Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 433-436

 ราชันเร้นลับ 433 : สายข่าววัยเยาว์

โดย

Ink Stone_Fantasy

พระผู้สร้างต้นกำเนิด?


ไคลน์ผงะไปชั่วขณะ ก่อนจะหวนนึกถึงข้อมูลสถานการณ์ปัจจุบันจากเฒ่าโคห์เลอร์


ในระยะหลังมักมีบุคคลลึกลับตระเวนเผยแพร่ความเชื่อของพระผู้สร้างต้นกำเนิดภายในเขตตะวันออก ย่านท่าเรือ และย่านโรงงานอย่างต่อเนื่อง ใจความสำคัญคือ พระองค์ท่านยังมิได้จากพวกเราไป แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์และทุกสรรพสิ่ง หากมนุษย์คนใดเคารพบูชาท่านจากก้นบึ้งหัวใจ ไม่เพียงสาวกเหล่านั้นจะได้มีชีวิตใหม่หลังความตาย แต่ยังจะถูกรับเข้าสู่อาณาจักรของท่านด้วย ชีวิตในอาณาจักรท่านมีแต่ความสะดวกสบาย เช่นการมีเนื้อย่างร้อนฉ่าให้กินในทุกวัน


ถ้อยคำข้างต้นคล้ายกับการบิดเบือนจากชุมนุมแสงเหนือมาก พวกมันมักทำให้สาวกวงนอกเข้าใจผิดว่าพระผู้สร้างแท้จริงคือพระผู้สร้างต้นกำเนิด…


ไคลน์ค่อนข้างมั่นใจว่านี่คือกุศโลบายการเผยแผ่ศาสนาของชุมนุมแสงเหนือ หลังจากจบเหตุการณ์ลาเนวุส ดูเหมือนพวกมันจะให้ความสนใจกับคนจนในเขตตะวันออกมากขึ้น


แต่เหิมเกริมถึงขั้นเดินเข้ามาเผยแผ่ศาสนากับคนแปลกหน้าเชียวหรือ? ไคลน์ทำหน้าลังเลพร้อมกับมอบคำตอบ


“ก็เคยได้ยินมาบ้าง”


ชายวัยกลางคนแต่งกายสะอาดพลันอมยิ้ม


“ถ้าอย่างนั้น คุณเคยได้ยินเรื่องราวของวันสิ้นโลกซึ่งกำลังจะมาถึงบ้างไหม เคยทราบหรือไม่ว่าพระผู้สร้างแท้จริงจะสร้างดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องสาวกของท่านทุกคน”


ความคิดแวบแรกในหัวไคลน์คือ ต้องการแทรกซึมเข้าไปในวงนอกของชุมนุมแสงเหนือทีละนิด จะได้ทราบสถานการณ์เบื้องต้นและเตรียมแก้แค้นพวกมันได้อย่างเหมาะสม ชายหนุ่มยังไม่ลืมว่าชุมนุมแสงเหนือสั่งให้ผู้คนตามล่าตัวสาวกของเดอะฟูล!


แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างใจเย็น ไคลน์มองว่าแผนดังกล่าวบุ่มบ่ามและมีความเสี่ยงเกินไป การลงมือคนเดียวนั้นมีข้อจำกัดหลายด้าน ไม่มีสิ่งใดช่วยรับประกันความสำเร็จ


ลงเอยด้วย มันตัดสินใจเตรียมนำเรื่องดังกล่าวไปแจ้งให้จิตแห่งจักรกลทราบ ผู้ก่อการร้ายก็ต้องเจอกับหน่วยงานรัฐบาล!


เมื่อได้ข้อสรุป ชายหนุ่มปั้นหน้าขึงขัง


“ไม่ทราบ! แล้วก็ไม่อยากทราบด้วย!”


มันรีบจ้ำหนีเพื่อสลัดชายแปลกหน้าให้หลุดโดยไม่แยแสเสียงตะโกนไล่หลัง


ระหว่างทางออกจากเขตตะวันออก ไคลน์สำรวจรอบตัวไปพลางและพบว่า กลุ่มคนตกงานจำนวนมากกำลังนั่งล้อมวงด้วยสีหน้าหดหู่แกมสิ้นหวัง สาเหตุการตกงานส่วนใหญ่มาจากการติดตั้งเครื่องจักรรุ่นใหม่ซึ่งช่วยทุ่นแรงและลดต้นทุน


ปัจจุบัน กลุ่มคนตกงานกำลังนั่งฟังคำเผยแผ่ศาสนาของบุคคลน่าสงสัยโดยไม่แสดงสีหน้าเคลือบแคลงเลยสักนิด


น่าแปลก… รายงานการสำรวจของเขตตะวันออก ย่านท่าเรือ และย่านโรงงานอุตสาหกรรม น่าจะเสร็จไปตั้งแต่สองเดือนก่อนแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมสามโบสถ์หลักกับรัฐบาลถึงยังไม่เตรียมมาตรการรับมือสักที? พวกเขาต้องจัดลำดับความสำคัญของเรื่องนี้ไว้สูงแน่ จึงไม่มีทางไม่ทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบัน… กำลังวางกับดักล่อปลาใหญ่? เสี่ยงเกินไปแล้ว! หากผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวจะเกิดความเสียหายใหญ่หลวงทันที!


ขณะรำพัน ชายหนุ่มกดหมวกและก้มหน้าเร่งฝีเท้าให้พ้นเขตตะวันออก ตรงไปยังเป้าหมายของตนในย่านสะพานเบ็คลันด์



ยามเที่ยงตรง ผับวีรบุรุษเพิ่งเปิดได้ไม่นาน จึงยังไม่มีขี้เมาให้เห็นมากนัก ปรากฏเพียงบุคคลทำงานในละแวกใกล้เคียงแวะเข้ามารับประทานอาหารกลางวัน


ไคลน์เดินปะปนเข้าไป จากนั้นก็ใช้เงินสิบเพนนีซื้อขนมปังข้าวโอ๊ต ไส้กรอกหมู และเบียร์นันวีลล์หนึ่งแก้ว แสดงให้บาร์เทนเดอร์เห็นว่าตนมีเงิน


หลังจากเติมเต็มความอิ่มท้องและจัดการเบียร์ในแก้วจนเกลี้ยง ไคลน์เงยหน้ามองบาร์เทนเดอร์


“คาสปาส·คันลินิงอยู่ไหม”


กระสุนแบบธรรมดาเริ่มใกล้หมด มันจึงต้องการสำรองเพิ่ม


บาร์เทนเดอร์ชำเลือง


“ไม่ได้มาแถวนี้นานแล้วใช่ไหม คาสปาสตายไปแล้ว เขาเสียชีวิตบนเตียงนอนในบ้านตัวเอง น่าจะเกิดจากสภาพอากาศหนาวจัด ส่งผลให้แขนสองข้างกอดรัดลำตัวแน่นจนขาดอากาศหายใจ หึหึ ผมเองก็ไม่เชื่อเรื่องทำนองนี้หรอกนะ น่าจะมีแต่ในนิยายผีสางเท่านั้นแหละ แต่ทำไงได้ เจ้าพวกสุนัขขาวดำเล่ามาแบบนี้”


สุนัขขาวดำคือชื่อเล่นของตำรวจ สืบเนื่องมาจากเครื่องแต่งกายลายตารางหมากรุกสีขาวสลับดำ


กอดรัดตัวเองจนขาดอากาศหายใจตาย? ฟังดูคล้ายกับพลังพิเศษ… หรือจะเป็นฝีมือของโรงเรียนกุหลาบซึ่งพลิกแผ่นดินตามหามาดามชารอนกับมาริคแต่ก็ไม่พบสักที จึงนำความเค้นมาลงกับคาสปาสแทน? ความเยือกเย็นของผู้วิเศษลำดับสูงไปไหนหมด? ขณะเดียวกันก็หมายความว่า ก่อนคาสปาสจะตาย เขาคงติดต่อกับชารอนไม่ได้เหมือนกัน… ทั้งสองคนอาจหนีออกจากเบ็คลันด์ไปนานแล้ว…


คาสปาสย่อมไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับหายนะจากโลกผู้วิเศษ ถ้าเป็นเราคงไม่ย้อนกลับมาผับวีรบุรุษแน่ หนีไปให้ไกลพร้อมกับเงินทั้งหมด ตั้งรกรากใหม่ในเมืองใหม่…


แต่ภายใต้เงื่อนไขปรกติ ผู้วิเศษลำดับสูงจะไม่ลงมือกับคนธรรมดา อย่างมากก็แค่ใช้พลังสื่อวิญญาณโดยตรงและไม่สนใจผลค้างเคียงต่ออาการทางจิต… สมกับเป็นโรงเรียนกุหลาบ พวกชอบทำตามแรงกระหายโดยไม่คิดยับยั้งชั่งใจ ไม่น่าเชื่อว่าตัวตนอย่างผู้วิเศษระดับสูงจะเสียเวลาทำเรื่องแบบนี้…


ขณะไคลน์ตะลึง อีกใจหนึ่งก็นึกสงสารพ่อค้าอาวุธเถื่อนคาสปาส


บาร์เทนเดอร์ใช้ผ้าเช็ดแก้วพร้อมกับเล่าต่อ


“ถ้าคุณต้องการซื้อของ ก็ลองคุยกับพ่อค้ารายใหม่ดู”


“ใครกัน?” ไคลน์ถามหยั่งเชิง


“ใช้นามแฝงว่าพ่อเฒ่า อยู่ในห้องบิลเลียดหมายเลขสาม” บาร์เทนเดอร์กล่าวโดยไม่เงยหน้ามอง


ไคลน์ลุกยืนและเดินไปทางห้องอันคุ้นเคยด้วยย่างก้าวเชื่องช้า ก่อนจะใช้นิ้วเคาะประตูให้สัญญาณ


“เข้ามาได้” เสียงดังแว่วจากด้านใน


เหมือนเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน… ชายหนุ่มครุ่นคิดพลางผลักประตู


บุคคลซึ่งยืนข้างโต๊ะบิลเลียดเป็นเด็กผู้ชาย อายุไม่มาก สวมโค้ทตัวใหญ่รุ่มร่าม หมวกทรงกลมสีน้ำตาล และเป็นเจ้าของดวงตาสีแดงแวววาว ไม่ใช่ใครนอกจากเอียน


