Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 409-420

 ราชันเร้นลับ 409 : ธันวาคม

โดย

Ink Stone_Fantasy

อะไรนะ? ให้เราสืบข่าวตัวเองอีกแล้ว?


ไคลน์เริ่มสงสัยว่านี่อาจเป็นบททดสอบจากพระเจ้า


จริงอยู่ องค์กรลับผู้ใช้ไพ่ทาโรต์ค่อนข้างน่าสนใจ เราก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่เราไม่มีทางขายตัวเองแน่นอน… ไม่ผิดแน่ ตัวตนแท้จริงของคาพินย่อมไม่ธรรมดา มันมีผู้วิเศษคอยอารักขามากถึงสี่คน บางที อาจมีองค์กรลับทรงพลังคอยหนุนหลัง แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแวดวงชนชั้นสูง…


แต่นักสืบเชอร์ล็อกต้องทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้…


ไคลน์ก้มหน้าตรึกตรองและชั่งน้ำหนักข้อเสนออย่างถี่ถ้วน


“การสืบหาเบาะแสขององค์กรลับไม่ใช่เรื่องง่าย แถมยังอันตรายมากด้วย”


คล้ายกับทาลิมคาดหวังคำตอบไว้แล้ว


“เชอร์ล็อก คุณไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายเลยสักนิด บุคคลสำคัญเพียงต้องการให้คุณช่วยรวบรวมข่าวลือเกี่ยวกับองค์กรดังกล่าวเท่านั้น นี่คือเงินห้าปอนด์เป็นค่าเสียเวลา ต่อให้คุณไม่ได้รับเบาะแสใดเพิ่มเติม เงินก้อนนี้ก็จะยังเป็นของคุณอยู่ดี แต่ถ้าพบเบาะแสสำคัญ ทางนั้นยินยอมเพิ่มเงินก้อนโต รวมถึงอนุญาตให้คุณเบิกค่าเสียหายระหว่างภารกิจ”


เงื่อนไขยอดเยี่ยมขนาดนี้เชียว? บุคคลสำคัญเป็นฝ่ายเดียวกับคาพิน หรือเป็นฝ่ายตรงข้าม และต้องการตามหาองค์กรลับสัญลักษณ์ไพ่ทาโรต์เพื่อคอยสนับสนุนกันแน่?


หืม… อนุญาตให้เบิกค่าเสียหาย… ไม่ได้ยินคำนี้มานานแค่ไหนแล้ว…


ในเมื่ออีกฝ่ายมีน้ำใจยื่นข้อเสนอหอมหวานถึงเพียงนี้ หากนักสืบเอกชนแสนธรรมดาอย่างเราตอบปฏิเสธ นั่นจะยิ่งเพิ่มความน่าสงสัย… และเหนือสิ่งอื่นใด เราคือผู้กำหนดทิศทางการสืบสวน โดยเฉพาะการสืบหาเบาะแสของตัวเอง…


ไคลน์แสร้งลังเลสักพัก ก่อนจะกล่าว


“เข้าใจแล้ว ผมจะพยายามก็แล้วกัน”


ชายหนุ่มไม่มากพิธี ใช้มือคว้าธนบัตรห้าปอนด์ของทาลิมมาเก็บ โดยภายในใจมีแผนจะมอบเบาะแสอย่างกว้างให้อีกฝ่ายทุกหนึ่งสัปดาห์หรือสอง


ในเมื่อชุมนุมแสงเหนือกำลังพลิกแผ่นดินตามล่าเดอะฟูล และเดอะฟูลคือชื่อไพ่ทาโรต์ในสำรับหลัก หมายความว่าเราสามารถฉวยโอกาสทองครั้งนี้ ชักนำให้ ‘บุคคลสำคัญ’ ช่วยจัดการมิสเตอร์ A ทางอ้อมได้!


ชายหนุ่มผุดความคิดสุดบรรเจิด



ใต้มหาวิหารนักบุญแซมมัว


นักปลอบวิญญาณ โซสต์ เรียกลูกทีมทุกคนมารวมตัวเพื่อประชุมหารือเกี่ยวกับแผนการหลังจากนี้


มันหันไปจ้องบุรุษผมดำยุ่งเหยิง ดวงตาเขียวมรกต เลียวนาร์ด·มิเชล และซักถามเชิงลองภูมิ


“ถ้าผมมอบภารกิจนี้ให้ คุณมีแผนสืบสวนคดีเกี่ยวกับไพ่ทาโรต์ทั้งสองอย่างไรบ้าง”


เลียวนาร์ดเลื่อนมือขึ้นมาสางเส้นผม อมยิ้ม และมอบคำตอบ


“ประการแรก ผมจะทำตามแผนเดิมในหัว ย้อนสืบหาว่าใครกำลังตามล่าตัวสาวกของเดอะฟูลอยู่ ทางนั้นต้องมีข้อมูลของอีกฝ่ายแน่นอน ประการสอง รื้อสองคดีไพ่ทาโรต์ขึ้นมาสืบสวนใหม่ทั้งหมด ตรวจสอบว่ามีผู้เกี่ยวข้องคนใดบ้าง ไม่ว่าจะน่าสงสัยหรือไม่ก็ตาม จากนั้นก็ใช้พลังฝันร้ายเข้าไปเค้นความจริงทีละคน ผมเชื่อว่า ตัวการสำคัญต้องซ่อนอยู่ในกลุ่มคนน่าสงสัยน้อยกว่าใครเพื่อนแน่!”


โซสต์หัวเราะ


“ผมได้อ่านเอกสารแล้ว คดีทั้งสองมีผู้เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก อาศัยคนละเขตโดยสิ้นเชิง การสืบสวนใหม่หมดจึงเป็นไปได้ยาก และไม่เพียงเท่านั้น หลายคนยังเป็นผู้วิเศษนอกกฎหมาย เก่งกาจด้านซ่อนตัว พวกเราไม่มีทางทราบแหล่งกบดานครบทุกคน ถ้าคุณต้องการรื้อคดีออกมาทำใหม่จริง คงต้องร้องขอให้โบสถ์ส่งฝันร้ายมาเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่าห้านาย หรือไม่ก็เหยี่ยวราตรีลำดับสูงกว่านั้น และแน่นอน ยังต้องมีหน่วยสนับสนุนระดับล่างอีกหลายสิบนาย”


“อย่าลืมสิ ขอบเขตงานของหน่วยเรามีเพียงการเฝ้าระวังพิธีกรรมอัญเชิญปีศาจ” ถุงมือแดงคนหนึ่งกล่าวเตือนสติเลียวนาร์ด


ชายหนุ่มมิได้แสดงสีหน้าโกรธเคือง เพียงเผยรอยยิ้มมุมปาก


“ผมทราบ แต่ในเมื่อถูกถาม ผมก็ต้องตอบในมุมมองตัวเอง ส่วนใครจะนำไปใช้หรือไม่ ก็สุดแล้วแต่ท่านหัวหน้าโซสต์”


ชายหนุ่มเว้นวรรคพลางขมวดคิ้วฉงน


“แต่ผมไม่เข้าใจ ทำไมคดีไพ่ทาโรต์ทั้งสองถึงได้รับความสนใจจากโบสถ์น้อยมาก โดยเฉพาะคดีแรกซึ่งเกี่ยวข้องกับการจุติของทายาทเทพมารโดยตรง น่าจะเป็นอันตรายยิ่งกว่าพิธีกรรมอัญเชิญปีศาจตามปรกติอีกไม่ใช่หรือครับ”


โซสต์ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ และมอบคำตอบอย่างเป็นกันเอง


“เหยี่ยวราตรีมีกำลังคนจำกัด จึงต้องแบ่งความสำคัญของเนื้องานตามระดับภัยคุกคาม แต่จนกระทั่งตอนนี้ องค์กรลับไพ่ทาโรต์ยังมิได้แสดงความเป็นภัยออกมา กลับกัน พฤติกรรมของพวกเขาออกจะ… ค่อนข้างเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายเรา ไม่ว่าจะเป็นการทำลายแผนจุติของพระผู้สร้างแท้จริง หรือการเปิดโปงว่าคาพินไม่ใช่นักค้ามนุษย์ธรรมดา แต่อาจมีเรื่องราวเบื้องลึกซ่อนอยู่อีกมาก”


เมื่อกล่าวจบ โซสต์ยิ้มมุมปาก


“บางที พวกเขาอาจช่วยเราเปิดโปงเรื่องราวแสนโสมมได้มากกว่านี้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไม่ตามสืบ ในฐานะองค์กรลับนอกรีต ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าพวกเขาจะไม่กลายมาเป็นศัตรูในอนาคต”


“เข้าใจแล้วครับ ท่านหัวหน้าโซสต์ พวกเรากลับมาทำคดีอัญเชิญปีศาจต่อเถอะ”


เลียวนาร์ดกล่าวจากใจจริง



สำหรับกรุงเบ็คลันด์ มีสองสิ่งมิอาจถูกพรากไปจากฤดูหนาวได้ หนึ่งคือเตาผิง และสองคือหมอกหนาสีเทาเย็นเฉียบ


เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เหลืออีกเพียงครึ่งเดือนก็จะถึงเทศกาลปีใหม่


ไคลน์ดับไฟเตาผิง หยิบโค้ทดำกระดุมสองแถวตัวใหญ่ออกมาสวมทับเสื้อกั๊กขนสัตว์สีแดงเข้ม


ราวสามสัปดาห์ก่อน เลพเพิร์ดสำเร็จการจดสิทธิบัตรจักรยานและเริ่มค้นหาผู้ร่วมลงทุนระลอกสอง จนกระทั่งไปเตะตาเจ้าพ่อแห่งวงการไอน้ำ ฟามี่·เคจ เข้า


หลังจากนัดพบปะเพื่อพูดคุยอยู่หลายหน ทั้งสามจึงตกลงร่างสัญญาฉบับสุดท้ายในวันนี้


ตลอดเดือนผ่านมา ไคลน์ใช้ชีวิตราบเรียบและไม่หวือหวา มันสืบหาข้อมูลเรื่อยเปื่อยพลางใช้เทคนิคสวมบทบาทอย่างสม่ำเสมอ ปัจจุบันจึงขาดเพียง ‘การแสดงกล’ รอบใหญ่อีกสักหนก็จะทำให้โอสถย่อยสมบูรณ์ทันที


แต่ถ้าเราไม่รีบ ก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชิงลงมือกับใครก่อน เน้นปลอดภัยเป็นหลัก…


ขณะปล่อยความคิดล่องลอย ไคลน์หยิบหมวกทรงกึ่งสูงออกจากราวแขวนผ้า และใช้แปรงกับผ้าเช็ดหน้าปัดฝุ่นทำความสะอาด


ถึงแม้เข็มกลัดของลาเนวุสจะระบุว่าวันนัดหมายการชุมนุมรอบถัดไปคือ 4 มกราคม แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดไปเสี่ยงเยือนโดยเด็ดขาด


ตลอดเดือนผ่านมา ชุมนุมทาโรต์ถูกจัดขึ้นตามปรกติ ไคลน์ได้อ่านไดอารีจักรพรรดิโรซายล์เพิ่มหลายหน้า และได้เป็นสักขีพยานการเติบโตของโรซายล์ จากไก่อ่อนผู้เอาแต่เพ้อฝันถึงสาวงาม จนกระทั่งเป็นเสือผู้หญิงนักล่า


แต่นอกจากนี้ก็แทบไม่มีอะไรคืบหน้า ถึงแม้จะให้เดอะเวิร์ลนำตะกอนพลังมนุษย์หมาป่าไปฝากแฮงแมนขาย แต่ธุรกิจระดับหนึ่งพันปอนด์ก็มิได้บรรลุกันง่ายนัก ยิ่งเป็นตะกอนพลังบนเส้นทางต้องคำสาปด้วยแล้ว ใครได้ยินเป็นต้องหวาดกลัวจนหัวหด


แต่ในการชุมนุมหนล่าสุดเมื่อไม่กี่วันก่อน แฮงแมนบอกกับเดอะเวิร์ลว่า มีช่างฝีมือจากโบสถ์จักรกลไอน้ำสนใจจะซื้อตะกอนพลังดังกล่าวไปทำเป็นสมบัติวิเศษ


ได้แต่ภาวนาให้แฮงแมนปิดการขายได้ภายในสัปดาห์นี้… แต่ในทางกลับกัน เรายังไม่มีเบาะแสโอสถผู้รับใช้วายุไปให้แฮงแมน…


ไคลน์ใช้มือสำรวจสัมภาระ สวมหมวก จับไม้เท้า และย่างกรายออกจากบ้าน


ผู้รับใช้วายุคือโอสถลำดับ 6 การหาเบาะแสย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ส่งผลให้แฮงแมน อัลเจอร์·วิลสัน รอคอยสิ่งนี้นานเกินกว่าหนึ่งเดือนแล้ว


จัสติส ออเดรย์ ผู้เผชิญบททดสอบและการเฝ้าสังเกตมาสักระยะ ได้รับการยินยอมให้เข้าร่วมสมาคมแปรจิตอย่างเป็นทางการ เธอแจ้งว่าจะมีการทดสอบสุดท้ายในสัปดาห์นี้


เด็กสาวระบุชัดว่า เพื่อให้การทดสอบเป็นไปอย่างราบรื่นไร้กังวล เธอต้องการถูกท่านเดอะฟูล ‘อวยพร’ ล่วงหน้า และหากเข้าร่วมสมาคมแปรจิตสำเร็จเมื่อไร ตนมีแผนจะนำไดอารีจักรพรรดิโรซายล์จำนวนมากมาให้อ่านโดยไม่คิดค่าตอบแทน


ในส่วนซากสิ่งมีชีวิตภายในคลังสมบัติดยุคนีแกน ออเดรย์ให้คนยืนยันแล้วว่านั่นคือซากของนักล่าพันหน้าจริง เพียงแต่มันเป็นของจัดแสดงและปราศจากออร่าพลังวิญญาณ


ส่วนสองพันปอนด์ซึ่งเด็กสาวยังติดค้างกับผู้รับใช้เดอะฟูล ออเดรย์ไม่สามารถจ่ายได้จนกว่าจะถึงช่วงกุมภาพันธ์หรือมีนาคมของปีถัดไป สืบเนื่องมาจาก ถึงเธอจะมีอายุครบสิบแปดปีในช่วงปีใหม่ และได้รับสืบทอดมรดกมหาศาลจากผู้เป็นพ่อ แต่ก็ไม่สามารถขายสมบัติเหล่านั้นกินได้ทันที เพราะทรัพย์สินยังคงอยู่ในความดูแลของพ่อแม่ไปอีกสักพัก


เหนือสิ่งอื่นใด เธอยังค้างหนี้ไวเคาต์กายลินอยู่มาก จึงต้องเร่งมือหาคืนให้ทางนั้นก่อน


ทางด้านเมจิกเชี่ยน ฟอร์ส ด้วยความช่วยเหลือจากแฮงแมน หญิงสาวได้รับเลือดของปลามาร์ลินทะเลลึก โดยต้องนำเงินจำนวนสามร้อยยี่สิบปอนด์ไปแลก ส่งผลให้เงินเก็บในปัจจุบันเหลือเพียงหนึ่งร้อยยี่สิบปอนด์เท่านั้น


เพื่อเป็นการเร่งหาเงินซื้อถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนวิญญาณ รวมถึงทำให้เงินออมกลับไปอยู่ในระดับน่าพึงพอใจ ฟอร์สเร่งมือเขียนนิยายเรื่องใหม่จนเกิดเป็นรูปเป็นร่างภายในระยะเวลาแสนสั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับการผจญภัย ความรัก การท่องเที่ยว ลมพายุ โจรสลัด และปัจจัยแฟนตาซีด้านอื่น หลอมรวมอยู่ในเรื่องเดียว


