Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 437-440
ราชันเร้นลับ 437 : แจ้งมรณะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
จริงอยู่ นี่อาจไม่ใช่ครั้งแรกของไคลน์ กับการได้เห็นคนรู้จักเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา แต่เหตุการณ์ในหนเกิดขึ้นอย่างปุบปับและไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมสุ่มเสี่ยงจะเป็นอันตราย
สีหน้าของทาลิม·ดูมงต์ขณะถามว่าไคลน์เคยมีความรักหรือไม่ บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังเก็บซ่อนความตื่นเต้นเจือความโอ้อวดไว้เล็กน้อย แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ทาลิมยังไม่สามารถเล่ารายละเอียดความรักของตนให้ไคลน์ฟังได้
เร็วเกินไป…อาการป่วยทั่วไปไม่มีทางทำให้คนเสียชีวิตกะทันหันแบบนี้แน่!
สีหน้าไคลน์พลันอึมครึม และตามสัญชาตญาณ ชายหนุ่มรีบกระทบกรามซ้ายสองหนเพื่อเปิดเนตรวิญญาณ
หลังจากคุกเข่าลงหนึ่งข้าง ไคลน์พบว่าสีออร่าอารมณ์ของทาลิม·ดูมงต์กำลังเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
ยิ่งไปกว่านั้น รอบหัวใจทาลิมมีควันสีดำกำลังขดเป็นเกลียวล้อมรอบ ลักษณะคล้ายอสรพิษมีชีวิต ยิ่งเวลาผ่านไป ควันดำก็ยิ่งจางหายจนแทบไม่หลงเหลือร่องรอย
พลังพิเศษประเภทคำสาป?
ไคลน์ตั้งสมมติฐานแรก
ปัจจุบัน ทั้งบริกรชายกั๊กแดงและสาวใช้ในชุดขาวดำต่างกรูเข้ามาล้อมดูสถานการณ์ พวกมันยืนจ้องร่างไร้วิญญาณของทาลิมด้วยสีหน้าหวาดผวา มุมปากศพมีคราบน้ำสายฟองขาว ดวงตาศพเบิกโพลงจนตาดำหดลีบ
ไคลน์เลื่อนมือปิดเปลือกตาทาลิมและหันไปออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“รีบไปยังสถานีตำรวจและแจ้งว่ามีผู้เสียชีวิตในสโมสร!”
“ข…เข้าใจแล้วครับ มิสเตอร์โมเรียตี้!” เมื่อฟังจบ บริกรชายกั๊กแดงรีบหันหลังวิ่งออกไปนอกตัวอาคารเต็มฝีเท้า มันตื่นตระหนกจนลืมหยิบเสื้อโค้ทติดตัวไปด้วย
ท่ามกลางสายตาจากคนมุงดูจำนวนหนึ่ง ชายหนุ่มไม่เล่นตุกติกด้วยการล้วงตรวจสอบสัมภาระของทาลิม หรือไม่ได้ดึงกระจุกเส้นผมออกมาเพื่อใช้ทำนายภายหลัง
ปัจจุบัน ชื่อเสียงของนักสืบเชอร์ล็อกค่อนข้างโด่งดัง จึงไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นวีรบุรุษลับและไล่จับคนร้ายด้วยตัวเอง ในฐานะสายข่าวของจิตแห่งจักรกล มันสามารถรายงานข้อมูลเบื้องต้นเพื่อให้คดีคืบหน้าเร็วกว่าปรกติ
เมื่อหวนนึกถึงช่วงเวลาขณะเล่นไพ่ด้วยกันกับทาลิม การแนะนำลูกค้าให้กับตน และเรื่องราวความรักต้องห้ามซึ่งยังเป็นปริศนา ไคลน์ถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าสุดเจ็บแปลบ
ใครฆ่าทาลิม…
ทาลิมไปล่วงเกินผู้วิเศษคนใด หรือผู้เชี่ยวชาญคำสาปคนใดเข้า?
หากประเมินจากอารมณ์ในวันนี้ ทาลิมค่อนข้างมีความสุข ไม่แสดงออกถึงอาการหวาดกลัว ไม่มีสัญญาณการล่วงเกินบุคคลทรงอิทธิพลของอาณาจักร…
คำถามแล้วคำถามเล่าผุดขึ้นในหัวไคลน์อย่างต่อเนื่อง แต่เป็นเพราะมันมิได้รู้จักอีกฝ่ายมากพอ จึงขาดเมล็ดพันธุ์ในการบ่มเฉพาะแรงบันดาลใจและแนวคิด
เมื่อตำรวจมาถึง ชายหนุ่มถูกสอบปากคำเป็นเวลานานในฐานะพยานปากเอก
ไคลน์ไม่ได้ขยับตัวไปไหนเลยจนกระทั่งระเบียบขั้นตอนอันวุ่นวายจบลง ถัดจากนั้น มันรีบออกจากเขตฮิลสตันและตรงไปยังผับดวงเฮงในเขตสะพานเบ็คลันด์ทันที
คาร์ลเซ่นยังคงนั่งดื่มตามลำพัง จุดแตกต่างเดียวก็คือ คราวนี้มิใช่เหล้ากลั่นตัวแรงเหมือนตอนแรก แต่เป็นของเหลวสีทองซึ่งถูกบ่มจากมอลต์ถูกภาพสูง ครึ่งบนของแก้วเบียร์มีฟองสีขาวกำลังเชื้อเชิญให้ดื่ม
ไคลน์ยกมือขวาปิดปากพร้อมกับเดินแหวกฝูงชนเข้าไปทางบาร์ ตามด้วยการใช้มือเคาะโต๊ะส่งสัญญาณ
“คุณถูกจ้างให้มานั่งดื่มทั้งวันรึไง”
คาร์ลเซ่นพลันสะดุ้งเฮือก ก่อนจะผ่อนคลายลงเมื่อหันกลับมาเห็นนักสืบเชอร์ล็อก
“คุณนี่เอง… คราวนี้มีอะไรอีก”
ท่าทีตอบสนองแบบนี้ คิดถึงชะมัด…
ไคลน์ถอนหายใจเงียบ
“มีคดีเกี่ยวกับผู้วิเศษ”
คาร์ลเซ่นมองไปรอบตัวและพบว่าผับดวงเฮงกำลังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน บ้างแหกปากโวยวายระหว่างวงเหล้า บ้างส่งเสียงเชียร์คู่มวยบนสังเวียน
“ตามผมมา เล่นบิลเลียดกันสักเกม” คาร์ลเซ่นขยับกรอบแว่นหนาพร้อมกับถือแก้วเบียร์เดินไปทางห้องบิลเลียดว่าง
ไคลน์เดินตามเข้าไปและปิดประตูตามหลัง
“คุณดื่มเก่งเหมือนกันนะ” ชายหนุ่มกล่าวหยั่งเชิง
“เปล่า แค่ดื่มให้ช้าเข้าไว้” คาร์ลเซ่นถอดแว่นออกและเดินไปหยิบไม้คิว
จากนั้นก็เล่าด้วยสีหน้าซับซ้อน
“ช่วงนี้กำลังเหงาด้วย”
ฉันไม่ได้อยากรู้…
ไคลน์เม้มปากพลางเล่าเหตุการณ์
“ผมได้เป็นพยานในคดีการตายภายในสโมสรครักซ์ เขตฮิลสตัน ผู้ตายเป็นเพื่อนของผม มาจากตระกูลขุนนางเก่า ปัจจุบันทำงานเป็นครูสอนขี่ม้าให้ชนชั้นสูง สุขภาพของเขาสมบูรณ์แข็งแรง อารมณ์ก่อนเสียชีวิตค่อนข้างร่าเริง แต่จู่ๆ ก็ล้มลงและเสียชีวิตต่อหน้าผม มองผิวเผินคล้ายกับอาการหัวใจวายกะทันหัน แต่เนตรวิญญาณของผมระบุว่าเขาตายจากคำสาป”
“คุณเชี่ยวชาญเนตรวิญญาณด้วยหรือ” คาร์ลเซนถามหยั่งเชิงบ้าง
ให้ตายสิ มิสเตอร์สแตนธอนไปโกหกเอาไว้แบบไหนกัน? หลังจากกลายเป็นสายข่าวให้จิตแห่งจักรกล พวกเขาก็ไม่เคยถามถึงเส้นทางหรือพลังของเราเลยสักครั้ง ไม่แม้กระทั่งลำดับ ไม่มีการถามถึงปูมหลังหรือบ้านเกิด…
แต่การปล่อยให้สายข่าวเก็บความลับบางอย่างไว้ ก็ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการซื้อใจเช่นกัน…
ไคลน์ตอบกลับโดยไม่ปิดบัง
“ถูกต้อง บริเวณหน้าอกของเขามีร่องรอยของควันมายาสีดำ แฝงกลิ่นอายความผุกร่อนในปริมาณเข้มข้น”
“มีโอกาสเป็นคำสาปของผู้วิเศษ” คาร์ลเซ่นไม่ซักถามต่อ เพียงพยักหน้าแผ่วเบา “เขตฮิลสตัน…อยู่ในความดูแลของพวกเรา”
เขตตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งใกล้กับใจกลางความเจริญของกรุงเบ็คลันด์ รวมถึงเขตราชินีและเขตเชอร์วู้ด จะอยู่ในอำนาจการดูแลของหน่วยทูตพิพากษา ส่วนเขตตะวันออกและเขตเหนือจะอยู่ในความดูแลของเหยี่ยวราตรี และเขตฮิลสตันกับเขตสะพานเบ็คลันด์จะอยู่ในความดูแลของจิตแห่งจักรกล
หลังจากกล่าวประโยคเมื่อครู่ คาร์ลเซ่นจ้องไคลน์และซักถามเพิ่มเติม
“ผู้ตายนับถือศาสนาใด”
ชายหนุ่มก้มหน้าตรึกตรองสองสามวินาที จึงค่อยมอบคำตอบ
“วายุสลาตัน”
