกคล้ายคลึงกับวิหารของเมืองเงินพิสุทธิ์อย่างมาก บริเวณทางเข้ามีเสาสองต้นคอยค้ำจุนหลังคาทรงโค้ง


รูปทรงอาคารแตกต่างจากเขตบ้านเรือนเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เขตบ้านเรือนเพิ่งเกิดขึ้นหลังจากพวกเขาเปลี่ยนไปนับถือพระผู้สร้างเสื่อมทรามแล้ว…


ขณะเดอร์ริคกำลังวิเคราะห์ ตะเกียงเทียนไขของสมาชิกในทีมทั้งสี่ดวงพลันดับสนิทพร้อมกัน!


เพียงพริบตา ทีมสำรวจถูกความมืดเข้มข้นและน่าขยะแขยงเข้าปกคลุมทุกรูขุมขนร่างกาย ท้องฟ้าปราศจากสายฟ้า เสาไฟริมถนนใช้การไม่ได้ ขณะเดียวกัน คล้ายกับเสียงลมหายใจของมนุษย์ทุกคนในบริเวณถูกบางสิ่งดูดกลืน ไม่มีใครได้ยินเสียงใดทั้งสิ้น


เดอร์ริคพลันสั่นเกร็ง หนังศีรษะรู้สึกคล้ายกับกำลังถูกลิ้นของสัตว์ประหลาดละเลงเลีย อย่างไรก็ตาม สัมผัสวิญญาณได้บอกกับมันอย่างแจ่มชัดว่า ความรู้สึกทั้งหมดเป็นเพียงภาพหลอนและการคิดไปเอง ยังไม่มีการจู่โจมใดเกิดขึ้น


ทันใดนั้น สุ้มเสียงแสนสิ้นหวัง น่าขนลุก และแหบแห้งของเด็กเล็ก เริ่มดังก้องข้างใบหูเดอร์ริค·เบเกอร์


“ช่วยด้วย… ช่วยด้วย…”


เดอร์ริคยืนตัวแข็งทันที สมองกำลังขาวโพลน คิดไม่ออกว่าควรต้องรับมืออย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้


ทันใดนั้น เบื้องหน้าเด็กหนุ่มพลันเกิดละอองแสงระยิบระยับจากความว่างเปล่า


ละอองแสงแต่ละเม็ดเริ่มระเบิดอย่างต่อเนื่อง เม็ดแล้วเม็ดเล่า สร้างแสงสว่างสีเงินแสบตาไปบริเวณโดยรอบ


โคลินจ้องมองเดอร์ริค·เบเกอร์พร้อมกับซักถามเสียงขรึม


“มัวเหม่ออะไรอยู่”


เดอร์ริคพลันคืนสติ สองมือรีบประสานกันเหนือริมฝีปากในท่าสวดภาวนา


โดยไม่ต้องรอนาน แสงสว่างอันบริสุทธิ์ผุดผ่องและไร้มลทินค่อยๆ แผ่ออกจากร่างกายเด็กหนุ่ม ช่วยขจัดความมืดมิดรอบตัวทีมสำรวจทุกคน


พร้อมกันนั้น หน่วยถือตะเกียงทั้งสี่รีบจุดเทียนให้กลับมาติดอีกครั้ง


เป็นเพราะการตอบสนองอย่างทันท่วงทีของนักล่าปีศาจมากประสบการณ์ ทีมสำรวจจึงยังไม่มีใครถูกความมืดกลืนหายไป หรือไม่มีสมาชิกใหม่เข้ามาเพิ่ม


โคลินเบือนหน้าจากเดอร์ริค สายตาจ้องมองวิหารหลังใหญ่บนลานกว้างยกสูง ตามด้วยการเปล่งถ้อยคำกำชับเสียงขรึม


“หลังจากเข้าไปข้างใน ทุกคนต้องเข้าสู่ภาวะพร้อมรบตลอดเวลา ห้ามประมาทหรือใจลอยโดยเด็ดขาด”


……………………


ราชันเร้นลับ 455 : ขอความช่วยเหลือ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ด้านในวิหารกึ่งซากปรักหักพังเต็มไปด้วยเสาหินซึ่งผุพังเกือบหมด เหลือเพียงไม่ถึงครึ่งสำหรับค้ำจุนโครงสร้างอาคารส่วนใหญ่


ด้านหน้าสุดของโถงหลักมีแท่นบูชาขนาดปานกลาง สภาพค่อนข้างเสื่อมโทรม ใจกลางแท่นบูชาคือไม้กางเขนใหญ่สีดำสนิท


กึ่งกลางไม้กางเขนมีรูปปั้นของชายเปลือยกายถูกแขวนในสภาพห้อยหัว บริเวณข้อเท้า ต้นขา และลำตัวมีบ่วงหนามโลหะ ทั้งขึ้นสนิมและแหลมคม กำลังรัดพันทิ่มแทง รอบบ่วงหนามมีคราบเลือดสีแดงแห้งกรัง


เดอร์ริคทราบทันทีว่านี่คือเทวรูปของพระผู้สร้างเสื่อมทราม แต่ก็ยังก้มลงไปมองใบหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น


บนใบหน้าของเทวรูป ส่วนของใบหู จมูก และริมฝีปากล้วนไม่คมชัด เหลือเพียงส่วนดวงตายังคงคมชัด


คล้ายกับพระผู้สร้างเสื่อมทรามกำลังหลับตาเพราะต้องทนรับความเจ็บปวดเหนือพรรณนาแทนมนุษย์ทุกคน


“ห้ามมองเทวรูปของเทพมาร!” นักล่าปีศาจ โคลิน รีบตักเตือนเสียงขรึม


“ขอรับ ท่านผู้นำ” สมาชิกทีมสำรวจรีบเบือนหน้าไปทางอื่น


จนถึงวันนี้ แม้ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์จะรวบรวมข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก จนถึงขั้นสามารถบ่งชี้ว่า มีเมืองหลายแห่งโดยรอบนับถือเทพมารชั่วร้าย แต่ชาวเมืองส่วนใหญ่กลับยังไม่เคยเห็นเทวรูปของเทพมารด้วยตาตัวเองเลยสักครั้ง


เป็นเพราะส่วนอื่นของวิหารมีขนาดไม่กว้างมาก ทีมสำรวจจึงจับกลุ่มสองถึงสามคน กระจายตัวเก็บรายละเอียดทุกซอกมุมจนเสร็จเรียบร้อยภายในเวลาไม่นาน และผลลัพธ์ก็คือ ไม่มีใครพบความผิดปรกติใดเลย


มาถึงตรงนี้ โคลิน·อีเลียด ผู้นำสูงสุดของเมืองและหัวหน้าสภาอาวุโส ก้มศีรษะตรึกตรองสักพักก่อนออกคำสั่ง


“สำรวจชั้นใต้ดิน”


ขณะกล่าว มันชักดาบออกจากหลังหนึ่งเล่มพร้อมกับทาขี้ผึ้งสีเงินฉาบผิวดาบ


ถัดมา โคลินหยิบขวดแก้วออกจากช่องเข็มขัด ดึงจุกฝา และกลืนของเหลวด้านในเข้าไปหนึ่งคำ


ทันใดนั้น เดอร์ริคพบว่าดวงตาของนักล่าปีศาจมากประสบการณ์ ได้เปลี่ยนจากสีฟ้าหม่นลุ่มลึก กลายเป็นสีฟ้าสว่างแวววาว


ขณะเดียวกัน สมาชิกคนอื่นต่างก็รีบเตรียมความพร้อมสำหรับต่อสู้ในแบบของตัวเอง


ภายใต้แสงตะเกียงหนังสัตว์จำนวนสี่ดวง ทีมสำรวจค่อยๆ ย่องลงบันไดหินซึ่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของแท่นบูชา


เป็นเวรของเดอร์ริคต้องถือตะเกียงบ้าง เด็กหนุ่มจึงยืนนำหน้าสุดของแถว บรรจงขยับเท้าลงขั้นบันไดไปทีละหนึ่งอย่างใจเย็น


ท่ามกลางความมืดมิด มันกำลังได้ยินเสียงฝีก้าวตัวเอง ดังผสมผสานกับฝีก้าวของพวกพ้องด้านหลังจนคล้ายกับเสียงสะท้อน


ฝีเท้าทุกคนดังแจ่มชัด เป็นการเน้นหนักว่าบรรยากาศรอบตัวเงียบงันและปราศจากเสียงรบกวนอื่นโดยสิ้นเชิง ภายในใจทุกคนกำลังตึงเครียด เสียงกุกกักของขณะฝ่าเท้ากระทบพื้นหิน เป็นราวกับเสียงใครบางคนออกแรงเคาะประตูดังโครมคราม เมื่อคิดว่าพวกตนกำลังจะได้สำรวจอารยธรรมเก่าแก่ซึ่งเป็นปริศนามานานหลายปี หัวใจของแต่ละคนเริ่มบีบเกร็งในระดับผิดปรกติ


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ คล้ายกับกาลเวลารอบตัวไหลผ่านไม่เท่ากับด้านนอก เดอร์ริคเริ่มเห็นว่าพื้นหินตรงหน้ามีลักษณะเรียบตรง เป็นสัญญาณการเดินมาถึงสุดเขตขั้นบันไดยาว


เมื่อทุกคนลงมากันครบ แสงตะเกียงหนังในมือช่วยให้เดอร์ริคทราบว่า กำแพงรอบตัวล้วนเป็นจิตรกรรมฝาผนังซึ่ง ดาร์ก·รีเจนซ์ในสภาพถูกกัดกร่อนจิต เคยเล่าให้ฟัง


จิตรกรรมฝาผนังทอดยาวตลอดแนวผนังสองฝั่งของทางเดิน สีสันเรียบง่าย กลิ่นอายภาพหม่นหมองอึมครึม มอบความรู้สึกเก่าแก่คล้ายกับภาพวาดเหล่านี้เคยผ่านการเปลี่ยนผันของยุคสมัยมาแล้วนับไม่ถ้วน


เดอร์ริคชำเลืองผ่านจนกระทั่งสะดุดกับภาพหนึ่งเป็นพิเศษจนต้องหยุดมอง


บนกำแพงซ้ายมือ ภาพของไม้กางเขนยักษ์สีขาวตั้งเด่นตระหง่านอยู่กึ่งกลาง ล้อมรอบด้วยบางสิ่งคล้ายน้ำทะเลสีเข้มจนเกือบดำ ของเหลวสีดำกล่าวกำลังไหลท่วมมนุษย์จำนวนมากด้านล่างซึ่งพยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด


ห้อยหัวลงจากกางเขนคือพระผู้สร้างเสื่อมทราม ตะปูและบ่วงหนามขึ้นสนิม คราบเลือดสีแดงแห้งกรัง ลักษณะยังคงเหมือนกับเทวรูปด้านนอกทุกประการ


แต่ในภาพนี้ กางเขนสีขาวโพลนบางส่วนถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นสีดำสนิท


ด้านบนกางเขนกำลังค้ำจุนดินแดนมายาอันเลือนรางไว้ บนดินแดนเป็นภาพของมนุษย์กลุ่มใหญ่กำลังคุกเข่าสวดภาวนาถึงพระผู้สร้างเสื่อมทราม


ณ สุดของจิตรกรรมฝาผนัง ในจุดลึกสุดอันมืดสนิทซึ่งเป็นสัญลักษณ์ความชั่วร้าย ภาพของเทพมารจำนวนหกตนได้กระจัดกระจายไปตามแต่ละมุม


มุมซ้ายบนเป็นหญิงสาวสวมเสื้อคลุมยาวสีดำทรงโบราณ ลักษณะเรียบง่ายแต่ซับซ้อน ประกอบด้วยผ้าสีดำหลายชั้นแต่ไม่รุงรัง ลวดลายผ้าเป็นภาพของดวงดาวสุกสว่าง


ร่างกายของเธอโปร่งใสและไม่คมชัด ใบหน้าพร่ามัวคล้ายกับสวมหน้ากากสีเนื้อไร้ลวดลาย


ออร่าสีดำสนิทเข้มข้นกำลังพวยพุ่งออกมารอบตัวหญิงสาว บางส่วนก่อตัวเป็นรูปทรงของดวงตาประหลาดสีดำจำนวนมาก


ถัดลงมาเป็นชายสวมชุดคลุมยาวสีขาวสว่าง ใบหน้าถูกฉาบด้วยสีทองอร่าม ตามผิวหนังมีท่อแสงยืดยาวออกมาในลักษณะคล้ายกับหนวดของปีศาจ


มือข้างหนึ่งถือหนังสือสีเขียวน่าขยะแขยง ส่วนอีกข้างถือหอกแสงเจิดจรัส บริเวณหน้าอกและแผ่นหลังสลับด้านกัน


มุมขวาบนเป็นภาพของสัตว์ประหลาดหัวปลาหมึกยักษ์ ดวงตากลมโตผิดมนุษย์ มือข้างหนึ่งถือสามง่าม รอบร่างกายมีสายฟ้าน่าเกรงขามรายล้อม


ด้านหลังเป็นผ้าคลุมอันเกิดจากการเรียงต่อกันของขนนกจำนวนมาก ใต้ฝ่าเท้ามีเกลียวคลื่นความมืดสีดำคอยค้ำจุนการทรงตัว


มุมขวากลางเป็นภาพของหญิงสาวใบหน้าเลอโฉมและอ่อนละมุน หน้าอกใหญ่เป็นพิเศษ ในอ้อมแขนมีซากทารกเน่าเปื่อย ใต้ฝ่าเท้าประกอบด้วยทุ่งข้าวสาลีสีดำเข้ม น้ำพุผุดเศษเนื้อน่ารังเกียจ สมุนไพรท่ามกลางบ่อน้ำเสีย และสัตว์ป่ากำลังผสมพันธุ์อย่างบ้าคลั่ง


มุมขวาล่างเป็นภาพของชายชราสวมเสื้อคลุมยาวแบบมีผ้าคลุมหัว เผยให้เป็นเพียงใบหน้าบางส่วนและริมฝีปาก ใต้ดวงตามีริ้วรอยเหี่ยวย่น และหนวดเคราขาวโพลนอันเกิดจากความชรา


ชายแก่กำลังถือหนังสือในสภาพกางออก เหนือหนังสือมีดวงตาทรงปัญญาลอยอยู่


หากมองผิวเผิน ชายชราจะดูธรรมดากว่าใครทั้งหมด แต่มุมปากกลับเผยรอยยิ้มชั่วร้ายกว่าใครทั้งหมดเช่นกัน


มุมซ้ายล่างเป็นภาพของนักรบคนยักษ์สวมชุดเกราะชำรุดทรุดโทรม สองมือถือดาบยาวใหญ่ กำลังนั่งบนบัลลังก์โดยมีฉากหลังเป็นยามตะวันตกดิน


ความหมายของจิตรกรรมฝาผนังชิ้นนี้คือ เมื่อมหาภัยพิบัติถือกำเนิด เทพมารชั่วร้ายหกตนได้ผุดขึ้นจากนรกเพื่อทำลายโลก ในการจะช่วยให้มวลมนุษย์รอดพ้น พระผู้สร้างเสื่อมทรามจำเป็นแบกรับบาปและความเจ็บปวดเอาไว้ตามลำพัง และผลลัพธ์ก็ทำให้พระองค์ถูกกัดกร่อนจนมีรูปลักษณ์เปลี่ยนไปจากเดิม…