เธอและโดเรียน·เกรย์ยังคงเขียนจดหมายถึงกันเป็นระยะ โดยอีกฝ่ายแจ้งว่า จะเข้ามาในกรุงเบ็คลันด์เพื่อเคารพศพลาโบโร่ อาริสา และลอว์เรนซ์


เดอะซัน เดอร์ริค แสร้งทำตัวใสซื่อตามคำแนะนำของแฮงแมนมาตลอด ไม่ประกอบพิธีกรรมแม้แต่ครั้งเดียว ตรงกันข้าม แต่ละวันยังเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนและสร้างผลงานอย่างต่อเนื่อง


เมื่อถึงเวลาชุมนุมทาโรต์ เดอร์ริคจะแอบงีบอย่างแนบเนียนเสมอ และทำให้น่าสงสัยน้อยลงโดยการหาโอกาสงีบพร่ำเพรื่อทั้งวันจนผู้อื่นมองว่าเป็นนิสัยประจำตัว


จากคำบอกเล่าของเด็กหนุ่ม อาวุโสโลเฟียร์ถูกผู้นำสูงสุดสั่งกักตัวใต้หอคอยมาไม่ต่ำกว่าเจ็ดวัน


ทางด้านชุมนุมแสงเหนือและมิสเตอร์ A แผนการค้นหาตัวสาวกของเดอะฟูลย่อมไม่มีความคืบหน้า ไคลน์จงใจไม่เปิดเผยเบาะแสแม้แต่เรื่องเดียวตลอดหนึ่งเดือนผ่านมา


และถึงพวกมันจะคว้าน้ำเหลวอย่างไร แต่ผู้วิเศษในชุมนุมมิสเตอร์ A ก็ไม่ใช่คนโง่ ย่อมไม่มีทางเอ่ยนามเต็มของเดอะฟูลเป็นภาษาเฮอร์มิสส่งเดช นอกเสียจากจะไม่มีสมองเหลืออยู่แล้ว หรือไม่ก็ชีวิตกำลังจะถึงจุดจบ เพราะการสวดภาวนาถึงเทพมารโดยตรง ไม่ต่างอะไรกับการร้องขอให้ความตายย่างกรายเข้ามาเยือน


ระหว่างนั้น แวมไพ์เอ็มลิมระบุว่า มันมีเบาะแสของหนึ่งในวัตถุดิบตรงตามความต้องการของไคลน์จริง เพียงแต่ต้องยืนยันกับแวมไพร์ชนชั้นสูงให้แน่ใจอีกครั้ง


แต่ปัญหาคือ เรายังไม่มีเงินซื้อ…


ขณะถอนหายใจด้วยสีหน้าหดหู่ ชายหนุ่มเดินตรงยังบ้านของนักกฎหมายเยอร์เก้นพร้อมกับไม้ค้ำในมือซ้าย


เมื่อกดกริ่งเสร็จ ไคลน์รีบถอยหลังสองเก้าตามสัญชาตญาณและความเคยชิน


เพียงอึดใจเดียว ประตูบ้านเปิดออกพร้อมกับมาดามดอริส ผู้มีใบหน้ายิ้มแย้ม กำลังอ้าแขนเตรียมสวมกอดไคลน์อย่างอบอุ่น


“คุณนักสืบ คุณหมอเพื่อนคุณช่างยอดเยี่ยมมาก! ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองสุขภาพดีแบบนี้มาหลายปีแล้ว!”


เมื่อโดริสมองเห็นว่าอีกฝ่ายยืนถัดไปค่อนข้างไกล เธอจึงหดแขนกลับมากอดอกตัวเองด้วยสีหน้าซาบซึ้ง


ไคลน์กล่าวติดตลกเสียงเรียบ


“มาดามดอริสครับ คุณพูดแบบนี้กับผมมาแล้วเก้าครั้ง”


ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มเหลือบเห็นแมวดำ โบรดี้ กำลังนั่งบนราวแหวนผ้าสูงในลักษณะหวาดเสียวเกรงว่าจะหล่น แต่จนแล้วจนรอด แมวก็ยังเป็นแมว


ไม่ได้เจ๋งเลยสักนิด เราก็ทำแบบนั้นได้เหมือนกัน… ไคลน์นำตัวเองไปเทียบกับแมว


“งั้นหรอกหรือ…” หญิงชราขมวดคิ้ว


ตามด้วยการโยนคำถามกลับพร้อมรอยยิ้ม


“มาหาเยอร์เก้นใช่ไหม”


ไคลน์ยิ้มตอบ


“ใช่ครับ”


การลงนามในสัญญาธุรกิจสำคัญ ย่อมขาดนักกฎหมายมือฉมังไม่ได้อยู่แล้ว


……………………


ราชันเร้นลับ 410 : ฟามี่·เคจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เขตนักบุญจอร์จ ถนนซาร์จ


ขณะไคลน์และเยอร์เก้นเดินลงจากห้องโดยสารรถม้าเช่า ชายหนุ่มสังเกตเห็นวัตถุขนาดใหญ่กำลังจอดหน้าบ้านเลพเพิร์ด


สีดำเหล็ก ด้านล่างมีล้อหลายคู่ ล้อแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ ด้านบนมีปล่องไฟคล้ายเรือโดยสาร พ่นควันขาวอมเทาออกมาเป็นระยะ


มันคือเครื่องจักรไอน้ำขนาดมหึมา ไคลน์มักได้เห็นและได้อ่านคำอธิบายจากนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์เท่านั้น หาใช่บนท้องถนน เครื่องยนต์ใหญ่โตเทอะทะเช่นนี้ ส่วนมากมักถูกพูดถึงในแง่การนำมาใช้กับเรือรบหุ้มเกราะรุ่นใหม่ล่าสุดของกองทัพเรือเสียมากกว่า


หากไม่เพราะมีการสร้างถนนใหม่หรือบูรณะในรอบยี่สิบสามสิบปีก่อน ยานพาหนะชนิดนี้จะมีขนาดใหญ่จนคับถนน ชนิดไม่เหลือช่องว่างสำหรับให้รถม้าวิ่งสวน ด้วยเหตุผลข้างต้น การพบเห็นรถยนต์ขับเคลื่อนพลังไอน้ำบนท้องถนนจึงแทบไม่เกิดขึ้น


ทันใดนั้น ประตูบานใหญ่และติดกระจกหนาพลันเปิดออก สุภาพบุรุษสองคนย่างกรายลงมาด้วยท่าทีผ่อนคลาย


หนึ่งในนั้นคือนักธุรกิจคนดังแห่งวงการจักรกลไอน้ำ ฟามี่·เคจ ซึ่งไคลน์เคยพบปะพูดคุยมาแล้วหลายหน เคจสืบสายเลือดฟุซัคมาหนึ่งส่วนสี่ จึงมีรูปร่างสูงโปร่ง กำยำ ดวงตาฟ้าอ่อน และชื่นชอบการสูบไปป์


บุคคลด้านข้างฟามี่มาในชุดเสื้อโค้ทสีดำตัวหนา รอบคอพันด้วยผ้าสีเทาผืนใหญ่ รูปลักษณ์ดาษดื่น ปราศจากจุดเด่น เส้นผมสีดำขลับ ดวงตาสีน้ำตาล แต่กลิ่นอายรอบตัวกลับมอบความเป็นมิตรอย่างน่าประหลาด


“สวัสดี นักสืบโมเรียตี้ ยังคงตรงเวลาเหมือนเคย ขอแนะนำให้รู้จัก ทางนี้คือนักกฎหมายและหุ้นส่วนของผม ปาเชโก้·ดอว์น”


ขณะสนทนา บุรุษกำยำสูงใหญ่สองคนก้าวลงจากยานพาหนะหุ้มเหล็กด้วยประตูคนละบานกับสองคนแรก ไม่ใช่ใครนอกจากบอดี้การ์ดส่วนตัวของฟามี่·เคจ


มืออาชีพเขาทำกันแบบนี้หรือ? ไม่ใช่ว่าบอดี้การ์ดควรเดินลงมาก่อน และอ้อมมาเปิดประตูให้เจ้านาย?


ไคลน์ตำหนิในใจ พลางเผยรอยยิ้มและแนะนำนักกฎหมายของตน เยอร์เก้น·คูเปอร์


ขณะรอให้เลพเพิร์ดเปิดประตู ทั้งสองพูดคุยทักทายกันตามประสา


“มิสเตอร์เคจ ยานพาหนะพลังไอน้ำเริ่มได้รับความนิยมเป็นวงกว้างบ้างหรือยัง?”


ฟามี่·เคจยิ้ม


“สำหรับคนมีเงิน ส่วนมากมักมองว่ารูปลักษณ์ของมันป่าเถื่อนเกินไป และสำหรับคนไม่มีเงิน พวกเขาไม่สามารถหาซื้อได้ สรุปได้ว่า มีเพียงนักธุรกิจคลั่งเครื่องจักรอย่างผม จึงจะตัดสินใจลงทุนกับมัน”


“อาจเป็นเพราะว่า ถนนคับแคบเกินไป”


ไคลน์พยายามมองโลกแง่ดี


สำหรับฟามี่·เคจ ชายหนุ่มใช้เส้นสายส่วนตัวหามาเอง ไม่เกี่ยวกับเลพเพิร์ด


ขณะกำลังเล่นไพ่ในสโมสรครักซ์ ไคลน์กล่าวถึงสิ่งประดิษฐ์ใหม่โดยไม่คาดหวังอะไรมากนัก แต่ครูสอนขี่ม้า ทาลิม กลับระบุว่าเจ้าพ่อแห่งวงการไอน้ำประจำเบ็คลันด์ ฟามี่·เคจ ชื่นชอบในการลงทุนสิ่งประดิษฐ์ชนิดใหม่ จึงทำตัวเป็นสื่อกลางให้ไคลน์และเคจได้พบกัน


ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ภายในใจกำลังคิดว่า การมีเส้นทางทางธุรกิจช่างดีเหลือเกิน โดยเฉพาะการเข้าเป็นสมาชิกสโมสรใหญ่


เข้าใจแล้วว่าทำไม หลายต่อหลายคนจึงมิได้เข้าร่วมสโมสรเพียงเพื่อต้องการอาหาร เครื่องดื่ม และมุมสันทนาการฟรี…


“ฮะฮะ! คงเป็นเช่นนั้น แต่ยิ่งเมืองใหญ่เจริญก้าวหน้าไปพร้อมเทคโนโลยีเร็วเท่าไร อีกไม่นานรถม้าก็จะสาบสูญตลอดกาล พวกมันทำความเร็วได้น้อยเกินไป โลกนี้กำลังต้องการประสิทธิภาพ!”


ฟามี่กล่าวอย่างมั่นใจ ตามด้วยรอยยิ้ม


“แล้วก็ ผมได้รับคำสั่งมาจากกองทัพ พวกเขาต้องการให้ช่วยพัฒนายานพาหนะโดยอาศัยพิมพ์เขียวของโรซายล์เป็นต้นแบบ ตัวอย่างเช่น การเสริมแผ่นโลหะกันกระสุน ทำล้อสายพานสำหรับวิ่งทุกพื้นผิว หรือการติดกระบอกปืนใหญ่ เพื่อให้กลายเป็นยุทโธปกรณ์ภาคพื้นดินชนิดใหม่ของกองทัพ”


พิมพ์เขียวของโรซายล์…?


อยากจะขำให้ฟันร่วง… ไคลน์ถอนหายใจยาวอย่างหมดคำจะกล่าว บรรยากาศเงียบงันเช่นนั้นสักพัก จนกระทั่งเลพเพิร์ดเปิดประตูบ้านออกมา



เมื่อการหารือดำเนินไป ผู้ดำเนินการเจรจาเหลือเพียงนักกฎหมายเยอร์เก้นและปาเชโก้ พวกเขาต่างเป็นปากเสียงให้ลูกค้าของตัวเองอย่างสุดฝีมือ ในทางกลับกัน เลพเพิร์ด ผู้ไม่สันทัดเรื่องสัญญาแม้แต่น้อย ทำได้เพียงนั่งฟังด้วยสีหน้าเหม่อลอย แต่ก็มอบคำตอบเป็นระยะเมื่อถูกสองทนายซักถามความคิดเห็น


จนกระทั่ง ทั้งสามฝ่ายบรรลุข้อตกลงร่วมกันว่า ฟามี่·เคจจะขอร่วมลงทุนหนึ่งพันปอนด์เพื่อแลกกับหุ้นบริษัทยี่สิบเปอร์เซ็นต์ส่งผลให้อัตราส่วนหุ้นของไคลน์และเลพเพิร์ดตกไปเป็นยี่สิบแปดกับห้าสิบสองเปอร์เซ็นต์ตามลำดับ


ขณะเดียวกัน ฟามี่ได้ขอซื้อหุ้นของไคลน์เพิ่มอีกสิบแปดเปอร์เซ็นต์จากเดิม ในราคาหนึ่งพันปอนด์หลังหักภาษี


ไม่เพียงเท่านั้น มันยังขอซื้อหุ้นอีกเก้าเปอร์เซ็นต์ของเลพเพิร์ดในราคาห้าร้อยปอนด์หลังหักภาษีด้วยเช่นกัน


เป็นเหตุให้ เมื่อการเจรจาจบลง ฟามี่·เคจจะมีหุ้นในบริษัทจักรยานรุ่นใหม่ล่าสุดสูงเป็นอันดับหนึ่งด้วยตัวเลขสี่สิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์โดยฟามี่ต้องดำเนินการด้านอุตสาหกรรมการผลิต รวมถึงเป็นผู้ออกเงินลงทุนการผลิตเริ่มต้นจำนวนหนึ่งพันปอนด์


เลพเพิร์ดกลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสอง งานของมันคือการออกแบบและพัฒนาชิ้นส่วนสำหรับประกอบจักรยาน ก่อนจะนำไปให้โรงงานอุตสาหกรรมแยกผลิต


ส่งผลให้มิสเตอร์ไคลน์ เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ ผู้เหลือหุ้นเพียงสิบเปอร์เซ็นต์ในบริษัท กลายเป็นนักลงทุนเต็มตัวและไม่ต้องยุ่งเกี่ยวด้านการผลิตอีกเลย


หนึ่งพันปอนด์จากการขายหุ่นในวันนี้ ทำให้ไคลน์มีเงินเก็บมากถึง 2,235 ปอนด์ เพียงพอสำหรับซื้อวัตถุดิบหลักโอสถลำดับ 6 ได้หนึ่งชั้น อย่างไรก็ตาม มันยังต้องทำงานในฐานะนักสืบเอกชนต่อไป เพื่อไม่ให้ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไปกระทบกับเงินออม


ไม่เพียงเท่านั้น เรายังต้องจ่ายเงินห้าสิบปอนด์ให้เยอร์เก้นเพื่อเป็นค่าดำเนินการ ทำให้เงินออมแท้จริงเหลือเพียง 2,185 ปอนด์…


ถ้ามีโอกาสได้พบทาลิมคราวหน้า ต้องขอบคุณเขาให้มาก…


ขณะใช้สมองตรึกตรอง ไคลน์ตัดสินใจจรดปากกาลงนามในเอกสารสัญญาการขายหุ้นสิบแปดเปอร์เซ็นต์ของตนให้ฟามี่ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเหยียดแขนออกไปเพื่อขอจับมือกับฟามี่และเลพเพิร์ดตามมารยาท


“ขอให้ทุกสิ่งผ่านไปด้วยดี”


หลังจับมือเสร็จ ฟามี่หยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝาตรวจสอบ ก่อนจะเผยรอยยิ้ม


“ตามธรรมเนียม พวกเราต้องรับประทานอาหารด้วยกันเพื่อเป็นการฉลองความร่วมมือทางธุรกิจ เพียงแต่ ผมได้นัดกับบุคคลสำคัญไว้แล้ว ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง แต่ผมเชื่อว่า พวกเราคงมีโอกาสอีกมากในอนาคต”


บุคคลสำคัญ… อีกแล้วหรือ?


