Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 421-432

 ราชันเร้นลับ 421 : วัตถุดิบราคาแพง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ประตูหน้าของบ้านเจสัน·แพทริคถูกเปิดเสียงดังโครม เหยี่ยวราตรีหลายคนในโค้ทสีดำรีบวิ่งกรูเข้ามายังด้านใน


ทุกคนแสดงสีหน้าตื่นตระหนกและหวาดระแวง คล้ายกับเตรียมเผชิญหน้าศัตรูสุดแสนทรงพลังในอีกไม่กี่อึดใจ


กึก กึก กึก


ชายสวมชุดเกราะเต็มอัตราศึกสีเงินย่างกรายผ่านกรอบประตูเข้ามา


มองผิวเผินดูเหมือนชุดเกราะตัวนี้มีน้ำหนักมหาศาล ลวดลายเล็กน้อยทั้งหมดสื่อถึงความเก่าแก่โบราณ ช่วงสะพายแล่งจากไหล่ซ้ายจนถึงช่องท้องเปื้อนเปรอะด้วยคราบเลือดแห้งกรังสีแดงเข้ม ลักษณะคล้ายกับไม่มีวันถูกลบออก รอบบริเวณยังมีหยดเลือดสีแดงเกาะติดอีกหลายจุด มอบความวิจิตรพิสดารเกินพรรณนา ดูคล้ายกับการตกแต่งสุดพิเศษอันยากจะลอกเลียนแบบ


ผู้ปลอบวิญญาณ โซสต์ ล้วงนาฬิกาพกออกมาตรวจสอบ


“เปลี่ยน”


เกราะเงินพลันหยุดกึก มือข้างหนึ่งถูกเลื่อนขึ้นมาเปิดกะบังหน้า เผยให้เห็นดวงตาเขียวมรกต ใบหน้าหล่อเหล่า และเส้นผมยุ่งเหยิงแซมเล็กน้อย


“เลียวนาร์ด น้ำร้อนถูกเตรียมไว้แล้วในห้องนอนใหญ่บนทั้งสอง อย่ามัวรีรอเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นได้ไปเข้าเฝ้าองค์เทพธิดาแน่นอน!” โซสต์พูดกระตุ้น


“รับทราบ หัวหน้าโซสต์”


ด้วยความช่วยเหลือจากเหยี่ยวราตรีสองคนรอบตัว เลียวนาร์ด·มีเชลสามารถถอดเกราะเปื้อนเลือดได้ไม่ยากเย็น


มันไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม ไม่มั่วลังเลแม้แต่หนึ่งอึดใจ เลียวนาร์ดรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านโดยยังสวมถุงมือแดงทั้งสองข้าง


มันถอดเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วและทิ้งตัวลงไปนอนแช่ในอ่างน้ำร้อนจนมิดร่างกาย ไม่แม้แต่จะนำจมูกโผล่พ้นขึ้นมาหายใจ


ทันใดนั้น ผิวหนังเลียวนาร์ดพลันกลายเป็นสีล็อบสเตอร์ถูกต้ม ตามลำตัวเริ่มผุดเส้นตรงสีเงินลักษณะคล้ายแผลขึ้นมาหลายจุด


เส้นโลหะสีเงินทั่วร่างบรรจงแผ่ออกจากผิวหนังชายหนุ่มทีละนิด ก่อนจะจับตัวเป็นหนึ่งเดียวกับน้ำร้อนและสลายไป


ผ่านไปไม่ถึงสิบวินาที ฟองผิวน้ำเริ่มเลือนหาย แต่ความเย็นจัดได้จับตัวกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งบาง ผนึกอ่างน้ำร้อนไว้โดยสมบูรณ์


เมื่อเส้นโลหะสีเงินเริ่มสลายตัว เลียวนาร์ดพักหายใจหายคอคล้ายกับมีอาการหอบแดด


จากนั้น มันเอียงคอเล็กน้อยประหนึ่งกำลังฟังเสียงจากใครบางคน จากนั้นก็เริ่มกระซิบกระซาบ


“ตาแก่ พอจะรู้ต้นกำเนิดของ 1-42 ไหม”


เสียงชราดังก้องในหัวอีกฝ่าย


“พักหลัง เจ้าเริ่มไม่มีสัมมาคารวะขึ้นทุกที…ข้าไม่ทราบต้นกำเนิดของขุดเกราะประหลาดตัวดังกล่าว”


โดยไม่รอให้เลียวนาร์ดพูดแทรก มันส่งสุขุมเสียงพลางหัวเราะคิกคัก


“แต่ข้าพอจะทราบว่าใครเป็นเจ้าของเลือดบนชุดเกราะ”


“ใคร?” เลียวนาร์ดรีบซักถาม


เสียงแผ่วเบาของชายชราได้ทำให้ไคลน์เย็นยะเยือกไปถึงกระดูก


“หนึ่งในเทพบรรพกาลก่อนเกิดยุคมหาภัยพิบัติ”



ย่านทิศใต้ของสะพาน ถนนกุหลาบ


ณ วิหารฤดูเก็บเกี่ยว


เมื่อไคลน์ย่างกรายเข้าไป มันได้พบกับหลวงพ่อยูทรอฟสกี้และเอ็มลิน·ไวท์ กำลังนั่งสวดมนต์ในแถวหน้าสุดและรองลงมา ฝ่ามือของทั้งคู่ประสานกันด้านหน้าปากและจมูก


นี่คือท่าสวดมนต์อันเป็นเอกลักษณ์ของโบสถ์พระแม่ธรณี


ปัจจุบัน สีหน้าแววตาของเอ็มลินทั้งอ่อนโยนและสุภาพจนน่าเหลือเชื่อ ปราศจากร่องรอยความฉุนเฉียวและไม่เต็มใจเหมือนทุกที


มุมปากไคลน์พลันกระตุก ก่อนจะวาดสัญลักษณ์สามเหลี่ยมกึ่งกลางหน้าอกเป็นเชิงอวยพร


ชายหนุ่มนั่งมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย รออย่างใจเย็นจนกระทั่งช่วงเวลาสวดมนต์อันยาวนานจบลง จึงค่อยเดินไปนั่งข้างเอ็มลิมและกล่าวพลางฉีกยิ้ม


“ทำไมวันนี้คุณได้ถึงเคร่งศาสนานัก?”


“อะไรนะ?” เอ็มลินพลันสะดุ้งเฮือกและรีบพึมพำลนลานด้วยใบหน้าซีดเซียว


“ข้าทำอะไรลงไป…ข้าทำอะไรลงไป!”


เสียงของมันสั่นเครือราวกับเพิ่งตระหนักการกระทำของตนจนกระทั่งเมื่อครู่


“ก็ไม่เลวร้ายนักหรอก” ไคลน์พูดให้กำลังใจอีกฝ่ายพร้อมกับนั่งลงด้านข้าง


“ถึงข้าจะสัมผัสได้ว่าจิตใจตัวเองไร้แรงต่อต้านจากการชี้นำ…แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากได้ยินจากปากคนอื่นอยู่ดี!” เอ็มลินทำหน้าฉุนเฉียว ก่อนจะกลับมาทำหน้าสลดหดหู่ราวกับเป็นคนละคน “ข้าไม่อยากทรยศดวงจันทร์ ข้าควรทำอย่างไร…”


ไคลน์ไม่ถามเซ้าซี้ในประเด็นอ่อนไหวให้อีกฝ่ายหดหู่ยิ่งกว่าเก่า


“ผีดูดเลือดอย่างพวกนายยังนับถือดวงจันทร์บรรพกาลอยู่ใช่ไหม? หรือนับถือเทพบางตนที่เป็นตัวแทนดวงจันทร์? แล้วพวกท่านใช่ตัวตนเดียวกันไหม?”


“เกือบทั้งหมด” เอ็มลินเชิดคางขึ้น “สำหรับผีดูดเลือดแท้อย่างพวกข้า ทุกคนจะนับถือเหล่าทวยเทพผู้เป็นตัวแทนของดวงจันทร์ทั้งหมด แน่นอน บนโลกนี้มีเทพผู้ครอบครองพลังของดวงจันทร์อยู่ นั่นคือลิลิธ และเธอยังเป็นต้นตระกูลผีดูดเลือดของพวกเราด้วย เป็นหนึ่งในเทพบรรพกาลสุดแสนทรงพลัง…


“แต่เมื่อมนุษย์สามารถกลายมาเป็นผีดูดเลือดได้เช่นกัน พวกมันกลับเลือกจะนับถือดวงจันทร์บรรพกาล จริงอยู่ ถ้าเป็นในยามปรกติ ทั้งสองเทพจะถูกจัดให้มีระดับเท่าเทียม…แต่ในบางเวลาก็ไม่ใช่”


“มนุษย์กลายเป็นผีดูดเลือด?” ไคลน์ไม่ประหลาดใจกับการยอมเปิดเผยชื่อลิลิธ มันกลับให้ความสำคัญในรายละเอียดเล็กน้อยอย่าง : มนุษย์กลายเป็นแวมไพร์ได้อย่างไร!


จะใช่โอสถแวมไพร์ตามคำบอกเล่าของมิสเตอร์อะซิกก่อนหน้านี้หรือไม่ ชายหนุ่มพยายามเค้นสมองนึก


เอ็มลินกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน


“ถูกต้อง มีอยู่สองประเภท แบบแรก ถูกผีดูดเลือดทำให้เป็น และประเภทสอง ดื่มโอสถดังกล่าวเข้าไป ฝ่ายหลังคือศัตรูคู่อาฆาตของตระกูลผีดูดเลือดอย่างข้าโดยตรง!”


“ทำไม?” แม้จะถามออกไป แต่ไคลน์ก็พอจะพอจะทราบคำตอบ


เอ็มลินกัดฟันกรอด


“เพราะวัตถุดิบหลักสำหรับปรุงโอสถคือแก่นโลหิตของพวกเรา!”


นั่นปะไร…ไคลน์หันไปจ้องเอ็มลินด้านข้างพร้อมกับก้มมองตั้งแต่หัวจรดเท้า


สายตาชายหนุ่มทำให้เอ็มลินเกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วน มันรีบพ่นลมหายใจ


“เจ้าเป็นผู้วิเศษอยู่แล้ว! ไม่มีทางเปลี่ยนเส้นทางได้ตามใจชอบ!”


เปล่าสักหน่อย แค่เพราะว่านี่เป็นครั้งแรก กับการได้เห็นวัตถุดิบโอสถเดินได้…ไม่สิ พูดได้ต่างหาก…แต่ในความเป็นจริง ผู้วิเศษทุกล้วนเป็นวัตถุดิบหลักโอสถเดินได้ทั้งนั้น…


แม้จะกล่าวติดตลก แต่หัวใจไคลน์กับรู้สึกเจ็บแปลบและอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก


เอ็มลินเหลือบไปมองหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ ผู้กำลังบรรจงขัดตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตอย่างทะนุถนอม แวมไพร์หนุ่มบีบเสียงให้ค่อยลง


“สำหรับวัตถุดิบตามรายการในคราวก่อนของเจ้า ข้าสามารถหาได้สองชนิด”


“อะไรบ้าง?” ไคลน์ทำหน้าตื่นเต้นไม่ปิดบัง


เอ็มลินตอบอย่างฉะฉานคล่องแคล่ว


“โลหิตและต่อมใต้สมองของนักล่าพันหน้า อย่างแรกมีราคาสองพันปอนด์ ส่วนอย่างหลังราคาสามร้อยปอนด์ต่อหนึ่งร้อยมิลลิลิตร”


สองพันสามร้อย…ไคลน์โพล่ง “ลดหน่อยได้ไหม?”


หลังจากได้รับเงินประกันจากสถานีตำรวจซีซาร์ เงินสดในปัจจุบันของไคลน์จึงมีมูลค่ารวมสูงถึง 2,185 ปอนด์


สำหรับชนชั้นกลางในเมืองหลวง เงินเก็บจำนวนดังกล่าวนับว่ามหาศาล ใครหลายคนคงไม่มีวันออมเงินได้เท่านี้ไปชั่วชีวิต แต่ไคลน์กลับรู้สึกว่ามันยังไม่พอ


“ไม่ได้แล้ว ถ้าไม่มีข้า ราคาของมันจะสูงไปถึงสองพันแปดร้อยปอนด์ด้วยซ้ำ และเจ้าต้องไม่ลืมค่าดำเนินการของข้าอีกหนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์ รวมเป็นเงินสดจำนวน 2,450 ปอนด์” เอ็มลินกล่าวพลางส่ายหน้า


คล้ายกับอ่านอารมณ์ไคลน์ออก มันรีบเสริมต่อทันที


“ในยุคปัจจุบัน เผ่าพันธุ์มังกรถูกพบตัวได้ยากมาก ถ้าไม่ใช่ตระกูลเก่าแก่และทรงพลังอย่างผีดูดเลือด ก็แทบหมดโอกาสรวบรวมสิ่งของเหล่านี้ หรือต่อให้มีขายตามท้องตลาด แต่ราคาย่อมสูงกว่าของข้าแน่นอน”


เรายังขาดอีก 265 ปอนด์…อุตส่าห์เก็บเงินก้อนใหญ่อย่างยากลำบาก แถมยังเตรียมใจสูญมันทั้งหมดในคราวเดียวไว้แล้ว แต่สุดท้ายกลับยังไม่พออีกหรือ…ได้แต่หวังให้มิสเตอร์แฮงแมนขายตะกอนพลังมนุษย์หมาป่าออกโดยเร็ว…


นอกจากนั้น เรายังขาดตะกอนพลังของเงามืดหนังมนุษย์และเส้นผมนากาทะเลลึกด้วย แน่นอน ราคาคงไม่ด้อยไปกว่ากัน…


เราไม่มีทางทราบสถานการณ์ทางฝั่งเดอะซันน้อยได้เลย เขากำลังอยู่ในช่วงประพฤติตัวให้ปราศจากพิรุธ สงสัยคงต้องให้จ่ายหนี้ด้วยวิธีการลบ ‘การกัดกร่อนจิต’ ออกจากตะกอนพลังของผู้วิเศษคลุ้มคลั่ง ผลลัพธ์แบบนี้คงปลอดภัยกับทุกฝ่าย…


ขณะไคลน์ขบคิดหลายเรื่อง แสงสว่างรอบตัวเริ่มมืดสลัว


มันสูดลมหายใจเต็มปอดและพยักหน้า


“ตกลง แต่การแลกเปลี่ยนคงต้องเลื่อนออกไปก่อนสักพักใหญ่ เพราะผมดันไปมีเรื่องกับบุคคลแข็งแกร่งมา จึงกำลังอยู่ในความคุ้มครองจากหน่วยพิเศษของทางการ คุณคงไม่อยากให้คนขายถูกจับขังไว้ในห้องใต้ดินของวิหารใช่ไหม”


ขณะเดียวกันก็มีโอกาสให้เราหาเงิน…


เงินจำนวนมาก…ไคลน์เงยหน้าเล็กน้อย สายตาจ้องมองโดมสูงของวิหารฤดูเก็บเกี่ยว


“หน่วยพิเศษของทางการ?” เอ็มลิน·ไวท์พลันสะดุ้งพร้อมกับรีบมองไปรอบตัว


ไคลน์ชำเลืองและอธิบาย


“ไม่ต้องกังวลไป ปัจจุบัน คุณเป็นนักบวชของโบสถ์พระแม่ธรณี มีตัวตนถูกต้องตามกฎหมาย และเหนือสิ่งอื่นใด คุณยังมีหลวงพ่อยูทรอฟสกี้คอยปกป้อง”


“ข้าไม่ได้เป็นนักบวช” ถ้อยคำเอ็มลินเริ่มปราศจากเรี่ยวแรง


มันก้มหน้าตรึกตรองและตัดสินใจถาม


“หน่วยพิเศษของทางการมีพลังสำหรับรักษาการชี้นำทางจิตไหม?”


“ก็อาจจะมี…” ไคลน์เกือบหลุดขำเสียงดัง “แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณคงไม่แคล้วต้องเปลี่ยนศาสนาอยู่ดี หากไม่ใช่เทพธิดารัตติกาล ก็คงเทพจักรกลไอน้ำ หรือไม่ก็เทพวายุสลาตัน


“แน่นอน คุณสามารถเลือกบรรจุเข้าหน่วยของกองทัพได้เช่นกัน แต่อาจถูกส่งตัวไปทำภารกิจกลางทะเลด้วยการปลอมตัวหลอกล่อแม่หม้ายขุนนางใหญ่”


“ข้าชื่นชอบตุ๊กตาและหญิงสาวบริสุทธิ์ผุดผ่องมากกว่า!” เอ็มลินรีบเน้นย้ำรสนิยมของตัวเอง


เราสามารถบอกได้ว่า หัวใจเขาเต้นแรงกว่าปรกติเล็กน้อย แค่เล็กน้อยเท่านั้น…


ไคลน์รีบเปลี่ยนความกระชับของบทสนทนาการด้วยการเริ่มหัวข้อใหม่


“คุณรู้จักสมาชิกตระกูลบีเลียลไหม”


“บีเลียล? ตระกูลเสียสติของกลุ่มคนบูชาปีศาจนั่นใช่ใช่ไหม? ไม่มีทาง! พวกมันไม่ต่างอะไรกับปีศาจเสียเอง!” เอ็มลินเริ่มโพล่งอย่างลนลาน “เจ้าจะตามหาพวกมันไปทำไม!”


ไคลน์กล่าวอย่างจนปัญญา


“การสืบคดีฆาตกรรมต่อเนื่องของผมได้ทำให้หนึ่งในพวกมันโกรธเข้า อีกฝ่ายมีชื่อว่าเจสัน·แพทริค·บีเลียล รบกวนช่วยผมหาแหล่งกบดานของมันจากเครือข่ายข่าวสารของคุณ หากมีข้อมูลสำคัญ ผมยินดีจ่ายให้อย่างงาม ขึ้นอยู่กับความสำคัญของเนื้อหา”


แน่นอน ค่าใช้จ่ายตรงนี้จะถูกเบิกกับเหยี่ยวราตรี จิตแห่งจักรกล และกองทัพ…


ไคลน์ครุ่นคิดอย่างมีความสุข


เอ็มลินพยักหน้ารับ


“ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้ากล้ายั่วยุปีศาจ…ห้ามรีบร้อนวางแผนจัดการกับมัน ปีศาจสามารถตระหนักถึงอันตรายและรีบหนีไปก่อนเจ้าจะได้ลงมือกระทำสิ่งใด บางที มันอาจชิงลงมือจู่โจมใส่เจ้าก่อน”


“ไม่ต้องเป็นห่วง ทางผมมีหน่วยพิเศษคอยคุ้มครอง” ไคลน์ตอบเสียงเรียบ


เอ็มลินเงียบงันหลายวินาที


“เข้าใจแล้ว ข้าจะลองช่วยสืบให้ แต่ค่าสละเวลาขั้นต่ำคือยี่สิบปอนด์เข้าใจไหม!”


เมื่อฝากฝังเสร็จ ไคลน์ไม่เอ้อระเหยอยู่ในวิหารนานหนัก มันย่างกรายออกมาข้างนอกด้วยหัวสมองครุ่นคิด


คำถามมากมายแล่นผ่านไปผ่านมา :


เราจะหาเงินด้วยวิธีใดได้บ้าง…


หนังสือเล่มใหม่ของมิสเมจิกเชี่ยนใกล้วางแผงแล้ว ในเมื่อมีผู้อ่านรอคอยเป็นจำนวนมาก เธอคงได้รับเงินก้อนแรกพอสมควร หรือเราควรเสนอขายสูตรโอสถโหราจารย์ให้เลย? แต่จวบจนปัจจุบัน ดูเหมือนเธอจะยังรวบรวมวัตถุดิบของโอสถนักตุกติกไม่ครบด้วยซ้ำ…


มิสจัสติสเข้าร่วมสมาคมแปรจิตแล้ว เราไม่มีสูตรโอสถใดไปขายเธอ…ขายความรู้?


ตะกอนพลังมนุษย์หมาป่าคงมีค่าไม่สูงไปกว่าหนึ่งพันสามร้อยปอนด์หรืออาจน้อยกว่านั้น…หรือควรนำไปสร้างสมบัติวิเศษ? หรือควรดึงเอ็มลินขึ้นมายังห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา และเก็บค่า ‘รักษา’ อาการทางจิต…


หืม… เจสัน·บีเลียลคงต้องพกเงิน อัญมณีราคาแพง และโลหะมูลค่าสูงติดตัวไปด้วยเป็นจำนวนมาก บางที นั่นอาจเป็นช่องทางให้เราแบ่งเงินรางวัลค่าหัว


ขณะปล่อยความคิดล่องลอย ไคลน์พบว่าตัวเองกำลังเดินท่ามกลางหมอกหนาทึบและท้องฟ้ามืดครึ้มของยามราตรีกรุงเบ็คลันด์


มันถอนหายใจและตัดพ้อ


“ทำไมเราถึงได้จนแบบนี้….”



เมื่อกลับถึงบ้านเลขที่ 15 ถนนมินส์ ไคลน์เดินเข้าห้องน้ำพร้อมกับหนังสือพิมพ์ปึกใหญ่ในมือ บอกใบ้เป็นนัยว่า หลังจากนี้จะเป็นการต่อสู้อันยาวนานภายในห้องน้ำ


ชายหนุ่มเตรียมทำนายถามหาแหล่งกบดานปัจจุบันของเจสัน·บีเลียล ผ่านผ้าเช็ดหน้าซึ่งมันเคยใช้ประกอบพิธีกรรม


……………………


ราชันเร้นลับ 422 : ตัวจริงของเจสัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

บ้านเลขที่ 15 ถนนมินส์ ในห้องน้ำ


ไคลน์หยิบกระดาษรูปคนออกจากช่องกระเป๋าลับ สะบัดมันเพื่อเปลี่ยนให้เป็นร่างจำแลงของตน


เพื่อจะตบตาคนอื่น ชายหนุ่มจัดแจงให้ร่างปลอมนั่งบนชักโครกพร้อมกับถือหนังสือพิมพ์ไว้ในมือ จากนั้นก็ซ่อนร่างจริงไว้ในเงามืด เดินถอยหลังทวนเข็มสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา


พฤติกรรมข้างต้นมหัศจรรย์ยิ่งกว่าการใช้เวทมนตร์ใดๆ ในโลก!


ท่ามกลางพระราชวังโบราณหรูหรา ไคลน์เอนกายพิงเก้าอี้พนักสูง ในมือถือผ้าเช็ดหน้ามายาของเจสัน·บีเลียล


วัตถุชิ้นนี้เป็นเพียงภาพฉาย แต่ก็สามารถใช้ในการทำนายได้ระดับหนึ่ง ขอเพียงไคลน์มีปฏิสัมพันธ์กับมันบนโลกจริงก็พอ


หากยังจำกันได้ สมัยยังอยู่ทิงเก็น ไคลน์เคยใช้เทคนิคดังกล่าวกับตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันซึ่งถูกบิดเบือน ในขณะนั้น มันยังไม่รู้จักพิธีกรรมอัญเชิญตัวเองเพื่อนำวัตถุจากโลกจริงขึ้นไปอยู่บนมิติสายหมอกด้วยซ้ำ


แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การใช้วัตถุจริงทำนายย่อมให้ประสิทธิภาพดีกว่าวัตถุจำลอง เป็นสาเหตุให้ไคลน์พยายามใช้วัตถุจริงมาตลอด แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไร มันกำลังถูกคุ้มครองโดยหน่วยพิเศษ ไม่สะดวกให้ประกอบพิธีกรรมโฉ่งฉ่างในห้องน้ำ


หากใครมาเห็นไคลน์กำลังจุดเทียนไขในห้องน้ำตอนกลางวันแสก ๆ คงเลี่ยงการตกเป็นเป้าสงสัยไม่ได้แน่


แต่ถ้าการทำนายด้วยวัตถุจำลองไม่ช่วยให้เราได้ผลลัพธ์ ก็คงต้องยอมเสี่ยงนำผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาบนมิติสายหมอก…


ไคลน์พึมพำพลางเสกกระดาษหนังและปากกาหมึกซึมเพื่อเขียนประโยคทำนาย :


“ตำแหน่งปัจจุบันของเจสัน·บีเลียล”


โดยทั่วไป การพึ่งพาผ้าเช็ดหน้าจากพิธีกรรมมักไม่ค่อยได้ผลลัพธ์ตามต้องการสักเท่าไร โอกาสทราบตำแหน่งปัจจุบันของเจสันจึงเรียกได้ว่าริบหรี่ เป็นเพราะผ้าเช็ดหน้าผืนดังกล่าวไม่ใช่สิ่งของในชีวิตประจำวัน จึงมีจำนวนปฏิสัมพันธ์กับเจสันน้อยเกินไป


ยังไม่รวมถึงโอกาสถูกรบกวนจากบุคคลลึกลับ ตัวอย่างเช่น การเผลอไปทำให้ผู้ปกครองแห่งขุมนรกซึ่งเป็นเป้าหมายของพิธีกรรมของเจสัน เกิดความโกรธเคือง


อย่างไรก็ตาม ไคลน์ไม่กังวลการถูกแทรกแซงสักเท่าไร เนื่องจาก ผู้ปกครองแห่งขุมนรกคนนั้นคงเป็นเพียงปีศาจลำดับสูง ไม่น่าจะใช่ร่างจุติของด้านมืดแห่งเอกภพ


ห้วงมิติเหนือสายหมอกแห่งนี้เคยหยุดการแทรกแซงจากทั้งเทพสุริยันเจิดจรัสและพระผู้สร้างแท้จริงมาแล้ว หรือไม่ว่าจะเป็นระดับต่ำกว่าเล็กน้อยอย่างมิสเตอร์ประตู ก็ไม่เคยมีครั้งใดส่งสัญญาณเตือนถึงอันตรายเกินขอบเขต


ในส่วนของปัญหาเรื่อง ‘ผ้าเช็ดหน้าไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเจสัน·บีเลียลมากพอ’ ไคลน์เองก็จนปัญหาจะแก้ไข แม้แต่ห้วงมิติเหนือสายหมอกก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก ต้องสวดภาวนาให้ตนมีโชคเท่านั้น


บางที หากมันได้เป็นผู้วิเศษลำดับสูงเมื่อไร ปัญหาดังกล่าวอาจมีวิธีแก้ไขในอนาคต


แต่ถ้าลองไตร่ตรองให้ดี… ในทางทฤษฎี ผ้าเช็ดหน้าของเจสันอาจนำมาใช้ทำนายได้ เนื่องจากขณะกำลังประกอบพิธีกรรม จิตใจ ร่างกาย และสติคนเราจะหลอมรวมเป็นหนึ่ง ส่งผลให้วัตถุรอบตัวซึมซับ ‘ตัวตน’ เข้าไปอย่างเข้มข้นกว่าปรกติ… ไคลน์ ผู้แตกฉานในศาสตร์เร้นลับพอสมควร พึมพำพลางวิเคราะห์หาโอกาสความสำเร็จ


ถัดมา มันถือกระดาษหนังเขียนประโยคทำนายไว้ในมือข้างหนึ่ง และถือผ้าเช็ดหน้ามายาไว้ในมืออีกข้าง ตามด้วยการเอนหลังพิงเก้าอี้และหลับตาลง


สติถูกเข้าฌานอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากชายหนุ่มขยับพึมพำซ้ำไปมา :


“ตำแหน่งปัจจุบันของเจสัน·บีเลียล”


เมื่อครบเจ็ดหน ไคลน์สะกดจิตตัวเองให้หลับเพื่อย่างกรายเข้าสู่โลกแห่งความฝัน


ท่ามกลางดินแดนสีเทาอันไม่คมชัด ฉากเหตุการณ์กำลังกระจัดกระจายรอบตัวไคลน์ในลักษณะไม่ปะติดปะต่อ


จนกระทั่ง ฉากเหตุการณ์หนึ่งเริ่มขยายใหญ่ขึ้นจนปกคลุมการมองเห็นไคลน์อย่างสมบูรณ์ ชายหนุ่มเริ่มตระหนักว่าจิตของตนกำลังดำดิ่งเข้าไปในดินแดนแห่งใหม่


ภายในความฝัน บรรยากาศรอบตัวค่อนข้างพร่ามัว ตรงหน้าเป็นโต๊ะไม้สีแดงเข้ม ใกล้กันมีร่างของชายคนหนึ่งกำลังยืนมองออกไปนอกมุขหน้าต่าง ด้านนอกเป็นสวนเขียวขจี


ใจกลางส่วนมีเรือนกระจกไว้สำหรับปลูกดอกกุหลาบจำนวนมาก พวกมันกำลังเบ่งบานอย่างน่าอัศจรรย์ท่ามกลางสภาพอากาศอันหนาวเย็นของเดือนธันวาคม


ภาพใบหน้าของบุคคลในฝันกำลังสะท้อนบนกระจกมุขหน้าต่าง อายุราวสามสิบ ส่วนสูงปานกลาง ผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม


หือ… เราไม่ได้กำลังทำนายถึงเจสัน·บีเลียลหรอกหรือ… ชายคนนี้เป็นใครกัน? แล้วทำไมเราถึงเกิดความคุ้นเคยอย่างเจือจาง…?


แม้ว่าไคลน์กำลังฉงน แต่มันไม่มัวคิดให้เปลืองสมอง ปล่อยจิตล่องลอยไปตามฉากเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไหลลื่น ลักษณะเดียวกับการปล่อยตัวปล่อยใจท่องเที่ยวไปทั่วทุกมุมโลกวิญญาณ


ขณะชายหนุ่มเกิดคำถาม บุรุษในความฝันเริ่มเดินไปตรงมุมห้อง ณ จุดดังกล่าวมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ หุ้มด้วยหนัง วางอยู่สองใบ


ชายปริศนานั่งยองลงและจัดการเปิดกระเป๋าใบหนึ่งออก ด้านในเต็มไปด้วยปึกธนบัตรจำนวนมากซึ่งถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ด้านบนกองธนบัตรมีแท่งทองวางทับไว้จำนวนหนึ่ง


ตัวเลขบนธนบัตรระบุชัดเจนว่าพวกมันทั้งหมดมีมูลค่าสิบปอนด์ ด้านแท่งทองก็ส่องแสงแวววาวอย่างไม่น้อยหน้า


ชายปริศนาล้วงหยิบบางสิ่งออกจากช่องลับในกระเป๋า สะบัดมัน และคลี่กางออก


สิ่งนั้นคือหนังมนุษย์สีซีดแผ่นบาง!


หนังมนุษย์ทั้งตัว!


บุรุษปริศนารีบถอดเสื้อผ้าออกและสวมหนังมนุษย์ทับ ภายในระยะเวลาเพียงสิบวินาทีแสนสั้น มันกลายร่างเป็นเจสัน·บีเลียล เจ้าของดวงตาสีฟ้าอมเทา โหนกแก้มใหญ่ และเส้นผมหวีเรียบ!


มาถึงจุดนี้ ฉากความฝันตรงหน้าพลันแตกกระจัดกระจาย จิตไคลน์ถูกส่งกลับห้วงมิติเหนือสายหมอกพร้อมกับลืมตาขึ้น


เข้าใจแล้วว่าทำไมเจสันถึงกล้าลงมืออย่างอุกอาจหลายต่อหลายหน… เพราะในช่วงหลายสิบปีหลัง มันสวมมันหนังมนุษย์และปลอมตัวเป็นคนอื่นมาตลอด! สมกับเป็นปีศาจผู้เยือกเย็นและบ้าบิ่น!


ไคลน์ทำได้เพียงถอนหายใจ


ทั้งไอเซนการ์ด เรา หรือหน่วยพิเศษ ทุกคนต่างมองว่า การทิ้งภาพเหมือนของตัวเองไว้ใจกลางบ้านของเจสัน คือพฤติกรรมตามธรรมชาติและสามารถเข้าใจได้ แม้ว่าสิ่งนั้นอาจกลายเป็นเครื่องทุ่นแรงให้หน่วยพิเศษทำงานได้ง่ายขึ้นในภายหลังก็ตาม…


เพราะโดยทั่วไปแล้ว ทุกคนล้วนทราบดีว่าเจสัน·แพทริคมีรูปพรรณสัณฐานเป็นเช่นไร ทั้งจากปากคำของชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงและพนักงานธนาคาร…


ถึงจะไม่มีภาพถ่ายแม้แต่ใบเดียว แต่ด้วยพลังพิเศษสักชนิด หน่วยพิเศษก็ต้องได้เห็นใบหน้าของคนร้ายเข้าสักวัน ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยเทคนิคการสืบสวนดังกล่าว คุณภาพของรูปจะสูงกว่าภาพถ่ายตามปรกติด้วยซ้ำ…


ดังนั้น ทุกคนจึงเข้าใจตรงกันว่า เจสันไม่มีเหตุผลให้ต้องทำลายภาพวาดสีน้ำมันของตัวเองในห้องนั่งเล่นทิ้งก่อนหลบหนี ทั้งหมดเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล…


แต่ใครจะไปคาดคิดว่านั่นคือ ‘ข้อมูลลวง’ ซึ่งถูกตอกลิ่มไว้ในใจทุกคนอย่างแนบเนียน ทำให้ทุกฝ่ายปักใจเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า เจสัน·แพทริคมีดวงตาสีฟ้า โหนกแก้มใหญ่ และเส้นผมหวีเรียบ!