ใครจะไปคิดว่า ‘พระองค์’ ต่างหากคือผู้ชั่วร้ายยิ่งกว่าใครทั้งหมด…


ขณะถือตะเกียงหนังสัตว์ เดอร์ริคเดินไปข้างหน้าพลางสำรวจภาพวาดอย่างใจเย็น เด็กหนุ่มพบว่าเนื้อหาของจิตรกรรมฝาผนังค่อนข้างตรงตามคำบอกเล่าของดาร์ก·รีเจนซ์ แก่นสำคัญของความหมายในภาพคือ ดินแดนแห่งนี้มิได้ถูกเทพทอดทิ้ง กลับกัน พระองค์ต้องต่อสู้ตามลำพังเพื่อปกป้องมนุษย์ทุกคน


ผู้ยังเหลือรอดท่ามกลางความมืดมิดคือ ‘สาวก’ ซึ่งได้รับการอวยพรจากพระองค์เป็นพิเศษ มีภารกิจต้องดำรงไว้ซึ่งอารยธรรมของมนุษย์และฝ่าฟันผ่านหายนะไปให้ได้


แต่ดาร์ก·รีเจนซ์เล่าเพียงผิวเผิน มิได้ละเอียดเท่ากับการมาเห็นด้วยภาพจริง


ระหว่างทาง เดอร์ริคมิได้ลดการป้องกันลง เตรียมตัวรับมือการจู่โจมไม่คาดฝันอยู่เสมอ


ภายใต้ความช่วยเหลือจากแสงจางของเทียนไข ทีมสำรวจเดินผ่านทางเดิน โถง และห้องอีกเป็นจำนวนมาก พวกมันสำรวจลึกเข้าไปในชั้นใต้ดินอันมืดมิดของวิหารโดยไม่หยุดพักเหนื่อย


จนกระทั่งพบกับบานประตูสีเทา ลักษณะกำลังเปิดค้างไว้บางส่วน


หน้าประตูมีวัตถุคล้ายเห็ดงอกอยู่บนพื้นหนึ่งกลุ่มใหญ่ ขนาดของเห็ดเท่าฝ่ามือ ก้านสีขาวนมสด หมวกเห็ดสีแดงสด และมีประกายสีทองเข้มระยิบระยับ


เมื่อได้เห็น ‘เห็ด’ เต็มสองตา สมาชิกทุกคนต่างเกิดความหิวกระหายเหนือพรรณนา พวกมันอยากปรี่เข้าไปเด็ดเห็ดเหล่านี้มายัดใส่ปากจนกว่าจะอิ่มหนำ


อึก.


หลายคนเริ่มกลืนน้ำลายเสียงดัง


แต่สมาชิกทีมสำรวจส่วนใหญ่ล้วนถูกคัดกรองมาเป็นอย่างดี ประสบการณ์และลำดับของพวกมันจึงค่อนข้างสูง ผนวกกับมีบทเรียนมาจากทีมสำรวจชุดแรก ความระวังตัวย่อมอยู่ในระดับมืออาชีพ


ใครบางคนโพล่งขึ้นด้วยเสียงต่ำ


“พวกมันคือเนื้อเน่ากับหนังศีรษะมนุษย์!”


เดอร์ริคทราบชื่อของสมาชิกคนดังกล่าว มันมีนามว่าโจชัว เมื่อไม่นานมานี้ โจชัวเพิ่งนำคะแนนผลงานของตนไปแลกสมบัติวิเศษจากภารกิจสำรวจ


โจชัวยกแขนซ้ายซึ่งสวมถุงมือสีแดงสดขึ้น พลางเล็งไปทางประตูสีเทาตรงหน้าเดอร์ริค


บรรยากาศโดยรอบพลันสว่างวาบ ลูกบอลเพลิงพุ่งออกจากถุงมือและกระแทกใส่ ‘เห็ด’ สุดน่ารับประทานอย่างแม่นยำ


บึ้ม!


พื้นหินสะเทือนแผ่วเบา ทะเลเพลิงปกคลุมรอบเห็ดปริศนาภายในรัศมีสองเมตร


เมื่อทะเลเพลิงดับลง เห็ดน่ารับประทานได้อันตรธานหาย เหลือไว้เพียงเศษเนื้อน่าขยะแขยงเกลื่อนกลาด ส่งผลให้เหล่าผู้วิเศษซึ่งเกิดความอยากอาหารเมื่อครู่ ต่างพากันคลื่นไส้อาเจียนเป็นพัลวัน


นักล่าปีศาจโคลินไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง ปล่อยให้เหล่าสมาชิกหนุ่มจัดการปัญหาเล็กน้อยกันเอาเอง ทำเพียงเฝ้ามองอย่างเงียบงัน


“ทำไมถึงมีเห็ดก้อนเนื้อและเส้นผมของมนุษย์งอกอยู่? แล้วก้อนเนื้อมาจากไหนกัน?” โจชัวลดแขนซ้ายลงพลางพึมพำด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ


สมาชิกคนอื่นลองคาดเดา


“อดีตชาวเมือง?”


เป็นไปได้… บางที ความตายอาจทำให้ศพพวกเขาเปลี่ยนสภาพ กลายเป็นเนื้อเน่าและเส้นผมน่าขยะแขยง… เดอร์ริคเห็นพ้อง


หลังจากปรึกษาหารือสักพัก ทีมสำรวจตัดสินใจแบ่งกลุ่มสำรวจห้องโถงหน้าประตูสีเทาให้ทั่วทุกซอกมุม


เมื่อจัดการเสร็จ แต่ละคนกลับมารวมตัวหน้าบานประตูสีเทาอีกครั้ง และค่อยๆ ย่างกรายเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง สติเตรียมพร้อมรับมือการจู่โจมทุกรูปแบบ


ด้านหลังประตูคืออีกหนึ่งแท่นบูชา แต่ความมืดภายในห้องกลับเข้มข้นผิดไปจากทุกที ลำพังตะเกียงเทียนไขเจือจางมิอาจขับไล่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


กึ่งกลางแท่นบูชายังคงเป็นกางเขนใหญ่สีดำสนิทเหมือนวิหารด้านบน รวมถึงเทวรูปห้อยหัวของพระผู้สร้างเสื่อมทราม


ในฐานะผู้ถือตะเกียง เดอร์ริคเดินเข้าไปใกล้กว่าใครพลางสอดส่องสายตาสำรวจ


ทันใดนั้น ร่างกายเด็กหนุ่มพลันแข็งทื่อ เนื่องจากมันพบจุดแตกต่างระหว่างเทวรูปด้านในและด้านนอกวิหารเข้า


ดวงตากำลังเปิดอยู่!


ดวงตาสีแดงก่ำ เหลือแค่ตาดำยังเป็นสีดำสนิท กำลังจ้องมองผู้บุกรุกประหนึ่งมีชีวิตและความนึกคิดเป็นของตัวเอง


กึก กึก กึก


เดอร์ริคได้ยินเสียงฟันกระทบ


เดิมที มันคิดว่าเป็นเสียงของหนึ่งในสมาชิกร่วมทีมด้านหลัง แต่เพียงไม่นานก็ตระหนักว่า นี่เป็นเสียงฟันกระทบจากอาการสั่นกลัวของตัวมันเอง!


แม้จะไม่เคยทราบว่าเทพมารตนนี้อันตรายอย่างไร แต่ร่างกายกลับสั่นสะท้านจนฟันกระทบกันเองโดยมิอาจควบคุม


กึก. กึก. กึก.


คราวนี้เป็นเสียงฟันจากเพื่อนร่วมทีม


แต่เพียงไม่นาน ประกายระยิบระยับของผงปริศนาได้ฟุ้งกระจายเบื้องหน้าทุกคนพร้อมกับการกำหมัดแน่นของโคลิน·อีเลียด


บึ้ม!


เมื่อสิ้นเสียงระเบิด เดอร์ริคและคนอื่นถูกดึงกลับจากภวังค์ ‘ฝันร้าย’ เมื่อครู่ทันที


แต่ก่อนจะได้ลงมือสำรวจรอบห้อง เสียงสะอื้นของเด็กเล็กดังมาจากด้านหลังแท่นบูชา


“ฮึก ฮึก ฮือ…”


“ฮึก ฮึก ฮือ…”


ท่ามกลางอาการลนลานของทุกคน นักล่าปีศาจโคลินรีบออกคำสั่ง


“เดอร์ริคกับโจชัวเข้าไปตรวจสอบ”


แม้ร่างกายกำลังเย็นวาบ แต่เดอร์ริคก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างฉับไว มือซ้ายถือตะเกียงหนังสัตว์ มือขวาถือขวานเฮอร์ริเคน สองขาย่างกรายเข้าไปหาต้นเสียงโดยมีโจชัวตามมาจากด้านหลัง


เมื่อความมืดถูกขจัดด้วยแสงไฟ ทั้งสองเริ่มมองเห็นเงารางกำลังขดตัวด้านหลังแท่น


เดินอีกสองก้าว เดอร์ริคมองเห็นร่างของอีกฝ่ายเต็มสองตา


เด็กเล็กอายุราวเจ็ดแปดขวบ เส้นผมสีเหลืองอ่อน


เด็กเล็กยังคงหลับตาปี๋ ประหนึ่งสายตายังไม่เคยชินกับแสงสว่าง แต่ริมฝีปากรีบขยับอย่างตื่นเต้นดีใจ


“ช่วยด้วย…ช่วยด้วย…”


ตาดำเดอร์ริคพลันหดเกร็ง เมื่อมันมั่นใจว่าเคยได้ยินเสียงนี้จากเหตุการณ์ ‘วูบ’ หน้าทางเข้าวิหาร ขวานเฮอร์ริเคนในมือขวาพลันถูกยกขึ้นตามสัญชาตญาณ


ทันใดนั้น นักล่าปีศาจโคลินปรากฏตัวข้างเดอร์ริคพร้อมกับซักถามเสียงขรึม


“เจ้าเป็นใคร”


เด็กเล็กรีบหยุดร้อง ก่อนจะทำหน้านึกและเอ่ยชื่อของตนอย่างตะกุกตะกัก


“ผ…ผมชื่อ…จ…แจ็ค”



หลังเสร็จอาหารมื้อค่ำ ไคลน์สวมโค้ทและหมวกทรงกึ่งสูงเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้าน


มันมีแผนไปหาชารอน เพื่อสะสางเรื่องการแอบขุดอุโมงค์ไปยังอาคารใต้ดินของบาโรเน็ตพาวน์ รวมถึงสอบถามเกี่ยวกับเบาะแสของนางเงือก ชายหนุ่มต้องการจัดการทุกสิ่งให้เรียบร้อย ก่อนจะสร้างสถานการณ์ว่านักสืบเชอร์ล็อก ‘ลาพักร้อน’ ไปทางใต้หลายวัน


……………………


ราชันเร้นลับ 456 : ปลอมเป็นผี

โดย

Ink Stone_Fantasy

ด้านนอกผับวีรบุรุษ รถม้าคันหนึ่งกำลังแล่นไปบนถนนพร้อมกับส่งเสียงล้อบด


ภายในรถม้า ไคลน์สวมหมวกทรงกึ่งสูง กำลังนั่งฝั่งตรงข้ามชารอน ผู้สวมเดรสโกธิกสีดำเหมือนกับทุกครั้ง


เมื่อได้เห็นใบหน้าอันขาวซีดและไร้อารมณ์ของอดีตบอดี้การ์ด ไคลน์กระอักกระอ่วน ไม่ทราบว่าต้องเริ่มการทักทายตามมารยาทอย่างไร จึงตัดสินใจเข้าประเด็นทันที


“ผมเตรียมตัวเสร็จแล้ว”


ลำดับ 6 ผู้ไร้หน้า มีพลังชนิดใหม่เพิ่มขึ้นเพียงหนึ่ง นอกนั้นเป็นการเสริมประสิทธิภาพของพลังเก่าขึ้นจากเดิม ส่งผลให้การทำความเคยชินกับพลังใหม่ไม่ต้องใช้เวลานาน


แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พลังไร้หน้ามีศักยภาพสูง และสามารถกลายเป็นพลังระดับเทพได้ในบางสถานการณ์


ตัวอย่างเช่น การปลอมตัวเพื่อหลบหนีขณะถูกไล่ล่า หรือ การปลอมตัวเข้าไปในภารกิจแทรกซึม…ไคลน์ปลดปล่อยจินตนาการล่องลอย


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชารอนทวนคำ


“คืนนี้?”


หางเสียงของเธอเพิ่มขึ้นในตอนท้าย เป็นการเน้นย้ำว่านี่คือประโยคคำถาม


“ถ้าคุณพร้อม ผมก็พร้อม” ไคลน์ตอบกลับด้วยสีหน้ามั่นใจ แสดงให้เห็นว่าตนเตรียมพร้อมโดยไม่มีสิ่งใดติดค้าง


“ตกลง” ชารอนพยักหน้ารับ


ไคลน์กล่าวต่อหลังจากก้มหน้าเรียบเรียงคำพูดสักพัก


“คุณเคยได้ยินเบาะแสเกี่ยวกับนางเงือกบ้างไหม? ผมอยากทราบว่า สิ่งมีชีวิตในเทพนิยายอย่างพวกหล่อน สามารถถูกพบตัวได้แถวไหนบ้าง”


ดวงตาสีฟ้าของชารอนจ้องมองไคลน์ไม่กะพริบเป็นเวลานาน ประหนึ่งเธอกลายร่างเป็นตุ๊กตาโดยสมบูรณ์


ก่อนจะตอบเสียงเรียบ


“ในดินแดนอาณานิคมของมนุษย์ไม่มีนางเงือกอาศัยอยู่นานแล้ว นอกจากชาวประมงมากประสบการณ์ของหมู่เกาะการ์กัส ก็ไม่เคยมีมนุษย์คนใดได้พบเบาะแสของนางเงือกอีก นานๆ ครั้งพวกเขาจะได้ยินเสียงนางเงือกร้องเพลงขณะล่องเรือฝ่าพายุโหมกระหน่ำระหว่างการล่าวาฬหางขาว”


ลึกเข้าไปในทะเลโซเนีย หมู่เกาะการ์กัสคืออาณานิคมทางทะเลอันดับหนึ่งในด้านระยะทางความไกล สินค้าท้องถิ่นสำคัญคือน้ำมันวาฬและเนื้อวาฬ


เชื่อถือได้แค่ไหนกัน… ไคลน์พยักหน้ารับ


“เข้าใจแล้ว”



เสียงระฆังยามค่ำคืนดังแผ่วเบาท่ามกลางความมืดสนิท คล้ายกับแหล่งกำเนิดเสียงอยู่ในจุดห่างไกลออกไป


ใจกลางถนนวิลเลียมส์ หอสวดมนต์เก่าแก่แห่งหนึ่งยังคงตั้งเด่งตระหง่าน กำแพงเต็มไปด้วยวัชพืชและเถาวัลย์เลื้อยคด ตามซอกหินมีคราบสกปรกเกาะติดแห้งกรัง


ด้านในหอสวดมนต์ กองขยะและของเสียจากร่างกายมนุษย์ถูกทิ้งเรี่ยราดท่ามกลางก้อนหินและหญ้าแห้ง


ณ มุมหนึ่งซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากซากปรักหักพัง ชายวัยกลางคน สวมเสื้อรัดรูปสีดำ ทำการเคลื่อนหินก้อนใหญ่ออกจากตำแหน่งจนเผยปากทางเข้าอุโมงค์ลึกด้านใน


ได้เห็นดังนั้น ชายคนเดิมเริ่มเผยสีหน้าตื่นเต้นยินดี ก่อนจะรีบมุดเข้าไปอย่างระมัดระวังพร้อมกับอุปกรณ์ส่องแสง เครื่องมือสำหรับขุดดิน และตะกร้าตักดิน


