Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 445-448
ราชันเร้นลับ 445 : ถ่ายทอดสด
โดย
Ink Stone_Fantasy
สายฟ้าแลบเป็นเส้นยาวบนท้องฟ้า ช่วยมอบความสว่างปกคลุมกำแพงเมืองสีดำสนิทเบื้องล่าง
มือข้างหนึ่งถือถุงทำจากหนัง ส่วนอีกข้างกำลังถือขวานเฮอร์ริเคน เดอร์ริค·เบเกอร์หยุดยืนด้านหน้าทางเข้าขนาดใหญ่พร้อมกับเพื่อนร่วมทีมอีกเกือบสิบ
เมื่อแหงนหน้าขึ้นไป ระหว่างร่องของลวดลายหินบนกำแพง เดอร์ริคมองเห็นดินดำอุดตันในสภาพแห้งกรัง หญ้าสีดำงอกแซมออกมาหลายพุ่ม มอบความรู้สึกน่าขนลุกคล้ายกระจุกเส้นผมของมนุษย์
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังจากประตูทางเข้า เด็กหนุ่มกับพวกพ้องรีบหันไปมอง
ท่ามกลางฉากหลังสว่างสลับมืด ชายร่างใหญ่สะพายดาบสองเล่มไขว้กันด้านหลัง กำลังย่างกรายมาทางกลุ่มของเดอร์ริคอย่างไม่รีบร้อน
บุรุษคนดังกล่าวมีสีผมขาวซีดไม่เป็นทรง ดวงตาลุ่มลึกแฝงความกร้านโลก รอยแผลบนแก้มเป็นร่องลึกและไม่เรียบเนียน สวมเสื้อโค้ทสีน้ำตาลตัวเก่งและเชิ้ตป่านสีขาว
ชายผู้กำลังย่างกรายเข้าใกล้ไม่ใช่ใครนอกจากผู้นำสูงสุดคนปัจจุบันแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ อาวุโสใหญ่ประจำสภาอาวุโส โคลิน·อีเลียด นักล่าปีศาจสุดทรงพลัง
หลังจากทักทายเสร็จ เดอร์ริคก้มมองเอวของท่านผู้นำ และพบกับเข็มขัดหนังซึ่งเต็มไปด้วยช่องสำหรับสอดขวดโลหะจำนวนมาก
สิ่งนี้คือเครื่องพิสูจน์ความแข็งแกร่งและประสบการณ์ของลำดับ 4 ‘นักล่าปีศาจ’
เดอร์ริคเคยได้ยินพ่อกับแม่เล่าให้ฟังว่า นักล่าปีศาจเชี่ยวชาญด้านการจับจุดอ่อนของสัตว์ประหลาดแทบทุกชนิด และอาศัยญาณพิเศษในการรับมือกับสัตว์ประหลาดเหล่านั้น แต่ถ้าพลังญาณพิเศษยังไม่เพียงพอ นักล่าปีศาจจะต้องพึ่งพายาวิเศษ ขี้ผึ้งศักดิ์สิทธิ์ น้ำมันสกัด หรือตราประทับ วิธีใช้งานมีหลากหลาย เช่นการดื่มเข้าปาก ทาลงบนดาบ หรือไม่ก็ราดลงบนดาบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นงานจุดอ่อนศัตรู
ความสามารถข้างต้นทำให้นักล่าปีศาจกลายเป็นของแสลงสำหรับสัตว์ประหลาดแทบทุกสายพันธุ์บนโลก และจำนวนขวดโลหะบนเข็มขัดก็หมายถึง ‘ประสบการณ์’ หรือความช่ำชองของแต่ละคน
แน่นอน รายละเอียดข้างตนเป็นเพียงเศษเสี้ยวพลังของนักล่าปีศาจ ไม่อย่างนั้นโอสถชนิดนี้คงไม่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ครึ่งเทพ
โคลินมองไปรอบตัวเพื่อยืนยันว่าสมาชิกทุกคนอยู่กันครบ จึงค่อยออกคำสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เริ่มจุดไฟ ถึงเวลาเดินทางแล้ว”
ทันใดนั้น สมาชิกจำนวนสองคนทำการจุดเทียนไขภายในตะเกียงหนัง ตะเกียงชนิดนี้มีโครงเป็นโลหะ แต่ใช้แผ่นหนังบางเฉียบล้อมรอบสี่ทิศแทนกระจก
ในยามกลางวัน ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ไม่มีความจำเป็นต้องจุดเทียน เนื่องจากสายฟ้าจะมอบความสว่างในทุกสองถึงสามวินาที ไม่เพียงเท่านั้น หน่วยลาดตระเวนยังหมั่นกำจัดสัตว์ประหลาดรอบเมืองอย่างสม่ำเสมอ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลอบโจมตี แต่เมื่อย่างเข้าสู่ยามกลางคืน เทียนไขคือสิ่งห้ามขาด เพราะถ้าปล่อยให้ความมืดสนิทปกคลุมนานเกินกว่าห้าวินาที จะมีโอกาสถูกสัตว์ประหลาดลอบทำร้ายในอัตราสูงมาก
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์น่ากลัวอันดับหนึ่งขณะถูกความมืดปกคลุมมิใช่การถูกสัตว์ประหลาดลอบทำร้าย
เดอร์ริคยังจำเรื่องเล่าสยองขวัญจากปากพ่อและแม่ได้อย่างแม่นยำ
ย้อนกลับไปสมัยพวกเขายังหนุ่มสาว ทั้งคู่อยู่ในทีมสำรวจ และได้รับภารกิจสำรวจลึกเข้าไปในดินแดนอันมืดมิด หลังจากผ่านการต่อสู้กับกองทัพซากศพอย่างยาวนาน ตะเกียงเทียนไขของหน่วยได้หมดลงและเปลี่ยนของใหม่เข้าไปไม่ทันเวลา ความมืดจึงเข้าปกคลุมนานถึงแปดวินาทีเต็ม เมื่อได้รับความสว่างกลับคืนมา สมาชิกของหน่วยได้เหลือเพียงห้า จากเดิมมีแปด และสามคนดังกล่าวมิได้ปรากฏตัวออกมาอีกเลยหลังจากนั้น
เดอร์ริคสูดลมหายใจยาวเข้าปอดพร้อมกับเดินรวมกลุ่มไปกับเพื่อนร่วมทีม ตามหลังผู้นำสูงสุดไปยังทิศทางตามคำสั่ง
เหนือท้องฟ้าด้านบน สายฟ้ากำลังผ่าแลบ มอบความสว่างฉาบทุ่งโล่งซึ่งมีต้นหญ้าสีดำมืดปกคลุม ฉากดังกล่าวงดงามราวกับภาพวาดสีน้ำมันของจิตรกรชื่อดัง
หน่วยสำรวจประกอบด้วยผู้วิเศษสิบชีวิตเดินเรียงกันไปตามทางเดินซึ่งโรยด้วยก้อนกรวด เป้าหมายของพวกมันคือการสำรวจลึกเข้าไปในความมืดมิดอันไร้ก้นบึ้ง
เมื่อสายฟ้าด้านบนหยุดลง บรรยากาศสีดำเข้มข้นได้เข้ามาปกคลุมเกือบทุกซอกมุมของโลกรอบตัว จุดกำเนิดแสงแหล่งสุดท้ายคือตะเกียงเทียนไขหนังสัตว์ประหลาดในมือ
แสงเทียนส่องผ่านแผ่นหนังบางเฉียบ เปลวเทียนกำลังไหววูบอย่างอ่อนโยน ช่วยรักษาชีวิตทุกคนในบริเวณใกล้เคียงเอาไว้
…
เขตตะวันออก ด้านในร้านกาแฟสภาพเก่าโทรมและมันเลื่อม
จากการนัดหมายในคราวก่อน ไคลน์เดินเข้ามาในร้านและพบกับเฒ่าโคห์เลอร์ผู้กำลังปาดเนยลงบนแผ่นขนมปังปิ้ง
ชายหนุ่มชำเลืองซากบุหรี่ยับยู่ยี่บนโต๊ะพลางซักถามด้วยรอยยิ้ม
“เพิ่งซื้อมาหรือ?”
“เปล่า ผมพกติดตัวมานานแล้ว นับตั้งแต่เลิกสูบถาวร เพียงหยิบออกมาดมบ้างเป็นบางคราวเพื่อสูดกลิ่น ฮะฮะ! เวลาดมแล้วทำให้นึกถึงชีวิตอันน่าสมเพชในอดีต ย้อนกลับไปตอนนั้น ผมต้องใช้ชีวิตอยู่บนความหวาดระแวงโดยไม่รู้ว่าจะตายตอนไหน” น้ำเสียงของโคห์เลอร์เจือความกลัวเล็กน้อย
ไคลน์นำเศษเหรียญจำนวนยี่สิบซูลซึ่งแลกเตรียมไว้ออกมาวางกองบนโต๊ะ จากนั้นก็ผลักไปหาอีกฝ่ายขณะทิ้งตัวนั่งลง
“ผมพอใจกับข้อมูลคราวก่อนมาก”
โดยไม่รอให้เฒ่าโคห์เลอร์ถ่อมตัว ชายหนุ่มหันไปทางเคาน์เตอร์และตะโกน
“เจ้าของร้าน ขอขนมปังข้าวโอ๊ตหนึ่งแถว ขนมปังปิ้งสองชิ้น เนยหนึ่งก้อน สเต๊กเนื้อมันฝรั่งหนึ่งจาน และชาเพนนีหนึ่งถ้วย”
ชาเพนนีคือชาราคาหนึ่งเพนนี
“มิสเตอร์โมเรียตี้ เมื่อคืนคุณไม่ได้กินข้าวมาหรือ?” โคห์เลอร์ทำหน้าประหลาดใจพลางใช้มือโกยเหรียญ
ไคลน์ส่ายหัวและยิ้ม
“หลังจากช่วงสายของวันนี้ ผมคงงานยุ่งยาวไปจนถึงช่วงเย็น ไม่น่าจะมีเวลาแวะกินอาหารกลางวัน”
มันจำเป็นต้องแสร้งขยันสืบข่าวการตายของทาลิม เพราะไม่ว่าอย่างไรก็รับเงินจากองค์ชายเอ็ดซัคมาแล้วหนึ่งร้อยปอนด์
เฒ่าโคห์เลอร์ไม่สานต่อบทสนทนา เพียงตั้งใจเก็บเหรียญเข้ากระเป๋าเสื้ออย่างเป็นระเบียบ พลางขยับปากแจกแจงสถานการณ์ในรอบสัปดาห์หลัง
“มีความคืบหน้าเล็กน้อยเกี่ยวกับเงินค่าหัวของอะซิก·อายเกส ได้ยินว่าหัวหน้าแก๊งอันธพาลและพ่อค้าข่าวบางรายเป็นคนตั้งรางวัลนำจับ แต่ผมไม่ทราบลึกไปกว่านี้ ยังหาโอกาสติดต่อคนเหล่านั้นไม่ได้”
MI9… ไคลน์พยักหน้า
“พอแล้ว ไม่ต้องสืบลึกกว่านี้ มันอันตรายเกินไปสำหรับคุณ”
โคห์เลอร์ถอนหายใจผ่อนคลาย
“สองวันก่อนบนถนนผ้าคลุมทอง ใครบางคนพบเบาะแสของอะซิก·อายเกสในโรงแรมราคาถูกแห่งหนึ่ง ข่าวลือระบุว่าอีกฝ่ายมีใบหน้าตรงตามใบค่าหัวทุกประการ”
“…”
หัวใจไคลน์พลันเต้นระรัว แต่ภายนอกเผยเพียงรอยยิ้ม มิใช่อาการตื่นตระหนก
“แล้วหลังจากนั้น? อย่าบอกนะว่าพอผมคิดจะร่วมวงค้นหา ภารกิจก็ถูกปิดทันที?”