ไคลน์ได้พบในวันแรกขณะเดินทางเข้ามาในกรุงเบ็คลันด์ ย้อนกลับไปในตอนนั้น เอียนฝากฝังให้ชายหนุ่มช่วยตามหานักสืบเอกชนนามว่าเซอเรียล งานดังกล่าวทำให้ไคลน์ต้องพัวพันกับเหตุการณ์ใหญ่ ลุกลามไปถึงความขัดแย้งระหว่างหน่วยข่าวกรองระหว่างสองอาณาจักร จุดประสงค์เพื่อแย่งชิงพิมพ์เขียวต้นแบบของเครื่องหาผลต่างรุ่นสาม ลงเอยด้วย ไคลน์จำใจต้องจ้างมิสเตอร์ A แห่งชุมนุมแสงเหนือให้ลอบสังหารทูตอินทิสประจำอาณาจักรโลเอ็น เบเคอลัน·ฌอง·มาติน


“เป็นคุณเองหรือ นักสืบโมเรียตี้” เอียนทำหน้าประหลาดใจ


มันจงใจติดหนวดปลอมเหนือริมฝีปากเพื่อให้ตัวเองดูสูงวัยกว่าปรกติ


ไคลน์ยิ้มรับพร้อมกับเดินเข้าไปในห้อง มันปิดประตูตามหลังเมื่อเดินผ่าน


“ไม่เจอกันนานเลยนะ”


ในตอนแรก ไคลน์ค่อนข้างฉงนเมื่อทราบว่าเอียนกลายเป็นพ่อค้าอาวุธเถื่อนคนใหม่ของผับวีรบุรุษ แต่เมื่อลองนึกดูให้ดี มันก็พบว่าเรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจอะไรนัก


ย้อนกลับไปในอดีต ไคลน์ได้รู้จักผับวีรบุรุษเป็นครั้งแรกก็เพราะเอียนแนะนำให้มาหาคาสปาส·คันลินิง


เขาต้องมีเส้นสายในละแวกนี้แน่นอน!


“นั่นสินะครับ” เอียนสลัดความตกใจพร้อมกับพึมพำ “ผมย้ายไปแถบท่าเรือพริสต์เมื่อสองเดือนก่อน แต่พบว่าคนแถวนั้นป่าเถื่อนและไม่ญาติดีกับเด็กเลยสักนิด จึงไม่มีทางเลือกนอกจากกลับมาทำงานถนัดในเบ็คลันด์อีกครั้ง จนกระทั่งคาสปาสตาย ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนงานเพื่อสืบทอดกิจการต่อ”


โดยไม่ปล่อยให้ไคลน์พูด เอียนชิงกล่าว


“คุณนักสืบ ผมยังไม่ลืมว่าตัวเองติดค้างคำขอร้องจากคุณอีกสองเรื่อง”


ไม่เห็นต้องอธิบายยืดยาวสักหน่อย ฉันไม่ได้อยากฟังความเป็นไปหรือประสบการณ์ชีวิตของนาย ถึงการหลบหนีจาก MI9 จะน่าทึ่งและเต็มไปด้วยปริศนา แต่เราก็ไม่คิดเข้าไปยุ่งเกี่ยว…


ไคลน์ก้มหยิบไม้คิวพลางตั้งท่าเตรียมแทง


“นอกเหนือจากค้าอาวุธเถื่อน คุณยังขายข่าวด้วยใช่ไหม”


“ใช่ครับ” เอียนตอบอย่างใจเย็น “คุณต้องการทราบเรื่องไหน? ถ้าผมมีข้อมูล ยินดีให้บริการโดยไม่คิดเงิน”


จริงใจดีมาก… หรือจะรู้สึกผิดหลังจากทำให้เราต้องเผชิญเหตุการณ์ยากลำบาก…


ไคลน์ชักมือกลับ กระตุกแทงไม้คิว ส่งให้ลูกบิลเลียดสีแดงไหลลงหลุมมุมโต๊ะอย่างแม่นยำ


มันกลับมายืนตรงและกล่าวด้วยโทนเสียงขาดความเกรงใจ


“ในระยะหลัง ใครหลายคนพยายามตามล่าตัวสาวกของเดอะฟูล ได้ยินว่ารางวัลนำจับค่อนข้างสูง คุณพอจะมีข้อมูลบ้างไหม”


เอียนก้มหน้าครุ่นคิด


“ไม่มีมากกว่านั้น ผมยังสงสัยอยู่เลยว่า เดอะฟูลมีสาวกอยู่ในกรุงเบ็คลันด์จริงหรือ ทำไมถึงไม่มีเบาะแสใดหลุดออกมาเลย”


…ก็เพราะพวกมันกำลังขี่ช้างจับตั๊กแตนยังไงล่ะ! แถมยังจับไม่ได้ด้วย!


ไคลน์เงียบงัน ตามด้วยการแสร้งยิ้มขื่นขมและหันไปถามเรื่องอื่น


“ยังมีอีกหนึ่งงานตามล่าค่าหัว ผู้คนมากมายกำลังตามหาอาจารย์มหาวิทยาลัยนามว่าอะซิก·อายเกส ผมต้องการทราบว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังงานว่าจ้าง จะได้ตัดสินใจถูกว่าควรร่วมมือหรือไม่ คุณเองก็คงทราบอยู่แล้ว งานตามหาคนทั้งเสียเวลาและสิ้นเปลืองพลังงาน ผมไม่อยากทำฟรี”


เอียนไม่มอบคำตอบในทันที เด็กหนุ่มชำเลืองรอบตัวอย่างระมัดระวังจึงค่อยกระซิบกระซาบ


“MI9”


MI9…? ไม่ใช่นิกายวิญญาณหรอกหรือ… ถ้าอย่างนั้นคงเป็นฝีมือของอินซ์·แซงวิลล์… มันพยายามชักนำให้มิสเตอร์อะซิกเกิดความบาดหมางกับ MI9? ด้วยวิธีไหน? หรือว่ามิสเตอร์อะซิกจะกุมความลับสำคัญของ MI9 ไว้?


สมองไคลน์เริ่มประมวลผล จนกระทั่งผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มอมยิ้มเจือจาง


“ดูเหมือนผมคงไม่ต้องกังวลว่าผู้ว่าจ้างจะเบี้ยวเงิน แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า อะซิก·อายเกสอาจล่วงรู้ความลับบางอย่างของ MI9 เข้า และถ้าเป็นแบบนั้นจริง วันขึ้นเงินรางวัลของผมคงไม่ต่างอะไรกับวันฝังศพ”


เอียนผายมือ


“ผมเองก็ไม่ทราบ แต่คุณแค่มอบเบาะแสก็ได้นี่”


“แนะนำได้ดี” ชายหนุ่มไม่ถามสิ่งใดต่อ มันควักเงินห้าซูลให้เอียนเพื่อเติมกระสุนปืนสำหรับใช้งานไปอีกสักพัก จากนั้นก็เดินออกจากผับวีรบุรุษ


ไคลน์เช่ารถม้าเพื่อเดินทางกลับ ขณะจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง จิตใจชายหนุ่มเริ่มเกิดอารมณ์ห่อเหี่ยว


ความตายของคาสปาส·คันลินิงย่อมส่งผลให้มาดามชารอนกับมาริคละทิ้ง ‘แหล่งหากิน’ อย่างผับวีรบุรุษ ในเมื่อเราไม่มีวิธีติดต่อทางอื่น ก็คงไม่มีโอกาสได้พบพวกเขาอีกแล้ว…


นอกเสียจากว่า อีกฝ่ายจะเกิดปัญหาในลักษณะคล้ายเดิม หรือไม่ก็ ชารอนต้องการปราบวิญญาณมารใต้ซากปรักหักพัง เราจึงจะได้ติดต่อกับพวกเขา…


แม้จะเรียกว่าเพื่อนได้ไม่เต็มปาก แต่ก็เคยฝ่าฟันอุปสรรคเฉียดตายด้วยกันถึงสองครั้ง อีกทั้ง เราสามารถเปิดเผยตัวตนผู้วิเศษกับพวกเขาได้อย่างสบายใจ คนแบบนี้เหลือไม่มากแล้วภายในกรุงเบ็คลันด์


หากไม่เกิดเหตุการณ์ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย เพื่อนคนเดียวของเราคงจะเหลือเพียงเอ็มลิน·ไวท์ แวมไพร์สมัยใหม่สุดพิสดาร…


ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีสินะ…


ขณะชายหนุ่มกำลังถอนหายใจซังกะตาย เสียงอันล่องลอยพลันดงแว่วข้างหู


“มีอะไรหรือ”


ไคลน์สะดุ้งเฮือก หัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เมื่อตั้งสติกลับมาและเห็นบุคคลบนเบาะฝั่งตรงข้ามเต็มสองตา มันรีบฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียสั่นเครือ


“มาดามชารอน คุณอย่าโผล่ออกมากะทันหันเช่นนี้อีกได้ไหม”


หญิงสาวในเดรสโกธิกสีดำและหมวกใบเล็กเข้าชุด ชารอน นั่งเงียบงันบนเบาะฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าขาวซีดตามปรกติ


“คราวหน้าจะเคาะกระจกก่อน” ชารอนพยักหน้ารับอย่างไร้อารมณ์


เธอไม่ทวนคำถาม เพียงจ้องไคลน์ด้วยอากัปกิริยาสง่างาม


เคาะกระจกขณะรถม้ากำลังแล่นบนถนน…? มันก็น่ากลัวเท่ากันไม่ใช่หรือ…


ไคลน์ไม่รีบร้อนเข้าประเด็นหลักอย่างตะกอนพลังของเงามืดหนังมนุษย์ เพียงซักถามสถานการณ์อีกฝ่ายด้วยสีหน้าเป็นกังวล


“ผู้วิเศษลำดับสูงของโรงเรียนกุหลาบถอนตัวกลับไปแล้ว?”


“อือ” ชารอนตอบห้วน


ไคลน์ตักเตือนด้วยความหวังดี


“อาจเป็นกับดักก็ได้”


เมื่อกล่าวจบ คล้ายกับฉุกคิดบางสิ่งได้ ชายหนุ่มรีบเสริม


“ผมเพิ่งอ่านหนังสือแห่งความลับจบ และได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวเชื่อถือได้ระบุว่า การสวดภาวนาถึงดวงจันทร์บรรพกาลเป็นเรื่องอันตราย ดังนั้น พยายามอย่าทดลอง”


“ตกลง” ชารอนไม่ถามว่าทำไม


เธอเว้นวรรคราวสามวินาที จึงค่อยเปล่งเสียงล่องลอยอันเป็นเอกลักษณ์


“ดวงจันทร์บรรพกาลเป็นอริกับเทพผู้ถูกล่าม”


เพราะเส้นทางสลับกันได้?


หรือด้วยเหตุผลข้ออื่น?