จอนตรงขมับสีขาวหงอก ดวงตาปูดโปน


ไม่ใช่ใครนอกจากบาโรเน็ตตกอับ ราฟเตอร์·พาวน์ ผู้ถูกคนรอบตัวมองว่าสติฟั่นเฟือน แต่ความจริงแล้วเป็นทายาทของราชวงศ์ทูดอร์จากยุคสมัยที่สี่


มันมักเรียกโสเภณีราคาแพงมาใช้บริการถึงบ้านบ่อยครั้ง แต่ยามนี้กำลังมีสีหน้ามุ่งมั่นและแววตากระจ่างชัด ไม่เหมือนกับคนมีอาการเสพติดเหล้าเคล้านารีเลยสักนิด


มันหมอบลงและคลานด้วยศอกไปข้างหน้าอย่างขยันขันแข็ง เส้นทางลาดลงและคดเคี้ยวเล็กน้อย สายตาของราฟเตอร์·พาวน์กำลังมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ประหนึ่งปลายทางคือแสงสว่างเดียวในชีวิต


เพียงไม่นาน มันส่งตัวเองมาถึงเขตหินเย็นและโคลนเปียกซึ่งเป็นความคืบหน้าการขุดล่าสุด


อุปสรรคมิได้ทำให้ราฟเตอร์·พาวน์ย่อท้อ มันขยับแขนขุดอย่างชำนาญเนื่องจากสั่งสมประสบการณ์มาแล้วพักใหญ่


ขณะกำลังขุดดิน ตักใส่ตะกร้า และขนออกมาด้านนอก มันเริ่มมองเห็นโพรงกว้าง ด้านในเป็นอาคารใต้ดินขนาดใหญ่


สีหน้าราฟเตอร์·พาวน์พลันยินดีปรีดา มันรีบตะเกียกตะกายเข้าไปในโพรงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ใช้มือล้วงจับเข็มกลัดสีดำ


เข็มกลัดรูปมือถือคทา


แววตาของมันเปี่ยมด้วยความหวัง


ขณะเตรียมนำเข็มกลัดออกมาติดหน้าอก วิวทิวทัศน์รอบตัวพลันแตกละเอียดคล้ายเศษกระจก ราฟเตอร์·พาวน์พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในอุโมงค์แคบและคดเคี้ยวตามเดิม เบื้องหน้ายังคงเป็นโคลนเปียกและก้อนหินเย็น


ไม่สิ มีบางสิ่งเพิ่มเข้ามาด้วย


ตัวอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองกลับมา!


ไม่มีดวงตา ไม่มีจมูก ไม่มีปาก ไม่มีคิ้ว และไม่มีหู


ตาดำบาโรเน็ตพลันหดเกร็ง อาการชาแล่นไปทั่วร่างอย่างนอกเหนือการควบคุม


ไม่มัวคิดให้ปวดหัว มันรีบโยนเครื่องมือขุดทิ้งพร้อมกับคลานหนีตายออกจากอุโมงค์


ข้อศอกถูไถกับขอบจนเกิดบาดแผลเหวอะ แต่ด้วยความแตกตื่น มันไม่หยุดเคลื่อนไหวร่างกายแม้แต่วินาทีเดียว


จนกระทั่ง ราฟเตอร์·พาวน์กลับออกจากอุโมงค์และมาโผล่ภายในหอสวดมนต์สำเร็จ


แต่เนื่องจากโยนอุปกรณ์มอบแสงทิ้งไป ทิวทัศน์รอบตัวจึงเกือบมืดสนิท มีเพียงแสงสลัวสีแดงจากข้างนอกเล็ดลอดเข้ามาเล็กน้อย


ทันใดนั้น ซากเถาวัลย์เหี่ยวเฉาเริ่มเคลื่อนไหวไปมาราวกับงูตัวใหญ่ พร้อมกันกับการปรากฏกายของเงารางในความมืด


เป็นเงาของหญิงสาว สวมเดรสโกธิกสีดำเข้มและหมวกใบเล็กสีเดียวกัน ผิวพรรณขาวซีดจนคล้ายโปร่งใส เมื่อนำไปรวมกับเส้นผมสีทองอ่อนและดวงตาสีฟ้า บรรยากาศรอบตัวจึงดูไม่เหมือนกับมนุษย์แม้แต่นิดเดียว


ราฟเตอร์·พาวน์เกือบหลุดแหกปากดังลั่น ในสถานการณ์และสภาพแวดล้อมเช่นนี้ การปรากฏตัวของหญิงสาวไม่ต่างอะไรกับผีสางในเรื่องเล่าสยองขวัญก่อนนอน!


กึก! กึก! กึก!


มันผงะถอยหลังสามก้าวและเกือบสะดุดหินล้มลง


แต่คล้ายกับฉุกคิดบางสิ่งได้อย่างกะทันหัน บาโรเน็ตพาวน์รีบขจัดความกลัวและกล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก สีหน้าแววตาเริ่มเจือความหวัง


“ค…คุณคือวิญญาณมารใต้ดินใช่ไหม ต…ต้องเป็นคุณไม่ผิดแน่!”


เซอร์พาวน์ คงมีการเข้าใจผิดกระมัง…


ผู้ไร้หน้า ไคลน์ เดินตามออกจากอุโมงค์และหลบซ่อนในมุมมืดของหอสวดมนต์


เดิมที แผนการของมันและชารอนคือ ปลอมตัวเป็นผีและหลอกให้ราฟเตอร์·พาวน์สติแตกจนไม่กล้าขุดอุโมงค์อีก แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็น ท่าทีของขุนนางตกอับผู้นี้ค่อนข้างเหนือความคาดหมาย


ชารอนเงียบงัน ก่อนจะถามตามน้ำ


“เจ้าต้องการอะไร”


ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ราฟเตอร์·พาวน์ยกโค้งมุมปากอย่างมีเลศนัย


“หลังจากกระทำเรื่องเดิมซ้ำซากมานานหลายพันปี ผมมั่นใจ คุณคงทราบแล้วว่าการเข่นฆ่าทายาทของตระกูลทูดอร์ไม่ช่วยทำลายผนึกปัจจุบัน ดังนั้น มีเพียงการร่วมมือกับผม ทายาทของสายเลือดทูดอร์อันยิ่งใหญ่ คุณจึงจะหลุดพ้นจากพันธนาการกว่าสองพันปีออกมาได้”


ตระกูลทูดอร์ทราบว่าในนั้นมีวิญญาณมาร แต่กลับส่งคนเข้าไปตายเรื่อยๆ เนี่ยนะ…


ไคลน์ขมวดคิ้ว ตามด้วยการชิงกล่าวแทรกชารอน โดยเลียนเสียงของเธอได้เหมือนทุกกระเบียดนิ้ว


“แล้วทำไมถึงเพิ่งเคลื่อนไหวเอาป่านนี้”


นี่คืออีกหนึ่งพลังสำคัญของผู้ไร้หน้า การเลียนเสียงเป้าหมาย หากเคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเสียงของใคร มันสามารถเลียนแบบได้อย่างไร้จุดตำหนิ


อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มไม่สามารถเลียนเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตู หรือเสียงกัดกร่อนจิตจากพระผู้สร้างแท้จริงได้ ขอบเขตพลังจำกัดเฉพาะเสียงมนุษย์ทั่วไปเท่านั้น


ชารอนชำเลืองมองชายหนุ่ม แต่มิได้แสดงออกถึงความไม่พอใจ


ราฟเตอร์·พาวน์ไม่ตระหนักถึงความผิดปรกติ ริมฝีปากขยับกล่าวอย่างมีความหวัง


“เพราะจักรพรรดิมืดเพิ่งจะปรากฏตัว! โชคชะตาได้บอกกับผมว่า ยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ของจักรพรรดิโลหิตก็กำลังจะกลับมาแล้วเช่นกัน!”


เกี่ยวกันด้วยหรือ…? ไคลน์ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด บางที บาโรเน็ตพาวน์อาจเสียสติไปแล้วจริง ไม่ใช่แค่การแสดง


มันใช้เสียงชารอนถามอีกครั้ง


“จักรพรรดิมืด?”


“ฮะฮะ!” ราฟเตอร์·พาวน์ระเบิดเสียงหัวเราะ “ใช่แล้ว! จอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดต้องมีบางสิ่งเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิมืดตัวจริงแน่!”


หืม… แล้วทำไมเราถึงไม่รู้เรื่องนี้เลย…


ไคลน์เหน็บแนม


หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มเตัดสินใจปิดปากเงียบเนื่องจากนึกคำถามเหมาะสมไม่ออก เปิดโอกาสให้เจ้าของเสียงอย่างชารอนเป็นฝ่ายสอบปากคำเอง


แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ชารอนเองก็เงียบเช่นกัน


ฉากตรงหน้าทำให้ราฟเตอร์·พาวน์ยิ่งเกิดความหวัง


“แล้วคำตอบของคุณคือ?”


“ปฏิเสธ” ชารอนตอบห้วน


ราฟเตอร์·พาวน์พยายามข่มความผิดหวังและนึกเรียบเรียงคำพูดโน้มน้าวใหม่


แต่ทันใดนั้น ดวงตาของมันพลันเหม่อลอย ก่อนจะหันหน้าไปทางกำแพงหินใกล้เคียงและวิ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูง


บ้าจริง…!


ไคลน์และชารอนตระหนักถึงความผิดปรกติพร้อมกัน แต่ละคนมีวิธีรับมือต่างกันไป คนหนึ่งชักปืนขึ้นมาเล็ง ส่วนอีกคนฉาบหอสวดมนต์อันมืดมิดด้วยแสงสีแดงเจิดจ้า


ราฟเตอร์·พาวน์ไม่เหลียวมองใครทั้งสิ้น จุดประสงค์เดียวของมันคือการวิ่งใส่กำแพงหินและใช้หัวโขกเต็มแรง


ปึก! ปึก! ปึก!


หลังจากโขกสามครั้งด้วยเสียงหนักแน่น บริเวณกึ่งกลางหน้าผากของมันเกิดแผลเหวอะหวะ พร้อมกับการไหลนองของเลือดสดสีแดงฉาน


มันหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ดวงตาเริ่มแดงก่ำจนน่ากลัวโดยไม่ทราบสาเหตุ


ราฟเตอร์·พาวน์เลื่อนมือขวาขึ้นและใช้หลังมือปาดคราบเลือดจนชุ่มโชก


ก่อนจะใช้ปลายลิ้นเลียเลือดบนหลังมือด้วยสีหน้าเมามาย


“เลือดของพวกทูดอร์ช่างหอมหวาน… แค่ได้กลิ่นก็มีความสุขถึงเพียงนี้ หืม… ข้าสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมได้ด้วยร่างกายของเจ้านี่ แถมยังขยายขอบเขตของผนึกให้ไกลขึ้นอีกเล็กน้อย”


ขณะอยู่ในท่าเล็งปืน ไคลน์ซักถามด้วยน้ำเสียงกึ่งประหลาดใจ


“วิญญาณมารข้างใน?”


ราฟเตอร์·พาวน์ปล่อยให้เลือดสดสีแดงฉานไหลนองใบหน้า ตามด้วยการระเบิดเสียงหัวเราะอันน่าขนลุก


“ฮะฮะ! ถูกต้อง! ในคราวก่อน ข้านึกว่าเจ้าเป็นแค่ไก่อ่อนธรรมดา จึงพยายามเจ้าฝันและหลอกล่อให้ลงมาช่วย หึหึ… แต่กลับผิดคาด แท้จริงแล้วเจ้ากุมความลับไว้มากมาย”


อย่าพูดออกมาเชียว…!


ไคลน์รีบชำเลืองชารอน และพบว่าอีกฝ่ายมิได้แสดงท่าทีผิดปรกติ


“แกต้องการอะไร” ชายหนุ่มถามเถรตรง


วิญญาณมารถอนหายใจ


“ข้าเป็นเพียงคนบริสุทธิ์ผู้ตกเป็นเหยื่อความทะเยอทะยานของอลิสต้า·ทูดอร์ และด้วยขีดกำจัดของศพ ข้าจึงถูกกักขังอยู่ในนั้นมานานกว่าสองพันปีแล้ว ข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยปลดจากพันธนาการอันแสนทรมานและกลายเป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อน ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์”


เมื่อกล่าวจบ มันใช้ดวงตาแดงก่ำจ้องไปทางชารอน


“เจ้าคงเป็นวิญญาณอาฆาตจากเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์สินะ ลำบากแย่เลย เป้าหมายต่อไปคือขอบเขตของครึ่งเทพ ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้ามีสูตรโอสถ ‘หุ่นกระบอก’ แล้วหรือไม่ แต่สามารถหาให้ได้ แถมยังจะช่วยเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมอีกด้วย นี่คือรางวัลตอบแทนหากเจ้ายอมรวมมือ”


ลำดับ 4 ของเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์คือหุ่นกระบอก? ชื่อประหลาดฉิบ…ไคลน์พึมพำ


วิญญาณมารหันมาจ้องชายหนุ่ม


เมื่อกล่าวจบ วิญญาณมารบังคับให้ราฟเตอร์·พาวน์หันฝ่ามือออกมาด้านหน้า พร้อมกับสร้างม่านแสงเพื่อฉายภาพ


บนภาพฉายคือวัตถุคล้ายไพ่ทาโรต์ แต่ลวดลายไม่เหมือนไพ่ทาโรต์ทั่วไป ในตำแหน่งท้ายราชรถซึ่งควรเป็นของกษัตริย์ กลับเป็นภาพนักบวชชายสวมชุดคลุมสีแดงสด


และใบหน้าของนักบวชเหมือนกับ


โรซายล์·กุสตาฟ…ไพ่เย้ยเทพ!


ไคลน์รีบเหลือบมองมุมไพ่ตามสัญชาตญาณ แสงประกายคล้ายดวงดาวตรงมุมเริ่มเรียงตัวกับเป็นข้อความหนึ่งบรรทัด


“เจ้าก็จะได้รับรางวัลเช่นกัน ถือเป็นวัตถุมูลค่ามหาศาลในเชิงศาสตร์เร้นลับ ด้วยเหตุผลบางประการ เจ้าของเดิมของมัน ถูกดึงดูดให้เข้าไปในอาคารใต้ดินและกลายเป็นศพเคียงข้างทายาทของพวกทูดอร์ หน้าตามันเป็นเช่นนี้ ลำดับ 0 นักบวชสีชาด”


……………………


ราชันเร้นลับ 457 : ข้อมูลจากวิญญาณมาร

โดย

Ink Stone_Fantasy

ลำดับ 0 นักบวชสีชาด…


เป็นของเส้นทางไหน?