จะใช่คนเดียวกับทาลิมไหม? บุคคลสำคัญผู้คอยให้เราเบิกเงินได้เรื่อยๆ เพื่อแลกกับข่าวลือของชุมนุมแสงเหนือ…


ขณะเกิดความคิด ไคลน์รู้สึกผิดเล็กน้อย พลางส่งยิ้มให้ฟามี่เป็นนัยว่าตนไม่ถือสา


หลังจากออกจากบ้านเลพเพิร์ดและกลับขึ้นรถม้าเช่า เยอร์เก้นขมวดคิ้วเล็กน้อย


“เชอร์ล็อก คุณรีบร้อนเกินไป”


“หมายความว่ายังไง?” ไคลน์ซักถามฉงน


มันไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเยอร์เก้นกำลังพูดถึงประเด็นไหน


เยอร์เก้นกล่าวเสียงขรึม


“ผมกำลังหมายถึง คุณด่วนขายหุ้นในส่วนของตัวเองเร็วเกินไป จากคำอธิบายของคุณ และจากฝีมือการบริหารของฟามี่ ผมเชื่อว่าธุรกิจจักรยานรุ่นใหม่จะรุ่งเรืองอย่างมากในอนาคต จริงอยู่ ปัจจุบันอาจเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ ทำให้มูลค่าของหุ้นยังน้อยเกินจริง แต่ถ้าคุณรักษาส่วนแบ่งของตัวเองได้มากกว่านี้ วันหน้าข้างจะทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ หลังจากคุณและเลพเพิร์ดแบ่งให้ฟามียี่สิบเปอร์เซ็นต์ผมคิดว่าคุณจะยอมขายหุ้นของตัวเองเพียงแปดเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ด้วยตัวเลขดังกล่าว ผมสามารถเจรจาให้ได้ในราคาห้าร้อยปอนด์ และเมื่อคุณยังเหลือหุ้นมากถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ในอนาคต มันจะตอบแทนกลับคืนมาเป็นหลายสิบเท่าแน่นอน ดังนั้น ผมจึงคิดว่าคุณรีบร้อนขายหุ้นของตัวเองเกินไป”


สหาย เพราะผมร้อนเงินยังไงล่ะ…


แต่จะว่าไป คำพูดของเยอร์เก้นก็ไม่ผิดนัก เงินจำนวนมากขนาดนั้น เรากลับตัดสินใจโดยไม่ลังเล เรื่องนี้ค่อนข้างผิดปรกติ…


ไคลน์นึกทบทวนการกระทำตัวเอง ก่อนจะผุดข้อสันนิษฐานใหม่


แปลว่าเราถูกพลังพิเศษของฟามี่หรือนักกฎหมายปาเชโก้ครอบงำจิตใจ? หนึ่งในพวกเขาเป็นผู้วิเศษ? แต่โชคยังดี ราคาซื้อขายค่อนข้างสมเหตุสมผล…


หลังจากก้มหน้าตรึกตรอง ไคลน์เงยหน้าและยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะมอบคำตอบ


“เพราะปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว…”


ชายหนุ่มจนปัญญาจะอธิบาย จึงตัดสินใจตอบอย่างคลุมเครือด้วยประโยคปลายเปิด


หากอีกฝ่ายเฉลียวฉลาด เขาก็จะคิดหาเหตุผลอันเหมาะสมได้ด้วยตัวเอง ไคลน์ไม่จำเป็นต้องเปลืองสมองประดิษฐ์คำโกหกเลยสักนิด


แน่นอน เทคนิคข้างต้นใช้ได้เฉพาะกับคนฉลาดเท่านั้น หากอีกฝ่ายมีสมองธรรมดาหรือค่อนไปทางซื่อบื้อ ก็คงย้อนถามกลับมาด้วยคำถามว่า ‘แล้วไง?’ หรือ ‘จะมีอะไรเกิดขึ้น?’


แน่นอน นักกฎหมายเยอร์เก้นฉลาดหลักแหลม เมื่อเห็นไคลน์ตอบเสร็จและเงียบไป มันพยักหน้ากับตัวเองเล็กน้อย :


“เข้าใจแล้ว…”


เข้าใจอะไร? สหาย นายเข้าใจอะไร! แม้แต่ฉันยังไม่เข้าใจตัวเอง…


ไคลน์อมยิ้มพลางชี้ไปทางสถานีรถไฟใต้ดินด้านหน้า


“ผมขอลงตรงนี้ มีนัดพบกับสายข่าว”



ขณะยานพาหนะพลังไอน้ำกำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วน่าพึงพอใจ ฟามี่ ผู้นั่งในตำแหน่งเบาะหน้าข้างคนขับ ลดกระจกลงและพ่นวงควันบุหรี่สีเทาออกไป


จากนั้นก็หันกลับมาซักถามปาเชโก้ นักกฎหมายผู้มีหน้าตาจืดชืดและไม่โดดเด่น


“เมื่อครู่ คุณได้ใช้พลังพิเศษหรือไม่”


“พลังของผมทำงานอัตโนมัติ” ปาเชโก้กล่าวพลางยิ้ม “แต่ว่ากันตามตรง พลังของผมไม่ค่อยเหมาะกับสถานการณ์แบบเมื่อครู่สักเท่าไร ควรถูกนำไปใช้กับรัฐบาลหรือเหล่าพนักงานในองค์กรใหญ่มากกว่า”


ฟามี่พยักหน้าแผ่วเบา


“ผมขอเตือนคุณไว้ก่อน ห้ามใช้พลังส่งเดชเด็ดขาด อย่าให้มันไปกระทบกับงานใหญ่ของเราได้”


“เข้าใจแล้วครับ” ปาเชโก้ตอบเสียงต่ำ



เขตตะวันออก ภายในร้านกาแฟราคาถูก


เมื่อไคลน์มาถึง เฒ่าโคห์เลอร์ได้นั่งรออยู่ในร้านก่อนแล้ว


ชายหนุ่มถอดผ้าพันคอ ถอดหมวก นั่งลงฝั่งตรงข้าม และยื่นธนบัตรหนึ่งซูลปึกใหญ่ให้อีกฝ่าย


“นี่คือค่าใช้จ่ายล่วงหน้าของสัปดาห์ถัดไป ขณะเดียวกันก็เป็นโบนัสค่าข้อมูลจากสัปดาห์ก่อน ทั้งหมดหนึ่งปอนด์ถ้วน”


ไคลน์ใจป้ำเป็นพิเศษ เพราะมีผู้สนับสนุนคนคอยให้เบิกค่าใช้จ่ายได้ไม่จำกัด


ใบหน้าเฒ่าโคห์เลอร์แดงก่ำผิดปรกติ มันรับเงินสดไปด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน


“ข้อมูลของผมไม่ได้มีราคามากมายขนาดนี้สักหน่อย…”


“ผิดแล้ว มูลค่าของข่าวขึ้นอยู่กับผู้นำไปใช้งาน คุณอาจมองว่าไม่สำคัญ แต่ใครบางคนกลับทำเงินมหาศาลจากมัน” ไคลน์อธิบายพลางยิ้มอ่อนโยน “มีข่าวใหม่บ้างใหม่”


เฒ่าโคห์เลอร์ยัดปึกธนบัตรใส่กระเป๋าเสื้อ ตามการด้วยก้มหน้าครุ่นคิด


“เหมือนสัปดาห์ก่อนหน้า ผู้คนจำนวนมากยังคงตามหาสาวกของเดอะฟูลอย่างบ้าคลั่ง ฮะฮะ! ตลกชะมัด โลกนี้มีใครโง่พอจะนับถือตัวตนนามเดอะฟูลด้วยหรือ? แค่ชื่อก็ไม่เป็นมงคลแล้ว”


“…” มุมปากไคลน์กระตุกระรัว


“แล้วพวกมันมีความคืบหน้าบ้างไหม”


ชุมนุมแสงเหนือดื้อด้านชะมัด… ไคลน์รำพันอย่างเหนื่อยหน่าย


“ไม่เลย ไม่แม้แต่คนเดียว” เฒ่าโคห์เลอร์ส่ายศีรษะหนักแน่น “คนงานบางกลุ่มกำลังเตรียมหยุดงานประท้วง พวกเขาเดินมาบอกกับผมราวสองสามหนว่า กลุ่มของเขากำลังต่อสู้เพื่อให้คุณภาพชีวิตของคนงานดีขึ้น”


เป็นเรื่องปรกติของยุคสมัยนี้ แต่ส่วนใหญ่มักมีจุดจบไม่สวยเสมอ… ไคลน์ตรึกตรอง ตามด้วยการตักเตือน


“คอยจับตามองกลุ่มแกนนำประท้วงให้มากเป็นพิเศษ แต่ห้ามล้ำเส้น ห้ามนำตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตราย ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง”


“ตกลง” โคห์เลอร์กระแอม เล่าต่อ


“ในระยะหลัง กลุ่มอันธพาลและนักล่าค่าหัวจำนวนมากกำลังตามหาบุคคลผู้หนึ่ง ผมเองก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใด แต่เดาว่าเขาคงถูกตั้งค่าหัวไว้มากเป็นพิเศษ”


“มองหาใคร?” เมื่อร่างกายเริ่มสัมผัสไอความหนาว ไคลน์จิบกาแฟเพื่อให้ตัวอุ่น


ของเหลวอุณหภูมิสูงไหลผ่านหลอดอาหารและลงไปมอบความอบอุ่นให้กระเพาะ


เฒ่าโคห์เลอร์นั่งนึกสักพัก


“เป็นผู้ชาย ชื่ออะซิก·อายเกส”


อะซิก·อายเกส…? ไคลน์พลันเงยหน้าจากถ้วยกาแฟและจ้องโคห์เลอร์ฝั่งตรงข้ามเขม็ง


นั่นชื่อจริงของมิสเตอร์อะซิกไม่ใช่หรือ? แล้วใครเป็นคนตั้งค่าหัว? อินซ์·แซงวิลล์?


ชายหนุ่มต้องอาศัยพลังตัวตลก เพื่อช่วยควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้ามิให้แปรเปลี่ยน


“พวกเขาได้อธิบายเพิ่มเติมไหม?”


โคห์เลอร์พยักหน้ารับ


“สืบเชื้อสายไบลัม เคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมาก่อน”


……………………


ราชันเร้นลับ 411 : โถมเข้าใส่

โดย

Ink Stone_Fantasy

สืบเชื้อสายไบลัม… และยังเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย… ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากมิสเตอร์อะซิก ไม่ใช่คนชื่อเหมือน…


จากข้อมูลของเฒ่าโคห์เลอร์ ไคลน์มั่นใจว่าเป้าหมายการค้นหาของกลุ่มอันธพาลและนักล่าค่าหัว คือทายาทแห่งมรณา อะซิก·อายเกส


ปัญหาก็คือ องค์กรใดอยู่เบื้องหลังการตามหามิสเตอร์อะซิกคราวนี้?


นิกายวิญญาณผู้ต้องการคืนชีพมรณา?


อินซ์·แซงวิลล์ผู้ชอบชักใยอยู่เบื้องหลัง?


ไม่น่าจะใช่ฝ่ายหลัง มันคือผู้ครอบครองสมบัติปิดผนึก 0-08 ซึ่งมีพลังแปรผันโชคชะตาเป้าหมายให้เป็นไปตามต้องการ หากหวังพบมิสเตอร์อะซิกจริง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้กลุ่มอันธพาลหรือนักล่าค่าหัว…


เดี๋ยวก่อน! ถ้าผลลัพธ์ในปัจจุบันเกิดจากพลังของ 0-08 ล่ะ? อินซ์·แซงวิลล์ทราบแล้วว่าตนตกเป็นเป้าแก้แค้นจากอีกฝ่าย และยังทราบว่ามิสเตอร์อะซิกแข็งแกร่ง จึงไม่มั่นใจในการเผชิญหน้าตัวต่อตัว ลงเอยด้วย มันตัดสินใจใช้พลัง 0-08 ชักนำให้บางองค์กรตามล่ามิสเตอร์อะซิกเพื่อขจัดเสี้ยนหนาม และองค์กรข้างต้นคือผู้จ่ายเงินรางวัลค่าหัว…


มีความเป็นไปได้มากทีเดียว…


แต่เรายังตัดนิกายวิญญาณออกไปไม่ได้ บางที หลังจากมิสเตอร์อะซิกวางแผนแก้แค้น เขาอาจติดต่อหานิกายวิญญาณเพื่อขอกำลังสนับสนุน แต่เนื่องจากความเชื่อเกี่ยวกับเทพมรณาแตกต่างกันเกินไป จึงเกิดความขัดแย้งในภายหลัง…


ไคลน์ตกผลึกได้สองแนวคิด โดยแต่ละข้อต่างก็มีเหตุผลรองรับในตัว


ชายหนุ่มจิบกาแฟและกล่าวกับโคห์เลอร์


“ช่วยผมสืบหาว่าใครเป็นผู้ตั้งค่าหัวของชายคนนั้น ถ้าได้ตัวเลขเงินรางวัลก็ยิ่งดี เพราะถ้าน่าสนใจ ผมเองก็จะร่วมวงด้วย”


“ไม่มีปัญหา” เฒ่าโคห์เลอร์ไม่พบความผิดปรกติใดในคำพูดอีกฝ่าย


ในบางแง่มุม นักสืบเอกชนก็ไม่ต่างจากนักล่าค่าหัวสักเท่าไร จุดไม่เหมือนเพียงอย่างเดียวคือ ฝ่ายแรกจะรับทำงานจิปาถะมากกว่า เช่นการตามหาแมว จับชู้ หรือจูงหมาเดินเล่น โดยนักสืบมักใช้ทักษะด้านการวิเคราะห์และอนุมานมากกว่ากล้ามเนื้อ


เมื่อโคห์เลอร์เล่าในสิ่งได้เห็นได้ยินจบ ชายหนุ่มครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะตัดสินใจสอนเทคนิคการชักจูงบทสนทนา และเทคนิคการสร้างความบังเอิญอย่างแนบเนียนเพื่อทำให้เกิดสถานการณ์เฉพาะ ไคลน์เคยเรียนสองสิ่งนี้มาจากเหยี่ยวราตรีเมืองทิงเก็น


“ผมต้องไปทำงานท่าเรือแล้ว ขอบคุณมากสำหรับทุกสิ่ง นักสืบโมเรียตี้ คุณทำให้ชีวิตของผมเต็มไปด้วยความสุขอีกครั้ง”


เฒ่าโคห์เลอร์ลุกยืน ก้มหยิบหมวกใบเก่าบนโต๊ะอาหาร และก้มศีรษะคำนับอย่างจริงใจ


ในมุมมองของมัน นักสืบโมเรียตี้ไม่เพียงเป็นผู้มีพระคุณช่วยจ้างทำงานค่าแรงสูง แต่ยังคอยสอนสิ่งจำเป็นในชีวิต ดังนั้น ต่อให้นักสืบไม่จ้างตนทำงานแล้ว แต่โคห์เลอร์ก็มั่นใจว่าสามารถเอาตัวรอดจากเขตตะวันออกอันแสนโหดร้ายได้ตามลำพัง ความรู้จากนักสืบมีประโยชน์มากสำหรับชายชรา ผู้ใกล้จะประกอบอาชีพใช้แรงงานไม่ไหว


ชีวิตเปี่ยมสุข…? ตามความเห็นของผม ความสุขของคุณในตอนนี้ เป็นเพียงปัจจัยพื้นฐานซึ่งมนุษย์ทุกคนพึงได้รับ…


หลังจากนั่งมองแผ่นหลังโคห์เลอร์เดินออกจากร้าน ไคลน์เหม่อเช่นนั้นไปอีกสักพัก


นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่เบ็คลันด์ นี่คือหนแรกอย่างแท้จริง กับการได้ยินชื่อของคนรู้จักจากเมืองทิงเก็น แถมยังอาจเป็นเบาะแสเกี่ยวกับอินซ์·แซงวิลล์อีกด้วย!