“สาวกโบสถ์วายุสลาตัน… เขาเป็นผู้เสียชีวิตเพียงคนเดียวหรือ” คาร์ลเซ่นขมวดคิ้ว
“ใช่” ไคลน์ยืนกรานหนักแน่น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คาร์ลเซ่นฝนหัวไม้คิวพลางถอนหายใจยาว
“พวกเราไม่มีอำนาจในคดีนี้ ต้องปล่อยให้ทูตพิพากษาจัดการเอาเอง แต่ผมจะช่วยนำข้อมูลของคุณไปบอกพวกเขาให้”
ในอาณาจักรโลเอ็น การตัดสินว่าคดีเหนือธรรมชาติควรถูกส่งต่อไปยังหน่วยใดนั้น อันดับแรกจะพิจารณาจากศาสนาของเหยื่อ แต่ถ้ามีเหยื่อหลายราย ลำดับถัดมาจะเป็นการพิจารณาจากขอบเขตการดูแล
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับไคลน์ และชายหนุ่มไม่มีเจตนาจะทำให้คาร์ลเซ่นหนักใจหรือเดือดร้อน จึงกล่าวออกไปตามตรง
“ขอบคุณมาก หวังว่าพวกเขาจะจับตัวคนร้ายได้โดยเร็ว”
คาร์ลเซ่นหยิบแก้วเบียร์ขึ้นมาจิบ
“ถ้าเป็นทายาทอดีตขุนนาง รับประกันได้เลยว่าทูตพิพากษาทำงานเต็มฝีมือแน่”
มันเว้นวรรค ตามด้วยการหันมาจ้องไคลน์และกล่าวเสียงทุ้ม
“ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณเพิ่งย้ายมาอยู่เบ็คลันด์ได้เพียงสามเดือน คุณมีสายสัมพันธ์กับผู้คนกว้างขวาง แถมยังมีแหล่งข้อมูลในมือมากมาย”
“คนบางคนก็เกิดมาเพื่อสิ่งนี้” ไคลน์ส่ายศีรษะแผ่วเบาพลางยิ้มจืดชืด ปิดท้ายด้วยการโบกมืออำลาอีกฝ่าย
เมื่อกลับถึงถนนมินส์ ท้องฟ้าด้านบนมีบรรยากาศมืดสนิท แสงไฟแหล่งเดียวมาจากเสาตะเกียงแก๊สวางเรียงรายริมถนน ทุกต้นถูกจุดโดยคนงานของเทศบาล
แม้ว่ามันจะไม่ได้สนิทสนมกับทาลิมมากนัก แต่อีกฝ่ายก็เป็นเพื่อน เป็นคนรู้จัก ได้พบหน้ากันราวสัปดาห์ละครั้ง และเป็นเพื่อนในวงไพ่เพียงไม่กี่คนของไคลน์ ทาลิมมักต้อนรับทุกคนอย่างอบอุ่น คอยบอกใครต่อใครถึงความยอดเยี่ยมของนักสืบเชอร์ล็อก ช่วยแนะนำลูกค้าคนสำคัญอย่างไมค์ ช่วยแนะนำนักลงทุนอย่างมิสเตอร์ฟามี่ในจังหวะเหมาะเจาะ
การจากไปของทาลิมย่อมทำให้ไคลน์โศกเศร้าและใจหาย ขณะเดียวกันก็รู้สึกสิ้นหวังท้อแท้ต่อความโหดร้ายของโชคชะตา
นอกเหนือจากนั้นยังมีอารมณ์โกรธ ไคลน์โกรธแค้นผู้อยู่เบื้องหลังการสาปแช่งทาลิมจนถึงแก่ความตาย
ขอให้จับตัวคนร้ายได้โดยเร็ว ขอให้กำลังคนของทูตพิพากษายังไม่หมดไปกับการสืบคดีดยุคนีแกน…
ไคลน์ถอนหายใจยาว ตามด้วยการลงจากรถม้าและเดินมุ่งหน้ากลับบ้าน
ระหว่างทาง มันพบว่าบ้านหลังติดกัน บ้านครอบครัวซาเมอร์ กำลังปิดไฟมืดสนิท
ไปอ่าวเดซีกันหมดแล้วสินะ… นี่คงเป็นบรรยากาศปรกติของเบ็คลันด์กระมัง? แต่เราไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด…
ไคลน์รำพันห่อเหี่ยว
มันเข้านอนด้วยอารมณ์ดังกล่าวจนกระทั่งถึงเจ็ดโมงเช้าของอีกวัน
ในการจะปรับเปลี่ยนอารมณ์ ไคลน์ตัดสินใจอบเค้กอย่างง่ายเพื่อกินเอง
“ค่อยออกไปซื้อวัตถุดิบหลังจากกินอาหารเสร็จเช้าก็แล้วกัน” มันพึมพำพลางดื่มนมไปพร้อมกับการอ่านหนังสือพิมพ์
ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มอ่านพบประกาศ ‘แจ้งมรณะ’ บนหน้าหนังสือพิมพ์ทัสซอค :
18 ธันวาคม บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของผม ทาลิม·ดูมงต์ ได้จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน งานศพของเขาถูกจะจัดขึ้น ณ สุสานมงกุฎ
วันจัดงาน : 21 ธันวาคม เก้าโมงตรง
ตามความเชื่อของชาวทวีปเหนือผู้หวาดกลัวการคืนชีพของศพ วัฒนธรรมการฝังศพทันทีหลังจากมีคนตายจึงได้รับความนิยมในหมู่คนร่ำรวยเป็นอย่างมาก
หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน? นี่คือผลลัพธ์จากการสืบสวน? หรือจะเป็นกับดักของทูตพิพากษาเพื่อล่อให้คนร้ายตัวจริงหลงกล?
ไคลน์ขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้
บางที เราควรลองเข้าไปในมิติสายหมอกและทำนายถามว่า สิ่งนี้คือกับดักของทูตพิพากษาจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม โอกาสล้มเหลวค่อนข้างสูงเนื่องจากเบาะแสน้อยเกินไป แถมเรายังไม่มีของใช้ในชีวิตประจำวันของทาลิมสำหรับทำนาย…
ชายหนุ่มสูดลมหายใจยาว พยายามทำให้สมองเย็นลง ก่อนจะก้มหน้าจัดการอาหารเช้าจนเกลี้ยง
หลังจากขบคิดอยู่นานและพบว่าไม่มีสมมติฐานใดเข้าตา ไคลน์ตัดสินใจเดินทางไปยังเขตฮิลสตันเพื่อพบกับนักสืบไอเซนการ์ด
ยอดนักสืบเดินเข้ามายังห้องให้ความอบอุ่นของแขกและชี้ตรงไปข้างหน้า
“เชอร์ล็อก รับอาหารเช้าไหม พ่อครัวของผมก็เก่งไม่แพ้ผมเลยนะ”
“ไม่ครับ ผมกินมาแล้ว” ไคลน์ส่ายหัวพลางปฏิเสธอย่างสุภาพ
ไอเซนการ์ดเริ่มซักถามเป็นกันเอง
“ช่วงหยุดปีไหนไปเที่ยวไหนหรือ ผมมีแผนจะไปเที่ยว เอ่อ… กลับบ้านในลุนเบิร์ก”
“ยังไม่แน่ใจครับ แต่คงเป็นรัฐเลียบทะเล” ไคลน์ตอบแบบขอไปที
“โฮ่ เดิมที แถวนั้นจะมีวิวทิวทัศน์งดงามมาก แต่ในช่วงหลังเริ่มมีการค้นพบถ่านหินและเหล็กมากเช่นกัน ส่งผลให้แถบนั้นกลายเป็นเมืองส่งขนทางเรือไปแทน” ไอเซนการ์ดขยับปกเสื้อและลูบไปป์ในโค้ท “คุณกำลังกระวนกระวายใจหรือ”
“มิสเตอร์สแตนธอน ผมมีเรื่องต้องการปรึกษา” ไคลน์ใช้โอกาสนี้เล่ารายละเอียดการตายของทาลิมอย่างละเอียด รวมถึงผลลัพธ์จากเนตรวิญญาณของตน คำแนะนำซึ่งมอบให้กับจิตแห่งจักรกล และการแจ้งมรณะบนหน้าหนังสือพิมพ์ของครอบครัว
แน่นอน ไคลน์ยังไม่บอกเรื่องที่ตนกลายเป็นสายข่าวของจิตแห่งจักรกลไปแล้ว เพียงเล่าทำนองว่า ตนมีโอกาสรู้จักกับจิตแห่งจักรกลคนหนึ่งจากคดีผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย จึงหวังฝากฝังให้เขาช่วยสืบคดีของทาลิมแทน
“คุณคิดว่านี่อาจเป็นกับดักของทูตพิพากษาเพื่อล่อคนร้ายตัวจริงออกมาใช่ไหม” ไอเซนการ์ดถามเข้าประเด็น
ขณะมือข้างหนึ่งจับไปป์ ไอเซนการ์ดพึมพำด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ผมพยายามเลี่ยงทูตพิพากษามาตลอด จึงไม่มีข้อมูลของทางนั้นเลย ไว้จะให้ใครสักคนช่วยถามให้ก็แล้วกัน ถ้ามีความคืบหน้าเพิ่มเติม ผมจะเขียนจดหมายไปหาคุณทันที”
“ตกลงครับ ขอบคุณมาก” ไคลน์โค้งศีรษะคำนับอย่างจริงใจ
โดยบ่ายวันเดียวกัน ชายหนุ่มได้รับจดหมายส่งตรงจากไอเซนการ์ด บนแผ่นกระดาษมีข้อความเขียนไว้เพียงบรรทัดเดียว :
“ทูตพิพากษามิได้ดูแลคดีนี้ ทางราชวงศ์ออกัสตัสรับคดีไปทำเองโดยอ้างเหตุผลว่า ทาลิม·ดูมงต์เป็นผู้สืบเชื้อสายขุนนาง”
……………………
ราชันเร้นลับ 438 : คำเชิญ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เชื้อพระวงศ์…!