เรามีโอกาสได้ทราบชื่อของโอสถลำดับ 0 อีกแล้ว…ในกรณีวิญญาณมารไม่ได้โกหก…


มันบอกว่า เจ้าของไพ่นักบวชสีชาดคนก่อนถูกแรงดึงดูดบางอย่าง นำพาให้เข้ามาในอาคารใต้ดินจนถึงแก่ความตาย…นี่คงเป็นกฎการดึงดูดระหว่างพลังพิเศษในเส้นทางเดียวกันใช่ไหม? ไม่สิ จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อผู้วิเศษกลายเป็นลำดับสูง หากถือไพ่เย้ยเทพเส้นทางเดียวกันไว้ในมือ จะสามารถสัมผัสถึง ‘วัตถุดิบ’ สำหรับโอสถถัดไปได้อย่างเลือนราง…หรือในอีกความหมายหนึ่ง ภายในห้องนั้น ห้องซึ่งวิญญาณมารถูกผนึกไว้ มีตะกอนพลังลำดับสูงของเส้นทางเดียวกับนักบวชสีชาดอยู่…บางที อาจเป็นตะกอนพลังจากศพวิญญาณมารเอง…


…ไม่ผิดแน่ การ ‘หยั่งรู้’ ถึงตะกอนพลังต้องเป็นผลจากความช่วยเหลือของไพ่เย้ยเทพแน่นอน โดยอาศัยหลักการของกฎการดึงดูดระหว่างพลังพิเศษในเส้นทางเดียวกัน…


ภายในไม่กี่วินาที ไคลน์ครุ่นคิดหลายประเด็นในสมอง จึงค่อยหันไปมองชารอนเพื่อสำรวจว่าเธอมีท่าทีตอบสนองเป็นเช่นไร ทราบเกี่ยวกับไพ่เย้ยเทพและลำดับ 0 หรือไม่


อย่างไรก็ตาม สีหน้าชารอนมิได้แปรเปลี่ยน ใบหน้าขาวซีดกึ่งโปร่งใสยังคงเรียบเฉย ประหนึ่งว่าเมื่อครู่ วิญญาณมารเพียงฉายภาพไพ่ทาโรต์แสนธรรมดาให้ดู


แต่เราคงคาดเดาอะไรไม่ได้… ในกรณีของคนปรกติ เมื่อได้ยินเกี่ยวกับลำดับ 0 เป็นครั้งแรก คงผุดคำว่า ‘คืออะไร’ อยู่ในหัวแน่นอน จะไม่มีการแสดงออกทางสีหน้าหรือแววตา… ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เส้นทางผู้ชม เราคงไม่มีวันตีความการตอบสนองของชารอนออก…


ไคลน์ถอนหายใจ


เมื่อเห็นทั้งคู่เงียบพร้อมกัน วิญญาณมารจ้องไคลน์สักพัก ก่อนจะสลายภาพฉายของไพ่นักบวชสีชาดไป


มันกลับไปมองชารอนด้วยดวงตาแดงก่ำ จากนั้นก็หัวเราะและกล่าวเสียงแหบพร่า


“หรือถ้าเจ้าไม่ต้องการเป็นครึ่งเทพของเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์ ข้ายังมีสูตรโอสถลำดับ 4 ของเส้นทางนรกให้เลือก เมื่อนำแรงกระหายท่วมท้นไปรวมกับจิตฆ่าฟันอันรุนแรงยากควบคุม นับว่าสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์แบบเลยไม่ใช่หรือ”


ชารอนเพิกเฉยการโน้มน้าวของวิญญาณมาร เพียงหันมาจ้องไคลน์ รอให้ชายหนุ่มเป็นฝ่ายมอบคำตอบ


จากคำพูดของวิญญาณมารเมื่อครู่ เราพอจะเดาได้ว่า เส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์และเส้นทางนรกสามารถสับเปลี่ยนกันได้ในลำดับสูง… เข้าใจแล้วว่าทำไม โรงเรียนกุหลาบและนิกายบูชาโลหิตถึงได้มีการแสดงออกทางภายนอกคล้ายคลึงกันนัก…


หลังจากก้มหน้าตรึกตรองสองวินาที ไคลน์หันไปจ้องราฟเตอร์·พาวน์ชุ่มเลือด


“แล้วจะปลดผนึกแกได้ยังไง”


วิญญาณมารหัวเราะ


“ไม่ซับซ้อน จงตามหาทายาทสายเลือดแท้ของตระกูลเซารอน ไอน์ฮอร์น และเมดีซี จากนั้นก็นำเลือดของพวกมันตระกูลละสิบมิลลิลิตร เกินได้เล็กน้อย แต่ห้ามขาด ผสมเข้ากับน้ำมนต์และราดลงบนพื้นในห้องของข้า เมื่อจัดการเสร็จ ผนึกก็จะคลาย”


นี่มันไม่ง่ายและประหลาดไปหน่อยหรือ… ฟังดูไม่สมเหตุสมผล ถึงจะเป็นในแง่ของศาสตร์เร้นลับก็ตาม… ทำไมต้องเป็นทายาทสายเลือดแท้ของตระกูลเซารอน ไอน์ฮอร์น และเมดีซี? ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลสุดท้ายมาก่อน เซารอนคือราชวงศ์อินทิส และไอน์ฮอร์นคือราชวงศ์จักรวรรดิฟุซัค ทั้งสองเคยเป็นตระกูลเทวทูตจากยุคสมัย 4 คอยรับใช้ราชวงศ์ทรันซอสต์ รวมถึงยังเป็นผู้ชนะสุดท้ายของสงครามแห่งยุคสมัย 4 แต่ราชวงศ์กาสตีญ่ากับออกัสตัสก็เป็นผู้ชนะเหมือนกันไม่ใช่หรือ?


จริงสิ… เซารอนกับไอน์ฮอร์นยังจุดเชื่อมโยงกันอีกหนึ่งข้อ พวกมันต่างก็ครอบครองเส้นทาง ‘นักล่า’ เหมือนกัน!


เป็นเหตุผลให้ถูกเลือกสินะ… หรือว่า…! เส้นทางนักล่าก็คือเส้นทางนักบวชสีชาด?


ขณะลองคาดเดา ไคลน์ไม่ปกปิดสีหน้าเคลือบแคลง


“ฉันรู้จักเซารอนกับไอน์ฮอร์น แต่ไม่เคยได้ยินชื่อเมดีซีมาก่อน”


“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น พวกมันชื่นชอบการซ่อนตัวในเงามืด เป็นตระกูลเทวทูตเสื่อมทราม แอบก่อตั้งองค์กรลับและคอยบงการโลกอยู่เบื้องหลัง” วิญญาณมารใช้น้ำเสียงเหยียดหยัน “องค์กรดังกล่าวมีชื่อว่า…


“กุหลาบไถ่บาป”


ทำไมเราถึงได้คุ้นหูนัก…


นึกออกแล้ว เดอะซันน้อยเคยเล่าว่า ภายในซากวิหารของพระผู้สร้างแท้จริงซึ่งทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์เพิ่งค้นพบเป็นแห่งล่าสุด ตรงมุมจิตรกรรมฝาผนังด้านในมีข้อความ ‘กุหลาบไถ่บาป’ เขียนไว้ ในตอนแรกถูกสันนิษฐานกันว่าเป็นชื่อของเมือง หรือไม่ก็ชื่อจิตรกร… แต่ความจริงแล้วเป็นชื่อขององค์กรลับซึ่งก่อตั้งโดยตระกูลเทวทูตเสื่อมทรามเองหรือ…


พวกมันเชื่อในพระผู้สร้างแท้จริง? มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับชุมนุมแสงเหนือ?


หลังจากครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ตัดสินใจถาม


“เกี่ยวกับพระผู้สร้างแท้จริง?”


วิญญาณมารพลันเงียบงัน ก่อนจะซักถามเสียงต่ำ


“เจ้ารู้จักกุหลาบไถ่บาป?”


“เคยบังเอิญได้ยินชื่อ” ไคลน์เล่าความจริง


หลังจากครุ่นคิดสักพัก วิญญาณมารกล่าวด้วยรอยยิ้มแฝงเลศนัย


“คาดไม่ถึงเลยว่า เจ้าจะซ่อนความลับไว้มากขนาดนี้”


เลิกพูดเรื่องนี้สักทีได้ไหม…


ขณะพยายามยับยั้งตัวเองไม่ให้หันไปมองชารอน ไคลน์จำเป็นต้องปั้นหน้าเคร่งขรึม


วิญญาณมารมองสลับระหว่างชายหญิงพลางหัวเราะ


“กุหลายไถ่บาปเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับเหตุการณ์กำเนิดพระผู้สร้างแท้จริง พวกเจ้าต้องคาดไม่ถึงแน่ว่าเคยมีคนใหญ่คนโตบางส่วนเป็นสมาชิกองค์กร แต่ตอนนี้พวกมันถอนตัวออกมานานแล้ว หากไล่ตามเบาะแสของพระผู้สร้างแท้จริงไปเรื่อยๆ สักวันเจ้าต้องได้พบกับกุหลาบไถ่บาปแน่นอน”


ฟังดูคล้ายสภานักสิทธิ์แห่งสนธยา แต่เป็นเหรียญคนละด้านกัน… ไคลน์คาดเดา


เมื่อเห็นว่าวิญญาณมารไม่เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม ชายหนุ่มอมยิ้มแฝงเลศนัย


“แกคิดว่าพลังอย่างพวกเราจะทำเรื่องใหญ่ขนาดนั้นสำเร็จจริงหรือ?”


วิญญาณมารเงียบงันราวสามวินาที


“หรือบางที พวกเจ้าอาจลองเสี่ยงโชคในหมู่บ้านบินซีดูก็ได้”


“หมู่บ้านบินซี? อยู่แถวไหน?”


แต่ไม่ว่าไคลน์จะยิงคำถามสักเท่าไร วิญญาณมารก็ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลมากกว่านี้


เมื่อไม่เห็นความคืบหน้า ชายหนุ่มตัดสินใจเปลี่ยนคำถาม


“ท่ามกลางยุคสมัยที่สี่ จักรพรรดิมืด จักรพรรดิโลหิต และจักรพรรดิรัตติกาลต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งลำดับ 0 ใช่ไหม?”


หลังจากได้ยินคำถาม วิญญาณมารออกอาการชะงักชัดเจน ก่อนจะยอมมอบคำตอบด้วยรอยยิ้ม


“ตอนแรกเคยเป็นเช่นนั้น แต่ทุกสิ่งเปลี่ยนไปหลังจากอลิสต้า·ทูดอร์กลายเป็นบ้า”


มันถามเมื่อความแน่ใจ


วิญญาณมารพยักหน้ารับ


“อลิสต้า·ทูดอร์? หมายถึงจักรพรรดิโลหิต? “ถูกต้อง โลกเคยมีจักรพรรดิโลหิตเพียงผู้เดียวเท่านั้น และชื่อของมันคือ ไอ้คนวิปลาส อลิสต้า·ทูดอร์ หึหึ…ทายาทของพวกทูดอร์ล้วนสืบทอดความบ้าคลั่งและนิสัยระยำต่ำช้าของมันมาด้วย ทั้งเจ้าเล่ห์ ขี้ระแวง คดโกง และระมัดระวัง แต่ในบางสถานการณ์กลับโง่เขลาจนน่าทึ่งได้เช่นกัน” วิญญาณมารใช้นิ้วชี้หน้าราฟเตอร์·พาวน์พลางเล่าต่อ “เจ้านี่คือตัวอย่าง แต่เมื่อครู่คงได้รับบทเรียนไปแล้ว หลังจากนี้คงทำตัวสงบเสงี่ยมไปอีกพักใหญ่…ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าเจ้านี่เป็นทายาททูดอร์คนสุดท้ายจริงหรือไม่ เพราะงั้นอย่าเพิ่งฆ่ามันทิ้งเสีย ยังมีสมบัติมูลค่ามหาศาลของอลิสต้าอีกหลายชิ้น ทั้งหมดจำเป็นต้องใช้โลหิตของทายาททูดอร์สายเลือดแท้ในการเข้าถึง”


วิญญาณมารเว้นวรรค พลางยิ้ม


“เอาแบบนี้เป็นไง ถ้าเจ้าปลดผนึกสำเร็จ ข้าจะเล่าเรื่องราวสมัยยุคสมัยที่สี่จากประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟัง ไม่สิ… พูดให้ถูกคือ ข้าจะเล่า ‘ประวัติศาสตร์’ ของยุคสมัยที่สี่ในมุมมองของประสบการณ์ส่วนตัว”


เมื่อสิ้นเสียง ดวงตาราฟเตอร์·พาวน์พลันอับแสงกะทันหัน


ร่างกายของมันชักกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะล้มลงไปนอนกองบนพื้นและแน่นิ่ง


หลังจากยืนจ้องสักพัก ชารอนขยับตัวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว


ฟ้าวววว!


สายลมกระโชกเกรี้ยวกราดเกิดขึ้นจากความว่างเปล่า หอบพัดพาเศษดินหินจำนวนมากลอยไปกลบทางเข้าอุโมงค์ของราฟเตอร์·พาวน์จนมิดชิด


เมื่อจัดการเสร็จ ท่ามกลางความมืด ไคลน์กับชารอนเดินออกจากถนนวิลเลียมส์และอ้อมไปอีกหนึ่งบล็อก


ขณะชายหนุ่มเช่ารถม้าเพื่อเดินทางกลับ ร่างกายกึ่งโปร่งใสของชารอนปรากฏบนเบาะห้องโดยสารฝั่งตรงข้ามเช่นเคย


เธอจ้องมองชายหนุ่มไม่กะพริบตาพร้อมกับซักถามเสียงล่องลอย


“คุณจะช่วยมันปลดผนึกไหม”


“ไม่” ไคลน์ไม่ลังเล “แล้วคุณล่ะ”


ชารอนส่ายหัว เป็นนัยว่าเธอเองก็ไม่


ไคลน์ถอนหายใจและยิ้ม


“เจ้านั่นตายมานานกว่าสองพันปีแล้ว ตอนนี้เป็นเพียงวิญญาณมารชั่วร้าย จุดจบเดียวคือการถูกส่งกลับโลกวิญญาณเท่านั้น แผนของผมก็คือ ไว้ผมกลายเป็นผู้วิเศษลำดับสูงเมื่อไร พวกเราจะร่วมมือกันจัดการมัน ให้มันได้พบกับอิสระอันแท้จริง”


แม้ว่าอีกฝ่ายจะหลอกล่อด้วยประวัติศาสตร์ยุคสมัยที่สี่ ไพ่นักบวชสีชาด และของรางวัลน่าสนใจอีกมาก แต่ไคลน์ก็ยังไม่มั่นใจว่าวิญญาณมารมีเจตนาดี


ชายหนุ่มยังไม่ลืมภาพอันน่าสยดสยองของซากศพบนเก้าอี้พนักสูง ศพดังกล่าวคือวิญญาณมาร กำลังนั่งในสภาพก้มหน้า และเมื่อศพผงกศีรษะขึ้น ใบหน้าของมันเผยให้เห็นความเน่าเปื่อยผุพังอันน่าสะพรึง


ชารอนพยักหน้ารับแผ่วเบาจนแทบไม่สังเกตเห็น เป็นอากัปกิริยา ‘เห็นด้วย’ ในแบบประหยัดพลังงาน


คนสวย คุณจะไม่ถามสักหน่อยหรือ ว่าผมมีโอกาสกลายเป็นผู้วิเศษลำดับสูงมากน้อยเพียงใด และไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?


ไคลน์รำพัน


โดยไม่คิดจมอยู่กับบทสนทนาเดิมนาน ชายหนุ่มเปลี่ยนคำถาม


“ลำดับ 4 ถัดจากวิญญาณอาฆาตคือหุ่นกระบอกจริงใช่ไหม?”