“หลังจากนั้น นักล่าค่าหัวทั่วเขตตะวันออกต่างวนเวียนไปยังโรงแรมดังกล่าว แต่ก็ไม่มีใครพบเบาะแสใด จริงสิ ได้ยินว่าภายในห้องมีสัญญาณการต่อสู้” เฒ่าโคห์เลอร์พยายามนึกเค้นความทรงจำ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เบาะแสคงถูกส่งไปหา MI9 เป็นอันดับแรก… มิสเตอร์อะซิกกำลังบาดหมางกับกองทัพจริงหรือ? แล้วผลลัพธ์การต่อสู้ออกมาเป็นเช่นไร…
ไคลน์ชำเลืองไปทางเจ้าของร้านผู้กำลังยกอาหารใส่ถาดมาเสิร์ฟ ก่อนจะกระซิบกับโคห์เลอร์โดยจงใจให้คนนอกได้ยิน
“ช่วยพาผมไปยังโรงแรมบนถนนผ้าคลุมทองด้วย บางทีอาจพบร่องรอยเพิ่มเติม”
เนื่องจากล่วงเลยเวลาอาหารเช้าของชาวตะวันออกมาแล้ว ลูกค้าภายในร้านกาแฟราคาถูกจึงบางตาจนน่าใจหาย
“ตกลง” โคห์เลอร์ตอบรับโดยไม่ลังเล
“สิบหกเพนนีครึ่งครับ” เจ้าของร้านกล่าวพลางวางอาหารของไคลน์ลงบนโต๊ะ
สเต๊กเนื้อมันฝรั่งมีปริมาณไม่มาก และสตูก็ถูกต้มจนสุกเกินพอดี คล้ายกับนำมาอุ่นจากหม้อใหญ่ซึ่งทำเตรียมไว้ล่วงหน้าในปริมาณมาก แต่กลิ่นหอมฟุ้งของอาหารทำให้เฒ่าโคห์เลอร์กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
หลังจากจ่ายค่าอาหาร ไคลน์หยิบช้อนส้อมพร้อมกับส่งสัญญาณบอกสายข่าว
“เชิญเล่าต่อ”
“ไม่มีใครตามหาสาวกของเดอะฟูลแล้ว นอกจากกลุ่มนักล่าค่าหัวหัวรั้นบางคน… สาวโรงงานทอผ้าซึ่งตกงานจำนวนมากจากเหตุการณ์ก่อนหน้า รวมถึงคนงานชายอีกจำนวนหนึ่ง ได้อพยพออกจากเขตตะวันออกอย่างเป็นปริศนา…” เฒ่าโคห์เลอร์ก้มหน้านึก
“อะไรนะ…” ไคลน์กลืนเนื้อชิ้นใหญ่ลงคอและเงยหน้าขึ้น “ออกจากเขตตะวันออก?”
“พวกเขาคงหางานใหม่ได้แล้วกระมัง ในส่วนของจุดหมายปลายทาง ผมเองก็ไม่ทราบเช่นกัน” โคห์เลอร์เล่าทุกสิ่งโดยไม่ปิดบัง
“แม้แต่ครอบครัวพวกเขาก็ไม่ทราบเลยหรือว่าอพยพไปไหน?” ไคลน์ถามจี้
“บางรายออกไปพร้อมสมาชิกครอบครัวซึ่งตกงานเหมือนกัน แต่บางรายก็ออกไปหางานทำตามลำพัง” โคห์เลอร์ลงลึกรายละเอียดเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนสืบหาข้อมูลมาพอสมควร
มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล…
ไคลน์จดบันทึกในใจพลางปล่อยให้เฒ่าโคห์เลอร์เล่าความเป็นไปของเขตตะวันออกในรอบหนึ่งสัปดาห์ผ่านมา
หลังจากนัดแนะเวลานัดหมายของสัปดาห์หน้าเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มวางช้อนส้อมลงและกล่าวกับอีกฝ่าย
“ไปถนนผ้าคลุมทองกันเถอะ”
…
ภายในโรงแรมราคาถูกเพียงแห่งเดียวบนถนนผ้าคลุมทอง
หลังจากเจ้าของรับทิปจากไคลน์จำนวนสองเพนนี มันฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับเดินนำทั้งคู่ไปยังห้องซึ่งสงสัยว่าอะซิก·อายเกสเคยพักอาศัย
“มีนักล่าค่าหัวจำนวนมากแวะเวียนมาขอดูห้องนี้เป็นการเฉพาะ ฮะฮะ! ผมทำเงินจากมันได้ไม่น้อย จึงตัดสินใจไม่ให้ใครเข้าพัก และคงสภาพเดิมไว้อย่างสุดความสามารถ” เจ้าของโรงแรมเปิดประตูห้องพร้อมกับชี้นิ้วเข้าไปข้างใน
ภาพแรก ไคลน์มองเห็นโต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด เศษผ้ากระจัดกระจายทั่วทุกมุม แต่ไม่ปรากฏสัญญาณการต่อสู้รุนแรง
ด้วยสัมผัสวิญญาณอันเฉียบแหลม ไคลน์หันขวับไปทางใต้เตียง
มันยืนจ้องราวสองวินาที จึงค่อยเดินเข้าไปใกล้และโน้มตัวลง ใช้ฝ่ามือตบลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา
ปุ!
ฝุ่นฟุ้งกระจายทันที พร้อมกันการวิ่งพรวดออกมาของหนูสีเทาตัวหนึ่ง
มองผิวเผินจะเหมือนกับหนูปรกติ แต่ในการมองเห็นของเนตรวิญญาณ สีออร่ากลับเป็นเขียวและดำ!
หนูตัวเดิมปีนขึ้นผนังห้องฝั่งติดกับไคลน์ เผยให้เห็นส่วนหนึ่งของช่วงท้อง
ปัจจุบัน ผิวหนังใกล้สะดือของหนูเทามีสีเขียวคล้ำ น้ำหนองน่าขยะแขยงไหลเยิ้ม หากตั้งใจมองจะเห็นอวัยวะภายในกำลังเน่าเปื่อย
ไคลน์รีบชำเลืองไปทางโคห์เลอร์ และพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจหนูตัวดังกล่าวเลย
“มีใครเบิกเงินค่าหัวของอะซิก·อายเกสไปหรือยัง?”
“ยัง” โคห์เลอร์ส่ายหัวหนักแน่น
ไคลน์สำรวจรอบห้องอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับออกมาด้วยสีหน้าผิดหวัง
“ไปกันเถอะ ในนี้ไม่มีเบาะแสสำคัญ”
…
15 ถนนมินส์
ไคลน์ซึ่ง ‘งานยุ่ง’ ตลอดทั้งวัน เอนกายลงบนเตียงและนอนหลับฝันหวาน
ฉากความฝันภาพแล้วภาพเล่าเรียงต่อกันอย่างไหลลื่น จนกระทั่งโลกทั้งใบกลายเป็นสีดำสนิทไปชั่วขณะ ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ไคลน์ ‘ลืมตา’ ตื่นขึ้นอีกครั้ง และตระหนักได้ว่าตนกำลังอยู่ในความฝัน!
โดนบุกรุกความฝันอีกแล้วหรือ…
ชายหนุ่มมองไปรอบตัวเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบัน
มันพบว่าตนกำลังอยู่ท่ามกลางทุ่งกว้างในย่านชนบทแห่งหนึ่ง
ไกลสุดสายตามีลำธารไหลผ่านในแนวนอน สายน้ำเส้นดังกล่าวหักโค้งอ้อมหน้าผาสูงชันเด่นตระหง่านตรงหน้า
ฝั่งหนึ่งของผามีหินสีข้าวโพลนก้อนใหญ่ หากมองจากระยะไกลจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์
ชายหญิงสิบกว่าคนสวมเสื้อโค้ทสีดำหรือแจ็คเก็ตสีดำ กำลังยืนรวมตัวหน้าทางเข้าลับริมลำธาร หนึ่งในนั้นคือคนรู้จักของไคลน์
ไอคานส์·เบอร์นาร์ด
เมืองผาขาว…แม่น้ำสตาร์ฟอร์ด…
จิตแห่งจักรกล…? พวกเขากำลังจะสำรวจสุสานตระกูลอามุนด์? แล้วเราทำไมเราถึงฝันเห็นฉากเช่นนี้?
ไคลน์ขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ
ทันใดนั้น ชายหนุ่มเหลือบเห็นผิวแม่น้ำกำลังกระเพื่อมในลักษณะผิดธรรมชาติ ตามด้วยตัวอักษรสีขาวเด่นชัดใจความว่า :
“ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่าน อาโรเดส จะเริ่มรายงานผลการขุดค้นสุสานให้ท่านได้รับชม ณ บัดนี้”
ไคลน์พลันอ้าปากค้าง มันหมดคำจะกล่าวเป็นเวลานาน จนกระทั่งความคิดหนึ่งผุดขึ้นในสมอง :
เอ็งเพิ่งแนะนำตัวว่าเป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ แต่กลับกำลังทรยศจิตแห่งจักรกลเนี่ยนะ!