ไคลน์ถือกระดาษจดหมายจากไอเซนการ์ดพลางพึมพำอยู่คนเดียว
ชายหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่าง สายฝนกำลังโปรยปรายต่อเนื่อง เสาตะเกียงริมถนนส่องแสงทรงกลดอย่างเงียบงัน
ณ ห้องรับแขก โต๊ะกาแฟถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย หนังสือพิมพ์หลายฉบับถูกวางเรียงตรงมุมอย่างเป็นสัดส่วน บรรยากาศรอบตัวไคลน์มีเพียงความเงียบงันครอบงำ
ชายหนุ่มนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย นิ่งเงียบเช่นนั้นโดยไม่ขยับตัวไปไหนเป็นเวลานาน
ผ่านไปเกือบสิบนาที ไคลน์ถอนหายใจหนักแน่นและเชื่องช้า ตามด้วยการทิ้งกระดาษจดหมายลงในถังขยะ
ชายหนุ่มบรรจงพยุงตัวลุกยืนและเดินขึ้นชั้นสองด้วยสีหน้าเหม่อลอย
ภายในถังขยะ กระดาษจดหมายจากไอเซนการ์ด·สแตนธอนกำลังลุกไหม้อย่างอ่อนโยนจนกระทั่งเหลือเพียงซากเถ้าถ่านสีดำ
…
วันจันทร์ตอนเช้า ไคลน์ยืนส่องกระจกพลางใช้นิ้วกลางกับนิ้วโป้งของมือขวา นวดคลึงหน้าผากและขมับทั้งสองข้างโดยออกแรงมากกว่าปรกติเล็กน้อย
เมื่อบีบนวดเสร็จ ชายหนุ่มเปิดก๊อกน้ำและโน้มตัวลงต่ำ สองมือวักน้ำอุณหภูมิพอเหมาะใส่ใบหน้าพร้อมกับขัดถูทำความสะอาดพอเป็นพิธี
หลังจากสร้างความสดชื่น ไคลน์เช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนู แขวนกลับตำแหน่งเดิม และเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อทอดไข่ดาวสุกเกรียมสำหรับกินคู่กับขนมปังปิ้งทาเนย
ด้วยอาหารเช้าอย่างเรียบง่ายและชาดำแช่ซีกมะนาวฝาน ความอึมครึมในหัวใจไคลน์เริ่มบรรเทาลง
หลังจัดการมื้อเช้าเสร็จ ขณะกำลังนั่งไล่อ่านหนังสือพิมพ์ทุกฉบับให้ครบ เสียงกริ่งบ้านพลันดังกังวานสดใส
ใครกัน? งานใหม่? หรือคนของจิตแห่งจักรกลแวะมาแจ้งผลลัพธ์การขุดค้นสุสานตระกูลอามุนด์? ไม่น่าใช่ ไม่มีทางเสร็จเร็วขนาดนี้…
ไคลน์พึมพำพลางวางผ้าเช็ดปากและหนังสือพิมพ์ลง จึงค่อยลุกเดินไปเปิดประตู
ในวินาทีฝ่ามือสัมผัสลูกบิด นิมิตภาพของผู้มาเยือนผุดขึ้นในสมอง
สุภาพบุรุษสูงวัยแต่งกายเรียบร้อย ด้านในสุดเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวโพลนซึ่งถูกลงแป้งจนเนียนกริบ ด้านนอกเป็นเสื้อกั๊กสีฟ้าอมเทาตัวใหญ่หนา ปกปิดมิดชิดลงไปถึงช่วงท้อง
ด้านนอกสุดเป็นสูทหางยาว มีรอยจีบคมกริบและปราศจากจุดตำหนิ รองเท้าหนังหนังส่องแสงมันเงาค่อนไปทางแวววาว คล้ายกับไม่เคยใส่ลุยโคลนหรือฝนเลยสักครั้ง
สุภาพบุรุษปริศนาสวมถุงมือไหมพรมถักสีขาวละมุน จอนตรงขมับทั้งสองข้างหงอกเทา ใบหน้าปรากฏริ้วรอยเหี่ยวย่นชัดเจน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเผยความขึงขังและไม่เป็นมิตร
ไม่รู้จัก… ไคลน์พึมพำพร้อมกับเปิดประตู
“มีอะไรให้ผมช่วยไหม” ชายหนุ่มซักถามอย่างสุภาพ
ชายชราถอดหมวกออก กดมันลงบนหน้าอกและก้มคำนับตามมารยาทพื้นฐาน
“มิสเตอร์เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ ผมเป็นหัวหน้าพ่อบ้าน มาหาคุณเพราะเจ้านายต้องการเรียนเชิญให้ไปพบ”
“ผมรู้จักเจ้านายของคุณหรือไม่ และท่านผู้นั้นต้องการนัดพบด้วยเหตุผลใด” สมองไคลน์กำลังเต็มไปด้วยคำถาม
ทันใดนั้น หางตาพลันเหลือบไปเห็นรถม้าคันใหญ่ริมถนน ผนังด้านนอกมีสีดำสนิทและเงางามจนเด่นสะดุดตา กระจกหน้าต่างมีม่านสำหรับรูดเปิดปิด ค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ใช่รถม้าของบุคคลธรรมดาแน่นอน
หรูหราแต่เรียบง่าย…
ไคลน์เพ่งมองและพบตราประจำตระกูลแผ่นใหญ่ด้านข้างห้องโดยสาร
กึ่งกลางตราเป็นภาพของดาบหนึ่งเล่มในสภาพปักหัวลงและมีมงกุฎสีแดงเป็นโกร่งดาบ
นี่มัน… ดาบพิพากษา…!
ตราประจำราชวงศ์ออกัสตัส!
หัวใจไคลน์พลันเต้นระรัวเมื่อได้ตระหนักถึงตัวตนแท้จริงของพ่อบ้านตรงหน้า
บางที ชายคนนี้ก็อาจเป็นผู้วิเศษทรงพลังด้วยเช่นกัน… ชายหนุ่มลองคาดเดา
พ่อบ้านสีหน้าขึงขังไม่แยแสสายตาสอดส่องของนักสืบ เพียงเผยรอยยิ้มสุภาพ
“คุณยังไม่เคยพบเจ้านายของผม แต่ในทางสามัญสำนึก คุณรู้จักท่านเป็นอย่างดี เพราะท่านคือผู้ให้เงินสนับสนุนเบาะแสขององค์กรลับเกี่ยวกับไพ่ทาโรต์ และยังเป็นผู้ให้คุณเบิกเงินค่าดำเนินการระหว่างภารกิจ”
นึกแล้วเชียว… นี่สินะ บุคคลสำคัญระดับอาณาจักรในความหมายของทาลิม… เราใช้ข้อมูลปลอมปอกลอกเขามาตลอด แถมยังเบิกเงินค่าเบี้ยเลี้ยงเพื่อนำไปจ่ายเฒ่าโคห์เลอร์… คงปฏิเสธคำเชิญไม่ได้แน่ โดยเฉพาะหลังจากการตายของทาลิม…
ไคลน์ทำหน้าครุ่นคิดสักพัก
“เจ้านายของคุณต้องการพบผมเนื่องจากคดีการเสียชีวิตของทาลิมใช่ไหม”
“ถูกต้อง เนื่องจากทาลิมเป็นสหายของท่าน ท่านจึงเสียใจและสับสนอย่างมากกับการจากไปอย่างกะทันหัน ท่านยังทราบด้วยว่าคุณอยู่ในจุดเกิดเหตุขณะทาลิมเสียชีวิต” พ่อบ้านชราอธิบายโดยไม่ปิดบัง
ผมเปล่า…
จิตใต้สำนึกไคลน์ต้องการโกหก แต่ในความเป็นจริง มันทำได้เพียงพยักหน้ารับโดยมิอาจปฏิเสธ
“ใช่ครับ ผมเห็นทาลิมตายไปต่อหน้า”
“ช่างน่าเศร้า” พ่อบ้านกล่าวจากใจจริง “คุณจะตอบรับคำเชิญจากเจ้านายผมหรือไม่”
คิดว่าปฏิเสธได้รึไงกัน… นั่นยิ่งจะทำนักสืบเชอร์ล็อกให้น่าสงสัยเข้าไปใหญ่! หรือไม่ก็ เราอาจถูกพ่อบ้านคนนี้เชือดทิ้งในพริบตา…
ไคลน์จ้องหน้าอีกฝ่าย
“ผมว่างช่วงเช้าพอดี”
“เช่นนั้นก็เชิญทางนี้ครับ มิสเตอร์โมเรียตี้” พ่อบ้านชราโน้มตัวเล็กน้อยพร้อมกับผายมือไปทางรถม้าริมถนน
เฮ่อ เราพยายามเลี่ยงการพบปะอีกฝ่ายมาตลอด แต่จนแล้วจนรอด ความตายของทาลิมทำให้เราหมดอ้าง… ขอให้การพบปะในครั้งนี้ไม่ทำให้เราต้องพัวพันกับเรื่องวุ่นวายของพวกชนชั้นสูง… เห็นทีต้องวางแผนสละตัวตนนักสืบเชอร์ล็อกเอาไว้ล่วงหน้า… ระหว่างนั้นก็ต้องเร่งมือหาเส้นผมนากาทะเลลึกกับตะกอนพลังของเงามืดหนังมนุษย์ เพราะหากได้เป็นผู้ไร้หน้าเมื่อใด ชีวิตของเราจะปลอดภัยมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า!