หลังจากฆ่าลาเนวุส ตลอดสามเดือนถัดมา เป้าหมายเดียวของไคลน์คือการเร่งความเร็วการย่อยโอสถให้เสร็จสมบูรณ์


สืบเนื่องมาจาก มันทราบดี อินซ์·แซงวิลล์น่าจะกลายเป็นผู้วิเศษลำดับสูงเรียบร้อยแล้ว ช่องว่างระหว่างตนกับอีกฝ่ายจึงกว้างเกินไป การบุ่มบ่ามแก้แค้นคือเรื่องไม่ฉลาดเลยสักนิด แถมยังมีภัยเงียบจาก 0-08 อีก หากเป็นไปได้ ไคลน์ไม่คิดแม้แต่จะสืบเรื่องราวของอีกฝ่าย


ฉากเหตุการณ์ในบริษัทหนามทมิฬกำลังย้อนกลับมาฉายในหัว โดยเฉพาะภาพรองเท้าบูทหนังมันเงาใหม่เอี่ยมคู่นั้น


ชายหนุ่มเงยหน้าพลางถอนหายใจยาว ก่อนจะใช้มือหยิบผ้าพันคอ หมวก และลุกเดินออกจากร้านกาแฟราคาประหยัด



เขตฮิลสตัน ด้านนอกอาการเก่า


ไคลน์ก้าวลงจากรถม้า ใช้มือกดหมวก และเดินตรงไปทางประตูบ้าน


บ้านของไอเซนการ์ด·สแตนธอน


ยอดนักสืบผู้นี้เขียนจดหมายถึงไคลน์เมื่อไม่กี่วันก่อน เจตนาชักชวนให้ชายหนุ่มแวะมายังบ้านของตน โดยหวังปรึกษาหารือเกี่ยวกับคดีฆาตกรรม


แต่ไคลน์ยุ่งอยู่กับการเจรจาขายหุ้นบริษัทจักรยาน จึงตอบปฏิเสธอย่างนุ่มนวลด้วยข้ออ้างว่าตนไม่มีเวลา แต่ไอเซนการ์ดกลับตอบสนองอย่างผิดคาด มันมิได้โกรธเคียง เพียงระบุว่าคดีฆาตกรรมในความดูแลของตนได้ดำเนินมาถึงทางตันแล้ว ทำได้เพียงรอให้นักสืบเชอร์ล็อกช่วยจุดประกายแนวคิดบางอย่าง


ลงเอยด้วย ไคลน์ตัดสินใจเข้ามิติสายหมอก ทำนายถามถึงวันเหมาะสมในการแวะเข้าไปเยี่ยมอีกฝ่าย ตามด้วยการก็เลือกวันเวลาใกล้เคียง โดยรอให้การเจรจาธุรกิจของตนจบลงเสียก่อน


เมื่อผลลัพธ์ออกมาเป็นช่วงบ่ายของวันนี้ ชายหนุ่มจึงเขียนจดหมายกลับไปหาไอเซนการ์ดและแจ้งวันเวลาให้อีกฝ่ายรับทราบ


กริ๊ง. กริ๊ง.


ไคลน์สั่นกระดิ่งสองหน ก่อนจะเดินถอยหลังกลับมายืนรอ


ราวสิบวินาทีถัดมา ประตูบ้านเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของผู้ช่วยไอเซนการ์ด อีกฝ่ายยิ้มรับและกล่าวอย่างเป็นกันเอง


“ทิวาสวัสดิ์ครับ นักสืบโมเรียตี้ มิสเตอร์สแตนธอนกำลังรอคุณในห้องนั่งเล่น ไม่ทราบว่าจะรับชาหรือกาแฟดีครับ”


ผู้ช่วงไอเซนการ์ดมีรูปร่างผอมบาง สวมแว่นตากรอบทอง แฝงกลิ่นอายความสง่างามและเป็นมืออาชีพ


ไคลน์จ้องพร้อมกับมอบคำตอบ


“ชา. ขอมะนาวหนึ่งซีกด้วย”


“ไม่มีปัญหาครับ” ผู้ช่วยเดินนำไคลน์มายังห้องรับแขก ตามด้วยการชี้ไปทางประตูฝั่งห้องนั่งเล่นและกล่าวแนะนำ


“ต้องขอโทษด้วย แต่บรรดาคนใช้ของเราเกิดลาพักชั่วคราวพร้อมกันวันนี้ คุณจำเป็นต้องเดินไปตามลำพัง”


ไคลน์พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตรงไปทางห้องนั่งเล่นบนชั้นหนึ่ง


ขณะยกมือเตรียมเคาะประตู ชายหนุ่มพลันตระหนักถึงความผิดปรกติ


เรานัดไอเซนการ์ดล่วงหน้าหลายวัน แต่ทำไมคนใช้ถึงยังลาหยุดพร้อมกันอีก?


ไคลน์หรี่ตาลง เตรียมหยิบเหรียญทองแดงออกมาโยนทำนาย


ทันใดนั้น ประตูห้องนั่งเล่นพลันเปิดออกกะทันหันพร้อมกับเสียงกริ๊กและแอ๊ด


แทบจะในพริบตา ประหนึ่งผนึกล่องหนถูกคลายออก กลิ่นเหม็นบัดซบชวนอาเจียนพลันลอยเตะจมูกชายหนุ่มอย่างจัง


จากภาพในการมองเห็นไคลน์ เก้าอี้เอนหลังตัวโปรดของไอเซนการ์ดกำลังอยู่ในสภาพนอนหงาย เปื้อนรอยเลือดสีแดงเข้มหลายจุด ข้างกันมีหนังสือวางอยู่หนึ่งเล่ม หน้าปกหงายขึ้นหาเพดาน


เพียงชำเลืองเข้าไป ชายหนุ่มรู้สึกราวกับตนได้เห็นจุดเกิดเหตุฆาตกรรม


ปกหนังสือบนพื้นมีใจความว่า :


“ตำนานปีศาจเขตซิลวารัส”


ปีศาจ…! ขณะไคลน์เตรียมเคลื่อนไหว สายลมกระโชกพลันพัดผ่านจนบานประตูชนกระแทกขอบอีกฝั่งอย่างแรง


โครม!


ไคลน์เริ่มมองเห็นฉากภายในห้องชัดเจน


ถ่านฟืนในเตาผิงดับสนิท ไม่มีประกายความร้อนสีแดง เป็นสัญญาณว่าเตาผิงดับไปสักพักใหญ่แล้ว ส่วนโต๊ะกาแฟ โซฟา เก้าอี้ ตู้ และของใช้อื่น ทั้งหมดล้วนกระจัดกระจายหรือไม่ก็ถูกทำลาย


ไคลน์เริ่มมั่นใจว่าภายในห้องจะต้องมีการต่อสู้อันดุเดือด


แม้ว่าตามพรม เพดาน หรือผนังห้องจะเต็มไปด้วยคราบเลือดน่าสะอิดสะเอียนและรอยไหม้หลายจุด แต่ไคลน์กลับไม่พบศพด้านในห้อง แม้แต่แขนขาหรือเศษเนื้อก็ไม่


มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับนักสืบสแตนธอน?


ไคลน์รีบก้าวเท้าถอยหลังตามสัญชาตญาณ ภายในหัวกำลังคิดเรื่องหลบหนีไปให้ไกลจากบ้านของไอเซนการ์ด


ทันใดนั้น ชายหนุ่มรู้สึกราวกับตนกำลังถูกจ้องมองอย่างไม่ละสายตา


ใครบางคนกำลังจ้องเราด้วยสายตาเย็นชาและเต็มไปด้วยจิตสังหาร… จากจุดใดสักแห่ง!


หากก้าวพลาดแม้แต่นิดเดียว มันเชื่อว่าตนอาจถูกส่งไปคุยกับยมบาลถาวร


วันนี้เป็นวันดีในการมาเยี่ยมไอเซนการ์ดตรงไหนกันฟะ!? เราอ่านผลการทำนายผิด?


ไคลน์ไม่กล้าบุ่มบ่าม


มันไม่วิตกกังวลหรือประหวั่นเกินงาม เพราะเคยมีประสบการณ์ต่อสู้มากพอสมควร รวมถึงการ ‘แสดงกล’ ครั้งใหญ่อีกหลายต่อหลายหน ฉะนั้น ภายในสถานการณ์ปัจจุบัน มันทราบดีกว่าใครว่ายิ่งต้องสุขุมเยือกเย็น


กึก. กึก. กึก.


ผู้ช่วยไอเซนการ์ดกำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ประตูห้องนั่งเล่นพร้อมกับถาดโลหะในมือ


ถ้วยไว้สำหรับใส่ชา แก้วลายครามมีไว้สำหรับรินเครื่องดื่มลงไป


ทันใดนั้น เมื่อผู้ช่วยเห็นฉากภายในห้องนั่งเล่นเต็มสองตา ตัวมันพลันแข็งทื่อเยี่ยงรูปปั้น


ก่อนจะหันมาจ้องไคลน์ด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด และกล่าวตะกุกตะกัก


“คุณ… ฆ่า… มิสเตอร์… แสตนธอน…”


ขณะเปล่งเสียงในทุกคำ เศษเนื้อพลันหลุดร่อนออกจากใบหน้าพร้อมกับเลือดสดเปรอะเปื้อนเป็นทางยาว


เมื่อกล่าวจบ ร่างผู้ช่วยไอเซนการ์ดพลันถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยประหนึ่งเศษเนื้อเรี่ยราด รอยตัดเรียบเนียน ราวกับอีกฝ่ายอยู่ในสภาพนี้มาตลอด เพียงแต่ถูกเย็บกลับเข้าไปใหม่ให้ติดสนิท


แคร้ง! เพล้ง!


ถ้วยชามลายครามและกาน้ำโลหะร่วงหล่นกระทบพื้นพร้อมกัน อันหนึ่งกลิ้งขลุกขลัก ส่วนอีกอันแตกละเอียดทันที คราบของเหลวเจิ่งนองไปทั่วห้องนั่งเล่น


ไคลน์ไม่กล้าขยับตัว เพียงจ้องมองทุกสิ่งเกิดขึ้นและจบลงอย่างเงียบงัน เนื่องจากมันยังสัมผัสได้ว่า ตนกำลังถูกใครบางคนเพ่งมองอย่างอาฆาตแค้น


บุคคลเบื้องหลังเหตุการณ์ กำลังรอให้ตนเคลื่อนไหวผิดพลาด จากนั้นจึงลงมือจู่โจมจากด้านหลังและสะบั้นคอทิ้งอย่างง่ายดาย


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ไคลน์ได้ยินเสียงประตูบ้านไอเซนการ์ดถูกเปิดออกด้วยฝีมือตำรวจกลุ่มหนึ่ง ทุกคนสวมชุดลายตารางหมากรุกสีขาวดำของทางการ


พวกมันรีบโถมเข้ามาในตัวบ้านอย่างมีระเบียบแบบแผน และเมื่อเห็นภาพชวนอาเจียนภายในห้องนั่งเล่น ปากกระบอกปืนทั้งหมดพลันเล็งจ่อไคลน์ ผู้กำลังยืนอยู่หน้าประตูห้อง อย่างพร้อมเพรียง


อย่างไรก็ตาม แม้ชายหนุ่มกำลังเผชิญแรงกดดันจากปืนพร้อมยิงหลายกระบอก แต่มันกลับผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด


สืบเนื่องมาจาก สายตาอาฆาตซึ่งมอบความตึงเครียดเหนือคำบรรยายเมื่อครู่ บัดนี้อันตรธานหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน


ไคลน์ชูสองมือขึ้นพลางอมยิ้ม


“ผมไม่ขอพูดอะไร จนกว่านักกฎหมายส่วนตัวจะช่วยเป็นสักขีพยาน”



กรุงเบ็คลันด์ สถานีตำรวจซีซาร์


ไคลน์ ผู้ถูกสวมกุญแจมือล็อกติดกับท่อน้ำของสถานีตำรวจอย่างแน่นหนา ได้พบนักกฎหมายประจำตัว เยอร์เก้น·คูเปอร์ อีกครั้ง


“ผมจะเข้าร่วมการสอบปากคำด้วย”


สีหน้าแววตาเยอร์เก้นไม่เผยความฉงนแม้แต่เศษเสี้ยว ประหนึ่งว่านักสืบโมเรียตี้อาศัยอยู่ในสถานีตำรวจมาตั้งแต่เกิด


ไคลน์ถอนหายใจยาว


“ช่างอับโชคอะไรเช่นนี้ ผมควรกำลังเลือกมื้ออาหารค่ำอย่างสบายใจ ไม่ใช่ต้องเข้าไปคุยกับตำรวจหน้ายักษ์ในห้อง”


หากจะถามหาสิ่งดี ก็คงเป็นการไม่นำวัตถุวิเศษพกติดตัวมาเลย เนื่องจากมันยังกังวลเกี่ยวกับการตามล่าของชุมนุมแสงเหนือ รวมถึงการตามล่าของโรงเรียนกุหลาบ


สิ่งของผิดกฎหมายบนร่างกายจึงมีเพียงปืนลูกโม่หนึ่งกระบอก แต่ไคลน์สามารถซ่อนมันได้ด้วย ‘เวทมนตร์’ อำพราง


โดยไม่รอให้ตำรวจเป็นฝ่ายถาม หลังจากไคลน์เข้าไปในห้องสอบปากคำ มันรีบเล่าถึงจดหมายเชิญของไอเซนการ์ด เรื่อง อีกฝ่ายชวนให้ตนมาช่วยไขคดีฆาตกรรมบางอย่าง


“เข้าใจแล้ว ผมจะส่งทีมไปค้นบ้านคุณพร้อมกับนักกฎหมายเยอร์เก้น หวังว่าจดหมายฉบับนั้นจะยังอยู่ดี” เจ้าพนักงานสอบปากคำเริ่มเข้าประเด็น “คุณรู้จักกับไอเซนการ์ด·สแตนธอนได้อย่างไร”


ไคลน์ตอบโดยไม่ลังเล


“จากคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง….”