……………………
ราชันเร้นลับ 446 : ยุทธวิธีของจิตแห่งจักรกล
โดย
Ink Stone_Fantasy
โดยไม่ต้องใช้เวลานาน ไคลน์เปลี่ยนมาดตัวเองให้กลายเป็นเดอะฟูลผู้ ‘จ้องมองทุกสิ่งจากเบื้องบน’ และพยักหน้ารับ พลางตอบกลับด้วยเสียงเคร่งขรึม
“ทำได้ไม่เลว”
เบื้องหน้าชายหนุ่ม ผิวน้ำบนลำธารเริ่มกระเพื่อมและผุดอักษรประโยคใหม่ :
“ถัดจากนี้จะเป็นฉากปฏิบัติการขุดค้นสุสานซึ่งข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่าน อาโรเดส บันทึกไว้ให้ท่านได้รับชม ท่านยังสามารถเร่งความเร็วหรือย้อนกลับเหตุการณ์ได้ตามใจชอบ”
ข้อความดังกล่าวค้างอยู่ราวสองวินาที จนกระทั่งฉากในนิมิตของไคลน์ ‘ซูมเข้า’ อย่างรวดเร็วและเปลี่ยนเป็นมุมมองจากสายตาของคนปรกติ ชายหนุ่มพบว่าตัวเองกำลังยืนข้างอาวุโสจิตแห่งจักรกล ไอคานส์·เบอร์นาร์ด โดยไม่มีใครตระหนักถึงความผิดปรกตินี้
มองไปรอบตัว ไคลน์รู้สึกราวกับตนกำลังถูกยืนล้อมด้วยคนจริง ไม่มีปัจจัยใจช่วยให้แยกแยะได้ว่านี่คือฉากจำลอง คล้ายกับตนเป็นหนึ่งในทีมขุดค้นสุสานร่วมกับจิตแห่งจักรกลไปแล้ว
สามารถเร่งความเร็ว กดข้าม หรือย้อนกลับได้… ร่างจริงของกระจกวิเศษอาโรเดสต้องเป็นโฮมเทียร์เตอร์แน่… ไคลน์จิกกัดในใจ
ชายหนุ่มสำรวจสมาชิกทุกคนจนพบว่า ทีมนี้ถูกนำโดยนักบวชสวมชุดคลุมสีขาวคนหนึ่ง เหนือศีรษะสวมหมวกใบเล็กของนักบวช สีหน้าแววตาเป็นมิตรและอบอุ่น อากัปกิริยาเป็นไปอย่างสุขุมอ่อนโยน
“เจ้าคุณท่าน สมาชิกทุกคนพร้อมแล้วขอรับ” ไอคานส์เดินเข้าไปใกล้และโค้งศีรษะคำนับอย่างนอบน้อม
อาร์ชบิชอป… ผู้นำสูงสุดของโบสถ์จักรกลไอน้ำประจำมุขมณฑลเบ็คลันด์!
ฮารามิค·ไฮเดิน… จิตแห่งจักรกลจัดลำดับความสำคัญของปฏิบัติการนี้ไว้สูงมาก พวกเขาไม่ประมาทเลยสักนิด…
ไม่แน่ว่า ทีมสำรวจคราวนี้อาจมีสมบัติวิเศษระดับ 1 ติดมาด้วย และคงมีการทำนายตรวจสอบอย่างละเอียดทุกซอกมุมก่อนลงมือแล้ว ต้องไม่ลืมว่าโบสถ์จักรกลไอน้ำครอบครองเส้นทางผู้ส่องความลับไว้ด้วย…
โชคยังดี เราเคยทดสอบและยืนยันได้ว่า ห้วงมิติเหนือสายหมอกมีพลัง ‘แทรกแซงผลทำนาย’ ระดับเดียวกับไพ่เย้ยเทพของโรซายล์ ทุกการทำนายถึงเราจะถูกบิดเบือนให้เป็นผลดีกับตัวเราอย่างกลมกลืน ไม่อย่างนั้น ป่านนี้นักสืบเชอร์ล็อกคงถูกทางการหมายหัวนานแล้ว…
แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า การนัดพบระหว่างเรากับชารอนจะถูกมองเห็น เพราะต่อให้หน่วยพิเศษล่วงรู้เหตุการณ์ดังกล่าวเข้า เป้าหมายการจับกุมของจะไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็นตัวชารอน พลังแทรกแซงของมิติเหนือสายหมอกจึงไม่น่าจะแสดงผลในกรณีนี้… เฮ่อ ได้แต่หวังว่าวิญญาณอาฆาตจะมีพลังต่อต้านผลการทำนายแบบเดียวกัน…
เดี๋ยวสิ… แทบทุกการทำนายของจิตแห่งจักรกลจะพึ่งพาพลังของกระจกวิเศษอาโรเดสไม่ใช่หรือ? หากประเมินจากท่าทีสุดแสนนอบน้อมต่อเรา มีความเป็นไปได้ว่าอาโรเดสจะช่วย ‘เบลอ’ ใบหน้าของชารอนให้…
ไคลน์เริ่มกระจ่าง
มาถึงจุดนี้ ฮารามิค·ไฮเดินวาดสัญลักษณ์สามจุดบนหน้าอก
“เริ่มปฏิบัติการได้ ขอให้พระองค์คุ้มครองเราทุกคน”
ผู้วิเศษเกือบสิบเดินลงไปยังบันไดทางเข้าสุสาน ไคลน์ตามหลังไปไม่ห่าง และยังไม่คิด ‘เร่งความเร็ว’ วิดีโอบันทึกการสำรวจ
มันสงสัยมานานแล้วว่า ผู้วิเศษลำดับกลางและต่ำของจิตแห่งจักรกลจะมียุทธวิธีการรบเป็นเช่นไร นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญในการยลโฉมให้เต็มสองตา
นอกจากนั้นยังจะมีโอกาสได้เห็นรูปแบบการต่อสู้ของครึ่งเทพ รวมไปถึงความลับภายใต้สุสานตระกูลอามุนด์
แม้จะถูกกาลเวลากัดกร่อนมานานกว่าสองพันปี แต่บันไดหินของสุสานกลับยังแข็งแรงโดยไม่มีร่องรอยการผุกร่อน ทีมสำรวจของจิตแห่งจักรกลเดินลงไปจนเกือบสุดทางและได้พบเสาหินรูปทรงไม่สมมาตร รวมถึงรอยขูดด้วยดาบหรือขวานอันเป็นเอกลักษณ์ของยุคสมัยที่สี่
สองฝั่งซ้ายขวามีเสาหินประดับตกแต่งเรียงราย สุดปลายทางเดินเป็นประตูหินบานคู่ขนาดมหึมา เพียงจ้องมองก็รู้สึกถึงความหนัก
บานประตูหินเปิดแง้มอยู่ก่อนแล้ว กว้างพอจะให้ผู้ชายสองเรียงหน้ากระดานเดินเข้าไปพร้อมกัน
จิตแห่งจักรกลไม่รีบร้อน เพียงหยุดสำรวจบริเวณหน้าทางเข้าอย่างละเอียดและไม่พบสิ่งของสำคัญ
“ทำตามแผน หน่วยแรกเข้าไปเก็บกวาด” เมื่อได้รับสัญญาณจากอาร์ชบิชอป อาวุโสไอคานส์กดหมวกลงพร้อมกับหันไปสั่งลูกทีม
เก็บกวาด? ไคลน์ยืนทวนคำอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้ามึนงง
ท่ามกลางความไม่เข้าใจของชายหนุ่ม สมาชิกจิตแห่งจักรกลร่างกายกำยำสองคนทำการวางกล่องสีดำยาวลงบนพื้น
สำหรับกล่องแรก ด้านในมีแท่งโลหะสีดำเงาลักษณะคล้ายปืนใหญ่ ผิวโลหะสลักลวดลายเวทมนตร์ทุกซอกมุม ส่วนอีกกล่องเป็นปืนกลหนักกลไกซับซ้อน ด้านข้างมีสายกระสุนสีทองเส้นยาววางอยู่ในกล่อง
ผู้ใช้ปืนใหญ่บรรจงเดินผ่านบานประตูหินเปิดแง้มอย่างเชื่องช้า ผู้ใช้ปืนกลหนักนำสายกระสุนมาเสียบและเดินตามหลังคนแรกโดยเว้นระยะห่างเล็กน้อย
มองหน้ากันหนึ่งครั้ง ผู้ใช้ปืนใหญ่นำอาวุธประจำกายประทับบ่า และเพียงพริบตา ลวดลายเวทมนตร์บนผิวโลหะเริ่มส่องแสงพร้อมกับเสียงระเบิดคำรามก้องกังวาน
เปรี้ยง—!
ลูกบอลเพลิงลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ย่อส่วนพุ่งออกจากปากกระบอกปืนใหญ่เข้าไปในความมืดมิดเบื้องหน้า
บึ้มมมมมมม!
ผืนดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย แสงสว่างส่องออกจากรอยแยกท่ามกลางความมืด
ผู้ใช้ปืนใหญ่เซถอยหลังราวสามก้าว ขาสองข้างเผยอาการสั่นระริกชัดเจน
บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!
มันยังคงกระหน่ำยิงด้วยกระสุนปืนใหญ่ศักดิ์สิทธิ์อีกหลายนัดในจุดต่างกัน ถึงแม้จะมีการสั่นสะเทือนของพื้นอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่มีฝุ่นควันฟุ้งกระจายจากเพดาน
หลังจากหยุดยิง ผู้ใช้ปืนใหญ่เดินถอยกลับโดยให้ผู้ใช้ปืนกลเข้าไปยืนแทน
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงกลหนักดังระรัวชุดใหญ่ กระสุนสีทองซีดจำนวนมากพุ่งจากปลายกระบอกเข้าไปในความมืดมิด จุดประสงค์คือการขจัดสิ่งแปลกปลอมทางวิญญาณให้ราบคาบ
…นี่มันยุทธวิธี ‘ยิงถล่ม’ ในฝันของเราเลยไม่ใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ได้ใช้กระสุนธรรมดา แต่เป็นสิ่งฟุ่มเฟือยราคาสูงจำพวกกระสุนชำระล้างและกระสุนปืนใหญ่ปัดเป่า…
ร่ำรวยฉิบหาย!