หลังจากสวมโค้ทและเดินตรงไปยังรถม้าซึ่งมีตราประจำตระกูลออกัสตัส สมองไคลน์กำลังไตร่ตรองแผนการในอนาคต
ขณะเดียวกัน คนรับใช้ส่วนตัวของพ่อบ้านได้ลงมาเปิดประตูให้นักสืบหนุ่ม
หลังจากก้าวขึ้นบันได ไคลน์ได้พบกับตู้ไม้บรรจุไวน์แดง ไวน์ขาว แชมเปญ แลงติ และแรนดี้ดำ นอกจากนั้นยังมีแก้วคริสตัลแวววาวอีกหลายใบ ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปนั่งริมหน้าต่างด้วยความรู้สึกประหม่า
แลงติคือเหล้ากลั่นจากมอลต์บริสุทธิ์ แบ่งได้เป็นหลายประเภท เช่น รสยอดนิยมของเส้นทางกะลาสี ‘แลงติร้อนแรง’ แต่ขวดในตู้ภายในรถม้านั้นเป็นของคุณภาพสูงสุด
ในส่วนของแรนดี้ดำ เครื่องดื่มชนิดนี้ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ไวน์ เป็นไวน์ผสมธัญพืชหมัก และเหมือนกับแลงติ ทั้งสองชนิดคือเครื่องดื่มขึ้นชื่อของอาณาจักรโลเอ็น
ขณะรถม้าแล่นไปบนถนนด้วยความเร็วปานกลาง ไคลน์ซักถามหยั่งเชิง
“พวกเรากำลังจะไปเขตราชินีหรือ”
“เปล่า เจ้านายของผมพักผ่อนอยู่ในคฤหาสน์กุหลาบแดงย่านรอบนอกเขตราชินี” พ่อบ้านชราไม่ปิดบัง
คฤหาสน์หลวงสินะ…
ไคลน์ครุ่นคิดสักพักและซักถามด้วยรอยยิ้ม
“พอจะบอกผมได้หรือยังว่าเจ้านายของคุณคือใคร”
พ่อบ้านชราซึ่งนั่งหลังตรงมาตลอด ยามนี้เหยียดตัวขึ้นจนหลังตรงยิ่งกว่าเดิม และกล่าวพร้อมกับเชิดคางขึ้น
“ท่านคือทายาทแห่ง ‘ผู้สถาปนาและพิทักษ์อาณาจักร’ หลานชายแห่ง ‘กษัตริย์มหาปรีชา’ หนึ่งในห้าบุตรแห่งฝ่าบาท ดยุคแห่งลาสติ้ง องค์ชายเอ็ดซัค·ออกัสตัส”
องค์ชายสาม… อายุน้อยเป็นลำดับสองจากบรรดาองค์ชายทั้งห้า น่าจะอยู่ในวัยประมาณสี่ยิบเอ็ดยี่สิบสอง…
ไคลน์ทบทวนข้อมูลในความทรงจำซึ่งเคยอ่านผ่านๆ จากนิตยสารหรือและหนังสือพิมพ์ของสโมสรครักซ์
รถม้าแล่นผ่านถนนเส้นแล้วเส้นเล่า ผ่านเขตทะเลสาบเทียมทางตะวันตกเฉียงเหนือ ใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงจนกระทั่งเคลื่อนตัวมาถึงหน้าคฤหาสน์สุดหรูหลังหนึ่ง
ณ ทางเข้า ไคลน์ถูกทหารในเครื่องแบบกองทัพ เสื้อสีแดงกางเกงสีขาว จำนวนสองคนตรวจค้นตัวทุกซอกมุม ชายหนุ่มมิได้ใช้เวทมนตร์ลวงตาในการซ่อนซองปืนและลูกโม่ดัดแปลง
มันเชื่อว่า รอบตัวองค์ชายเอ็ดซัคต้องมีใครสักคนทราบว่าตนพกพาอาวุธปืนติดตัวเป็นประจำ การจงใจซ่อนจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัย
องค์ชายคงทราบอยู่แล้วว่าเราเป็นนักสืบเอกชน คงไม่มีลูกน้องคนใดจับแขกของเจ้านายส่งตำรวจในข้อหาพกพาปืนเถื่อนแน่…
ไคลน์ยืนมองทหารถอดซองปืนรักแร้พร้อมลูกโม่ของตนออก และฟังพวกเขาแนะนำว่าตอนกลับออกมาจะต้องติดต่อขอคืนอย่างไร
หลังจากผ่านด่านตรวจอีกสองหน ไคลน์เดินตามพ่อบ้านชราอ้อมเข้ามาถึงเขตทุ่งกว้างภายในคฤหาสน์ วิวทิวทัศน์รอบตัวเป็นทุ่งหญ้าสลับกับเนินเขาและลำธาร
จุดด่างพร้อยเดียวในคฤหาสน์แห่งนี้คือ พืชพรรณเกือบทั้งหมดจะมีสภาพเหี่ยวเฉาเนื่องจากความแห้งของอากาศ
กร่อก! กร่อก! กร่อก!
เสียงกีบเท้าของม้าหลายตัวกำลังควบตรงมาจากระยะไกล ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าไคลน์และพ่อบ้านชรา
เด็กหนุ่มหน้าตายิ้มแย้ม สวมกางเกงรัดรูปสีขาว รองเท้าหนังสีดำส้นใหญ่ เสื้อเชิ้ตรัดรูป และเสื้อรัดเอวสำหรับขี่ม้า กระโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่วและเดินมาทางไคลน์
เด็กหนุ่มถอดหมวกขี่ม้าพลางยิ้มให้
“ได้พบกันจนได้ นักสืบโมเรียตี้”
เมื่อได้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ดวงตาไคลน์เผยอาการตกตะลึงโดยไม่ปิดบัง ไม่ใช่เพราะเด็กหนุ่มคนนี้หล่อเหลาราวกับรูปปั้นแกะสลัก แต่เป็นเพราะเอ็ดซัคมีใบหน้าคล้ายกับกษัตริย์เฮนรี·ออกัสตัส บนธนบัตร 5 ปอนด์มาก!
เอ็ดซัค·ออกัสตัสเป็นเจ้าของใบหน้าอวบอิ่มและดวงตาเรียวคม แต่มิได้แผ่กลิ่นอายความดุดันหรือขึงขังให้เห็น มีเพียงความสดใสและกระตือรือร้นของวัยรุ่น
“กระหม่อมไม่เคยทราบมาก่อนว่าเป็นภารกิจจากองค์ชาย” ไคลน์ก้มศีรษะคำนับ
ขณะมือข้างหนึ่งกำลังถือแส้ม้า เอ็ดซัดหวดลมเล่นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เราเพิ่งได้ยินมาว่า เจ้าคือกุญแจสำคัญในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องและคดีผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย คำแนะนำของทาลิมไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ … เฮ่อ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเสียชีวิตลงหลังจากแข่งม้ากับเราได้เพียงหนึ่งวันเท่านั้น ป่านนี้คงกำลังมีความสุขอยู่บนดินแดนแห่งพายุสายฟ้าของพระองค์”
นับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักรโลเอ็น ราชวงศ์ออกัสตัสก็นับถือเทพวายุสลาตันมาตลอด
โดยไม่เปิดโอกาสให้ไคลน์พูด เอ็ดซัคกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าอึมครึม
“เราไม่มีอำนาจสืบสวนสาเหตุการตายของทาลิม มิสเตอร์โมเรียตี้ เราต้องการให้เจ้าช่วยสืบหาความจริงเบื้องหลัง”
หมายความว่า การตายด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เป็นการกลบเกลื่อนจากฝ่ายอื่นของเชื้อพระวงศ์? พี่ชายคนโตทั้งสอง? ความขัดแข้งระดับนี้ เราไม่ควรนำตัวเองเข้าไปแทรกด้วยประการทั้งปวง… แต่องค์ชายก็ไม่คิดอ้อมค้อมเลยสักนิด… โผงผางมาก…
ไคลน์ถอนหายใจ
“เรื่องนี้อาจฟังไม่เข้าหู แต่กระหม่อมเชื่อว่าทาลิมเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันเช่นเดียวกับข่าวลือ”
“อย่างนั้นหรอกหรือ? แต่ทูตพิพากษารายงานกับเราว่า พวกเขาได้รับเบาะแสสำคัญจากนักสืบเชอร์ล็อกซึ่งเป็นพยานคนสำคัญ ระบุว่าทาลิม·ดูมงต์มีอาการคล้ายกับถูกพลังคำสาปก่อนเสียชีวิต” องค์ชายเอ็ดซัคกล่าวพลางอมยิ้ม
ไคลน์ทำได้เพียงยิ้มแห้ง
“องค์ชาย ท่านควรทราบกฎเหล็กในการเอาตัวรอดของนักสืบ กระหม่อมยังอยากมีชีวิตอยู่ไปอีกห้าสิบปี”
“ทาลิมไม่ใช่เพื่อนของเจ้าหรือ” เอ็ดซัคเปรยถาม
ไคลน์พลันอึกอัก กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งสาวใช้คนหนึ่งเดินออกจากอาคารหลักมากระซิบกระซาบข้างหูเอ็ดซัค
ทันใดนั้น องค์ชายสามพลันเปลี่ยนสีหน้า
“รีบกลับไปบอกหล่อนว่า หล่อนจะไม่ได้ออกไปไหนทั้งนั้น!”