มันชะงักคำกะทันหัน


ชายหนุ่มพลันผุดข้อสันนิษฐานใหม่ นั่นคือ ตัวมันเคยสงสัยว่า สุนัขปีศาจตนนั้นอาจมีเจ้าของ และเจ้าของคือผู้บงการตัวจริง


ไคลน์เชื่อว่า ตนเคยพบเจ้าของสุนัขในระยะใกล้มาแล้วหนหนึ่ง จากเหตุการณ์ขณะสุนัขปีศาจถูกหน่วยพิเศษล้อมสังหาร โดยใครบางคนได้ทำเสียงฟึดฟัดอย่างไม่พอใจออกมา


ไอเซนการ์ดกำลังอ่านหนังสือ ‘ตำนานปีศาจแห่งเขตซิลวารัส’ … เป็นไปได้ไหมว่า เจ้าของสุนัขเริ่มลงมือแก้แค้นหลังจากทำตัวเงียบมานานหลายสัปดาห์…


ไม่ผิดแน่ จากบันทึกการสืบสวนของกรมตำรวจ ชื่อของผู้ให้คำแนะนำจนคดีถูกปิดลง คงไม่ใช่ใครนอกจากตัวไอเซนการ์ด·สแตนธอนเอง… แถมคนรับเงินค่าหัวก็ยังเป็นเขา!


ไคลน์เริ่มสร้างทฤษฎีใหม่


……………………


ราชันเร้นลับ 412 : จดหมาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อตระหนักว่าเจ้าของสุนัขปีศาจอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไคลน์ตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นการเล่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับไอเซนการ์ดอย่างละเอียด


ชายหนุ่มเริ่มเกริ่นตั้งแต่ ยอดนักสืบไอเซนการ์ดทำการรวบรวมกลุ่มนักสืบขึ้นมาช่วยกันไขปริศนาคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ความสำเร็จของทุกคน และการแจกจ่ายเงินรางวัล


“ในคดีดังกล่าว งานของผมคือการเสนอแนวคิดเพียงเล็กน้อย… เป็นผู้ให้คำปรึกษาเบื้องหลังมากกว่าลงภาคสนาม แต่ในสายตามิสเตอร์สแตนธอน ผลงานของผลมีส่วนสำคัญในการปิดคดี จึงได้รับเงินส่วนแบ่งค่าหัวเป็นจำนวนมาก” ไคลน์ร่ายยาว


พนักงานสอบสวนคนหนึ่งก้มหน้าจดบันทึกคำให้การ ส่วนอีกคนซักถามว่า มีใครสามารถเป็นพยานได้บ้าง ไคลน์จึงเอ่ยชื่อสจ๊วต คาสลาน่า และนักสืบเอกชนคนอื่น


“ไม่เลว นักสืบโมเรียตี้ คำให้การของคุณเป็นประโยชน์มาก” ตำรวจคนหนึ่งหยุดเขียนและเงยหน้า “คำถามถัดไป คุณใช้เวลาอยู่ในบ้านมิสเตอร์สแตนธอนนานกี่นาที ผมหมายถึง นับตั้งแต่เริ่มเข้าไปในบ้าน จนกระทั่งตำรวจเปิดประตูเข้าไปพบคุณ”


ไคลน์ก้มหน้านึก และมอบคำตอบโดยไม่ปรึกษานักกฎหมายเยอร์เก้นด้านข้าง


“ราวสองสามนาที”


มันกะเกณฑ์เอาจากความรู้สึก


ตำรวจอีกคนพลันขมวดคิ้ว


“ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คุณเข้าไปในบ้านมิสเตอร์ไอเซนการ์ดเวลา 14.10 น. และหน่วยของพวกเราไปถึงเวลา 14.28 น. หมายความว่าคุณอยู่ในบ้านหลังนั้นนานสิบแปดนาทีเต็ม! ไม่ใช่สองหรือสามนาที! ด้วยเวลานานขนาดนั้น คุณมัวทำอะไรอยู่กันแน่? ทำไมถึงไม่รีบหนีออกจากบ้านและเรียกตำรวจ”


สิบแปดนาที…? ไคลน์ขมวดคิ้วบ้าง


มันค่อนข้างมั่นใจว่า ขณะกำลังยืนคุมเชิงจากสายตาอาฆาตซึ่งกำลังจดจ้อง กระแสเวลาน่าจะไหลผ่านไปเพียงหนึ่งนาทีหรือมากกว่านั้นเล็กน้อย แล้วเหตุใดถึงกลายเป็นสิบแปดนาทีไปได้?


เป็นเพราะความกดดัน เราจึงรับรู้เวลาผิดปรกติ? หรือเกิดจากพลังพิเศษของอีกฝ่าย?


หืม… เจ้าของสุนัขตัวนั้นต้องมีลำดับ 6 เป็นอย่างต่ำ โดยมีโอกาสเป็นลำดับ 5 ค่อนข้างมาก…


ขณะไคลน์กังวลเรื่องอื่น เยอร์เก้นเอนตัวไปด้านหน้า เตรียมตำหนิเจ้าพนักงานสอบปากคำในเรื่อง พวกมันใช้คำถามชักจูงให้ผู้ต้องสงสัยเกิดความไขว้เขว


จริงอยู่ ตำรวจมีสิทธิ์ถาม และข้อโต้แย้งของเยอร์เก้นฟังไม่ขึ้น แต่นักกฎหมายหนุ่มหวังทำไปเพื่อให้ตำรวจลดความแข็งกร้าวลง รวมถึงลดความกดดันฝั่งลูกค้าตน


ทันใดนั้น ไคลน์เลื่อนมือขึ้นมาลูบหน้าผาก


“ผมพูดความจริง… กะเกณฑ์เอาจากความรู้สึกส่วนตัว ผมเข้าไปในบ้านมิสเตอร์สแตนธอนไม่เกินสามนาทีแน่นอน”


เมื่อพูดจบ มันเน้นย้ำ


“หรืออย่างน้อย ผมก็รู้สึกแบบนั้น”


ตำรวจมองหน้ากันเล็กน้อย คนหนึ่งก้มลงไปจดบันทึก


ความเงียบงันครอบงำสักพัก จนกระทั่งตำรวจอีกคนเริ่มซักถามต่อ


“ในช่วงสิบแปดนาทีดังกล่าว คนรับใช้ได้กลับจากการแวะออกไปข้างนอก เขาเล่าว่าตัวเองสั่นกริ่งบ้านหลายหน แต่ไม่มีการตอบสนอง จึงมองเข้าไปทางมุขหน้าต่าง และได้เศษเนื้อกระจัดกระจายเต็มพื้น เลือดสีแดงเจิ่งนอง รวมถึงตัวคุณซึ่งกำลังยืนนิ่งบนทางเดินระหว่างห้องนั่งเล่นและห้องรับแขก เขาหวาดกลัวเป็นอย่างมาก รีบวิ่งแจ้นมายังสถานีตำรวจราวกับคนบ้า ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงล้วนให้การตรงกัน”


ไคลน์เมินเฉยสายตาคัดค้านของเยอร์เก้น ชายหนุ่มส่ายศีรษะปฏิเสธหนักแน่น


“ผมไม่ได้ยินเสียงกริ่ง”


เจ้าพนักงานทั้งสองหันมองตากันอีกครั้ง แต่ไม่มีใครกล่าวสิ่งใด เพียงก้มหน้าจดบันทึกอย่างละเอียด


ถัดมา พวกมันคอยยิงคำถามให้สอดคล้องกับรูปคดี โดยทางไคลน์ ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องและมิได้ก่อความผิดใดเลย ตอบทั้งหมดกลับไปตามความเป็นจริง


และในตอนสุดท้าย มันตัดสินใจถามกลับ


“ทางตำรวจพบตัวนักสืบไอเซนการ์ดไหม? ในห้องไม่มีศพใครเลย ผมสันนิษฐานว่าเขาน่าจะยังมีชีวิตรอด… คิดว่านะ”


ตำรวจคนหนึ่งใช้ปากกาเคาะโต๊ะเป็นจังหวะแผ่วเบา ก่อนจะยอมเปิดเผยรายละเอียดของคดี


“พวกเราเองก็กำลังหาคำตอบในเรื่องนี้เช่นกัน ภายในบ้านหลังนั้น นอกจากห้องนั่งเล่นซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ ก็ไม่จุดใดปรากฏร่องรอยการต่อสู้อีก หน้าต่างถูกปิดตาย ไม่มีการงัดแงะหรือถูกใช้งานเป็นเวลานาน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไร เพราะทุกบ้านในเบ็คลันด์ล้วนมีสภาพหน้าต่างเป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด โดยเฉพาะฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ผู้โจมตีและมิสเตอร์ไอเซนการ์ดได้หายตัวไปจากบ้านอย่างเป็นปริศนา พวกเราไม่พบเบาะแสใดในบ้านและละแวกใกล้เคียง แม้แต่เลือดสักหยดก็ไม่มีปรากฏ”


โดยไม่รอให้ไคลน์ถาม พนักงานสอบสวนตั้งคำถามแทนและตอบด้วยตัวเอง


“คุณคงกำลังสงสัยว่า ผู้โจมตีอาจนำร่างมิสเตอร์ไอเซนการ์ดออกมาทางประตูห้องนั่งเล่นใช่ไหม? และคงลากออกไปทางประตูหน้าบ้านตามปรกติ แต่ไม่ใช่แบบนั้นแน่ พวกเราตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ไม่พบคราบเลือดหรือรอยเท้าแม้แต่จุดเดียวระหว่างทางเดินและบริเวณรอบประตูหน้า ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่พบบุคคลต้องสงสัยลักพาตัวประกันหรือศพออกจากบ้านหลังดังกล่าว”


คนร้ายอาจลงมือก่อเหตุกลางดึกก็ได้… หรือถ้าไม่ใช่ ทั้งสองก็คงมีพลังในการเคลื่อนย้ายตัวเองผ่านกำแพง…


ไคลน์โต้แย้งในใจ ตามด้วยการภาวนา


เทพธิดารัตติกาล ได้โปรดช่วยอวยพรให้นักสืบไอเซนการ์ดรอดพ้นจากหายนะตรงหน้าอย่างปลอดภัย…


พระองค์คือจักรพรรดินีแห่งหายนะ มีพลังอยู่ในขอบเขตดังกล่าว…


เมื่อการสอบปากคำจบลง ไคลน์ถูกคุมตัวไว้ในห้องแคบแห่งหนึ่ง ส่วนเยอร์เก้นต้องกลับไปยัง 15 ถนนมินส์พร้อมกับตำรวจเพื่อค้นหาจดหมายของไอเซนการ์ด


กว่าไคลน์จะได้รับอนุญาตให้ประกันตัว เวลาก็ล่วงเลยมาถึงยามเย็น โดยชายหนุ่มต้องยอมจ่ายมากถึงห้าสิบปอนด์เพื่อแลกกับอิสรภาพ


“แพงกว่าคราวก่อนตั้งหลายเท่า ผมไม่คิดว่านักสืบเอกชนทั่วไปจะสามารถหาเงินก้อนใหญ่เช่นนี้มาประกันตัวเองได้ทันหรอกนะ”


ขณะเดินออกจากสถานีตำรวจซีซาร์ ไคลน์จัดแต่งปกเสื้อโค้ทพลางบ่นกับเยอร์เก้นอย่างหัวเสีย


เยอร์เก้นยังคงสวมสีหน้าขึงขังและเอาจริงเอาจังเหมือนเคย


“สำหรับคราวก่อน สภาพแวดล้อมค่อนข้างเป็นใจให้คุณ แต่ในกรณีนี้ หลักฐานทั้งหมดบ่งชี้ว่าคุณคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งอย่างจนปัญญาจะปฏิเสธ”


นักกฎหมายหนุ่มหยุดยืนหน้ารถม้าเช่า หันกลับมาจ้องไคลน์และกล่าวเสียงขรึม


“เชอร์ล็อก ผมเป็นนักกฎหมายประจำตัวคุณ ก่อนจะตอบคำถามกับตำรวจ คุณควรปรึกษาผมก่อน หรืออย่างน้อยก็ควรสังเกตแววตากันบ้าง การตอบคำถามโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบ ถึงจะฟังดูไม่มีปัญหา แต่ในบางครั้งอาจกลายเป็นหลักฐานมัดตัวได้”


สหาย… คุณอาจไม่ทราบ แต่ผมสามารถโกหกคำเว้นคำ และตีหน้าซื่อได้เก่งฉกาจชนิดเกินความคาดหมายคุณไปมาก…


ไคลน์นึกทบทวนการสอบปากคำเมื่อครู่ ตามด้วยการหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย


“ตกลง คราวหน้าผมจะระวัง”


โดยไม่มีใครกล่าวสิ่งใดเพิ่ม เยอร์เก้นเดินขึ้นไปนั่งในห้องโดยสารรถม้า ไคลน์ตามเข้าไป นั่งลงฝั่งตรงข้าม และเอาแต่ไตร่ตรองเหตุการณ์ไอเซนการ์ด·สแตนธอนถูกบุกทำร้ายถึงบ้านตลอดทาง


ขณะกำลังใช้ความคิด ท้องไส้ไคลน์พลันโครกครากโครมคราม


เลยเวลาอาหารเย็นของเรามาแล้ว…


ชายหนุ่มรีบหยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝาตรวจสอบ


มันไม่อยากเสียเวลาและพลังงานไปกับการประกอบอาหาร จึงเริ่มมองหาภัตตาคารสำหรับเติมเต็มความหิวโหย


ทันใดนั้น เยอร์เก้นลืมตาขึ้นและกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ


“ผมบอกให้คุณย่าเตรียมอาหารเย็นไว้สำหรับสามคน”


“แล้วใครจะปฏิเสธลง” ไคลน์ฉีกยิ้มกว้าง “อาหารรสมือคุณนายดอริสยอดเยี่ยมเสมอ”



เมื่อกลับมาถึงถนนมินส์ในเขตเชอร์วู้ด ท้องฟ้าด้านบนกลายเป็นสีคล้ำเกือบดำสนิท แสงจากเสาตะเกียงริมถนนกำลังสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงจันทร์แดงนวลยามค่ำคืน


หลังจากรับประทานอาหารค่ำในบ้านเยอร์เก้นและเล่นกับแมวจนหนำใจ ไคลน์เดินเท้ากลับมายังอาคารหมายเลข 15 ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเหน็บ


ตามนิสัยเดิม ชายหนุ่มรื้อกล่องจดหมายหน้าบ้าน และหยิบหนังสือพิมพ์เบ็คลันด์ภาคค่ำซึ่งเพิ่งมาส่ง ติดมือกลับออกมา


ในสภาพมือซ้ายถือไม้ค้ำ มือขวาถือหนังสือพิมพ์ มันใช้มือขวาหมุนลูกบิดประตูบ้านเข้าไป ขณะเตรียมวางไม้ค้ำพิงราวแขวน ไคลน์พลันตระหนักถึงความผิดปรกติ


สัมผัสวิญญาณของนักทำนายกำลังร้องเตือนว่า ใครบางคนได้ถือวิสาสะลอบเข้ามาในบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต!


หมายถึงตำรวจกับเยอร์เก้นเมื่อช่วงเย็น?


ไคลน์กวาดสายตามองหนึ่งรอบ และพบจดหมายฉบับหนึ่งบนโต๊ะกาแฟ


ตามปรกติแล้ว บนโต๊ะกาแฟควรมีเพียงกองหนังสือพิมพ์เท่านั้น!