ถึงเหยี่ยวราตรีจะเข้าไปในบ้านเจสันและลงทุนใช้ 1-42 แต่ในทางทฤษฎีทำนาย การเกาะรอยด้วยรูปลักษณ์ปลอมอาจได้ผลลัพธ์ออกมาไม่ตรงตามความจริง…เหยี่ยวราตรีเจองานยากเสียแล้ว…


ความเจ้าเล่ห์ก็คือ ในการลงมือทั้งสองครั้งของมัน เจสันพยายามปกปิดใบหน้าปลอมอย่างมิดชิด ราวกับเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก…


ไคลน์ตระหนักถึงความน่ากลัวอีกฝ่าย


ชายหนุ่มลูบขมับพลางทบทวนรายละเอียดของฉากในนิมิตฝันอีกครั้ง


สวนในบ้านมีเรือนกระจกหรูหรา…ถือเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น กรุงเบ็คลันด์มีบ้านแบบนี้เพียงไม่กี่หลัง…


แต่คำถามคือ เราจะรายงานให้หน่วยพิเศษทราบได้อย่างไร…หากแจ้งกับจิตแห่งจักรกล เจสันจะสัมผัสถึงอันตรายและรีบปลอมตัวเพื่อเผ่นหนีไปไกล…


แจ้งกับเหยี่ยวราตรีซึ่งมี 1-42 โดยตรง? แล้วต้องทำอย่างไรถ้าบังเอิญพบกับคนรู้จัก…เราไม่อยากกลายเป็นซากขี้เถ้าและถูกโปรยลงแม่น้ำทัสซอคสักหน่อย…ยิ่งไปกว่านั้น นักสืบเชอร์ล็อกไม่ควรรีบรายงานข้อมูลสำคัญ วันนี้เพิ่งเริ่มต้นสืบหาเบาะแสคนร้าย คงจะแปลกเกิดไปสักหน่อยหากสามารถสืบสาวได้ลึกขนาดนี้…


คนร้ายพกพาทรัพย์สินราคาแพงติดตัวเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเงินสด โลหะมีค่า หรืออัญมณี… มูลค่ารวมคงไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นปอนด์แน่นอน…


สมองไคลน์ขบคิดหนักหน่วง จนกระทั่งจิตใจเริ่มสงบลง ไคลน์ตัดสินใจอดทนรออีกสองวัน ค่อยหาวิธีบอกนิมิตความฝันของตนให้เหยี่ยวราตรีทราบ


เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ทำนายต่อ มันส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง สลายร่างปลอมทิ้ง และกลับมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์บนชักโครกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น



เวลาล่วงเลยจนถึงช่วงบ่าย ไคลน์โยนเหรียญเพนนีเพื่อสอบถามว่า การออกจากบ้านในตอนนี้เป็นผลดีหรือไม่


และคำตอบก็คือ การออกจากบ้านในช่วงนี้ยังไม่ใช่สิ่งเหมาะสม


“จะเกิดอันตรายถ้าเราออกไป…?” ไคลน์รีบเดินกลับมานั่งในห้องรับแขก


ผ่านไปราวยี่สิบนาที มันได้ยินเสียงกริ่งดังกังวาน และพบว่าผู้มาเยือนคือไอเซนการ์ด


“มิสเตอร์สแตนธอน มีความคืบหน้าหรือ” น้ำเสียงไคลน์ค่อนข้างโล่งใจ


ไอเซนการ์ดชี้เข้าไปในห้องรับแขก


“คุยกันข้างในเถอะ”


“ตกลง” ไคลน์ขยับหลบ


หลังจากทั้งคู่นั่งลงบนโซฟาสองตัวซึ่งหันหน้าเข้าหากัน ไอเซนการ์ดใช้มือถอดหมวกนายพรานพร้อมกับถอนหายใจยาว


“ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเริ่มลงมือแล้ว”


เมื่อเห็นไคลน์ยังคงเงียบ ไอเซนการ์ดพยักหน้าและเล่าต่อ


“จากบรรดานักสืบผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง มีสองครอบครัวยืนกรานหนักแน่นว่าจะไม่ย้ายหนีไปไหน พวกเขาเชื่อว่าตัวเองจะไม่ได้รับผลกระทบ จึงยังคงใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยตามปรกติ จนกระทั่งช่วงเที่ยงของวันนี้ ทางตำรวจรายงานว่ามีการพบศพพวกเขาภายในสำนักงานของตัวเอง คนหนึ่งเสียชีวิตเนื่องจากภาวะหัวใจล้มเหลว สันนิษฐานว่าเกิดจากความหวาดกลัวสุดขีด ส่วนอีกคนเสียชีวิตในลักษณะเดียวกัน แต่มีการถ่ายของเสียงออกจากร่างกายเป็นจำนวนมาก พวกเขาดื้อรั้นเกินไป สมกับเป็นสาวกของโบสถ์หัวรุนแรง แต่ข้อดีก็คือ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ทูตพิพากษายอมหันมาสนใจกับคดีนี้มากขึ้น และยังเชื่อกันว่า ผู้วิเศษลำดับสูงจากทุกโบสถ์และกองทัพ เริ่มหันมาชายตามองผู้ปลดปล่อยแรงกระหายแล้ว เกือบทุกโบสถ์ได้ยกระดับความสำคัญของภัยคุกคามจากผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย ให้กลายเป็นอันดับหนึ่งของช่วงเวลานี้”


“คุณกำลังจะบอกให้ผมช่วยเก็บความลับเรื่องการเป็นสาวกของโบสถ์ปัญญาความรู้ของคุณ ไว้จากทางการใช่ไหม” ไคลน์ซักถามด้วยสีหน้ากระจ่าง


“เพราะแบบนี้ ผมถึงชอบคุยกับนักสืบด้วยกันเอง อะไรก็ง่ายไปหมด” ไอเซนการ์ดยิ้มรับ


“ตกลง” ไคลน์รับปาก ก่อนจะซักถาม “ทางผมมีเครือข่ายข้อมูลลับแต่ไม่สะดวกจะเปิดเผย ดังนั้น หากผมได้รับข่าวสารสำคัญจากพวกเขา คุณช่วยรายงานกับเหยี่ยวราตรีโดยปิดแหล่งข่าวไว้เป็นความลับได้ไหม”


ในประเด็นว่าทำไมต้องเป็นเหยี่ยวราตรี ไม่ใช่จิตแห่งจักรกล ไคลน์เชื่อว่าด้วยปัญญาของไอเซนการ์ด ตนไม่จำเป็นต้องอธิบาย


ไอเซนการ์ดพยักหน้ารับเล็กน้อย ตามด้วยประโยคคำถาม


“แต่ถ้าคุณนำข้อมูลมาบอกกับผม จะไม่ถือเป็นการกระตุ้นให้เจสันรู้ตัวหรอกหรือ”


“ได้แต่หวังว่า เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราจะหาวิธีหลบเลี่ยงพบ… ไม่สิ บางที คุณอาจคิดหาทางออกได้ดีกว่าผม เช่นการใช้แหวนวงนั้นคัดลอกพลังบางอย่าง แทรกแซงไม่ให้เจสันตระหนักถึงอันตรายล่วงหน้า” ไคลน์ตอบอย่างสุขุม


“ตกลง” ไอเซนการ์ดตอบกระชับ


มันก้มหน้าครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะนำไปป์ขึ้นมาสูดกลิ่นยาสูบโดยไม่จุด


“ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง พฤติกรรมของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายในวันนี้ ถือเป็นการยืนยันทฤษฎีข้อหนึ่งของผมด้วยเช่นกัน ฮะฮะ! คุณเองก็เคยสงสัยในประเด็นนี้มาก่อน”


“หมายถึงเรื่อง เป้าหมายแท้จริงของมันไม่ใช่การแก้แค้นกลุ่มนักสืบ?” ไคลน์เข้าใจความนัยอีกฝ่าย


ไอเซนการ์ดเอนตัวมาด้านหน้าพร้อมกับตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ในเมื่อเจสันใช้พลังของสัตว์เลือดเย็นช่วยให้ความคิดความอ่านสุขุม หมายความว่าทุกการกระทำของมันต้องมีเหตุผลรองรับ จึงไม่มีทางลงมืออย่างเอิกเกริกเพียงเพราะหวังแก้แค้นให้สุนัขแน่ เชอร์ล็อก คุณเองก็น่าจะสังเกตเห็น ตอนนี้หน่วยพิเศษทั้งหมดในเบ็คลันด์กำลังตื่นตัว แม้กระทั่งผู้วิเศษลำดับสูงก็ยังจับตามองผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย… หากเจสันต้องการฆ่าใครสักคน… ผมหมายถึงเป้าหมายแท้จริงของมัน… คงไม่มีช่วงเวลาใดเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว”


ไคลน์ก้มหน้าคิดตาม ก่อนจะพยักหน้าอย่างหนักแน่นเชิงเห็นพ้อง


“สมเหตุสมผล”



หลังจากแลกเปลี่ยนข้อมูลและความเห็นกันสักพัก ไอเซนการ์ดขอตัวไปหาคาสลาน่า ส่วนไคลน์ยังคงโยนเหรียญจนกว่าผลลัพธ์จะอนุญาตให้ออกจากบ้าน


โดยไม่ต้องรอนาน ไม่กี่นาทีถัดมา มันได้รับไฟเขียวให้เดินทางไปยังสโมสรครักซ์


ปัจจุบัน ทั้งไคลน์และไอเซนการ์ดยังมิได้แจ้งความผิดปรกติของเจสันให้หน่วยพิเศษทราบ เพราะกังวลว่าอาจทำให้อีกฝ่ายไหวตัวทันและหลบหนีไปเสียก่อน


เมื่อถึงสโมสรครักซ์ ไคลน์พบกับศัลยแพทย์คนดังแห่งเบ็คลันด์ อลัน·คริสต์ ณ ห้องรับรองสมาชิก


“ไม่ได้พบกันนาน” ชายหนุ่มยิ้มทักทาย


“ช่วงนี้ผมงานยุ่งมาก” อลันตอบด้วยท่าทีเป็นมิตร แต่สีหน้าและน้ำเสียงค่อนไปทางเย็นชาเนื่องจากติดเป็นนิสัย “นอกจากนั้น ทางแพทย์ระบุว่าภรรยาของผมกำลังตั้งครรภ์


“ผมกำลังจะได้เป็นพ่อคนอีกครั้ง”


“ขอแสดงความยินดีด้วย! ทารกมีอายุกี่เดือนแล้ว?” ไคลน์ถามอย่างเป็นกันเอง


อลันก้มหน้านึก


“พวกเราเพิ่งได้รับการยืนยัน ดังนั้น เธอน่าจะเพิ่งตั้งครรภ์ได้ประมาณหนึ่งเดือน”


“ประมาณหนึ่งเดือน…?” ตาดำไคลน์พลันสั่นเทา มันจ้องเข้าไปในแววตาอลันด้วยสีหน้าสุดประหลาดใจ


……………………


ราชันเร้นลับ 423 : สายลมก่อตัว

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ถูกต้อง ประมาณหนึ่งเดือนก่อน” อลันใช้ปลายนิ้วขยับกรอบแว่นสีทองพร้อมกับมอบคำตอบอย่างมั่นใจ


ประมาณหนึ่งเดือนก่อน…ตอนนั้นคุณกำลังถูกวิล·อัสตินตามหลอกหลอนในความฝันอยู่ไม่ใช่หรือ? ไคลน์ทั้งประหลาดใจและค่อนข้างฉงน แต่ไม่ปล่อยให้ความเคลือบแคลงเผยทางสีหน้า


ทันใดนั้น มันหวนนึกถึงการทำนายถึงตำแหน่งของวิล·อัสตินสองครั้งก่อนหน้า


ครั้งแรก จากการทำนายด้วยแท่งวิญญาณทั้งสองจุดภายในห้องนอนอลัน ปลายของไม้ค้ำต่างชี้ไปทางเตียงนอนทั้งสองหน


ครั้งถัดมา การทำนายด้วยนิมิตความฝัน วิล·อัสตินอยู่ในห้องมืดสนิท ด้านนอกเป็นเสียงน้ำไหลค่อนข้างชัด


เสียงน้ำ…น้ำคร่ำหรือไม่ก็เลือด?


ไคลน์พลันเย็นหลังวาบเมื่อมันเริ่มตระหนักถึงบางสิ่งอันน่าเหลือเชื่อ


อย่างไรก็ตาม สีหน้าภายนอกยังคงปรกติทุกประการ มันจ้องอลันด้วยแววตาครุ่นคิดเล็กน้อย


ชายหนุ่มกำลังสงสัยว่า ในครรภ์ของภรรยาของอลัน จะใช่วิล·อัสติน อสรพิษปรอทตัวจริงหรือไม่


ในทางศาสตร์เร้นลับ สัญลักษณ์แทนอสรพิษแห่งโชคชะตาคือภาพของงูขดตัวเป็นวงกลมจากหัวถึงหาง ใช้ปากกลืนหางตัวเองเล็กน้อย สื่อถึงวัฏจักรแห่งโชคชะตาซึ่งต้องวนกลับมาเริ่มต้นใหม่เสมอ…


หรือเพื่อหลบหนีจากสายตาศัตรู วิล·อัสตินจึงต้องแอบมาเกิดใหม่ก่อนสิ้นสุดวัฏจักรเก่า?


ไคลน์คาดเดาจากหลักฐานในมือ


อลันมิได้พบความผิดปรกติซึ่งอีกฝ่ายพยายามปกปิดอย่างสุดความสามารถ ศัลยแพทย์คนดังแห่งเบ็คลันด์เพียงยิ้มและกล่าวอย่างเป็นกันเอง


“เขาต้องเติบโตเป็นหนุ่มหล่อแน่นอน หากถึงวันคลอดเมื่อไร ผมจะจัดงานเลี้ยงฉลองอย่างยิ่งใหญ่ เชอร์ล็อก คุณต้องมาให้ได้นะ”


“อาจเป็น ‘เธอ’ ก็ได้นะครับ” ไคลน์ยิ้ม


ว่ากันตามตรง มันเองก็อยากเห็นว่าอสรพิษปรอทแรกเกิดจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร


อย่างไรก็ตาม ใจหนึ่งก็รู้สึกกังวลเกี่ยวกับอนาคตพอสมควร อสรพิษปรอทเป็นถึงลำดับ 1 แห่งเส้นทางสัตว์ประหลาด เส้นทางซึ่งกล่าวกันว่าเกี่ยวพันกับโชคชะตา ไม่เพียงเท่านั้น ไคลน์ยังสันนิษฐานว่า ปัจจุบันลำดับ 1 ทั้งสามตนในเส้นทางกำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเทพ—ลำดับ 0 จึงไม่ทางทราบว่าอนาคตของวิล·อัสตินจะราบรื่นและโรยด้วยกลีบกุหลาบหรือไม่


เรื่องนี้เป็นผลดีหรือผลเสียกับอลันกันแน่… แบ่งออกเป็นสองประเด็น ข้อแรก วิล·อัสตินมีเจตนาดีหรือร้าย ส่วนอีกข้อหนึ่ง ศึกระหว่างลำดับ 1 จะส่งผลต่อครอบครัวหมออลันมากแค่ไหน เพราะไม่ว่าอย่างไร ถ้าเด็กในครรภ์เติบโตขึ้น สักวันก็ต้องถูกอสรพิษปรอทตนอื่นพบตัวอยู่ดี…


ในเมื่อวิล·อัสตินยังไม่เคยกระทำเรื่องแย่ การนำข่าวไปแจ้งให้เหยี่ยวราตรีทราบคงใจร้ายเกินไปสักหน่อย เราเข้าใจหัวอกผู้วิเศษนอกกฎหมายเป็นอย่างดี…


ดังนั้น เราควรทำตัวเป็นเพียงผู้ชมอยู่วงนอก…ไม่สิ บางที อาจมีลู่ทางให้นำเรื่องนี้มาใช้ประโยชน์ได้ในสักวัน…


อา…เรายังไม่ควรด่วนตัดความเป็นไปได้อื่นออกไป เรื่องทั้งหมดมีโอกาสเป็นแค่การคิดมากของเราคนเดียว วิล·อัสตินอาจไม่ใช่อสรพิษปรอท และทารกในครรภ์อลันคือมนุษย์ปรกติคนหนึ่ง…


ห้วงความคิดกำลังแล่นผ่านสมองไคลน์


“เธอหรือ…นั่นก็ยิ่งดีเลย!” อลันกล่าวด้วยสีหน้าคาดหวังแกมตื่นเต้น


หลังจากก้มหน้าไตร่ตรองสักพัก ไคลน์ซักถามเพิ่มเติม


“พักหลังมานี้ คุณยังฝันร้ายอยู่ไหม”


“ก็มีบ้างประปราย แต่ทั้งหมดเป็นฝันร้ายทั่วไป ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิล·อัสตินอีกแล้ว เชอร์ล็อก ต้องขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำอันมีค่า!” อลันกล่าวจากใจจริง


ผิดแล้ว…นี่มันผิดปรกติมาก…


ในฐานะนักรบคีย์บอร์ดจากโลกเก่า เราพอจะมีความรู้พื้นฐานด้านจิตวิทยาอยู่บ้าง จึงค่อนข้างมั่นใจว่า การฝันร้ายถึงวิล·อัสตินถือเป็นเหตุการณ์ปรกติซึ่งควรจะเกิดขึ้น…


สิ่งนี้คือปฏิกิริยาตอบสนองปรกติทางร่างกายหลังจากจิตใต้สำนึกถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ยิ่งมนุษย์ถูกกระตุ้นด้วยสิ่งใดมากเข้า สมองก็ยิ่งฝันถึงเรื่องนั้นบ่อยครั้ง…


ในเมื่อวิล·อัสตินเคยสร้างความโชคร้ายให้หมออลันมากมาย ความฝังใจจึงควรประทับลงในจิตใต้สำนึก และเกิดเป็นการฝันถึง…


ฉะนั้น ผลลัพธ์ ‘ปรกติ’ จึงควรเป็นการฝันถึงวิล·อัสตินอย่างสม่ำเสมอ แต่เป็นความฝันไม่ชัดเจน และไม่จำเป็นต้องฝันร้ายเสมอไป ทราบอย่างคร่าวๆ ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง ไม่สามารถระบุรายละเอียดได้ชัดเจน…


ไคลน์ค่อนข้างมั่นใจในทฤษฎีของตน


ทันใดนั้น เสียงหวีดแหลมพลันดังมาจากด้านนอกอาคารสโมสรครักซ์


ชายหนุ่มรีบหันขวับ และพบว่าหมอกหนาสีเหลืองอ่อนบนท้องฟ้ากำลังถูกสายลมกระโชกพัดผ่านจนเกิดรอยแหว่งเป็นทางยาว


ต้นไม้แห้งไร้กิ่งโยกเอนเด่นชัด สภาพแวดล้อมทั้งหมดระบุตรงกันว่า ต้นตอของลมพายุดังกล่าวกำลังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเบ็คลันด์


ไม่กี่วินาทีถัดมา ทุกสิ่งกลับคืนสู่ปรกติ


“ลมแรงขนาดนี้แทบไม่เคยเกิดขึ้นในฤดูหนาวของเบ็คลันด์มาก่อน อย่างน้อยผมก็ไม่เคยเห็นแม้แต่ครั้งเดียว” อลันจ้องออกไปนอกหน้าต่างพลางถอนหายใจ


นั่นไม่ใช่ลมธรรมดา… เกิดอะไรขึ้นกันแน่?


ไคลน์ระงับความสงสัยและรีบขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อทำนายถาม ทว่า ทุกประโยคทำนายกลับล้มเหลวอย่างน่าอัศจรรย์


ชายหนุ่มตัดสินใจไม่เก็บไปคิดให้ปวดหัว ในเมื่อผลการทำนายล้มเหลว หมายความว่าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตน หรืออย่างน้อยก็ไม่ทำให้ตนเกิดอันตราย


ขณะมันเตรียมตัวเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อซ้อมยิงปืน บริกรชายในกั๊กแดงเดินเข้ามาทักพร้อมกับกล่าวด้วยสีหน้าเกรงใจ


“มิสเตอร์โมเรียตี้ครับ เพื่อนของคุณกำลังรอพบด้านนอก”


“ใครกัน?” ไคลน์ถามอย่างประหลาดใจ


“มิสเตอร์ไอคานส์·เบอร์นาร์ด” บริกรกั๊กแดงมอบคำตอบ


หือ… หมายถึงอาวุโสหัวหน้าทีมจิตแห่งจักรกล ผู้มักถูกกระจกวิเศษ ‘จัดทรงผม’ โดยไม่เต็มใจ…? เขาถามหาเราทำไม คดีมีความคืบหน้าแล้วหรือ…


ไคลน์เดินตามบริกรกลับไปยังห้องรับรอง


ไอคานส์ใช้มือกดหมวกซึ่งถูกดันขึ้นโดยเส้นผมแข็งกระด้างและยุ่งเหยิง มันเดินเข้ามาหาไคลน์พร้อมกับทักทายด้วยเสียงค่อย


“ทูตพิพากษารายงานเข้ามาว่า พวกเขาพบตัวเจสัน·แพทริค·บีเลียลแล้ว”


“พบได้ยังไง?” ไคลน์ซักถามด้วยเสียงประหลาดใจแกมเคลือบแคลง


จากนิมิตทำนายของตน เจสัน·บีเลียลมักสวมหนังมนุษย์ตลอดเวลา ไม่เคยเผยรูปพรรณแท้จริงหรือออร่าให้ใครสัมผัสถึง ดังนั้น ในทางทฤษฎีศาสตร์ทำนาย การสืบหาเบาะแสเจสันจึงไม่ควรได้ผลลัพธ์รวดเร็วเช่นนี้


ไอคานส์มองไปรอบตัวและเล่าต่อ


“ผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่ได้รับรายงานเข้ามาตามนั้น”


ขณะเล่า มันชี้ไปยังนกสีขาวตัวเล็ก บนต้นไม้ด้านนอกอาคารสโมสร


นกตัวดังกล่าวกำลังก้มหัวทำความสะอาดขนด้วยจะงอยปาก


โดยไม่รอให้ไคลน์ถามเพิ่ม ไอคานส์เริ่มอธิบายรายละเอียดอย่างคร่าว


“ทูตพิพากษาเล่าว่า พวกเขาพบเบาะแสสำคัญจนนำไปสู่การระบุตำแหน่งของเจสันได้สำเร็จ แต่นั่นก็ทำให้สัญชาตญาณตระหนักถึงอันตรายของปีศาจทำงาน มันจึงชิงลงมือฆ่าทูตพิพากษาไปสองคนก่อนจะหลบหนีไป เรื่องนี้ทำให้เบื้องบนของโบสถ์วายุสลาตันโกรธจนควันออกหู ลุกลามถึงขั้น ผู้ขับขานแห่งเทพ เอส·สเน็ก ตัดสินใจลงมือไล่ล่าเจสันด้วยตัวเอง คุณคงเห็นพายุเมื่อครู่ไปแล้ว นั่นเป็นฝีมือของเขา เอส·สเน็กไม่เพียงเป็นอาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์วายุสลาตันประจำมุขมณฑลเบ็คลันด์ แต่ยังเป็นหนึ่งในพระคาร์ดินัลแห่งศาสนาวายุสลาตันทั่วโลก”


ส่วนหนึ่งฟังดูสมเหตุสมผล แต่อีกส่วนก็ยังน่าเคลือบแคลง… จากสมมติฐานของเราและไอเซนการ์ด เจสันคงทำไปเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้วิเศษลำดับสูง…


หลังจากไตร่ตรองสักพัก ไคลน์ซักถาม


“พวกคุณแน่ใจได้อย่างไร ว่าทูตพิพากษาพบเบาะแสของเจสัน·บีเลียลตัวจริง”


สีหน้าไอคานส์พลันอึมครึม ก่อนจะหันมาตอบไคลน์ด้วยเสียงทุ้ม


“ผมจะลองตรวจสอบดู”


มันทำสัญญาณมือบอกให้ไคลน์เดินตามออกไปข้างนอก ตรงไปยังรถม้าคันใหญ่ซึ่งจอดนิ่งอยู่ริมถนน ภายในห้องโดยสารมีจิตแห่งจักรกลสองคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว


ไอคานส์สูดลมหายใจยาวพร้อมกับหยิบกระจกสีเงินลวดลายแปลกประหลาดออกจากช่องกระเป๋าลับของเสื้อโค้ท


เมื่อดำเนินขั้นตอนพื้นฐานเสร็จ ไอคานส์กล่าวด้วยสีหน้าอึมครึมแกมเคร่งเครียด


“ถึงท่านอาโรเดสผู้ยิ่งใหญ่ คำถามของกระผมก็คือ ‘ตำแหน่งปัจจุบันของเจสัน·แพทริค·บีเลียล’”


บรรยากาศรอบตัวทุกคนพลันมืดมน เป็นความสลัวคล้ายกับท้องฟ้าเพิ่งผ่านฝนตกหนัก


ฉากหนึ่งเริ่มปรากฏบนผิวกระจกเงาสีเงิน


เป็นภาพของเรือล่องแม่น้ำลำใหญ่ซึ่งกำลังชักใบเรือขึ้นสูง เจสัน·บีเลียล เจ้าของดวงตาสีฟ้าและแก้มโหนกสูง เส้นผมหวีเรียบ กำลังกดปีกหมวกลงและก้มศีรษะต่ำ ปกเสื้อตั้งขึ้นปิดบังปลายคางและริมฝีปาก มันกำลังเดินเข้าไปในห้องพักสำหรับผู้โดยสาร


“เจสันเตรียมหนีออกจากเบ็คลันด์! เข้าใจแล้วว่าทำไม ผู้ขับขานแห่งเทพจึงกำลังมุ่งหน้าไปยังเขตท่าเรือ…” จิตแห่งจักรกลสาวด้านข้างโพล่งขึ้น


ถูกพบตัวได้ง่ายดายขนาดนี้เชียว? ไม่ง่ายไปหน่อยหรือ อีกฝ่ายเป็นถึงปีศาจ…


สีหน้าไคลน์เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง


ขณะเดียวกัน ไอคานส์มิได้สนใจประเด็นดังกล่าว สมาธิของมันกำลังจดจ่ออยู่กับข้อความบนผิวกระจก


คราวนี้ก็เป็นเกมถามตอบเช่นเคย หากตอบผิดจะต้องเผชิญบทลงโทษอันน่าสะพรึง


เพียงไม่กี่อึดใจ ตัวอักษรสีเลือดปรากฏขึ้นบนกระจกทีละคำ :


“หากชายคนรักของเจ้ากลายเป็นก้อนเนื้อเหลวข้นน่าสะอิดสะเอียน ระบุไม่ได้ว่ามนุษย์หรือสัตว์ประหลาด แต่ยังสามารถสื่อสารกันรู้เรื่อง เจ้าจะยังรักเขาอยู่หรือไม่”


คำถามวัดใจสินะ…


เดี๋ยวนะ…ชายคนรัก…?


ไคลน์พยายามยับยั้งตัวเองมิให้หันหน้าไปมองไอคานส์·เบอร์นาร์ดด้านข้าง


หัวหน้าทีมจิตแห่งจักรกลถอนหายใจเสียงค่อยพร้อมกับมอบคำตอบ


“ยังรัก…แต่ผมจะฆ่าเขาด้วยมือตัวเอง”


“ซื่อสัตย์ใช้ได้” ข้อความใหม่ผุดขึ้นบนผิวกระจกเงิน


…เกมถามตอบบัดซบนี่ต่างอะไรกับการนำความลับคนอื่นมาประจาน?


ไคลน์อยากเลื่อนมือขึ้นมาปิดหน้า


มันชำเลืองสมาชิกทีมจิตแห่งจักรกลสองคนด้วยหางตาและพบว่า พวกเขาไม่แสดงท่าทีผิดปรกติ หรือควรจะพูดว่า พวกเขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น


ไคลน์วกกลับเข้าเรื่องด้วยสีหน้าครุ่นคิด


“ผมรู้สึกว่าเจสันถูกพบตัวได้ง่ายเกินไป บางที บุคคลในนิมิตทำนายอาจไม่ใช่เจสัน·บีเลียลตัวจริง…”


“แต่การทำนายถึงเจสัน·บีเลียลได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเขา” ไอคานส์กล่าวขณะเตรียมเก็บกระจกเงินเข้าไปในโค้ท


ไคลน์ก้มหน้าตรึกตรอง ก่อนจะเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดอย่างใจเย็น


“ผิดแล้ว พวกเราไม่ควรยึดติดกับผลการสอบสวนในอดีต เป้าหมายการทำนายควรเปลี่ยนเป็น ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ หาใช่เจสัน·บีเลียล ทั้งสองอาจไม่ใช่คนคนเดียวกัน สัญชาตญาณนักสืบบอกผมว่าอย่างนั้น”



บนถนนหลวงราชา รถม้าคันใหญ่พิเศษกำลังเคลื่อนตัวออกจากรัฐสภาแห่งอาณาจักร


ทางขึ้นเป็นบันไดพรมแดง ภายในห้องโดยสารเต็มไปด้วยเครื่องเรือนหรูหราจำพวกเตียงนอน โซฟา โต๊ะกาแฟ และอื่นๆ มองผิวเผินจะไม่ต่างอะไรกับห้องนอนติดล้อ


ดยุคพาลัส·นีแกนแต่งกายในชุดสีกรมท่าประจำกองทัพเรือ มันกำลังจิบไวน์แดงสีคล้ายเลือดสดจากแก้วใสมันวาว


หลังจากชิมเสร็จ พาลัส·นีแกนกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด


“ในวันพรุ่งนี้ อย่าลืมเชิญเอิร์ลฮอลล์มาเป็นแขกพิเศษของฉัน พวกเราต้องคุยกันในประเด็นการขึ้นค่าแรงและการปรับแก้กฎหมายแรงงานให้เหมาะสม ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกเขาผลักดันอย่างหนักในช่วงหลัง ฉันคิดว่าเขาน่าจะสนใจและตอบรับคำเชิญ อา… ด้วยเหตุผลบางอย่าง โบสถ์รัตติกาลกำลังสนใจในประเด็นของคนงานท่าเรือและโรงงานเป็นพิเศษ จริงแล้ว หลังจากส่งคำเชิญ อย่าลืมบอกเขาด้วยว่า ฉันยังมีประเด็นอื่นต้องการถกเถียง เช่น พวกเราไม่สามารถยกเลิกกฎหมายการกำจัดสิทธิ์การเลือกตั้งของประชาชนได้ เพราะไม่อย่างนั้น หากใครซื้อใจชนชั้นแรงงานได้มากกว่า ก็จะเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งไปโดยปริยาย คนพวกนั้นอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ด้วยซ้ำ พวกเขาไม่มีทางเข้าใจระบบการบริหารประเทศ…แล้วก็ พวกเราต้องช่วยกันยับยั้งความเหิมเกริมของกลุ่มผู้สนับสนุนการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต…”


เลขาด้านข้างก้มหน้าจดคำสั่งดยุคนีแกนอย่างละเอียด


เมื่อเห็นอีกฝ่ายบันทึกเสร็จ ดยุคนีแกนถอนหายใจยาว


“ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อประโยชน์ของขุนนางทุกคน แต่ในบรรดาพวกเรากลับเต็มไปด้วยคนไม่เอาถ่านและไร้ฝีมือ แถมยังมีบางส่วนกำลังติดหนี้บุญคุณกลุ่มพ่อค้ารายใหญ่”


เมื่อถึงทางแยก รถม้ามิได้แล่นไปทางเขตราชินีตามปรกติ แต่ตรงต่อไปโดยไม่หยุดจอด


ในฐานะขุนนางผู้มั่งคั่งอันดับหนึ่งรองจากกษัตริย์ ไม่ใช่เรื่องแปลกหากดยุคนีแกนจะมีภรรยาลับเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม อาณาจักรโลเอ็นค่อนข้างอนุรักษนิยม การมีภรรยาหลายคนอาจทำให้ถูกใช้เป็นเป้าโจมตีทางการเมือง ดังนั้น ถึงจะเป็นดยุค มันก็ต้องแอบย่องไปหาภรรยาลับอย่างไม่เอิกเกริก


แต่แม้จะต้องลำบากมากขึ้น ดยุคนีแกนกลับมองเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าปรกติ


สำหรับวันนี้ มันกำลังจะไปหาภรรยาลับหมายเลขหนึ่งตลอดสองสามปีหลัง เด็กสาวผู้มีวัยเพิ่งย่างเข้ายี่สิบ