ชารอนหงึก


“คุณมีสูตรโอสถและวัตถุดิบบ้างหรือยัง”


หลังจากครุ่นคิด ไคลน์ถามอย่างเป็นห่วง


ชารอนส่ายหน้าครึ่งจังหวะ


ชายหนุ่มยิ้มรับ


“ผมจะช่วยสอบถามให้ในชุมนุมของผม”


ชารอนไม่เปลี่ยนสีหน้าหรือโทนเสียง


“ขอบคุณ”


ขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง ไคลน์พึมพำ


“ผมจะลงใต้สักพัก เป็นการลาพักร้อน”


มันยิ้มและกล่าวต่อไป แบบเดียวกับเมื่อครั้งสนทนากับนักกฎหมายเยอร์เก้น


“ขออวยพรปีใหม่ล่วงหน้าให้คุณและมาริค สุขสันต์วันปีใหม่”


หลังจากนิ่งไปสองวินาที ชารอนเม้มปากพร้อมกับเปล่งเสียงล่องลอย


“สุขสันต์วันปีใหม่”


หญิงสาวหายไปจากรถม้าโดยสมบูรณ์



เมื่อได้เห็นเด็กชายตัวเล็กหลังแท่นบูชา เมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งแต่อ่อนเยาว์ เดอร์ริครู้สึกราวกับตนกำลังเผชิญหน้ากับอสุรกายชั่วร้ายในตำนาน มันเกือบหักห้ามใจตัวเองไม่อยู่ และสับขวานเฮอร์ริเคนเข้าจามหน้าอีกฝ่าย


จากประสบการณ์ตลอดชีวิตของเดอร์ริค มันเชื่อว่า หากมีใครสามารถดำรงชีวิตในความมืดได้เป็นเวลานาน มันผู้นั้นย่อมไม่มีทางเป็นมนุษย์ หรือต่อให้ก่อนหน้านั้นเคยเป็น แต่ก็คงไม่ใช่อีกต่อไปหลังจากถูกความมืดกัดกร่อนอย่างต่อเนื่อง!


ดวงตาของนักล่าปีศาจ โคลิน สว่างขึ้นเล็กน้อย มือขวายังกำดาบแน่นถนัด ริมฝีปากขยับเปล่งเสียงซักถาม


“เจ้ามาทำอะไรในนี้”


หลังจากได้ยินคำถาม เด็กชายผมเหลืองอ่อนผู้เรียกตัวเองว่าแจ็ค เริ่มทำสีหน้าเจ็บปวดพลางมอบคำตอบ


“พวกเรากำลังตามหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์”


“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์?”


โคลินทวนคำ


“ถูกต้อง” ขณะกล่าว แจ็คหันไปมองเทวรูปของชายห้อยหัวบนกางเขนดำ “พวกเขาบอกกับผมว่า ถ้าเดินตามทิศทางการมองของรูปปั้นไปเรื่อยๆ ผมจะได้พบกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์”


“พวกเขา…ยังมีพวกพ้องคนอื่นอีก?”


โคลินรีบกวาดสายมองรอบตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับมาถาม


“แล้วพวกเขาอยู่ไหน”


เมื่อได้ยินคำถาม สีหน้าแววตาของเด็กชายแจ็คพลันเหม่อลอย


ทันใดนั้น แจ็คเลื่อนมือขึ้นมาจับคอตัวเองพร้อมกับกล่าวด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวกึ่งไม่ได้สติ


“ผมหิว…หิวจังเลย…”


……………………


ราชันเร้นลับ 458 : ต้นตระกูลแวมไพร์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“หิวจังเลย…”


ขณะกล่าวด้วยเสียงล่องลอย แจ็คเงยหน้ามองโจชัวผู้กำลังสวมถุงมือสีแดงเข้ม


“หิว…”


ทันใดนั้น เด็กชายพลันอ้าปากกว้างฉีกไปถึงใบหู เผยให้เห็นฟันซี่ขาวเรียงราย และน้ำลายสีใสเหนียวข้นไหลหยดจากมุมปาก


เพียงพริบตา แจ็คกระโจนใส่โจชัวด้วยความเร็วสุดน่าทึ่ง เร็วเสียจนเกิดเป็นภาพตกค้างบนพื้นหิน


แม้โจชัวจะตื่นตัวตลอดเวลา แต่ก็ยังตอบสนองการจู่โจมซึ่งหน้าไม่ทัน


ขณะโจชัวยังไม่ทันเคลื่อนไหว เด็กชายแจ็คก็กระโจนจ่อปลายจมูกเรียบร้อยแล้ว


ตึง!


ห่างจากโจชัวไปเล็กน้อย เด็กชายผมสีเหลืองพุ่งกระแทกกับกำแพงล่องหนเสียงดัง


แจ็คยังคงลอยตัวค้างกลางอากาศ ออร่าสีดำกึ่งแดงไหลซึมออกจากร่างอย่างท่วมท้น พวกมันพยายามไหลซึมกัดกร่อนกำแพงล่องหนตรงหน้า


ขณะเดียวกัน นักล่าปีศาจโคลินผู้ยืนอยู่ด้านหลังโจชัวและเดอร์ริค ทำการคุกเข่าหนึ่งข้างและเสียบดาบอาบขี้ผึ้งปักลงบนพื้นหิน


ไม่กี่อึดใจถัดมา วิวทิวทัศน์รอบแท่นบูชาพลันสว่างไสวประหนึ่งแสงอาทิตย์รุ่นอรุณ


โคลินดึงดาบกลับ พร้อมกับแยกร่างเป็นภาพมายาจำนวนหลายร้อยจนเต็มห้องแท่นบูชาซึ่งกำลังส่องสว่าง


ทุกร่างมายาตั้งท่าเตรียมแทง คมดาบจำนวนมหาศาลเริ่มอาบแสงรุ่งอรุณจนสุกสว่างแสบตา


ฉึก! ฉึก! ฉึก!


ดาบแสงรุ่งอรุณพุ่งเสียบร่างแจ็คจากรอบทิศทางอย่างไร้ความปรานี


ภายใต้แสงแรกแย้มของวันใหม่ ร่างกายสีดำกึ่งแดงมลายหายไปการกระหน่ำโจมตีของพายุดาบแสง


ห้องแท่นบูชาใต้ดินถูกปกคลุมด้วยแสงเจิดจ้าเป็นเวลานาน แสบตาเสียจนเดอร์ริคอดทนจ้องต่อไปไม่ไหว จำเป็นต้องหรี่ตาลง


ก่อนจะปิดสนิท



เมื่อร่างกายกระตุกตื่นจากภวังค์ เด็กหนุ่มรีบกวาดสายตามองไปรอบตัวจนพบกับกองไฟและค่ายพักชั่วคราวของหน่วยสำรวจ พวกพ้องหลายคนกำลังนั่งล้อมกองไฟ บางส่วนกำลังยืนเวรยาม


นักล่าปีศาจโคลิน ผู้กำลังนั่งขัดสมาธิข้างเสาหินต้นใหญ่ ลืมตาขึ้นและออกคำสั่งด้วยเสียงทุ้ม


“เราจะเริ่มออกเดินทางในอีกห้าสิบฟ้าผ่า”


ได้ยินเช่นนั้น เดอร์ริครีบแหงนมองด้านบน และพบว่าสายฟ้ามีอัตราการผ่าค่อนข้างต่ำ ความมืดมิดยังคงปกคลุมดินแดนต้องคำสาปแห่งนี้เช่นเคย


เด็กหนุ่มจินตนาการถึงเมืองข้างหน้าและวิหารของพระผู้สร้างเสื่อมทรามภายในเมืองดังกล่าว ก่อนจะเริ่มเกิดความประหม่า


หลังจากใช้เวลาทำใจสักพักจนเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ เดอร์ริครีบกินอาหารและเตรียมตัวเข้าสู่ภาวะพร้อมรบตลอดเวลา


ในวิหารจะมีอะไรบ้างนะ…


เด็กหนุ่มเดินไปปะปนกับทีมสำรวจโดยถือขวานเฮอร์ริเคนไว้ในมือขวา


ภายในค่ายพัก ตะเกียงหนังสัตว์ไส้เทียนไขจำนวนสี่ดวงถูกจุดอย่างพร้อมเพรียง เป็นสัญญาณการเริ่มต้นภารกิจสำรวจ



15 ถนนมินส์


ไคลน์เพิ่มความร้อนให้กับอ่างน้ำ รอจนอุณหภูมิพอเหมาะจึงค่อยทิ้งตัวลงอาบ


หลังจากได้ชำระล้างร่างกายจนรู้สึกเบาสบาย ชายหนุ่มเดินถอยหลังทวนเข็มสี่ก้าว และส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกเพื่อทำนายถามเกี่ยวกับวิญญาณมาร


ท่ามกลางพระราชวังโบราณ ไคลน์เอนกายพิงเก้าอี้พร้อมกับก้มหนึ่งตรึกตรองเป็นเวลานาน มันต้องหาข้อสรุปให้ตัวเองว่า ตนควรเลือกใช้เทคนิคทำนายประเภทใด และเขียนประโยคทำนายว่าอย่างไร แน่นอน เรื่องนี้ต้องพิจารณาอย่างละเอียด เพราะต้องกำหนดให้อยู่ในกรอบความเป็นไปได้ทางศาสตร์เร้นลับ


ไคลน์เงียบงันหลายนาที ก่อนจะโน้มตัวมาด้านหน้าและเขียนประโยคทำนาย :


“วิญญาณมารในซากปรักหักพัง ได้ปิดบังเจตนามุ่งร้ายต่อเราและชารอน”


หลังจากปลดจี้บุษราคัมจากข้อมือซ้าย ชายหนุ่มใช้มือข้างเดียวกันกำโซ่และปล่อยให้ลูกตุ้มวิญญาณลอยเหนือกระดาษประโยคทำนายเพียงเล็กน้อย ตามด้วยการเข้าฌานและสะกดจิตตัวเองให้หลับ


มันพึมพำกับตัวเองสักพัก ก่อนจะลืมตาและสังเกตผล


จี้บุษราคัม…


กำลังหมุนตามเข็มนาฬิกาอย่างบ้าคลั่ง!


หมายความว่า เจตนาร้ายจากวิญญาณมาร สูงกว่าจินตนาการของไคลน์ไปมาก!


แต่ขณะเผชิญหน้ากัน เรากลับไม่ตระหนักถึงจิตมุ่งร้ายแม้แต่น้อย…วิญญาณมารตนนั้นคงมีลำดับสูงและสามารถขัดขวางพลังทำนายได้ประมาณหนึ่ง…หึหึ แต่มันคงคาดไม่ถึงแน่ ว่าหนึ่งในพวกเราจะฝึก ‘การข่มแรงกระหาย’ มานานหลายปี จึงไม่หลงมัวเมาไปกับรางวัลตอนแทบมหาศาล ส่วนอีกคนก็เคยผ่านประสบการณ์ ‘ขอหนังเสือจากเสือ’ มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน…


ถอนหายใจหนึ่งครั้ง ไคลน์ส่งตัวเองกลับโลกความจริงและทิ้งตัวลงบนเตียงเย็นเฉียบ


น่าเสียดาย ความร้อนจากเข็มกลัดสุริยันเป็นเพียงภาพมายาทางใจ ไม่ใช่ความอบอุ่นจริงทางร่างกาย…


ก่อนจะหลับสนิท ไคลน์ตัดพ้อเสียงเศร้า



ย่านทิศใต้ของสะพาน โบสถ์ฤดูเก็บเกี่ยว


หลังจากเช็ดทำความสะอาดเก้าอี้ตัวสุดท้ายภายในวิหารเสร็จ เอ็มลิน·ไวท์เดินตรงไปหาหลวงพ่อยูทรอฟสกี้อย่างกระตือรือร้น


“ข้าทำงานของวันนี้เสร็จแล้ว!”


ตาแก่ อย่าได้มีความคิดแผลงๆ อย่างการให้ข้าคัดลอกพระคัมภีร์เด็ดขาด!


เอ็มลินสวดภาวนาในใจ


ช่างน่าขัน เป้าหมายการวิงวอนของแวมไพร์หนุ่มได้กลายเป็นพระแม่ธรณีแทนดวงจันทร์ไปแล้วโดยไม่รู้ตัว


หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ก้มมอง ด้วยขนาดของร่างกาย แวมไพร์เอ็มลินจึงดูเหมือนกับเด็ก


บิชอปร่างยักษ์เผยรอยยิ้ม


“พักหลังมานี้ ระหว่างการทำกิจกรรมอุทิศตนด้วยความมุ่งมั่นและสำนึกในบุญคุณของพระแม่ ผมสังเกตเห็นว่าคุณเริ่มตระหนักถึงความผ่อนคลาย จิตใจเริ่มสงบนิ่งและสุขุม ฉะนั้น จงกลับไปเถิด กลับไปซึมซับความสุขอันแท้จริง จากการเต้นของชีพจรแห่งชีวิตอันเกิดจากกิจกรรมข้างต้น”


“ข้ามิได้รู้สึกเช่นนั้นสักนิด!” เอ็มลินปฏิเสธขึงขัง


โดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม หลวงพ่อยูทรอฟสกี้เพียงจ้องมองเอ็มลินด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ตามด้วยการนั่งลงและเริ่มการสวดมนต์ยามราตรี


ริมฝีปากแวมไพร์หนุ่มพลันสั่นกระตุก คล้ายกลับมันต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกลืนลงคอ และเดินออกจากวิหารฤดูเก็บเกี่ยวโดยปิดประตูตามหลัง


เมื่อกลับถึงบ้าน เอ็มลินพบว่าบ้านของตนมืดสนิท พ่อและแม่ปิดไฟออกไปข้างนอก


มันเริ่มฉุกคิดได้ว่า ค่ำคืนนี้มีงานเลี้ยงรวมตัวของผีดูดเลือดภายในกรุงเบ็คลันด์


“พวกไร้ยางอาย ในฐานะเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดอันสูงส่ง พวกเราควรนอนในโลงอยู่บ้านอย่างสงบสุขมิใช่หรือ แล้วทำไมถึงคิดเลียนแบบงานเลี้ยงอันน่ารังเกียจของมนุษย์? เลียนแบบกระทั่งการเต้นรำอันน่าขยะแขยง!”


เอ็มลินรำพันอย่างดูแคลน แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียง แวมไพร์หนุ่มพลันใช้มือกุมท้องพร้อมกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่


มันตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงดังกล่าว


“ตระกูลโอดราช่างน่าอิจฉา พวกเขามีเพื่อนสนิทเป็นมนุษย์ เป็นเจ้าของโรงพยาบาลใหญ่ในเบ็คลันด์หลายแห่ง สามารถดื่มเลือดสดได้ตลอดเวลา ด้วยจำนวนมากเท่าใดก็ได้!”