นี่น่ะหรือยุทธวิธีรบของจิตแห่งจักรกล…
ไคลน์จ้องมองปฏิบัติการด้วยดวงตาลุกวาวและริมฝีปากอ้ากว้าง
หลังจากการยิงถล่มชุดใหญ่จบลง ไอคานส์ตะโกนออกคำสั่งท่ามกลางเสียงสะท้อนซึ่งยังคงดังอื้ออึง
“หน่วยสอง เก็บกวาดสมทบ”
ยังจะมีอีกหรือ… ไคลน์ไม่อยากเชื่อหู
หน่วยสองยังคงประกอบด้วยสมาชิกจำนวนสองคนผู้ใช้ม้วนคาถาหนังหลายชนิด
พวกมันเปล่งคาถาไม่ซับซ้อนพร้อมกับถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปเพื่อเปิดใช้งาน จากนั้นก็ขว้างม้วนกระดาษเข้าไปในความมืด
เพียงพริบตา แสงสว่างเจิดจ้าได้สาดส่องปกคลุมทุกซอกมุมของห้องด้านหลังประตูหิน ถัดมาอีกหนึ่งอึดใจ ‘ฝนศักดิ์สิทธิ์’ สีทองอร่ามเริ่มโปรยปรายลงมาจากเพดาน ทุกสิ่งในบริเวณล้วนถูกชำระล้างจน ‘สะอาด’
ไคลน์จ้องมองพฤติกรรมของหน่วยพิเศษด้วยสีหน้าเหนือความคาดหมาย มันเกิดคำถามทันที
พวกนายไม่ได้หลงใหลการขุดค้นสุสานอย่างสุนทรีย์หรอกหรือ? ไม่ใช่ว่าจิตแห่งจักรกลเป็น ‘นักโบราณคดี’ มืออาชีพหรือไง? แล้วทำไมถึงไม่เกรงกลัวว่าสุสานจะถล่มลงจากวิธีการอันป่าเถื่อนเลยสักนิด!
ขณะเกิดความคิดดังกล่าว หน่วยสองได้เสร็จสิ้นการเก็บกวาดและหันไปตะโกนกับไอคานส์·เบอร์นาร์ด
“ท่านอาวุโส ไม่ผิดไปจากความคาดหมายเลยสักนิดครับ! โครงสร้างภายในของสุสานแข็งแรงจนน่าเหลือเชื่อ!”
พวกเขาคำนวณไว้แล้ว…
“อืม เริ่มการสำรวจ” ไอคานส์ออกคำสั่ง
ไคลน์เดินตามพวกมันผ่านประตูหินบานใหญ่เข้าไป ภาพแรกด้านหลังประตูคือ เศษหินก้อนเล็กรวมถึงเศษผงกระจัดกระจายเต็มพื้นลานกว้าง ไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งเหล่านี้เคยเป็นวัตถุชนิดใดมาก่อน หรือเคยมีสัตว์ประหลาดชนิดใดอาศัยอยู่ด้านใดบ้าง
หรือถ้ามีกลไกและกับดัก เห็นทีก็คงจะไม่เหลือซากเช่นกัน…
เมื่อต้องเผชิญการ ‘เก็บกวาด’ ดังกล่าว หากไม่มีการเตรียมตัวรับมือไว้ก่อน ผู้วิเศษลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพทุกเส้นทางคงแทบไม่มีโอกาสรอด…
ไคลน์เริ่มหลงใหลพลังทำลายล้างอันป่าเถื่อนของการยิงถล่ม มันทั้งเรียบง่าย ซื่อตรง และเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
การสำรวจในห้องถัดๆ ไปค่อนข้างจำเจ ยุทธวิธีแบบเดิมถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง เปิดฉากด้วยการถล่มปืนใหญ่ กลหนัก ตามด้วยม้วนคาถาเวทมนตร์นานับชนิด จิตแห่งจักรกลสามารถสำรวจสุสานได้โดยปราศจากรอยขีดข่วน ระหว่างทางยังรวบรวมตะกอนพลังและวัตถุมีค่าได้อีกหลายชิ้น
“ไม่มีจิตรกรรมฝาผนัง…” เมื่อสำรวจห้องหลักของสุสานจนรอบ อาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์จักรกลไอน้ำ ฮารามิค·ไฮเดิน พึมพำกับตัวเอง
ได้ยินเช่นนั้น นักศึกษาภาควิชาประวัติศาสตร์อย่างไคลน์เริ่มฉุกคิดได้
ตามปรกติแล้ว สุสานของตระกูลขุนนางมักมีจุดประสงค์เพื่อ ‘อวด’ ความยิ่งใหญ่และเกียรติยศสมัยพวกมันยังมีชีวิต
เมื่อเป็นตระกูลใหญ่ หลุมศพธรรมดาจึงพัฒนาเป็นสุสานและมหาสุสาน ทำให้ยิ่งมีผนังว่างพอสำหรับแขวนภาพวาดหรือละเลงภาพจิตรกรรม ภาพเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อบอกเล่าความยิ่งใหญ่ของผู้หลับใหลด้านใน
ยิ่งเป็นตระกูลขุนนางยุคเก่าแก่ยิ่งได้รับความนิยม เพราะเหนือสิ่งอื่นใด มนุษย์เรียนรู้การวาดภาพก่อนการเขียนตัวหนังสืออยู่แล้ว
ทั้งหมดทั้งมวลสรุปได้ว่า สำหรับหลุมศพตระกูลขุนนางจากยุคสมัยที่สี่ การขาดหายไปของจิตรกรรมผาหนังคือสิ่งไม่ปรกติ
เมื่อได้ยินคำถามจากอาร์ชบิชอป ไอคานส์รีบสั่งให้สมาชิกจิตแห่งจักรกลแยกย้ายออกไปค้นหาเบาะแสในละแวกใกล้เคียง
เหตุการณ์ปัจจุบันทำให้ไคลน์นึกอยาก ‘เร่งความเร็ว’ ไปอีกสักนิดเพื่อดูผลลัพธ์
แต่ทันใดนั้น มันเริ่มตระหนักว่าจิตแห่งจักรกลสองคนตรงมุมซ้ายของห้อง ได้เพิ่มจำนวนกลายเป็นสามคน!
หนึ่งในนั้นมีใบหน้าเหมือนกับไอคานส์ทุกประการ ไม่ว่าจะหมวกใบใหญ่หรือเส้นผมแข็งกระด้างไม่เป็นทรง
นี่มัน… ไคลน์ตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะรีบตั้งสติเพ่งมองเหตุการณ์
ระหว่างนั้น ไอคานส์ตัวปลอมได้เดินไปทางสมาชิกทั้งสอง
“พบอะไรไหม” มันกระแอมก่อนกระซิบ
ชายคนดังกล่าวรีบหันมามองอย่างตกใจ ก่อนจะทำสีหน้าโล่งอกเมื่อเห็นว่าเป็นไอคานส์
“ไม่คร—”
ยังไม่ทันจะกล่าวจบประโยค ไอคานส์ตัวปลอมได้เปลี่ยนร่างเป็นแผ่นหนังมนุษย์ผืนใหญ่พร้อมกับพุ่งเข้าไปห่อหุ้มจิตแห่งจักรกลอันเป็นเป้าหมาย
หนังมนุษย์ขาวซีดโอบล้อมร่างกายเหยื่อและเริ่มเลียนแบบเค้าโครงร่างกาย หรือแม้แต่รูปพรรณสัณฐานก็ยังเหมือนกับเหยื่อทุกกระเบียดนิ้ว ไม่มีเสียงใดดังแปลกปลอมขณะเกินเหตุการณ์ ไม่มีกระทั่งการเคลื่อนไหวอันผิดปรกติ
ทันใดนั้น ‘หนังมนุษย์’ เริ่มส่องสว่างในลักษณะของริ้วแสงสีขาวคล้ายกับดวงอาทิตย์ระเบิดจากด้านใน
หนังมนุษย์รีบสลัดหลุดจากร่างเหยื่อพร้อมกับลอยขึ้นไปในอากาศด้วยสภาพลุกไหม้
ทันใดนั้น แส้สีดำฟาดใส่จากมุมอับ หวดปะทะร่างหนังมนุษย์อย่างจังจนการเคลื่อนไหวของมันช้าลง
ในการต่อสู้อันดุเดือด หากถูกทำให้เชื่องช้าก็ไม่ต่างอะไรกับตายไปแล้วครึ่งตัว เหตุการณ์หลังจากนั้นไปเป็นตามคาด จิตแห่งจักรกลรุมถล่มโจมตีนานับชนิดเข้าใส่ ไม่ว่าจะเป็นกระสุนสีทอง ม้วนคาถาลุกโชน และการโจมตีทางกายภาพชนิดอื่น
หลังจากภายในห้องเต็มไปด้วยแสงสว่างอยู่พักใหญ่ ซากขี้เถ้าสีดำได้โปรยลงบนพื้น
เศษซากทุกส่วนยังคงส่องแสงเจือจางและเริ่มไหลกลับมารวมกันเป็นจุดเดียว
เงามืดหนังมนุษย์…! ไคลน์รีบหันไปมองจิตแห่งจักรกลผู้ตกเป็นเหยื่อการโจมตีเมื่อครู่
ชายคนดังกล่าวปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนสุดและล้วงบางสิ่งออกมา มันคือแผ่นยันต์โลหะสลักลวดลายดวงอาทิตย์
“ขอบคุณพระองค์! ขอบคุณท่านอาร์ชบิชอปผู้บอกให้พวกเราสวมสิ่งนี้ก่อนออกมา!” มือข้างหนึ่งถือตะเกียง อีกข้างกำยันต์พลางสรรเสริญ
ไคลน์เริ่มสังเกตเห็นว่าชายคนนี้ติดเข็มกลัดรัตติกาล สวมแหวนวายุสลาตัน และคาดเข็มขัดหนังเพิ่มพละกำลัง…
แม้ว่าทั้งหมดนี้จะไม่ใช่สมบัติวิเศษ เป็นเพียงวัตถุในหมวดหมู่ยันต์และอาวุธวิเศษซึ่งจะเสื่อมพลังวิญญาณลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่ราคาของแต่ละชิ้นก็ไม่ได้ถูก! ถ้าไม่ใช้ช่างฝีมือหรือผู้วิเศษร่ำรวย การครอบครองทั้งหมดไว้ในคนเดียวแทบจะเป็นไปไม่ได้… นี่น่ะหรือยุทธวิธีการรบของจิตแห่งจักรกล…
สู้ด้วยอำนาจเงินตรา!