ไคลน์ก้มหน้าครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจเข้าสู่จุดประสงค์แท้จริงของตน


“มาดามชารอน คุณมีแหล่งรวบรวมตะกอนพลังของเงามืดหนังมนุษย์บ้างไหม”


ชารอนนั่งฟังอย่างเงียบงันประหนึ่งตุ๊กตาราคาแพง จึงค่อยพยักหน้ารับและมอบคำตอบ


“มี”


……………………


ราชันเร้นลับ 434 : สุสานและภารกิจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เธอมีเบาะแส? ไคลน์แสดงสีหน้ายินดีโดยไม่ปิดบัง พร้อมกับรีบซักถาม


“หาได้จากไหน?”


ชายหนุ่มเตรียมจ่าย ‘ค่าปรึกษา’ โดยไม่เกี่ยงราคา


ขณะกำลังนั่งนิ่งในจุดเดิม ชารอนกล่าวด้วยเสียงไร้อารมณ์ประหนึ่งตุ๊กตาพูดได้


“ได้ยินมาจากหนึ่งในชุมนุมลับของมาริค ใครบางคนเล่าว่า พวกเขาบังเอิญพบสุสานของขุนนางเก่า จึงเริ่มทำการสำรวจรอบนอกอย่างละเอียด แต่ยังไม่กล้าเข้าไปข้างใน พวกเขาอธิบายว่า สุสานดังกล่าวมีร่องรอยของเงามืดหนังมนุษย์ จึงต้องการรวบรวมทีมผู้วิเศษเพื่อสำรวจด้านในด้วยกัน สมบัติจะถูกแบ่งกันอย่างเท่าเทียมเมื่อจบภารกิจ”


ขอความช่วยเหลือจากผู้วิเศษแปลกหน้าในชุมนุมลับเนี่ยนะ? สามารถไว้ใจคนอื่นได้ด้วยหรือ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่มีสุสานดังกล่าวตั้งแต่แรก และทั้งหมดเป็นเพียงกับดัก…


ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก จึงค่อยถามต่อ


“แล้วพวกเขารวบรวมคนสำเร็จไหม”


“สำเร็จ” ชารอนตอบห้วน


บ้าน่า… ไคลน์ไม่กล้าลงลึกรายละเอียด เพียงซักถามต่อโดยบีบเสียงให้เบาลงเพราะกังวลว่าคนขับรถม้าจะได้ยิน


“แล้วหลังจากนั้น?”


“หลังจากนั้น พวกเขาก็มาไม่ปรากฏตัวในชุมนุมลับอีกเลย” ชารอนอธิบายอย่างใจเย็น “หนึ่งในเพื่อนของมาริคได้เข้าร่วมคณะสำรวจในคราวนี้ด้วย และหายตัวไปอย่างไรร่องรอย… ตลอดกาล”


โดยไม่รอให้ไคลน์ถาม เธอเปล่งเสียงอันล่องลอยและเป็นเอกลักษณ์


“โชคยังดี มาริคพกของใช้ในชีวิตประจำวันของเพื่อนคนดังกล่าว จึงนำมาให้ฉันช่วยทำนายระบุพิกัด ผลลัพธ์นำทางพวกเราไปถึงเมืองผาขาว จนกระทั่งได้พบทางเข้าสุสานซ่อนอยู่ตรงทางแยกกลางแม่น้ำสตาร์ฟอร์ด และไม่ผิดคาด เพื่อนของมาริคอยู่ด้านในสุสานดังกล่าว แต่ในสภาพเป็นศพ”


“พวกคุณเข้าไปสำรวจ?” ไคลน์โพล่งถาม


“เปล่า ใช้วิธีอื่นยืนยัน” ชารอนอธิบายต่อ “กลิ่นอายของสุสานทำให้สัญชาตญาณของฉันร้องเตือน พวกเราจึงไม่กล้าเข้าไปสำรวจ”


เล่ามาถึงจุดนี้ หญิงสาวจ้องมองไคลน์ด้วยดวงตาสีฟ้าสว่าง


“ขอแนะนำว่า หากไม่มีความช่วยเหลือจากผู้วิเศษลำดับ 4 ขึ้นไป หรือสมบัติปิดผนึกในระดับใกล้เคียงกัน คุณไม่ควรเข้าไปสำรวจด้านในสุสาน”


ถ้าแม้แต่คุณยังมองว่าอันตราย ผมคงไม่ต้องเข้าห้วงมิติสายหมอกเพื่อทำนายยืนยัน…


ไคลน์ก้มหน้ามองพื้นและครุ่นคิด


“พอจะทราบไหมว่าเป็นขุนนางตระกูลใด”


ชารอนตอบฉะฉาน


“อามุนด์”


อามุนด์? ตระกูลเย้ยเทพผู้สิงร่างเดอะซันน้อยและเกือบลอบเข้ามาในห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาสำเร็จ?


ไคลน์รีบใช้พลังตัวตลกช่วยข่มอาการกระตุกของเปลือกตา พร้อมกับซักถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ


“คุณทราบได้อย่างไร”


ขณะกล่าวออกไป สมองของไคลน์เริ่มผุดภาพบุคคลสวมชุดคลุมยาวสีดำ หมวกปลายแหลมสีเดียวกัน ใบหน้าผอมเพรียว ดวงตาและเส้นผมสีดำสนิท สวมแว่นตาหนึ่งขา


ปัจจุบัน เส้นผมสีทองของชารอนกำลังส่องประกายเงางามราวกับภาพวาดสีน้ำมันฝีมือปรมาจารย์เอกแห่งยุค เธอตอบเสียงเรียบ


“กลุ่มผู้ว่าจ้างเล่าให้ฟัง พวกเขาพบวัตถุโบราณหลายชิ้นจากการสำรวจรอบนอกสุสานหนแรก สมาชิกคนหนึ่งในทีมสำรวจเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ จึงนำรายละเอียดบางส่วนมาเปิดเผยในชุมนุมลับเพื่อจูงใจคนให้ไปเข้าร่วม มีการระบุว่าข้าวของเครื่องใช้บางชิ้นเป็นของตระกูลเก่าแก่แห่งราชวงศ์ทูดอร์จากยุคสมัยที่สี่ ตระกูลอามุนด์”


เป็นพวกเย้ยเทพจากยุคสมัยที่สี่จริงด้วย… ไม่ผิดแน่ พวกมันมิได้ต้องคำสาปเหมือนตระกูลอับราฮัม มิได้ถูกเจาะจงทำลายโดยโบสถ์เทพธิดาเหมือนตระกูลอันทีโกนัส…


จากความพิเศษและพลังอันน่าทึ่งซึ่งแสดงให้เห็นในเมืองเงินพิสุทธิ์ สถานการณ์ปัจจุบันของอามุนด์น่าจะไม่ต่างกับตระกูลซาราธสักเท่าไร พวกมันยังคงส่งต่อพลังจากรุ่นสู่รุ่นอย่างลับๆ มีผู้วิเศษลำดับสูงคอยปกป้องตระกูล และบางทีอาจเป็นถึงระดับเทวทูต พวกมันกุมความลับสำคัญของโลกไว้บางส่วน เช่น ‘พิกัด’ ของดินแดนเทพทอดทิ้ง…


อันตรายจากสุสานของตระกูลดังกล่าว แม้แต่เราก็สามารถจินตนาการได้ไม่ยาก บางที อามุนด์อาจกำลังใช้พลังสักชนิดในการตรวจสอบความเป็นไปของทวีปเหนือ แม้ตัวจะอยู่บนดินแดนเทพทอดทิ้งแสนห่างไกลก็ตาม เราไม่ควรใช้สามัญสำนึกของผู้วิเศษลำดับกลางถึงล่างประเมินเหล่าครึ่งเทพ…


ไคลน์ไม่ต้องคิดนานก็ได้ข้อสรุปว่าตนไม่ควรเข้าไปข้องแวะกับสุสานตระกูลอามุนด์


มันเงยศีรษะจ้องชารอนด้วยสีหน้ากึ่งผิดหวังเจือจาง


“นอกจากสุสานแห่งนั้น คุณก็ไม่มีแหล่งรวบรวมเงามืดหนังมนุษย์ทางอื่นแล้วใช่ไหม”


ชารอนส่ายหัว


“ยังมี”


“หือ?” ดวงตาไคลน์เริ่มเปล่งปลั่งอีกครั้ง ชายหนุ่มรีบขยับตัวนั่งในท่าตั้งใจฟัง


ชารอนตอบเสียงเรียบ


“ในชุมนุมลับของฉัน ผู้วิเศษคนหนึ่งรับปากว่า หากใครทำภารกิจของเธอสำเร็จ จะสามารถเลือกรางวัลเป็นวัตถุดิบหลักชิ้นใดก็ได้ในลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพ”


“หรือก็คือ เธอมีวัตถุดิบหลักทุกชนิดในลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพไว้ในครอบครอง…?”


คำถามแรกในใจไคลน์คือ : ขี้โม้!


หากจะมีใครถือครองวัตถุดิบหลักไว้ในมือมากขนาดนั้น ก็คงต้องเป็นขั้วอำนาจใหญ่อย่างเช่นโบสถ์รัตติกาล และต้องมีห้องกักเก็บระดับเดียวกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือมหาวิหารสุขสงบ เท่านั้น!


โบสถ์รัตติกาลอาจมีวัตถุดิบหลักของเส้นทางอื่นเก็บไว้เป็นจำนวนมากเนื่องจากไม่เคยถูกนำมาใช้งาน…


เมื่อได้ยินคำถามไคลน์ ชารอนตอบสุขุม


“เธอเป็นผู้วิเศษลำดับสูง”


ลำดับสูง? นึกแล้วเชียว… ตัวตนระดับนี้คงเป็นสมาชิกคนสำคัญของโบสถ์ หรือไม่ก็องค์กรลับใหญ่สักแห่ง หรือถ้าไม่ใช่สองอย่างข้างต้น เธอก็ต้องเป็นผู้นำองค์กรลับเสียเอง! แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นจริง การโอ้อวดว่ามีวัตถุดิบหลักทุกชนิดในลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพ คงออกจะเกินจริงไปสักหน่อย…


ไคลน์วิเคราะห์ในใจ ชารอนเสริม


“เธอระบุว่า วัตถุดิบหลักบางชนิดอาจต้องใช้เวลาในการรวบรวมนานกว่าปรกติ”


นั่นปะไร… ไคลน์รีบซักถามอย่างสนใจ


“แล้วภารกิจของเธอคือ?”