ดยุคนีแกนหยิบขวดยาซึ่งมีส่วนผสมของผงมัมมี่ขึ้นมาดื่ม พลางใช้มืออีกข้างสัมผัสกับเครื่องประดับตรงคอ หอยสังข์สีน้ำเงินเข้มขนาดเท่าหัวแม่มือ


สิ่งนี้คือสมบัติวิเศษจากโบสถ์วายุสลาตัน มอบให้หลังจากดยุคนีแกนเคยถูกคีลิงเกอร์วางแผนลอบสังหาร หากใครเป่าสังข์ตัวนี้ด้วยพลังวิญญาณ ผู้ขับขานแห่งเทพ เอส·สเน็ก พระคาร์ดินัลประจำมหาวิหารวายุศักดิ์สิทธิ์ จะจับตำแหน่งได้และรีบเหาะมาหาด้วยความเร็วสูงสุด


เพื่อเป็นการเพิ่มระดับความปลอดภัยเข้าไปอีกขั้น ดยุคนีแกนจึงเลือกซื้อบ้านใกล้กับมหาวิหารวายุศักดิ์สิทธิ์ให้ภรรยาลับพักอาศัย


รถม้าสุดอลังการกำลังแล่นเข้าไปในอาคารหรูหราหลังหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน บรรยากาศรอบบ้านค่อนไปทางร่มรื่นเขียวขจี


ลานหญ้ากว้างใหญ่หน้าบ้านมีเรือนกระจกซึ่งเต็มไปด้วยกุหลาบสีแดงเบ่งบาน


……………………


ราชันเร้นลับ 424 : เปลี่ยนคำถาม

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายในห้องโดยสารรถม้า ริมถนนด้านนอกสโมสรครักซ์


“ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายอาจไม่ใช่คนเดียวกับเจสัน·บีเลียล? คุณเชื่อว่าพวกเรากำลังถูกคนร้ายชักนำให้หลงทาง?” ไอคานส์ไม่แสดงพฤติกรรมเหยียดหยัน ขุ่นเคือง หรือไม่แยแสคำแนะนำไคลน์ ตรงกันข้าม มันเริ่มนำประเด็นดังกล่าวมาถกเถียงจริงจัง


อาวุโสคนนี้ไม่เลว…แต่บางที นิสัยใจเย็นของเขาอาจเกิดจากกระจกชื่ออาโรเดสนั่นก็ได้ เพราะไม่ว่าคนเราจะมีอารมณ์ร้อนสักเพียงใด แต่ถ้าอยู่กับกระจกบานนั้นได้นาน ความหุนหันก็คงหายไปเองในภายหลัง…ชายหนุ่มครุ่นคิดพลางพยักหน้ารับ


“นี่เป็นเพียงความเห็นของผม…ความเห็นจากนักสืบผู้หวาดระแวงและรอบคอบโดยธรรมชาติ วิธีพิสูจน์ทฤษฎีนั้นง่ายนิดเดียว เพียงคุณถามกระจกอีกครั้ง ถึงตำแหน่งปัจจุบันของผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย มิใช่เจสัน·บีเลียลเหมือนคราวก่อน”


ไอคานส์ใช้มือข้างหนึ่งกดหมวก


“สมเหตุสมผล”


ขณะไอคานส์ก้มมองกระจกเงิน สีหน้าแววตาพลันกลับมาอึมครึม


“รอก่อน…อาวุโสไอคานส์ หากคุณถามถึงเบาะแสของปีศาจในตอนนี้ มันจะสัมผัสถึงอันตรายและทราบตำแหน่งปัจจุบันของเรา” ไคลน์กล่าวเตือน


“นั่นก็จริง” ไอคานส์หันไปมองสมาชิกทีมอีกสองคน “ฝากพวกคุณช่วยคุ้มกันนักสืบโมเรียตี้ในทางลับ หากโชคร้ายถูกผู้ปลดปล่อยแรงกระหายโจมตี พวกคุณสามคนคงพอจะถ่วงเวลาได้บ้าง นอกจากนั้นยังมีคนของกองทัพช่วยเฝ้าระวังไม่ห่าง”


“รับทราบ!” จิตแห่งจักรกลทั้งสองขานรับอย่างแข็งขันโดยปราศจากความลังเล


ไอคานส์แยกตัวไปจากทุกคน รีบมุ่งหน้าไปยังจุดระดมพลปัจจุบันของเหยี่ยวราตรี—บ้านของไอเซนการ์ด·สแตนธอน


เมื่อลองพิจารณาอย่างละเอียด… หากนำความโกลาหลซึ่งเกิดจากการออกโรงด้วยตัวเองของผู้ขับขานแห่งเทพ ไปรวมกับการเคลื่อนย้ายสมบัติวิเศษสุดทรงพลังของเหยี่ยวราตรี1-42 อย่างเอิกเกริก…ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายจะชิงลงมือทำตามเป้าหมายหลักของตนภายในช่วงบ่ายของวันนี้…หวังว่ากระจกวิเศษอาโรเดสจะช่วยแจ้งเบาะแสพวกเขาได้ทันเวลา…


แต่หากทุกสิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่น เราคงไม่มีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์แม้แต่น้อย ไม่มีโอกาสได้แก้แค้นไอ้ปีศาจบัดซบนั่น และไม่มีโอกาสได้จับต้องกระเป๋าเดินทางซึ่งบรรจุทรัพย์สินมูลค่ารวมกว่าห้าหมื่นปอนด์…


ไคลน์จ้องมองแผ่นหลังของไอคานส์ซึ่งกำลังลับสายตา ด้วยท่าทีผิดหวังเล็กน้อย


แต่อีกใจหนึ่ง มันก็นึกโล่งอก


แบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน… อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องเสี่ยงเจ็บตัว สามารถกลับไปใช้ชีวิตปรกติได้โดยไม่ต้องลงทุน…


ยิ่งไปกว่านั้น จิตแห่งจักรกลคงไม่ใจแคบกับเรานัก หากปฏิบัติการในคราวนี้สำเร็จลุล่วง คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากคำวิเคราะห์ของเรา ยิ่งผนวกกับการเป็นสาวกโบสถ์จักรกลไอน้ำของเราด้วยแล้ว อย่างน้อยก็ต้องได้ส่วนแบ่งกลับมาบ้าง…


โดยเฉพาะกระเป๋าเดินทางใบนั้น ถ้ามันมีมูลค่าสูงถึงห้าหมื่นปอนด์จริง…


ไคลน์ครุ่นคิดอย่างเสียดาย


แต่ก็เมื่อเทียบกับการต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย มันขอเลือกเส้นทางปลอดภัยดีกว่า


นักมายากลห้ามแสดงกลโดยไม่เตรียมตัว!


ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่มีเวลาให้เราได้วางแผนหรือจัดหาอุปกรณ์แก้ทางปีศาจ…


ไคลน์พยักหน้าส่งสัญญาณกับจิตแห่งจักรกลทั้งสองเป็นเชิงขอตัว เดินลงจากรถม้า และกลับไปยังสโมสรครักซ์ตามเดิม เตรียมบอกให้บริกรช่วยจองห้องพักสำหรับงีบในยามบ่าย



เขตฮิลสตัน ณ ห้องรับแขกบ้านไอเซนการ์ด·สแตนธอน


เลียวนาร์ด·มิเชลกำลังใช้มือสางเส้นผมสีดำกระเซิงเล็กน้อยของตน ภายใต้คำสั่งของหัวหน้าโซสต์ และด้วยความช่วยเหลือจากเหยี่ยวราตรีคนอื่น การสวมใส่ชุดเกราะสีเงินเต็มอัตราศึกจึงเป็นไปอย่างราบรื่น


บริเวณหัวไหล่ซ้ายของเกราะลงมาถึงช่องท้องยังคงเปรอะเปื้อนคราบเลือดเช่นเคย


เลียวนาร์ดดึงกะบังหน้าลงมาปิด เก็บซ่อนดวงตาสีเขียวมรกตไว้ด้านในหมวกเหล็ก ตามด้วยการยกแขนซ้ายซึ่งสวมถุงมือเหล็กขึ้นเล็กน้อย บนฝ่ามือกำลังถือกระจกเงินลวดลายประหลาดซึ่งยืมมาจากไอคานส์·เบอร์นาร์ด


โบสถ์เทพจักรกลไอน้ำจะเรียกสมบัติปิดผนึกชิ้นนี้ว่า :


2-111


“ระดับสองเองหรือ?” โซสต์ซักถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ


ไอคานส์พยักหน้ารับ


“อา… มันก็ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น”


ขณะกล่าว เสียงของไอคานส์คล้ายกับกำลังพูดไปพร้อมกันฟัน


“ดูเหมือนคุณกำลังบอกเป็นนัยว่า ในบางสถานการณ์มันก็ ‘อันตรายขนาดนั้น’ ?”


โซสต์ซักถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด


“ก็แค่บางสถานการณ์”


ไอคานส์ตอบเลี่ยง เจตนาไม่ต้องการเปิดเผยความลับของสมบัติปิดผนึกประจำโบสถ์ไปมากกว่านี้


ขณะเลียวนาร์ดเริ่มใช้ฝ่ามือขวาลูบไล้ไปบนผิวกระจกเงินอย่างทะนุถนอม บรรยากาศภายในห้องรับแขกพลันเงียบสงัด


เมื่อถูจนครบสามครั้ง มันกล่าวเสียงต่ำ


แสงรอบตัวทุกคนเริ่มสลัว คล้ายกับมีเมฆดำก้อนใหญ่เคลื่อนผ่านบนท้องฟ้า


ผิวกระจกเริ่มปรากฏแสงมายาของคลื่นน้ำ ส่องกระเพื่อมไปรอบทิศทาง ฉากอันพร่ามัวเริ่มรวมตัวกันจนกลายเป็นคมชัด :


บ้านพักหรูหราซึ่งมีสวนเขียวขจีอยู่ด้านหน้าทางเข้า ใจกลางสวนเป็นเรือนกระจกซึ่งด้านในเต็มไปด้วยกุหลาบสีแดงฉาน


เหนือเรือนกระจก ท้องฟ้าด้านบนมีลักษณะหม่นหมองคล้ายกับกำลังถูกหมอกหนาทึบบดบังแสงอาทิตย์


“ในเบ็คลันด์…!” ไอเซนการ์ดคาดเดาพิกัดของบ้านจากตำแหน่งดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าและอีกหลายปัจจัยประกอบ


“ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างจากการทำนายด้วยชื่อเจสัน·บีเลียลโดยสิ้นเชิง พวกเราถูกมันหลอกเข้าอย่างจัง!” ไอคานส์กล่าวเสียงขรึม


ผู้ปลอบวิญญาณ โซสต์ ถอนหายใจ


“แล้วผู้ขับขานแห่งเทพกำลังไล่ตามใคร? ไม่ใช่เจสัน·บีเลียลหรอกหรือ… เฮ่อ เรื่องนั้นช่างมันก่อน พวกเราต้องรีบตีกรอบตำแหน่งของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายให้แคบลงโดยอาศัยข้อมูลจากภาพเมื่อครู่ จึงค่อยเริ่มวางแผนลงมือ… ผมสงสัยว่าคนร้ายกำลังเตรียมก่อการอุกอาจครั้งใหญ่!”


ขณะเดียวกัน กระจกวิเศษอาโรเดสได้สลายภาพเหตุการณ์พร้อมกับเผยตัวอักษรชุดหนึ่งขึ้นมาแทน


หมายความว่า ถึงคราวเลียวนาร์ด·มิเชลต้องเป็นฝ่ายตอบคำถาม หากโกหกหรือไม่ยอมตอบ บทลงโทษอันรุนแรงกำลังรออยู่


ด้วยเหตุผลบางประการ เลียวนาร์ดเกิดความตึงเครียดสุดขีด ไม่หลงเหลือสีหน้าไม่เอาจริงเอาจังในยามปรกติ สมาธิมัวเพ่งอยู่กับคำถามซึ่งจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจ


หลายวินาทีถัดมา ผิวกระจกเริ่มผุดอักษรสีเลือดขึ้นมาทีละตัว :


“ในร่างกายของเจ้ามี…”


ขณะคำถามดำเนินไปครึ่งทาง ตาดำของเลียวนาร์ดพลันหดเกร็ง กล้ามเนื้อทุกมัดเริ่มสั่นกระตุก เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นกึ่งกลางหน้าผากอย่างมิอาจยับยั้ง


หากไม่เพราะใบหน้าถูกปกปิดโดยกะบังหมวกเหล็ก คนรอบข้างคงสังเกตเห็นความผิดปรกติได้นานแล้ว


ทันใดนั้น มือซ้ายเลียวนาร์ด—ข้างถือกระจกเงาสีเงิน พลันสั่นกระตุกแผ่วในระดับไม่มีใครนอกจากเลียวนาร์ดตระหนักถึง


กระจกเงินโยกเอนเล็กน้อย ตัวอักษรสีเลือดเริ่มมีสีเขียวแซมในลักษณะยากจะมองออก หากไม่เพ่งให้ละเอียดก็ไม่มีทางพบการเปลี่ยนแปลง


อักษรบนกระจกยังคงเขียนต่อไป :


“ในร่างกายของเจ้ามีแผลเป็นซึ่งไม่สามารถบอกกับผู้อื่นได้ใช่ไหม”


“ใช่ครับ…แผลเป็นดังกล่าวฝังลึกในความทรงจำของผมมาสักพักแล้ว” เลียวนาร์ดตอบเสียงเรียบไร้พิรุธ แต่ร่างกายภายในชุดเกราะสีเงินกำลังผ่อนคลายสุดขีด


กระจกบานนี้อันตรายเกินไป…มันพบความผิดปรกติในตัวเรา! โชคดีว่าตาแก่ฟื้นฟูพลังกลับคืนมาแล้วหลายส่วน…


เลียวนาร์ดรำพันด้วยริมฝีปากแห้งผาก


โซสต์ล้วงนาฬิกาพกออกมาเปิดฝาสำรวจ เงยหน้ามองเลียวนาร์ดผู้กำลังสวมชุดเกราะสีเงินเต็มอัตราศึก


“ยังพอมีเวลาเหลือ… เลียวนาร์ด ปฏิบัติการในคราวนี้ ให้เป็นงานของคุณแล้วก็กัน”


“รับทราบ! หัวหน้าโซสต์!” เลียวนาร์ดตอบแข็งขัน แต่ภายในกำลังถอนหายใจยาวสุดปอด



เขตอู่ต่อเรือ ย่านท่าเรีอ


เจสัน·แพทริค·บีเลียลกำลังเดินเข้าไปในห้องพักของผู้โดยสาร


มันมองออกไปนอกหน้าต่างและให้ความสนใจกับท้องฟ้าอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ในใจกำลังนับถอยหลังอย่างเงียบงัน


ผ่านไปสักพัก มันรีบถอดหมวกและเสื้อผ้าออกจนหมด ตามด้วยการกระตุกข้อมือเพื่อถอดผิวหนังมนุษย์ผืนใหญ่ออกมา!


ใต้หนังมนุษย์ดังกล่าวเผยให้เห็นหญิงสาวผู้มีใบหน้าเลอโฉม อายุราวสามสิบ ดวงตาลุ่มลึกแฝงความนัย


เธอมิใช่บุรุษเจ้าของดวงตาและเส้นผมสีน้ำตาลซึ่งไคลน์เคยเห็นในนิมิตการทำนาย!


สตรีปริศนานำเสื้อผ้าออกมาสวมอย่างคล่องแคล่ว เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นหญิงงามผู้มากด้วยเสน่หา


จากนั้น เธอนำรูปปั้นแกะสลักทำจากหิน ขนาดเท่ากำปั้น ออกจากกระเป๋าเดินทางหนังใบใหญ่ นำมันมาห่อด้วยหนังมนุษย์ และมัดแน่นจนกลายเป็นเงื่อนตาย


กว่าจะเตรียมการเสร็จ เรือล่องแม่น้ำได้แล่นออกจากท่าเป็นระยะทางไกลพอสมควร หญิงสาวปริศนาเปิดกระจกพร้อมกับโยนหนังมนุษย์ในคราบเจสัน·แพทริค·บีเลียลออกนอกหน้าต่าง ลงไปในแม่น้ำด้านข้างตัวเรือ


จ๋อม!


หนังมนุษย์ซึ่งถูกถ่วงด้วยวัตถุน้ำหนักมาก เริ่มดำดิ่งสู่ก้นแม่น้ำอย่างรวดเร็ว


หญิงสาวปิดหน้าต่าง ถือกระเป๋าเดินทางหนังเดินออกจากห้องพัก และเข้าไปในอีกห้องหนึ่งซึ่งจองเตรียมไว้ล่วงหน้า


เธอนั่งริมหน้าต่างด้วยสีหน้าร่าเริง นำศอกมาวางบนกรอบหน้าต่าง และเท้าคางชมวิวอย่างสบายใจ


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ หญิงสาวมองเห็นสายลมกระโชกพัดพาผ่าน รุนแรงจนหมอกหนาทึบบนท้องฟ้าเริ่มเจือจาง


มุมปากแดงฉานยกโค้งอย่างมีเลศนัย



เขตเชอร์วู้ด ภายในบ้านพักหรูหราซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิหารวายุศักดิ์สิทธิ์


พาลัส·นีแกนเจ้าของดวงตาสีฟ้ากลมโต กางมือสวมกอดภรรยาลับสาวสวยวัยย่างยี่สิบอย่างแนบแน่น


เมื่อทราบข่าวการมาเยือน เธอรีบออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าตื่นเต้นแกมไร้เดียงสา


ด้านหลังดยุคนีแกนยังมีบุรุษเดินตามอีกสองคน คนหนึ่งอยู่ในวัยกลางคน สวมสูทหางยาว เส้นผมสีน้ำตาลและดวงตาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าไร้อารมณ์


ไม่ใช่ใครนอกจากบอดี้การ์ดส่วนตัวของพาลัส·นีแกนซึ่งทางโบสถ์วายุสลาตันจัดหามาคอยอารักขา ลำดับ 6 ผู้รับใช้วายุ


ส่วนอีกหนึ่งคนคือเลขาส่วนตัว


มันคือชายหนุ่มผมทอง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสะอ้านสะอ้าน เต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้ดีมีสกุลคล้ายทายาทตระกูลขุนนางใหญ่ ข้อเสียเพียงจุดเดียวก็คือ หน้าผากซึ่งเริ่มเถิกล้านก่อนวัยอันควร


ในส่วนของคนรับใช้และองครักษ์ส่วนตัว ทั้งหมดถูกวางกำลังไว้รอบบ้านพัก


ณ ชั้นสอง ผู้รับใช้วายุเดินนำเข้าไปสำรวจห้องนอนใหญ่เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยให้ดยุคนีแกน ส่วนเลขาคอยสำรวจห้องอื่นในบริเวณใกล้เคียง


เมื่อมั่นใจว่าปลอดอันตราย มันหันมาพยักหน้าให้พาลัส·นีแกนเป็นเชิงเสร็จสิ้น


“กว่าจะเสร็จ ไอ้นั่นของฉันหดหมดแล้ว” นีแกนกล่าวติดตลก


ภรรยาลับกล่าวด้วยสีหน้าร่าเริง


“ถ้าอย่างนั้น ท่านช่วยเล่าประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นในทะเลให้ฟังก่อนสิคะ”


“เชื่อฉันเถอะ เธอไม่มีแรงฟังหรอก” ดยุคนีแกนจัดการอุ้มหญิงสาวเข้าไปในห้องนอนพร้อมกับปิดประตูด้านหลังด้วยส้นเท้า


เลขาส่วนตัวและผู้รับใช้วายุต่างเดินเข้าไปในห้องฝั่งตรงข้าม ไม่มีใครลดระดับการป้องกันลงแม้แต่วินาทีเดียว


ณ ห้องใต้หลังคาของบ้านหลังเดียวกัน


ชายสวมโค้ทตัวใหญ่สีดำสนิทกำลังนั่งบนเก้าอี้สภาพเก่าโทรม ดวงตาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง ไม่มีใครทราบว่ามันกำลังตั้งใจฟังสิ่งใด


พฤติกรรมทั้งหมดมีเพียงการอมยิ้มและส่ายศีรษะเป็นระยะ


เส้นผมหยักศกเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลแผ่กลิ่นอายความเย็นชา ไม่ใช่ใครนอกจากบุรุษในนิมิตทำนายของไคลน์


จุดต่างแตกก็คือ ข้างฝ่าเท้าของมันเหลือกระเป๋าเดินทางหนังเพียงหนึ่งใบ


“หิวกระหายอะไรเช่นนี้ นับเป็นแรงปรารถนาอันน่าทึ่ง…ผิดคาดไปเยอะทีเดียว หืม คงเพราะกินยาบางชนิดช่วยกระตุ้นสินะ…แบบนี้ก็ยิ่งเข้าทางเรา…หึหึ! คงไม่มีใครคาดคิดแน่ ว่าแท้จริงแล้ว เจสัน·แพทริค·บีเลียลจะหมายถึงสองบุคคล…” ชายปริศนาเอียงคอพลางทำสีหน้าเคลิบเคลิ้ม


“ใกล้แล้ว…ตอนนี้แหละ!”


หมับ! มันกำมือขวาฉับพลัน ราวกับกำลังบีบหัวใจใครบางคนให้แหลกละเอียด


……………………


ราชันเร้นลับ 425 : เบื้องล่างกุหลาบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ใต้หน้าต่างชั้นสอง เรือนกระจกสีเขียวกำลังส่องสะท้อนแสงแดดอ่อนจากท้องฟ้าด้านบน กุหลาบแดงจึงยิ่งโดดเด่นท่ามกลางบรรยากาศสลัวจากหมอกทึบ


ณ ห้องนอนใหญ่ คล้ายกับดยุคนีแกนหวนระลึกถึงความทรงจำในสมัยเด็ก เมื่อครั้งขณะติดตามบิดาและอาวุโสของตระกูลออกสำรวจดินแดน ฝึกหมาล่าเนื้อ และล่าสัตว์ป่าเป็นกิจกรรมยามว่าง


จนกระทั่งนีแกนถึงจุดสุดยอดในความใคร่ บรรยากาศรอบตัวพลันเงียบสงบจนผิดวิสัย


ทันใดนั้น สมองของมันเริ่มอื้ออึงมึนงง ความรู้สึก ‘สุขสม’ สุดขีดเข้าครอบงำทีละนิดในลักษณะระเบิดต่อกันเป็นทอดๆ อย่างไม่มีจุดสิ้นสุด เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยปราศจากขีดจำกัด


สะโพกดยุคนีแกนยังคงขยับซอยไม่พัก ดวงตาเริ่มล่องลอยราวกับสติของมันขาวโพลนไปชั่วขณะ


หัวใจพาลัส·นีแกนกำลังเต้นระรัวอย่างผิดธรรมชาติ ประหนึ่งหม้อต้มน้ำเดือดปะทุจากแรงดันเกินขีดจำกัด พร้อมระเบิดในทุกวินาที


หากมันเป็นเพียงคนธรรมดา หรือผู้วิเศษระดับต่ำซึ่งมีร่างกายอ่อนแอ นีแกนคงประสบอาการหัวใจวายฉับพลัน หรือไม่ก็อาการเส้นเลือดในสมองแตกไปนานแล้ว


อย่างไรก็ตาม มันสามารถเอาตัวรอดมาได้อย่างฉิวเฉียด มีเพียงอาการดวงตาเหม่อลอย ฟองน้ำลายผุดจากมุมปาก ก่อนจะล้มเซไปทางร่างภรรยาลับบนเตียง


ทางด้านผู้รับใช้วายุและเลขาส่วนตัวดยุคซึ่งแยกกันเฝ้าห้องติดห้องนอนจากคนละฝั่ง พวกมันต่างสัมผัสถึงความผิดปรกติรอบตัวพาลัส·นีแกนได้ทันที เป็นกลิ่นอายของกระแสพลังวิญญาณอันไม่สอดคล้อง


ฝ่ายแรกห่อหุ้มร่างกายตัวเองด้วยสายลมเกรี้ยวกราด พุ่งทะลุกำแพงห้องนอนหลักจนเกิดรูโหว่ขนาดใหญ่


ฝ่ายเลขาผมทองรีบมุ่งหน้าไปยังห้องใต้หลังคาซึ่งเป็นต้นตอของความผิดปรกติทันที


ตลอดทาง มันไม่ต้องออกแรงหลบหลีก แต่สิ่งกิ่งขวางทั้งหมดล้วนเป็นใจ ช่วยขยับหลบให้อย่างน่าอัศจรรย์ราวกับมีชีวิตชีวา


ขณะฝ่าเท้าเหยียบลงบนขั้นบันไดไม้ แผ่นไม้ช่วยงอตัวเพื่อส่งให้เลขาขึ้นไปถึงข้างบนได้รวดเร็ว


ภายในระยะเวลาแสนสั้นเพียงสามถึงสี่วินาที บุรุษมาดสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลา เส้นผมสีทอง แต่หัวเถิกล้าน ได้ส่งตัวเองขึ้นมาถึงห้องใต้หลังคาและเผชิญหน้ากับใครบางคนบนเก้าอี้สภาพเก่าโทรม


ร่างดังกล่าวคล้ายกับถูกปกคลุมด้วยของเหลวเหนียวข้นสีดำสนิท เพียงจ้องมองก็มอบความรู้สึกคล้ายกับมวลอารมณ์ด้านลบทุกชนิดบนโลกกำลังรวมอยู่ในบุคคลเดียว


หากใครจิตใจไม่เข้มแข็ง อาจสติแตกจนถึงขั้นนำเชือกมาแขวนคอตายในทันที


อีกหนึ่งอารมณ์ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกันคือความกระหาย กระหายไม่เว้นแม้แต่กับเผ่าพันธุ์หรือเพศเดียวกัน กระหายจะกิน กระหายจะร่วมเพศอย่างปราศจากสุดสิ้นสุด


นี่คืออำนาจอันน่าสะพรึงของปีศาจ!


สีหน้าแววตาของเลขารูปร่างผอมบางยังคงไม่เปลี่ยน ไม่แม้แต่จะโจมตีเข้าไป เพียงใช้มือปิดประตูไม้ด้านหลังอย่างใจเย็น


ตึง!


ประตูไม้ของห้องใต้หลังคาปิดสนิท


ทันใดนั้น บรรยากาศรอบห้องเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน คล้ายกับห้วงมิติภายในถูกผนึกโดยสมบูรณ์ และจะไม่มีใครได้ออกไปจนกว่าจะออกแรงทำลายผนึกดังกล่าว


ในวินาทีนี้ การ ‘ปิดประตูเพื่อผนึกห้อง’ ได้เปลี่ยนใหม่กลายเป็นการ ‘ปิดประตูเพื่อตัดขาดมิติด้านในออกจากโลกภายนอก’


ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเริ่มเป็นฝ่ายเคลื่อนไหว ร่างกายของมันขยายขนาดพร้อมกับการงอกเงยของปีกค้างคาวสีดำขนาดใหญ่จากแผ่นหลัง เปลวเพลิงสีฟ้าจำนวนมากกำลังลุกโชนจากความว่างเปล่ารอบตัว


เพียงพริบตา เปลวเพลิงวูบวาบพลันควบแน่นกลายเป็นลูกบอลไฟเจือกลิ่นกำมะถันเข้มข้น ต่อด้วยการกระหน่ำยิงใส่เลขามาดสง่างามทีละนัดสองนัด


โดยไม่รีรอ เลขารีบเหยียดมือซ้ายซึ่งสวมถุงมือสีขาวออกไปข้างหน้า กำหมัดแน่น และบิดข้อมือในลักษณะครึ่งวงกลม


บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!


ช่างน่าประหลาด ลูกบอลไฟกลับมิได้พุ่งตรงไปข้างหน้าตามวิถีตามธรรมชาติ พวกมันพุ่งกระจายไปคนละทิศทางอย่างบ้าคลั่งสับสน ลักษณะคล้ายกับทฤษฎีของนักพฤกษศาสตร์ซึ่งกล่าวถึงการวิถีเคลื่อนตัวแบบสุ่มของอนุภาคขนาดเล็ก


ลูกบอลไฟกระจัดกระจายอย่างโกลาหล บางส่วนกระแทกผนัง บางส่วนกระแทกเพดาน บางส่วนตกลงด้านหน้าเลขาท่าทางอ่อนแอ และบางส่วนกระเด็นไปทางตัวผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเสียเอง


ห้องใต้หลังคาพลันตกอยู่ในสภาพพินาศย่อยยับ ร่องรอยความเสียหายและคราบไหม้เกรียมปรากฏทุกซอกมุมโดยไม่เว้น ตัวอาคารบ้านพักโยกคลอนแผ่วเบาสองถึงสามหน


อย่างไรก็ตาม พลังพิเศษซึ่งกำลัง ‘ผนึก’ ห้องใต้หลังคาเอาไว้ หรือพูดให้ถูกคือ ‘กฎ’ ซึ่งบังคับให้เกิดผลในลักษณะดังกล่าว ยังคงไม่ถูกทำลายไป


ผนังรอบห้อง บานประตูไม้เก่าโทรม รวมถึงหลังคาขึ้นสนิม ทั้งหมดปรากฏร่องรอยการ ‘เกือบ’ ถูกทำลายอย่างชัดเจน เพียงแต่สภาพโครงสร้างยังสามารถก่อตัวเป็นรูปทรงเดิมได้อย่างน่าอัศจรรย์


ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายมิได้ออกอาการหงุดหงิดเมื่อการโจมตีแรกล้มเหลว รวมถึงไม่ตื่นตระหนกในเรื่อง—ตนไม่สามารถกระตุ้นให้เป้าหมายเกิดความบ้าคลั่งได้


ขณะภาพของเลขาผมทองกำลังสะท้อนบนกระจกตา ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายยังคงแสดงสีหน้าสุขุมเยือกเย็นเช่นเคย ดวงตาสีน้ำตาลของเพียงลุกโชนคล้ายลาวาเดือด


ทันใดนั้น ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายแผดเสียงคำรามเป็นภาษาปีศาจ อัดแน่นด้วยความชั่วร้ายและกัดกร่อนจิตใจรุนแรง :


“ตาย!”


แทบจะในเวลาเดียวกัน ดวงตาใต้แว่นตากรอบทองของเลขาหนุ่มหล่อเริ่มสั่นเทา มันรีบคลายกำปั้นมือซ้ายพร้อมกับเล็งฝ่ามือไปทางผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย


เพียงพริบตา ร่างของเลขาพลันมีร่างของอีกหนึ่งบุคคลซ้อนทับในลักษณะภาพมายา ราวกับเปลี่ยนให้ตัวเองกลายเป็นบุคคลสองบุคลิก โดยร่างหนึ่งยังคงเป็นเลขารูปร่างผอมเพรียวมาดสง่างามคนเดิม ส่วนอีกร่างคือของเหลวเหนียวข้นสีดำสนิท


ทั้งสองร่างสลับกันปรากฏตัวเป็นระยะ


“ตาย!” เมื่อร่างของเลขากลายเป็นของเหลวสีดำ มันเปล่งถ้อยคำปีศาจกลับไปในลักษณะเดียวกับอีกฝ่าย ตามด้วยการเสียหลักเซถอยหลังกลับมาเล็กน้อย


เมื่อสิ้นเสียง ร่างแยกสีดำพลันเลือนหาย ใบหน้าของเลขาผมทองเริ่มมีคราบสนิมสีแดงปกคลุมบางส่วน ราวกับมันคือมนุษย์โลหะผู้อาศัยในสภาพแวดล้อมเปียกชื้นเป็นเวลานาน


แค่ก! แค่ก! แค่ก!


เลขาหนุ่มหล่อไอแห้งเสียงดัง ก่อนจะอาเจียนก้อนเลือดข้นสีสนิมออกมาคำใหญ่


เพียงพริบตา คราบสนิมบนใบหน้าเริ่มหลุดลอกออกเป็นแผ่น


แค่ก! แค่ก! แค่ก!


ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเริ่มอาเจียนด้วยอาการเดียวกัน และออกมาเป็นก้อนเลือดข้นสีสนิมเหมือนกันทุกประการ ทว่า ของเหลวสีดำแฝงอารมณ์ด้านลบซึ่งปกคลุมรอบตัวมันเริ่มลดจำนวนลง


คล้ายกับภาษากัดกร่อนของปีศาจได้ถูกบรรเทาลงครึ่งหนึ่งและสะท้อนกลับหาตัวผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเสียเอง!