หลังจากแผดเสียงเสร็จ มันเดินครุ่นคิดราวสองสามก้าวพลางพยายามข่มใจให้สงบ ดวงตาสีฟ้าเริ่มคืนความอ่อนโยนทีละนิด
“แต่ว่า…เราอนุญาตให้หล่อนเดินเล่นได้อย่างอิสระภายในคฤหาสน์หลังนี้”
……………………
ราชันเร้นลับ 439 : องค์ชายใจกว้าง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฉากเมื่อครู่ทำให้ไคลน์หวนนึกถึงเรื่องราวความรักจากทาลิมเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
เพื่อนชนชั้นสูงของเขาดันไปมีความรักต้องห้ามกับสามัญชนจนถึงขั้นหวังแต่งงาน แต่เนื่องจากสถานะทางสังคม การแต่งงานจึงไม่มีวันเกิดขึ้นได้ ทาลิมเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องนี้มาก จนถึงขั้นเปรยออกมาว่า อยากจ้างมือปืนสักคนมาฆ่าทิ้ง แต่สุดท้ายกลับลงเอยด้วยการ ทาลิมเป็นฝ่ายเกลี้ยกล่อมจนฝ่ายหญิงยอมจากไปเอง
หรือตัวเอกของเรื่องดังกล่าวจะเป็นองค์ชายเอ็ดซัค·ออกัสตัส? ทุกปัจจัยสอดคล้องกันอย่างลงตัว ในฐานะองค์ชาย การสมรสกับสามัญชนไม่ต่างอะไรกับเป็นกบฏแผ่นดิน นับตั้งแต่อาณาจักรโลเอ็นก่อตั้ง ยังไม่เคยมีทายาทสืบสายเลือดคนใดสมรสกับสามัญชนมาก่อน อย่างน้อยก็ต้องบุตรสาวขุนนางบรรดาศักดิ์สูง… จากบทสนทนาเมื่อครู่ องค์ชายเอ็ดซัคพาตัวสตรีสามัญชนคนนั้นกลับมายังคฤหาสน์อีกครั้ง แถมยังกักบริเวณเพื่อเป็นการทำโทษ? นี่คือความรักจริงหรือ…
ทันใดนั้น เรื่องราวระหว่างองค์ชายบ้าอำนาจและดอกไม้สีขาวแสนบอบบางพลันผุดขึ้นในหัวไคลน์
ชายหนุ่มมองไปยังวิวทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตารอบตัว พยายามดื่มด่ำไปกับบรรยากาศอันงดงามของช่วงกลางฤดูหนาว
“ทุกทีจะไม่ใช่แบบนี้ หากย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิและหญ้าเขียวเริ่มงอกเงยเมื่อไร ลานกว้างแห่งนี้จะกลายเป็นสุดยอดสนามกอล์ฟ” องค์ชายเอ็ดซัคส่งสาวใช้กลับไป พลางอธิบายชายหนุ่มด้วยมือข้างถือแส้ม้า
“กอล์ฟ?” ไคลน์ทวนคำ ก่อนจะทราบคำตอบด้วยตัวเองในไม่กี่อึดใจถัดมา
เอ็ดซัดส่งสัญญาณมือบอกให้เหล่าองครักษ์ออกไปได้ จึงเหลือเพียงไคลน์และพ่อบ้านชราคอยเดินตามติด
องค์ชายสามแห่งโลเอ็นเดินนำท่ามกลางทุ่งกว้างเหี่ยวเฉาพลางเริ่มอธิบาย
“ถูกต้อง กอล์ฟ กีฬาสำหรับชนชั้นสูงอย่างแท้จริง แม้แต่เจ้าของนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ก็แทบไม่มีโอกาสได้สัมผัส ถึงเราจะไม่ชอบหน้าโรซายล์นัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าจินตนาการสุดบรรเจิดของหมอนั่นทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นมาก เชอร์ล็อก ถ้าเจ้าสามารถค้นหาความลับการตายของทาลิมได้ คฤหาสน์แห่งนี้พร้อมต้อนรับเจ้าเสมอ”
เป็นโรซายล์จริงด้วย… ไคลน์หายใจเข้า
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังเงียบ องค์ชายเอ็ดซัคจึงเล่าต่อ
“ถึงโรซายล์จะมีมุมน่าศึกษามากมาย แต่เราไม่ชอบวิธีปฏิบัติต่อสตรีของมัน เข้าใจว่าเป็นธรรมเนียมของขุนนางอินทิส แต่เรารับไม่ได้และรู้สึกขยะแขยงอย่างมาก พวกมันมักมากในกามและเสพติดความหรูหราเกินไป”
เอ็ดซัคจ้องลำธารพร้อมกับกล่าวด้วยถ้อยคำปรัชญาเกินอายุ
“เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของประชากรโลกไม่ได้อัจฉริยะทุกด้านเหมือนกับโรซายล์ ดังนั้น แก่นสำคัญของชีวิตคือการตามหาความถนัดและสิ่งรักของตัวเองให้พบ จากนั้นก็ทุ่มเททั้งหมดไปกับมันโดยห้ามหันหลังหรือย่อท้อต่ออุปสรรคเด็ดขาด”
เมื่อพูดจบ เอ็ดซัคกล่าวต่อด้วยเสียงล่องลอยพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง
“แต่ไหนแต่ไร เราเคยคิดว่าตัวเองตกหลุมรักบุตรสาวของเอิร์ลฮอลล์มาตลอด เธอผู้นั้นมีรูปโฉมสมบูรณ์แบบ กิริยามารยาทไร้จุดตำหนิ เป็นบุตรีแห่งตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ ทรัพย์สมบัติมั่งคั่งเพียบพร้อม และมีบิดาเป็นผู้ทรงอิทธิพลของอาณาจักร เธอผู้นั้นคู่ควรกับองค์ชายทุกคนโดยไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ปัจจุบันเราเริ่มตระหนักแล้วว่า ความรักอันแท้จริงต้องเปลี่ยนให้โลกทั้งใบกลายเป็นสีชมพู ต้องคิดถึงเธอคนนั้นทั้งวันไม่เว้นแม้กระทั่งยามฝัน เป็นสายสัมพันธ์ทางวิญญาณชนิดพิเศษ ต้องเจอกับตัวเท่านั้นจึงจะเข้าใจ ฮะฮะ! เรามิได้หมายความว่ามิสฮอลล์บกพร่องด้านใด เพียงแต่เราไม่ได้เกิดความรู้สึกรักหรือชอบเธออีกแล้ว”
องค์ชาย วิธีการพูด โทนเสียง สีหน้าท่าทางของคุณ ทำไมถึงได้เหมือนกับทาลิมขณะก่อนตายนัก… ได้โปรดอย่าล้มลงและหัวใจวายตรงนี้ เพราะถ้าไม่อย่างนั้น ถึงผมจะกระโดดแม่น้ำทัสซอคเพื่อพิสูจน์มลทินก็คงไม่มีใครเชื่อ… ยิ่งไปกว่านั้น การได้ยินถ้อยคำเมื่อครู่ยิ่งทำให้เราถอนตัวจากเรื่องนี้ยากขึ้น… คิดจะบังคับให้เราลงเรือลำเดียวกันสินะ…
ไคลน์เริ่มเกิดความกลัวอย่างไม่มีเหตุผล
ชายหนุ่มกระแอมและรีบเปลี่ยนหัวข้อ
“องค์ชาย บุคคลระดับท่านย่อมมีบริวารมากมาย และหลายคนคงเต็มใจสืบหาสาเหตุการตายของทาลิม เช่นนั้นแล้ว กระหม่อมจึงไม่เข้าใจว่าทำไมองค์ชายถึงต้องเจาะลงเลือกนักสืบเอกชนปลายแถวด้วย”
เอ็ดซัคส่ายหัว
“ในฐานะองค์ชาย เรามีพลังอำนาจมากพอๆ กับการขาดอิสรภาพ รอบตัวเรามีสายตาจับต้องนับไม่ถ้วน คงให้บริวารออกไปทำงานลับไม่ได้หรอก ในทางกลับกัน เจ้าคือยอดนักสืบผู้ปราดเปรื่อง สนิทสนมกับทาลิม และยังเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ขณะเขาเสียชีวิต ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าเจ้าแล้วจริงไหม ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอันตราย อย่างน้อยเราก็รับประกันความปลอดภัยให้เจ้าได้”
องค์ชาย คำสัญญาเช่นนี้เปราะบางพอๆ กับกระดาษเช็ดก้น… ไคลน์รำพัน
หลังจากได้ฟังองค์ชายเล่าความลับออกมามากมาย ไคลน์ตระหนักได้ว่า หากตอบปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว ตนคงไม่ได้กลับออกจากคฤหาสน์กุหลาบแดงแห่งนี้แน่ ชายหนุ่มถอนหายใจสั้นหนึ่งครั้งและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ว่ากันตามตรง กระหม่อมเองก็โกรธแค้นและสงสัยในปริศนาการตายของทาลิมไม่น้อยไปกว่าองค์ชาย เพียงแต่โลกความจริงอันโหดร้ายทำให้กระหม่อมต้องยับยั้งตัวเอง”
ได้ยินเช่นนั้น เอ็ดซัคเผยรอยยิ้ม
“เจ้าต้องการให้เราช่วยเรื่องใด”
“เส้นผมของทาลิม ถ้าเป็นเศษเนื้อหรือเลือดได้ยิ่งดี รวมถึงของใช้ในชีวิตประจำวัน” ไคลน์แจกแจงรายละเอียด
“ตกลง สิ่งเหล่านั้นจะถูกส่งไปยังบ้านของเจ้าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า” เอ็ดซัคไม่ขัดข้อง เพียงซักถามเพิ่มเติมด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “แค่นี้เองหรือ?”