ชารอนนั่งหลังตรงด้วยกิริยาสง่างาม


“สืบหาตัวตนแท้จริงของจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด”


“…”


ไคลน์เชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า หากตอนนี้ตนกำลังดื่มน้ำ รับรองได้เลยว่าต้องพรวดของเหลวออกจากปากแน่นอน


เราไปเหยียบตาปลาใครเข้า? ทำไมถึงถูกผู้วิเศษลำดับสูงตามล่าตัวเอาได้?


ชายหนุ่มรำพันเป็นสำนวนจีนกลางอย่างกระวนกระวาย ก่อนจะสงบสติและกลับมาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ


สภานักสิทธิ์สนธยา? เป็นเพราะจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดลงมือสังหารผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย บีเลียล?


สมาชิกชุมนุมแสงเหนือ? พวกมันเชื่อมโยงเดอะฟูลกับไพ่ทาโรต์บนตัวศพคาพิน จึงเริ่มสืบสวนเกี่ยวกับจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด?


สมาชิกของสามโบสถ์หลักหรือ MI9? พวกมันเริ่มทราบความจริงเกี่ยวกับคดีคาพิน?


ทุกตัวเลือกฟังดูเป็นไปได้ทั้งหมด ไม่สามารถกาใครออกได้แม้แต่ชื่อเดียว!


ไคลน์ไม่เผยความผิดปรกติทางสีหน้า เพียงเรียบเรียงคำพูดและซักถามต่อ


“ทำไมเธอคนนั้นถึงต้องการทราบตัวจริงของจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด?”


“ไม่มีใครรู้เหตุผล” ชารอนตอบกระชับ


ไคลน์ก้มหน้าครุ่นคิดราวสองวินาที จึงค่อยตัดสินใจเปลี่ยนคำถาม


“มีรายละเอียดของผู้ว่าจ้างไหม?”


ชารอนเงียบงันสักพัก คล้ายกับกำลังใช้จินตนาการ ก่อนจะอธิบาย :


“เพศหญิง สูงเกิน 1.7 เมตรเล็กน้อย ผมสีน้ำตาลเกาลัด เข้าชุมนุมแบบปกปิดหน้าตา ชอบสวมรองเท้าบูตหนังสีดำ นานครั้งจึงจะเข้าร่วมชุมนุมสักหน ปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อราวสองเดือนก่อน”


ชอบสวมรองเท้าบูตหนังสีดำ เพศหญิง และยังเป็นผู้วิเศษลำดับสูง…


เมื่อสามปัจจัยถูกรวมเข้าด้วยกัน ความทรงจำเก่าของไคลน์พลันถูกกระตุ้น


ย้อนกลับไปขณะมันลอบเข้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเพื่อขโมยไพ่จักรพรรดิมืด ไคลน์ได้พบกับผู้วิเศษลำดับสูงคนหนึ่งภายในห้องอ่านหนังสือจำลองของโรซายล์ หญิงสาวเผยให้เห็นเพียงรองเท้าบูตหนังสีดำ หลังจากไคลน์หนีรอดมาได้ด้วยพลังของมิติสายหมอก ชายหนุ่มนำมาสเตอร์คีย์มาไขประตูออกจากบ้านเพื่อหลบหนี และดันโชคร้าย โผล่ออกไปเจอสุนัขปีศาจเข้าพอดี จึงรีบเผ่นหนีพลางแหกปากตะโกนขอความช่วยเหลือ หลังจากนั้นก็หาโอกาสขึ้นรถม้าได้สำเร็จ แต่ระหว่างทาง นักสืบโมเรียตี้ได้ถูกหญิงสาวปริศนาคนเดิมเรียกตัวไป ‘สัมภาษณ์’ เป็นกรณีพิเศษ


เป็นเธอเองหรือ? ทำไมถึงคิดตามหาจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด? หรือเพราะเธอเห็นว่าผู้ขโมยไพ่เป็นร่างวิญญาณ และทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าให้ร่างวิญญาณ ‘พก’ ไพ่จักรพรรดิมืดไว้กับตัว? จากนั้นจึงตามหาเบาะแสของจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดซึ่งมีรูปลักษณ์ภายนอกใกล้เคียงกัน?


สมองไคลน์เริ่มปั่นป่วน


มันยังไม่เข้าใจว่า ทำไมอีกฝ่ายถึงมั่นใจนักว่าตนถือครองไพ่จักรพรรดิมืด ไม่ใช่ไพ่เย้ยเทพใบอื่นของโรซายล์ เช่นไพ่นรก ไพ่สุริยัน


นอกเสียจาก เธอกำลังตามล่าไพ่เย้ยเทพอยู่พอดี และมั่นใจว่าแผ่นคั่นหนังสือในพิพิธภัณฑ์คือไพ่จักรพรรดิมืด… มาดามชารอนระบุว่าเธอเริ่มเข้าร่วมชุมนุมครั้งแรกเมื่อสอนเดือนก่อน ตรงกับช่วงนิทรรศการหวนรำลึกโรซายล์พอดี… โดยหลังจากนั้น เธออาจอาศัยอยู่ในเบ็คลันด์ต่อเพื่อสืบข่าวจากชุมนุมลับเป็นครั้งคราว หรือไม่ก็ออกจากเบ็คลันด์และกลับไปทำงานตามปรกติ แต่ยังแวะกลับมาสืบหาเบาะแสของผู้แย่งชิงไพ่จักรพรรดิมืดอย่างสม่ำเสมอ?


ขณะสมองกำลังร้อนจี๋ ไคลน์เผยรอยยิ้มจืดชืดตรงมุมปาก


“ผมจะช่วยสืบหาเบาะแสให้อีกแรง หากมีความคืบหน้าจะรีบแจ้งให้ทราบทันที”


เธอจะไม่มีวันได้อะไรไปจากฉัน!


ชายหนุ่มสาบานกับตัวเองหนักแน่น


ชารอนพยักหน้ารับแผ่วเบาจนยากจะสังเกตเห็น และไม่กล่าวสิ่งใดเกี่ยวกับเบาะแสของเงามืดหนังมนุษย์อีก


น่าทึ่งมาก แม้จะมีเธอกับมาริคแค่สองคน แต่กลับมอบข้อมูลให้เราได้มหาศาล มากกว่าเครือข่ายแวมไพร์ของเอ็มลิน และมากกว่าชุมนุมของเนตรแห่งปัญญา มิสเตอร์ไอเซนการ์ด·สแตนธอน…


ไคลน์ถอนหายใจเชื่องช้า พยายามปกปิดอารมณ์ผิดหวังพร้อมกับกล่าวอย่างระมัดระวัง


“คุณกับมาริคไม่ได้รับผลกระทบจากคำสาปคืนจันทร์เต็มดวงแล้วใช่ไหม”


“มงกุฎจันทร์ชาดมีแค่อันเดียว” ชารอนตอบเสียงเรียบ


หากใครสวมมงกุฎจันทร์ชาดขณะพระจันทร์กำลังเต็มดวง คำสาปจะไม่ส่งผลกับคนผู้นั้น เรียกได้ว่าเป็นสมบัติวิเศษในฝันของเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์เลยทีเดียว


หรือก็คือ จะมีคนหนึ่งรอด และอีกหนึ่งคนตกอยู่ในสถานการณ์เดิม… หืม ถ้าจำไม่ผิด คำสาปของมาริคจะทำให้บ้าคลั่ง ส่วนคำสาปของชารอนจะทำให้หมดแรง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครสวม มาริคแน่นอน…


ไคลน์ตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อ


“คุณพบวิธีขจัดการปนเปื้อนทางจิตออกจากตะกอนพลังของสตีฟหรือยัง?”


มันถามพอเป็นพิธี เพราะคาดหวังกับเดอะซันน้อยไว้มากกว่า


“ยัง” ชารอนตอบโดยไม่มองหน้า ประหนึ่งกำลังคุยกับคนอื่น


ถ้าอย่างนั้น หากเราทราบวิธีเมื่อไร จะนำมาแบ่งปันให้ฟังก็แล้วกัน อย่าลืมเตรียมเงินไว้ให้พอด้วย หึหึ…


ไคลน์เพียงผงกศีรษะรับ ไม่ทราบว่าตนควรสานต่อสนทนาเช่นไร


ชายหนุ่มเว้นวรรคไปสักพัก


“แล้วเมืองผาขาวอยู่แถวไหน”


“ชานเมืองเบ็คลันด์ ถัดไปจากย่านทิศใต้ของสะพาน” ชารอนตอบห้วน


จากนั้น เธอจ้องไคลน์ด้วยดวงตาสีฟ้า


“หมดหรือยัง”


“หมดแล้ว” ชายหนุ่มส่ายหัว ก่อนจะนึกขึ้นได้และรีบถาม “ผมสามารถบอกพิกัดของสุสานให้คนอื่นทราบได้ไหม”


“เชิญ”


เมื่อสิ้นเสียง ร่างของชารอนเริ่มจางลง ก่อนจะหายไปจากห้องโดยสารอย่างสมบูรณ์


อาจเป็นเพราะต้องการปกปิดร่องรอย หญิงสาวจึงไม่เคยใช้น้ำหอมแม้แต่ครั้งเดียว


ภายในรถม้าไม่เหลือทิ้งไว้แม้แต่กลิ่น


……………………


ราชันเร้นลับ 435 : ปรากฏการณ์ดึงดูด

โดย

Ink Stone_Fantasy

สองทุ่มตรง วิหารฤดูเก็บเกี่ยว


หลังจากเปลี่ยนกลับเป็นชุดสุภาพ ไคลน์มองไปรอบตัว กดปีกหมวกลงต่ำ และเดินเข้าไปในโถงสวดมนต์ของวิหารโดยมีเป้าหมายเป็นเอ็มลิน·ไวท์ ผู้กำลังยืนริมกำแพงข้างเชิงเทียนสามแท่น


ปลายขาของแวมไพร์หนุ่มมีกระเป๋าเดินทางหนังสีดำ มองผิวเผินก็ทราบทันทีว่าถูกหุ้มด้วยชั้นกำแพงวิญญาณ


เมื่อเห็นนักสืบโมเรียตี้เดินเข้าใกล้ เอ็มลินพลันแสดงสีหน้าตื่นเต้นยินดี แต่เพียงไม่นานก็เผยท่าทางหวาดระแวง


มันโน้มตัวหยิบกระเป๋าเดินทางสีดำพร้อมกับรีบถอยหลังสามก้าว เป็นการขยับเข้าใกล้หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ผู้กำลังตั้งใจสวดมนต์


หมอนี่กลัวว่าจะถูกเราปล้นวัตถุดิบโอสถ?