ไคลน์หมดคำจะกล่าวเป็นเวลานาน
ทันใดนั้น ซากเงามืดหนังมนุษย์ได้รวมตัวกันเป็นตะกอนพลังลักษณะคล้ายเพชรเม็ดใหญ่ ทุกด้านหน้าตัดของเพชรจะส่องแสงแวววาว แต่ละด้านปรากฏภาพใบหน้ามนุษย์จำนวนมากแตกต่างกันออกไป
เมื่อภาพใบหน้ามากมายซ้อนทับกันในลักษณะน่าขนลุก ไคลน์ผู้จ้องมองเข้าไปเริ่มเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ
เรากำลังขาดสิ่งนี้พอดี…! ชายหนุ่มตื่นเต้น
เมื่อจิตแห่งจักรกลเก็บตะกอนพลังไป พวกมันเริ่มสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบภาพจิตรกรรมฝาหนึ่งซึ่งควรจะมี
ไม่มีทางเลือก ทุกคนกลับไปออกไปยังทางเดินมายังห้องสุสานหลัก
……………………
ราชันเร้นลับ 447 : ภาพวาด
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อกลับมายังทางเดิน จิตแห่งจักรกลได้พบกับช่องทางลับสำหรับตรงไปยังอีกหนึ่งห้องขนาดใหญ่
ยุทธการเดิมถูกนำมาใช้อีกครั้ง เปิดฉากด้วยการยิงถล่มด้วยอาวุธหนัก ใส่ทางเดินยาวตรงหน้าซึ่งยังเป็นปริศนา
เพียงไม่นาน พื้นดินได้เต็มไปด้วยเศษหินและซากปรักหักพัง ขณะเดียวกันก็พบตะกอนพลังรูปเพชรสะท้อนใบหน้ามนุษย์ตกอยู่ตรงมุมทางเดินฝั่งขวา ใกล้กับจุดดังกล่าวยังมีตะกอนพลังส่องแสงอีกสองสามชิ้นตกอยู่
ท่ามกลางทางเดินยาว พื้นผิวทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นผนังหรือเพดานล้วนเต็มไปด้วยหลุมบ่อของกระสุนปืนใหญ่ แต่มีหนึ่งสิ่งบนทางเดินกลับไม่เปลี่ยนไปเลย แม้จะถูกเก็บกวาดอย่างหนักหน่วงด้วยวิธีการแข็งกร้าว
กรอบรูปภาพ
ห่างออกไปด้านหน้าราวเจ็ดแปดเมตรจะมีกรอบรูปภาพสีน้ำตาลลวดลายโดดเด่นแขวนอยู่ด้านบน จากมุมปัจจุบันของไคลน์จะมองเห็นได้เพียงครึ่งเดียว
โดยไม่ต้องรอให้ใครกล่าวสิ่งใด ผู้วิเศษทุกคนล้วนเข้าใจตรงกันทันทีว่ามีความผิดปรกติบางอย่างเกี่ยวกับกรอบรูปดังกล่าว
ทันใดนั้น อาร์ชบิชอปประจำโบสถ์เทพจักรกลไอน้ำ ฮารามิค·ไฮเดิน ทำการก้าวขาออกไปด้านหน้าและเปล่งเสียงอ่อนโยน
“นี่คงเป็น ‘กรอบรูปวิญญาณ’ ของตระกูลอามุนด์ตามข้อมูลในบันทึก หากอยู่ในระยะแสดงผล ร่างวิญญาณจะถูกบังคับให้แยกออกจากร่างเนื้อและนำไปขังไว้ในกรอบรูป หากมีร่างวิญญาณของเหยื่อรายใหม่ถูกดึงเข้าไปแทน เหยื่อรายเก่าจะหายไปจากโลกเป็นการถาวร ไม่มีทางช่วยเหลือกลับมาได้อีก หากเหยื่อในภาพถูกขังไว้เป็นเวลานานเกินไป ร่างเนื้อด้านนอกก็จะเสื่อมสภาพจนใช้การไม่ได้ และถ้าใครพยายามทำลายผนึกของกรอบรูป วิญญาณด้านในจะเริ่มสลายตัวด้วยความเร็วสูงกว่าปรกติ”
ขณะกล่าว ฮารามิคเดินตรงไปหากรอบรูปทีละก้าวโดยไม่ยำเกรง
ไคลน์พลันตื่นตัว มันรีบเบือนหน้าหนีเพราะกังวลว่าการต่อสู้ระหว่างครึ่งเทพกับสมบัติปิดผนึกจะทำให้ตนพลอยโดยลูกหลงไปด้วย แต่เพียงไม่กี่อึดใจเริ่มตระหนักว่า ตนกำลังรับชม ‘วิดีโอบันทึกเหตุการณ์’ จากกระจกวิเศษอาโรเดสอยู่ จึงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอันตรายใดในนิมิตความฝัน
คงเหมือนกับการดูหนังผี หรือไม่ก็กำลังเล่นเกมน่ากลัว… ไคลน์เรียกสติกลับมาพร้อมกับเร่งฝีเท้าเดินตามหลังฮารามิค·ไฮเดินให้ทัน
ขณะอาร์ชบิชอปครึ่งเทพย่างกรายเข้าใกล้วัตถุซึ่งควรถูกผนึกด้วยวิธีพิเศษ รูปพรรณสัณฐานของฮารามิคเริ่มปรากฏบนผิวกระจกกรอบรูปในลักษณะเลือนราง เป็นภาพนักบวชสวมหมวกใบเล็กสีขาวและเสื้อคลุมสีขาว
กระจก… กระจกในยุคสมัยที่สี่เนี่ยนะ?
ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น… แต่จากตำราทางประวัติศาสตร์ กระจกจะปรากฏครั้งแรกในยุคสมัยที่ห้าโดยไม่มีการระบุชื่อของนักประดิษฐ์…
ไคลน์กำลังเฝ้ารอ ‘การต่อสู้’ ระหว่างครึ่งเทพและสมบัติปิดผนึกด้วยใจจดจ่อ
ทันใดนั้น ภาพครึ่งลำตัวบนของฮารามิคได้ปรากฏบนกรอบรูปวิญญาณอย่างคมชัด แต่ดวงตาของอาร์ชบิชอปครึ่งเทพกลับมิไม่สูญเสียความแวววาวตามทฤษฎี
ฮารามิคยังคงย่างกรายเข้าใกล้กรอบรูปอย่างใจเย็นทีละก้าวโดยปราศจากอาการสั่นคลอน
ถึงแม้ภาพของอาร์ชบิชอปในกรอบรูปจะสมบูรณ์แล้วก็ตาม แต่มันไม่อยู่นิ่ง กรอบภาพยังคงสั่นคล้ายกับขั้นตอนของมันยังไม่เสร็จ
ฮารามิคหยุดยืนหน้ากรอบรูปวิญญาณและนำผ้าสีดำผืนใหญ่ซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้าออกมาคลุมกรอบรูป
กรอบรูปวิญญาณเริ่มพยศอย่างรุนแรงอยู่นานคล้ายกับต้องการดิ้นรนขัดขืน แต่จนแล้วจนรอด เพียงไม่นานมันก็หยุดนิ่งและถูกผ้าสีดำห่อไว้อย่างมิดชิด
ฮารามิคผู้ปราศจากรอยขีดข่วนทำการปลดกรอบรูปวิญญาณในผ้าดำลงมาอย่างง่ายดาย ก่อนจะยื่นมาทางไอคานส์
นี่มัน… ผิดหลักศาสตร์เร้นลับ… เขาเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าร่างวิญญาณของเหยื่อจะถูกดึงเข้าไปขังในกรอบรูป แล้วทำไมอาร์ชบิชอปถึงยังสบายดี? เป็นความพิเศษของครึ่งเทพ? หรือเป็นเพราะเหตุผลอื่น?
ไคลน์สำรวจฮารามิคหัวจรดเท้า แต่ก็ไม่พบความผิดปรกติใดเลย
ดวงตายังคงมีชีวิตชีวา ใบหน้าอบอุ่นและอ่อนโยน ผิวหนังเปล่งปลั่ง… น่าเสียดาย เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จริง ไม่อย่างนั้นเนตรวิญญาณคงพอจะบอกอะไรได้บ้าง…
ไคลน์เบือนสายตาออกจากฮารามิค หันมาจ้องสมาชิกจิตแห่งจักรกลคนอื่นซึ่งกำลังทยอยเดิมตามเข้ามา
ฮารามิคยื่นห่อผ้าสีดำบรรจุกรอบรูปวิญญาณให้กับสมาชิกในทีมคนหนึ่ง ก่อนจะเดินตรงต่อไปทางห้องหลักแท้จริงของสุสาน
สุดทางเดินเป็นบานประตูหินสีดำ ผิวหินมีลวดลายการขูดอย่างหยาบด้วยดาบและขวาน กึ่งกลางบานประตูเป็นสัญลักษณ์คล้ายแผ่นจานสีเทา
ผิวจานถูกแบ่งออกเป็นสิบสองส่วนในลักษณะไม่เท่ากัน เข็มยาวขนาดเล็กพาดออกมายังขอบแผ่นจาน มองผิวเผินจะคล้ายกับนาฬิกาแขวนผนังอย่างมาก
แต่จุดต่างคือ ส่วนหน้าปัดซึ่งควรจะถูกแบ่งสิบสองส่วนอย่างเท่าเทียมกลับไม่เท่าเทียม ขนาดแต่ละส่วนแตกต่างกันอย่างไม่มีแบบแผน เล็กบ้างใหญ่บ้าง แถมแต่ละช่องก็ยังถูกบดบังด้วยเงาไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“ตราประจำตระกูลอามุนด์” ฮารามิคอธิบายอย่างคร่าว
มันไม่สามารถเจาะลึกถึงรายละเอียดเชิงความหมายของตราดังกล่าว เพราะนอกจากอาวุโสไอคานส์·เบอร์นาร์ด สมาชิกคนอื่นในทีมยังไม่มีสิทธิ์รับรู้
ในทางกลับกัน ไคลน์กำลังอาศัยข้อมูลมากมายในหัวตัวเพื่อพยายามถอดรหัส
แผ่นจาน สิบสองส่วน และเข็มยาว เมื่อนำมารวมกันแล้วจะหมายถึงเวลา หรือไม่ก็กาลเวลา นับว่าสอดคล้องกับหนอนกาลเวลาของอามุนด์ซึ่งปรากฏขึ้นหลังจากร่างแยกของอามุนด์ถูกทำลายสิบสองส่วนอันควรจะเท่าเทียมแต่กลับไม่เท่ากัน รวมถึงเงาสีดำปกคลุมทุกส่วนอย่างละครึ่ง แปลว่าตระกูลอามุนด์คือด้านมือแห่งกาลเวลา? แล้วทำไมถึงไม่มีสัญลักษณ์เกี่ยวข้องกับฉายา ‘ตระกูลเย้ยเทพ’ เลยสักนิด?