ไคลน์ไม่มัวอ้อมค้อม
“ต้องรอกระหม่อมสอบสวนเบื้องต้นเสียก่อน จึงค่อยเริ่มกำหนดแนวทางการสืบสวนในภายหลัง แล้วก็อีกหนึ่งเรื่อง กระหม่อมต้องการวิธีลับในการติดต่อกับองค์ชาย การให้นักสืบเอกชนเดินทางเข้าออกคฤหาสน์หลวงคงไม่ใช่เรื่องดีนัก”
เอ็ดซัคพยักหน้ารับทันทีประหนึ่งเตรียมคำตอบไว้นานแล้ว
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เราให้ใครบางคนเช่าบ้านหลังติดกับเจ้าไว้แล้ว อาคารหมายเลข 13 ถนนมินส์ หากเจ้าต้องการติดต่อเรา ให้เขียนรายละเอียดรวมถึงวันเวลานัดหมายไว้ในกระดาษและหยอดลงกล่องจดหมายของบ้านข้างเคียง ในส่วนของรางวัล เจ้าคงทราบอยู่แล้วว่าเราไม่ใช่คนตระหนี่ ถึงการสืบสวนจะคว้าน้ำเหลว แต่เราจะตอบแทนตามปริมาณการลงแรงพยายาม และถ้าประสบความสำเร็จ ขอสัญญาว่าเจ้าจะได้รับเงินก้อนโตชนิดสบายไปทั้งชีวิต เพียงพอสำหรับเกษียณจากงานได้ทันที”
อุปนิสัยขององค์ชายสามช่างเด็ดเดี่ยวและตรงไปตรงมา… เงินเกษียณคงประมาณสามพันปอนด์กระมัง…
ไคลน์ถอนหายใจ
“เข้าใจแล้วครับ ขอให้ดวงวิญญาณของทาลิมสถิตอยู่ในดินแดนแห่งพายุสายฟ้าของพระองค์ท่านตลอดไป” ชายหนุ่มโค้งคำนับ
เอ็ดซัคพยักหน้ารับและสั่งพ่อบ้านชรา
“ส่งนักสืบโมเรียตี้กลับถนนมินส์”
องค์ชาย งานเลี้ยงอาหารกลางวันมือหรูหราของผมอยู่ไหน? คุณกำลังให้นักสืบคนหนึ่งออกไปเสี่ยงตาย แต่ไม่คิดแสดงน้ำใจสักหน่อยหรีอ… ช่างเถอะ องค์ชายคงมีกิจกรรม ‘อย่างว่า’ ต้องทำในช่วงสายกระมัง…
ไคลน์เหน็บแนมในใจ
ชายหนุ่มเดินตามพ่อบ้านชราออกมาทางประตูหน้าและรับปืนกับซองรักแร้คืน
…
อาคารหมายเลข 15 ถนนมินส์ ไคลน์ยืนริมมุขหน้าต่างพลางจ้องมองรถม้าซึ่งมีตราประจำตระกูลออกัสตัสแล่นออกไป
เชอร์ล็อก·โมเรียตี้คงถูกสั่งเก็บทันทีถ้าสืบเรื่องนี้จนล้ำเส้น… ใครจะไปรู้ บางทีอาจมีคนกำลังจับตามองเราอยู่ก่อนแล้ว… ไม่สิ อาจยังไม่ถึงเวลา เพราะเรายังไม่เริ่มลงมือ…
ไคลน์ขมวดคิ้วพลางยืนนิ่ง
ในวินาทีนี้ มันต้องการเลื่อนลำดับกลายเป็นผู้ไร้หน้าโดยเร็ว
เราคงแบมือรอให้จิตแห่งจักรกลสำรวจสุสานอามุนด์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องพยายามขวนขวายหาตะกอนพลังของเงามืดหนังมนุษย์ไปพร้อมกัน เพราะไม่มีทางทราบเลยว่าพวกเขาจะตัดสินใจเริ่มปฏิบัติการตอนไหน อาจนานหลายเดือนหรือเป็นปี… มีโอกาสเป็นแบบนั้นสูงมาก พวกเขาสามารถผลัดเวรไปคอยคุ้มกันหน้าสุสานตลอด ขณะเดียวกันก็ให้อีกหน่วยเข้าไปสำรวจจนกว่าจะมั่นใจจึงค่อยเริ่มปฏิบัติการ…
เราคงรอนานขนาดนั้นไม่ได้…
ไคลน์ตัดสินใจหนักแน่นหลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนทุกมุมมอง
14:45 นาฬิกา ชายหนุ่มหยิบหนังสือพิมพ์ปึกหนึ่งเดินเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมจัดชุมนุมทาโรต์ประจำสัปดาห์
15:00
หลังจากถูกแสงสีแดงอาบร่าง ออเดรย์มองไปรอบตัวด้วยอารมณ์สดใส
ย้อนกลับไปเมื่อคืน เธอได้รับสูตรโอสถลำดับ 7 นักจิตบำบัด ซึ่งตนปรารถนามาแสนนาน อารมณ์ของเด็กสาวจึงกำลังซับซ้อน มีทั้งตื่นเต้น กระสับกระส่าย และโล่งใจ
เหนือสิ่งอื่นใด สมาคมแปรจิตมอบสูตรโอสถให้ออเดรย์ฟรีโดยไม่ต้องใช้คะแนนผลงานแลก อ้างว่าไว้ค่อยตอบแทนในภายหลัง
พวกมันมั่นใจโดยไม่เคลือบแคลง บุคคลระดับบุตรีแห่งเอิร์ล ออเดรย์·ฮอลล์ ย่อมมีความสามารถในการ ‘ตอบแทน’ เหนือจินตนาการคนทั่วไป
วันนี้ไม่มีสมาชิกใหม่…
เด็กสาวยืนยันหลังจากกวาดสายตามองไปรอบโต๊ะหนึ่งหน ตามด้วยการลุกขึ้นและจับชายกระโปรงทำท่าคำนับ
“ทิวาสวัสดิ์ มิสเตอร์ฟูล~ ทิวาสวัสดิ์…”
เสียงสดใสร่าเริงของหญิงสาวได้ทำลายความเงียบงันอันเป็นบรรยากาศปรกติของห้วงมิติเหนือสายหมอก และยังช่วยให้ไคลน์ ผู้กำลังหดหู่จากเหตุการณ์บนโลกความจริง ผ่อนคลายความตึงเครียดลงเล็กน้อย
มันพยักหน้ารับแผ่วเบาเป็นเชิงทักทายสมาชิกชุมนุมทุกคน
ออเดรย์นั่งลงและรีบสำรวจภาษากายของสมาชิกทุกคนอย่างละเอียดตามความเคยชิน จากนั้นก็นำไปเปรียบเทียบกับผลลัพธ์ในการชุมนุมคราวก่อน
มิสเตอร์แฮงแมนแอบชำเลืองมิสเตอร์ฟูลเล็กน้อยหลังจากคำนับท่าน ตามด้วยการเหลือบมองมิสเตอร์เวิร์ลด้วยสีหน้าเจือความคาดหวัง… คงเพราะเขาเป็นสมาชิกของโบสถ์วายุสลาตัน จึงเข้าถึงรายละเอียดบางส่วนของคดีลอบสังหารดยุคนีแกนได้ ขณะเดียวกันก็ทราบถึงตัวจริงของจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด บางที เขาอาจต้องการทราบข้อมูลมากกว่านี้… การชำเลืองมิสเตอร์เวิร์ลแปลว่ามีความคืบหน้าเกี่ยวกับตะกอนพลังของมนุษย์หมาป่า อาจรวมไปถึงการรวบรวมเส้นผมนากาทะเลลึก…
อารมณ์ของเดอะซันกำลังผ่อนคลายและไม่ตื่นตระหนก หมายความว่าการสอดส่องจากสภาเมืองเงินพิสุทธิ์จบลงแล้ว… เหตุใดเขาถึงมั่นใจว่าตัวเองเป็นอิสระ? หรือถูกเรียกตัวกลับเข้าร่วมทีมสำรวจอะไรนั่นอีกครั้ง?
ฟอร์สกำลังหดหู่แกมผ่อนคลาย…
เธอผ่านการทดสอบของตระกูลอับราฮัมและได้เป็นศิษย์ของเขา แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เธอจำใจต้องทำในสิ่งยากจะยอมรับ?
มิสเตอร์เวิร์ลยังคลุมเครือเช่นเคย… คงต้องรอให้เป็นลำดับ 7 หรือ 6 เสียก่อน เราอาจได้เห็นอะไรในตัวเขามากกว่านี้…
และคนสุดท้าย ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ท่านยังคงสง่าผ่าเผยและเปี่ยมด้วยอำนาจบารมีเฉกเช่นทุกครั้ง…
เมื่อห้วงความคิดมากมายในหัวออเดรย์จบลง เธอกล่าวกับสุภาพบุรุษเบื้องหลังม่านหมอกสีเทาหนาทึบ
“มิสเตอร์ฟูล ดิฉันรวบรวมไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ได้สามหน้า”
เป็นฉบับคัดลอกซึ่งเธอร้องขอมาจากสมาคมแปรจิต แต่เนื่องจากเพิ่งบอกกับครูสอนพิเศษส่วนตัว เอสลันด์ เมื่อคืน อีกฝ่ายจึงเตรียมให้ได้เพียงสามแผ่น
“ต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยน” ไคลน์ยิ้ม
ออเดรย์ตอบกลับอย่างซื่อตรง
“ถือเป็นการแลกเปลี่ยนกับคำตอบในคราวก่อนก็แล้วกันค่ะ”
ขณะกล่าว น้ำเสียงของเด็กสาวแฝงความโอ้อวดเบาบาง
มิสเตอร์แฮงแมนและคนอื่นยังไม่ทราบเรื่องของสภานักสิทธิ์สนธยาเหมือนกับเรา!
น่าอิจฉาจังแฮะ ชักอยากรู้แล้วว่ามิสจัสติสปรึกษาเรื่องใดกับมิสเตอร์ฟูลส่วนตัว… เราคงต้องเขียนจดหมายถึงอาจารย์บ้าง ถามเขาว่ามีไดอารี… เอ่อ ต้องเรียกว่าสมุดบันทึกของจักรพรรดิโรซายล์ บ้างไหม…
ฟอร์สเริ่มกระตือรือร้น
ไคลน์พยักหน้ารับท่ามกลางสายตาเคลือบแคลงจากแฮงแมน
“ไม่มีปัญหา”
ออเดรย์รีบเขียนไดอารีจำนวนสามหน้าและส่งต่อให้มิสเตอร์ฟูล
ไคลน์ก้มศีรษะอ่านด้วยท่านั่งผ่อนคลาย ใจความในหน้าแรกเขียนไว้ว่า :
“13 มกราคม การติดต่อเป็นมิสเตอร์ประตูเริ่มมีเสถียรภาพ”
……………………
ราชันเร้นลับ 440 : ตระกูลเทวทูต
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะไคลน์กำลังก้มหน้า ออเดรย์ชิงพูด
“มิสเตอร์ฟูล ดิฉันยังมีไดอารีจักรพรรดิโรซายล์อีกสิบหน้า ไว้จะทยอยนำมามอบให้เพื่อตอบแทนการอวยพรครั้งก่อนนะคะ”
เธอกล่าวออกมาเสียงดังเพราะต้องการให้มิสเตอร์ฟูลทราบว่าตนยังไม่ลืมบุญคุณเรื่องพรจากเทวทูตสำหรับผ่านการทดสอบของสมาคมแปรจิต และยังรวมถึงเรื่องความลับของ ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’ ด้วย แต่อีกใจหนึ่งก็พูดเพื่อต้องการโอ้อวดสมาชิกคนอื่น
ค่าตอบแทนการอวยพร…
ฟอร์สทวนคำซ้ำพลางตระหนักว่าตนมองข้ามเรื่องสำคัญในอดีตไป
เพื่อให้เราผ่านการทดสอบของอาจารย์โดเรียน มิสเตอร์ฟูลได้ส่งเทวทูตลงมาอวยพรและแทรกแซงผลการทำนาย หมายความว่าเราก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นกันใช่ไหม?