ไคลน์หยุดยืนห่างจากอีกฝ่ายสามเมตรและเผยรอยยิ้ม


“ผมขอยืนยันสินค้าก่อน”


เอ็มลินเลื่อนกระเป๋าขึ้นมาในระดับหน้าอก ตามด้วยการไขกลไกเปิดฝากระเป๋า


กำแพงวิญญาณถูกทำลายในทันที เกิดเป็นสายลมเย็นพัดผ่านไปทั่วโถงสวดมนต์


ไคลน์ ผู้เปิดเนตรวิญญาณรอไว้แล้ว พลันมองเห็นประกายระยิบระยิบสว่างวาบออกจากกระเป๋า เป็นแสงจากความเข้มข้นของพลังวิญญาณภายในตัววัตถุดิบ


ในกระเป๋าประกอบด้วยกล่องเล็กสองใบ ใบหนึ่งทำจากดีบุก สลักลวดลายซับซ้อน มองผิวเผินคล้ายกับมีน้ำหนักมาก มอบความรู้สึกดุดันแก่ผู้พบเห็น ส่วนอีกใบเป็นเพียงกล่องกระดาษธรรมดา


เอ็มลินใช้มือข้างหนึ่งจับกระเป๋า และใช้อีกข้างเปิดฝากล่องดีบุกสีเงินซีดออก ด้านในบรรจุวัตถุคล้ายผลวอลนัตสีน้ำตาลอมเหลือง ผิวขรุขระเป็นร่องลึก ลักษณะคล้ายกับสมองของมนุษย์ย่อส่วน


ท่ามกลางเปลวเทียนไขสั่นไหววูบวาบ ผลวอลนัตเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกตลอดเวลา บางครั้งกลายเป็นสีเทาเหยี่ยวย่น บางครั้งกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มเรียบเนียน แม้จะสลับไปมาระหว่างหลากสีสัน แต่ทั้งหมดจะมีเค้าโครงคล้าย ‘ใบหน้า’ เหมือนกัน


ฉากตรงหน้าทำให้พลังพิเศษในร่างไคลน์ซึ่งถูกย่อยสมบูรณ์ไปแล้ว เกิดการสั่นสะเทือนแผ่วเบาคล้ายกับปฏิกิริยาของแม่เหล็กต่างขั้ว


ชายหนุ่มอาศัยพลังตัวตลกช่วยระงับสีหน้าตื่นตระหนกอันเกิดจากแรงดึงดูดทางวิญญาณ พร้อมกันนั้น มันทราบทันทีว่า สิ่งของในกระเป๋าเดินทางตรงหน้าเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากต่อมใต้สมองของนักล่าพันหน้า


ดูเหมือนทฤษฎีในไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์จะถูกต้อง สิ่งของลำดับสูงในเส้นทางเดียวกันจะสร้างอำนาจดึงดูดผู้วิเศษลำดับต่ำและกลางเข้าไปหา ราวกับต้องการรวมตัวเป็นพลังก้อนใหญ่เพียงหนึ่ง… แม้ว่าต่อมใต้สมองของนักล่าพันหน้าจะห่างไกลกับการเป็น ‘วัตถุลำดับสูง’ ค่อนข้างมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ในฐานะวัตถุดิบหลักโอสถลำดับ 6 พลังวิญญาณภายในย่อมมีปริมาณเข้มข้น และเมื่อนักมายากลผู้ย่อยโอสถสมบูรณ์อย่างเราเข้าไปใกล้ ปรากฏการณ์ดึงดูดจึงเกิดขึ้น…


เราไม่เคยพบเจอแบบนี้เพราะการเลื่อนลำดับครั้งก่อนๆ ไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบหลักคุณภาพสูง ขณะเดียวกัน สัมผัสวิญญาณของเราก็ยังด้อยประสิทธิภาพเนื่องจากเป็นเพียงผู้วิเศษลำดับต่ำ… จริงสิ ทุกครั้งเมื่อเราย่อยโอสถเสร็จสมบูรณ์ ภาพของหมู่ดาวมายาจะปรากฏขึ้นรอบตัวและพยายามดึงดูดเข้าหากันเอง… ฉากดังกล่าวอาจเป็นเครื่องยืนยันกฎข้อสามแห่งโลกผู้วิเศษ กฎการดึงดูดระหว่างพลังพิเศษในเส้นทางเดียวกัน โดยยิ่งมีลำดับสูงขึ้น แรงดึงดูดก็ยิ่งมาก…


เป็นหลักฐานพิสูจน์ได้ว่า กฎข้อนี้รวมถึงวัตถุดิบหลักโอสถบนเส้นทางเดียวกันด้วย…


ไคลน์กำลังครุ่นคิดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าภายนอก สมองประมวลผลข้อมูลจากไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์อย่างละเอียด และนำไปผนวกกับประสบการณ์การเลื่อนลำดับทั้งสามครั้งของตน จนกระทั่งสามารถยืนยันว่ากฎข้อดังกล่าวมีแนวโน้มเป็นความจริง


เอ็มลินชำเลืองไคลน์อย่างหวาดระแวงสักพักใหญ่ จึงค่อยปิดฝากล่องดีบุก และขยับไปเปิดฝากล่องกระดาษซึ่งอยู่ติดกัน


ก้นกล่องกระดาษถูกรองด้วยสำลีหนาหลายชั้น กึ่งกลางกล่องเป็นขวดบรรจุของเหลวปริมาตร 200 มิลลิลิตร ของเหลวด้านในสูงประมาณครึ่งขวด และจะเปลี่ยนสีตลอดเวลาตามมุมของแสงตกกระทบ


“สินค้าถูกต้องไหม?” เอ็มลินปิดกล่องถาม


“ขอยืนยันเป็นครั้งสุดท้ายก่อน” ไคลน์หยิบเหรียญทองออกมาควงรอบนิ้วอย่างชำนาญ ประหนึ่งเหรียญกำลังระบำไปบนหลังมืออย่างมีชีวิตชีวา


กิ๊ง!


ชายหนุ่มดีดเหรียญขึ้นฟ้าและแบมือรับ ปล่อยให้เหรียญตกลงกึ่งกลางฝ่ามือแม่นยำ


ออกหัว คำตอบคือ ‘ใช่’


ไคลน์พยักหน้ารับ สองมือล้วงช่องกระเป๋าเสื้อโค้ทและหยิบปึกธนบัตรออกมาเป็นจำนวนมาก มีทั้งมูลค่า 10 ปอนด์ 5 ปอนด์ และ 1 ปอนด์ในสกุลเงินโลเอ็น


“1,450 ปอนด์” ไคลน์วางปึกธนบัตรไว้บนเครื่องเรือนใกล้เคียง


“ถอยหลังไปสองก้าว ไม่สิ ห้าก้าว!” แวมไพร์เอ็มลินแสดงท่าทีหวาดระแวงชัดเจน


ไคลน์อมยิ้ม ยกมือขึ้น และเดินถอยหลังออกมาจากจุดดังกล่าวห้าก้าว


เอ็มลินเดินเข้าไปหยิบธนบัตรปึกใหญ่ขึ้นมาตรวจสอบอย่างระมัดระวัง ดูว่ามีการสอดไส้กระดาษเปล่าไว้หรือไม่


หลังจากนับจำนวนเสร็จ มัน ‘ขว้าง’ กระเป๋าเดินทางหนังสีดำใส่ไคลน์


ชายหนุ่มถึงกับผงะ แต่ด้วยความคล่องแคล่วของร่างกาย จึงใช้มือคว้ากระเป๋าไว้ได้อย่างนุ่มนวล


มันเป็นกังวลว่าขวดบรรจุโลหิตนักล่าพันหน้าจะกระทบกระเทือนจนแตกร้าว


เอ็มลิน·ไวท์ใช้มือโกยธนบัตรทั้งหมดและถอยกลับไปหาหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ด้านหลัง


มาถึงจุดนี้ สีหน้าของแวมไพร์หนุ่มเริ่มผ่อนคลาย มันทำการตรวจสอบจำนวนเงินและลายน้ำหลายรอบจนแน่ใจ


เมื่อทบทวนฉากเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างถี่ถ้วน ไคลน์รู้สึกผิดเล็กน้อย


เรากับเอ็มลินทำให้วิหารฤดูเก็บเกี่ยวอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ต้องมีบรรยากาศคล้ายกับแก๊งค้ายากำลังเจรจาแลกเปลี่ยน ‘ของ’ …


เมื่อยืนยันว่าวัตถุดิบโอสถทั้งสองชนิดไม่บุบสลาย ไคลน์ดีดนิ้วเพื่อจุดก้านไม้ขีดไฟตามช่องลับในเสื้อโค้ท ปล่อยให้เพลิงสีแดงอมส้มลุกโชนท่วมร่างอย่างน่าหวาดเสียว


เมื่อเปลวเพลิงดับมอดกลางอากาศอย่างสมบูรณ์ ร่างของไคลน์ก็หายไปโดยไร้ร่องรอย


เนื่องจากมันแวะมาเยี่ยมเอ็มลินบ่อยครั้ง ไคลน์จึงไม่กังวลว่า หลวงพ่อยูทรอฟสกี้จะทราบว่าตนเป็นคนเดียวกับบุคคลปริศนาผู้ช่วยขจัดร่างลวงตาด้านมืดของเขา ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ ไคลน์มองว่าการเปิดเผยตัวตนเช่นนี้จะช่วยสร้างมิตรภาพได้ดีกว่า


ขณะเดียวกัน เอ็มลิน ผู้กำลังก้มหน้านับเงินกองใหญ่ พลันเงยศีรษะขึ้นพร้อมกับจ้องมองความว่างเปล่าด้วยสายตาตกตะลึง


มันพึมพำกับตัวเอง


“กระเป๋าเดินทางของเรา… กล่องดีบุกของเรา…!”