ณ ห้องนอนใหญ่


ผู้รับใช้วายุรีบพุ่งเข้าไปพยุงดยุคนีแกนพร้อมกับใช้เท้าถีบภรรยาลับกระเด็นไปกระแทกผนังห้อง ภายในใจกำลังระแวงว่าเธออาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด


เหตุผลให้ผู้รับใช้วายุไม่ขึ้นไปช่วยเลขา เพราะงานหลักของมันคือการดูแลความปลอดภัยของดยุคนีแกน แถมสถานการณ์ก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะมีผู้โจมตีรายอื่นอีกหรือไม่


มาถึงตรงนี้ พาลัส·นีแกนเริ่มได้สติ ด้วยร่างกายแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไป มันรอดจากแรงกระตุ้นอันเข้มข้นได้อย่างฉิวเฉียด อย่างไรก็ตาม แขนขายังคงปราศจากเรี่ยวแรง สมองขาวโพลน สติเลือนรางและไม่คมชัด ไม่สามารถเค้นพลังพิเศษออกมาใช้งานได้ คงเป็นเช่นนี้ไปอีกหลายนาที


นีแกนทำท่าทางเป็นเชิงบอกให้ผู้รับใช้วายุปลดสร้อยหอยสังข์จากลำคอ พร้อมกับเลื่อนขึ้นมาจ่อริมฝีปากของตน


พาลัส·นีแกนสูดลมหายใจยาว ตามด้วยการออกแรงเป่าสังข์สลักลวดลายพิเศษ


ซ่า!


เสียงของคลื่นทะเลดังขึ้น คล้ายกับมีคลื่นล่องหนพุ่งไปยังทิศทางของมหาวิหารวายุศักดิ์สิทธิ์


“ด้วยความเร็วของเจ้าคุณท่าน อีกไม่นานก็คงมาถึงแล้ว” ผู้รับใช้วายุรีบกล่าวเพื่อให้พาลัส·นีแกนคลายความกังวล ก่อนจะทำการแบกดยุคคนสำคัญของอาณาจักรขึ้นหลังและกระโดดลงไปยังชั้นล่างผ่านทางหน้าต่าง


ณ ด้านล่าง นีแกนกับผู้รับใช้วายุได้พบกับองครักษ์กลุ่มหนึ่ง พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นผู้วิเศษลำดับต่ำ


พาลัส·นีแกนหายใจหอบ


“ต้องจับมันให้ได้…ต้องจับเป็น! หรืออย่างน้อยก็เหลือร่างวิญญาณไว้…ฉันต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นใคร!”


นีแกนเคยถูกลอบสังหารด้วยฝีมือพลเรือโทโจรสลัดคีลิงเกอร์มาแล้วหนหนึ่ง และจากเหตุการณ์เมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าคนร้ายปริศนาในคราวนี้เป็นถึงผู้วิเศษลำดับ 5


นีแกนค่อนข้างมั่นใจว่าตนไม่เคยสร้างความบาดหมางรุนแรงกับใคร มันจึงเกิดความคับแค้นใจและเต็มไปด้วยคำถาม


มันต้องการทราบให้ได้ว่า ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคำสั่งจ้างวานฆ่า จากนั้นก็จะใช้พลังอำนาจของดยุคแห่งอาณาจักร สร้างความพินาศย่อยยับให้อีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานี!


แต่การจะทำเช่นนั้นได้ นีแกนต้องจับตัวนักลอบสังหารให้ได้เสียก่อน


ราวเจ็ดแปดวินาทีถัดมา องครักษ์ชั้นล่างทั้งหมดรีบกรูมารวมตัวกัน ณ ลานหญ้าเขียวขจีหน้าทางเข้าบ้านพัก โดยมีผู้รับใช้วายุคอยยืนปกป้องข้างกายนีแกนอย่างใกล้ชิด


“ทุกคนระวังตัวให้ดี ศัตรูอาจโจมตีเข้ามาได้ทุกเมื่อให้ดี” ผู้รับใช้วายุออกคำสั่ง


ภายใต้สถานการณ์ปรกติ งานหลักของมันคือการปกป้องและรีบพาตัวดยุคหนีไปให้ไกลจากนักลอบสังหาร เป้าหมายการหลบหนีคือมหาวิหารวายุศักดิ์สิทธิ์ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน มันยังไม่มั่นใจว่าด้านนอกปลอดภัยจากการดักซุ่มโจมตี แถมยังจะคลาดกับความช่วยเหลือจากผู้ขับขานแห่งเทพ เอส·สเน็ก อีกด้วย หากเป็นเช่นนั้น สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงไปกว่าเดิม


หนึ่งวินาที.


สองวินาที.


สามวินาที.


กระแสเวลาไหลผ่านอย่างเงียบงัน ชั้นบนของบ้านเกิดการสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับเข้าใกล้จุดตัดสินเต็มที


“ทำไมท่านอาร์ชบิชอปถึงยังไม่มาสักที…” ดยุคนีแกนซักถามด้วยลมหายใจกระเส่า สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่ากำลังกังวล


ด้วยความเร็วของเอส·สเน็ก ระยะจากมหาวิหารวายุศักดิ์สิทธิ์มาถึงบ้านพักหลังนี้จะใช้เวลาเพียงหนึ่งอึดใจเท่านั้น แต่บนท้องฟ้ากลับยังไม่มีการกระเพื่อมของหมอกหนาทึบในทิศทางจากมหาวิหาร


ยิ่งเวลาผ่านไป จิตใจมันยิ่งกระสับกระส่าย


ผู้รับใช้วายุกล่าวด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน


“หรือว่า… หรือว่าท่านอาร์ชบิชอปจะ…”


มันไม่กล้าพูดออกไปว่า อาร์ชบิชอปอาจไม่ได้อยู่ในมหาวิหารวายุศักดิ์สิทธิ์ ณ ตอนนี้


ขณะเดียวกัน ภรรยาลับสาวสวยได้โผล่ศีรษะออกจากหน้าต่างห้องนอนใหญ่บนชั้นสอง แววตาของเธอกำลังล่องลอย มุมปากเผยรอยยิ้มแสนสดใส


ถัดจากนั้น เธอทำการปืนกรอบหน้าต่างและกระโดดลงมาด้านล่างโดยจงใจใช้ศีรษะกระแทกพื้นคอนกรีต


โผละ!


เมื่อสิ้นเสียงน่าหวาดเสียว กะโหลกศีรษะของหญิงสาวแยกออกจากกันจนเกิดแผลเหวอะหวะ ของเหลวน่าสะอิดสะเอียนและเลือดสดเริ่มไหลซึมออกจากส่วนดังกล่าว


หญิงสาวกลิ้งไปบนพื้นราวสองสามตลบ ก่อนจะพยุงตัวยืนในลักษณะโงนเงน


ดวงตาของเธอยังคงปราศจากประกายความแวววาว รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่งอันน่าขนลุก


ฉากดังกล่าวส่งผลให้เหล่าองครักษ์ลำดับต่ำของดยุคนีแกนเริ่มหวาดผวา


แม้แต่ตัวนีแกนเอง ในสภาพมิอาจใช้พลังพิเศษได้เช่นนี้ การยังไม่มาถึงของอาร์ชบิชอปสเน็กยิ่งทำให้จิตใจเกิดความหวาดหวั่น


“ท่าไม่ดีแล้ว… รีบหนีกันก่อน!” พาลัส·นีแกนเปล่งเสียงแหบพร่าเจือความหวาดกลัว


ขณะเดียวกัน ผู้รับใช้วายุกำลังภูมิใจในเรื่อง—ตัวมันเด็ดขาดพอจะถีบภรรยาลับให้กระเด็นไปติดผนัง ไม่อย่างนั้น ดยุคนีแกนคงถูกลอบสังหารไปนานแล้ว


ระหว่างกำลังเกิดความคิดข้างต้น คำสั่งเจือความหวาดผวาของพาลัส·นีแกน ได้ทำให้หัวใจผู้รับใช้วายุพลันหล่นไปอยู่ตาตุ่ม


ภายในห้องใต้หลังคา ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือดและใกล้ถึงจุดตัดสินระหว่างผู้ปลดปล่อยแรงกระหายและเลขาผมทอง ฝ่ายแรกเริ่มกลายสภาพเป็นของเหลวสีดำจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทุกซอกมุมห้อง จากนั้นก็กระเด้งตัวไปมาระหว่างผนัง พื้น และเพดานด้วยความเร็วสูง ถือเป็นวิธีหลบหลีกการโจมตีของเลขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ


จนกระทั่ง ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเริ่มรวบรวมของเหลวกลับมาไว้ในจุดเดียว พร้อมกับก่อตัวเป็นรูปร่างมนุษย์ในบริเวณมุมอับสายตาของเลขาหนุ่มหล่อ


มันจ้องมองเลขาด้วยสายตาเย็นชาพลางยกมือขวาขึ้นอย่างไม่รีบร้อน มุมปากเผยรอยยิ้มแฝงเลศนัย


“อย่า!” เมื่อหันกลับมาเห็น ดวงตาของเลขาพลันแดงก่ำ


โดยไม่รอช้า ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายพลันกำหมัดขวาแน่น ด้วยสีหน้าของผู้มีชัย


ในเวลาเดียวกัน ณ ทางเข้าบ้านพักหรูหรา


อาการหวาดผวาของดยุคนีแกนพลันปะทุอย่างกะทันหัน พลังพิเศษปริศนาเริ่มเล่นงานแกนสมองและเส้นเลือด ส่งผลให้ดวงตาของพาลัส·นีแกนเริ่มแสดงอาการเหม่อลอย


พร้อมกันนั้น มันได้ยินเสียงของบางสิ่งแตกละเอียด ตามด้วยความรู้สึก ‘อุ่น’ บริเวณท้ายทอย


ขณะเดียวกัน องครักษ์ผู้วิเศษลำดับต่ำเริ่มออกอาการสติแตก แต่ละคนชักลูกโม่ดัดแปลงออกมายิงส่งเดชอย่างไร้ทิศทางจนกระทั่งหมดกระสุน


ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!


ผู้รับใช้วายุซึ่งได้สติก่อนใคร รีบกระโจนคว้าตัวพาลัส·นีแกนและกลิ้งไปบนพื้นหลายตลบ พร้อมกับเสกกระแสลมเฉือนลักษณะคล้ายคมมีดล่องหน กรีดคอหอยบรรดาองค์รักเสียสติทั้งหมดอย่างเลือดเย็น


ฉูด ฉูด


องครักษ์ลำดับต่ำรีบยกสองมือกุมลำคอ ก่อนจะล้มลงทีละคนสองคนและเกิดเป็นบ่อเลือดสดสีแดงเข้ม


ในวินาทีนี้ ร่างของดยุคนีแกนเกิดการสั่นกระตุกรุนแรงสองสามหน จึงค่อยนอนแผ่แน่นิ่งในสภาพปราศจากลมหายใจ


มันถูกขโมยชีวิตไปด้วยฝีมือของความหวาดกลัวจากตัวมันเอง


หากไม่ใช่เพราะเป็นผู้วิเศษลำดับ 6 ศพของพาลัส·นีแกนคงฉีกขาดกระจัดกระจายในลักษณะสยดสยองมากกว่านี้


แน่นอน ถ้าไม่เพราะร่างกายกำลังอยู่ในสภาพอ่อนแอสุดขีด และถ้าไม่เพราะอารมณ์ของนีแกนกำลังสับสนว้าวุ่น ลำพังการกระตุ้นแรงกระหายย่อมไม่มีทางพรากชีวิตมันไปได้


แต่ไม่มีคำว่า ‘ถ้า’ ในโลกผู้วิเศษ


พาลัส·นีแกน หัวหน้าพรรคอนุรักษนิยม ขุนนางใหญ่ผู้ครองดินแดนมากเป็นอันดับหนึ่งรองจากกษัตริย์แห่งโลเอ็น พี่ชายของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของอาณาจักร ผู้วิเศษลำดับ 6 และบุคคลสำคัญอย่างแท้จริงของอาณาจักรโลเอ็น


…ได้จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ


กุหลาบแดงในเรือนกระจกซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุ กำลังบานสะพรั่งและสะท้อนรับกับแสงแดดอย่างงดงาม


ณ ห้องใต้หลังคา หลังจากเลขาผมทองสัมผัสถึงความผิดปรกติจากด้านล่าง มันมิอาจสะกดให้อารมณ์เยือกเย็นได้อีกต่อไป


เมื่อพบช่องว่าง ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายทำการส่งแรงกระตุ้นจนสมองของเลขาพลันขาวโพลนไปชั่วขณะ ร่างกายอันผอมเพรียวขยับเปิดประตูห้องและวิ่งลงไปข้างล่างตามสัญชาตญาณ ส่งผลให้ ‘ผนึก’ ล่องหนรอบห้องถูกคลายออกในทันที


ผ่านไปราวสองสามวินาที เลขาผมทองได้สติกลับมาพร้อมกับรีบวิ่งกลับมายังห้องใต้หลังคา แต่บุรุษเจ้าของร่างกายสีดำลักษณะคล้ายของเหลวเหนียวข้น ได้อันตรธานหายไปพร้อมกับกระเป๋าเดินทางหนังใบใหญ่เรียบร้อยแล้ว



ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายรีบส่งตัวเองออกจากบ้านพักหรู ตรงไปตามเส้นทางหลบหนีซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้า


แต่ระหว่างทาง ภาพการมองเห็นของมันพลันเต็มไปด้วยทะเลเลือดกว้างใหญ่กะทันหัน


……………………


ราชันเร้นลับ 426 : 1-42

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย บุคคลซึ่งเคยสวมหนังมนุษย์ของเจสัน·แพทริค·บีเลียล พลันชะงักฝีเท้าพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบตัวด้วยสีหน้าประหลาดใจ


มันเริ่มตระหนักว่ามีบางสิ่งกำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ตน


ปัจจุบัน ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายกำลังยืนในมุมลานหญ้าของบ้านหลังหนึ่ง พืชพรรณเหี่ยวเฉาจากสภาพอากาศแห้งผากของฤดูหนาว ด้านล่างจึงเหลือเพียงดินสีน้ำตาลเข้ม


มองไปยังถนนฝั่งขวา ผู้คนสัญจรผ่านไปมาไม่มากนักเนื่องจากเป็นช่วงบ่ายของวันทำงาน อาจมีหลงผ่านไปมาในละแวกใกล้เคียงบ้างสักสองสามคน แต่ก็ไม่มีใครเผยให้เห็นความผิดปรกติ


ทันใดนั้น มุมสายตาของมันพลันเหลือบเห็นประกายแสงสีเงิน เมื่อหันไปมองก็ได้พบกับใครบางคนในชุดเกราะเต็มอัตราศึกสีเงินกำลังเดินเข้ามาใกล้


เกราะสีเงินเปื้อนคราบเลือดแห้งกรังจากไหล่ซ้ายลงมาถึงช่องท้อง มอบความรู้สึกงดงามและน่าหวาดกลัว มองผิวเผินจะคล้ายกับมีน้ำหนักมาก เพราะทุกย่างก้าวหนักแน่นจนทำให้พื้นสะเทือนเล็กน้อย


เมื่อได้เห็นเกราะเงินเปื้อนเลือดเต็มสองตา ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายพลันรู้สึกคล้ายกับตนหายใจไม่ออกกะทันหัน ประหนึ่งกำลังเผชิญหน้าของแสลงซึ่งมันหวาดกลัวเป็นอันดับหนึ่งในชีวิต


ทำไมถึงมาเร็วแบบนี้…?


พวกมันอ่านกลอุบายของเราออก?


อย่างไรก็ตาม ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายยังคงสุขุมและเลือดเย็น สมาธิจดจ้องไปยังอารมณ์และแรงกระหายของบุคคลในชุดเกราะสีเงินตรงหน้า


แต่เหนือความคาดหมาย เกราะสีเงินกลับมีอำนาจปิดกั้นอารมณ์ของผู้สวมใส่ได้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายไม่สามารถใช้พลังกระตุ้นทะลวงเข้าไป


คล้ายกับมันกำลังเพ่งมองก้อนหิน คล้ายกับในเกราะสีเงินเปื้อนเลือดไม่มีใครสวมอยู่!


ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายไม่มีทางเลือก รีบยกแขนขวาขึ้นพร้อมกับสยายปีกค้างคาวออกจากแผ่นหลัง กลุ่มก้อนลูกบอลไฟสีฟ้าจำนวนหลายสิบ กำลังก่อตัวเตรียมถล่มใส่สัตว์ประหลาดชุดเกราะสีเงิน


แต่ทันใดนั้น มือขวาของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายพลันส่องแสงกะทันหัน นิ้วหัวแม่มือของมันถูกตัดขาดและร่วงหล่นลงบนพื้นดิน บาดแผลเรียบเนียนคมกริบจนน่าอัศจรรย์


ท่ามกลางเสียง ‘ฉึบ!’ พร้อมกับการกะพริบวิบวับของริ้วแสงสีเงิน นิ้วอีกเก้าของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายพลันถูกตัดขาดจากฝ่ามืออย่างประณีต กระเป๋าเดินทางหนังใบใหญ่มีอันต้องหล่นกระแทกพื้นดัง ‘ตุบ’


ตาดำของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายหดลีบจนเหลือเท่าหัวเข็มหมุด มันรีบกระพือปีกค้างคาวพร้อมกับบินหนีไปยังทิศทางตรงข้าม


ขณะเดียวกัน เงาดำใต้ฝ่าเท้าปีศาจเริ่มหดตัวจนกลายเป็นจุดกลมเล็กโดยไม่มีใครทันสังเกตเห็น


แต่หลังจากบินไปได้ไม่กี่อึดใจ ประกายแสงสีเงินได้ระเบิดจากภายในร่างผู้ปลดปล่อยแรงกระหายอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับมีเทศกาลพลุไฟสุดอลังการอยู่ด้านใน


ของเหลวเหนียวข้นสีดำซึ่งเคยปกคลุมลำตัวตลอดเวลา ยามนี้เริ่มสาดกระเซ็นเป็นฝอยคล้ายหยดฝน ปลายแขน ต้นแขน หัวไหล่ ซี่โครง และอวัยส่วนอื่นของร่างกายกำลังถูกกรีดเฉือนอย่างประณีตในลักษณะปากแผลเรียบเนียน


ฉูด! ฉูด! ฉูด!


ลำไส้เล็กสีซีด เปื้อนคราบเลือดสด หล่นลงมากองบนพื้นอย่างน่าสยดสยอง ตามด้วยถุงกระเพาะอาหารและหัวใจซึ่งกำลังเต้นยุบพอง


พื้นดินใต้จุดถูกโจมตีกำลังเจิ่งนองไปด้วยบ่อเลือดสีแดงข้น ยิ่งมันพยายามหนี เลือดก็ยิ่งหยดเป็นทางยาว ตกกระทบพื้นดินและจนมีลักษณะคล้ายกุหลาบแห่งความตาย


ผู้วิเศษลำดับ 5 สุดทรงพลัง ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย ผู้เพิ่งสำเร็จภารกิจลอบสังหารอันแทบจะเป็นไปไม่ได้ บัดนี้ถูกหั่นแยกชิ้นส่วนอย่างน่าสยดสยองโดยหมดสิทธิ์ขัดขืน


นี่คือความทรงพลังของสมบัติปิดผนึกระดับ 1 แห่งโบสถ์รัตติกาล สมบัติต้องสาปซึ่งเคยพรากชีวิตผู้คนมาแล้วนับแสนราย


1-42


เลียวนาร์ด·มิเชล ผู้กำลังสวมเกราะเงินเปื้อนเลือด ขยับตัวไปข้างหน้าสองก้าวพร้อมกับเพ่งมองชิ้นส่วนกระจัดกระจายของศพ


ทันใดนั้น มันรีบจะแผดเสียงอย่างตื่นตัว


“ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายยังไม่ตาย!”


เลียวนาร์ดเว้นวรรคและรีบเสริม


“ปีศาจต่างชนิดจะมีพลังและความพิเศษแตกต่างออกไป ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายในคราวนี้คือ ‘ปีศาจเงา’ มันเพิ่งสละร่างเนื้อจนเหลือแค่เงาก่อนจะหลบหนี!”


หลังจากออกคำสั่งให้เหยี่ยวราตรีและจิตแห่งจักรกลช่วยกันประชาชนออกจากจุดเกิดเหตุ ‘ผู้ปลอบวิญญาณ’ โซสต์ หันกลับมาสำรวจรอบตัวพลางฟังคำแนะนำของเลียวนาร์ดอย่างตั้งใจ


โซสต์หยิบนาฬิกาพกออกมาเปิดฝาตรวจสอบ ตามด้วยการกล่าวอย่างเคร่งขรึม


“เหลือแค่สิบนาที ทันเวลาไหม? ห้ามฝืนตัวเองเด็ดขาด!”


“ไม่มีปัญหาครับ! 1-42 กำลังล็อกเป้าไปยังคนร้าย ผมสัมผัสความตื่นเต้นของมันได้!”


เลียวนาร์ดกล่าวโดยปราศจากความลังเล


โซสต์ขยับรีบถุงมือแดงเพื่อออกคำสั่งกับเหยี่ยวราตรีคนอื่น


“เตรียมน้ำร้อนติดตัวพวกคุณไปด้วย! คอยตามหลังเลียวนาร์ดอย่างใกล้ชิด หากเห็นท่าไม่ดีให้รีบสลับตัวกับเขาและขุด ‘อ่าง’ ในจุดดังกล่าวทันที! แล้วก็อย่าลืมทิ้งร่องรอย สมาชิกคนอื่นจะได้ตามไปถูกทาง”


กึก! กึก! กึก!


ชุดเกราะสีเงินเปื้อนเลือดเริ่มออกวิ่งอีกครั้งเพื่อไล่ตามจับผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย แม้จะดูเหมือนว่ามีน้ำหนักมาก แต่ความเร็วกลับสูงมากจนน่าทึ่ง


โซสต์ยืนจ้องมองแผ่นหลังของถุงมือแดงสองสามคนกำลังวิ่งตามเลียวนาร์ด จากนั้น มันหันกลับมามองไอคานส์


“อาวุโสเบอร์นาร์ด รบกวนคุณช่วยพาจิตแห่งจักรกลไปยังบ้านหลังเกิดเหตุด้วย คอยจับตามองกลุ่มผู้รอดชีวิตเอาไว้ โดยเฉพาะคนใกล้ตัวดยุคนีแกน”


“จับตามอง?” ไอคานส์ย้อนถาม


โซสต์พยักหน้าและกล่าวเสียงขรึม


“ลองนึกดูให้ดี ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายสามารถระบุเวลาเดินทางของดยุคนีแกนอย่างแม่นยำเช่นนี้ได้อย่างไร? ไม่ผิดแน่ มันต้องทราบกำหนดการเดินทางล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางหลอกล่อผู้ขับขานแห่งเทพออกจากมหาวิหารได้ในจังหวะเหมาะเจาะ”


ไอคานส์เริ่มกระจ่าง


“คุณกำลังหมายความว่า หนึ่งในคนใกล้ชิดของดยุคนีแกนคือผู้สมรู้ร่วมคิดกับผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย?”


เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น คนร้ายย่อมไม่มีทางทราบกิจวัตรประจำวัน ซึ่งถือเป็นความลับสุดยอดของดยุคแกนได้แน่!


และถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ‘ปฏิบัติการ’ ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จอย่างราบรื่น!


“ผมบอกได้เพียงว่า นั่นคือความเป็นไปได้สูงสุดในปัจจุบัน แต่พวกเรายังไม่ตัดประเด็นการครอบครองพลังหรือสมบัติวิเศษเกี่ยวกับเส้นทางพยากรณ์ออกไป” โซสต์ไม่อธิบายยืดยาว เพียงออกคำสั่งให้เหยี่ยวราตรีกลุ่มสองตามไปสมทบถุงมือแดงชุดก่อนหน้า เผื่อว่าอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น


ด้วยใบหน้าสุขุม ไอคานส์นำทีมจิตแห่งจักรกลตรงไปยังบ้านของภรรยาลับทันที


ระหว่างทาง มันแหงนมองดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าด้วยสีหน้าตึงเครียด ไอคานส์มั่นใจมากว่า เหตุการณ์ในวันนี้จะทำให้สถานการณ์ทั่วกรุงเบ็คลันด์ ทั่วอาณาจักรโลเอ็น หรือแม้กระทั่งทั่วโลก เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงชนิดไม่มีวันหวนกลับ



ท่ามกลางทางระบายน้ำอันมืดมิด เงาดำกำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงไปยังทิศทางหนึ่ง ในลักษณะชิดขอบล่างของผนังหิน


เมื่อประเมินว่าศัตรูสวมเกราะหนักรุ่มร่าม มันจึงชิงความได้เปรียบด้วยการหลบหนีเข้าไปในซอกหลืบคับแคบ เพื่อให้ยากต่อการไล่ตาม จนกระทั่งอีกฝ่ายยอมถอดใจไปเอง


ทุกครั้งเมื่อเงาดำเคลื่อนไหวเป็นระยะทางจำนวนหนึ่ง มันจะหยุดนิ่งสักพัก


จากนั้น เงาดำทำการยืดตัวขึ้นจากพื้นหินคล้ายกับพยายามสร้างร่างเนื้อขึ้นมาใหม่ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ อาจเป็นเพราะขาดแคลนวัสดุ ผลลัพธ์จึงออกมาล้มเหลว


ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเริ่มหายใจหอบ สมองกำลังตระหนักว่า หากตนอยู่ในสภาพนี้ต่อไป อีกไม่นานคงได้คลุ้มคลั่งแน่นอน


หลังจากหยุดพักหายใจ มันรีบเผ่นหนีต่อด้วยความเร็วสูงสุด ไม่กล้าเสี่ยงเสียเวลาขจัดปัญหาหนึ่ง และต้องไปเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่กว่าเดิมแทน ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายกำลังกังวลว่าสัตว์ประหลาดเกราะเงินเปื้อนเลือดตนนั้นอาจไล่ตามมาทัน



ณ ห้องพักภายในสโมสรครักซ์ ไคลน์หยิบหนังสือพิมพ์ปึกใหญ่พร้อมกับเดินเข้าห้องน้ำ


มันกำลังกังวลว่าผู้ปลดปล่อยแรงกระหายจะหลบหนีสำเร็จ และจะทำให้อนาคตของตน ไอเซนการ์ด คาสลาน่า และนักสืบไร้เดียงสาคนอื่นต้องตกอยู่ในอันตราย ดังนั้น ชายหนุ่มจึงส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก เพื่อทำนายถามถึงสถานการณ์ปัจจุบันของผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย จะได้วางแผนรับมือได้อย่างถูกต้องเหมาะสม


หลังจากทำตามขั้นตอนเดิม—สร้างร่างปลอมด้วยกระดาษคน ไคลน์นำพาตัวเองมานั่งลงบนเก้าอี้ของเดะฟูล เสกผ้าเช็ดหน้ามายาของเจสัน·บีเลียล และทำนายถึงตำแหน่งปัจจุบันของอีกฝ่าย


ท่ามกลางโลกสีเทาพร่ามัว ไคลน์มองเห็นทางระบายน้ำอันมืดมิด เห็นเงามีชีวิตพยายามสร้างร่างเนื้อของตัวเองขึ้นมาใหม่ แต่ก็ล้มเหลวอยู่ร่ำไป รวมถึงเห็นละอองสีดำขนาดเล็กเริ่มหลุดร่วงจากร่างกายมันทีละนิด


ฉากในนิมิตลอยสูงขึ้นจนกระทั่งพ้นผิวดิน เผยให้เห็นมหาวิหารหลังใหญ่แห่งหนึ่ง


มหาวิหารวายุศักดิ์สิทธิ์…


ไคลน์ลืมตาขึ้นพร้อมกับเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายทันที


คนร้ายยังไม่ถูกจับตัว แต่กำลังได้รับบาดเจ็บสาหัส…อาการปัจจุบันเข้าขั้นเลวร้ายและเต็มไปด้วยความไม่ปรกติ!


กระเป๋าเดินทางไม่อยู่…คงทำหล่นระหว่างทางขณะหนี และนั่นคงเป็นต้นตอของอาการบาดเจ็บด้วยเช่นกัน…


ไคลน์นั่งประเมินสถานการณ์สักพัก สมองกำลังจินตนาการแผนผังของกรุงเบ็คลันด์จากความทรงจำ


เพียงไม่นาน มันเริ่มจินตนาการเส้นทางระบายน้ำภายในกรุงเบ็คลันด์ออก


ในฐานะผู้มีเหตุให้ต้องใช้งานทางระบายน้ำบ่อยครั้ง ชายหนุ่มจึงคอยรวบรวมข้อมูลไว้อย่างเสมอ โดยส่วนมากมักเป็นเส้นทางในเขตตะวันออก เขตสะพานเบ็คลันด์ และย่านใกล้กับเขตเชอร์วู้ดทั้งหมด หลังจากพยายามศึกษาด้วยตัวเองอย่างละเอียดอยู่หลายสัปดาห์ ไคลน์ได้ทราบโครงสร้างอย่างคร่าวของทางระบายน้ำ อย่างไรก็ตาม ถ้าต้องการเข้าถึงรายละเอียดของเส้นทางทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ เกรงว่าต้องใช้เวลาและความอดทนเป็นอย่างมาก แต่ไคลน์เคยคิดวิธีลัดเผื่อไว้แล้ว นั้นคือการลอบเข้าไปในสำนักงานเทศบาลเมืองเบ็คลันด์และแอบดูแผนผังทางระบายน้ำตัวเต็ม


ฉากในนิมิตเมื่อครู่ ไคลน์ค่อนข้างมั่นใจว่าผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย เจสัน·บีเลียล มิได้กำลังหนีไปทางแม่น้ำทัสซอค ตรงกันข้าม มันกำลังหนีไปยังเขตฮิลสตัน อาจมีเป้าหมายเป็นทะเลสาบเทียมในเขตราชินี


หรือในอีกความหมายหนึ่ง มันกำลังเข้ามาใกล้เราทุกขณะ… สมองไคลน์กำลังประมวลผลอย่างหนัก จนเริ่มผุดแนวคิดใหม่


เราอาจไม่ทราบว่ามันเลือกหนีด้วยทางระบายน้ำเส้นใด แต่ก็สามารถระบุตำแหน่งภายหลังด้วยเทคนิคทำนายแท่งวิญญาณได้… อีกฝ่ายบาดเจ็บหนัก แถมยังอยู่ในสภาพไม่ปรกติ คงเหลือฤทธิ์แทรกแซงพลังทำนายไม่มากแล้ว หากอยู่ใกล้กัน เรามั่นใจว่าสามารถพบตัวมันได้ไม่ยาก เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เราเคยเผชิญหน้ากับมันโดยตรงมาแล้ว รวมถึงยังจำกลิ่นออร่าได้แม่นยำ… และถ้าเป็นการตามหาคน ไม่มีใครชำนาญไปกว่านักทำนายอย่างเราอีกแล้ว… ปล่อยไว้ไม่ได้! เราต้องทำอะไรสักอย่าง! เรายังมีโอกาส!


เมื่อยืนยันระดับอันตรายของภารกิจเสร็จ ไคลน์ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริงพร้อมกับตัดสินใจหนักแน่น


ชายหนุ่มนำเทียนไขออกมาวาง รีบตั้งแท่นบูชาขึ้นอย่างง่าย ประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง และเข้าสู่ห้วงมิติเพื่อตอบสนองตัวเองเสร็จสรรพ


ถัดมาไม่นาน วิญญาณตนหนึ่งได้ปรากฏกายในห้องน้ำของห้องพักสโมสรครักซ์ สวมมงกุฎและชุดเกราะสีดำ ผ้าคลุมสีเดียวกัน ไม่ใช่ใครนอกจากไคลน์ในร่างวิญญาณและพกพาไพ่จักรพรรดิมืด


คราวนี้มันตัดสินใจเพิ่มสมบัติวิเศษชนิดอื่นติดตัวมาด้วย เช่นเข็มกลัดสุริยันและขวดพิษชีวภาพ เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในภารกิจ


ชายหนุ่มเดินทางออกจากสโมสรครักซ์โดยปราศจากความลังเล


ไคลน์ในร่างปัจจุบันสามารถบินได้ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง และไม่เกิดสายลมกระโชกตามหลัง เพราะเป็นแค่ร่างวิญญาณ


ทันใดนั้น มันพุ่งตัวใส่ต้นไม้ต้นหนึ่งและฉกกิ่งไม้แห้งติดมือมาด้วยหนึ่งก้าน


สิ่งนี้จะถูกใช้งานต่างแท่งวิญญาณ


เนื่องจากเคยเผชิญหน้าเจสัน·บีเลียลโดยตรง มีข้อมูลจากนิมิตทำนาย และยังมีผ้าเช็ดหน้าของเจสันเป็นสื่อกลาง ไคลน์สามารถทำนายระบุตำแหน่งของอีกฝ่ายได้ด้วยเทคนิคแท่งวิญญาณ


หลังจากนำพาร่างวิญญาณเข้าไปในจุดมืดมิดและเหม็นอับ ไคลน์ใช้ความเร็วสูงสุดซิกแซกผ่านทางระบายน้ำคับแคบเส้นแล้วเส้นเล่า จนกระทั่งมาถึงบริเวณหนึ่งซึ่งเป็นทางน้ำและมีทางเดินสองฝั่งค่อนข้างกว้าง


สายน้ำสีดำเข้มยังคงไหลเอื่อย ท่ามกลางกลิ่นเหม็นตลบอบอวลผสมผสานกับอากาศ ไคลน์หักเลี้ยวอย่างต่อเนื่องพลางทำนายถามถึงทิศทางของเจสัน·บีเลียล



ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเอาตัวรอดจากอาการคลุ้มคลั่งมาได้อีกครั้ง มันรีบเคลื่อนตัวหลบหนีการตามล่าจากสัตว์ประหลาดเกราะสีเงินเป็นระยะ จนกระทั่งหยุดพักหายใจและใช้เงาดำพิงกับผนังหินเย็นเฉียบ ขณะเดียวกันก็ฝืนสะกดจิตสังหารฆ่าฟันไว้อย่างเต็มกลืน


แฮ่ก! แฮ่ก!