เอ็มลินสวมหมวกทรงสูงเดินออกจากบ้าน



เขตตะวันตก คฤหาสน์สว่างไสวแห่งหนึ่ง


หลังจากหยิบแก้วบรรจุของเหลวสีแดงสด เอ็มลินรีบยกซดอย่างมูมมาม


ถูกคัดสรรมาอย่างดี…แวมไพร์หนุ่มหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งพลางสรรเสริญจากก้นบึ้งหัวใจ


ณ เวลานี้ ชายหญิงหน้าตาดีหลายคู่กำลังเต้นรำไปบนลานกว้างท่ามกลางกลางดนตรีแสนโรแมนติก บางคู่หมุนตัวอย่างคล่องแคล่ว บางคู่เดินเข้าหากันอย่างไม่รีบร้อน


“ไร้สาระชะมัด…”


เอ็มลินกำลังยืนริมรั้วบนชั้นสอง สายตาจ้องมองลงมายังกลุ่มพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์


ในฐานะเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของโลก กรุงเบ็คลันด์ย่อมมีประชากรแวมไพร์เป็นจำนวนมหาศาล ทุกตนล้วนแฝงตัวใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์อย่างกลมกลืนและสันติ


สำหรับพวกแวมไพร์กระหายเลือดเกินพอดีและไม่รู้จักควบคุมตัวเอง พวกมันจะถูกส่งไปอยู่ในปราสาทลึก ห่างไกลชุมชน หรือในกรณีบางรายซึ่งเกินเยียวยา ก็จะถูกเชือดทิ้งเพื่อไม่ให้เหยี่ยวราตรีหรือหน่วยพิเศษตามสืบจนสาวถึงเบาะแสสำคัญ


ยิ่งดึกเท่าไร งานเลี้ยงแวมไพร์ก็ยิ่งมีชีวิตชีวามากขึ้นทุกขณะ แวมไพร์หนุ่มจ้องมองเหล่าพี่น้องกำลังเต้นรำ พลางตระหนักว่าตนไม่มีสิ่งใดเหมือนกับพวกเขาเหล่านี้เลย


ทันใดนั้น เจ้าของคฤหาสน์และงานเลี้ยงหรูหรา คาซีมี·โอดรา เดินเข้ามาหาเอ็มลินพร้อมกับแก้วไวน์ในมือ


“ชอบ ‘ไวน์’ ในค่ำคืนนี้ไหม”


“ข้าชอบมาก เจ้าของเลือดอายุยังน้อย สัมผัสได้ถึงพลังงานอันเปี่ยมล้น” เอ็มลินยืนตัวตรงพลางกล่าวด้วยมาดสง่างาม


จากรูปลักษณ์ภายนอก คาซีมี·โอดราคือชายวัยกลางคนบุคลิกอบอุ่น แต่เอ็มลินทราบเป็นอย่างดีว่า แวมไพร์อาวุโสตนนี้มีอายุไม่ต่ำกว่าสองร้อยปี ครั้งหนึ่งเคยอาศัยในอินทิสภายใต้การปกครองของจักรพรรดิโรซายล์ แต่จำเป็นต้องย้ายเพราะ ‘อายุยืน’ เกินไป ไม่อย่างนั้นอาจตกเป็นเป้าความสงสัยจากหน่วยพิเศษ


เมื่อได้ยินคำชมจากเอ็มลิน คาซีมียิ้ม


“กล่าวได้ถูกต้อง เจ้าของเลือดเป็นหญิงสาวผู้ถูกหัวขโมยแทงด้วยมีดจนอาการสาหัส แต่โชคยังดี หล่อนมาถึงมือข้าทันเวลา จึงรอดชีวิตมาได้โดยมีสิ่งแลกเปลี่ยนเล็กน้อย เจ้าจะลองชิมไวน์ตรงนั้นด้วยก็ได้ รวมถึงนั่นด้วย แก้วนี้มาจากไบลัม แก้วนี้มาจากเฟเนพ็อต รสชาติแตกต่างกันพอสมควร”


“เฟเนพ็อต? โอ้พระแม่! มนุษย์ในอาณาจักรนั่นชื่นชอบการกินเครื่องเทศเผ็ดร้อนเป็นชีวิตจิตใจ เลือดของพวกมันจึงมีรสชาติเผ็ดจนแสบท้อง พระแม่จงเจริญ…” ขณะกล่าว สีหน้าเอ็มลินพลันขาวซีด แววตาเผยความหวาดผวาสุดขีด


มุมปากคาซีมีเริ่มกระตุก แต่มันก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไร


ท่ามกลางบรรยากาศกระอักกระอ่วน คาซีมี·โอดรากระแอมในลำคอ


“เอ็มลิน เจ้าแค่คิดไปเอง… ช่างเถอะ ท่านปู่ของข้าอยากพบเจ้า”


“ปู่ของท่าน?” เอ็มลินผงะ ตามด้วยการซักถามอย่างประหลาดใจ


“ลอร์ดนีบาส?”


นีบาส·โอดราคือแวมไพร์ทรงพลังผู้ดำรงชีวิตมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สี่ แต่กาลเวลาได้กัดกร่อนร่างกายจนต้องนอนในโลงศพพิเศษตลอดเวลา


คาซีมีพยักหน้า


“ถูกต้อง”


เมื่อกล่าวจบ มันหันหลังและเดินไปทางบันไดทันทีโดยไม่กลัวว่าเอ็มลินจะปฏิเสธ


แวมไพร์หนุ่มเดินตามติด สมองกำลังว้าวุ่นกระสับกระส่าย พยายามหาคำตอบว่า ทำไมแวมไพร์ทรงพลังและเก่าแก่ถึงต้องการพบตน


หรือว่าพวกเขาเริ่มกังวลถึงศักดิ์ศรีของแวมไพร์ และมองว่าปัญหาของเราเป็นเรื่องเร่งด่วน จึงตัดสินใจรบกวนให้ท่านลอร์ดช่วยขจัดการชี้นำทางใจจากหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ด้วยตัวเอง?


ขณะเดิน เอ็มลินเริ่มพบแสงแห่งความหวัง


มันตามอีกฝ่ายลงบันไดไปยังชั้นใต้ดิน ผ่านประตูลับอีกหลายบาน จนกระทั่งถึงห้องโถงสีเทาขนาดมหึมา


ใจกลางโถงมีโลงศพขนาดใหญ่และดูหนัก ผิวโลงทำจากเหล็กดำคุณภาพสูง สลักอักขระเวทมนตร์และลวดลายโบราณไว้มากมาย


หลังจากคาซีมี·โอดรารายงานการมาถึงของเอ็มลิน เสียงแหบพร่าและแก่ชราดังเล็ดลอดจากโลงศพ


“เอ็มลิน·ไวท์ ทราบหรือไม่ว่า ข้าเรียกเจ้าเข้าพบด้วยเหตุอันใด”


“ถึงลอร์ดนีบาสผู้ยิ่งใหญ่ ตัวข้าผู้ต่ำต้อย เอ็มลิน·ไวท์ คิดว่าท่านต้องการช่วยข้าขจัดการชี้นำทางจิตใจ” เอ็มลินตอบโดยไม่ลังเล


ความเงียบงันพลันปกคลุมห้องโถง จนกระทั่งผ่านไปสักพัก นีบาส·โอดรา ผู้กำลังนอนในโลงใหญ่ หัวเราะแผ่วเบาและกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง


“นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ไม่ข้ามิได้ลงมือเอง ข้าตื่นจากภวังค์หลับใหลอันยาวนานเนื่องจากได้รับ ‘วิวรณ์’ จากท่านบรรพชน ท่านบรรพชน? ท…ท่านตื่นแล้วหรือ?”


ผู้ตื่นตกใจมิใช่เอ็มลิน แต่เป็นคาซีมี·โอดรา


หลังจากเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ ท่านบรรพชนก็แทบไม่เคยมอบวิวรณ์อีกเลย อาจมีการตอบสนองในเรื่องสำคัญเพียงบางครั้ง…


เอ็มลินยืนฟังด้วยสีหน้าประหลาด


“ยังหรอก” นีบาสกล่าวเสียงทุ้ม “ท่านบรรพชนเพียงแจ้งว่า โลกกำลังจะถึงคราวแตกดับ พวกเราทุกคนจึงต้องเตรียมการรับมือไว้ให้พร้อม และกุญแจสำคัญในการฝ่าวิกฤติก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเอ็มลิน·ไวท์


“นั่นคือสาระสำคัญของวิวรณ์”


“โลกกำลังจะแตกดับ…” คาซีมีทวนคำด้วยสีหน้าตกตะลึง


แต่เอ็มลินกำลังคิดเรื่องอื่น


ตัวข้า! เอ็มลิน·ไวท์ ถูกเอ่ยถึงโดยท่านบรรพชนโดยตรง! แถมยังเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้เผ่าพันธุ์แวมไพร์ รอดพ้นจากมหันตภัยร้ายแรงในอนาคต!


นีบาสเพิกเฉยต่อคำถามของหลานชาย


“เอ็มลิน ข้ามีภารกิจมอบให้เจ้า”


“เชิญรับสั่ง” เอ็มลินกล่าวอย่างนอบน้อม


แม้เพิ่งจะได้ฟังถ้อยคำอันน่ายินดีเมื่อครู่ แต่มันก็มิได้แสดงอาการโอหังต่อหน้าอีกฝ่าย


นีบาส·โอดรากล่าวเสียงขึงขัง


“จงหาโอกาสสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล”


“หะ…?” เอ็มลินพลันตะกุกตะกัก


มันเชื่อเหลือเกินว่าตนคงหูฝาดไป


นีบาสลดเสียงลง


“ข้ากำลังหมายถึงเดอะฟูล ผู้พระนามเต็มถูกเปิดเผยอย่างแพร่หลายในช่วงหลัง”


……………………


ราชันเร้นลับ 459 : คลาดกัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้ว่าเราเคยพูดเสมอว่า ต้องการวิงวอนให้เดอะฟูลช่วยขัดการชี้นำทางใจจากหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ แต่เราก็ตระหนักเป็นอย่างดีเช่นกันว่า ตัวตนลึกลับส่วนมากมักมีจุดประสงค์มุ่งร้ายแอบแฝง พวกมันเป็นเหมือนกับฉลามในทะเล คอยแหวกว่ายและมุ่งเข้าหาเลือดสดตลอดเวลา…


แต่ตอนนี้ ลอร์ดนีบาส…ไม่สิ ท่านบรรพชนกลับให้เรา…สิ่งนี้คือความประสงค์ของท่านจริงหรือ?


เอ็มลินยากจะทำใจเชื่อลง มันกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม


“ภารกิจนี้อันตรายอย่างมาก…มากจริงๆ ขอรับ…”


เสียงของนีบาส·โอดราดังเล็ดลอดมาจากโลงศพเหล็กดำ


“ถูกต้อง การทำเช่นนั้นจะอันตรายอย่างมากในกรณีปรกติ แต่ใช่ว่าตัวตนลึกลับจะมีเจตนาชั่วร้ายไปเสียหมด บางรายเพียงปรารถนาการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม ยกตัวอย่างเช่น บรรดาเจ็ดแสงพิสุทธิ์แห่งโลกวิญญาณ ในเมื่อท่านบรรพชนมอบวิวรณ์มาให้ข้าเช่นนี้ หมายความว่าอันตรายจากเดอะฟูลคงไม่มากมายนัก หรืออาจไม่มีเลย และไม่ต้องกังวล ขณะเจ้าประกอบพิธีกรรม ข้าจะคอยปกป้องเคียงข้าง เจ้าไม่ต้องการขจัดการชี้นำทางใจหรืออย่างไร? รึว่ากลายเป็นสาวกของพระแม่ธรณีเต็มตัวไปแล้ว จึงลืมว่าเคยศรัทธาดวงจันทร์”


“ข้าเปล่า!” เอ็มลินปฏิเสธขึงขัง


ความเงียบงันครอบงำห้องโถงสักพัก จนกระทั่งแวมไพร์หนุ่มกัดฟันกรอด


“ข้อขอเวลาคิดก่อน”


“ไม่มีปัญหา ข้าเชื่อว่าเจ้าจะตัดสินใจได้เหมาะสมกับฐานะของผีดูดเลือดอันสูงส่ง” เสียงของนีบาสภายในโลงศพเริ่มแผ่วลงเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวล


หลังจากคาซีมี·โอดราส่งเอ็มลินกลับไปยังชั้นสองของคฤหาสน์ มันย้อนกลับมายังห้องโถงสีเทาอีกและซักถามด้วยสีหน้าสับสน


“ท่านปู่ เหตุใดวิวรณ์ของท่านบรรพชนถึงระบุว่าเอ็มลิน·ไวท์เป็นกุญแจสำคัญ? เขาเป็นแค่แวมไพร์หนุ่มอ่อนแอ เพิ่งจะโตเต็มวัยเมื่อไม่นานมานี้”


เสียงของนีบาส·โอดราดังลอดผ่านฝาโลงศพหนา อากาศรอบตัวสั่นสะเทือนเล็กน้อย


“เปล่าเลย วิวรณ์ของท่านบรรพชนมิได้กล่าวถึงเอ็มลิน·ไวท์แม้แต่คำเดียว ท่านบรรพชนเพียงเผยนิมิตของรุ่นอรุณวันเกิดมหันตภัย การเสื่อมสลายของดวงจันทร์ และเอ่ยถึงเดอะฟูลกับนามเต็มของเขา ในนิมิตวิวรณ์ไม่มีผีดูดเลือดปรากฏตัวแม้แต่ตนเดียว ข้าตัดสินใจกุเรื่องกุญแจสำคัญเพื่อให้เอ็มลินยอมทำภารกิจ อย่างไรก็ตาม หากเขายอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อรักษาอนาคตของเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด บางที เอ็มลินอาจเป็นกุญแจสำคัญตัวจริงในพระวิวรณ์ก็ได้”


คาซีมี·โอดราพลันกระจ่าง แต่ก็เกิดคำถามตามมาในทันที


“แล้วทำไมท่านถึงเลือกเอ็มลิน·ไวท์? เขามีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น?”


นีบาส·โอดราหัวเราะ


“ก็เขาเอาแต่รำพันเรื่องการวิงวอนหาเดอะฟูลมาตลอดไม่ใช่หรือ? และเป็นเพราะพวกเราตระกูลผีดูดเลือดไม่ยอมช่วยเหลือ โดยอ้างเหตุผลว่าไม่ต้องการขัดแย้งกับบิชอปยูทรอฟสกี้ เขาจึงพยายามมองหาความช่วยเหลือจากภายนอกมาตลอด ข้าเพียงเร่งให้มันเกิดขึ้นเร็วกว่าเดิม”


คาซีมีหมดคำจะกล่าวเป็นเวลานาน


เอ็มลิน·ไวท์กำลังยืนริมรั้วบนชั้นสองของคฤหาสน์ สายตาจ้องมองเหล่าพี่น้องผู้ไม่มีวันเหน็ดเหนื่อยกับการเต้นรำ มือยกจิบ ‘ไวน์’ เป็นระยะด้วยสีหน้าวิตกกังวล


จนถึงวันนี้ เรายังไม่เคยได้ยินว่ามีใครตกเป็นเหยื่อของเดอะฟูล…บางที อาจเป็นไปตามคำกล่าวของท่านลอร์ดนีบาส เดอะฟูลเป็นตัวตนลึกลับและเจตนาดีเหมือนกับเจ็ดแสงพิสุทธิ์…


เดี๋ยวก่อน แล้วเจ็ดแสงพิสุทธิ์เป็นใคร? ทำไมเราถึงไม่รู้จัก? เป็นเทพนอกรีตฝ่ายดี? แล้วทำไมถึงลอร์ดนีบาสถึงไม่ให้เราวิงวอนต่อเจ็ดแสงพิสุทธิ์แทน? ช่างเถอะ เดอะฟูลคงไม่สร้างอันตรายมากนักหามีลอร์ดนีบาสคอยคุ้มครองอย่างใกล้ชิด…นี่คือโอกาสสำคัญในการขจัดการชี้นำทางใจจากหลวงพ่อ…


เอ็มลินปลอบใจตัวเองด้วยสีหน้าคาดหวัง



เข้าวันจันทร์ ถนนเชอร์วู้ด อาคารหมายเลข 15 ถนนมินส์


ไคลน์กำลังนั่งยองข้างชักโครก พลางใช้แปรงในมือขัดทำความสะอาดคราบไม่พึงประสงค์ออก


จากแผนการเดิมของชายหนุ่ม หลังจาก ‘ทำตัวงานยุ่ง’ ตลอดวันเสาร์และอาทิตย์ มันเตรียมหยุดพักในวันจันทร์ จึงค่อยเดินทางไปรายงานความคืบหน้ากับองค์ชายเอ็ดซัคเป็นครั้งสุดท้ายในวันอังคาร แต่ขณะกำลังว่าง มันพบว่าบ้านของตนค่อนข้างสกปรก