ขณะไคลน์เค้นสมอง ฮารามิค·ไฮเดินใช้มือผลักประตูหินของห้องหลักเข้าไปโดยไม่คิดป้องกันตัว
เมื่อบานหินลักษณะเหมือนจะหนักเลื่อนเปิดออก ภาพของห้องกว้างโอ่โถงด้านในได้ปรากฏสู่สายตาไคลน์
ใจกลางห้องเป็นพื้นยกระดับ มีขั้นบันไดสำหรับเดินขึ้น ด้านบนพื้นยกระดับมีโลงศพสีดำวางอยู่
ผนังห้องทุกทิศล้วนมีเชิงเทียนเหล็กวางเรียงราย ยอดเชิงเทียนทุกก้านยังมีเทียนไขสีขาวกำลังลุกไหม้อย่างอ่อนโยน
เปลวไฟไม่วูบวาบ ทั้งสงบนิ่งและเงียบงันจนน่าเหลือเชื่อ คล้ายกับไคลน์กำลังมองเข้าไปในภาพถ่ายไร้ชีวิต บรรยากาศเหมือนกับไม่เคยถูกใครรบกวนตลอดสองพันปี
เมื่อกวาดสายตาไปรอบห้อง ชายหนุ่มพบว่าระหว่างทางเดินไปยังโลงศพสีดำ มีศพจำนวนมากนอนเรียงกันบนพื้นอยู่ก่อนแล้ว เครื่องแต่งกายประกอบด้วยเสื้อโค้ทขนสัตว์ หมวกทรงกึ่งสูง ไปจนถึงชุดคนงานและหมวกแก๊ปราคาถูก เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพวกมันเพิ่งตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้ได้ไม่นาน
หนึ่งในนี้คือเพื่อนมาริค? กลุ่มสำรวจจากชุมนุมลับดังกล่าว? พวกเขาผ่านด่านข้างหน้ามาได้ยังไง? โดยเฉพาะกรอบรูปวิญญาณนั่น… แถมบรรดาสัตว์ประหลาดและเงามืดหนังมนุษย์ก็ยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งเมื่อครู่…
ขณะครุ่นคิดหาคำตอบ ชายหนุ่มตัดสินใจเพ่งมองศพเพื่อสำรวจหาเบาะแส
ทันใดนั้น ฉากตรงหน้าทำให้มันแทบหยุดหายใจ
ศพทั้งหมดมีสีผมขาวโพลน ผิวหนังเหยี่ยวย่นและเต็มไปด้วยริ้วรอยหยาบกร้าน ลักษณะคล้ายกับคนอายุแปดสิบถึงเก้าสิบปี
ไม่มีบาดแผลภายนอกแม้แต่แห่งเดียว ราวกับเสียชีวิตจากอายุขัยตามธรรมชาติ และเหนือสิ่งอื่นใจ การตรวจสอบเบื้องต้นระบุศพเพิ่งตายไม่ได้นาน เพราะยังไม่แสดงอาการเน่าเปื่อยให้เห็น
โดยทั่วไปแล้ว ผู้วิเศษอายุมากขนาดนี้มักไม่คิดสำรวจสุสานเองแน่ หรือต่อให้หวังรวยทางลัด แต่ก็คงเลือกจ้างหนุ่มสาวแข็งแรงให้มาเป็นผู้ช่วยสักคนสองคนอยู่ดี ไม่ใช่แก่ล้วนเช่นนี้…
เป็นความตายอันไม่ปรกติเลยสักนิด!
ไคลน์ขมวดคิ้วและพยายามวิเคราะห์
มันหวนนึกถึงหนอนกาลเวลาซึ่งปรากฏขึ้นหลังจากร่างแยกอามุนด์ถูกทำลาย รวมถึงตราประจำตระกูลอามุนด์อันมีลักษณะคล้ายนาฬิกาแขวนบนประตูหิน
หนึ่งในพลังของตระกูลอามุนด์คือการเร่งอายุขัยเป้าหมาย? ด้านมืดของกาลเวลา… หรือจะเป็นการช่วงชิงอายุขัยของเหยื่อมาเพิ่มให้กับผู้ใช้พลัง? ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า เจ้าของสุสานจงใจปล่อยให้คนเหล่านี้หลุดมาจนถึงห้องหลัก เพราะหวังช่วงชิงอายุขัยมาเป็นของตัวเอง…
คิดได้เช่นนั้น ไคลน์รีบหันไปจ้องโลงศพสีดำบนพื้นยกระดับกลางห้อง
ขณะเดียวกัน ฮารามิค·ไฮเดินยกแขนซ้ายขึ้นเป็นเชิงห้าม ก่อนจะลดมือลง
“พวกคุณรอตรงนี้ก่อน”
“ขอรับ เจ้าคุณท่าน” ไอคานส์และสมาชิกในทีมขานตอบโดยไม่ลังเล
ในฐานะผู้วิเศษถูกกฎหมายของทางการ พวกมันย่อมมีโอกาสอ่านแฟ้มคดีโด่งดังมากมาย และตระหนักว่าภายใต้สถานการณ์อันตรายเช่นนี้ การเชื่อฟังคำสั่งครึ่งเทพคือสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด หากลงมืออย่างบุ่มบ่ามและไม่คิดหน้าหลังให้ดี อาจถึงแก่ความตายโดยยังไม่ทันจะทราบสาเหตุ
ฮารามิคมองตรงไป สายตากระทบเข้ากับภาพวาดกลับหัวของใครบางคนซึ่งถูกแขวนไว้ด้านล่างตรงฐานของพื้นยกระดับ
อาร์ชบิชอปเดินดุ่มเข้าไปทันทีโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ไม่คิดเตรียมตัวสักหน่อยหรือ? ไอ้นิสัยบุ่มบ่ามนี่เป็นเอกลักษณ์ของครึ่งเทพทุกคนเลยหรือไง?
ไคลน์ทำได้เพียงยืนมึนงง
สมองกำลังจินตนาการภาพฮารามิคฟันร่วงหมดปาก เส้นผมกลายเป็นสีขาวหงอกและเหี่ยวแห้ง ผิวหนังเหี่ยวย่นหยาบกร้านจากผลของการแก่ชรากะทันหัน
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว
ทันใดนั้น ฮารามิคผู้เหมือนจะไม่เป็นอะไรในภายนอก ร่างกายเริ่มแสดงอาการสั่นกระตุก ตามด้วยเสียง ‘บด’ แปลกประหลาดดังมาจากด้านในลำตัว
ความเร็วลดลงชัดเจน ผิวหนังเริ่มแห้งซีด
แปลกมาก… มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล นี่ไม่ใช่ลักษณะการแก่ชราของมนุษย์ตามปรกติ… แล้วยังมีเสียงบดพิสดารนั่นอีก…
สมองไคลน์เร่งคิดหาคำตอบ
สี่ก้าว ห้าก้าว หกก้าว
ในวินาทีนี้ ร่างกายฮารามิคส่งเสียงฉีกขาดพร้อมกับการร่วงหล่นของบางสิ่ง
กิ๊ง!
ไคลน์มองตามโดยไม่รู้ตัว และได้พบกับเฟืองหนึ่งชิ้น
เฟืองขึ้นสนิม!
ฮารามิคยังคงเดินต่อไปโดยมีวัตถุชิ้นแล้วชิ้นเล่าหลุดออกจากร่างกายตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นนอตขึ้นสนิม ขี้ผึ้งละลาย กระดูกสีเหลืองซีด และสปริงหลวม ร่างกายอาร์ชบิชอปผอมลงและเริ่มขาดความมั่นคง ประหนึ่งพร้อมทิ้งตัวล้มลงได้ทุกเวลา
เหมือนกับหุ่นยนต์ไม่มีผิด… ไม่สิ ถ้าอิงตามยุคสมัยปัจจุบันคงต้องเรียกว่า ‘หุ่นกล’ …
ไคลน์พลันกระจ่าง
ชายหนุ่มยังไม่ลืมว่า ก่อนลุงนีลล์จะตาย อีกฝ่ายระบุว่าลำดับ 4 ของโบสถ์พระแม่ธรณีเชี่ยวชาญด้าน ‘เสริมแกร่งชีวิต’ และลำดับ 4 ของเส้นทางนักปราชญ์ก็มีพลังคล้ายคลึงกันมาก สามารถใช้ทดแทนได้
ในส่วนของฮารามิค ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายคนนี้คือครึ่งเทพบนเส้นทางนักปราชญ์!
ฮารามิคตรงหน้าเราไม่ใช่ตัวจริง เป็นเพียงตุ๊กตากลฝีมือประณีต และคำถามว่าทำไมกรอบรูปวิญญาณถึงทำอะไรเขาไม่ได้ ก็เพราะตุ๊กตากลตัวนี้ไม่มีร่างวิญญาณ! ตัวจริงคงอยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร… สมกับครึ่งเทพ…
ขณะไคลน์ตาสว่าง อาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์จักรกลไอน้ำเดินไปถึงส่วนฐานของพื้นหินยกระดับ จากนั้นก็ทำการ ‘กลับ’ ภาพวาดกลับหัวให้อยู่ในตำแหน่งถูกต้อง
ในทางทฤษฎี ขณะกำลังสำรวจสุสานเกี่ยวกับผู้วิเศษ หนึ่งในพฤติกรรมห้ามกระทำโดยเด็ดขาดคือการกลับหัวท้ายภาพวาดส่งเดช!
แต่ฮารามิคเลือกทำในสิ่งตรงข้าม
ทันใดนั้น สายลมกระโชกพลันพัดผ่านอย่างเกรี้ยวกราดภายในห้องปิดตาย ก่อนจะสลายตัวในเวลาถัดมาพร้อมกับการหายไปของผนึกบางอย่างรอบตัวทุกคน
เพล้ง!
เพียงพริบตา เปลวเพลิงบนเทียนไขเริ่มลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่งไส้ผ้าและเนื้อเทียนละลายหายไปในพริบตา
ศพคนแก่บนพื้นเริ่มเน่าเปื่อยและส่งกลิ่น
ภายในไม่กี่วินาที เทียนไขทุกเล่มรอบผนังได้ดับสนิทโดยสมบูรณ์ เกิดเป็นบรรยากาศมืดสลัวน่าหวาดหวั่น ความสว่างเดียวมาจากตะเกียงในมือจิตแห่งจักรกล
ฮารามิคโน้มตัวลง หยิบภาพวาดขึ้นมาและเดินต่อไปทางโลงศพสีดำ
หลังจากหยุดยืนข้างโลง มันออกแรงผลักฝาโลงศพให้เปิดออก
แอ๊ด—
ฝาโลงศพเลื่อนเปิดออกอย่างง่ายดายพร้อมกับเสียงเสียดสี ลักษณะคล้ายกับไม่เคยถูกลงกลอนหรือตอกตะปูปิดตายมาก่อน
ฮารามิคก้มมองพลางกล่าวเสียงเรียบ
“ไม่มีศพ”
ไคลน์เดินไปดูในระยะใกล้ และพบว่าด้านในโลงเกือบจะว่างเปล่า มีเพียงเครื่องเรือนสีทองสลักลวดลายหนอนสิบสองวงแหวนวางด้านข้าง
ทันใดนั้น ฮารามิคหันไปมองทางอื่นจนเผยให้ไคลน์กับไอคานส์เห็นภาพวาดในมือ
เพียงชำเลือง ไคลน์แทบหยุดหายใจ
ตัวเอกของภาพวาดคือชายวัยหนุ่ม
ดวงตาสีดำ เส้นผมสีดำหยักศกเล็กน้อย
หน้าผากกว้าง คางเรียว
ดวงตาข้างหนึ่งสวมแว่นคริสตัลขาเดียว
เหนือศีรษะสวมหมวกดำปลายแหลม
อามุนด์!