เงาดำแผ่นบางเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง


แต่ทันใดนั้น มันพลันชะงักและตัดสินใจหันหลังกลับไปมองในจุดเดิมของตน


มุมสายตาเหลือบเห็นวิญญาณสวมเกราะและมงกุฎสีดำสนิท กำลังยืนจ้องกลับมาด้วยกิริยาท่าทางองอาจ


ด้านหลังร่างวิญญาณ ผ้าคลุมสีดำเริ่มขยับแผ่วเบาตามจังหวะการเคลื่อนไหวของเท้า



“มันอยู่ไม่ไกล!”


บุคคลในชุดเกราะสีเงินเปื้อนเลือดส่งตัวเองผ่านปากท่อระบายน้ำ ก่อนจะไต่บันไดเหล็กลงมาถึงด้านล่าง


……………………


ราชันเร้นลับ 427 : ทางเลือกแห่งกาลเวลา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ท่ามกลางบรรยากาศมืดสนิท สายน้ำสีดำในทางระบายน้ำกำลังไหลอย่างต่อเนื่อง หากบุคคลทั่วไปต้องการเดินสำรวจ อุปกรณ์ซึ่งจะขาดไม่ได้เลยคือตะเกียงสำหรับมอบแสงสว่าง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางมองเห็นสิ่งใด


แต่สำหรับไคลน์ในร่างวิญญาณ ความมืดมิดรอบตัวมิได้ถือเป็นอุปสรรค ทุกสิ่งถูกฉายให้เห็นอย่างแจ่มชัด


ดังนั้น ขณะถูกผู้ปลดปล่อยแรงกระหายพบตัว มันเองก็มองเห็นอีกฝ่ายเช่นกัน


ไคลน์ไม่เสียเวลาเปลืองน้ำลาย รีบอ้าปากกว้างพร้อมกับแผดเสียงหวีดความถี่ต่ำซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดได้ยิน


นี่คือพลังโจมตีของร่างวิญญาณ เป็นการสร้างความเสียหายต่อดวงวิญญาณเป้าหมายโดยตรง


ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายพลันชะงัก ประหนึ่งถูกกำปั้นใครบางคนชกใส่อย่างจัง


สสารสีดำคล้ายเงาเริ่มหลุดลอกออกจากร่างกายเป็นแผ่นบาง ราวกับอารมณ์ในส่วนลึกของจิตใจมนุษย์กำลังผุกร่อนทีละนิด


ผ่านไปไม่กี่วินาที ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายซึ่งบาดเจ็บหนักเป็นทุนเดิม เริ่มแสดงอาการโซเซคล้ายกับใกล้หมดสติ


เนื่องจากปราศจากร่างเนื้อคอยค้ำจุน มันจึงมีสภาพเหมือนกับเทียนไขท่ามกลางพายุกระโชก ทำได้เพียงวูบวาบไปตามกระแสลมพัดพา จะดับลงตอนไหนไม่มีใครทราบชะตากรรม


จนกระทั่ง เงาดำเริ่มกระจัดกระจายไปคนละทิศทางอย่างไร้เป้าหมาย ไคลน์ไม่มีทางทราบเลยว่าตนต้องไล่ตามไปยังทิศทางใด


ขณะเดียวกัน เงาดำกลุ่มหนึ่งพลันผุดขึ้นจากพื้นหินของทางระบายน้ำในจุดบอดด้านหลังร่างวิญญาณไคลน์ ตามด้วยการกระโจนโจมตีเข้าใส่ชายหนุ่มโดยอาศัยมุมอับสายตา


ในความเป็นจริง ของเหลวสีดำซึ่งแตกตัวไปคนละทิศทางเมื่อครู่ เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับสร้างความสับสนของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเท่านั้น หลังจากนี้จึงค่อยเป็นการลอบโจมตีทีเผลอของจริง!


ไคลน์ยังคงยืนนิ่ง ไม่มีท่าทีตอบสนองต่อการโจมตีจากด้านหลังเลยสักนิด ปล่อยให้เงาดำของศัตรูพุ่งใส่ร่างกายอย่างไร้การป้องกัน


ทว่า ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายกลับแสดงอาการสั่นเทากะทันหัน ประหนึ่งเผลอสัมผัสเข้ากับวัตถุเย็นจัดโดยปราศจากเครื่องมือป้องกัน


การเคลื่อนไหวของเงาดำช้าลงอย่างชัดเจน อาการคล้ายกับกำลังตกอยู่ในสภาวะ ‘ถูกแช่แข็ง’ ฉับพลัน


แน่นอน ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายย่อมทราบว่าสิ่งมีชีวิตจำพวก ‘วิญญาณอาฆาต’ มักมีพลังทำให้เกิดความรู้สึกเย็นจัด


แต่มันคาดไม่ถึงว่าพลังแช่แข็งของบุคคลสวมเกราะและมงกุฎสีดำ จะมีอำนาจมากพอจนทำให้ตน ผู้อยู่ในร่างกึ่งวิญญาณ ประสบอาการแข็งทื่ออย่างกะทันหันได้เช่นนี้


คำอธิบายสำหรับทฤษฎีนี้ก็คือ ร่างวิญญาณของไคลน์มี ‘ระดับตัวตน’ สูงกว่าผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย จึงทำให้เกิดภาวะแช่แข็งต่อร่างกึ่งวิญญาณโดยไม่มีข้อยกเว้น


ไคลน์ซึ่งมองออกตั้งแต่แรก กำลังรอคอยโอกาสนี้มาตลอด ชายหนุ่มรีบหันหลังกลับพลางเหยียดแขนขวาออกไปคว้า ‘ศีรษะ’ ของเงาดำซึ่งกำลังทำตัวแข็งทื่อ


พร้อมกันนั้น เข็มกลัดสุริยันซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้ชุดเกราะ เริ่มส่องแสงสีขาวสว่างวาบ


ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายพลันตระหนักถึงอันตรายร้ายแรง และทราบว่าความฉิบหายกำลังย่างกรายเข้าหาตน มันพยายามขัดขืนอย่างสุดกำลัง เพียงแต่ไม่ประสบความสำเร็จ


ไม่กี่อึดใจถัดมา เสาลำแสงสีขาวโพลนปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าด้านบนเพดานทางระบายน้ำ สาดทอดลงมายังกลุ่มก้อนเงาดำในมือไคลน์อย่างถ้วนทั่ว


ขณะบรรยากาศรอบตัวเริ่มสว่าง เงาดำกำลังดิ้นรนทุรนทุรายด้วยพลังเฮือกสุดท้าย แต่ก็มิอาจหยุดการระเหยของร่างกายตัวเองได้สำเร็จ ภายในไม่กี่วินาที เงาดำหดลีบลงจากขนาดในตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด วิญญาณของมันกำลังชุ่มฉ่ำไปด้วยประกายแสงระยิบระยับ ฝ่ายมือไคลน์เริ่มสัมผัสถึงเสียงหวีดร้องเจือความสาปแช่งจากด้านใน


ชายหนุ่มไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พักหายใจ แสงศักดิ์สิทธิ์แสนบริสุทธิ์อีกหนึ่งระลอกฉายซ้ำลงมาจากด้านบนอย่างต่อเนื่อง


เมื่อบรรยากาศคล้ายยามเที่ยงตรงผ่านไปราวสองสามวินาที ไคลน์ตัดสินใจปล่อยมือจากศีรษะเงาดำ ซากสุดท้ายของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายร่วงหล่นลงพื้นหินโดยปราศจากแรงต่อต้านหรือสัญญาณของการมีชีวิต


ร่างของมันอยู่ในสถานะเงาดำจนถึงวาระสุดท้าย หากไม่บอกก็คงไม่มีใครทราบว่าสิ่งนี้เคยเป็นเจสัน·แพทริค·บีเลียลมาก่อน


ลำดับ 5 ผู้สำเร็จภารกิจลอบสังหารดยุคคนสำคัญของอาณาจักร จบชีวิตลงโดยไม่มีโอกาสแม้จะกล่าวคำสั่งเสีย


ขณะเดียวกัน ไคลน์มองเห็นเศษเสี้ยวดวงวิญญาณอันเจือจางของอีกฝ่าย คงเป็นผลมาจากการถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง ลักษณะจึงคล้ายกับใกล้สลายตัวเต็มที


ต้องใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าตะกอนพลังจะควบแน่นเป็นก้อน…หรือเราควรเลียนแบบเทคนิคของมาดามชารอน? เข้าไปสิงในเงาดำเพื่อเร่งอัตราการเกิดปฏิกิริยาสร้างตะกอน…แต่เราทำไม่เป็นสักหน่อย ไม่เคยลองทำเลยสักครั้งเดียว…


ไคลน์เริ่มวางแผนขั้นตอนถัดไป


ทันใดนั้น ชายหนุ่มพลันตระหนักว่าพื้นหินของทางระบายน้ำกำลังสั่นสะเทือนหนักหน่วง


อาศัยสัมผัสวิญญาณนำทาง ไคลน์รีบหันหลังกลับไปมองยังจุดเดิมซึ่งตนเคยเดินผ่านมาในตอนแรก


ชุดเกราะสีเงินตัวใหญ่ มองผิวเผินเหมือนกับมีน้ำหนักมาก กำลังวิ่งตรงมายังจุดปัจจุบันของตน จากหัวไหล่ซ้ายถึงช่องท้องกลางลำตัว คราบเลือดสีแดงเกรอะกรังปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด


สมบัติปิดผนึก 1-42…


หัวใจไคลน์พลันเจ็บแปลบประหนึ่งถูกบีบแน่น โดยปราศจากความลังเล ชายหนุ่มรีบคว้า ‘วิญญาณ’ ของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายติดมือและเพ่งจิตสิ้นสุดพิธีกรรมอัญเชิญ


แผนการของไคลน์คือ หากเผชิญหน้ากับหน่วยพิเศษเมื่อใด จะต้องรีบสิ้นสุดพิธีกรรมทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข แม้ว่าจะยังจัดการกับคนร้ายไม่ได้ก็ตาม มันเชื่อว่าหน่วยพิเศษคงมีวิธีรับมือผู้ปลดปล่อยแรงกระหายอยู่แล้ว


‘ถุงมือแดง’ ผู้สวมชุดเกราะสีเงินเปื้อนเลือดเกรอะกรัง กำลังจ้องเขม็งมายังร่างของบุคคลปริศนาสวมมงกุฎและชุดเกราะสีดำ อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายกำลังเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอยให้ไล่ตาม


บุคคลสวมเกราะเงินหรี่ตาลงพลางสำรวจในจุดดังกล่าว จนกระทั่งพบกับ ‘ซาก’ ของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายซึ่งไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว


“ฆ่าปิดปากและทำลายหลักฐานหลังจากเสร็จงาน?” มันพึมพำเสียงค่อย


กึก! กึก! กึก!


หน่วยถุงมือแดงทยอยวิ่งตามมาถึงในจุดเกิดเหตุคนแล้วคนเล่า



หลังจากส่งตัวเองกลับถึงห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา ไคลน์ไม่รีบร้อนสื่อวิญญาณ ตรงกันข้าม มันห่อหุ้มพลังวิญญาณและนำพาสติกลับสู่ห้องน้ำภายในสโมสรครักซ์


ชายหนุ่มรีบเก็บเทียนไขและทำลายร่องรอยของพิธีกรรมจนหมดจด เพียงไม่นาน เบาะแสสุดท้ายซึ่งสามารถสาวมาถึงตน ได้ถูกลบออกไปจากโลกเป็นการถาวร


เมื่อเก็บกวาดเสร็จสิ้น ไคลน์ลงมือทำซ้ำขั้นตอนเดิม สร้างร่างปลอม เดินถอยหลังทวนเข็มสี่ก้าว ส่งจิตขึ้นไปยังพระราชวังหรูหรา


ด้วยอำนาจของมิติแห่งนี้ มิสเตอร์ฟูลสามารถสื่อวิญญาณกับเป้าหมายได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านพิธีกรรมหรือได้รับความช่วยเหลือจากใคร เทคนิคดังกล่าวเคยถูกใช้กับนักเชิดหุ่น โรซาโก้ ในเหตุการณ์ก่อนหน้าไปแล้ว


เมื่อประเมินว่าดวงวิญญาณของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายถูกแสงชำระล้างจนใกล้เลือนหาย ไคลน์รีบคิดชุดคำถามเพื่อรีดข้อมูลสำคัญออกมาให้ได้มาก


ในส่วนของสูตรโอสถเส้นทางปีศาจ เมื่อลองไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน มันตัดสินใจปล่อยผ่าน เพราะไคลน์ประเมินว่า ถึงตนจะมีสูตรโอสถ ก็คงไม่คิดขายทอดตลาด การเพิ่มจำนวนฆาตกรเลือดเย็นคงไม่ใช่เรื่องดี


ขณะนั่งจ้องร่างมายาของบุรุษผมน้ำตาลเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลล่องลอย ชายหนุ่มซักถามพลางแผ่พลังวิญญาณของตนเข้าไปหา


“แกวางแผนอะไรไว้”


เนื่องจากวิญญาณของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์ด้วยอำนาจของห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา คำตอบของมันจึงไม่ได้ถูกกลั่นกรองผ่านสมอง เป็นเพียงการถามตอบอย่างซื่อตรงปราศจากอำนาจแทรกแซง


“ลอบสังหารดยุคนีแกน”


ดยุคนีแกน…อีกแล้วหรือ?


ใครมันอยากให้เขาตายนัก?


ไคลน์หรี่ตาลง ซักถามเสียงเรียบ


“แล้วสำเร็จไหม”


“สำเร็จ” ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายตอบอย่างใจเย็นและสั้นกระชับ ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติมนอกเหนือจากนั้น


ในสภาพปัจจุบัน คำตอบจะออกมาจากจิตใต้สำนึกในส่วนลึก บทสนทนาจึงเป็นการถามมาตอบไป


ดยุคนีแกนผู้น่าสงสาร แม้แต่เทพวายุสลาตันก็ช่วยไม่ไหว…


ไคลน์วาดสัญลักษณ์จันทร์แดงกลางหน้าอกจำนวนสี่จุด


โดยไม่มัวเสียเวลาถามถึงรายละเอียดการลอบสังหาร มันรีบเข้าประเด็น


“ใครเป็นผู้บงการ”


จะใช่องค์กรเดียวกับผู้บงการพลเรือโทแห่งวายุ คีลิงเกอร์ หรือไม่?


ไคลน์หวนนึกถึงคดีพยายามลอบสังหารดยุคนีแกนเมื่อครั้งอดีต


ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายตอบเสียงเรียบ


“องค์กรลับแห่งหนึ่ง นับเป็นกลุ่มคนเก่าแก่และถือครองความลับไว้มากกว่าขั้วอำนาจฝ่ายใดทั้งหมดบนโลก ผู้วิเศษส่วนใหญ่มักไม่ทราบถึงการมีอยู่ของพวกเขา กล่าวกันว่า สมาชิกขององค์กรล้วนเป็นบุคคลสำคัญของโลกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทรงอิทธิพลภายในเจ็ดโบสถ์หลัก หรือแม่ทัพใหญ่ประจำกองทัพของทุกอาณาจักร”


ทำไมเราถึงได้คุ้นนัก… หรือจะเป็นองค์กรลับเดียวกับจักรพรรดิโรซายล์? องค์กรลับโบราณผู้ถือครองศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง?


สมองไคลน์เริ่มทำงาน


“แล้วแกจะได้รับรางวัลตอบแทนเป็นสิ่งใด ถึงกับยอมทิ้งตัวตนซึ่งพยายามสร้างมานานหลายสิบปีในชั่วข้ามคืน”


น้ำเสียงของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเปลี่ยนไปเล็กน้อย


“ไพ่เย้ยเทพ…ไพ่นรก!”


ไพ่เย้ยเทพ? ไพ่นรก หนึ่งในไพ่ยี่สิบสองใบของจักรพรรดิโรซายล์! คงเป็นของเส้นทางปีศาจไม่ผิดแน่ เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้ปลดปล่อยแรงกระหายถึงยอมสละทุกสิ่งเพื่อให้ได้มาครอง…ไพ่ดังกล่าวมีอำนาจมากพอจะทำให้ผู้วิเศษคนหนึ่งไปถึงลำดับสูงได้ไม่ยาก!


ของรางวัลมีมูลค่ามหาศาลยิ่งกว่าเนื้อหาของภารกิจเสียอีก!


ทว่า ในกรณีของคีลิงเกอร์ ของรางวัลไม่น่าจะเป็นไพ่เย้ยเทพเหมือนกัน นอกเสียจาก… นอกเสียจากองค์กรดังกล่าวจะมีไพ่เย้ยเทพในเส้นทางผู้รับใช้วายุด้วย…องค์กรเดียวจะถือไพ่เย้ยเทพไว้ในมือมากขนาดนี้เชียวหรือ…


แต่ถ้าเป็นองค์กรเดียวกับโรซายล์ โอกาสครอบครองไพ่เย้ยเทพติดมือสักสองสามใบคงไม่ใช่เรื่องยาก…หรือต่อให้ไม่มี แต่พวกมันก็ถือครองศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองไว้ในมือ…


ไคลน์เริ่มไม่เข้าใจ จึงถามกลับไปอย่างฉงน


“ทำไมพวกเขาถึงต้องการฆ่าดยุคนีแกน”


ดวงวิญญาณของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเริ่มเจือจางอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงของมันกำลังล่องลอย


“ไม่ทราบ ฉันแค่ต้องตัดสินใจว่าจะรับทำภารกิจหรือไม่เท่านั้น”


“จุดประสงค์ขององค์กรดังกล่าวคือสิ่งใด” ไคลน์เริ่มถามจี้


น้ำเสียงของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเริ่มแผ่วเบาลงทุกขณะ


“เคยได้ยินมาว่า พวกเขาต้องการคืนชีพ หรือไม่ก็ปลุกพระผู้สร้างให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง บทบาทของพวกเขาคือการแทรกแซงประวัติศาสตร์โลก เปลี่ยนให้ผลลัพธ์เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายตัวเอง อนาคตจะได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ขององค์กร หากกระแสของเวลาเริ่มออกนอกลู่ทางหรือไม่ตรงตามความต้องการ พวกเขาจะย้อนเวลากลับไปยังจุดผลิกผันสำคัญในอดีต นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีเป้าหมายอื่นอีก เพียงเฝ้ามองโลกอย่างเงียบงัน เฉื่อยชา และไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว บางที พวกเขาจะไม่ออกคำสั่งใดเลยตลอดหลายสิบปีหรือหลายร้อยปี หากกระแสเวลาไหลไปตามความต้องการอย่างราบรื่น…”


องค์กรลับของแท้… คำอธิบายค่อนข้างตรงกับองค์กรลับของโรซายล์ :


องค์กรลับผู้คอยชักใยโลกอยู่เบื้องหลัง…


และดูเหมือนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระผู้สร้างต้นกำเนิดเสียด้วย…


เมื่อเห็นดวงวิญญาณของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายใกล้สลาย ไคลน์เร่งมือถาม


“องค์กรดังกล่าวชื่ออะไร? แล้วแกติดต่อกับพวกเขาด้วยวิธีไหน?”


ร่างมายาของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายจ้องมองมาทางไคลน์อย่างไรอารมณ์ ในวินาทีนี้ ร่างของมันเลือนรางจนใกล้คงสภาพไว้ไม่อยู่


แต่ก่อนจะหายไปอย่างสมบูรณ์ มันเปล่งเสียงตอบเป็นการสั่งลา


“พวกเขาเรียกตัวเองว่า…สภานักสิทธิ์สนธยา”



ณ บ้านพักซึ่งมีเรือนกระจกหน้าทางเข้า


เลขารูปร่างผอมเพรียว สวมแว่นตากรอบทองและถุงมือสีขาว กำลังนั่งนิ่งด้วยสีหน้าหดหู่และตำหนิตัวเอง


“คุณชื่ออะไร ลำดับเท่าไร และอยู่บนเส้นทางใด” อาวุโสไอคานส์ซักถามเสียงเรียบ


เลขาผมทองตอบอย่างเชื่องช้า


“ล็อกฮาร์ต·เซียคัม ลำดับ 5 ถ้าอยากทราบว่าผมอยู่บนเส้นทางใด สามารถตรวจกับบัญชีกำลังพลของ MI9 ได้ทุกเมื่อ”


“ตกลง” ไอคานส์ซักถามต่ออีกเล็กน้อย “ท่านดยุคมีกำหนดเดินทางมายังบ้านหลังนี้แบบตายตัวหรือไม่”


“ไม่ ท่านไม่ชอบเดินทางเป็นแบบแผน โดยเฉพาะหลังจากถูกคีลิงเกอร์พยายามลอบสังหาร ก่อนจะถึงวันนี้ ไม่มีใครทราบว่าท่านจะมายังบ้านหลังนี้แม้แต่คนเดียว กระทั่งผมก็ยังได้ทราบเมื่อเข้า ภายในรัฐสภา” ล็อกฮาร์ต·เซียคัมตอบเสียงขรึม


ไอคานส์ครุ่นคิดเล็กน้อย


“ถ้าจะมีใครสักคนในพวกคุณเป็นหนอนบ่อนไส้ คุณคิดว่าเป็นใคร”


ล็อกฮาร์ตก้มหน้าตรึกตรองหลายวินาที ก่อนจะส่ายหัวแผ่วเบาโดยไม่ส่งเสียง


ไอคานส์พยายามสอบถามรายละเอียดการต่อสู้จนเริ่มเห็นภาพรวมของเหตุการณ์


เนื่องจากอาการบาดเจ็บของล็อกฮาร์ตค่อนข้างหนัก ไอคานส์ขอตัวและเดินไปสอบปากคำเหล่าองครักษ์ของดยุคคนอื่นต่อ


เมื่อเห็นอาวุโสของจิตแห่งจักรกลเดินจากไปไกล ล็อกฮาร์ตพยุงตัวลุกยืน เดินกะเผลกตรงไปทางศพของดยุคนีแกน


ปัจจุบัน ศพขุนนางใหญ่แห่งอาณาจักรมิได้เปลือยเปล่าเหมือนตอนแรก แต่สีหน้ายังคงเผยความหวาดผวาอย่างแจ่มชัด


ล็อกฮาร์ตจ้องมองศพนีแกนด้วยสีหน้าเศร้ามอง พลางขยับปากพึมพำ


“ท่านดยุค ผมขอโทษ…”


ขณะกำลังหันหลังให้ทุกคน มุมปากของมันพลันยกโค้งอย่างมีเลศนัย


ล็อกฮาร์ตกล่าวเสริม :


นี่เป็นทางเลือกแห่งกาลเวลา…


……………………


ราชันเร้นลับ 428 : แพะรับบาป

โดย

Ink Stone_Fantasy

เขตตะวันตก อาคารหมายเลข 9 ถนนปรารถนา บ้านพักนายกรัฐมนตรี


อากัส·นีแกนกำลังนั่งบนเก้าอี้ทำงานนายกรัฐมนตรี สายตาจ้องมองเอิร์ลฮอลล์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


“ลอร์ดฮอลล์ เลขานุการของผมคงรายงานสถานการณ์เบื้องต้นให้ฟังไปบ้างแล้ว หลังจากเกิดเหตุ ผมก็รีบติดต่อคุณเป็นคนแรกทันที”


อากัส·นีแกน สมาชิกคนสำคัญของพรรคอนุรักษนิยม และยังเป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของอาณาจักร มีสีหน้าแววตาหม่นมองลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับแก่ขึ้นนับสิบปีภายในชั่วข้ามคืน ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ มันนั่งเอนตัวมาข้างหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง หากไม่มีสองแขนช่วยพยุงก็คงมิอาจทรงตัวไว้ได้


อย่างไรก็ตาม สายตานีแกนยังขึงขังเช่นเคย กิริยาท่าทางสุขุมเยือกเย็น


เอิร์ลฮอลล์ เจ้าของหนวดงามเหนือริมฝีปากบน ถอนหายใจและกล่าว


“ผมต้องขอแสดงความเสียใจกับข่าวร้าย เรื่องนี้ทำเอาใจหายไม่น้อยเช่นกัน ผมและท่านดยุคมีแผนจะหารือเกี่ยวกับร่างกฎหมายสำคัญในอีกไม่กี่วันข้างหน้า…”


ขุนนางใหญ่มาดสง่างาม ผู้สูญเสียความหล่อเหลาในวัยหนุ่ม โดยมีร่างกายอวบอ้วนและริ้วรอยร่องลึกเข้ามาแทน พฤติกรรมแรกของมันคือการแสดงความเสียใจ แสดงออกถึงความเจ็บปวดและเข้าอกเข้าใจ จากนั้นจึงกล่าวเข้าประเด็นโดยพยายามระงับอารมณ์


“ในเมื่อท่านดยุคได้จากพวกเราไปแล้ว ความเศร้าและอารมณ์โกรธแค้นคงไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น พวกเราต้องสุขุมและครองสติให้มั่น มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น หัวรถจักรใหญ่นามโลเอ็นจึงจะแล่นต่อไปได้โดยไม่ตกราง”


“นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมผมถึงได้ติดต่อคุณเป็นคนแรกหลังจากเกิดเรื่อง ขุนนางอื่นคงเอาแต่สวดภาวนาต่อองค์เทพ สั่นเทาด้วยความหวาดกลัว และแสดงออกถึงความโกรธแค้นต่อการจากไปของท่านพี่ คงไม่มีความเห็นอื่นนอกจากบอกให้จับตัวคนร้ายมาลงโทษอย่างสาสม และสอบปากคำถามหาตัวผู้บงการ พวกเขาคงเกิดคำถามในหัวมากมาย เช่น แม้แต่ท่านดยุคผู้ได้รับการอารักขาแน่นหนายังถูกลอบสังหาร แล้วพวกตนจะปลอดภัยได้อย่างไร”


นายกรัฐมนตรีอากัส·นีแกนกล่าวเสียงขรึม


“จริงอยู่ พฤติกรรมข้างต้นค่อนข้างสมเหตุสมผลและเข้าใจได้ แต่ผมไม่ต้องการ”


เอิร์ลฮอลล์พยักหน้ารับ ตามด้วยซักถาม


“ฆาตกรเป็นใคร? มีจุดประสงค์อันใด?”


“ปีศาจ มันแฝงตัวในคราบนายธนาคารมานานกว่าสิบปี เป็นปีศาจตัวจริงเสียงจริง ธนาคารบาร์วาร์ตของคุณเพิ่งฮุบกิจการของมันเมื่อไม่นานมานี้”


อากัส·นีแกนเล่าเสียงเรียบ


“เจสัน·แพทริค?” เอิร์ลฮอลล์เอ่ยชื่อของคนร้ายได้ทันที เพราะมันคือผู้ลงนามอนุมัติให้ธนาคารบาร์วาร์ตเข้าซื้อหุ้นกิจการธนาคารเล็กของเจสัน


นายกรัฐมนตรีอากัสกล่าวต่อไปโดยไม่ได้แวะตำหนิเอิร์ล


“มันคือผู้วิเศษลำดับ 5 ขายธุรกิจของตัวเองอย่างกะทันหัน ละทิ้งตัวตนนายธนาคารซึ่งสั่งสมชื่อเสียงมานานกว่าสิบปี เพียงเพื่อเสี่ยงทำภารกิจลอบสังหารพี่ชายของมัน แม้จะแทบไม่มีโอกาสสำเร็จเลยก็ตาม…เท่านี้ก็สามารถระบุได้แล้วว่า มันต้องมีขั้วอำนาจใหญ่หรือผู้บงการคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง แต่น่าเสียดาย คนร้ายเสียชีวิตระหว่างการหลบหนี แม้แต่วิญญาณก็ถูกช่วงชิงไปด้วย จากรายงานของทางเหยี่ยวราตรี ผู้ลงมือคือจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด”


“คุณกำลังจะบอกว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับองค์กรลับสุดยอด และทางรัฐบาลไม่สามารถสืบหาข้อมูลได้ภายในระยะเวลาสั้น?” เอิร์ลฮอลล์ซักถาม


“ถูกต้อง ผู้ถูกเรียกว่าจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดไม่ทิ้งเบาะแสใดไว้เลย พวกเราทำได้แค่สืบหาจากบุคคลซึ่งเคยติดต่อกับเจสัน·แพทริคในช่วงหลายเดือนหลัง อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนดังกล่าวจะกินเวลานานมาก และอาจไม่พบสิ่งใดเลย” อากัส·นีแกนอธิบายอย่างฉะฉาน


เอิร์ลฮอลล์เดินสองก้าวเพื่อขยับตัวเข้าไปใกล้ ตามด้วยการซักถามเสียงเบา


“ฝ่าบาทมีท่าทีเช่นไรกับเรื่องนี้”


“เสียพระทัย แต่ไม่มีความเห็นเพิ่มเติม” อากัสตอบกระชับ


เอิร์ลฮอลล์ขมวดคิ้ว ก้มหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ


“ถ้าอย่างนั้น เรื่องน่ากังวลในตอนนี้ไม่ใช่ผู้บงการเบื้องหลังนักฆ่า แต่เป็นจุดประสงค์แท้จริงของพวกมัน การตายของดยุคนีแกนทำให้ฝ่ายใดได้ประโยชน์? พวกมันต้องการจุดชนวนสงคราม? หรือต้องการเปิดประเด็นในดินแดนอาณานิคมอีกครั้ง? บางที พวกเราต้องบอกกับสาธารณชนว่า ผู้บงการเบื้องหลังเจสัน·แพทริคคือรัฐบาลของจักรวรรดิฟุซัค แน่นอน ต้องปลอมหลักฐานขึ้นมาให้แนบเนียน สร้างเรื่องราวอย่างสอดคล้องและสมเหตุสมผล ตลอดหลายร้อยปีหลัง เพื่อนบ้านทางเหนือรายนี้เคยก่อเรื่องในลักษณะดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง ทุกคนคงชาชิน จะมีอีกสักครั้งก็คงไม่น่าแปลก คงไม่มีใครเคลือบแคลงว่าคนเถื่อนของทางเหนือจะก่อความวุ่นวายจริงหรือไม่”


“และสาธารณชนก็จะหวาดกลัวพวกมัน” นายกรัฐมนตรีอากัสยกมุมปาก แต่มิได้มีเจตนายิ้มแย้ม “อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเราทำแบบนั้น ทางโลเอ็นจะตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบทันที หลังจากปฏิรูปการปกครองหลายเรื่องติดต่อกัน อาณาจักรเราจำเป็นต้องรออีกอย่างน้อยครึ่งปี จึงจะพร้อมเข้าสู่สภาวะสงครามเต็มตัว”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เอิร์ลฮอลล์พึมพำ


“ถ้าอย่างนั้น พวกเราต้องหาแพะรับบาปซึ่งทุกฝ่ายพึงพอใจ แต่จะให้เป็นจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดคงไม่เหมาะ เขาลึกลับและเต็มไปด้วยปริศนา อาจมีองค์กรใหญ่มากคอยหนุนหลัง ผู้คนจะยิ่งแตกตื่นและเสียขวัญถ้าได้ทราบข่าว ประชาชนมักหวาดกลัวปริศนาในเงามืดเสมอ”


“เห็นด้วย ถ้าอย่างนั้น เอาเป็นชุมนุมแสงเหนือดีไหม? พวกมันเพิ่งลงมือลอบสังหารไอ้โรคจิตจากอินทิสไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน หากคิดเหิมเกริมลงมือซ้ำก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก”


“เหมาะสม ชื่อเสียงของพวกมันเลวร้ายเป็นทุนเดิม ถูกตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์หลายฉบับในฐานะผู้ก่อการร้าย จนถึงขั้นมีนิยายหลายเรื่องนำไปอ้างอิงในทางชั่ว นอกจากนั้น การป้ายสีให้พวกมันยังจะเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล คดีลอบสังหารราชทูตอินทิสทำให้พวกเราเสื่อมเสียชื่อเสียงพอสมควร หลายฝ่ายถึงกลับกล่าวหาว่าเราเป็นผู้จ้างวานให้ชุมนุมแสงเหนือลงมือลอบสังหาร”


“ไม่เลว ในเมื่อพวกเราคิดจะกว้างล้างผู้ก่อการร้ายให้หมดไปอยู่แล้ว ก็ต้องฉวยโอกาสนี้ล้างบางเบ็คลันด์ให้สะอาดเอี่ยมไปพร้อมกัน เมืองหลวงไม่ควรมีบุคคลอันตรายมารวมตัวกันเป็นจำนวนมากเฉกเช่นในปัจจุบัน” อากัสเห็นพ้อง


“ไม่มีใครเหมาะจะรับบทผู้ร้ายไปมากกว่าชุมนุมแสงเหนืออีกแล้ว…เอาแบบนี้เป็นไง พวกเราใช้มันเป็นแพะรับบาปไปในช่วงแรกไปก่อน รอจนกระทั่งผ่านไปสักครึ่งปี เมื่อโลเอ็นพร้อมเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ ถึงตอนนั้น พวกเราจะแสร้งทำเป็นเปิดเผยข้อมูลการสืบสวน โดยระบุว่าผู้บงการให้ชุมนุมแสงเหนือลอบสังหารดยุคนีแกนคือรัฐบาลจักรวรรดิฟุซัค คงไม่มีใครเคลือบแคลงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ก่อการร้ายกับคนเถื่อนแดนเหนือแน่…”


เอิร์ลฮอลล์เว้นวรรคเล็กน้อย


“ไม่คิดว่าจะนำมาต่อยอดได้ขนาดนี้…”


โดยไม่มีความเห็นเพิ่มเติม อากัส·นีแกนลุกขึ้นยืนพร้อมกับขอตัว


“ผมต้องไปเข้าฝ่าบาทแล้ว”


เมื่อพูดจบ มันจ้องเอิร์ลฮอลล์


“คุณเองก็ควรห่วงความปลอดภัยไว้บ้าง พวกเรายังไม่ทราบเจตนาแท้จริงของผู้อยู่เบื้องหลัง ฮึ่ม! ทางโบสถ์วายุสลาตันตัดสินใจเปลี่ยนตัวอาร์ชบิชอปประจำมุขมณฑลเบ็คลันด์สักที! สเน็กไม่เคยมาทันช่วงเวลาสำคัญเลยสักครั้ง! สมกับเป็นสาวกของวายุสลาตัน มีแต่พวกหุนหัน เจ้าอารมณ์ และถูกคนร้ายจูงจมูกได้ง่าย!”


“อาจไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป ยกตัวอย่างเช่นลัวมี่ เขาฉลาดเป็นกรด” เอิร์ลฮอลล์เผยรอยยิ้มจืดชืด มือข้างหนึ่งทำสัญลักษณ์สี่จุดบนหน้าอก สื่อถึงพระจันทร์แดง “ขอบคุณสำหรับคำเตือน แต่ผมมีเทพธิดาคอยคุ้มครอง”



สภานักสิทธิ์สนธยา…แต่ชื่อก็กินขาด…


เมื่อกลับถึงโลกความจริง ไคลน์ยืนขึ้นพร้อมกับกดชักโครก


ชายหนุ่มเปิดประตูออกจากห้องโดยปล่อยให้เสียงน้ำวนดังตามหลัง สมองกำลังวิเคราะห์ข้อมูลใหม่ล่าสุด


มันเชื่อว่า สภานักสิทธิ์สนธยาคือองค์กรลับเก่าแก่ในความหมายเดียวกับโรซายล์ องค์กรซึ่งถือครองศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองไว้ในมือ


การลงทุนจ้างใครสักคนให้ลอบสังหารดยุคนีแกนเพียงเพื่อสร้าง ‘ประวัติศาสตร์’ อาจฟังดูเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ขณะเดียวกันก็สมเหตุสมผลไม่น้อย… เป้าหมายของพวกเขาคือการคืนชีพพระผู้สร้างต้นกำเนิด? ทฤษฎีดังกล่าวสอดคล้องประวัติศาสตร์ของเมืองเงินพิสุทธิ์มาก เดอะซันน้อยไม่เคยบอกว่าพระผู้สร้างต้นกำเนิดตายไปแล้ว มีเพียงการใช้คำว่าท่าน ‘ทอดทิ้ง’ ดินแดนไป เป็นเหตุให้ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ยังคงพยายามติดต่อกับ ‘ท่าน’ ผ่านพิธีกรรมอย่างไม่ละความพยายาม…


ไคลน์เดินวนเวียนในห้อง ปล่อยสมองให้ล่องลอยอย่างอิสระ


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ จนกระทั่งมันได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตู


ผู้มาเยือนมิใช่บริกรชายหรือสาวใช้ของสโมสรครักซ์ แต่เป็นบุรุษสวมแว่น คาร์ลเซ่น หนึ่งในสมาชิกจิตแห่งจักรกล ไคลน์เคยพบหน้ามาแล้วครั้งหนึ่งในบ้านของเจสัน


“คุณเข้ามาได้ยังไง?” ชายหนุ่มแสร้งถาม


เมื่อเห็นว่าไคลน์ยังอยู่ในห้อง คาร์ลเซ่นทำสีหน้าโล่งใจ มันมองไปรอบตัวหนึ่งหนเพื่อยืนยันว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ตามด้วยการยิ้มกว้างและเริ่มอธิบายสถานการณ์


“ในฐานะผู้วิเศษ พวกเราย่อมมีวิธีพิเศษอยู่เสมอ”


หืม เขาคงได้รับข่าวจากอาวุโสไอคานส์ว่าผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเสียชีวิตแล้ว จึงแวะเข้ามาหาเราเพื่อยืนยันตำแหน่ง…แต่ขณะเดียวกันก็หมายความว่า ‘กล’ ของเราแนบเนียนจนคนดูแยกไม่ออก ในเมื่อ ‘ร่างปลอม’ ในห้องน้ำไม่ถูกเปิดโปง เราจึงกลายเป็นลูกแกะในสายตาคนรอบข้าง…


ไคลน์แสร้งขมวดคิ้ว


“ดูจากท่าทางของคุณ คงมีข่าวดีมาบอกผมใช่ไหม?”


“ถูกต้อง เจสัน·แพทริค·บีเลียลถูกฆ่าตายแล้ว คุณจึงปลอดภัยและไม่จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองจากพวกเราอีก” คาร์ลเซ่นอธิบายอย่างซื่อตรง


ท่าทาของอีกฝ่ายทำให้ไคลน์เริ่มตระหนักว่า โอสถในร่างกายตนกำลังถูกย่อยด้วยความเร็วสูงผิดปรกติ


ชายหนุ่มทำหน้าประหลาดใจแกมโล่งอก


“แน่ใจแล้วใช่ไหม?”


“ไม่ผิดแน่” คาร์ลเซ่นยืนกราน


“เยี่ยมไปเลย!” ไคลน์โพล่งอย่างยินดี


คาร์ลเซ่นยังคงจ้องมองนักสืบหนุ่ม ก่อนจะกล่าวชมเชยด้วยใจจริง


“สัญชาตญาณนักสืบและความคิดเชิงตรรกะของคุณช่วยพวกเราได้มาก ท่านอาวุโสระบุว่า หากคดีนี้สิ้นสุดลง คุณจะได้รางวัลตอบแทนอย่างลับๆ เป็นเงินราวหนึ่งพันปอนด์”


หนึ่งพันปอนด์… ใจกว้างไม่เลว!


หืม แต่เมื่อลองเทียบกับทรัพย์สินของเจสัน ทั้งจากธนบัตรและอัญมณี ตีราคาอย่างต่ำก็คงไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นปอนด์ เงินจำนวนพันปอนด์มันออกจะ… ถ้าเราจำไม่ผิด มาดามแมรี ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทโคอิมและหนึ่งในคณะกรรมการมลพิษทางอากาศแห่งชาติ ก็คงมีทรัพย์สินรวมกันประมาณห้าหมื่นปอนด์กระมัง…


แต่ต้องไม่ลืมว่า เจสันใช้กลอุบายบางอย่างล่อลวงผู้ขับขานแห่งเทพออกไป บางที หนึ่งในเหยื่อล่ออาจเป็นเงินก้อนใหญ่ และถ้าเป็นเช่นนั้น เจสันจะเหลือเงินติดตัวขณะหลบหนีราวสองหมื่นปอนด์ แต่ก็ยังมหาศาลเมื่อเทียบกับหนึ่งพันปอนด์อยู่ดี ช่างน่าเศร้า… ไม่สิ เราจะคิดแบบนั้นก็ไม่ถูก ผู้สมรู้ร่วมคิดของเจสันอาจนำทรัพย์สมบัติทั้งหมดหนีไปพร้อมกันเพื่อความแนบเนียน…


ไคลน์ทั้งยินดีและผิดหวังในเวลาเดียวกัน


เมื่อได้ยินเกี่ยวกับรางวัล ชายหนุ่มเริ่มตระหนักอีกครั้งว่าการแสดง ‘กล’ ของตนประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม และเหลืออีกเพียงไม่กี่ก้าว โอสถก็จะถูกย่อยโดยสมบูรณ์


“เป็นงานของนักสืบอยู่แล้วครับ และยิ่งไปกว่านั้น คนร้ายกำลังคุกคามชีวิตผม” ไคลน์ฉีกยิ้มกว้าง


มันไม่กังวลว่าจะถูกผู้สมรู้ร่วมคิดของเจสันกลับมาล้างแค้น เพราะการแก้แค้นนักสืบเป็นเพียงกลอุบายของเจสันตั้งแต่แรก แต่ถึงอีกฝ่ายจะคิดอาฆาตจริง ตอนนั้นตนคงกลายเป็นลำดับ 6 เรียบร้อยแล้ว


คาร์ลเซ่นใช้ปลายนิ้วขยับกรอบแว่น


“เชอร์ล็อก คุณเองก็เป็นสาวกของพระองค์เหมือนกันใช่ไหม ทางเราต้องการสานสัมพันธ์อันดีด้วย ในอนาคต คุณสามารถปรึกษากับจิตแห่งจักรกลได้ทุกเรื่อง”


พวกเขาต้องการให้เราเป็นสายข่าวของจิตแห่งจักรกลสินะ… ไม่เลว มีช่องทางให้เบิกค่าเสียหายเพิ่มอีกแล้ว…


ไคลน์วาดสัญลักษณ์สามเหลี่ยมกลางหน้าอกและรีบขานรับ


“ด้วยความยินดี!”



เมื่อเป็นอิสระจากจิตแห่งจักรกล ไคลน์พักอยู่ในสโมสรครักซ์ลากยาวจนถึงอาหารมื้อค่ำ จึงค่อยเช่ารถม้ากลับมายังอาคารหมายเลข 15 ถนนมินส์


ชายหนุ่มเปิดกล่องจดหมายตรวจสอบตามปรกติ และได้พบจดหมายฉบับใหม่ไม่ติดตราไปรษณียากร


มาจากนักสืบไอเซนการ์ด ถูกสอดไว้ในตู้จดหมายหลังจากแวะมาเยี่ยมแต่ไม่พบใครในช่วงเย็น มีใจความดังนี้ :


“…ผมได้ยินสมมติฐานอันยอดเยี่ยมของคุณจากจิตแห่งจักรกลแล้ว ความหลักแหลมและรอบคอบของคุณช่างน่ายกย่อง หากคุณยังไม่เป็นผู้วิเศษ ผมเชื่อเหลือเกินว่าเส้นทางนักอ่านจะเหมาะสมกับคุณอย่างมาก ผมไม่เคยเห็นคนหนุ่มคนใดมีทักษะการอนุมานในระดับอัจฉริยะเท่าคุณมาก่อน!”



ปัจจุบัน ไคลน์กำลังยืนท่ามกลางเครื่องเรือนในห้องรับแขก สายตากวาดอ่านจดหมายของไอเซนการ์ดภายใต้แสงสว่างจากตะเกียงแก๊ส


ในคราวนี้ ‘กล’ ของเราไม่ได้พิเศษไปกว่าครั้งอื่น ออกจะน้อยไปด้วยซ้ำ เป็นการวิเคราะห์และมอบคำแนะนำ ผนวกกับการเล่นละครตบตาอีกเล็กน้อย…เพียงแต่ว่า ‘กล’ ในคราวนี้มีผู้ชมรู้เห็นเป็นจำนวนมาก และเกือบทั้งหมดก็อยู่ข้างกายเรา พวกเขาสามารถมอบคำชมเชยและปรบมือให้ได้โดยตรง…


ไคลน์ยืนถือกระดาษจดหมายพลางตรึกตรองเรื่องราวทั้งหมดอย่างใจเย็น


ชายหนุ่มหลับตาลง ดื่มด่ำไปกับสัมผัสใหม่ภายในร่างกายอย่างอิ่มเอม คล้ายกับมีบางสิ่งกำลังกระจัดกระจายด้วยความรู้สึกซาบซ่าน ยิ่งเวลาผ่านไป ดวงดาวจำนวนมากก็ยิ่งผุดขึ้นภายในสมอง ไคลน์ไม่รู้สึกถึงแรงดึงดูดจากหมู่ดาราสุกสว่างรอบตัวอีกต่อไป


เดือน 12 ปี 1349


โอสถนักมายากลถูกย่อยโดยสมบูรณ์


……………………


ราชันเร้นลับ 429 : แต่ละฝ่าย

โดย

Ink Stone_Fantasy

เสาตะเกียงริมถนนยามค่ำคืนช่วยฉายแสงให้เห็นพื้นถนนอันชุ่มฉ่ำ บางครั้งบางคราว น้ำในแอ่งจะสาดกระเซ็นจากกีบเท้าของรถม้าผ่านไปผ่านมา


เบ็คลันด์ตั้งอยู่ใจกลางอาณาจักรโลเอ็น ห่างจากทะเลโซเนียเพียงไม่กี่สิบกิโลเมตร ส่งผลให้มีฝนชุกตลอดทั้งปี อุณหภูมิสูงสุดในช่วงเดือนกรกฎาคมจะอยู่ราวยี่สิบแปดองศาเซลเซียส และต่ำสุดในฤดูหนาวคือสององศาเซลเซียส ถึงอุณหภูมิในเมืองจะลดต่ำกว่าศูนย์องศาไม่บ่อยครั้ง แต่ผู้คนก็มักได้ลิ้มรสอากาศเย็นจัดเกินทานทนอยู่เสมอ แม้กระทั่งชาวเหนือจากจักรวรรดิฟุซัค ผู้เคยชินกับสภาพอากาศอันเต็มไปด้วยน้ำแข็ง ในบางครั้งยังมิอาจทนต่อไอความเย็น ซึ่งทะลวงผ่านเสื้อผ้าอาภรณ์เข้ามากัดกร่อนจิตใจ


ไคลน์ยืนจ้องมองออกไปนอกมุขหน้าต่างอย่างเงียบงัน ภายในห้องมิได้จุดเตาผิงให้ความอบอุ่น ชายหนุ่มกำลังดื่มด่ำไปกับวิวทิวทัศน์อันปลอดโปร่งและสงบสุขด้านนอก ปล่อยให้ความผ่อนคลายแผ่ซาบซ่านเข้าไปในร่างกาย หัวใจ และวิญญาณ


หากรวบรวมวัตถุดิบครบและปรุงโอสถสำเร็จเมื่อไร ไคลน์ก็จะเลื่อนระดับกลายเป็นลำดับ 6 ผู้ไร้หน้า ในทันที


โอสถนักมายากลถูกย่อยสมบูรณ์แล้ว…ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายถูกเราจัดการโดยไม่มีโอกาสหลบหนี… ชุมนุมแสงเหนือยังคงตามหาเบาะแสของเดอะฟูลด้วยการพายเรือวนในอ่าง…นอกจากปัญหาการถูกตามล่าตัวของมิสเตอร์อะซิก และปัญหาในการรวบรวมวัตถุดิบโอสถของเรา เรื่องอื่นนับว่าดำเนินไปในทิศทางเหมาะสม…เราคงไม่ต้องเผชิญกับปัญหาไปอีกสักพัก…


ไคลน์เอนตัวไปข้างหน้าพลางสูดลมหายใจยาวอย่างมีความสุข สายตาจ้องมองหมอกหนาทึบด้านนอกด้วยจิตใจผ่องใส


สาเหตุให้ไคลน์ตัดสินใจเสี่ยงชีวิตลงไปจัดการกับผู้ปลดปล่อยแรงกระหายด้วยตัวเอง เพราะมันกังวลว่าอีกฝ่ายจะหลบหนีพ้นจากเงื้อมมือหน่วยพิเศษจากทางการ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง จะไม่มีใครสามารถรับประกันได้เลยว่า คนร้ายจะไม่กลับมาแก้แค้นผู้มอบเบาะแสสำคัญอย่างนักสืบเชอร์ล็อก จริงอยู่ มันอาจเป็นปีศาจเลือดเย็น สุขุม และไม่กล้าเสี่ยงชีวิตเพื่อแก้แค้นให้สัตว์เลี้ยง แต่การแก้แค้นให้ตัวเองนั้นเป็นคนละเรื่อง โดยเฉพาะกับนักสืบผู้ออกความเห็นสำคัญจนมันเกือบถูกต้อนจนมุม


ไม่ว่าจะมองมุมใด หากมีโอกาสปลิดชีพผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย เราก็ต้องลงมือโดยปราศจากความลังเล… ไม่แน่ว่า อาจมีคนของสภานักสิทธิ์สนธยากำลังรอให้ความช่วยเหลือด้านการหลบหนีอยู่ และถ้าปีศาจตนนั้นรอดชีวิตไปได้อย่างไรร่องรอย ต่อให้ตัวเรากลายเป็นผู้ไร้หน้าและเตรียมรับมือกับปีศาจลำดับ 5 อย่างรัดกุม แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่า ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายจะไม่กลับมาแก้แค้นอีกครั้งในฐานะปีศาจลำดับ 4! ไพ่ ‘ปีศาจ’ ต้องมีอำนาจช่วยให้ผู้ถือเลื่อนลำดับอย่างรวดเร็วแน่…แค่คิดก็น่าขนลุกแล้ว… โชคดีว่าเราเชือดมันทิ้งโดยไม่ลังเล


ไคลน์ไตร่ตรองการกระทำในช่วงบ่ายของตนอย่างถี่ถ้วน ตามด้วยการสรุปผล และให้คะแนนตัวเองในใจ


หลังจากดื่มด่ำวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนสักพัก ชายหนุ่มกลับมานั่งลงบนโซฟาและวางแผนเกี่ยวกับอนาคต


ด้วยเงินรางวัลจากจิตแห่งจักรกล เราสามารถซื้อต่อมใต้สมองกลายพันธุ์และเลือดของนักล่าพันหน้าได้ทันที ทางด้านเส้นผมของนากาทะเลลึก สิ่งนี้หาได้ไม่ยากถ้ามีเงินมากพอ ในท้องทะเลย่อมมีอยู่มากมาย คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงมิสเตอร์แฮงแมนสักเท่าไร ดังนั้น ปัญหาใหญ่ในตอนนี้จึงเหลือเพียงตะกอนพลังของเงามืดหนังมนุษย์…


ถึงจะมีเบาะแส แต่เราก็ไม่มีเงินซื้ออยู่ดี…


หลังจากคิดมาถึงจุดนี้ ไคลน์ทำได้เพียงเผยรอยยิ้มจืดชืด


เราไม่ได้หน้าเงินสักหน่อย ค่อนข้างปรกติด้วยซ้ำ สมัยยังอยู่ทิงเก็น เรามักยุให้เมลิสซ่าใช้จ่ายมากกว่าเดิม และยุให้เธอกับเบ็นสันยอมจ้างสาวใช้ประจำบ้าน เราเคยคิดมาตลอด ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร แต่มนุษย์ทุกคนก็ควรดูแลตัวเองในระดับพื้นฐาน ไม่เพียงเท่านั้น ในทุกภารกิจเสี่ยงตาย เราหมั่นเตือนตัวเองเสมอว่า ห้ามเห็นแก่เงินจนทำให้ชีวิตต้องตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด…


แต่เพื่อการแก้แค้น เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเลื่อนลำดับ และการเลื่อนลำดับจำเป็นต้องใช้เงินมาก ดังนั้น ส่วนใดประหยัดได้ก็ควรทำ และส่วนใดหาเพิ่มได้ให้รีบทำ…


ทันใดนั้น ร่างกายไคลน์พลันเกิดอาการหนาวสั่นโดยมิอาจขัดขืน มันเริ่มตระหนักว่า สายลมเย็นเฉียบของเบ็คลันด์รุนแรงถึงขั้นทำให้นักมายากล ผู้ไม่ได้มีร่างกายแข็งแรงอะไรนัก ตกอยู่ในอาการสั่นเทาเฉกเช่นปุถุชน


โดยไม่รีรอ ชายหนุ่มตัดสินใจอาบน้ำและคลานเข้าไปนอนใต้ผ้าห่มผืนหนา อ่านหนังสือฆ่าเวลาไปเรื่อยเปื่อยจนกว่าจะง่วง


ยังเหลือเวลาอีกสามถึงสี่ชั่วโมงก่อนจะถึงเวลานอนตามปรกติ คงไม่ต้องสิ้นเปลืองโดยการจุดเตาผิงใหม่กระมัง…


ไคลน์ถอนหายใจ ลุกจากโซฟา และย่างกรายขึ้นไปยังชั้นสอง



ใต้มหาวิหารไอน้ำ


หลังจากอ่านบันทึกภารกิจของช่วงบ่ายจบ ไอคานส์หยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบ


บรรยากาศเงียบงันเข้าครอบงำสักพัก จนกระทั่งอาวุโสแห่งโบสถ์จักรกลไอน้ำ ทำการล้วงหยิบกระจกเงินนามอาโรเดสออกมาวาง


คาร์ลเซ่นชำเลือง ก่อนจะซักถามอย่างระมัดระวัง


“ท่านอาวุโส หากผมถามท่านอาโรเดสผู้ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับสมการคณิตศาสตร์ซึ่งยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ หรือปัญหาเชาวน์อย่างไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ท่านอาโรเดสจะยอมบอกคำตอบหรือไม่?”


“ส่วนมากมักไม่ตอบ และถ้าท่านอาโรเดสสัมผัสถึงเจตนาไม่บริสุทธิ์ คุณอาจถูกฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ เอาได้ หรือไม่ก็คำสาปร้ายแรงชนิดขอตายยังดีเสียกว่า” ไอคานส์ถอนหายใจ “ท่านอาโรเดสเป็นสมบัติปิดผนึกมีชีวิต ไม่ใช่เครื่องจักรตอบคำถาม ท่านมีปัญญาลึกล้ำและรอบรู้กว่ามนุษย์เรามาก ดังนั้น อย่าได้พยายามหาช่องโหว่จากท่านขณะใช้งาน”


คาร์ลเซ่นมองไปรอบตัวซึ่งเต็มไปด้วยเพื่อนร่วมทีม พร้อมกับเสนอแนะไอคานส์


“ท่านอาวุโส ให้ผมถามแทนไหม ผมไม่มีความลับใดต้องปิดบัง”


มันเหยียดหลังตั้งตรงพลางกางแขนออกเป็นนัยว่าบริสุทธิ์ใจ


ไอคานส์ยิ้มแห้ง


“ไม่จำเป็น ทุกคนในนี้ต่างก็รู้ความลับของผมกันหมดแล้ว คำถามซ้ำเดิมไม่ได้ทำให้อับอายเพิ่มแต่อย่างใด แต่ปัญหาคือ ในบางครั้งท่านอาโรเดสก็ตั้งคำถามเชิงปรัชญา หากถูกลงโทษขึ้นมา ผมเกรงว่าสภาพร่างกายของคุณจะทนไม่ไหว”


เมื่อกล่าวจบ ไอคานส์คลายกำปั้นขวาและใช้ปลายนิ้วถูผิวกระจกอย่างแผ่วเบาสามครั้ง


ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด ไอคานส์เปล่งเสียงทุ้ม


“ถึงท่านอาโรเดสผู้ยิ่งใหญ่ กระผมต้องการทราบว่า ‘ใครหรือกลุ่มคนใด คือผู้อยู่เบื้องหลังภารกิจลอบสังหารดยุคนีแกนของผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’”


กระจกเงินไม่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่นาน จนกระทั่งผ่านไปพักสัก ผิวกระจกจึงเริ่มส่องแสงกระเพื่อมในลักษณะคลื่นน้ำ ฉากด้านในเริ่มฉายออกมาเป็นบางสิ่ง ลักษณะคล้ายกับภาพวาดสีน้ำมัน


เป็นภาพของทุ่งกว้าง พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ทุ่งหญ้าถูกปกคลุมด้วยแสงสีทองอร่ามอย่างงดงาม


“หมายความว่ายังไง…” คาร์ลเซ่นและสมาชิกทีมคนอื่นต่างหันมองหน้ากันแต่ไม่มีใครพบคำตอบ ไม่เว้นแม้แต่สมาชิกเส้นทางผู้ส่องความลับ ซึ่งมักโดดเด่นในด้านการตีความผลทำนาย


“ยามสนธยา? หมายถึงจุดจบของทุกสรรพสิ่ง? องค์กรลับเกี่ยวกับมรณา? หรือพวกองค์กรเสียสติ เอาแต่เชื่อว่าวันสิ้นโลกมีจริง?” ผู้ส่องความลับพยายามตีความอย่างสุดฝีมือ


คาร์ลเซ่นพยักหน้ารับ


“ผมคิดว่าอย่างหลังสุด”


ไอคานส์ไม่สนใจการถกเถียงของลูกทีม เพียงเพ่งสมาธิอ่านคำถามของอาโรเดส


“เจ้าชอบกางเกงในสีอะไร”


ใบหน้าไอคานส์พลันแดงก่ำ และถ้าทุกคนไม่ได้ตาฝาดไป พวกมันมองเห็นควันจางลอยขึ้นจากศีรษะของอาวุโสแห่งโบสถ์


ไอคานส์พ่นคำตอบด้วยสีหน้าหนักใจ


“แดง”


บรรยากาศรอบห้องถูกความเงียบสงัดเข้าครอบงำจนไม่ต่างอะไรกับป่าช้า คาร์ลเซ่นและสมาชิกคนอื่นต่างรีบเบือนหน้าหนี แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งนั้น


ไอคานส์ใช้มือสางเส้นผมแข็งกระด้างของตนด้วยสีหน้าอิดโรย ขณะกำลังจะเริ่มถามข้อถัดไป คาร์ลเซ่นชิงพูดแทรก


“ท่านอาวุโส ผมขอลองสักข้อ”


“…ทำยังไงก็ได้ให้ไม่ต้องรับโทษ” ไอคานส์ไม่ห้ามปราม เพียงกำชับหนักแน่น


คาร์ลเซ่นเลียนแบบพฤติกรรมของอาวุโสด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ ฝ่ามือลูบไล้ไปบนผิวโลหะเงินแผ่วเบาสามหน ขณะเดียวกัน สมาชิกคนอื่นเริ่มกลับมามุงดูอีกครั้ง


“ถึงท่านอาโรเดสผู้ยิ่งใหญ่ กระผมอยากทราบว่า ‘ใครคือผู้สมรู้ร่วมคิดของผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’”


แสงวารีกระเพื่อมอีกครั้ง ฉากบนผิวกระจกเริ่มแปรเปลี่ยน เผยให้เห็นแผ่นหลังของหญิงสาวคนหนึ่ง สัดส่วนของเธออยู่ในระดับสมบูรณ์แบบ


ถัดมาเป็นภาพอันพร่ามัวและยากจะระบุตัวตนได้ชัดเจน จากโครงสร้างทางร่างกายและเสื้อผ้า ทุกคนพอจะว่าเป็นมนุษย์เพศชาย แต่ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น


“มีผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นอยู่จริง! ต้องเป็นคนปล่อยข่าวการเดินทางของท่านดยุคให้กับคนร้ายแน่! น่าเสียดาย ตอนนี้พวกเราจับมือใครดมไม่ได้แล้ว…” เมื่อกล่าวจบ คาร์ลเซ่นมองไปรอบตัวพร้อมกับรอยยิ้ม


มันมั่นใจว่าตนไม่มีความลับ จึงมิได้เป็นกังวลกับคำถามของกระจกวิเศษสักเท่าไร


ข้อความบนกระจกให้เลือกระหว่างคำถาม ภารกิจ และบทลงโทษ


โดยไม่ลังเล คาร์ลเซ่นยืนกราน


“คำถาม!”


ข้อความสีเลือดเริ่มก่อตัวเป็นประโยคคำถามอย่างรวดเร็ว :


“เจ้าชอบช่วยตัวเองด้วยมือข้างไหนมากกว่ากัน”


มุมปากคาร์ลเซ่นพลันกระตุก ใบหูแดงก่ำและร้อนผ่าวอย่างชัดเจน


แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องธรรมชาติของชายหนุ่ม แต่การต้องตอบคำถามต่อหน้าเพื่อนร่วมทีมชายหญิงและผู้บังคับบัญชา ย่อมทำให้เกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนจนจะอยากใช้หัวมุดดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด


“ข…ขวา”


คำตอบช่างแผ่วเบาเหลือเกิน



ใต้มหาวิหารนักบุญแซมมัว


ดาลีย์ สตรีผู้ทาเครื่องสำอางตรงขอบตาและโหนกแก้มด้วยสีฟ้าอมเขียว โยนปึกเอกสารลงตรงหน้า ‘ผู้ปลอบวิญญาณ’ โซสต์


“ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับคดีไพ่ทาโรต์”


“ไม่น้อยไปหน่อยหรือ” โซสต์ซักถามประหลาดใจ


ดาลีย์เผยรอยยิ้ม


“นั่นแค่สารบัญ”


ขณะเดียวกัน เลียวนาร์ดเลื่อนถุงมือแดงข้างขวาขึ้นมาแตะริมฝีปากล่าง


“หัวหน้าโซสต์ ทำไมถึงไม่ลองสืบหาว่า ผู้เกี่ยวข้องคนใดในคดีไพ่ทาโรต์ เคยติดต่อกับเจสัน·แพทริค·บีเลียลมาแล้วบ้าง? ด้วยวิธีนี้ ผมเชื่อว่าพวกเราต้องพบเบาะแสเกี่ยวกับองค์กรลับสัญลักษณ์ไพ่ทาโรต์แน่นอน”


“ดยุคนีแกนเป็นสาวกคนสำคัญของโบสถ์วายุสลาตัน โดยเฉพาะด้านการเมือง ท่านออกหน้าในนามโบสถ์วายุสลาตันมาตลอด ป่านนี้พวกทูตพิพากษาคงกำลังพลิกแผ่นดินตามล่าตัวผู้บงการอย่างบ้าคลั่ง พวกเราไม่ควรเข้าไปยุ่ง ไม่อย่างนั้นจะเกิดความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น ปัจจุบันทำได้เพียงก้มหน้าสืบคดีไพ่ทาโรต์ต่อไป ใครจะไปรู้ พวกเราอาจได้พบเบาะแสน่าสนใจหลังจากนี้ก็ได้ อย่างไรก็ตาม มีโอกาสจะไม่พบความคืบหน้าใดเลยเช่นกัน แต่ในฐานะถุงมือแดง สิ่งเหล่านี้คือชะตากรรมอันไม่สามารถหลีกเลี่ยง” โซสต์อธิบายพลางยิ้มชืด


เลียวนาร์ดพยักหน้ารับ


“เข้าใจแล้วครับ”


พร้อมกันนั้น ลึกเข้าไปในหัวเลียวนาร์ด เสียงชรากำลังหัวเราะร่วนอย่างเย้ยหยัน


“เหยี่ยวราตรีพลาดโอกาสสาวถึงเบาะแสสำคัญไปเสียได้ บุคคลดังกล่าวมีกลิ่นอายของจักรพรรดิมืดอย่างเข้มข้น! กลิ่นอายจักรพรรดิมืดตัวจริง!”



ภายในมหาวิหารวายุศักดิ์สิทธิ์


ผู้ขับขานแห่งเทพ เอส·สเน็ก สวมหมวกสีดำใบเล็ก ใช้ดวงตาสีเทาสำรวจบุคลากรระดับหัวกะทิของทูตพิพากษา


“แม้ว่าผมจะต้องออกจากเบ็คลันด์และไม่มีสิทธิ์สั่งการพวกคุณ แต่นี่เป็นคำสั่งด่วนตรงจากสภาพระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์ ภารกิจเดียวของทุกคนหลังจากนี้ คือการสืบหาข้อเท็จจริงให้ได้ว่า ใครคือผู้บงการตัวจริงเบื้องหลังคดีลอบสังหารดยุคนีแกน เมื่อสิ้นคำสั่ง พวกคุณทุกคนจะมีอำนาจในการนำสมบัติปิดผนึกระดับ 1 ไปใช้งานได้อย่างอิสระ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้!”


ในแถวหน้าสุด ชายวัยกลางคนผู้สวมหมวกกัปตันเรือดัดแปลง ท่าทางคล้ายกับผู้นำเหล่าหัวกะทิ กำหมัดแน่นและกระแทกใส่หน้าอกตัวเองจนเกิดเสียงดัง


“น้อมรับบัญชา! เจ้าคุณท่าน!”