ชายหนุ่มย่างกรายเข้าไปในห้องนั่งเล่นอย่างระมัดระวัง สติเตรียมรับมือการซุ่มโจมตีทุกรูปแบบ มันบรรจงย่างกรายเข้าใกล้โต๊ะกาแฟทีละนิด ตลอดระยะเวลาดังกล่าว บรรยากาศรอบบ้านยังคงเงียบงัน ปราศจากความผิดปรกติโดยสิ้นเชิง


สายตาชำเลืองซองจดหมายเล็กน้อย ตามด้วยการนำถุงมือสีดำออกมาสวม จึงค่อยเลื่อนลงไปหยิบจดหมายขึ้นมาเปิด


ภายในซองมีกระดาษแผ่นเล็กถูกพับอย่างเรียบร้อย และเมื่อคลี่ออกมา กลิ่นฉุนกึกพลันกระทบปลายจมูก ตามด้วยภาพของตัวอักษรสีแดงเข้มขยุกขยิก


เนื้อหาด้านในถูกเขียนด้วยเลือดแห้ง :


“พวกแกทุกคนต้องตาย!”


นี่มัน… ลายมือเจ้าของสุนัขปีศาจตัวนั้น? มันกำลังตามแก้แค้นกลุ่มคนผู้ทำให้บริวารของมันเสียชีวิต?


ไอ้ขี้ขลาด… เก่งแต่กับคนอ่อนแอหรือไง… ทำไมถึงไม่ไปลงมือกับเหยี่ยวราตรี? คนกลุ่มนั้นต่างหากเป็นผู้สังหารสุนัขปีศาจ!


ไคลน์เริ่มเคร่งเครียด สมองกำลังประมวลผลหลายสิ่งพร้อมกัน


เพียงไม่นาน มันเลิกตัดพ้อถึงความขี้ขลาดของอีกฝ่าย เพราะเมื่อไตร่ตรองดูให้ดี พฤติกรรมของตนก็ไม่ต่างจากเจ้าของสุนัขปีศาจสักเท่าไร


หลังจากย้ายมาอยู่เบ็คลันด์ ไคลน์เลือกจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอินซ์·แซงวิลล์ผู้เป็นต้นเหตุความตายของตนและดันน์ แต่เลือกมุ่งเป้าการแก้แค้นไปยังลาเนวุสแทน


ชายหนุ่มกวาดสายตามองรอบตัวอีกครั้งอย่างหวาดระแวง และพบว่าสถานการณ์ปัจจุบันค่อนข้างไม่สมเหตุสมผล


อีกฝ่ายไม่เกรงกลัวหน่วยพิเศษของทางการเลยหรือ? ถึงได้กล้าใช้วิธีโฉ่งฉ่างเช่นนี้ในการสะสางความแค้น… บางที นี่อาจเป็นเงื่อนไขสำคัญในเทคนิคสวมบทบาทของมัน…


หรืออีกหนึ่งความเป็นไปได้ นักสืบไอเซนการ์ดอาจหนีพ้นจากเงื้อมมือของมันแล้ว อีกฝ่ายจึงต้องเปลี่ยนวิธีการตามล่า… แต่วิธีเช่นนี้ช่วยให้ตามแก้แค้นง่ายขึ้นตรงไหน?


ไม่เพียงเท่านั้น ขณะอยู่ในบ้านนักสืบไอเซนการ์ด มันมีโอกาสมากมายในการฆ่านักสืบเอกชนธรรมดาอย่างเรา… แล้วทำไมถึงไม่ยอมลงมือ?


หรือว่า… มันจะทราบว่าเราเป็นผู้วิเศษ…


เป็นไปได้… จากเหตุการณ์ในคราวก่อน เราเกิดหลงทางเพราะผลข้างเคียงของมาสเตอร์คีย์ จึงไปโผล่ในจุดฆาตกรรมของสุนัขปีศาจเข้าพอดี… บางที ผู้เป็นเจ้านายอาจมองเห็นภาพร่วมกับสัตว์เลี้ยง จึงจดจำลักษณะทางกายภาพของเราได้บางส่วน…


ถึงเราจะปลอมตัวอยู่ แต่ห้ามประมาทพลังการจำแนกของปีศาจเด็ดขาด…


แต่ในเหตุการณ์ข้างต้น เราเอาแต่หนีหัวซุกหัวซุนไม่ใช่หรือ? สู้ไม่ได้แม้กระทั่งสุนัขปีศาจซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยง แล้วจะเอาอะไรไปต่อกรกับเจ้าของผู้มีลำดับสูงกว่า…


ถ้าอย่างนั้น มันกลัวอะไรเรา? หรือกังวลว่าไอเซนการ์ดอาจยังซ่อนตัวในละแวกใกล้เคียง และโผล่ออกมาช่วยเราทันเวลา?


แล้วทำไมมันถึงกล้าเขียนจดหมายข่มขู่อย่างเอิกเกริกเช่นนี้? คิดว่าผู้วิเศษนอกกฎหมายจะไม่กล้าแจ้งตำรวจเลยหรือ?


ขณะสมองไคลน์เต็มไปด้วยคำถาม ชายหนุ่มย่างกรายขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านอย่างระมัดระวัง


เมื่อเปิดห้องนอน มันพบจดหมายอีกฉบับ


ซองสีขาวถูกวางบนโต๊ะอย่างเงียบงัน ราวกับกำลังรอให้ไคลน์หยิบขึ้นมาอ่าน


ชายหนุ่มกระทำเช่นเดิม เดินเข้าไปใกล้ ใช้ถุงมือดำแกะซอง และคลี่กระดาษด้านในอย่างระมัดระวัง เนื้อความเขียนไว้ด้วยอักษรเลือดแห้งกรังว่า :


“แกคือรายต่อไป!”


รายต่อไป… โอหังชะมัด… ไคลน์ส่ายหัว


ทันใดนั้น คล้ายกับมีบางสิ่งดลใจ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่าง


ฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านสองชั้น บรรยากาศกำลังสว่างไสว


แสงจากเสาตะเกียงบนถนนฝั่งบ้านไคลน์ ได้ส่องสว่างจนฉาบกำแพงด้านนอกของบ้านฝั่งตรงข้ามจนมีสีเหลืองนวล


ทันใดนั้น เงาดำบนหลังคาเริ่มกระเพื่อมยุบพอง บิดเป็นเกลียว และก่อตัวเป็นเงามนุษย์สีดำสนิท แต่งกายคล้ายกำลังสวมโค้ทหางยาว


เงาดำทำมือเป็นรูปปืน เล็งมาทางไคลน์


ก่อนจะกระตุกข้อมือเล็กน้อย เชิงว่าทำท่ายิงใส่ จึงค่อยชักมือกลับไปและแสร้งเป่า ‘ปากกระบอก’


เพียงพริบตา เงาดำพลันกระจัดกระจายและเลือนหายไปพร้อมกับความเงียบงัน


……………………


ราชันเร้นลับ 413 : กลุ่มผู้มาเยือน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ สถานีตำรวจไรซ์ ขอบเขตการดูแลครอบคลุมถนนมินส์และบริเวณโดยรอบ


ไคลน์ยืนจับมือกับเจ้าพนักงาน ผู้เดินออกมาส่งตนถึงหน้าประตู


“จดหมายขู่ฉบับนี้ต้องเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องก่อนหน้านี้แน่นอนครับ! เนื่องจากแกนนำผู้รวบรวมกลุ่มนักสืบหัวกะทิเข้าด้วยกันอย่างยอดนักสืบไอเซนการ์ด ได้ถูกคนร้ายบุกจู่โจมไปก่อนหน้านี้แล้ว! ได้โปรดจริงจังกับเรื่องนี้ด้วยนะครับ”


ตำรวจคนเดิมยังไม่ชักมือกลับ เพียงยิ้ม


“ไม่ต้องกังวล นักสืบโมเรียตี้ พวกเราไม่เพิกเฉยคำแนะนำของคุณแน่นอน และจะรีบรายงานให้เบื้องบนทราบทันที”


“ขอบคุณมากครับ” ไคลน์สวมหมวกพร้อมกับเดินออกจากสถานีตำรวจ


หลังจากได้รับจดหมายขู่สองฉบับจากผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นเจ้านายสุนัขปีศาจ ไคลน์รีบถ่อมายังสถานีตำรวจไรซ์เพื่อแจ้งความโดยไม่รีรอ ภายในใจหวังให้คดีถูกส่งต่อไปถึงจิตแห่งจักรกลหรือทูตพิพากษาโดยเร็ว หน่วยพิเศษจะได้ส่งคนมาคุ้มกันทันเวลา


ว่ากันตามตรง ไคลน์ไม่มีความจำเป็นต้องยึดติดกับตัวตน ‘นักสืบเชอร์ล็อก’ มากนัก สามารถเผ่นหนีไปให้ไกลในตอนกลางคืน และหาเช่าบ้านหลังอื่นในกรุงเบ็คลันด์ด้วยตัวตนใหม่ได้ไม่ยาก


แต่เมื่อลองไตร่ตรองให้ดี ชายหนุ่มคิดว่านั่นอาจเป็นจุดประสงค์ของผู้ส่งจดหมายข่มขู่แต่แรก


ตามหลักทั่วไป ผู้วิเศษนอกกฎหมายมักหวาดกลัวและไม่กล้าแจ้งตำรวจหรือกองทัพโดยตรง ทางเลือกยอดนิยมจึงเป็นการเผ่นหนีในยามวิกาล และนั่นจะกลายเป็นโอกาสเหมาะเจาะสำหรับการซุ่มโจมตี


อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายก็มีโอกาสจู่โจมเราระหว่างการเดินทางไปกลับสถานีไรซ์และอาคาร 15 ถนนมินส์อยู่ดี… แปลว่ามันน่าจะมีจุดประสงค์อื่นมากกว่า… ตัดทิ้ง…


ไคลน์ ผู้กำลังสับสนและหวาดระแวง ตัดสินใจเดินทางกลับอาคาร 15 ถนนมินส์


ขณะย่างกรายลงจากรถม้า ด้วยแสงสว่างจากเสาตะเกียงท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ชายหนุ่มมองเห็นบุคคลผู้หนึ่งกำลังยืนทำตัวลับล่อหน้าบ้านตน


หัวใจไคลน์พลันหยุดเต้น แต่ก็ผ่อนคลายลงเมื่อจดจำใบหน้าของผู้มาเยือนได้


อีกฝ่ายไม่ใช่ใครนอกจากสจ๊วต นักสืบหนุ่มเจ้าของส่วนสูงปานกลาง รูปร่างผอมเพรียว


อย่าเพิ่งวางใจจะดีกว่า… เส้นทางปีศาจอาจมีพลังคล้ายกับผู้ไร้หน้า…


ไคลน์เดินเข้าไปใกล้พร้อมกับกำไม้ค้ำในมือซ้ายแน่น จึงค่อยตะโกนเรียกหยั่งเชิง


นักสืบสจ๊วตรีบหันขวับกลับมา และซักถามด้วยสีหน้าแววตาตื่นตระหนกไม่ปิดบัง


“มิสเตอร์โมเรียตี้! ผมได้รับจดหมายขู่ เนื้อหาด้านในเขียนว่า พวกแกทุกคนต้องตาย!”


“คุณก็ด้วยหรือ?” ไคลน์ขมวดคิ้วฉงน แต่ภายในใจก็พอจะเดาออก


สจ๊วตคือหนึ่งในกลุ่มนักสืบ ผู้เคยถูกไอเซนการ์ด·สแตนธอนเรียกประชุม เพื่อช่วยสืบคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสะเทือนขวัญในอดีต


ดวงตาสจ๊วตพลันเบิกโพลง


“คุณก็ได้รับด้วยหรือ”


“ใช่” ไคลน์พยักหน้ารับเคร่งขรึม


แถมยังมากกว่าหนึ่งฉบับ… มันรำพัน


“แล้วผมควรทำอย่างไรดี? ผมแวะเข้าไปหามิสเตอร์สแตนธอนมาก่อนแล้ว แต่เมื่อทราบว่าเขาถูกคนร้ายบุกโจมตี จึงรีบตรงมาหาคุณทันที… ขอบคุณพระองค์! ขอบคุณสำหรับคำอวยพร! ผมเกือบจะกลับไปแล้ว!”


สจ๊วตเล่าเรื่องราวอย่างตื่นตระหนก


ไคลน์ชี้ไปทางประตูบ้าน


“เข้าไปคุยข้างในกันเถอะ”


หลังจากเดินเข้าห้องนั่งเล่น ไคลน์หาข้ออ้างเข้าห้องน้ำพร้อมกับส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา เพื่อทำนายให้หายคาใจในสองเรื่อง ประกอบด้วย ข้อแรก มันต้องยืนยันให้ได้ว่า อีกฝ่ายคือสจ๊วตตัวจริง และข้อสอง ในค่ำคืนนี้จะมีอันตรายเกิดขึ้นหรือไม่


ผลลัพธ์ระบุว่า ‘ใช่’ ทั้งสองคำถาม


หรืออีกนัยหนึ่ง สจ๊วตมิใช่ศัตรูปลอมตัวมา และค่ำคืนนี้จะมีอันตรายบางอย่างเกิดขึ้น!


แน่นอน อันตรายดังกล่าวอาจไม่ได้เกิดขึ้นกับไคลน์โดยตรง แต่เป็นเคราะห์ร้ายของนักสืบเอกชนสักคน ผู้ถูกเจ้านายของสุนัขปีศาจเชือดทิ้งอย่างเงียบเชียบ


นี่คือข้อจำกัดของพลังทำนาย ผลลัพธ์จะออกมาในลักษณะคลุมเครือตามประโยคทำนาย ไม่ใช่การถามตอบเพื่อเค้นความจริง ไม่มีทางมองเห็นอนาคตล่วงหน้าอย่างแจ่มชัด


ไม่เพียงเท่านั้น ศาสตร์เร้นลับยังมีข้อจำกัดในการใช้พลัง แถมยังสิ้นเปลืองพลังวิญญาณมหาศาล ไม่สามารถใช้เทคนิคการถามแบบ ‘ใช่หรือไม่’ ไปเรื่อยๆ จนครบทุกข้อสงสัยได้


เมื่อกลับสู่โลกความจริง ไคลน์กดปุ่มกลไกชักโครกเพื่อสร้างกระแสน้ำชะล้าง ก่อนจะรีบล้างมือและเปิดประตูออกไป


“สจ๊วต กาแฟหรือชาดำ” มันซักถามสุขุม


สจ๊วตลุกพรวดและรีบส่ายหน้า


“ไม่! พวกเราควรกังวลกับปัญหาตรงหน้าเป็นอันดับแรก! จริงอยู่ ผมเคยได้รับจดหมายขู่เป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีฉบับใดเทียบได้กับจดหมายขู่คราวนี้แน่นอน! เจ้าบ้านั่นบรรจงใช้เลือดสดของมนุษย์เขียนทีละคำ! สัญชาตญาณของผมเตือนว่า มันเป็นคนพูดจริงทำจริง และมีพลังพอจะทำเรื่องแบบนั้นได้! ไม่ผิดแน่ มิสเตอร์แสตนธอนต้องถูกคนร้ายคนเดียวกับพวกเราโจมตี!”


“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” ไคลน์กล่าวเสียงเรียบพลางทิ้งตัวนั่ง “คนร้ายคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องซึ่งถูกพวกเราสะสางไป เป็นเหตุผลให้มันรู้สึกโกรธแค้นมิสเตอร์สแตนธอน ผม และคุณ”


หืม… สจ๊วตตื่นตระหนกจนผิดธรรมชาติ… เป็นเพราะได้ยินว่ามิสเตอร์สแตนธอนถูกลอบทำร้าย?