บนถนนบรรยากาศสลัว รถม้าคันหนึ่งกำลังแล่นผ่านแอ่งน้ำโดยมีจุดหมายปลายทางเป็นเขตราชินี


ฟอร์สเล่าให้เพื่อนสนิทฟังว่า ตอนนี้เธอมีอาจารย์ด้านศาสตร์เร้นลับแล้ว แต่แลกมากับการดื่มโอสถผู้ฝึกหัดเข้าไปใหม่อีกครั้ง


หลังจากยืนยันว่าเพื่อสนิทของตนไม่มีสัญญาณการคลุ้มคลั่ง ซิลมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า สายตากระทบกับเสาตะเกียงริมถนนซึ่งสูงกว่าเธอเพียงเล็กน้อย พร้อมกับซักถามด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจ


“ฉันนึกสงสัยมาตลอด ว่าทำไมโอสถถึงไม่ถูกเก็บรักษาในสภาพของโอสถ แต่เลือกเก็บเป็นวัตถุดิบและต้องปรุงใหม่ทุกครั้ง เหมือนกับอาจารย์ของเธอ”


ฟอร์สมอบคำตอบด้วยรอยยิ้ม


“ฉันเคยถามเขาแล้ว ได้คำตอบกลับมาว่า มีสองเหตุผลให้ต้องทำเช่นนั้น หนึ่ง วัตถุดิบหลักโอสถมีประโยชน์ใช้สอยหลากหลาย หากนำมาปรุงเป็นโอสถจะไม่สามารถนำไปใช้งานด้านอีกได้อีก สอง เมื่อตะกอนพลังเริ่มแข็งตัว มันสามารถเก็บรักษาไว้ได้ตลอดไป แต่ไม่ใช่ในสถานะโอสถ นอกเสียจากจะใช้เทคนิคพิเศษเพื่อแยกวัตถุดิบออกมาใหม่”


“ทำไมถึงเก็บไว้ในสถานะโอสถไม่ได้?” ซิลซักถามด้วยสีหน้าฉงน “โอสถไม่เหมือนกับยาวิเศษหรืออาวุธวิเศษสักหน่อย พวกมันไม่เสื่อมพลังวิญญาณเมื่อเวลาผ่านไป”


ฟอร์สไม่มีกะจิตกะใจจะแกล้งเพื่อน เพียงอมยิ้มและอธิบายไปตามจริง


“ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงการเสื่อมของพลังวิญญาณ แต่ถ้าอยู่ในสถานะโอสถ ทุกสรรพสิ่งจะสามารถดูดซึมพลังจากโอสถได้ ไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาชนะบรรจุโอสถด้วย พวกมันสามารถดูดซึมพลังได้ทีละนิด หลังจากผ่านไปราวสองวัน ขวดแก้วบรรจุโอสถก็จะ ‘ดื่มเสร็จ’ และกลายเป็นสมบัติวิเศษ หรือบางทีอาจมีสติปัญญา อาจารย์ของฉันเล่าว่า การปล่อยให้เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจะมีแต่ผลเสีย ลักษณะคล้ายกับตะกอนพลังปนเปื้อนซึ่งเกิดจากผู้คลุ้มคลั่ง จริงอยู่ เจ็ดโบสถ์หลักและองค์กรลับใหญ่จะมีเทคนิคพิเศษสำหรับแยกตะกอนพลังออกจากโอสถ แต่วิธีดังกล่าวค่อนข้างยุ่งยาก จึงไม่นิยมทำกับโอสถลำดับกลางหรือต่ำ”


“สุดยอด…” ซิลถอนหายใจ


สายตายังคงจ้องมองออกไปข้างนอกหน้าต่างรถม้า พลางกล่าวเสียงค่อย


“พวกเราใกล้ถึงแล้ว”


เธอและฟอร์สกำลังเดินทางไปร่วมชุมนุมลับของมิสเตอร์ A


ฟอร์สยอมยิ้มด้วยสีหน้าขื่นขม


“หวังว่าจะมีถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนวิญญาณขาย”


อาจารย์ของเธอ โดเรียน·เกรย์ ได้สอนเทคนิคสวมบทบาทก่อนเดินทางกลับ และยังมอบสูตรโอสถนักตุกติกให้ด้วย โดเรียนมอบการบ้านให้ฟอร์สไปรวบรวมวัตถุดิบของโอสถนักตุกติกด้วยตัวเอง แต่ถ้าหากย่อยโอสถเก่าหมดแล้วยังหาได้ไม่ครบ มันก็ยินดีมอบความช่วยเหลือ


เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ฟอร์สหมดอาลัยตายอยากไปพักใหญ่


เราใช้เงินจำนวนมากซื้อโอสถนักตุกติกและเทคนิคสวมบทบาทไปเพื่ออะไร!


แต่ช่างเถอะ… เป็นเพราะคำแนะนำของแฮงแมนและจัสติส รวมถึงพรจากเทวทูตของมิสเตอร์ฟูล อาจารย์จึงตรวจไม่พบว่าเราเป็นผู้วิเศษอยู่ก่อนแล้ว หากผลออกมาตรงกันข้าม เขาคงไม่คิดรับเราเป็นศิษย์แน่…


เฮ่อ คิดซะว่าจ่ายเงินให้มิสเตอร์ฟูลเพื่อเอาชีวิตรอดจากคืนจันทร์เต็มดวงก็แล้วกัน…


ขณะเกิดความคิดดังกล่าว หางตาฟอร์สเหลือบเห็นว่าบ้านซึ่งใช้จัดการชุมนุมลับของมิสเตอร์ A มีร่องรอยการพังถล่ม หลายจุดมีรอยไหม้สีดำอย่างชัดเจน


เกิดการต่อสู้อันดุเดือด…? ใครกล้าลงมือกับมิสเตอร์ A? หน่วยพิเศษของทางการ?


ฟอร์สรีบส่งสัญญาณมือบอกซิลและตะโกนแจ้งคนขับด้านนอก


“ไม่ใช่หลังนี้ ตรงไปอีกสองหลังค่ะ”



— แหล่งกบดานของชุมนุมแสงเหนือถูกหน่วยพิเศษบุกถล่มจนราบคาบ ผู้ก่อการร้ายได้รับความเสียหายใหญ่หลวง! —


เช้าวันถัดมา ไคลน์พบพาดหัวข่าวอันน่าประหลาดใจบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์


“ขอให้มิสเตอร์ A ตายในปฏิการ” ชายหนุ่มวาดสัญลักษณ์จันทร์แดงสี่จุดกลางหน้าอกพลางสาปแช่งด้วยสีหน้าขึงขัง


แน่นอน มันโยนต่อมใต้สมองและเลือดของนักล่าพันหน้าเข้าไปในห้วงมิติเหนือสายหมอกเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ถูกใครตรวจพบเข้า


ถึงเราจะตาย แต่พวกมันก็ไม่มีวันสูญหายไปไหน…


ไคลน์เคี้ยวเบคอนด้วยสีหน้าสดชื่น


หลังจากเสร็จสิ้นการแลกเปลี่ยนเมื่อคืน เงินออมไคลน์จึงลดลงจนต่ำกว่า 1,000 ปอนด์อีกครั้ง เหลือเพียง 735 ปอนด์เป็นเงินสด พอสำหรับประทังชีวิตและซื้อเส้นผมของนากาทะเลลึกจากแฮงแมน แต่จะหมดสิทธิ์ซื้อตะกอนพลังของเงามืดหนังมนุษย์ไปโดยปริยาย


ในเมื่อไม่มีเบาะแสใหม่ดีกว่าของมาดามชารอน และไม่มีเงินพอจะหาซื้อวัตถุดิบราคาแพงมาครอบครอง ไคลน์จึงพักผ่อนอยู่กับบ้านตลอดช่วงเช้า ปล่อยให้เวลาล่วงเลยจนกระทั่งหลังอาหารเที่ยง ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นมาแต่งตัวให้เรียบร้อยและเดินทางไปยังเขตสะพานเบ็คลันด์


ก่อนหน้านี้ ไคลน์ได้ตกลงกับคาร์ลเซ่นจากจิตแห่งจักรกลว่า หากตนมีข้อมูลใหม่ต้องการรายงาน ให้แวะเข้าไปหาในผับดวงเฮงย่านตะวันตกของอู่ต่อเรือไบลัม แต่ถ้าคาร์ลเซ่นไม่อยู่และเป็นข่าวสำคัญ ไคลน์สามารถแวะเข้าไปแจ้งกับบิชอปในวิหารชะแลงได้ทันที ในเมื่อนักสืบเชอร์ล็อกมิได้สังกัดองค์กรลับนอกกฎหมาย ทางจิตแห่งจักรกลจึงมิได้ระแวงมากนัก


เนื่องจากเป็นช่วงบ่าย ลูกค้าจึงยังไม่มาก ไคลน์ได้พบคาร์ลเซ่นทันทีหลังจากเดินผ่านกรอบประตูร้านเข้าไป อีกฝ่ายกำลังนั่งดื่มอยู่คนเดียวตรงบาร์เหล้า


หลังจากเดินเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มเคาะโต๊ะส่งสัญญาณพร้อมกับรายงานเสียงค่อย


“ในเขตตะวันออก มีบุคคลแปลกหน้าพยายามเผยแผ่ความเชื่อของพระผู้สร้างต้นกำเนิด”


คาร์ลเซ่นจิบแอลกอฮอล์อย่างอารมณ์ดีพลางตอบเสียงเรียบ


“ผมรู้อยู่แล้ว”


คิดไว้ไม่ผิด… ไคลน์พึมพำพร้อมกับฉีกยิ้ม


“ผมมีเบาะแสของสุสานตระกูลขุนนางเก่าจากยุคสมัย 4”


“หา…”


แก้วเครื่องดื่มในมือคาร์ลเซ่นพลันชะงัก มันรีบหันมาจ้องไคลน์ด้วยสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะใช้มืออีกข้างขยับกรอบแว่นตาเพ่งมอง


ทว่า นักสืบโมเรียตี้มิได้เล่าเบาะแสเพิ่มเติม เพียงหันไปมองบาร์เทนเดอร์ซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสองสามก้าว และกล่าวด้วยรอยยิ้มแฝงเลศนัย


“เบียร์นันวีลล์หนึ่งแก้ว”


……………………


ราชันเร้นลับ 436 : ข้อเรียกร้องของไคลน์

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเห็นฟองสีขาวในแก้วเบียร์นันวีลล์ตรงหน้าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ คาร์ลเซ่นพลันเข้าใจความนัยแฝง


ขณะบาร์เทนเดอร์กำลังเดินออกห่าง จิตแห่งจักรกลหนุ่มกระซิบถามเสียงแผ่ว


“คุณต้องการอะไร”


ไคลน์หยิบแก้วขึ้นมาจิบ ใช้เวลาราวสองสามวินาทีเพื่อหลับตาดื่มด่ำรสขมฝาดของมอลต์และรสหวานติดปลายลิ้น


“ชน!” ชายหนุ่มหันมามองคาร์ลเซ่นด้านข้างพร้อมกับยกแก้วขึ้น มุมปากเผยรอยยิ้ม


โดยแทบไม่ต้องคิด คาร์ลเซ่นส่ายหัวและพึมพำในลำคอ


“ของคุณเป็นเบียร์ ส่วนของผมเป็นแอลกอฮอล์แรง คงไม่เหมาะจะชนกันสักเท่าไรกระมัง”