……………………
ราชันเร้นลับ 448 : คาดเดาตัวจริงอามุนด์
โดย
Ink Stone_Fantasy
อามุนด์…! ไคลน์พึมพำ
เดิมที ชายหนุ่มเคยคิดว่าผู้เย้ยเทพในเมืองเงินพิสุทธิ์บนดินแดนเทพทอดทิ้ง คือหนึ่งในลูกหลานของตระกูลอามุนด์ผู้พัฒนาตัวเองทีละนิดจนไต่เต้าไปถึงระดับครึ่งเทพ แต่ข้อมูลล่าสุดทำให้ไคลน์ต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่ทั้งหมด บางที อามุนด์คนนั้นอาจอยู่มานานกว่าสองพันปีและเป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูลมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สี่!
ตำนานผู้ยังมีลมหายใจ… แล้วทำไมถึงต้องสร้างหลุมศพให้ตัวเอง การทำเช่นนี้ไม่น่าจะเป็นลางดีสักเท่าไร…แกล้งตายเพื่อให้รอดพ้นจากสถานการณ์บางอย่าง? หรือจะทำไปเพราะเหตุผลอื่น เช่นพิธีกรรมสำหรับหยุดเวลาร่างกายตัวเอง? มันมีอายุยืนยาวมาจากยุคสมัยที่สี่ก็เพราะช่วงชิงอายุขัยจากผู้อื่น?
เราเคยคาดเดาว่าอามุนด์อาจอยู่ในลำดับ 3 หรือ 2 แต่หลังจากทราบข้อมูลใหม่ในวันนี้ การจะสมมติให้อามุนด์เป็นลำดับ 1 ก็คงไม่เกินจริงสักเท่าไร…สำหรับสัตว์ประหลาดอายุกว่าสองพันปีโดยไม่สูญเสียความทรงจำแบบมิสเตอร์อะซิก การพัฒนาไปถึงจุดดังกล่าวนับเป็นเรื่องปรกติ…
ไคลน์ยืนครุ่นคิดสลับกับมึนงงเป็นระยะ สมองชายหนุ่มทำงานหนักจนคล้ายกับหม้อน้ำเดือดปุดโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
ขณะเดียวกัน หุ่นกลของฮารามิคใช้มือข้างหนึ่งกระชากเนื้อตรงคอออก เผยให้เห็นความซับซ้อนของกลไกภายใน
เสียงของมันดังจากช่องดังกล่าวโดยอาศัยหลักการสั่นสะเทือนของอากาศ
“ตรวจสอบศพ ห้ามเข้าใกล้ผม”
“ขอรับ เจ้าคุณท่าน!” ไอคานส์และสมาชิกคนอื่นขานรับพร้อมกับทำสีหน้าโล่งใจ
ปัจจุบัน ซากศพของคณะสำรวจได้กลายเป็นตะกอนพลังนานแล้ว บางส่วนผสานกับอวัยวะจนเกิดเป็นสมบัติวิเศษ
ไม่เพียงเท่านั้น คณะสำรวจยังพกพาสิ่งของราคาแพงติดตัวหลายชิ้น!
จิตแห่งจักรกลกำไรเอาเรื่อง…มีทั้งกรอบรูปวิญญาณและตะกอนพลังเงามืดหนังมนุษย์อีกหลายชิ้น มากพอจะปกปิดค่าใช้จ่ายในยุทธการ ‘เก็บกวาด’ แสนสิ้นเปลืองนั่นได้…
ยิ่งลงทุนมากก็ยิ่งกำไรมาก…
ไคลน์ก้มมองพื้นพลางครุ่นคิด
จนกระทั่ง ชายหนุ่มถอนหายใจแผ่วพลางเดินตามฮารามิคผู้ไม่ได้ถือตะเกียง ไปยังผนังอีกฝั่งของโลงศพ
ทันใดนั้น กระจกวิเศษอาโรเดสช่วยปรับแสงรอบตัว ทำให้บรรยากาศในจุดดังกล่าวสว่างพอจะมองเห็นรายละเอียด
ไคลน์สังเกตเห็นว่าผนังส่วนใหญ่เริ่มเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วจากเหตุการณ์ ‘เร่งเวลา’ เมื่อครู่ จิตรกรรมฝาผนังหลายชิ้นถูกผุกร่อนจนไม่เหลือเค้าเดิม และไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อีก
เหลือไว้เพียงภาพเดียวซึ่งยังคมชัดราวกับของใหม่ เป็นภาพสีสันฉูดฉาด ถูกวาดไว้ในตำแหน่งเหนือสุดของกำแพง บางส่วนของภาพล้ำขึ้นไปในเขตโดมสูงด้านบน
องค์ประกอบหลักในภาพคือแนวเทือกเขาทอดยาว จุดสูงสุดของยอดเขามีกางเขนใหญ่ตั้งเด่นตระหง่าน
รอบกางเขนแผ่แสงทรงกลดเจิดจ้า มอบกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์เหนือคำบรรยาย
ด้านหน้ากางเขนมีบุคคลร่างกายใหญ่มหึมายืนโดดเด่น ใบหน้าไม่คมชัด แต่ตัวใหญ่เสียจนแนวเทือกเขาเป็นราวกับสัตว์เลี้ยงซึ่งกำลังหมอบกราบแทบเท้าบุคคลผู้นั้น
รอบตัวบุคคลปริศนาเต็มไปด้วยเทวทูตสองปีก สี่ปีก และ หกปีกจำนวนมาก เทวทูตแต่ละตนกำลังตั้งใจบรรเลงเครื่องดนตรี ไม่ว่าจะเป็นแตร ฮาร์ป หรือฟรุต
ด้านล่าสุดของแนวเทือกเขายาว บริเวณตีนเขา เทวทูตสิบสองปีกสองตนกำลังบรรจงขึ้นเขาด้วยท่าทีนอบน้อม
แต่ละตนอุ้มทารกหนึ่งคนไว้ในอ้อมอก
ทารกคนซ้ายมีเส้นผมสีดำหยักศก
คนขวาสีทองอ่อน
คนซ้ายมีดวงตาสีดำสนิท
คนขวาทองอร่าม
ระหว่างแนวเทือกเขาทอดยาวยังมีภาพของยักษ์ถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน และมังกรถูกมัดขาทั้งสองข้างจนไม่สามารถโบยบินได้อีก
ฮารามิคมองไปทางเด็กผมดำคนซ้ายมือ สีหน้าอ่อนโยนและใจดีของอาร์ชบิชอปพลันเคร่งขรึมเป็นครั้งแรก
มันเปล่งเสียงแผ่วเบากับตัวเอง
“อามุนด์…”
ถัดมา ฮารามิคหันไปมองเด็กคนขวา มันเงียบงันสองสามวินาทีก่อนจะพึมพำ
“อาดัม…”
อามุนด์ อาดัม…
ขณะทวนชื่อทั้งสอง ไคลน์เริ่มตระหนักว่าม่านหมอกของยุคสมัยที่สี่และสามเริ่มทวีความดำมืดจนยากจะมองเห็นความจริง
มันพยายามนำข้อมูลทั้งหมดมาปะติดปะต่อและลองคาดเดา
ณ ยอดเขาสูงสุด บุคคลผู้ยืนหน้ากางเขนศักดิ์สิทธิ์ ถูกรายล้อมโดยเทวทูต และทำให้ยักษ์กับมังกรยอมจำนวน จะต้องเป็นเทพลำดับ 0 สักเส้นทางอย่างแน่นอน… หากจะถามว่าใครชอบใช้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ เรานึกออกแค่พระผู้สร้างแท้จริงตนเดียว… ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ตระกูลอามุนด์สืบเชื้อสายมาจากเทพสุริยันบรรพกาลโดยตรง แต่บุคคลบนยอดเขาไม่เหมือนกับเทพสุริยันสักเท่าไร…
หรือจะเป็น ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง มหาเทพผู้รังสรรค์ทุกสิ่งจากต้นกำเนิด’ ตามความเชื่อของเมืองเงินพิสุทธิ์?
ถ้าอย่างนั้นก็จะสอดคล้องกับตำนานของเมืองเงินพิสุทธิ์พอดี หลังจากพระผู้สร้างลืมตาตื่นขึ้น พระองค์ทำการริบอำนาจของราชาคนยักษ์ มังกรจินตภาพ และเทพบรรพกาลตนอื่นคืนทันที…
หมายความว่าเทพสุริยันบรรพกาลคือพระผู้สร้างในความหมายของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์? พระองค์คงมีพลังในขอบเขตของ ‘สุริยัน’ และ ‘เวลา’ นอกจากนั้นยังแย่งชิงขอบเขตการปกครองมาจากราชาคนยักษ์ เออเมียร์ และมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวลด้วย…
นี่มันเหนือกว่าลำดับ 0 ไปแล้ว…
อาจหมายความได้ว่า อามุนด์คือทายาทผู้สืบทอดพลังด้าน ‘เวลา’ มาจาก ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง มหาเทพผู้รังสรรค์ทุกสิ่งจากต้นกำเนิด’ ของเมืองเงินพิสุทธิ์…
ถ้าอย่างนั้นก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมอามุนด์ถึงแฝงตัวอยู่ในเมืองเงินพิสุทธิ์โดยไม่ทำอะไรเลยนานกว่าสี่สิบปี…
นอกจากนั้นยังมีทายาทของ ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง มหาเทพผู้รังสรรค์ทุกสิ่งจากต้นกำเนิด’ นามว่าอาดัมอีกตน…
แล้วอาดัมสืบทอดพลังชนิดใดไป? เขายังมีลูกหลานเหลืออยู่เหมือนกับอามุนด์ไหม และถ้ามี จะเป็นตระกูลใดกัน…
พระผู้สร้างแท้จริงกับบุคคลปริศนามีความสัมพันธ์ในลักษณะใด? เป็นแค่ผู้ลอกเลียนแบบโดยนำชื่อ ‘พระผู้สร้าง’ และสัญลักษณ์ ‘กางเขน’ ไปแอบอ้าง…? หรือจะเคยมีความสัมพันธ์กันจริง?