ทำไมเราถึงมองข้ามเรื่องนี้มาตลอด…
จริงสิ เพราะเราคิดแต่เพียงว่า พิธีกรรมของมิสเตอร์ฟูลคงเหมือนกับพิธีกรรมทั่วไป เมื่อจบพิธีกรรมก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นข้อตกลง…
ฟอร์สเริ่มกระวนกระวาย
หากเป็นพิธีกรรมทั่วไป การขอความช่วยเหลือจากเทพจะต้องสังเวยบางสิ่งล่วงหน้า จำพวกการเผาน้ำมันสกัด สารสกัด และผงสมุนไพร ถือเป็นการสร้างความพึงพอใจให้กับตัวตนลึกลับก่อนเข้าสู่ช่วงหลักของพิธีกรรม แต่ในกรณีของมิสเตอร์ฟูล ท่านยอมลดขั้นตอนวุ่นวายลงเพื่อความสะดวกของสมาชิก จึงไม่ต้องมีการสังเวยล่วงหน้าเหมือนกับพิธีกรรมอื่น เปลี่ยนเป็นการจ่ายค่าตอบแทนในภายหลังแทน… เราเคยชินกับพิธีกรรมทั่วไปมาตลอด จึงกล่าวแค่คำขอบคุณออกไป…
ฟอร์สรีบเงยหน้ามองบุคคลบนเก้าอี้ประธานพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ การแทรกแซงคำทำนายของท่านช่วยดิฉันได้มาก ดังนั้น ดิฉันจะพยายามรวบรวมไดอารีจักรพรรดิโรซายล์มาตอบแทนให้ท่านเป็นจำนวนสิบหน้าเช่นกัน”
เมื่อเห็นความกระตือรือร้นของมิสจัสติสและมิสเมจิกเชียน เดอร์ริคเองก็ตระหนักว่าตนพึ่งพาพรจากเทวทูตของมิสเตอร์ฟูลเช่นกัน จึงพยายามคิดหาวิธีตอบแทนบ้าง
แต่เมืองเงินพิสุทธิ์ไม่มีไดอารีจักรพรรดิโรซายล์อะไรนั่น… จริงสิ มิสเตอร์ฟูลชื่นชอบประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ เราต้องอ่านหนังสือและบันทึกตำนานให้มากขึ้น…
เมื่อเกิดความคิดดังกล่าว เดอร์ริครีบให้สัญญากับเดอะฟูลว่าตนจะนำข้อมูลของเมืองเงินพิสุทธิ์มาตอบแทนในอนาคต
แฮงแมนเฝ้ามองเหตุการณ์อย่างเงียบงันโดยไม่เคลือบแคลงอีกต่อไปว่า มิสเตอร์ฟูลมีเทวทูตเป็นบริวารรับใช้จริง
ทุกองค์กรลับควรมีคนอย่างมิสจัสติสเป็นสมาชิก… พลังของการ ‘ทำตัวเป็นแบบอย่าง’ ช่างไร้ขีดจำกัด…
ไคลน์รำพันอย่างอิ่มเอมใจเมื่อจู่ๆ ก็มี ‘ลูกหนี้’ เพิ่มขึ้นสามคนโดยไม่ต้องทำอะไร
ด้วยฐานะตัวตนอันสูงส่ง มิสเตอร์ฟูลย่อมไม่สะดวกจะออกปากเรียกร้องค่าตอบแทน แต่ขณะเดียวกัน ไคลน์ก็มองว่าการช่วยเหลือสมาชิกร่วมชุมนุมคือสิ่งพึงกระทำอยู่แล้ว จึงไม่ได้บังคับให้เดอะเวิร์ลจ่ายค่าตอบแทนเพื่อกดดันสมาชิกคนอื่น
แต่ถ้าจัสติสและทุกคนยินดีจะตอบแทนด้วยความตั้งใจตัวเอง ชายหนุ่มก็ไม่คิดปฏิเสธไมตรีแต่อย่างใด
“ตกลง” ไคลน์ยิ้มรับ ตามด้วยการก้มหน้าอ่านแผ่นกระดาษไดอารีอีกครั้ง
“13 มกราคม การติดต่อเป็นมิสเตอร์ประตูเริ่มมีเสถียรภาพ ในฐานะผู้วิเศษทรงพลังซึ่งติดอยู่ท่ามกลางความมืดมิดและพายุโหมกระหน่ำ เขาไม่รีบร้อนให้เราประกอบพิธีกรรมซับซ้อนเพื่อช่วยนำเขากลับมายังโลกแห่งความจริง ดูเหมือนเขาจะมั่นใจเสียเต็มประดาว่า ตนมีวิธีโน้มน้าวให้เรายอมเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือเขาออกมาจากวังวนพายุเกรี้ยวกราด โดยไม่ต้องรับปากในเรื่องยากๆ จำพวก ‘เอาล่ะโรซายล์ เจ้าสามารถขอพรใดก็ได้จำนวนสามข้อ’ มิสเตอร์ประตูไม่ได้เอ่ยถึงแผนการช่วยเหลือเขาออกมา เพ่งความสนใจมายังการสร้างไพ่ทาโรต์ของเรา ฮะฮะ! ต้องเน้นหนักคำว่า ‘สร้าง’ ให้มากกว่านี้! ฟังดูมีพลังชะมัด… อา จากการประเมินเบื้องต้นของเรา มิสเตอร์ประตูในปัจจุบันคงติดต่อกับโลกจริงได้ในช่วงเวลาเฉพาะและมีระยะเวลาจำกัด แต่ระหว่างนั้นก็สามารถสำรวจความเป็นไปของโลกได้อย่างละเอียดเช่นกัน เมื่อเล่าจนถึงไพ่ ‘เดอะมูน’ ตัวเราพลันฉุกคิดเรื่องน่าสนใจขึ้นมาได้ ซาราธเคยยืนยันว่าโรงเรียนกุหลาบนับถือดวงจันทร์ แต่มิได้นับถือเทพธิดารัตติกาล ฮะฮะ! เราแอบเติมประโยคหลังเข้าไปเอง ด้วยเหตุนี้ เราจึงตัดสินใจถามผู้เชี่ยวชาญจากยุคสมัยที่สี่ด้วยความสงสัย แต่น่าเสียดาย อีกฝ่ายดันตอบกลับมาแบบอ้อมค้อม อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับนักทำนายซึ่งเอาแต่พูดจาคลุมเครือจนเราอยากซัดปากสักหมัดแล้ว คำตอบของมิสเตอร์ประตูฟังดูมีสาระกว่ามาก เขาเล่าว่า หากต้องเลือกไพ่หนึ่งใบสำหรับแทนเทพธิดารัตติกาล เขาจะไม่เลือกเดอะมูนอย่างเด็ดขาด แต่เป็น… เดอะสตาร์! นั่นยิ่งทำให้เรื่องราวน่าสนใจขึ้นไปอีก! เราจึงถามกลับไปว่า ‘แล้วใครเป็นผู้ปกครองดวงจันทร์คนปัจจุบัน’ และคำตอบของเขาได้ทำให้ปมปริศนาซับซ้อนยิ่งขึ้น! มิสเตอร์ประตูอมยิ้มและตอบว่า ปัจจุบันยังไม่มีใครปกครองดวงจันทร์ ถ้าเราตีความไม่ผิด ถ้อยคำข้างต้นจะหมายความว่าลำดับ 0 ของเส้นทางดวงจันทร์ยังคงว่างอยู่ ลำดับ 0 ยังว่างอยู่! เส้นทางปราศจากเทพ!”
น่าแปลก… โลกนี้ยังมีดวงจันทร์บรรพกาลอยู่ด้วยไม่ใช่หรือไง?
ไคลน์เกิดคำถามเมื่ออ่านถึงตรงนี้
ชายหนุ่มเตรียมใจไว้แล้วว่า ไพ่ ‘เดอะมูน’ อาจไม่ได้หมายถึงเทพธิดา เพราะไม่ว่าจะความเชื่อของโรงเรียนกุหลาบ บันทึกของแวมไพร์ หรือข้อมูลจากหนังสือแห่งความลับของคารามัน ทั้งหมดระบุตรงกันว่าเทพธิดารัตติกาลไม่ใช่ดวงจันทร์คนปัจจุบัน
ในทางกลับกัน แวมไพร์ต้นตระกูล ลิลิธ และดวงจันทร์บรรพกาล กลับมีความใกล้เคียงกับลำดับ 0 เส้นทางดวงจันทร์มากกว่า…
จากคาบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของเมืองเงินพิสุทธิ์ เดอะซันน้อยระบุว่าลิลิธร่วงหล่นท่ามกลางยุคสมัยแห่งความมืด ยุคสมัยที่สอง แต่ในทางกลับกัน ดวงจันทร์บรรพกาลนั้นยังถูกกราบไหว้บูชามาจนถึงปัจจุบัน และมักตอบสนองต่อพิธีกรรมเรียกหาบ่อยครั้ง ถึงส่วนมากจะสาปให้เหยื่อตกอยู่ในชะตากรรมบัดซบก็ตาม… แล้วทำไมมิสเตอร์ประตูถึงระบุว่าปัจจุบันยังไม่มีผู้ปกครองดวงจันทร์? หนังสือแห่งความลับเขียนไว้ชัดเจนว่าดวงจันทร์บรรพกาลมีตัวตนจนถึงอย่างน้อยยุคสมัยที่สี่…
ไคลน์เกือบขมวดคิ้ว
ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มสร้างสมมติฐานขึ้นมาสามข้อ หนึ่ง มิสเตอร์ประตูไม่มีข้อมูลของดวงจันทร์บรรพกาลมากนัก แต่โอกาสเป็นข้อนี้ค่อนข้างต่ำ สอง ยังไม่มีใครครอบครองลำดับ 0 ในเส้นทางดวงจันทร์จริง ส่วนดวงจันทร์บรรพกาลคือเทพตนอื่นสวมรอยมาตอบรับพิธีกรรมแทน สาม ใครสักคนในลำดับ 1 ของเส้นทางดวงจันทร์แสร้งสวมสวมรอยเป็นดวงจันทร์บรรพกาลโดยอาศัยความช่วยเหลือจากภายนอกเช่นสมบัติปิดผนึก
ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ก็คือ เสียงตอบรับในพิธีกรรมถึงดวงจันทร์บรรพกาลล้วนมาจาก ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางดวงจันทร์…
ไคลน์พึมพำ
จริงอยู่ วัตถุดิบหลักโอสถลำดับ 0 ตามคำอธิบายของไพ่จักรพรรดิมืดคือตะกอนพลังของโอสถลำดับ 1 แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด องค์ชายวิปริตยังต้องใช้ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางจักรพรรดิมืดร่วมด้วย โดยแต่ละเส้นทางจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป
เทพย่อมต้องมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง!