ไคลน์ทำได้เพียงชนแก้วกับอากาศ ก่อนจะชักมือกลับมาจิบต่อและมองตรงไปข้างหน้า


“ความต้องการของผมไม่ซับซ้อน ผมไม่ทราบแน่ชัดว่าในสุสานมีสิ่งใดบ้าง จึงอธิบายได้อย่างคร่าวเท่านั้น… ผมต้องการสิทธิ์ในการเลือกวัตถุวิเศษภายในสุสานจำนวนหนึ่งชิ้น แน่นอน ผมไม่ใช่คนโลภอะไร จึงไม่ขอเลือกวัตถุวิเศษลำดับสูงโดยเด็ดขาด และคงไม่กล้าเลือกแม้ทางคุณจะเสนอมาให้ หากทางคุณไม่พบสิ่งใดเลย หรือพบแต่วัตถุวิเศษลำดับสูงทั้งหมด ผมจะไม่ขอรับส่วนแบ่งจากการขุดค้น แต่ถึงผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างนั้น ผมชื่อว่าพวกคุณคงไม่ใจร้ายเกินไปนัก คงมีเงินสินน้ำใจเล็กน้อยตอบแทน”


เมื่อได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับสุสานของตระกูลอามุนด์จากปากชารอน ไคลน์วางแผนไว้อย่างคร่าวจำนวนสองตัวเลือก


ตัวเลือกแรก การเป่านกหวีดทองแดงของมิสเตอร์อะซิก และผนึกกำลังกันสำรวจสุสาน


อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวมีอุปสรรคสำคัญอยู่หลายข้อ หนึ่ง ไคลน์ยังไม่มั่นใจว่ามิสเตอร์อะซิก ผู้กำลังไล่ตามหาความทรงจำของตัวเอง มีพลังอยู่ในระดับใดกันแน่ สอง มิสเตอร์อะซิกกำลังถูก MI9 ตามล่าตัว การเรียกมาช่วยอาจทำให้ตนติดร่างแหไปด้วย สาม หากไคลน์ติดต่อกับมิสเตอร์อะซิกโดยตรง มีโอกาสสูงมากในการถูกดึงเข้าไปพัวพันกับอิทธิพลของ ‘0-08’ อีกครั้ง จริงอยู่ ไคลน์สามารถอาศัยพลังของมิติสายหมอกเพื่อขจัดการแทรกแซงได้ แต่ต้องไม่ลืมว่า การเป่านกหวีดทองแดงบนห้วงมิติจะไม่ทำให้ผู้ส่งสารของมิสเตอร์อะซิกปรากฏตัว หมายความว่าแผนดังกล่าวล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม


เหนือสิ่งอื่นใด ไคลน์ยังไม่กล้าเปิดเผยความลับของห้วงมิติเหนือสายหมอกเทากับมิสเตอร์อะซิก ผู้มีตัวตนเป็นปริศนาและจุดประสงค์ยังไม่ชัดเจน


ลงเอยด้วย มันตัดสินใจเลือกแผนสอง อาศัยการเป็นสายข่าวให้จิตแห่งจักรกล แจ้งข้อมูลสำคัญโดยแลกกับสิทธิ์การเลือกหยิบของรางวัลหนึ่งชิ้น


และเมื่อกล่าวถึงผู้วิเศษลำดับสูง คงไม่มีขั้วอำนาจฝ่ายใดเข้มแข็งและทรงพลังไปกว่าเจ็ดโบสถ์หลักอีกแล้ว


จากข้อมูลเก่าของไคลน์ โบสถ์รัตติกาลมีจำนวนผู้วิเศษลำดับสูงใกล้เคียงสิบ หรือกล่าวได้ว่า จากบรรดาสิบสามอาร์ชบิชอปและเก้าอาวุโสใหญ่ เกือบครึ่งหนึ่งคือผู้วิเศษลำดับสูงซึ่งมีลำดับตั้งแต่ 4 ขึ้นไป นี่ยังไม่รวมถึง ‘ผู้รับใช้’ ของเทพธิดาโดยตรงอย่างสันตะปาปา บุคคลทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งของโบสถ์รัตติกาล ณ เวลานี้


จริงอยู่ โบสถ์จักรกลไอน้ำจะยังด้อยกว่าเนื่องจากเพิ่งก่อตั้ง แต่ไม่มีทางด้อยกว่ามากแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงมิอาจรักษาสถานภาพการเป็นโบสถ์หลักไว้ได้ และต้องไม่ลืมว่า อาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์จักรกลไอน้ำประจำมุขมณฑลเบ็คลันด์ ฮารามิค·ไฮเดิน ก็เป็นผู้วิเศษลำดับสูงเช่นกัน


ในฐานะโบสถ์หลักอันมีประวัติศาสตร์ยาวนาน พวกมันคงไม่ทำตัวตระหนี่กับวัตถุดิบหลักลำดับต่ำกว่า 4 เพียงหนึ่งชิ้นแน่ ไคลน์จึงเชื่อว่าข้อเสนอของตนเหมาะสมแล้ว


สรุปโดยสั้น ใจความสำคัญของตัวเลือกหมายเลขสองก็คือ :


ต้องนำข้อมูลไปบอกกับองค์กรลับใดก็ได้ ขอเพียงฝ่ายนั้นมีพลังมากพอจะเคลียร์สุสานอามุนด์ โดยไม่เกี่ยงว่าข้างในจะมีระดับความยากสูงแค่ไหน!


เมื่อได้ยินข้อเสนอของไคลน์ คาร์ลเซ่นเงียบงันหลายวินาทีก่อนจะหันมาถาม


“คุณเป็นสาวกของพระองค์ไม่ใช่หรือ”


ขอโทษด้วยสหาย แต่เทพธิดาจะอยู่ในใจฉันตลอดไป… ไคลน์รำพันพลางทำสัญลักษณ์สามเหลี่ยมของโบสถ์จักรกลไอน้ำ


“เป็นเพราะผมศรัทธาในพระองค์ จึงไม่ได้นำเรื่องนี้ไปบอกกับเหยี่ยวราตรีผ่านมิสเตอร์สแตนธอนแทน พระองค์กล่าวว่า ใครใคร่แข็งแกร่ง เชิญแข็งแกร่งตามใจชอบ ฉะนั้น ถ้าผมแข็งแกร่งและร่ำรวยขึ้น การขยายแหล่งข้อมูลก็ไม่ใช่เรื่องยาก และนั่นจะทำให้ผมมีข้อมูลสำคัญมารายงานกับจิตแห่งจักรกลอย่างต่อเนื่อง”


เนื่องจากต้องการหลอกให้จิตแห่งจักรกลตายใจ ไคลน์จึงลงทุนสละเวลาช่วงเช้าเพื่ออ่าน ‘พระคัมภีร์แห่งจักรกลไอน้ำ’ ตลอดหลายวันผ่านมา เมื่อพบถ้อยคำน่าสนใจ มันจะจดบันทึกไว้ในความทรงจำใน เผื่อมีโอกาสได้ใช้เข้าสักวัน เฉกเช่นสถานการณ์ปัจจุบันเป็นต้น


คาร์ลเซ่นยังไม่มอบคำตอบ เพียงนั่งนิ่งด้วยสีหน้ามึนงง ลืมแม้แต่จะดื่มเหล้า


ภาพดังกล่าวทำให้ไคลน์ตัดสินใจรีบเสริม


“ยิ่งไปกว่านั้น ทางคุณจะได้ชื่อเสียงด้านบวกมากมาย เช่นการเป็นมิตรกับสายข่าวในสังกัด หากคุณเผยแพร่เรื่องราวของผมในคราวนี้ออกไป รับประกันได้เลยว่าสายข่าวของจิตแห่งจักรกลทั่วเบ็คลันด์ต้องขยันทำงานขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าแน่ ต…แต่ถ้าคิดจะทำแบบนั้น อย่าลืมสมมติตัวละครใหม่มาแทนชื่อผมก็แล้วกัน”


คาร์ลเซ่นนั่งฟังด้วยสีหน้าสุดทึ่ง ก่อนจะหยิบแก้วเหล้าขึ้นมากระดกหนึ่งอึกใหญ่จนติดคอสำลัก


“แค่ก! เชอร์ล็อก ตัวจริงของคุณช่างแตกต่างจากภาพลักษณ์ก่อนหน้านี้มาก” มันถอนหายใจยาว


นักสืบเชอร์ล็อกในความทรงจำของคาร์ลเซ่นคือ ชายผู้เป็นเลิศด้านการวิเคราะห์และอนุมานหาผลลัพธ์ สุขุมเยือกเย็น สุภาพถ่อมตน เปี่ยมด้วยคุณธรรม โดยทุกคำแนะนำของเชอร์ล็อกจะสร้างแรงกระเพื่อมใหญ่เสมอ นับเป็นสาวกของเทพจักรกลไอน้ำคนสำคัญ


แต่ปัจจุบัน อีกฝ่ายกลับ…


ไคลน์จิบเบียร์เย็นพลางหัวเราะ


“ทุกคนล้วนมีมุมลับของตัวเองเสมอ การใช้บุคลิกด้านเดียวเผชิญหน้ากับทุกเรื่องในชีวิตถือเป็นการตั้งอยู่บนความประมาท โดยเฉพาะการอนุมานหาข้อเท็จจริงจากมุมมองอันคับแคบเพียงหนึ่งมุม”


เมื่อเริ่มใจเย็นลง คาร์ลเซ่นลุกยืนและหันมากล่าว


“ผมไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้ จะรีบไปรายงานให้เบื้องบนทราบ ช่วยนั่งรอสักพัก”


“ตกลง” ไคลน์โบกมือเรียกบาร์เทนเดอร์เพื่อสั่งมันบดมากินเพิ่ม


เวลาล่วงเลยจนกระทั่งไคลน์ลิ้มรสอาหารและเบียร์จนอิ่มหนำ คาร์ลเซ่นเดินกลับเข้ามาในร้านพร้อมกับอาวุโสคนสำคัญของจิตแห่งจักรกล ไอคานส์·เบอร์นาร์ด


ไอคานส์มองไปรอบตัว เมื่อไม่พบคนนอกจึงหันมากล่าวกับไคลน์


“พวกเราไม่มีปัญหากับข้อเรียกร้องจากทางคุณ เพียงแต่ต้องเพิ่มเงื่อนไขเข้าไปอีกเล็กน้อย คุณจะไม่มีสิทธิ์เลือกวัตถุวิเศษแฝงคำสาปหรือผลข้างเคียงร้ายแรงทุกชนิด”