ไคลน์สังเกตท่าทีสจ๊วตอย่างระมัดระวัง


สจ๊วตเริ่มสงบสติ มันนั่งลงและกล่าวหลังจากก้มหน้าตรึกตรองเป็นเวลานาน


“ก็คงจะเป็นเช่นนั้น…”


ยังไม่ทันได้กล่าวจบประโยค สุ้มเสียงแหลมกังวานพลันดังระงมไปทั่วบ้าน


ใครบางคนดึงกริ่งหน้าประตู


สจ๊วตพลันสะดุ้งอย่างตื่นกลัว ประหนึ่งนกน้อยสติกระเจิงหลังจากได้ยินเสียงปืน


ไคลน์ขมวดคิ้ว สายตาเหลือบมองไปทางประตูเล็กน้อย ตามด้วยการลุกเดินไปตรวจสอบด้วยตัวเอง


ในวินาทีฝ่ามือสัมผัสลูกบิด นิมิตลางสังหรณ์พลันปรากฏขึ้นในสมอง


ผู้มาเยือนคราวนี้คือนักสืบคาสลาน่า เธอสวมเสื้อขนสัตว์สีเทาอ่อน และลิเดีย ผู้ช่วยสาวผมแดง รวมถึงกลุ่มนักสืบหนุ่มสาวอีกหลายคนด้านหลัง ทุกคนล้วนมีใบหน้าคุ้นเคย


ทั้งหมดคือกลุ่มนักสืบเอกชน ผู้เคยถูกยอดนักสืบสแตนธอน เรียกประชุมเพื่อไขคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสะเทือนขวัญ


ไม่ผิดจากความคาดหมายสักเท่าไร…


ไคลน์ทบทวนความทรงจำ มันยังไม่ลืมใบหน้าของเหล่านักสืบเอกชนฝีมือดีเหล่านี้


ชายหนุ่มเปิดประตูพร้อมกับเดินถอยหลังสองก้าว


คิ้วหนาเป็นพุ่ม แก้มหย่อนคล้อย นักสืบสาวคาสลาน่า มองสลับไปมาระหว่างไคลน์และสจ๊วตด้านหลังเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม


“พวกเราทุกคนได้รับจดหมายขู่แบบเดียวกัน หมายความว่า ทางคุณก็คงได้รับเหมือนกันใช่ไหม”


“ถูกต้อง” ไคลน์ตอบเสียงขรึม


คาสนาล่าพ่นลมหายใจสีขาวโดยไม่เบือนหน้าหลบไปทางอื่น


“คงเป็นเพราะพวกเราทุกคนเคยถูกมิสเตอร์สแตนธอนเรียกประชุมเพื่อไขคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง หากไม่ใช่เรื่องนี้ แต่ละคนก็ไม่เหลือสิ่งใดให้เชื่อมโยงกันได้อีกแล้ว “ผมก็คิดแบบเดียวกัน” ไคลน์ชี้เข้าไปในบ้าน “คุยข้างในเถอะ”


เมื่อได้เห็นนักสืบเอกชนจำนวนหกคนเดินผ่านกรอบประตูเข้ามา ไคลน์เริ่มวิเคราะห์หาเป้าหมายของเจ้านายสุนัขปีศาจ


การส่งจดหมายขู่ถึงทุกคนอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ คงไม่แคล้วทำให้หน่วยพิเศษประจำกรุงเบ็คลันด์เกิดความตื่นตัว อาจถึงขั้น มีผู้วิเศษลำดับสูงทรงพลังบางคน คอยจับตามองและคอยเฝ้าระวังบริเวณบ้านเราอยู่…


แล้วมันจะลงมือแก้แค้นด้วยวิธีใด?


หรือมันกำลังวางแผนปั่นหัวให้คนของกองทัพและหน่วยพิเศษของสามโบสถ์หลัก ต้องโยกย้ายกำลังพลอย่างสูญเปล่าจนเริ่มอ่อนแรงไปเองทีละนิด… จากนั้นค่อยลงมือแก้แค้นเป้าหมายแท้จริง ลอบจู่โจมหน่วยพิเศษของทางการและสามโบสถ์หลัก ผู้สังหารสุนัขปีศาจของตนอย่างโหดเหี้ยม?


หากแผนการเป็นไปอย่างราบอื่น อาจมีสมาชิกหน่วยพิเศษบางคนต้องตายในคืนนี้…


สำหรับกลุ่มนักสืบเอกชนอ่อนแอ มันค่อยย้อนมาจัดการหลังจากเรื่องซาลงก็ยังไม่สาย…


ขณะเดียวกัน ถ้ามันสัมผัสถึงอันตรายได้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถยกเลิกแผนการและหลบหนีอย่างปลอดภัย…


สมกับเป็นเส้นทางปีศาจ ผู้มีพลังตระหนักถึงอันตรายได้ล่วงหน้า นี่คือวิธีนำจุดแข็งมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด…


หืม… อาจไม่จริงเสมอไป เพราะไม่ว่าจะเป็นโบสถ์หลักทั้งสามหรือกองทัพของราชวงศ์ หน่วยพิเศษในสังกัดล้วนเต็มไปด้วยบุคคลแข็งแกร่ง แถมยังมีสมบัติปิดผนึกทรงพลัง…


ยิ่งเป็นเมืองหลวงอย่างเบ็คลันด์ด้วยแล้ว ไม่มีทางขาดแคลนกองทัพครึ่งเทพหรือสมบัติระดับ 0 และ 1 แน่นอน เกรงว่า แม้แต่ลำดับ 5 อย่างเจ้านายสุนัขปีศาจ ก็ไม่มีพลังมากพอจะสร้างความเสียหายแก่หน่วยพิเศษ…


ถูกต้อง มันไม่กล้าลงมือแน่นอน…


ทั้งเหยี่ยวราตรี จิตแห่งจักรกล และทูตพิพากษา หน่วยพิเศษของโบสถ์ย่อมเคยทำสงครามกับปีศาจมานานหลายปี… ย้อนกลับไปถึงยุคสมัยที่สี่หรือกระทั่งยุคสมัยที่สามอันเก่าแก่ พวกมันคงเคยปราบปีศาจมานับไม่ถ้วน…


เจ้านายของสุนัขปีศาจคงเป็นผู้เศษลำดับ 5 และอาจครอบครองสมบัติวิเศษสักชิ้น หากทุกสิ่งดำเนินไปตามครรลอง มันจะถูกกองทัพครึ่งเทพของโบสถ์หลัก ฉีกกระชากร่างกายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตา…


แล้วทำไมถึงยังกล้าวางแผนทำเรื่องเช่นนี้?


บางที อาจเป็นไปได้ว่า แผนการของมันมีจุดประสงค์เพียงเพื่อปั่นหัวหน่วยพิเศษเล่น โดยไม่ได้คิดลงมือตั้งแต่ต้น…


ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้… มันจงใจล่อให้เหยื่อจำนวนมากมารวมตัวกันเป็นกระจุกใหญ่ และเตรียมใช้จุดอ่อนทางด้านความขัดแย้งระหว่างโบสถ์ รวมถึงความล่าช้าของระบบระเบียบราชการ ให้เกิดประโยชน์…


การโจมตีมิสเตอร์ไอเซนการ์ด ทำไปเพื่อให้คดีถูกส่งต่อไปยังจิตแห่งจักรกล เนื่องจากคดีเกิดขึ้นในเขตฮิลสตัน แต่เป้าหมายแท้จริงของมันคือ การบุกถล่มเหยี่ยวราตรี ผู้เป็นแกนนำสังหารสุนัขปิศาจเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน โดยอาศัยจุดอ่อนด้านการประสานงานอันเชื่องช้าระหว่างสองหน่วยพิเศษ…


แต่คดีอาจถูกส่งต่อไปยังหน่วยพิเศษตามศาสนาของมิสเตอร์สแตนธอนแทน… แล้วเขานับถือศาสนาใดกัน?


เราไม่มีทางทราบเลย…


และหลังจากส่งจดหมายขู่ นักสืบเอกชนต่างศาสนาจำนวนมากได้กระจุกตัวกันภายในบ้านหนึ่งหลัง สิ่งนี้คงทำให้หน่วยพิเศษแต่ละศาสนาแบ่งงานกันไม่สะดวกนัก…


เกิดปฏิบัติการร่วม? นั่นคงไม่ราบรื่นแน่…


ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน คงมีสมาชิกหน่วยพิเศษเพียงไม่กี่คนคอยจับตามองและอารักขาพวกเรา อย่างมากก็คงเป็นระดับอาวุโสทั่วไป และมิได้พกพาสมบัติปิดผนึกทรงพลังติดตัวมาด้วย…


ลืมเรื่องครึ่งเทพไปได้เลย ข่าวคราวอาจยังไปไม่ถึงหูพวกมันด้วยซ้ำ…


สำหรับเจ้านายสุนัขปีศาจ ไม่มีโอกาสใดเหมาะแก่การสังหารหมู่ไปมากกว่านี้…


จริงอยู่ หน่วยพิเศษหลายทีมอาจมีพลังเพียงพอจะเอาชนะผู้วิเศษลำดับ 5 หนึ่งคนได้ แต่เงื่อนไขก็คือ ต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์เอื้ออำนวยเท่านั้น และด้วยคุณลักษณะพิเศษของเส้นทางปีศาจ อีกฝ่ายสามารถตระหนักถึงอันตรายล่วงหน้าและหลบหนีได้ไม่ยากเย็น…


ภายในเวลาไม่กี่สิบวินาที ไคลน์สร้างสมมติฐานได้มากมายในหัว และเตรียมเล่าความคิดเห็นให้ทุกคนฟัง


ขณะเดียวกัน มันยังไม่ลืมผลการทำนายบนมิติสายหมอกเมื่อครู่ ซึ่งระบุชัดเจนว่าค่ำคืนนี้จะมีอันตรายบางอย่างเกิดขึ้น ชายหนุ่มจึงตื่นตัวเป็นพิเศษ หลังจากปิดประตูหน้าบ้านและเดินตามเข้าไป ไคลน์กล่าวกับกลุ่มนักสืบ ผู้นั่งบ้างยืนบ้าง ด้วยเสียงกังวาน


“พวกคุณแจ้งตำรวจหรือยัง”


จากบรรดานักสืบซึ่งมิสเตอร์สแตนธอนเคยรวบรวมเพื่อไขคดี ราวครึ่งหนึ่งกำลังกระจุกตัวอยู่ในบ้านเรา… ไคลน์สำรวจพลางพึมพำ


ตัวแทนของทุกคน คาสลาน่า หันมาตอบ


“บางคนแจ้งตำรวจแล้ว ส่วนอีกหลายคนรีบติดต่อมิสเตอร์สแตนธอน แต่เมื่อติดต่อไม่ได้จึงหันมาติดต่อกันเอง หลังจากนั้น ทุกคนได้ข้อสรุปว่าควรมาพบคุณ คุณยอดนักสืบ”


ไคลน์พยักหน้ารับ และพยายามกล่าวให้กำลังใจทุกคน


“พวกคุณไม่ต้องกังวลไป ถึงคนร้ายจะเป็นพวกพ้องของฆาตกรต่อเนื่อง แต่มันก็มีแค่คนเดียวเท่านั้น หรืออย่างมากก็ไม่เกินสาม แต่นักสืบเอกชนอย่างพวกเราล้วนเชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้และยิงปืนได้แม่นยำ ไม่มีความจำเป็นต้องกลัวมัน! ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเหยื่อของคนร้ายนอกเหนือจากพวกเราอยู่อีก นั่นคือกลุ่มนักสืบคนอื่นๆ ซึ่งเคยถูกมิสเตอร์สแตนธอนรวบรวมให้ช่วยสืบคดี ถึงพวกเขาจะไม่ได้ติดต่อมาหาคุณหรือผม แต่ก็คงอยู่ฝ่ายเราไม่ผิดแน่”


เมื่อสิ้นเสียงไคลน์ คาสลาน่าและผู้ช่วยของเธอ ลิเดีย พลันแสดงสีหน้าอึมครึมราวกับตรวจพบความผิดปรกติบางอย่าง


นักสืบคนอื่นๆ เริ่มสูดลมหายใจยาว


“มิสเตอร์โมเรียตี้ จริงอยู่ คุณอาจจะกล่าวได้ถูกต้อง พวกเราไม่จำเป็นต้องกลัว… แต่อีกฝ่ายคืออสรพิษผู้คอยดักซุ่มในความมืด! ไม่มีใครทราบว่ามันจะลงมือตอนไหน และเป้าหมายเป็นใคร บางที มันอาจกำลังเล็งโจมตีครอบครัวพวกเราอยู่ก็ได้!”


“ครอบครัว…?”


“ไม่นะ! ภรรยาของผม!”


“โธ่! นางฟ้าตัวน้อยของพ่อ!”


คล้ายกับห้วงอารมณ์กำลังครอบงำเหนือความคิด นักสืบแต่ละคนเริ่มแสดงท่าทีตื่นตระหนกและออกอาการเกินจริง


สจ๊วตเริ่มยืนสั่นเทาราวกับกำลังโกรธแค้นใครบางคน


“ไม่ มันต้องไม่ใช่แบบนี้…” นักสืบหนุ่มพึมพำอย่างเหม่อลอยราวกับสติหลุด


ทันใดนั้น สจ๊วตพลันชักปืนออกมาและเล็งไปยังท้ายทอยไคลน์!


ดวงตาถมึงทึงอย่างโกรธแค้น คล้ายกับถูกอารมณ์ครอบงำอย่างท่วมท้นจนสลัดไม่หลุด


……………………


ราชันเร้นลับ 414 : ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อสจ๊วตยกปืนเล็ง ไคลน์ ผู้ระวังตัวมาสักพักจึงตระหนักถึงอันตรายได้ไม่ยาก มันม้วนตัวกระโจนไปข้างหน้าในจังหวะเดียวกับการลั่นไกของสจ๊วต


ปัง!


สจ๊วตลงมือเหนี่ยวไกอย่างไม่ได้สติ กระสุนพุ่งถากข้างแก้มไคลน์เล็กน้อยและไปกระทบกับกำแพงบ้าน


พร้อมกันกับนักสืบทุกคนต่างหยิบปืนพกของตัวเองออกมาถือด้วยสีหน้าตึงเครียดสุดขีด ประหนึ่งทุกคนรอบตัวเป็นศัตรู


สถานการณ์ปัจจุบันกำลังเข้าขั้นวิกฤติ


จากบรรดาทุกคน สจ๊วตและนักสืบอีกสองสามคนกำลังมีใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาถลึงอย่างโกรธแค้น เส้นเลือดตามใบหน้าและหลังมือปูดโปนเด่นชัด ภาษากายคล้ายกำลังหวาดกลัวและโกรธจัด ราวกับอุปนิสัยแปรเปลี่ยนเป็นปีศาจอย่างสมบูรณ์


ทันใดนั้น คาสลาน่าคำราม :


“หยุด!”


ระดับความดังอาจไม่มาก แต่แฝงด้วยพลังอำนาจอย่างเต็มเปี่ยม ส่งผลให้ร่างกายเหล่านักสืบสั่นกระตุกแผ่วเบา ก่อนทุกคนจะยอมปฏิบัติตามถ้อยคำดังกล่าวแต่โดยดี


แม้จะคืนความสงบได้หลายวินาที แต่สถานการณ์กลับยังไม่ดีขึ้น ไคลน์กลิ้งตัวไปถึงอีกฝั่งพร้อมกับลุกยืนพลางกำปืนในมือแน่น


สมองชายหนุ่มกำลังเร่งประมวลผลโดยไม่ปิดกั้นขีดจำกัด ใจหนึ่งเตรียมใช้เวทมนตร์ภาพลวงตาเพื่อสงบสติอารมณ์ของทุกคนในบ้านไว้ก่อน


แต่ทันใดนั้น กริ่งบ้านพลันกังวาน


กริ๊ง! กริ๊ง!