ไคลน์ไม่แสดงออกทางสีหน้ามากนัก มันกังวลว่ากระจกวิเศษอาโรเดสอาจคอยจับตามองอยู่ และพบว่าตนไม่ใช่ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ตรงตามจินตนาการ
ฮารามิคยืนสำรวจจิตรกรรมฝาผนังสักพัก ก่อนจะขยับไปข้างหน้าสองก้าวและเหยียดฝ่ามือสัมผัสกับกำแพง
เพียงพริบตา จิตรกรรมฝาผนังโบราณอันประเมินค่ามิได้ พลันร่วงกราวลงบนพื้นโดยปราศจากสุ้มเสียง แม้กระทั่งสีสันฉูดฉาดก็ยังระเหิดหายไปกับอากาศอันว่างเปล่า
โบสถ์จักรกลไอน้ำมีนโยบายปกปิดและทำลายร่องรอยของยุคสมัยที่สามที่สี่ทั้งหมดทิ้งสินะ… โบสถ์อื่นจะเป็นแบบนี้ด้วยไหม?
ไคลน์ขมวดคิ้วพลางเดินตามหุ่นกลของฮารามิคไปยังอีกฝั่ง
หลังจากเดินวนครบครึ่งวงกลม พวกมันค้นพบเบาะแสใหม่
คราวนี้เป็นประตูหินจำลอง ใช้การจริงไม่ได้ในเชิงกายภาพ ถูกสร้างหลบตรงมุมห้อง
ทันใดนั้น เสียงข้อต่อในตัวหุ่นกลฮารามิคเริ่มเสียดสี แต่ก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายหยุดการเคลื่อนไหว อาร์ชบิชอปรีบเข้าประชิดประตูหินพร้อมกับยื่นแขนขวาออกไปเตรียมสัมผัส
แต่ก่อนจะได้แตะต้อง แสงกระเพื่อมคล้ายวารีพลันสว่างขึ้นเหนือบานประตูหิน ฉายเป็นภาพวิวทิวทัศน์สมจริงราวกับผู้จ้องมองถูกดึงเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์
ภายใน ‘จอภาพ’ คลื่นน้ำสีน้ำเงินเข้มกำลังล้อมรอบบางสิ่ง ถัดขึ้นไปเป็นทะเลหมอกสีดำลักษณะคล้ายกับของเหลวข้น
เหนือทะเลหมอกสีดำมียังผาหินสูงชันยื่นยาวเสียดฟ้า ตามซอกหลืบของหน้าผามีของเหลวข้นสีดำไหลซึม
ด้านหลังผาหินเป็นทะเลหมอกกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาจนมองไม่เห็นเส้นบรรจบขอบฟ้า
ไม่เพียงความไกล แม้แต่ระดับความลึกก็ไม่สามารถกะเกณฑ์ได้ด้วยตาเปล่า ยิ่งมองก็ยิ่งมืดและพบความเงียบสงบ คล้ายกับหากตกลงไปจะไม่มีวันได้สัมผัสพื้นด้านล่าง
อยู่แถวไหนของโลก…?
ไคลน์พึมพำโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ฮารามิครีบชักมือกลับและแหงนมองฉากบนจอภาพจนกระทั่งเริ่มเลือนหายไป
อาร์ชบิชอปก้มหน้าลงเล็กน้อยพลางพึมพำด้วยอารมณ์ซับซ้อน
“นรก…”
นรก…? ต้นกำเนิดการกัดกร่อนทั้งมวล? กล่าวกันว่าแม้แต่เทพตัวจริงก็ยังถูกกัดกร่อน!
ไคลน์กำลังตกตะลึง แต่ภายนอกได้ใช้พลังตัวตลกปั้นหน้านิ่ง
ชายหนุ่มหวนนึกถึงข้อความในไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ทันที อีกฝ่ายเดินเรือออกนอกเส้นทางและทำการทิ้งประโยคสุดฉงนไว้ว่า :
“21 เมษายน เราได้เห็น… …นรก”
เมื่อลองพิจารณาคลื่นน้ำสีน้ำเงินเข้มรอบทะเลหมอกสีดำ มันพยายามสร้างข้อสันนิษฐาน
…ทางเข้านรกอยู่แถวไหนสักแห่งภายในทะเลหมอก?
ถัดมา ชายหนุ่มจ้องมองบานประตูหินและเริ่มคาดเดาว่า หลังจากสร้างสุสานของตัวเองจนเสร็จ อามุนด์ได้สร้างอุโมงค์วิญญาณเพื่อเดินทางไปยังนรก โดยปล่อยให้ทุกคนคิดว่าตนตายไปแล้ว
ส่วนเมืองเงินพิสุทธิ์และดินแดนเทพทอดทิ้งจะอยู่ในนรกหรือไม่นั้น ไคลน์ยังไม่มีข้อสรุปเพราะขาดหลักฐานรองรับ สุสานแห่งนี้มีอายุไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี อามุนด์อาจเดินทางไปยังนรกก่อน จากนั้นค่อยเดินทางต่อไปยังดินแดนเทพทอดทิ้งซึ่งอยู่คนละแห่ง
บางที มันอาจกลับมาดูดซับอายุขัยของเหยื่อในสุสานเป็นระยะ…
ชักอยากรู้แล้วว่า อามุนด์จะทำหน้าอย่างไรหลังจากทราบว่าหลุมศพของตนถูกรื้อค้นกระจุยกระจายเช่นนี้…
ไคลน์เกิดความตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
ทันใดนั้น หุ่นกลของฮารามิคใช้ฝ่ามือขวาจับข้อมือซ้ายตัวเองแน่ถนัด
แกร่ก! ข้อมือซ้ายของมันบิดงอเข้าหาลำตัวในลักษณะผิดรูป แต่ปราศจากรอยเลือดหรือกระดูกน่าหวาดเสียว
ภายในข้อมือซ้ายมีท่อเหล็กขนาดใหญ่ถูกสอดอยู่!
ท่อนแขนทั้งท่อนของฮารามิค·ไฮเดินคือปืนใหญ่เวทมนตร์ขนาดย่อส่วน!
สมกับเป็นอาร์ชบิชอปประจำโบสถ์จักรกลไอน้ำ มีอาวุธล้ำยุคเช่นนี้ซ่อนเป็นไพ่ตาย… แต่การติดอาวุธหนักคงสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล ทำให้ไม่สามารถกระจายออกไปในระดับกองทัพได้ แต่ก็เพียงพอจะสร้างเป็นอาวุธประจำกายของบุคคลสำคัญ…
เหตุการณ์ในวันนี้นับว่าเปิดหูเปิดตาไคลน์เป็นอย่างมาก มันได้เห็นอีกมุมหนึ่งของเส้นทางผู้วิเศษซึ่งใช้คนละหลักการกับของตนโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากกฎความถาวรของพลังพิเศษ โบสถ์จักรกลไอน้ำจึงมีตะกอนพลังและวัตถุดิบหลักโอสถไม่เพียงพอสำหรับสร้าง ‘ช่างฝีมือ’ เป็นจำนวนมาก ทำไม่สามารถผลิตอาวุธทรงประสิทธิภาพได้ล้ำหน้าโบสถ์อื่น
หุ่นกลฮารามิคทำการเหยียดแขนซ้ายไปยังประตูหินจำลอง
ทันใดนั้น เสียงเฟืองและกลไกภายในร่างกายอาร์ชบิชอปเริ่มร้องคำราม ตามด้วยการสะสมของละอองพลังวิญญาณปริมาณมหาศาลไว้ในจุดเดียว
‘ปืนใหญ่’ ทำการยิงลำแสงอันเจิดจ้ายิ่งกว่ายามเที่ยงตรง ใส่บานประตูหินซึ่งถูกคาดหมายว่าเป็นประตูไปสู่นรกของอามุนด์
เพียงพริบตา ประตูหินจำลองถูกป่นจนแหลกเป็นผุยผงประหนึ่งไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
ข…เขาทำลายประตูทิ้ง?
คงน่าสนุกไม่น้อยถ้าอามุนด์ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติและพยายามส่งตัวเองกลับมาด้วยประตูบานนี้…
และพบว่ามันไม่อยู่แล้ว… ฮะฮะ!
ไคลน์เกือบหลุดขำขณะจินตนาการ
วิดีโอบันทึกปฏิบัติการสำรวจสุสานอามุนด์จบลงตรงนี้ ภาพการมองเห็นไคลน์ ‘ซูมออก’ จนกลายเป็นเพียงจอขนาดเล็กท่ามกลางความมืดมิดรายล้อม
ทันใดนั้น กระจกโบราณลึกลับปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ดวงตาสองข้างซึ่งทำจากอัญมณีพลันส่องแสง
ข้อความสีขาวถูกเขียนขึ้นบนกระจก :
“ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่าน อาโรเดส ขอจบการรายงานแต่เพียงเท่านี้ กระหม่อมยินดีอำนวยความสะดวกให้ท่านทุกเมื่อ”
ไคลน์ยังคงหวาดระแวงกระจกนิสัยเสียและเทิดทูนตนอย่างไร้เหตุผล จึงเพียงพยักหน้ารับตามมารยาท
“ทำดีมาก กลับไปได้”
“ขอรับ ท่านผู้ยิ่งใหญ่เหนือโลกวิญญาณ” เมื่อข้อความของอาโรเดสถูกเขียนจบประโยค นิมิตความฝันไคลน์พลันแตกเป็นเสี่ยงๆ
หลังจากยืนยันว่าอาโรเดสไปจากฝันของตนแล้ว ชายหนุ่มครุ่นคิดกับตัวเอง
ผู้ยิ่งใหญ่เหนือโลกวิญญาณ? เจ้านั่นสัมผัสถึงออร่ามิติสายหมอกได้จริงด้วย…
กระจกวิเศษนิสัยเสียตนนั้นหวังรับใช้และพึ่งพาเราจากใจจริง หรือมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงกันแน่?
เราไม่ควรหลงดีใจ อีกฝ่ายยังอยู่ในการครอบครองของจิตแห่งจักรกล หากผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ทางนี้คงถูกปืนใหญ่กระหน่ำยิงจนเหลือเพียงเศษขี้เถ้า…
เมื่อจัดการความคิดตัวเองเสร็จ ไคลน์เฝ้ารอวันต่อไปด้วยใจจดจ่อ
ในเมื่อจิตแห่งจักรกลดำเนินภารกิจสำรวจสุสานเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาได้เลือกหนึ่งในของรางวัลตอบแทน!
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น