นอกเหนือจากสมมติฐานแรก ข้ออื่นล้วนมีความเป็นไปได้มากทั้งสิ้น… เส้นทางของดวงจันทร์ชื่ออะไร หรือเป็นเส้นทางไหนกันแน่? เราเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่?
ไคลน์พลิกไปยังหน้าถัดไป มันค่อนข้างโชคดีเมื่อพบว่าเป็นเนื้อหาต่อจากแผ่นเดิม
“เรายังคงล้วงความลับจากมิสเตอร์ประตูอย่างต่อเนื่อง ฮะฮะ! เขาคิดจริงหรือว่าการตอบแบบยั่วน้ำลายจะทำให้เราย่อมเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเหลือเขาออกมา? ฝันไปเถอะ! เราข่มสีหน้าอยากรู้อยากเห็นและกล่าวตำหนิออกไปว่า เขาขาดความเคารพในตัวเทพเกินไปแล้ว แต่มิสเตอร์ประตูกลับตอบมาอย่างผ่อนคลายว่า ‘ตระกูลขุนนางในยุคสมัยที่สี่ล้วนมีท่าทีต่อเทพแบบเหมือนกับข้าทั้งสิ้น’ อ้อมค้อมเก่ง! อย่างไรก็ตาม นั่นก็ทำให้เราเริ่มสนใจข้อมูลของเหล่าขุนนางจากยุคสมัยที่สี่ขึ้นมาบ้าง จึงสบโอกาสซักถาม มิสเตอร์ประตูเล่าว่า ในจักรวรรดิทูดอร์จะมีกลุ่มขุนนางใหญ่อยู่ห้าตระกูล ประกอบด้วยอับราฮัม อันทีโกนัส อามุนด์ ทามาร่า และเจคอป โดยทุกตระกูลล้วนถูกเรียกว่า ‘ตระกูลเทวทูต’ มีพลังอำนาจระดับมหาศาลจนยากจะหาผู้ใดทัดเทียม ตระกูลเทวทูต! แค่ฟังจากชื่อก็สัมผัสถึงความแข็งแกร่งแล้ว! มิสเตอร์ประตูยังกล่าวอีกด้วยว่า ณ ยุคสมัยที่สี่ ตระกูลเทวทูตมิได้ถูกจำกัดเพียงห้าชื่อข้างต้น ยังมีตระกูลซาราธและโซโรอาสเตอร์แห่งจักรวรรดิโซโลมอน ตระกูลออกัสตัส เซารอน ไอน์ฮอร์น และกาสตีญ่าจากจักรวรรดิทรันซอสต์ รวมถึงพวกกลุ่มเร้นกายซ่อนตัวอย่างอันเดราธและบีเลียล อีกทั้งยังมีตระกูลแม่มดซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเทพธิดาปริศนาโดยตรง แบบนี้ก็หมายความว่า ผู้ชนะสุดท้ายในสงครามยุคสมัยที่สี่คือจักรวรรดิทรันซอสต์? แล้วตระกูลราชวงศ์ทรันซอสต์หายไปไหน? ทำไมจึงมีเพียงสี่ตระกูลเทวทูตอย่างเซารอน ไอน์ฮอร์ท ออกัสตัส และกาสตีญ่ากระจายตัวกันปกครองทวีปเหนือ? มิสเตอร์ประตูยังเล่าอีกว่า ขุมพลังของตระกูลเทวทูตนั้นห่างชั้นจากเทพเพียงไม่กี่เอื้อมมือ ไม่มีตระกูลใดในยุคสมัยปัจจุบันเทียบได้เลย อย่างไรก็ตาม บุคคลทรงพลังเหล่านั้นได้ร่วงหล่นมากมายท่ามกลางไฟสงครามอันร้อนระอุ แม้กระทั่งตระกูลเซารอนก็เริ่มเสื่อมอำนาจและถูกทำลายโดยฝีมือเรา! เชื่อว่าอีกไม่เกินหนึ่งพันปี โลกใบนี้คงไม่เหลือตระกูลออกัสตัสอยู่เช่นกัน มีเพียงเทพแท้จริงเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ค้ำจุนโลกจากเงามืดไปตลอดกาล! แม้ว่าเหล่าครึ่งเทพจำนวนหนึ่งจะเสียชีวิตในสงครามยุคสมัยที่สี่ แต่ก็มีอีกจำนวนมากเสียชีวิตด้วยอายุขัย ทำเอานึกถึงคำคมในนิยายดังเรื่องหนึ่ง ถ้านับมาปรับแต่งสักเล็กน้อยก็จะเข้ากับสถานการณ์นี้พอดิบพอดี : หากไม่ใช่เทพแท้จริง ไม่มีใครหน้าไหนรอดพ้นจากการกลายเป็นซากขี้เถ้าได้! จนกระทั่งระยะเวลาในการติดต่อกับโลกความจริงหมดลง ร่างมายาของมิสเตอร์ประตูได้เลือนหายไป ลักษณะคล้ายกับนักโทษซึ่งถูกปล่อยตัวออกมาพบญาติโดยมีระยะเวลาจำกัด แต่ความรู้และประสบการณ์จากชายคนนั้นคือของจริง เรื่องน่าสนใจก็คือ สีหน้าแววตาของเขาเผยความดูแคลนอย่างชัดเจนขณะกล่าวถึงตระกูลซาราธ บางที เราควรสานสัมพันธ์กับมิสเตอร์ประตูเอาไว้บ้าง นอกเหนือจากโบสถ์จักรกลไอน้ำและองค์กรลับเก่าแก่แห่งนั้น เราควรมีทางหนีหมายเลขสาม เผื่อไว้! สุภาษิตจีนได้กล่าวไว้ว่า กระต่ายอายุยืนต้องมีโพรงอย่างน้อยสามช่อง!”
หืม… แล้วทำไมในวาระสุดท้ายของชีวิต จักรพรรดิโรซายล์กลับคิดถึงเพียงองค์กรลับเก่าแก่ซึ่งน่าจะหมายถึงสภานักสิทธิ์สนธยา…
ไม่มีการพูดถึงมิสเตอร์ประตูแม้แต่คำเดียว คงเกิดเรื่องขึ้นระหว่างนั้นกระมัง… ออกัสตัสแห่งโลเอ็นเคยเป็นตระกูลเทวทูตของจักรวรรดิทรันซอสต์มาก่อน… เช่นนั้นแล้วราชวงศ์ทรันซอสต์ไปไหน? ทำไมถึงหายไปอย่างไร้วี่แววโดยไม่เหลือแม้แต่ข่าวลือ…
ไคลน์ครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย ภายในใจกำลังเกิดความใคร่รู้อย่างเต็มเปี่ยม มันต้องการแหวกผ่านม่านหมอกแห่งความลึกลับและเพ่งมองเข้าไปในความจริงของยุคสมัยที่สี่
นี่อาจเป็นหนึ่งในความฝันของเจ้าของร่างคนก่อน ไคลน์·โมเร็ตติ ด้วยเช่นกัน
บางที ซากอาคารใต้ดินซึ่งมีบัลลังก็คู่และวิญญาณมารแข็งแกร่งตนนั้น อาจช่วยไขความกระจ่างให้เราได้ในอนาคต…
ไคลน์ก้มหน้าอ่านไดอารีแผ่นถัดไป
“2 มิถุนายน แบร์นาแดตส่งข้อความกลับมาหาเราแล้ว! การมีลูกสาวก็ดีเช่นนี้แล… เธอรู้จักเอาใจใส่บิดาวัยชราผู้น่าสงสาร ถึงแม้เราจะทราบว่าแบร์นาแดตทำไปเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง แต่ก็ดีกว่าเฉยเมยและไม่แยแสกันเลยสักนิด นอกจากนั้น เธอยังทำได้ไม่เลว เราถามว่าเธออยากเป็นผู้วิเศษเส้นทางใด และได้รับคำตอบกลับมาว่ายังไม่ได้ตัดสินใจ แต่เธอรู้สึกชอบคติพจน์ ‘ทำตามใจ แต่ต้องไม่เดือดร้อนใคร’ มากเป็นพิเศษ 3 มิถุนายน เราได้พบฟลอเร็นอีกครั้ง แต่บรรยากาศรอบตัวเจ้านั่นเปลี่ยนไปมาก ราวกับเป็นคนละคนเลยทีเดียว ไม่สิ ระบุให้ชัดคือ ถึงจะยังมีความทรงจำเก่าและหลงเหลืออุปนิสัยบางอย่างไว้ แต่กลิ่นอายกลับไม่ใช่คนเดิม เกิดอะไรขึ้นกับเขา? ทำไมถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้? อาจตรงกับสำนวน ‘บางคนถูกปีศาจสิ่งร่างกาย บางคนถูกปีศาจสิงจิตใจ’ กระมัง 5 มิถุนายน เราค้นพบหนังสือโบราณกล่าวถึงนามของเทพธิดาบรรพกาลตนหนึ่ง… เป็นชื่อจริง! มิใช่นามเต็มอันสูงส่งสำหรับประกอบพิธีกรรม! เธอชื่อว่า ‘ชีค’ แต่นั่นมันชื่อของผู้ชายไม่ใช่หรือ… หนังสือโบราณเล่มนี้เป็นของปลอม?”
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น