ร่างกายผอมเพรียว มัดกล้ามเนื้อแน่นไปทุกส่วน ไม่มีจุดใดโดดเด่นเป็นพิเศษ นอกเสียจากรอยสักรูปสมอเรือบริเวณต้นคอ



เขตราชินี คฤหาสน์หรูของเคาต์ฮอลล์


ออเดรย์จ้องมองซูซี ผู้เปิดประตูห้องของเธออย่างชำนาญ พลางกระซิบถามเสียงค่อย


“ท่านพ่อกำลังพูดถึงเรื่องใด”


เมื่อพบว่าบิดาของตนกลับถึงบ้านด้วยใบหน้าอึมครึม เด็กสาวรีบส่งซูซีเข้าไปแอบฟัง


“ดยุคนีแกนถูกลอบสังหารสำเร็จ” ซูซีใช้ขาหลังปิดประตูห้องอย่างคล่องแคล่ว


“เอ๋…?” ออเดรย์ถึงกับผงะ เธอรีบขมวดคิ้วคล้ายกับไม่เชื่อหูตัวเอง


แม้ว่าเด็กสาวจะเคยอยู่ในเหตุการณ์ลอบสังหารดยุคนีแกนหนแรก แต่ก็ไม่ได้คิดมาก่อนว่าชายคนนั้นจะเสียชีวิตไปแล้ว


“เป็นความจริง” ซูซียืนกราน


สมองออเดรย์พลันขาวโพลน เธอยังคงไม่อยากเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง


ทำไมขุนนางทรงพลังระดับอาณาจักรถึง… ทำไมดยุคแสนใจดีผู้มอบดินแดนเกษตรกรรมส่วนหนึ่งให้ตน บุรุษอารมณ์ขันผู้หัวเราะอย่างสนุกสนาน ถึงจากโลกนี้ไปอย่างกะทันหันนัก?


เด็กสาวกำลังลิ้มรสโลกอันโหดร้ายและเย็นชาของผู้ใหญ่


“ฝีมือใคร?” ออเดรย์รีบเค้นถาม


“ลำดับ 5 ปีศาจ” ซูซีมอบคำตอบ “แต่ถูกปิดปากด้วยฝีมือของผู้ถูกเรียกว่าจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด”


“เอ๋…?” ออเดรย์ออกอาการมึนงงอีกครั้ง


ทำไมถึงเป็นจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดไปได้? เขาคือผู้รับใช้มิสเตอร์ฟูลไม่ใช่หรือ?


แถมยังเคยช่วยเราจัดการกับคีลิงเกอร์ ผู้พยายามลอบสังหารท่านดยุคในคราวก่อน!


ทำไมข้อมูลถึงได้ขัดแย้งกันนัก!


ออเดรย์รีบสั่งให้ซูซีกลับไปฟังเพิ่ม ส่วนตนรีบลงกลอนประตูห้องและนั่งบนขอบเตียง เตรียมสวดภาวนาถึงมิสเตอร์ฟูล


หลังจากเอ่ยพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์และอธิบายรายละเอียดคดีลอบสังหารดยุคนีแกนให้อีกฝ่ายฟัง เด็กสาวซักถามด้วยความเชื่อใจ


“ใช่ฝีมือผู้รับใช้ของท่านหรือไม่”


ผ่านไปสักพัก ออเดรย์มองเห็นสายหมอกสีเทาไร้ก้นบึ้งห้อมล้อมรอบตัว ตามด้วยเสียงทุ้มละมุนของเดอะฟูล


“ถูกต้อง เขากำลังสืบหาองค์กรเบื้องหลังผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย”


นึกแล้วเชียว! มิสเตอร์ฟูลมิได้เป็นผู้ชักใยการลอบสังหาร! หรือว่าเหตุผลให้ท่านส่งผู้รับใช้มายับยั้งคีลิงเกอร์ในคราวก่อน ก็เพราะมีองค์กรลับเดียวกันคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง?


ออเดรย์เริ่มผ่อนคลาย ตามด้วยการซักถามอย่างร่าเริง


“องค์กรลับดังกล่าวชื่อว่าอะไรหรือคะ? ต้องไม่ธรรมดาแน่ ถึงกับทำให้ท่านเกิดความสนใจได้”


ไม่กี่วินาทีถัดมา เดอะฟูลตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเจือความเย็นชา


“สภานักสิทธิ์สนธยา”


……………………


ราชันเร้นลับ 430 : วันใหม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

สภานักสิทธิ์สนธยา…


เป็นองค์กรลับประเภทใด? ทำไมเราถึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน…ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเราจ่ายเงินซื้อข้อมูลองค์กรลับทั่วโลก มิสเตอร์แฮงแมนไม่เคยเอ่ยชื่อดังกล่าวให้ฟัง…


ออเดรย์ประหลาดใจแกมสับสน หมอกสีเทาเริ่มจางลง ร่างของบุรุษมาดสง่างามนามมิสเตอร์ฟูลพลันเลือนหาย


เด็กสาวมองไปรอบตัวพร้อมกับสร้างสมมติฐานในใจ


สภานักสิทธิ์สนธยาสินะ…ฟังจากชื่อก็น่าเกรงขามกว่าองค์กรเก่าแก่อย่างชุมนุมแสงเหนือหรือโรงเรียนชีวิตแล้ว คงลึกลับจนแม้แต่มิสเตอร์แฮงแมนผู้มากประสบการณ์และเป็นคนของโบสถ์วายุสลาตัน ก็ยังไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน…


เป้าหมายของพวกมันอาจเป็นการลอบสังหารบุคคลสำคัญระดับอาณาจักร ไม่สิ ระดับโลก เพื่อสร้างความปั่นป่วน…


พวกมันคงคอยบงการโลกอยู่ในเงามืด คอยจับตามองความเคลื่อนไหวของทวีปเหนือใต้ตลอดเวลา และมีเป้าหมายในการครอบครองโลกโดยสมบูรณ์สักวัน เข้าใจแล้วว่าทำไมมิสเตอร์ฟูลถึงสนใจเป็นพิเศษ…


ในคราวก่อน ท่านไม่ได้ส่งผู้รับใช้มาช่วยฆ่าคีลิงเกอร์เพียงเพราะมีรางวัลตอบแทนสมน้ำสมเนื้อ แต่เป็นเพราะท่านให้ความสนใจสภานักสิทธิ์สนธยาต่างหาก…


ลึกลับระดับเดียวกับชุมนุมทาโรต์ของเรา…


ออเดรย์กำลังเกิดความรู้สึกประหลาด ยากจะอธิบายเป็นคำพูด เป็นอาการตื่นเต้นเจือด้วยความภาคภูมิใจ ส่งผลให้อารมณ์เศร้าโศกจากการสูญเสียดยุคนีแกนบรรเทาลง


เรามั่นใจว่า โลกผู้วิเศษส่วนใหญ่คงยังไม่รู้จักสภานักสิทธิ์สนธยามากนัก แต่เราคือหนึ่งในน้อยคนนั้น และชุมนุมทาโรต์ของพวกเราก็กำลังหมายหัวมันอยู่!


ออเดรย์ยืนตัวตรง สายตาจ้องมองเรือนร่างของตนในกระจกเต็มบาน


เด็กสาวเชิดคางขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นมุมน่ารักน่าชังเป็นพิเศษ


ขณะดวงตากำลังเพ่งมองบุคคลในกระจก จิตใจออเดรย์เริ่มผ่อนคลาย สำหรับเด็กสาว นี่คือครั้งแรกอย่างแท้จริง กับการตระหนักว่าตนต้องรีบพัฒนาระดับพลังโดยด่วน


แม้แต่ดยุคนีแกน ผู้วิเศษลำดับกลาง แถมยังมีองครักษ์ผู้วิเศษแข็งแกร่งคอยคุ้มกันอีกเป็นจำนวนมาก ก็ยังถูกลอบสังหารเอาได้ เช่นนั้นแล้ว บิดาของเธอซึ่งเป็นเพียงคนธรรมดาจะปลอดภัยได้อย่างไร


แม้ว่าตระกูลของเราจะมั่งคั่งและมีบอดี้การ์ดผู้วิเศษคอยคุ้มกันจำนวนหนึ่ง รวมถึงยังมีการคุ้มครองจากโบสถ์รัตติกาลเป็นพิเศษ แต่ทางฝั่งท่านดยุคนีแกนก็ได้รับการคุ้มกันในระดับไม่ต่างกันเลยสักนิด…


ท่าไม่ดีแล้ว… ต้องรีบพัฒนาเป็นลำดับ 7 โดยเร็ว จากนั้นก็ลำดับ 6 และคอยเร้นกายในเงามืด รับบทบาทผู้พิทักษ์ของตระกูล เป็นปราการด่านสุดท้ายให้ท่านพ่อ ท่านแม่ และเหล่าท่านพี่!



ณ เมืองหลวงแห่งหมู่เกาะรอสต์


เมืองแห่งการให้


โทสะสีครามแล่นมาจอดเทียบท่า เปิดโอกาสให้ลูกเรือผ่อนคลายตัวเองอย่างอิสระ


อัลเจอร์·วิลสันเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดคลุมยาวลวดลายสายฟ้า ก่อนจะย่างกรายไปทางวิหารซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งจากบรรดาหมู่เกาะทั้งหมด


มหาวิหารแห่งคลื่น


สถาปัตยกรรมยังเป็นแบบโบราณ เต็มไปด้วยเสาหินต้นใหญ่และรูปทรงโค้งเว้า มองจากภายนอกจะเห็นหลังคาโดมสูงเด่น ขนาบข้างด้วยหอนาฬิกาใหญ่จำนวนสองเรือน


ย้อนกลับไปในยุคเพิ่งเริ่มล่าอาณานิคมได้ไม่นาน ผู้บุกเบิกไม่ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างวิหารสักเท่าไร และนั่นได้กลายเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมในเวลาถัดมา


เมื่อถูกรายล้อมด้วยชนเผ่า ผืนป่าเขียวขจี และซากอารยธรรมโบราณ คณะสำรวจยุคแรกได้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่องโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่มีใครต้นตอการตาย และการยึดครองดินแดนก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น


หลังจากเกิดความสูญเสียอย่างยาวนาน อัตราการตายพลันลดลงอย่างกะทันหันเมื่อมหาวิหารหลายแห่งถูกสร้างเสร็จในเวลาไล่เลี่ยกัน จนกระทั่งการตายอย่างเป็นปริศนาไม่เกิดขึ้นอีกเลย กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์


อัลเจอร์หยุดยืนหน้าวิหารหลังใหญ่ มิได้รีบร้อนเดินเข้าไปด้านใน มันมองผ่านเข้าไปทางหน้าต่าง และพบกับห้องมืดสลัวซึ่งมีเพียงแสงเทียนอบอุ่น


ถัดมา อัลเจอร์เดินตรงเข้าไปในโถงสวดมนต์หลัก กำมัดขวาแน่นและนำมาทุบอกเสียงดัง ก่อนจะหันไปทางบิชอปด้านข้างและกล่าวอย่างขึงขัง


“พายุจงสถิตกับท่าน!”


“พายุจงสถิตกับท่าน” บิชอปตอบกลับด้วยถ้อยคำเดียวกัน


โดยไม่เปิดโอกาสให้อัลเจอร์ได้พูด บิชอปประจำมหาวิหารแห่งคลื่นยื่นกระดาษโทรเลขมาทางด้านหน้า


“คุณมาทันเวลาพอดี สภาพระคาร์ดินัลเพิ่งมีคำสั่งด่วนลงมา อ่านให้จบก่อนเข้าไปสวดมนต์”


“คำสั่งด่วน?” อัลเจอร์ขมวดคิ้วพร้อมกับรับกระดาษโทรเลขมาอ่าน


บิชอปอธิบายด้วยสีหน้าอึมครึม


“ดยุคนีแกนถูกลอบสังหาร ทางสภาพระคาร์ดินัลมีคำสั่งด่วนให้ทูตพิพากษาและนักบวชในสังกัดทุกคนพยายามรวบรวมข้อมูลของจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดอย่างสุดความสามารถ รวมถึงเบาะแสของพิธีกรรมไพ่ทาโรต์ด้วย”


จอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด…? อัลเจอร์แสดงสีหน้าประหลาดใจ


มันทราบอยู่ก่อนแล้วว่า จอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดคือผู้รับใช้ของเดอะฟูล


บิชอปพยักหน้าหนักแน่นพร้อมกับเล่าต่อ


“คนร้ายลอบสังหารดยุคนีแกนคือลำดับ 5 ‘ปีศาจ’ แต่ระหว่างการหลบหนี มันถูกฆ่าโดยฝีมือจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด เป็นชะตากรรมเดียวกับพลเรือโทแห่งวายุ คีลิงเกอร์ ผู้เคยลอบสังหารท่านดยุคล้มเหลว”


ไม่เพียงรายละเอียดปลีกย่อยจะคล้ายกันมาก แม้แต่ประเด็นหลักก็ยังเหมือนกันทุกประการ…คีลิงเกอร์ตายด้วยฝีมือผู้รับใช้ของมิสเตอร์ฟูล และคนร้ายในคดีล่าสุดก็… หรือว่ามิสเตอร์ฟูลจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความตายของดยุคนีแกนเสียเอง? ไม่น่าใช่ หากเป็นฝีมือท่านจริง คงมีการตักเตือนคีลิงเกอร์ให้ระวังมิสจัสติสก่อนลงมือลอบสังหาร…มิสเตอร์ฟูลคงพยายามสืบหาเบื้องหลังการตายของดยุคนีแกนมากกว่า… ต้องเป็นองค์กรลับระดับใดกัน ถึงได้รับความสนใจจากท่านโดยตรงเช่นนี้…


อัลเจอร์ครุ่นคิดในหลายเรื่อง แต่ทั้งหมดยังไม่มีหลักฐานรองรับ


จากรายละเอียดของกระดาษโทรเลข มันได้ทราบว่าโบสถ์วายุสลาตันจัดตั้งทีมสืบสวนพิเศษขึ้นเป็นการเฉพาะ จุดประสงค์เพื่อแกะรอยผู้บงการเบื้องหลังคดีลอบสังหารดยุคนีแกน สมาชิกแต่ละคนล้วนเป็นขุนพลระดับหัวกะทิของโบสถ์ทั้งสิ้น


เราควรเข้าร่วมดีไหม? จะได้รับรู้สถานการณ์ทางฝั่งโบสถ์อย่างละเอียด…


อัลเจอร์เริ่มลังเล


แต่ลงเอยด้วย มันตัดสินใจยึดหลักการเดิมของตน ไม่พยายามทำตัวโดดเด่น



เมื่อเริ่มวันใหม่ ไคลน์หลับยาวจนกระทั่งลืมตาตื่นเองตามธรรมชาติ ชายหนุ่มพยุงตัวลุกจากเตียงนอนและเดินลงมายังชั้นล่าง


มันไม่รีบประกอบอาหารเช้า แต่เลือกเดินออกไปนอกบ้านเพื่อหยิบปึกหนังสือพิมพ์ภายในกล่องจดหมาย


“นี่คือ…?” ไคลน์พบซองกระดาษแผ่นหนาถูกยัดไว้ระหว่างหนังสือพิมพ์ น้ำหนักค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับขนาด


หลังจากกลับเข้าบ้านและฉีกซองตรวจสอบ กลิ่นหมึกพิมพ์เข้มข้นของธนบัตรพลันลอยชนจมูกอย่างจัง


สัมผัสวิญญาณช่วยระบุทันทีว่าด้านในอัดแน่นไปด้วยเงินสดจำนวนมาก


มันบรรจงดึงเงินปึกใหญ่ออกมาด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ


หลังจากนับเสร็จ ไคลน์ยืนยันจนมั่นใจว่าธนบัตรทั้งหมดมีมูลค่าหนึ่งพันปอนด์ถ้วน


รางวัลจากจิตแห่งจักรกล… แต่ทำไมถึงส่งเงินสดมาในรูปแบบนี้? มั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่ถูกขโมย?


ไคลน์รำพันอย่างหัวเสีย


แต่อีกใจหนึ่งก็ยินดี ด้วยเงินก้อนนี้ ผนวกกับการไม่ถูกจับตามองโดยจิตแห่งจักรกล มันสามารถแวะไปหาแวมไพร์เอ็มลินเพื่อขอซื้อวัตถุดิบปรุงโอสถได้ทันที!


หลังเสร็จอาหารเช้า ไคลน์สวมหมวกและเสื้อโค้ท ถือไม้ค้ำ ใช้แขนหยิบหนังสือพิมพ์ และรีบเดินออกจากบ้าน


ขณะหันหน้าเตรียมเดินเท้าไปยังป้ายรถม้าสาธารณะ ชายหนุ่มพบกับเจ้าของบ้าน มาดามสตาร์ลิ่ง กำลังสั่งให้สาวใช้ขนกระเป๋าเดินทางขึ้นรถม้าริมถนน


“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณนายซาเมอร์” ไคลน์ทักทายด้วยรอยยิ้ม


สตาร์ลิ่งยิ้มรับด้วยสีหน้าผ่องใส


อารมณ์ดีแบบนี้ ยังไม่ทราบสินะครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านของตัวเองบ้าง…


ไคลน์ซักถามด้วยสีหน้าสงสัย


“กำลังจะไปไหนหรือครับ”


“ใกล้ช่วงปีใหม่แล้ว แมรีจึงให้ลุคลางานยาวได้เป็นกรณีพิเศษ พวกเราจึงเตรียมตัวเดินทางไปอ่าวเดซีเพื่อพักผ่อนในช่วงปีใหม่” สตาร์ลิ่งเล่าต่อโดยไม่รอให้อีกฝ่ายถาม “เราเคยไปเที่ยวแถวนั้นมาหมดแล้ว รวมไปถึงเมืองชายฝั่งชื่อดังอีกสองสามแห่ง คราวนี้จึงอยากลองเที่ยวฝั่งเฟเนพ็อตดูบ้าง ได้ยินว่าเมืองเซเวียร์มีวิวทิวทัศน์งดงามมาก”


ไคลน์ยิ้มรับ


“น่าอิจฉาจังนะครับ”


“แล้วทางคุณล่ะคะ? นักสืบโมเรียตี้ มีแผนจะเที่ยวปีใหม่แถวไหนหรือ” สตาร์สิ่งซักถามอย่างอารมณ์ดี


ก็คงนอนอืดอยู่กับบ้าน…จริงสิ ต้องเตรียมเครื่องมือสำหรับซ่อมผนังด้วย ตั้งแต่สจ๊วตยิงใส่คราวนั้นก็ปล่อยให้เป็นรูมาตลอด…


ไคลน์ยกมุมปาก


“คงกลับรัฐเลียบทะเลครับ อากาศฤดูหนาวแถวนั้นแตกต่างจากเบ็คลันด์มาก”


สตาร์ลิ่งพยักหน้ารับ


“หวังว่าจะมีโอกาสได้พบกันแถวอ่าวเดซีในปีถัดไปนะคะ”



ย่านทิศใต้ของสะพาน ถนนกุหลาบ วิหารฤดูเก็บเกี่ยว


เมื่อเห็นนักสืบเชอร์ล็อกในชุดขนสัตว์สีดำกำลังเดินเข้ามาใกล้ เอ็มลิน·ไวท์ ผู้กำลังยืนเช็ดเชิงเทียนอย่างระมัดระวัง พลันฉีกยิ้มกว้าง


มันรีบใช้มือสางเส้นผมสีดำขลับ เร่งฝีเท้าเดินไปหยุดยืนข้างไคลน์ เชิดคางขึ้น และกระซิบด้วยเสียงต่ำ


“ข้าได้เบาะแสของเจสัน·บีเลียลมาแล้ว ทางผีดูดเลือดสืบจนพบข้อมูลชายคนนั้น”


“ทางผมก็มีเหมือนกัน” ไคลน์อมยิ้มพลางยื่นหนังสือพิมพ์ไปทางเอ็มลิน พาดหัวข่าวกลางหน้ากระดาษเขียนไว้ว่า :


ช่วงบ่ายของเมื่อวาน ท่านดยุคนีแกนผู้ยิ่งใหญ่ถูกลอบสังหารอย่างอุกอาจ คนร้ายคือปีศาจจิตใจต่ำช้า


ใต้พาดหัวข่าวเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับคดีลอบสังหารเมื่อวาน มีการเผยว่าฆาตกรคือนายธนาคารชื่อเจสัน·แพทริค ถูกวิสามัญฆาตกรรมทันทีในจุดเกิดเหตุ กลุ่มก่อการร้ายชุมนุมแสงเหนือได้ประกาศความรับผิดชอบ


ย้อนกลับไปเมื่อเช้าขณะไคลน์กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ มันเกือบพ่นนมสดพรวดออกจากปาก


ในตอนแรก ไคลน์คิดว่ามิสเตอร์ A แห่งชุมนุมแสงเหนือคงถูกปลวกกินสมองไปหมดแล้ว ถึงได้กล้าประกาศความรับผิดชอบอย่างส่งเดช แต่เมื่อลองไตร่ตรอง มันฉุกคิดได้ว่าเรื่องนี้อาจเป็นฝีมือของรัฐบาล


หากสภานักสิทธิ์สนธยาคือองค์กรลับซึ่งจักรพรรดิโรซายล์เป็นสมาชิก พวกเขาต้องเป็นศัตรูกับชุมนุมแสงเหนืออย่างสุดโต่ง เพราะอุดมการณ์ตรงกันข้ามกับพระผู้สร้างแท้จริงโดยสิ้นเชิง…


ไคลน์ครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย


เอ็มลินก้มหน้าอ่านพาดหัวข่าวอย่างละเอียดหลายหน ก่อนจะซักถามด้วยสีหน้ากระวนกระวาย


“หมายความว่า ข้อมูลของข้าไม่มีประโยชน์อีกแล้ว?”


“ในทางทฤษฎีก็ใช่…” ไคลน์ชำเลืองมองด้วยสายตาสมเพช ก่อนจะมอบความหวังให้อีกฝ่าย “แต่รัฐบาลกำลังสืบหาเบาะแสของผู้บงการเบื้องหลังเจสัน·บีเลียล ถ้าข้อมูลของคุณเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ทางตำรวจคงมีรางวัลตอบแทนให้แน่”


ในส่วนของไคลน์ มันไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับคดีไปมากกว่านี้แล้ว


“คงไม่ได้…ข้าทราบเพียงว่า อีกฝ่ายชื่อเจสัน·บีเลียล มีงานอดิเรกอยู่ราวสองสามอย่าง” เอ็มลินถอนหายใจยาวอย่างผิดหวัง


เมื่อเห็นท่าทีตอบสนอง ไคลน์อมยิ้ม


“คุณไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์เลยหรือ”


ถ้าเราไม่ส่งหนังสือพิมพ์ให้อ่าน หมอนี่คงไม่มีทางทราบว่าดยุคนีแกนถูกลอบสังหารไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว…


เอ็มลินจ้องไคลน์ด้วยสายตาฉงน


“แล้วทำไมถึงต้องอ่าน? ไม่รู้หรือไงว่าข้างานยุ่งมาก!”


ยุ่งอยู่กับการทำความสะอาดวิหารฤดูเก็บเกี่ยว ยุ่งอยู่กับการแต่งตัวฟิเกอร์ขนาดเท่าคนจริง และยุ่งอยู่กับการคิดหากลอุบายหลอกดื่มเลือดมนุษย์ฟรี… ช่างทำตัวสมกับเป็นแวมไพร์สมัยใหม่…


ไคลน์เผยอริมฝีปากเล็กน้อย แต่ด้วยการยับยั้งของตัวตลก เสียงหัวเราะจึงไม่เล็ดลอดออกไป


ลงเอยด้วย ชายหนุ่มตัดสินใจไม่ยั่วโมโหแวมไพร์เอ็มลิน เพียงกล่าวเข้าประเด็นโดยไม่มัวเสียเวลา


“ผมเตรียมเงินครบจำนวนแล้ว เพียงพอสำหรับซื้อวัตถุดิบทั้งสองชนิดจากคุณ พร้อมแลกเปลี่ยนวันไหน?”


……………………


ราชันเร้นลับ 431 : คนใกล้ตายไม่เลือกหมอ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อได้ยินคำถามไคลน์ เอ็มลิน·ไวท์พลันสะดุ้งพร้อมกับรีบสำรวจชายหนุ่มหัวจรดเท้า


“เจ้าร่ำรวยผิดความคาดหมายข้ามาก…”


มันกะเกณฑ์ไว้ว่า เชอร์ล็อก·โมเรียตี้คงใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ในการรวบรวมเงินจำนวน 2,450 ปอนด์


“สำหรับเงินก้อนนี้ ผมออมไว้นานแล้ว” ไคลน์ถอนหายใจยาว


เอ็มลินพยักหน้ารับพลางครุ่นคิด


“นักสืบเอกชนรายได้ดีขนาดนี้เชียว?”


“งานนักสืบเป็นแค่ฉากหน้า ผมเหนื่อยจะอธิบายเรื่องราวซับซ้อนให้คนอื่นฟัง ในส่วนของอาชีพหลัก หากไม่บังเอิญโชคดีได้จับงานใหญ่เข้า รายได้ของผมก็คงตกปีละสองสามร้อยปอนด์เท่านั้น”


เอ็มลินชำเลืองและซักถามอย่างสนใจ


“เจ้าประกอบอาชีพใดกันแน่? ค้าอาวุธเถื่อน? ปล้นคนรวย? สำหรับผู้วิเศษลำดับต่ำกว่า 7 การรวบรวมเงินจำนวนสองพันปอนด์ในระยะเวลาสั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้องก็ต้องทำธุรกิจสีเทาซึ่งไม่ถูกกฎหมายสักเท่าไร”


แวมไพร์อย่างนายกำลังพูดเรื่องทำผิดกฎหมายกับฉัน? จริงสิ จะว่าไป หมอนี่เองก็หาเงินได้เร็วใช่ย่อยเหมือนกัน ฟิเกอร์พวกนั้นไม่ใช่ของราคาถูก… ไคลน์อมยิ้ม


“เสี่ยงทำภารกิจอันตราย หากไม่กลัวตาย สมบัติมากมายก็รออยู่ข้างหน้า”


เอ็มลินไม่ตอบโต้ มันเงียบงันเช่นนั้นสักพักก่อนจะเอ่ยปาก


“เย็นนี้ค่อยกลับมาหาข้าใหม่ แล้วจะพาไปพบคนขายโดยตรง”


ว่านอนสอนง่ายชะมัด ไม่น่ากลัวเหมือนแวมไพร์เลยสักนิด…


ขณะเตรียมตอบตกลง ไคลน์พลันฉุกคิดได้ว่าวิธีนี้ค่อนข้างอันตราย


จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนขายเกิดเปลี่ยนใจกะทันหันหลังจากเห็นเงินในมือเรา? หรือถ้าอีกฝ่ายไม่มีของแต่แรก แต่เป็นการล่อลวงไปหาเพื่อปล้นเราแทน… เราเชื่อใจเอ็มลิน·ไวท์ แต่ไม่เชื่อใจคนขาย… เห็นทีคงต้องหาข้ออ้างเข้าไปทำนายยืนยันบนมิติสายหมอกก่อนตัดสินใจ… ไม่สิ ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากสักหน่อย ยังมีวิธีง่ายกว่านั้น…


หลังจากไตร่ตรอง ไคลน์หันไปมองเอ็มลิน


“ไม่ดีกว่า คุณไปคนเดียว ผมจะให้เงินมัดจำคุณก่อนหนึ่งพันปอนด์ คุณไปหาคนขายและนำวัตถุดิบทั้งสองชนิดมาให้ผมตรวจสอบในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว หลังจากยืนยันจนแน่ใจ ผมจะจ่ายในส่วนขาดเหลือให้เอง คนขายคงเห็นด้วยกับวิธีนี้แน่ เพราะผีดูดเลือดเป็นพวกใจกว้างอยู่แล้ว”


เมื่อถูกชมเชย เอ็มลินเชิดคางโดยไม่รู้ตัว


“ไม่มีปัญหา”


หลังจากสิ้นเสียง แวมไพร์หนุ่มฉีกยิ้มกว้าง


“เจ้ากำลังกังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่รักษาสัญญาใช่ไหม? และจะสบายใจกว่าถ้าได้แลกเปลี่ยนในวิหารฤดูเก็บเกี่ยวสินะ”


“แน่นอน ทุกคนย่อมรู้สึกสบายใจเป็นพิเศษ เมื่อได้อยู่ใกล้กับผู้รับใช้พระแม่ธรณีซึ่งสูง 2.2 เมตรและมีกล้ามเนื้อบึกบึน” ไคลน์ยิ้มรับพร้อมกับชี้ไปทางหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ “หากมีใครสามารถล้มเขาได้ คนผู้นั้นคงไม่โง่พอจะทำลายชื่อเสียงตัวเองด้วยเงินเพียงสองพันปอนด์แน่”


เอ็มลินพลันผงะ ก่อนจะพ่นลมหายใจแผ่ว


“แล้วไม่กลัวว่าข้าจะขโมยเงินมัดจำหนึ่งพันปอนด์ไปบ้างหรือ”


ไคลน์จ้องมอง


“ไม่จำเป็นต้องกลัวเลยสักนิด เพราะไม่ว่ายังไง คุณก็ต้องเดินทางมายังวิหารแห่งนี้ทุกวันอยู่แล้ว การหาตัวให้พบไม่ใช่เรื่องยาก และสิ่งมีชีวิตประเภทแวมไพร์สามารถขายทอดตลาดได้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันปอนด์แน่นอน”


เอ็มลินถูกจี้จุดอ่อนอย่างจัง มันออกอาการฉุนเฉียวโดยไม่ปิดบัง


“ผีดูดเลือด! ไม่ได้ยินหรือไง? ผีดูดเลือด! แล้วก็อย่ามาเรียกข้าว่าสิ่งมีชีวิต!”


ไคลน์เพียงคิกคัก มิได้ต่อความยาวสาวความยืด เพียงรอให้เอ็มลินใจเย็นลงไปเอง


“ก็ได้… เราจะค้าขายกันด้วยวิธีของเจ้า”


เอ็มลินเลื่อนมือขึ้นมาลูบขมับ


ไคลน์หยิบซองจดหมายเมื่อเช้าออกมายื่นให้อีกฝ่าย ด้านในมีธนบัตรปึกใหญ่มูลค่ารวมหนึ่งพันปอนด์ถ้วน


“แล้วพบกันใหม่สองทุ่มตรง”


เมื่อนับธนบัตรจนแน่ใจว่าไม่ขาดเหลือ รวมถึงตรวจสอบลายน้ำอย่างละเอียดอีกหลายครั้ง เอ็มลินชำเลืองไปทางหลวงพ่อยูทรอฟสกี้อย่างหวาดระแวงพร้อมกับกระซิบเสียงค่อย


“คุณนักสืบเอกชน ในฐานะผู้มีแหล่งข้อมูลหลายช่องทาง คุณเคยได้ยินชื่อของเทพมารนามว่าเดอะฟูลบ้างไหม?”