ชายหนุ่มเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ความสะอาดของบ้านหลัง 15 ตลอดหลายเดือนก่อน ล้วนเกิดจากฝีมือของสาวใช้บ้านข้างๆ ทั้งสิ้น


และเมื่อครอบครัวซาเมอร์เดินทางไปพักร้อนยังอ่าวเดซี พวกเขาย่อมพาคนใช้ไปด้วยส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งแยกย้ายกลับบ้านตามชนบทหลังจากได้รับโบนัสประจำปี ส่งผลให้ไม่มีใครคอยทำความสะอาดบ้านหมายเลข 15 ไปอีกพักใหญ่


แผนของไคลน์คือ เตรียมพักผ่อนวันจันทร์กับอังคารก่อนจะ ‘ลาหยุดยาว’ ไปพักร้อนทางใต้ โดยระหว่างสองวันดังกล่าว มันจะไม่แวะไปเสพสุขในสโมสรครักซ์ เนื่องจากกังวลว่าองค์ชายเอ็ดซัคจะไม่พอใจ ทางเลือกเดียวจึงเป็นการอยู่บ้าน แต่เมื่อพบสิ่งระคายเคืองสายตา ชายหนุ่มจึงตัดสินใจจัดการให้เรียบร้อยก่อนหยุดยาวหลายวัน


ไคลน์ขัดโถส้วม ล้างอ่างน้ำ เช็ดกระจก ถูพื้นทั่วบ้าน เช็ดข้าวของเครื่องใช้ และซักผ้าให้เรียบร้อย มันใช้เวลาทำเรื่องดังกล่าวตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงเก้าโมงตรง และผลลัพธ์ค่อนข้างน่าพึงพอใจ


แน่นอน ไคลน์เพียงทำความสะอาดอย่างหยาบ มิได้ลงลึกรายละเอียดเหมือนกับแม่บ้านมืออาชีพ


ในบางครั้ง การเช่าบ้านหลังใหญ่เกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก…ชายหนุ่มมือและเช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนู


มันเดินออกจากห้องน้ำพลางชำเลืองไปทางห้องรับแขกและห้องครัวอันสะอาดสะอ้าน จากนั้นก็หันไปทางมุขหน้าต่าง จ้องมองแสงอาทิตย์ลอดผ่านกลุ่มเมฆลงมากระทบกับผนังบ้านจนเกิดจุดสว่างสีทอง ฉากตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มเกิดความพึงพอใจเหนือพรรณนา


ถึงเวลามอบรางวัลให้ตัวเองด้วยอาหารกลางวันหรูสักมื้อ แวะไปภัตตาคารสักแห่งก็แล้วกัน…ไคลน์เดินกลับห้องนอนบนชั้นสองเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า


หลังจากกลับลงมาและนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เพื่อฆ่าเวลาให้ถึงช่วงกลางวัน เสียงกริ่งบ้านพลันก้องกังวานเต็มสองรูหู


“ใกล้จะปีใหม่แล้ว ยังมีใครต้องการจ้างนักสืบอยู่อีกหรือ?” ไคลน์ลุกยืนและเดินไปทางประตู สมองกำลังคิดถ้อยคำปฏิเสธ


แม้ว่ามันจะเหลือเงินติดตัวเพียงสามสิบสี่ปอนด์ แต่เพื่อเอาชีวิตรอดจากความขัดแย้งภายในราชวงศ์ ไคลน์ไม่มีทางเลือกนอกจาก ‘ลาพักร้อน’ ยาวหลายสัปดาห์ จึงไม่สามารถรับงานใดเพิ่มได้อีก


แต่ชายหนุ่มก็ต้องประหลาดใจ เพราะผู้มาเยือนในคราวนี้มิใช่คนแปลกหน้า แต่เป็นพ่อบ้านชราขององค์ชายเอ็ดซัค


พ่อบ้านสวมทักซิโดพอดีตัว กล่าวคำทักทายชายหนุ่มโดยไม่สูญเสียมาดสง่างาม


“นักสืบโมเรียตี้ องค์ชายกำลังรอให้คุณไปพบในรถม้าซึ่งกำลังจอด ณ สุดเส้นถนน พระองค์ต้องการทราบความคืบหน้าของคดี”


รีบร้อนขนาดนั้นเลยหรือ…แต่ก็ไม่เลวเหมือนกัน เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปยังคฤหาสน์กุหลาบแดงในวันพรุ่งนี้…


ไคลน์เรียบเรียง ‘รายงาน’ ของคดีซึ่งเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ก่อนจะตอบกลับพ่อบ้านอย่างสุขุม


“ตกลงครับ”


ทันใดนั้น ขณะมันเตรียมหยิบหมวกลงจากราวแขวนผ้า ท้องไส้พลันปั่นป่วนกะทันหัน ถึงขั้นเกิดความอยากเดินเข้าไปปลดปล่อยในห้องน้ำประเดี๋ยวนี้


หลังจากมันลองยืนทนดูสักพัก ชายหนุ่มเริ่มมั่นใจว่าตนคงมิอาจอดกลั้นไว้ได้ จึงกล่าวกับพ่อบ้านชราด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด


“ต้องขออภัยด้วยครับ แต่ผมจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำก่อน ท้องไส้ของผมไม่ไหวแล้ว”


สีหน้าของพ่อบ้านชรายังคงเรียบเฉย


“เป็นสิทธิ์ของคุณ”


หลังจากไคลน์ปลดปล่อยความทุกข์ออกไประลอกแล้วระลอกเล่าจนเกลี้ยงท้อง มันรีบล้างมือให้เสร็จและเดินออกมายังห้องนั่งเล่น


ทว่า บุคคลซึ่งยืนรอหน้าประตูมิใช่พ่อบ้านชรา แต่เป็นสาวใช้คนสวย ผมน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย ใบหน้าอ่อนเยาว์


“องค์ชายรับสั่งให้ดิฉันมาแจ้งกับคุณว่า พระองค์มีงานด่วนต้องไปสะสาง ไม่สามารถรอพบได้ตามความตั้งใจ ฉะนั้น รบกวนคุณนักสืบแวะไปยังคฤหาสน์กุหลาบแดงในวันพรุ่งนี้ หรือไม่ก็บ่ายวันมะรืนด้วยค่ะ” สาวใช้โค้งศีรษะด้วยกิริยามารยาทสง่างาม


อะไรกัน… ผ่านไปยังไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ แถมเราก็รีบสุดชีวิตแล้ว…


นี่เรายังไม่ได้เอาจริง ถ้าพกหนังสือพิมพ์เข้าไปด้วย เราจะใช้ห้องน้ำนานกว่านี้ได้อีก…


ไคลน์รำพันติดตลก


“ไม่มีปัญหาครับ”


เมื่อสาวใช้ได้ยินคำตอบ สีหน้าแววตาเผยความโล่งใจชัดเจน ประหนึ่งได้ยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก ก่อนจะหัวเราะคิกคักและส่งเสียงกระซิบ


“นักสืบโมเรียตี้ คุณคลาดกับเธอคนนั้นอีกแล้วนะคะ”


“หือ…” ไคลน์เริ่มทำหน้าตกใจ


สาวใช้เบาเสียงลง


“เธอคนนั้นอยู่กับองค์ชายในรถม้าด้วย และยังเป็นคนแนะนำให้องค์ชายอ้อมรถแวะมาพบคุณนักสืบก่อนกลับ”


แล้วเราก็คลาดกับเธออีกครั้งเพราะบังเอิญท้องเสียกำเริบเนี่ยนะ…บ้าบอสิ้นดี…


ไคลน์ขมวดคิ้ว



ภายในห้องแห่งหนึ่ง พื้นถูกปูด้วยพรมนุ่ม


ปากกขาขนนกในมือใครบางคน ถึงคราวสิ้นสุดการเขียนประโยคยาว


บนหน้ากระดาษของสมุดบันทึกปลายปากกา ข้อความหลายแถวถูกเขียนติดกันเป็นพืด สลับกับมีรอยขีดฆ่าเป็นระยะ


(ขีดฆ่า)


“เป้าหมายฝ่าด่านการกักขังมาได้ แต่โชคไม่เข้าข้าง นักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ดันกลับไปก่อนเธอจะเดินลงมาถึงชั้นล่าง”



“เป้าหมายพยายามใช้พลังกับสาวใช้รอบตัว แต่พ่อบ้านประจำตัวองค์ชายเอ็ดซัค มิสเตอร์ฟังเกล ตรวจพบปัญหาดังกล่าวและแก้ไขได้ทันท่วงที”



(ขีดฆ่า)


“เป้าหมายพยายามออกนอกเส้นทางอีกครั้ง เธออาสานำช่อดอกไม้ไปวางหน้าหลุมศพของทาลิม·ดูมงต์แทนองค์ชาย แต่เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ในภายหลังว่า ตนไม่เคยพบหน้านักสืบเชอร์ล็อกมาก่อน จึงคลาดโอกาสได้พบกัน”



“นักสืบเชอร์ล็อกเดินทางไปยังคฤหาสน์กุหลาบแดงเพื่อสอบปากคำเบื้องต้น แต่น่าเสียดาย เป้าหมายบังเอิญออกไปขี่ม้าในสนามกอล์ฟพอดิบพอดี”



(ขีดฆ่า)


“เป้าหมายพยายามออกนอกเส้นทางอีกครั้ง เธอแนะนำให้องค์ชายเอ็ดซัคแวะไปหานักสืบเชอร์ล็อกระหว่างทางกลับ แต่โชคไม่ดีนัก นักสืบเชอร์ล็อกเกิดท้องเสียกะทันหัน และต้องถ่ายหนักนานถึงเจ็ดนาทีสี่สิบห้าวินาที โดยองค์ชายไม่สามารถรอนานขนาดนั้นได้”



ชายวัยกลางคนเจ้าของใบหน้าคล้ายรูปปั้นแกะสลัก ดวงตาบอดสนิทหนึ่งข้าง วางปากกาขนนกลงและหันไปมองสตรีด้านข้าง


“เธอใส่อะไรเข้าไปในตัวหล่อนกันแน่? การฝ่าฝืนขีดจำกัดหนแล้วหนเล่าอาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาได้”


หญิงสาวหัวเราะเสียงค่อย


“ทั้งหมดเป็นแค่อุบัติเหตุและความบังเอิญไม่ใช่หรือ? ไม่มีทางเกิดปัญหาแน่นอน”


ขณะเธอกล่าว สองมือรวบผมไปด้านหลัง จนเผยให้เห็นต้นคอสุดขาวเนียน


ถัดมา สตรีปริศนาบรรจงทาหลายสิ่งลงบนใบหน้าอย่างประณีต ส่งเสริมความงดงามให้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ


เมื่อเห็นหญิงสาวเริ่มสวมเสื้อผ้าและติดเครื่องประดับ ชายวัยกลางคน ผมสีทองเข้ม ขมวดคิ้วพลางซักถาม


“เธอกำลังจะไปไหน”


สตรีปริศนาไม่ตอบ เพียงตักเตือนอีกฝ่ายด้วยความหวังดี


“ระวังปากกาขนนกด้ามนั้นเอาไว้ คราวก่อนเกือบได้สลับร่างกับใครบางคนไม่ใช่หรือ”


“สำหรับเรื่องนี้ ฉันรู้ดีกว่าใครมาตลอด” ชายวัยกลางคน ผู้มีดวงตาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ ตอบกลับด้วยสีหน้าอึมครึม


สตรีเลอโฉมรูดเข็มขัดเพื่อทำให้เอวคอดลง ก่อนจะบิดขี้เกียจและปิดปากหาว


“ฉันจะออกไปหามิสเตอร์ A แห่งชุมนุมแสงเหนือสักหน่อย หวังว่าหมอนั่นจะเสียสติสมคำร่ำลือ…”


ขณะเธอกล่าว สีหน้าของชายตาบอดหนึ่งข้างพลันดำมืดกะทันหัน สืบเนื่องมาจาก ปากกาขนนกเริ่มเขียนบางสิ่งลงไปเองราวกับถูกมือล่องหนควบคุม


……………………


ราชันเร้นลับ 460 : วังวนการสำรวจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ ห้วงมิติเหนือสายหมอก ท่ามกลางพระราชวังโบราณ


หลังจากไคลน์ตระหนักถึงความไม่ปรกติของเหตุการณ์รอบตัว มันรีบกินอาหารกลางวันและส่งจิตเข้าสู่ห้วงมิติสายเหนือหมอก เพื่อยืนยันสมมติฐานของตนให้แน่ใจ


ชายหนุ่มเสกปากกาหมึกซึมสีแดงเข้มขึ้นมาถือ ก้มหน้าตรึกตรองราวสองวินาที และบรรจงเขียนข้อความลงไป


“เราเข้าไปพัวพันกับกระแสความบังเอิญจากอิทธิพลของสมบัติปิดผนึก 0-08”


ไคลน์วางปากกาสีแดงเข้มลง มือขวาปลดโซ่เงินจากข้อมือซ้ายพร้อมกับเริ่มขั้นตอนทำนาย


เมื่อท่องจบ ชายหนุ่มตาลืมตาขึ้นพลางจ้องมองผลลัพธ์ตรงหน้า


จี้บุษราคัมยังคงห้อยแน่นิ่งในจุดเดิม


การทำนายล้มเหลว!


ผลการทำนายล้มเหลวสามารถตีความออกมาได้สองทาง หนึ่ง เรามีข้อมูลไม่เพียงพอ และสอง พลังทำนายถูกสมบัติปิดผนึก 0-08 หรือพลังใกล้เคียงขัดขวางไว้…


โอกาสเป็นไปได้มีเท่าๆ กัน…


ไคลน์ลองเปลี่ยนประโยคทำนายและถามหยั่งเชิงในมุมอื่น แต่ทั้งหมดล้วนประสบความล้มเหลว


ชายหนุ่มใช้นิ้วเคาะโต๊ะทองแดงยาว ภายในใจลังเลว่าตนควรเดินทางไปยังคฤหาสน์กุหลาบแดงในวันพรุ่งนี้หรือไม่


ถ้าเรื่องนี้ไม่มีเกี่ยวข้องกับ 0-08 หรือพลังในขอบเขตใกล้เคียง หากเราหลบหน้าองค์ชายเอ็ดซัคอย่างไร้เหตุผล ปัญหาคงบานปลายยิ่งกว่าเก่า…ไม่สิ คงหลบหนีไม่พ้นตั้งแต่แรก เพราะบ้านหลังติดกับเรามีผู้วิเศษทรงพลังแอบจับตามอง…จริงอยู่ เราอาจหนีรอดได้ด้วยพลังของผู้ไร้หน้า แต่การด่วนสละตัวตนเชอร์ล็อก·โมเรียตี้มันคุ้มกันหรือ? ถ้าเราแค่คิดไปเองล่ะ?


ใช่แล้ว ไม่ควรเสี่ยงโดยไม่จำเป็น เราต้องทำตามแผนเดิม แวะไปยังคฤหาสน์กุหลาบแดงในช่วยบ่ายของวันพรุ่ง จากนั้นค่อย ‘ลาพักร้อน’ ตามมารยาท โดยยังไม่สูญเสียตัวตนนักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ไป…องค์ชายเอ็ดซัคคงไม่ใจร้ายกับเรานัก งานเกินตัวเช่นนี้ เขาคงไม่บังคับให้นักสืบอ่อนแอและไร้สังกัดเอาชีวิตเข้าเสี่ยง…


แต่ถึงเราจะเข้าไปพัวพันกับ 0-08 หรือสมบัติปิดผนึกใกล้เคียงจริง จากประสบการณ์ส่วนตัว เราคงเป็นเพียงตัวประกอบผู้บังเอิญหลงเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ มิได้ตกเป็นเป้าหมายหลักของเรื่องราว และถ้าเป็นไปตามนี้ การหายตัวไปอย่างกะทันหันของเรา ยิ่งจะทำให้อินซ์·แซงวิลล์พบความผิดปรกติ!