เอ่อ ผมแค่จะเอาวัตถุดิบหลักโอสถ…


ชายหนุ่มยิ้มรับ


“ตกลง! ขอล่วงเกินถามสักนิดได้ไหม ผมอยากทราบว่าคุณมีอำนาจตัดสินใจด้วยตัวเอง หรือปรึกษาเบื้องบนก่อนมอบคำตอบ”


“ถ้าเป็นเรื่องแค่นี้ ผมมีอำนาจ” ไอคานส์กดหมวกลง เพื่อให้หมวกช่วงปิดบังเส้นผมแข็งกระด้างและไม่เป็นทรง


“แต่เนื่องจากรายละเอียดเกี่ยวพันกับสุสานของตระกูลจากยุคสมัยที่สี่ผมจึงตัดสินใจส่งโทรเลขไปปรึกษากับท่านอาร์ชบิชอปก่อน และท่านก็มิได้คัดค้าน”


“เข้าใจแล้ว” ไคลน์วาดสัญลักษณ์สามเหลี่ยมบนหน้าอกอีกครั้ง “ผมเริ่มเล่ารายละเอียดได้เลยใช่ไหม”


ไอคานส์ส่ายหัว


มันมองรอบตัวและชี้ไปทางห้องบิลเลียด


“คุยกันในนั้น”


หืม อาวุโสคนนี้ ถึงจะถูกกระจกวิเศษอาโรเดสกลั่นแกล้งให้อับอายบ่อยครั้ง แต่ความจริงแล้วมีประสบการณ์พอตัว…


ไคลน์พึมพำพลางเดินตามไอคานส์กับคาร์ลเซ่นเข้าไปในห้องบิลเลียด โดยก่อนอื่น ทั้งสามช่วยกันยืนยันจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในห้องข้างเคียง


ไคลน์ก้มหน้าตรึกตรองสักพักเพื่อเรียบเรียงคำพูด


“เรื่องราวเริ่มมาจาก ผู้วิเศษกลุ่มหนึ่งบังเอิญพบสุสานลับตรงทางแยกปากแม่น้ำสตาร์ฟอร์ดในเมืองผาขาวเข้า จึงทำการสำรวจรอบนอกและพบวัตถุโบราณบางชนิด หลังจากนั้น พวกเขาได้รวบรวมกลุ่มผู้วิเศษแข็งแกร่งจำนวนหนึ่งเพื่อเข้าไปสำรวจด้านในสุสาน แต่กลับไม่มีใครได้ออกมาแบบมีลมหายใจ หากพวกคุณเข้าไปสำรวจภายหลัง คงได้พบเบาะแสของเหตุการณ์ดังกล่าวแน่”


ไอคานส์ซักถาม


“แล้วคุณมั่นใจได้อย่างไรว่า สุสานดังกล่าวเป็นของตระกูลขุนนางจากยุคสมัยที่สี่”


“วัตถุโบราณจากการสำรวจรอบนอกสุสานได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญว่าเป็นของตระกูลอามุนด์แห่งราชวงศ์ทูดอร์” ไคลน์เล่าทุกอย่างตามความจริง พร้อมด้วยคำเตือน “ผู้วิเศษทีมสำรวจไม่ใช่พวกไก่อ่อน มีหลายคนค่อนข้างแข็งแกร่ง ผมประเมินว่าสุสานดังกล่าวไม่ปลอดภัยนอกเสียจากจะมีผู้วิเศษลำดับสูงเข้าร่วมทีม”


“อามุนด์…” ไอคานส์ขมวดคิ้วพร้อมกับทวนคำในลำคอ


ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า บุคลากรระดับอาวุโสของโบสถ์จิตแห่งจักรกล มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลสำคัญทางประวัติศาสตร์


โดยไม่รอให้ไคลน์เน้นย้ำ มันเงยหน้าขึ้น


“พวกเราจะรวบรวมข้อมูลก่อนลงมือ แล้วก็ สุสานตระกูลขุนนางจากยุคสมัยที่สี่นั้นเต็มไปด้วยอันตราย คุณห้ามบอกเรื่องนี้กับใครหรือเข้าไปสำรวจด้วยตัวเองเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะมีเพียงความตายรออยู่”


ถ้าผมกล้า คงไม่มานั่งบอกพวกคุณเช่นนี้…


ไคลน์ตัดพ้อติดตลก ก่อนจะกล่าว


“ไว้ใจผมได้”


เมื่อการเจรจาได้ข้อยุติ ไอคานส์กับคาร์ลเซ่นเดินออกจากผับดวงเฮงทันที ส่วนไคลน์หยิบหมวกขึ้นมาสวมและลุกยืนเตรียมเดินตามออกไป


ต่อหน้าสุสานขุนนางจากยุคสมัยที่สี่โดยเฉพาะตระกูลเย้ยเทพอย่างอามุนด์ จิตแห่งจักรกลไม่มีทางผลีผลามแน่ คงต้องตรวจสอบอีกหลายวันจึงค่อยเริ่มลงมือ…


ระมัดระวังตัวดีมาก…


ทันใดนั้น ไคลน์เริ่มเอะใจกับวลีของตัวเอง


มันย้อนนึกถึง ‘ความระมัดระวัง’ จนเกินพอดีได้อีกหนึ่งเรื่อง


หลังจากโรซายล์เข้าร่วมกับองค์กรลับเก่าแก่ซึ่งถูกสันนิษฐานว่าเป็นสภานักสิทธิ์สนธยา มันไม่เคยเขียนชื่อขององค์กรดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรเลยสักครั้ง ไม่แม้แต่ในภาษาจีนกลางของไดอารี มีเพียงคำอธิบายอย่างกว้างถึงความลึกลับและเก่าแก่เท่านั้น


เป็นความระมัดระวังจนผิดวิสัย…!


ทำไมโรซายล์ถึงไม่กล้าเขียนชื่อองค์กรลับดังกล่าว? ไม่แม้แต่ในภาษาจีน แตกต่างจากอุปนิสัยนักระบายของเขามาก เพราะแต่ไหนแต่ไร โรซายล์ไม่เคยเกรงกลัวการเขียนสิ่งใดลงไดอารีมาก่อน… เขากำลังกลัวอะไร หรือกังวลเกี่ยวกับเรื่องไหน?


หรือกำลังจะบอกว่า หากถ้อยคำ ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’ ถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อใด องค์กรดังกล่าวจะตระหนักถึงผู้เขียนได้ทันทีโดยไม่เกี่ยงภาษา? สุดยอดพลังเช่นนี้เป็นของสมาชิกชุมนุม หรือว่าเป็นของสมบัติปิดผนึกระดับสูง?


ไคลน์ผุดสมมติฐาน แต่ก็ไม่มีหลักฐานมากพอจะยืนยัน และไม่คิดเสี่ยงพิสูจน์ด้วยตัวเองเช่นกัน


คงต้องสมมติให้เป็นความจริงไปก่อน กันไว้ย่อมดีกว่าแก้ เพราะจากเหตุการณ์สื่อวิญญาณกับผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย รวมถึงการเล่าให้มิสจัสติสฟัง ทั้งสองครั้งล้วนกระทำบนห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา… ใกล้จะถึงวันจันทร์พอดี ต้องรีบห้ามมิให้มิสจัสติสและสมาชิกชุมนุมทาโรต์คนอื่นเขียนชื่อสภานักสิทธิ์สนธยาส่งเดช ส่วนเหตุผล เธอคงคิดได้เองเพียงแค่เราจ้องมองอย่างเงียบงัน…


ไคลน์เริ่มวางแผนในใจขณะเดินออกจากผับดวงเฮง


เมื่อเห็นว่ายังเป็นช่วงสาย ชายหนุ่มโดยสารรถม้าไปยังสโมสรครักซ์ เจตนาเพื่อผลาญเวลาช่วงบ่ายอย่างผ่อนคลาย


หลังจากเข้าไปในห้องโถงหลัก ไคลน์ได้พบกับครูสอนขี่ม้าชนชั้นสูง ทาลิม·ดูมงต์


ทายาทอดีตขุนนางรายนี้กำลังถือแก้วไวน์บรรจุของเหลวสีแดงเลือด ใบหน้าเมามายพลางกระดกแอลกอฮอล์ถี่


“ทาลิม กำลังอารมณ์ดีอยู่หรือ” ไคลน์ยิ้มทักทาย


ทาลิมคิกคักในลำคอ


“เพราะปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว”


จากนั้น มันหันมาถามด้วยน้ำเสียงเจือความตื่นเต้น


“เชอร์ล็อก คุณเคยตกหลุมรักใครสักคนจนโลกทั้งใบกลายเป็นสีชมพูบ้างไหม”


“…” ไคลน์ยิ้มแห้ง


“ขอโทษด้วย แต่ผมยังโสด”


ทาลิมกระดกไวน์รวดเดียวหมดแก้วและลุกยืนโบกไม้โบกมือ


“น่าเสียดาย ช่างมันเถอะ ขอตัวก่อน”


“จริงสิ ต้องขอบคุณสำหรับการแนะนำมิสเตอร์ฟามี่·เคจให้ผมรู้จัก” ไคลน์หวนนึกถึงนักลงทุนหุ้นบริษัทจักรยานคนใหม่ และตระหนักว่าตนยังไม่ได้ขอบคุณทาลิม “คุณจะว่างตอนไหนบ้าง ผมอยากให้คุณพาไปชิมอาหารรสเด็ดประจำเบ็คลันด์สักร้าน”


“หลังปีใหม่” ทาลิมสวมหมวกและส่งยิ้มให้ไคลน์ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินไปทางโถงหลักของอาคาร


หมอนั่นคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้วงความรักของวัยรุ่นหรือไง?


ไคลน์พึมพำพลางส่ายหัว


แต่หลังจากหันหลังกลับและเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว ชายหนุ่มพลันได้ยินเสียง ‘ตุ้บ’ อันหนักแน่น


ไคลน์รีบสะบัดหน้ากลับไปมองตามต้นเสียง และได้พบทาลิม·ดูมงต์กำลังนอนแผ่บนพื้นในสภาพหงายท้อง มือซ้ายบีบกำบริเวณหัวใจแน่น ร่างกายสั่นกระตุกตลอดเวลา


บ้าน่า…! ไคลน์เร่งฝีเท้า


ทันใดนั้น มุมปากทาลิมเริ่มผุดฟองน้ำลายสีขาวขุ่น ลมหายใจขาดห้วงกะทันหัน


ไม่กี่วินาทีถัดมา ทาลิม·ดูมงต์ได้กลายเป็นศพเย็นชืดโดยสมบูรณ์


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)