เทพมาร…? เทพมารบ้านเอ็งสิ…


สาบานได้เลยว่า ถ้าไม่มีพลังตัวตลกช่วยยับยั้ง ไคลน์หลุดสบถใส่หน้าเอ็มลินไปแล้ว


ชายหนุ่มฝืนตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“ในช่วงหลัง มีผู้คนมากมายพยายามตามหาเบาะแสของสาวกเดอะฟูล คุณก็เป็นหนึ่งในผู้หวังเงินรางวัลก้อนใหญ่ด้วยหรือ”


เอ็มลินถอนหายใจ


“เปล่า แค่กำลังคิดว่า ข้าควรลองเสี่ยงกับเทพมารตนนั้นดีไหม เพราะบางที ท่านอาจช่วยขจัดการชี้นำทางใจให้ได้ เจ้าเองก็คงทราบใช่ไหม ข่าวลือของท่านแพร่กระจายออกมาพร้อมพระนามเต็ม หากลองเปลี่ยนเป็นภาษาเฮอร์มิสหรือเฮอร์มิสโบราณ โอกาสได้รับการตอบสนองคงมีสูงมาก… ว่ายังไงบ้าง ตกลงว่าเจ้ามีข้อมูลของท่านบ้างไหม จำนวนสาวกมีประมาณเท่าไร และท่านบังคับให้ผู้อื่นเปลี่ยนศาสนาหรือไม่”


จริงอยู่ การสวดภาวนาอาจส่งมาถึงเราโดยตรงและไม่เป็นอันตราย แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า สหายแวมไพร์ของเราจะกล้าขอความช่วยเหลือส่งเดชเช่นนี้…


คนใกล้ตายไม่เลือกหมอสินะ…


ไคลน์เริ่มเกิดอารมณ์ซับซ้อน


“ตัวตนของเดอะฟูลยังเป็นปริศนามาก นอกจากข้อมูลพื้นฐานซึ่งทุกคนทราบกันดี ผมยังไม่เคยได้ยินใครสามารถระบุรายละเอียดได้ลึกกว่านั้น ตัวอย่างเช่น ศาสนาของท่านมีจุดประสงค์ใด และต้องประกอบพิธีกรรมในลักษณะใดจึงจะยอมตอบสนองกลับมา ยิ่งกว่านั้น ผมไม่เข้าใจ ทำไมแวม… เอ่อ ผีดูดเลือดอย่างคุณถึงไม่ประกอบพิธีกรรมมุ่งไปยังบรรพบุรุษของผีดูดเลือดอย่างลิลิธ? หากประกอบพิธีกรรมได้ถูกต้อง มีเครื่องเซ่นครบถ้วน และเลือกกระทำในเวลาเหมาะสม ท่านคงยอมช่วยขจัดการชี้นำทางใจแน่”


เอ็มลินแอบชำเลืองไปทางหลวงพ่ออีกครั้ง ก่อนจะมองออกไปนอกวิหารด้วยสายตาเหม่อลอย ไม่กล่าวสิ่งใดนานหลายวินาที


จนกระทั่ง มันเริ่มเผยสีหน้าเคร่งเครียด


เอ็มลินเงียบงันอยู่สักพักจึงค่อยกระซิบ


“ก่อนจะถึงยุคสมัยแห่งมหาภัยพิบัติ ท่านบรรพบุรุษแทบไม่เคยตอบสนองพิธีกรรมของผู้สวดภาวนา มีเพียงสถานการณ์พิเศษและเร่งด่วนมากเท่านั้น ซึ่งแน่นอน การรักษาภาวะถูกชี้นำทางใจคงไม่เข้าข่าย”


หือ… ตามตำนานของเมืองเงินพิสุทธิ์ เทพธิดาบรรพกาล ลิลิธ ผู้เป็นตัวแทนของดวงจันทร์ ได้ถูกพระผู้สร้างต้นกำเนิดยึดอำนาจและพลังกลับคืนไป หลังจากนั้น เธอคงร่วงหล่นท่ามกลางศึกระหว่างเทพบรรพกาลด้วยกัน… แต่ถ้าเป็นไปตามข้อมูลข้างต้น แล้วใครคอยตอบสนองพิธีกรรมของเหล่าแวมไพร์ในระยะหลัง? ดวงจันทร์บรรพกาล?


ไคลน์ตัดสินใจซักถาม


“พวกคุณก็ยังมีดวงจันทร์บรรพกาลให้สวดภาวนาถึงไม่ใช่หรือ ผมเคยได้ยินว่ามีผู้วิเศษจำนวนไม่น้อยนับถือเทพองค์นี้ บางส่วนเคยประกอบพิธีกรรมหยิบยืมพลังจากท่าน”


เรากำลังหมายถึงราชาหมอผี คารามัน และสิ่งมีชีวิตด้อยปัญญาประเภทอื่น…


มันเสริมในใจ


ริมฝีปากเอ็มลินเริ่มสั่นเทาโดยปราศจากถ้อยคำตามหลัง บนใบหน้าแวมไพร์หนุ่มเผยความหวาดกลัวเล็กน้อย


ผ่านไปหลายวินาที มันยอมเล่าเสียงขรึม


“ข้ากำลังสงสัยว่า บางที ดวงจันทร์บรรพกาลอาจถูกสวมรอยโดยฝีมือเทพมารจิตใจต่ำช้าสักตน หรือไม่ก็ปีศาจลำดับสูง ผู้เคยสวดภาวนาถึงท่านมักเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในทางแย่ กลายเป็นคนป่าเถื่อน บ้าคลั่ง และเต็มไปด้วยแรงกระหาย หรือหากโชคดีรอดมาได้ ซึ่งส่วนมากมักเป็นผีดูดเลือด ก็ยังมีโอกาสคลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาดไร้สมอง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เคยมีผีดูดเลือดทรงพลังพยายามสวดภาวนาถึงท่านขณะตกอยู่ในอันตราย แต่ผลลัพธ์กลับลงเอยด้วย หล่อนต้องกลายเป็นก้อนเนื้อซึ่งทุกลมหายใจเข้าออกมีเพียงการผสมพันธุ์และขยายพันธุ์ หล่อนทำกับกระบือ แกะตัวผู้ ม้าพ่อพันธุ์ หนู หรือแม้กระทั่งพืชและก้อนหิน ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ประหลาดตัวแล้วตัวเล่า ทายาทของหล่อนได้พัฒนากลายเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่อย่างแท้จริง แค่โชคยังดี หล่อนถูกบรรพบุรุษของเรากำจัดทิ้งอย่างสิ้นซากไปพร้อมกับเหล่าทายาทอันน่ารังเกียจแล้ว”


…ดวงจันทร์บรรพกาลอันตรายขนาดนี้เชียวหรือ หนังสือแห่งความลับไม่เคยเอ่ยถึงสักคำเดียว หรือราชาหมอผีคารามันเองก็ถูกกัดกร่อนสมองจนหมดแล้ว? โชคยังดี เราไม่เคยประกอบพิธีกรรมตามคู่มือ เพียงดัดแปลงให้สื่อถึงเดอะฟูลแทน…


เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากเอ็มลิน ไคลน์พลันเสียวสันหลังจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก


ชายหนุ่มเริ่มมั่นใจว่า การสวดภาวนาถึงเทพนอกรีตตนอื่นนอกจากเจ็ดเทพหลัก คงไม่ใช่เรื่องฉลาดสักเท่าไร


ยกเว้นเรา… ไคลน์รำพัน


พร้อมกันนั้น เอ็มลินเผยรอยยิ้มขื่นขม


“ถ้าผลเสียจากการสวดภาวนาถึงเดอะฟูลไม่เลวร้ายนัก ข้าก็อยากจะลองเสี่ยงดู”


สหาย ผลเสียเพียงข้อเดียวก็คือ นายต้องจ่ายเงินเพื่อแลกกับการรักษาอาการทางจิต…


ไคลน์ตบบ่าเอ็มลินแผ่วเบาพร้อมกับวาดสัญลักษณ์สามเหลี่ยมกลางหน้าอก


“การสวดภาวนาถึงเทพนอกรีตเป็นเรื่องอันตราย ถ้าอยากลองเสี่ยงดวง ทำไมถึงไม่สุ่มภาวนาไปยังเทพจารีตสักองค์แทน พวกท่านไม่มีวันสร้างผลเสียกับคุณ และไม่บังคับให้ต้องนำตุ๊กตาในห้องไปทิ้งด้วย”


“เว้นเสียแต่ว่าจะไม่มีทางอื่นอีกแล้ว…” แวมไพร์เอ็มลินเริ่มใจเย็น


ไคลน์ไม่สาวความยืด รีบแทรกตัวเดินออกจากแถวเก้าอี้สวดมนตร์และเร่งฝีเท้าจนพ้นเขตวิหารฤดูเก็บเกี่ยว


ชายหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้าหมอกจัดด้านบน ตามด้วยการครุ่นคิดถึงอนาคตถัดไป


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หลังจากนี้ เราต้องเก็บเงินอีกก้อนใหญ่สำหรับซื้อวัตถุดิบหลักชิ้นสุดท้าย…


ทางฝั่งเดอะซันน้อยคงติดต่อไม่ได้อีกสักพักใหญ่ ด้วยเหตุนี้ เราจะให้เขาจ่ายค่าตอบแทนเป็นการ หาวิธีลบการกัดกร่อนทางจิตของผู้คลุ้มคลั่งออกจากตะกอนพลังแทน… เส้นผมนากาทะเลลึกคงไม่ใช่ปัญหา มิสเตอร์แฮงแมนจัดการได้ไม่ยาก ดังนั้น งานของเราจึงเหลือเพียงการตามหาเบาะแสของตะกอนพลังเงามืดหนังมนุษย์… วัตถุดิบหลักชิ้นนี้หายากมาก ไม่มีเบาะแสทั้งจากเอ็มลิน·ไวท์และมิสเตอร์เนตรแห่งปัญญา ไอเซนการ์ดสแตนธอน มานานนับเดือนแล้ว สงสัยต้องเพิ่มช่องทางการค้นหาเข้าไปอีก… และนั่นคงใช้เวลานานพอสมควร จริงสิ ผู้วิเศษลำดับสูงของโรงเรียนกุหลาบคงไม่เฝ้าผับวีรบุรุษอย่างใกล้ชิดมากนัก บางที เราควรแวะเข้าไปในช่วงบ่ายเพื่อหาวิธีติดต่อกับมาดามชารอน…


ไคลน์วางแผนอย่างคล่องแคล่ว


การจะเดินทางไปยังผับวีรบุรุษ มันต้องอ้อมเข้าเขตตะวันออกเสียก่อน จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคนงานภายในหอพักบนถนนปาล์มดำ


ขณะครุ่นคิด สองเท้าของมันก้าวข้ามถนนไปยังป้ายรถม้าสาธารณะอีกฝั่ง



เขตตะวันออก ณ สุสานกรีน


ฟอร์ส·วอลล์ในชุดเดรสสีดำและหมวกห้อยตาข่าย เร่งฝีเท้าเพื่อเดินให้ทันโดเรียน·เกรย์ หนึ่งในสมาชิกตระกูลอับราฮัม สำหรับวันนี้ หญิงสาวสัญญาว่าจะพาอีกฝ่ายมาวางดอกไม้หน้าหลุมศพของอาริสา ลาโบโร่ และลอว์เรนซ์


ขณะย่างกรายโดยปราศจากบทสนทนา สมองฟอร์สกำลังครุ่นคิดเพียงเรื่องเดียวก็คือ วิธีหาเบาะแสวัตถุดิบหลักโอสถชิ้นถัดไปของตน ถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนวิญญาณ


ฟอร์สทราบดีว่าตนย่อยโอสถผู้ฝึกหัดเสร็จนานแล้ว และจะกลายเป็นนักตุกติกทันทีเมื่อได้ถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนมาไว้ในมือ อย่างไรก็ตาม เธอไม่มีเบาะแสของมันแม้แต่นิดเดียว และเดอะซันซึ่งฟอร์สเคยฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้ ก็ต้องเก็บตัวเงียบชั่วคราวไปอีกสักพัก ไม่สามารถประกอบพิธีกรรมหรือชักชวนเพื่อนฝูงออกไปล่าผู้กลืนวิญญาณได้ตามสะดวก เพราะกำลังถูกจับตามองโดยคนของสภาอาวุโส


เพื่อจะรีบเลื่อนลำดับและหลุดพ้นจากคำสาปในคืนจันทร์เต็มดวงโดยเร็ว ฟอร์สถึงกับนำเรื่องนี้มาปรึกษาเดอะฟูล หวังให้ผู้รับใช้ของท่านช่วยจัดหาวัตถุดิบโอสถ ระหว่างการขอร้องยังแจ้งด้วยว่า นิยายเรื่องใหม่ของเธอกำลังอยู่ในกระบวนการตีพิมพ์ หากทุกสิ่งเป็นไปอย่างราบรื่น เธอจะมีรายได้มั่นคงเป็นระยะเวลาหนึ่ง ทำไปเช่นนี้ก็เพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าเธอมีเงินมาจ่ายว่าวัตถุดิบโอสถแน่นอน สำหรับตัวตนนักเขียนบนโลกความจริง หญิงสาวมิได้กังวลว่าจะถูกเปิดเผย เพราะมิสเตอร์ฟูลคงทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดีแล้ว


ท่ามกลางบรรยากาศเงียบเชียบ สันโดษ และหนาวเหน็บ ฟอร์สกับโดเรียนเดินมาหยุดยืนหน้าหลุมศพลอว์เรนซ์


เมื่อจ้องมองรูปภาพเจ้าของหลุมศพและอ่านถ้อยคำจารึกบนป้ายหิน : ‘เขาคือยอดครู’ โดเรียน·เกรย์เงียบงันนานหลายวินาที ก่อนจะถอนหายใจยาว


“ช่างน่าขันนัก…”


“ทำไมหรือคะ” ฟอร์สซักถามด้วยสีหน้ากระวนกระวาย กังวลว่าตนทำอะไรผิดไป


เธอเคยได้ยินลอว์เรนซ์บอกว่าเป็นครูสอนโรงเรียนรัฐบาลในเมืองคอนสแตน รัฐเลียบทะเล จึงเลือกใช้คำจารึกดังกล่าว


“เปล่า คุณไม่ได้ทำอะไรผิด เรื่องนี้เป็นเพียงความน่าสมเพชของตระกูลเรา” โดเรียนตัดพ้อพร้อมกับโน้มตัวลงไปวางดอกไม้


หลังจากลุกยืนตรง มันมองไปข้างหน้าสักพักโดยไม่กล่าวสิ่งใด จนกระทั่งหันหน้ากลับมาถามหญิงสาวด้านข้าง


“ฟอร์ส คุณอยากเป็นผู้วิเศษไหม ผู้วิเศษในเชิงศาสตร์เร้นลับ แบบเดียวกับคำอธิบายในจดหมายของผม”


……………………


ราชันเร้นลับ 432 : สิ่งมีชีวิตพันธสัญญา

โดย

Ink Stone_Fantasy

คำถามของโดเรียน·เกรย์มิได้ทำให้ฟอร์สประหลาดใจแต่อย่างใด เธอเตรียมตัวรับมือมาสักพักแล้ว นับตั้งแต่เริ่มติดต่อกับเขาตั้งแต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ฟอร์สปรึกษากับแฮงแมนแห่งชุมนุมทาโรต์ว่าตนควรมีท่าทีตอบสนองอย่างไร และกล่าวสิ่งใดเมื่อถูกถามเกี่ยวกับการเป็นผู้วิเศษ


“โลกนี้มีผู้วิเศษจริงหรือ…?” ฟอร์สทำสีหน้าประหลาดใจ


โดเรียนผงกศีรษะรับอย่างอ่อนโยน


“มีสิ”


มันมองไปรอบตัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งใบร่วงโรยไปเกือบหมด และวางฝ่ามือนาบลงไปบนลำต้น


ทันใดนั้น ร่างกายโดเรียนเริ่มกระเพื่อมในลักษณะคลื่นผิวน้ำ จากนั้นก็หายไปโผล่อีกของต้นไม้อย่างกะทันหัน โดยยังคงยืนนิ่งในอากัปกิริยาเดิม


“ส…สุดยอด! ท…ทำได้ยังไงคะ!” จากการฝึกฝนโดยมีแฮงแมนและจัสติสคอยให้คำปรึกษา ฟอร์สเปิดปากเป็นครึ่งวงกลมพร้อมกับแสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างเป็นธรรมชาติ


โดเรียนเดินกลับมาหาพลางฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะซักถามอย่างเป็นกันเอง


“คุณอยากเป็นเหมือนผมไหม”


ฟอร์สก้มหน้าเงียบงันหลายวินาที ตามด้วยการมอบคำตอบอย่าง ‘ตื่นเต้น’


“อยากค่ะ!”


เมื่อตระหนักว่าตนกำลังจะได้เป็นสมาชิกวงนอกของตระกูลอับราฮัม ฟอร์สจินตนาการอนาคตอันสดใสทันที หัวใจหญิงสาวกำลังพองโตด้วยความสุขโดยแท้จริง


โดเรียนอมยิ้มสักพัก ก่อนจะเปล่งเสียงเคร่งขรึม


“แล้วคุณอยากเป็นศิษย์ของผมไหม”


ฟอร์สรีบพยักหน้า


“ด้วยความยินดีค่ะ!”


โดเรียนถอนหายใจผ่อนคลายพร้อมกับรำพันเชิงตำหนิตัวเอง


“ในฐานะอาจารย์ ผมไม่ได้เก่งกาจอะไรมากนัก แถมยังเคยสอน… เฮ่อ ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องในอดีต สรุปให้เข้าใจง่าย คุณอย่าคาดหวังกับผมมากก็แล้วกัน”


หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน โดเรียนตัดสินใจนำบทเรียนจากอดีตมาปรับปรุง มันคิดไม่เล่าสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลอับราฮัมให้อีกฝ่ายฟัง หมายรักษาความสัมพันธ์ฉันอาจารย์ศิษย์ไปตลอด ด้วยวิธีข้างตน มันจะไม่ต้องกังวลว่าฟอร์สหวังแย่งชิงสมบัติวิเศษของตระกูลอับราฮัมเหมือนกับศิษย์คนก่อน


“ไม่จริงเลยสักนิดค่ะ! คำอธิบายเรื่องศาสตร์เร้นลับของมิสเตอร์เกรย์ เอ่อ… ของอาจารย์ เข้าใจง่ายมากเลยค่ะ! “ฟอร์สรีบยืนยันสถานภาพใหม่ระหว่างตนและโดเรียน”


โดเรียนจ้องป้ายหลุมศพลอว์เรนซ์พลางส่ายหัวเล็กน้อย มันถอนหายใจยาว


“ว่ากันตามตรง ผมไม่คิดจะรับใครเป็นศิษย์อีกแล้ว เพียงแต่ว่า คุณธรรมอันน่ายกย่องของคุณทำให้ผมเปลี่ยนใจ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ผมสามารถเตรียมโอสถให้คุณดื่มได้ในวันนี้”


“วันนี้?” ฟอร์สซักถามอย่างประหลาดใจ


ขณะแวะไปรับโดเรียน·เกรย์ เธอแอบเห็นว่าชายคนนี้พกกระเป๋าติดตัวแค่ใบเดียว เพียงพอสำหรับใส่เสื้อผ้าสำรองไม่กี่ชุดเท่านั้น ไม่มีจุดในบ่งชี้ว่าเขานำวัตถุดิบโอสถติดตัวมาด้วย


หรือว่าเขามีแหล่งรวบรวมวัตถุดิบโอสถภายในเบ็คลันด์ และเป็นของตระกูลอับราฮัมโดยเฉพาะ?


ฟอร์สคาดเดาอย่างคร่าว


แผนเดิมของเธอคือ อาศัยระยะทางระหว่างตนกับโดเรียนให้เกิดประโยชน์ หากอีกฝ่ายมอบโอสถหรือวัตถุดิบ ฟอร์สจะแอบนำไปขายโดยบอกว่าดื่มเข้าไปแล้ว ด้วยวิธีดังกล่าว นอกจากเธอจะได้รับเงินจำนวนหนึ่ง ยังช่วยขจัดความเสี่ยงซึ่งเกิดจากการดื่มโอสถชนิดเดิมเข้าไป รวมถึงไม่ต้องเสียเวลาย่อยเพิ่มอย่างเปล่าประโยชน์


“ถูกต้อง” โดเรียนไม่อธิบายยืดยาว เพียงชี้นิ้วไปทางอื่น “แวะไปเยี่ยมลาโบโร่กับอาริสาก่อนก็แล้วกัน”



เมื่อเสร็จการวางดอกไม้หน้าหลุมศพ คนทั้งสองหันหลังกลับ เดินออกจากสุสานกรีนและตรงมายังห้องพักเช่าของฟอร์สกับซิล


ตลอดเดือนผ่านมา ซิลซึ่งเพิ่งกลายเป็นเจ้าพนักงาน จึงต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่และกลับดึกดื่นในทุกวัน ทำเช่นนี้เพื่อเร่งใช้หนี้สินให้หมดลงโดยเร็ว หญิงสาวร่างเล็กรับทุกภารกิจโดยไม่เกี่ยง ทำให้ไม่เคยอยู่บ้านในช่วงเที่ยง


“มีห้องเงียบสงบบ้างไหม” โดเรียนกวาดสายตาไปรอบตัว


“ทุกห้องค่ะ” ฟอร์สเดินนำอาจารย์เข้าไปยังห้องนั่งเล่นบนชั้นหนึ่ง


โดเรียนเดินวนรอบห้อง ตรวจสอบเครื่องเรือนและสภาพแวดล้อม ก่อนจะบอกให้ฟอร์สช่วยจุดเทียนไขผสมกลิ่นไม้จันทน์หนึ่งเล่ม


ถัดมา โดเรียนปิดประตูและรูดม่านมิดชิด


มันเดินมายังเทียนไขพร้อมกับหยิบขวดน้ำมันสกัดกับผงสมุนไพรทั่วไปออกมา


พิธีกรรม? ไม่ใช่ว่าต้องใช้เทียนไขสามเล่มหรอกหรือ?


ฟอร์สเฝ้ามองเหตุการณ์ด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่ไม่คิดปริปากถามสิ่งใด ราวกับถูกบรรยากาศอันลึกลับสะกด


หลังจากจบส่วนแรกของพิธีกรรม โดเรียนเดินถอยหลังเล็กน้อย ก่อนจะเปล่งถ้อยคำภาษาเฮอร์มิสโบราณด้วยสีหน้าขึงขัง


“ตัวข้า! ขออัญเชิญในนามของข้า กายาวิญญาณพิเศษผู้ท่องเที่ยวไปทั่วดินแดนเบื้องบน สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงมิติผู้หลงรักเสียงดนตรี ผู้ทำพันธสัญญากับโดเรียน·เกรย์·อับราฮัม”


ฟ้าว—


ภายในห้องนั่งเล่นพลันคละคลุ้งไปด้วยสายลมกระโชก ตามด้วยเสียงสะอื้น เทียนไขกำลังสั่นไหวด้วยเปลวเพลิงสีน้ำเงินเข้ม


ถัดมาไม่นาน วงแสงสีน้ำเงินเริ่มขยายออกจากเปลวเทียน ก่อนจะก่อตัวเป็นวงแหวนมายาลักษณะคล้ายประตูมิติในแนวราบ


ทันใดนั้น วัตถุมายาทรงกลมในสภาพกึ่งวิญญาณลอยขึ้นมาจากวงแหวนพร้อมกับแสง


สีของมันขาวโพลนคล้ายนมสด ปราศจากดวงตา จมูก แขน และขา อวัยวะเดียวในร่างกายคือริมฝีปากขนาดค่อนข้างกว้าง


โดเรียนฉีกยิ้มพลางใช้มือง้างเปิด ‘ปาก’ ของสิ่งมีชีวิตปริศนาออก ขณะเดียวกันก็ฮัมเพลงร้องกล่อมเด็กอย่างสุนทรีย์


‘ลูกบอล’ โยกเอนซ้ายขวาอย่างอ่อนโยน ราวกับชื่นชอบการถูกปฏิบัติเช่นนี้


หลังจากฮัมเพลงจบ โดเรียนเลื่อยฝ่ามือลงมาตรงปากของลูกบอล


“มาลมอส ฉันขอของเมื่อวานคืน”


‘ลูกบอล’ เริ่มกระเด้งขึ้นลงพร้อมกับขยับปากอ้ากว้างจนผิดธรรมชาติ จากนั้นก็พ่นวัตถุดิบหลักโอสถส่องแสงระยิบระยับสองชิ้นออกมา


ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ… ฟอร์สเฝ้ามองเหตุการณ์อย่างตกตะลึง


โดเรียนใช้มือหยิบวัตถุดิบหลักโอสถผู้ฝึกหัดมาถือ ยกเลิกการอัญเชิญ และเสร็จสิ้นพิธีกรรม


มันหันมายิ้มให้ฟอร์ส


“แม้แต่ในโลกวิญญาณ สิ่งมีชีวิตประเภทห้วงมิติก็ยังนับว่าหาได้ยาก ภายใต้เงื่อนไขปรกติ พิธีกรรมอัญเชิญแทบไม่มีโอกาสระบุถึงตัวพวกเขาได้ ดังนั้น อาวุโสของตระกูลเราจึงต้องท่องไปทั่วโลกวิญญาณเพื่อค้นหา ใช้เวลานานกว่าจะพบตัวและเริ่มการทำพันธสัญญา ด้วยวิธีดังกล่าว บรรดาศิษย์ของเหล่าอาวุโสสามารถอัญเชิญสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกันได้ด้วยเทคนิคพิเศษ หลังจากสิ่งมีชีวิตห้วงมิติถูกอัญเชิญด้วยเทคนิคพิเศษ เหล่าศิษย์ต้องทำพันธสัญญาซ้ำอีกครั้งเพื่อให้ตนได้รับสิทธิ์อัญเชิญแต่เพียงผู้เดียว”


“แบบนี้นี่เอง… สุดยอด!” ฟอร์สกล่าวด้วยความรู้สึกจากก้นบึ้ง


เธอกำลังวาดฝันอนาคต


ถึงจะไม่มีเรื่องคำสาปคืนจันทร์เต็มดวงมากดดันให้พัฒนาพลัง แต่การได้ท่องไปทั่วโลกวิญญาณก็นับเป็นประสบการณ์แสนวิเศษ แม้ว่าอาจต้องแลกมาด้วยภัยอันตรายในระดับสูงขึ้นก็ตาม…


อยากลองท่องโลกวิญญาณสักครั้งจัง…


โดเรียนยิ้มมุมปาก


“ความสามารถพิเศษของมาลมอสคือการกลืนสิ่งของจำนวนมากเข้าไปในท้องโดยไม่สร้างความเสียหาย จึงไม่ต่างอะไรกับคลังเก็บสินค้าแบบพกพา อีกทั้งยังถูกพบตัวได้ยาก แน่นอน ท้องของมาลมอสเก็บสิ่งของได้จำกัดจำนวน และยิ่งไปกว่านั้น มาลมอสไม่ชอบคนไม่มีพรสวรรค์ทางดนตรี เขาจะปฏิเสธการทำพันธสัญญาโดยไม่ไยดี”


อย่างน้อยเราก็ยังเล่นพินได้… ขณะฟอร์สถอนหายใจอย่างโล่งอก โดเรียนส่งสัญญาณให้เธอเดินไปหยิบหม้อต้ม


เมื่อตระหนักว่าอีกฝ่ายเตรียมปรุงโอสถให้ดื่มทันที แม้สีหน้าภายนอกของหญิงสาวจะไม่เผยความผิดปรกติ แต่หัวใจกำลังเต้นระรัวอย่างผิดจังหวะ เธอถึงขั้นสาปแช่งให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นกลางคัน


เราไม่อยากดื่มโอสถผู้ฝึกหัดเข้าไปอีก! มันเสียเวลาย่อย! ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ สู้เปิดเผยความจริงตั้งแต่แรกก็ดี… แต่ตอนนี้คงสายไปแล้ว อาจารย์คงใช้พลังทำนายตรวจสอบและไม่พบความผิดปรกติในตัวเรา หากทราบภายหลังว่าเราเป็นผู้วิเศษ เขาจะรู้ทันทีว่ามีองค์กรหรือบุคคลทรงพลังคอยหนุนหลังเราอยู่…


ท่ามกลางความคิดฟุ้งซ่าน หญิงสาวเห็นโดเรียนหมุนตัวกลับมาพร้อมกับขวดโอสถบรรจุของเหลวมีฟอง


“ดื่มซะ แล้วคุณจะกลายเป็นผู้วิเศษ”


โดเรียนพยายามโน้มน้าว


ตามด้วยการพูดให้สบายใจ


“ไม่ต้องกังวล หากมีผมอยู่ด้วย คุณจะไม่ได้รับอันตรายใดทั้งสิ้น”


“ตกลงค่ะ…” ฟอร์สกัดฟันกรอดพร้อมกับรับโอสถผู้ฝึกหัดมาถือ ก่อนจะซดรวดเดียวจนหมดขวดราวกับประชดชีวิต


เธอกำลังตระหนักถึงสัจธรรมข้อหนึ่ง :


เราควรซื่อสัตย์กับทุกคน!



หลังจากรถม้าแล่นมาจอดด้านนอกเขตตะวันออก ไคลน์ในชุดสุภาพ เสื้อโค้ท หมวกและไม้ค้ำครบสูตร เดินเท้าต่อเข้าไปในเขตชุมชนแออัดแต่มีสภาพแวดล้อมพอใช้


เมื่อเข้าใกล้จุดหมาย ไคลน์มองเห็นสองบุคคลคุ้นเคยภายในหอพักลักษณะค่อนข้างสะอาดตรงหน้า


พวกเธอเป็นเด็กผู้หญิง คนหนึ่งอายุสิบเจ็ดสิบแปด ส่วนอีกคนอายุสิบห้าสิบหก ไม่ใช่ใครนอกจากเดซีและเฟรย่า บุตรสาวของหญิงซักผ้านามไลฟ์ เดซีเคยถูกคาพินจับตัวไปกักขังและเตรียมขายเป็นทาส แต่โชคดีว่าจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดมาช่วยไว้ได้ทัน


เมื่อมองเห็นไคลน์ เดซีรีบเผยรอยยิ้มสดใส


“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ นักสืบโมเรียตี้!”


ไคลน์ยิ้มรับ ตามด้วยการซักถามอย่างประหลาดใจ


“เดซี เธอไม่ต้องไปโรงเรียนหรือ”


เมื่อบทสัมภาษณ์ของไมค์·โยเซฟถูกตีพิมพ์ออกไป รวมถึงการกดดันทางอ้อมจากโบสถ์รัตติกาล สภาเมืองเบ็คลันด์จึงไม่มีทางเลือก ต้องก่อตั้งกองทุนการกุศลจากการขายทรัพย์สินทั้งหมดของคาพิน จุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือเหยื่อผู้ถูกคาพินลักพาตัว


ครอบครัวเดซีฉวยโอกาสดังกล่าวย้ายจากหอพักเก่าโทรมในย่านความปลอดภัยต่ำ ออกมาอยู่ชานเมืองเขตตะวันออก หอพักใหม่ของพวกเธอประกอบด้วยสองห้อง แยกห้องซักผ้าออกจากห้องกินข้าวและห้องนอนอย่างเป็นสัดส่วน


ยิ่งไปกว่านั้น เดซียังได้รับทุนการศึกษาให้เข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาล และยังมีกองทุนการกุศลช่วยรับผิดชอบค่าอาหารกลางวันมูลค่าสัปดาห์ละ 3 เพนนี


ในเมื่อโรงเรียนรัฐบาลหยุดแค่วันอาทิตย์ ไคลน์จึงประหลาดใจเมื่อเห็นเดซีอยู่บ้าน


“โรงเรียนของหนูอยู่ใกล้มาก สามารถแวะกลับมาบ้านได้ช่วงพักกลางวัน หนูต้องช่วยคุณแม่กับพี่เฟรย่านำผ้าแห้งไปส่งลูกค้า เพราะพวกเขาสองคนมีงานยุ่งมากอยู่แล้ว” เดซีตอบอย่างซื่อตรง


แน่นอน เมื่อขาดเดซีไป ไลฟ์กับเฟรย่าย่อมทำงานได้น้อยกว่าเดิม ส่งผลให้รายรับครอบครัวลดลงตามไปด้วย หากไม่เพราะมีความช่วยเหลือจากไมค์ในรูปแบบกองทุนการกุศล พวกเธอคงไม่สามารถใช้ชีวิตเช่นนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง


ในเวลาเดียวกันก็หมายความว่า เฟรย่าหมดสิทธิ์เข้าโรงเรียนโดยสิ้นเชิง และขณะเดซีกำลังคุยกับไคลน์อย่างมีความสุข สายตาเฟรย่าบ่งบอกชัดเจนว่าเธอรู้สึกปวดร้าวเจือความอิจฉา


ถึงจะยังไม่สิบแปดปีบริบูรณ์ แต่พี่สาวอย่างเธอกลับทำได้เพียงเฝ้ามองน้องสาวเข้าโรงเรียนและมีอนาคตสดใสเผื่อตัวเอง


ไคลน์ตระหนักถึงรายละเอียดเล็กน้อยในจุดนี้ จึงตัดสินใจตักเตือนจำเดซี


“เธอรู้ใช่ไหมว่าคุณแม่กับเฟรย่าต้องเสียสละตัวเองเพื่อให้เธอมีอนาคต ดังนั้น ห้ามทอดทิ้งพวกเขาเด็ดขาด”


เดซีผงกศีรษะหนักแน่น


“หนูคิดแบบนั้นมาตลอด และหลังจากนี้ หากทุกสิ่งเริ่มลงตัว หนูจะนำบทเรียนจากโรงเรียนมาสอนเฟรย่าเป็นการส่วนตัว เป็นครูสอนพิเศษให้เธอคนเดียว!”


เมื่อได้ยิน เฟรย่าพลันกะพริบตาถี่ ก่อนจะก้มศีรษะต่ำเพื่อเก็บซ่อนบางสิ่ง


“ยอดเยี่ยมมาก” ไคลน์ชมเชยพร้อมกับกล่าวคำอำลาด้วยจิตใจแจ่มใส มันเดินออกมาและเลี้ยวเข้าไปในถนนเส้นใกล้เคียง


จุดหมายในคราวนี้คือถนนปาล์มดำ ชายหนุ่มต้องการหอพักหนึ่งเตียงนอนสำหรับเปลี่ยนเป็นชุดคนงาน


แต่หลังจากเดินออกจากหอพักได้ไม่นาน ไคลน์มองเห็นชายชราคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายกล่าวทักทายด้วยสีหน้าอ่อนโยน


“มิสเตอร์ คุณเคยได้ยินเรื่องราวของพระผู้สร้างต้นกำเนิดบ้างไหม”


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)