พลังผู้ไร้หน้าไม่ช่วยให้รอดพ้นจากอิทธิพลของ 0-08 หรือสมบัติปิดผนึกใกล้เคียง…


ใช่แล้ว ไม่มีหนทางใดดีไปกว่าการแวะไปกล่าวคำอำลากับองค์ชายเอ็ดซัคตามปรกติ จากนั้นจึงค่อยๆ ถอนตัวออกจากเรื่องราวทีละนิด จนกระทั่งหลุดพ้นอย่างสมบูรณ์…


เมื่อนำทุกปัจจัยมาคำนวณร่วมกัน ไคลน์ตัดสินใจแสร้งทำเป็นไม่ตระหนักถึงความผิดปรกติรอบตัว เตรียม ‘อำลา’ เบ็คลันด์ในอีกสองวันถัดไปตามแผนเดิม



กองไฟในค่ายพักกำลังลุกโชน หน้าทางเข้าค่ายมีผู้วิเศษคอยผลัดเวรกันไปเฝ้าตลอดเวลา


เดอร์ริค·เบเกอร์เอนหลังพิงเสาหินและหลับตางีบเพื่อเอาแรง


ทันใดนั้น เด็กหนุ่มพลันฝันเห็นทะเลหมอกสีเทากว้างไกล และเก้าอี้พนักสูงตัวใหญ่เด่นตระหง่านท่ามกลางห้วงมิติสายหมอกลึกลับ


บุคคลปริศนาผู้ดูแคลนทุกสรรพสิ่งนั่งจ้องลงมาจากเก้าอี้ตัวดังกล่าว


มิสเตอร์ฟูล… เดอร์ริคพึมพำ


อีกฝ่ายเปล่งเสียงหนักแน่น


“เตรียมตัวเข้าร่วมชุมนุม”


ขอรับ มิสเตอร์ฟูล… เดอร์ริคขานรับพร้อมกับเริ่มนับจังหวะหัวใจเต้น


เด็กหนุ่มมิได้ลืมตาแม้แต่วินาทีเดียว แสร้งทำเป็นนอนหลับสนิท


ยังเหลือเวลาสักพักก่อนออกเดินทาง มากพอสำหรับเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์…มันครุ่นคิดอย่างโล่งใจ


ในตอนแรกเดอร์ริคเคยคิดว่า ตนอาจยุ่งอยู่กับภารกิจสำรวจ จนต้องพลาดโอกาสเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ประจำสัปดาห์ไป


หลังจากเวลาผ่านไปจนครบหนึ่งพันหัวใจเต้น เดอร์ริคถูกดึงตัวไปยังใจกลางพระราชวังโบราณอันเงียบสงบ


ขณะมันกำลังลืมตา ฉากเหตุการณ์มากมายพลันพรั่งพรูเข้าสู่หัวสมอง ราวกับใครบางคนถ่ายเทความทรงจำซึ่งเคยสูญหายไปนานหลายวัน กลับคืนยังตำแหน่งเดิม


ภาพเหตุการณ์ประกอบไปด้วย หนึ่ง ผนังเก่าโทรมของอาคารบ้านเรือนสีฟ้าสลับขาว สอง วิหารของพระผู้สร้างเสื่อมทรามซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวิหารของเมืองเงินพิสุทธิ์ สาม ภาพจิตรกรรมฝาผนังซึ่งสื่อถึงเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ พระผู้สร้างเสื่อมทรามกำลังแบกรับบาปและความเจ็บปวดแทนมนุษย์ และผู้พยายามทำลายโลกคือหกเทพมารปริศนา


สี่ ฉากของ ‘เห็ด’ ยั่วน้ำลายเกินห้ามใจ และห้า ฉากของเด็กชายแจ็คผมสีเหลือง ผู้ไม่มีใครทราบหัวนอนปลายเท้า


ฉากทั้งหมดถูกฉายซ้ำไปมาจำนวนห้ารอบ แต่ละรอบมีรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อย


ในรอบแรก ขณะกำลังเดินเข้าวิหารพระผู้สร้างเสื่อมทราม เทียนไขของทีมสำรวจพลันดับสนิททุกดวงพร้อมกัน แต่พวกมันก็รอดพ้นจากหายนะมาได้อย่างฉิวเฉียด ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของนักล่าปีศาจโคลิน รอบสอง สมาชิกทีมคนหนึ่งยับยั้งชั่งใจไม่ไหวและปรี่เข้าไปกินเห็ด แต่ก็ถูกโคลินหยุดไว้ได้ทัน รอบสาม โคลินชวนแจ็คพูดคุย และได้ทราบว่าเด็กชายเดินทางมาพร้อมกับบิดา โดยมีจุดประสงค์เพื่อค้นหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้สร้าง แต่ระหว่างกำลังล่องไปบนทะเลแสนกว้างใหญ่ เรือโดยสารเกิดปะทะเข้ากับพายุอย่างหนักหน่วง รอบสี่ โจชัวถูกเด็กชายแจ็คจู่โจมโดยไม่ทันระวังตัว และรอบสุดท้าย วิหารใต้ดินพลังครืนลงมาจนปิดทางเข้าออกไว้ทั้งหมด


เหตุการณ์ในแต่ละรอบจะสิ้นสุดลงเมื่อนักล่าปีศาจ โคลิน·อีเลียด ทำการสังหารแจ็ค หลังจากนั้น ทุกคนจะกลับมาเริ่มต้นวัฏจักรใหม่ในค่ายพักก่อนออกเดินทาง


พวกเราสำรวจวิหารมาแล้วห้าครั้ง…พวกเราใช้ชีวิตแบบนี้มาแล้วหลายรอบ และไม่มีทีท่าว่าจะว่าสิ้นสุดลง!


ยิ่งวิเคราะห์ความทรงจำใหม่ของตนอย่างละเอียด เดอร์ริคก็ยิ่งทวีความสั่นกลัวจากก้นบึ้งจิตใจ


ในเวลาเดียวกัน ออเดรย์ ผู้นั่งฝั่งตรงข้ามเดอร์ริค เตรียมกล่าวทักทายมิสเตอร์ฟูลและทุกคนด้วยน้ำเสียงยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนกับทุกที แต่เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นอากัปกิริยาผิดธรรมชาติของเด็กหนุ่ม เธอตัดสินใจซักถามอย่างเป็นกังวล


“มิสเตอร์ซัน เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าภารกิจสำรวจวิหารของพระผู้สร้างแท้… เอ่อ พระผู้สร้างเสื่อมทราม จะมีอุปสรรค?”


เมื่อเริ่มพบแสงแห่งความหวัง เดอร์ริครีบเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียด ก่อนจะปิดท้ายด้วย :


“หลังจากท่านประมุขจัดการกับแจ็ค พวกเราทุกคนจะหลับตาสนิทโดยพร้อมเพรียง จนกระทั่งตื่นขึ้นอีกครั้งภายในค่ายพักเริ่มต้น และเตรียมออกสำรวจวิหารแห่งเดิมโดยปราศจากความทรงจำก่อนหน้า วัฏจักรดังกล่าวเกิดขึ้นมาแล้วห้ารอบ แต่ละรอบแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย”


“หากไม่เพราะมิสเตอร์ฟูลช่วยคืนความทรงจำให้ ผมคงต้องใช้ชีวิตในวัฏจักรดังกล่าวไปจนตาย”


เดอร์ริคเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า ความทรงจำของตนกลับคืนมาด้วยฝีมือมิสเตอร์ฟูล จึงลุกยืนและทำท่าคำนับอย่างนอบน้อมไปยังบุคคลบนเก้าอี้สุดขอบโต๊ะทองแดงยาว


ฉันเพิ่งจะได้ทราบความจริงหลังจากฟังนายเล่านี่แหละ…ไคลน์มึนงง


แต่มันยังคงรักษามาดนิ่งของผู้ยิ่งใหญ่ เพียงพยักหน้ารับอย่างแผ่วเบา


ในทางทฤษฎี ถ้าผู้บังคับบัญชาถูกผู้น้อยซักถามในเรื่องนอกเหนือความรู้ ให้ทำหน้านิ่งเข้าไว้และไม่ต้องกล่าวสิ่งใด… ไคลน์อาศัยประสบการณ์สมัยยังเป็นนักรบคีย์บอร์ดเป็นหลักในการวางตัว


เมื่อเดอร์ริคเห็นมิสเตอร์ฟูลทำตัวสุขุมและวางมาดสงบนิ่ง มันเกิดความโล่งใจหลายส่วน ภายในใจกำลังเชื่อว่า อุปสรรคของตนจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น


เด็กหนุ่มหันไปทางแฮงแมน จัสติส เดอะเวิร์ล เมจิกเชี่ยน และซักถามอย่างจริงใจ


“พวกคุณทราบต้นตอของปัญหาหรือไม่? แล้วผมต้องแก้ไขอย่างไร”


ออเดรย์ผู้กระตือรือร้น เธอย่อมต้องการช่วยไขข้อข้องใจให้อีกฝ่าย เพียงแต่ว่า เด็กสาวไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวแม้แต่น้อย


ทางด้านฟอร์สเองก็เช่นกัน


สำหรับไคลน์ มันนำความรู้ทั่วไปจากดาวเคราะห์โลกมาผสมผสานกับนิยายจนเกิดเป็นทฤษฎีหลายข้อ แต่หลังจากตรึกตรองสักพัก ชายหนุ่มตัดสินใจวางตัวมาดนิ่ง รอดูท่าทีตอบสนองจากคนอื่นไปก่อน


อัลเจอร์เงียบงันสักพัก ก่อนจะมอบคำตอบซึ่งถูกไตร่ตรองมาเป็นอย่างดี


“ผมคิดออกแค่สองประเด็น ข้อแรก คุณถูกพลังประเภทฝันร้ายหรือภาพลวงตาระดับสูงเล่นงาน เป็นพลังจากบุคคลระดับครึ่งเทพ แต่ในเมื่อตอนนี้ได้รับความทรงจำจากมิสเตอร์ฟูลกลับคืนมาแล้ว บางที ถ้าถูกส่งกลับไปยังโลกความจริง คุณอาจพบวิธีแก้ไขสถานการณ์ด้วยตัวเองได้ไม่ยาก ข้อสอง คุณถูก ‘ดึง’ หรือ ‘เผลอ’ เข้าไปในห้วงมิติพิเศษบางแห่งโดยไม่รู้ตัว บางที อาจเป็นดินแดนซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกความจริง กระแสเวลาภายในนั้นจะไหลแยกกับภายนอก เมื่อไหลไปถึงจุดหนึ่งจะย้อนกลับ และทำซ้ำเรื่อยๆ จนเกิดเป็นวัฏจักรสมบูรณ์ หากเป็นไปตามนี้ โอกาสหลุดพ้นจากวังวนจะมีเพียงสองวิธี ข้อแรก ต้องใช้พลังจากภายนอกทำลายโดยตรง และข้อสอง ต้องค้นหากุญแจสำคัญซึ่งเชื่อมต่อกับจุดบิดเบือนกระแสเวลาให้พบ”


ใช้พลังภายนอกทำลายเข้าไปโดยตรง?


ได้ยินเช่นนี้ ออเดรย์ เดอร์ริค และฟอร์สต่างหันไปมองเดอะฟูลโดยมิได้นัดหมาย


ไม่ได้…เราจะเอาแต่พึ่งพามิสเตอร์ฟูลไม่ได้เด็ดขาด! ในเมื่อท่านมิได้กล่าวสิ่งใด หมายความว่า ท่านกำลังมอบบททดสอบการแก้ไขปัญหาให้เรา…


เดอร์ริคครุ่นคิดสักพัก


“มิสเตอร์แฮงแมน สมมติให้เป็นอย่างหลัง คุณคิดว่าสิ่งใดคือกุญแจสำหรับเชื่อมต่อจุดบิดเบือนกระแสเวลา?”


ออเดรย์ไม่รอให้แฮงแมนตอบ เธอชิงคาดเดาอย่างตื่นเต้น


“เด็กชายแจ็ค? ห้ามฆ่าเด็กชายแจ็ค?”


อัลเจอร์พยักหน้า


“นั่นก็เป็นไปได้”


มันทำหน้าลังเลสักพักจึงเล่าต่อ


“คำอธิบายเกี่ยวกับแจ็ค ทำให้ผมหวนนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งในอดีต”


แฮงแมนหันไปมองจัสติส


“ในการชุมนุมแรกๆ ของพวกเรา ตอนนั้นผมเล่าว่า ตัวเองกำลังไล่ตาม ‘ผู้สดับ’ จากชุมนุมแสงเหนือในทะเลใช่ไหม? จุดประสงค์ของพวกมันคือการค้นหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้สร้างแท้จริง”


ออเดรย์ทำหน้านึกตาม ก่อนจะผงกศีรษะรับอย่างไม่หนักแน่นสักเท่าไร


“เอ… ก็เคยมีเรื่องแบบนั้นอยู่”


อัลเจอร์เล่าต่อด้วยเสียงสุขุม


“ผู้สดับคนนั้นพาบุตรชายไปด้วย อายุของเด็กคนดังกล่าวใกล้เคียงกับคำอธิบายจากเดอะซันมาก”


“คุณกำลังจะบอกว่า แจ็คเดินทางจากดินแดนของพวกคุณ มายังเขตใกล้กับเมืองเงินพิสุทธิ์ของผม?” เดอร์ริคทำหน้าประหลาดใจ


หลังจากก้มหน้าไตร่ตรองสักพัก เด็กหนุ่มเริ่มเกิดความยินดีปรีดาลึกๆ ในใจ


สิ่งนี้หมายความว่า เมืองเงินพิสุทธิ์มิได้ถูกปิดตายโดยสมบูรณ์ และยังมีโอกาสติดต่อกับดินแดนของแฮงแมนกับจัสติสได้อยู่!


“นั่นแค่หนึ่งในความเป็นไปได้เท่านั้น”


แฮงแมนเองก็ไม่มั่นใจนัก


มันก้มหน้าเรียบเรียงคำพูดราวสามวินาที ก่อนจะมอบคำแนะนำเพิ่มเติม


“ผมขอเสนอแนะให้คุณหาโอกาสเล่าเรื่องเกี่ยวกับทะเลโซเนีย อาณาจักรโลเอ็น และเมืองท่าให้เด็กชายแจ็คฟัง บางที เขาอาจมีท่าทีตอบสนองแตกต่างไปจากทุกครั้ง แต่แน่นอน เรื่องนี้ไม่ควรกระทำต่อหน้าประมุขของเมืองเงินพิสุทธิ์ แล้วก็ กุญแจสำคัญของห้วงมิติดังกล่าวอาจไม่ใช่แจ็คเสมอไป คุณต้องเล่ารายละเอียดให้พวกเราฟังมากกว่านี้ เช่น เนื้อหาบนจิตรกรรมฝาผนังหรือเทวรูปเป็นอย่างไร บางที อาจมีเบาะแสสำคัญซ่อนอยู่ในนั้นก็ได้”


อัลเจอร์พยายามเค้นข้อมูล ‘ฟรี’ จากเดอะซันอย่างสุดความสามารถ


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)