กลุ่มนักสืบต่างสะดุ้งเฮือก แต่สีหน้าแววตาเริ่มเผยความกระจ่างและคมชัด


เสียงกริ่งบ้านเป็นราวกับถังบรรจุน้ำเย็น ถูกราดลงมาเพื่อให้จิตใจทุกคนสงบลง


สจ๊วตก้มมองลูกโม่ในมือพร้อมกับขยับปากพึมพำเสียงเบา


“ผ…ผมทำอะไรลงไป…”


หน่วยพิเศษของทางการเริ่มลงมือแล้ว?


ไคลน์ถอนหายใจยาวขณะเดินตรงไปยังประตูหน้าด้วยลูกโม่ในมือซ้าย


ปลายนิ้วสัมผัสลูกบิด นิมิตผู้มาเยือนผุดขึ้นในสมอง


ชายสูงวัยในเสื้อโค้ทตัวใหญ่สีดำ สวมหมวกนายพราน ใบหน้าเรียว จอนตรงขมับมีสีเทาแซมเล็กน้อย ไอเซนการ์ด·สแตนธอน


สีหน้าค่อนข้างหมองและซีด แขนซ้ายเลื่อนขึ้นมาจับไหล่ขวา


เขาปลอดภัย…!


ไคลน์โล่งใจในตอนแรก แต่จากนั้นก็กลับมาหวาดระแวงตามเดิม เนื่องจากยังไม่ลืมภาพเหตุการณ์ในคืน ‘ผู้ไร้หน้า’ โรซาโก้ แวะเข้ามาเยี่ยมบ้านของตนโดยการปลอมตัวเป็นนายตำรวจ


นิ้วมือซ้ายถูกสอดเข้าโกร่งปืน มือขวาหมุนลูกบิดพร้อมกับขยับถอยหลังสองก้าว


ไอเซนการ์ด·สแตนธอนส่งยิ้มและพยักหน้า


“ขอบคุณมาก เชอร์ล็อก สำหรับการแวะมาเยือนในช่วงบ่าย ไม่อย่างนั้น ผมคงหมดแรงเล่นไล่จับกับเจ้าปีศาจนั่นไปแล้ว คุณคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิต”


หรือว่า… นี่จะเป็นความหมายแท้จริงของผลการทำนายถึง ‘ช่วงเวลาเหมาะสม’ ในการไปเยือนบ้านไอเซนการ์ด?


การไปเยือนของเราทำให้เขารอดชีวิต…


ถ้าอย่างนั้น ช่วงเวลาเหมาะสมใน ‘วันอื่น’ จะหมายถึงสิ่งใด? หรือถ้าเราไม่เข้าไปป้วนเปี้ยนในจุดเกิดเหตุ ก็จะไม่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยของคดี?


ไคลน์หัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก


ขณะเปิดทางให้อีกฝ่ายเดินเข้ามา ชายหนุ่มยังคงไม่ลดระดับการป้องกัน


“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”


“ไว้ค่อยคุย” ไอเซนการ์ดยิ้มรับพร้อมกับหรี่เสียงให้เบาลง “คุณคงไม่อยากให้ผมพูดเรื่องผู้วิเศษต่อหน้าสจ๊วตกับคนอื่นใช่ไหม”


แล้วทำไมถึงกล้าพูดกับผม?


นั่นสินะ การคุมเชิงระหว่างเราและปีศาจตนนั้นนานกว่าสิบนาทีคงถือเป็นข้อพิสูจน์ได้ชัดเจน… แถมเรายังเป็นคนเสนอแนะว่า ฆาตกรต่อเนื่องในคดีก่อนอาจเป็นสัตว์มากกว่ามนุษย์…


ไคลน์เดินตามหลังไอเซนการ์ดราวสองก้าว


เมื่อเห็นว่ายอดนักสืบยังมีชีวิต คาสลาน่าและผู้ช่วยของเธอ ลิเดีย พลันแสดงสีหน้าโล่งใจโดยไม่ปิดบัง ด้านนักสืบคนอื่นก็มีภาษากายไม่ต่างกันมากนัก


“มิสเตอร์สแตนธอน คุณปลอดภัยดีใช่ไหม?” นักสืบคนหนึ่งซักถาม


ไอเซนการ์ดขยับแขนซ้ายเล็กน้อย


“บาดเจ็บเล็กน้อย แต่ไม่เป็นอันตราย เอาล่ะ ทุกคน อย่าได้ตื่นตระหนก เรื่องเหลวไหลในคราวนี้กำลังจะจบลง ทางตำรวจได้วางกำลังดักซุ่มตามเงามืดรอบบ้านไว้แล้ว”


“เป็นเพราะคดีฆาตกรรมต่อเนื่องใช่ไหม?”


“คุณระบุตัวผู้ต้องสงสัยได้หรือยัง?”


“มันจะทำร้ายคนบริสุทธิ์ไหม?”



คำถามมากมายถาโถมเข้าใส่ไอเซนการ์ดอย่างไม่หยุดพัก ยอดนักสืบสูงวัยรีบกดมือขวาลงเป็นเชิงให้เพลาคำถาม


“ทุกคนไม่ต้องกังวล ผมจะเล่ารายละเอียดให้ฟังหลังจากนี้แน่ แต่ก่อนอื่น ผมขอปรึกษาบางเรื่องกับเชอร์ล็อกและคาสลาน่าก่อน”


ความสง่างามและน่าเชื่อถือของสุภาพบุรุษวัยกลางคนส่งผลให้เหล่านักสืบยอมเชื่อฟัง


ถึงแม้จะยังกังวลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่สติแตกหรือถูกอารมณ์ครอบงำเหมือนในตอนแรก


หลังจากเดินเข้าไปในห้องกิจกรรมและปิดประตูไม้ด้านหลัง ไคลน์กวาดสายตามองรอบห้องหนึ่งครั้งและเริ่มเกิดความคิดอุตริ


สภาพแวดล้อมเหมาะแก่การใช้ขวดพิษชีวภาพมาก!


แฮ่ม…! ชายหนุ่มกระแอม เดินตามเข้าไปและเปิดหน้าต่างระบายลม


มันยังไม่ลดความระแวงในตัวไอเซนการ์ด และมิได้เชื่อใจคาสลาน่ามากขนาดนั้น


ไอเซนการ์ดรีบเดินไปจับจองเก้าอี้นอนตัวเดียวภายในห้องพร้อมกับทิ้งตัวเอนกาย


“ยิ่งแก่ตัวลง ผมก็ยิ่งชอบของแบบนี้”


ไคลน์นั่งลงบนโซฟาและซักถาม


“มิสเตอร์สแตนธอน เกิดอะไรขึ้นกันแน่”


ไอเซนการ์ดชำเลืองไปทางคาสลาน่า นักสืบสาวผู้กำลังยืนข้างโต๊ะกาแฟ


“พวกเราทุกคนล้วนเป็นผู้วิเศษ ฉะนั้น ผมจะไม่เสียเวลาอธิบายความรู้พื้นฐาน”


“ผู้วิเศษ?” คาสลาน่าพึมพำพร้อมกับชำเลืองไคลน์ แววตาเผยความประหลาดใจปานกลาง ไม่ถึงกับตกตะลึงจนเกินงาม


เธอก็ด้วยสินะ… แต่ทำไมถึงถูกวิญญาณกระจอกในร่างคุณหนูอาโดนหลอกตั้งนาน?


หืม บางที เธออาจอยู่บนเส้นทางไม่ถนัดการปราบผี… ไคลน์จ้องอีกฝ่ายกลับ


ไอเซนการ์ดยิ้มมุมปาก


“ย้อนกลับไปนานหลายปี ผมมีโอกาสเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนในประเทศลุนเบิร์กนานสี่ปีเต็ม ระหว่างนั้นบังเอิญได้เข้าสู่โลกผู้วิเศษและกลายเป็นสาวกของเทพปัญญาความรู้ เมื่อกลับมายังเบ็คลันด์ ผมเริ่มสานสัมพันธ์กับกองทัพทีละนิด รวมถึงโบสถ์รัตติกาลและโบสถ์จักรกลไอน้ำ แต่ผมยังไม่กล้าเปิดเผยความเป็นผู้วิเศษและความเป็นสาวกเทพปัญญาความรู้ของตน เพราะยังกังวลว่าโบสถ์วายุสลาตันจะทราบเรื่องและกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีต แน่นอน โบสถ์อื่นและกองทัพไม่มีทางช่วยผมในเรื่องนี้ได้ พวกเขากลัวว่าจะเกิดสงครามระหว่างศาสนาภายในกรุงเบ็คลันด์”


“เฮ่อะ! ทำตัวสมกับเป็นโบสถ์หัวรุนแรง”


“โบสถ์หัวรุนแรง?” ไคลน์ขมวดคิ้ว


ไอเซนการ์ดยกไปป์ แต่ยังไม่จุดไฟ เพียงใช้ปลายจมูกสูดดมกลิ่นยาสูบ


“โบสถ์ของเรามักเรียกโบสถ์วายุสลาตันด้วยชื่อดังกล่าว เอาล่ะ กลับเข้าเรื่องกันดีกว่า กล่าวถึงคนร้าย ผู้ลงมือโจมตีผมและส่งจดหมายขู่ให้พวกคุณ มันคือเจ้านายของสุนัขปีศาจสีดำในคดีก่อนหน้า หึหึ พวกคุณคงทราบอยู่แล้ว สุนัขสีดำตัวนั้นอยู่บนเส้นทางปีศาจ โดยเฉพาะคุณ นักสืบเชอร์ล็อก คุณเป็นผู้บอกใบ้ให้ผมเอะใจว่าฆาตกรอาจไม่ใช่มนุษย์”


ไคลน์ยิ้ม ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ


คาสลาน่าเพียงยืนประสานมือเงียบงัน


ไอเซนการ์ดส่ายหัวเล็กน้อย


“ไม่ต้องเกร็ง ผมไม่ใช่หน่วยพิเศษ เป็นแค่สาวกคนหนึ่งของโบสถ์ปัญญาความรู้ มิอาจเผยแผ่ศาสนาหรือก่อตั้งองค์กร ไม่มีกองกำลังเป็นของตัวเอง จึงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้วิเศษนอกกฎหมายเช่นพวกคุณ”


ในอีกความหมายหนึ่ง คุณสามารถแบกรับความผิดแทนพวกเราได้… ไคลน์กล่าวติดตลก


เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน ไอเซนการ์ดเงยหน้าเล่าเรื่องราวต่อ


“เจ้านายสุนัขปีศาจคือผู้วิเศษลำดับ 5 จากข้อมูลของผม โอสถลำดับ 5 บนเส้นทางปีศาจจะมีชื่อว่า ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’  สามารถกระตุ้นแรงกระหายและอารมณ์ในตัวมนุษย์ได้ดังใจ ล่อลวงให้เหยื่อถูกกัดกร่อนจนไม่หลงเหลือสติสัมปชัญญะ หากต้องเผชิญหน้ากับผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย กฎข้อสำคัญคือการไม่เกิดอารมณ์ใดมากเกินไปจนอีกฝ่ายสัมผัสถึง ต้องไม่แสดงแรงกระหายออกมาทางสีหน้าแววตา มิฉะนั้น มันจะฉวยโอกาสฝัง ‘การชี้นำ’ และกระตุ้นให้จิตใจเป้าหมายบิดเบี้ยว เหยื่อจะเริ่มคุมสติไม่อยู่ สูญเสียความเยือกเย็นและความคิดอ่าน จนกระทั่งไม่สามารถต่อต้านแรงกระหายภายในใจและใช้อารมณ์ชักนำการกระทำ… นี่เป็นเพียงพลังบางส่วนของมัน ผมสามารถยืนยันได้จากประสบการณ์การต่อสู้โดยตรง”


เมื่อฟังจบ ไคลน์ทราบทันทีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงส่งจดหมายข่มขู่ในเชิงท้าทายจนเหล่านักสืบต้องมากระจุกตัวกันในบ้านหลังเดียว


มันหวังกระตุ้นให้ทุกคนเกิดความหวาดกลัวหรือความโกรธแค้น! เป็นอารมณ์ใดก็ได้ นั่นจะช่วยเปิดช่องว่างให้มันฝังการชี้นำลงในจิตใจสำเร็จ และเริ่มกระตุ้นอารมณ์ดังกล่าวให้ปะทุถึงขีดสุด ยิ่งเหยื่อรวมตัวกันมาก ความโกลาหลก็ยิ่งเหนือพรรณนา…


การลอบจู่โจมหลังจากนั้นก็ยิ่งทำได้ง่าย


โชคยังดีว่า เราเคยเผชิญเหตุการณ์อันตรายถึงแก่ชีวิตมานับไม่ถ้วน จึงมีความระแวดระวังตัวตลอดเวลา… นึกแล้วเชียวว่าทำไมสจ๊วตถึงสติแตกหลังจากได้อ่านจดหมาย เพราะเขาถูกปลูกฝังการชี้นำ และถูกกระตุ้นอีกครั้งในจังหวะสำคัญ…


หากสยบทุกคนไว้ไม่ทันการณ์ เกรงว่าจะเกิดความปั่นป่วนจนแม้แต่หน่วยพิเศษรอบบ้านบุกก็เข้ามาช่วยเหลือไม่ทัน และนั่นจะเป็นโอกาสทองสำหรับผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย…


ย้อนกลับไปขณะเราอยู่ในบ้านไอเซนการ์ด กระแสเวลาไหลช้าลงเนื่องจากเราถูกกระตุ้นความหวาดระแวงและความตึงเครียด…


ไคลน์พบว่าตนค่อนข้างโชคดี


“แบบนี้นี่เอง…” คาสลาน่าแสดงภาษากายราวกับกระจ่างในบางเรื่อง


ไอเซนการ์ดใช้มือลูบขมับ


“ผมเองก็เกือบถูกมันเล่นงานเหมือนกัน นั่นคือสาเหตุของอาการบาดเจ็บตรงหัวไหล่ หลังจากนั้น ผมกับมันได้เล่นวิ่งไล่จับภายในบ้านเป็นเวลานาน จนกระทั่งนักสืบเชอร์ล็อกปรากฏตัวมาช่วยไว้ได้ทัน เมื่อสามฝ่ายต่างคุมเชิงเป็นเวลานาน ผมจึงมีโอกาสได้พักหายใจหายคอ แต่ช่างน่าเศร้า… มือขวาผู้น่าสงสารของผม เขาตั้งตารอคอยจะกลับไปยังลุนเบิร์กเพื่อฉลองปีใหม่กับครอบครัว”


เมื่อเล่าจบ มันถอนหายใจยาว


“จนกระทั่งตำรวจมาถึง ผมฉวยโอกาสหลบหนีด้วยเส้นทางแม่น้ำ” ไอเซนการ์ดเสริมพร้อมกับซักถาม “เชอร์ล็อก คาสลาน่า พวกคุณมีแผนในใจหรือยัง”


คาสลาน่าย้อนถามหลังจากก้มหน้าครุ่นคิด


“มิสเตอร์สแตนธอน คุณมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้”


ไอเซนการ์ดพยักหน้าอธิบาย


“ข้อแรก ขอความช่วยเหลือจากหน่วยพิเศษ ให้พวกเขาช่วยคุ้มครองทุกคนจากผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย ระหว่างนั้นก็ต้องภาวนาให้มันถูกจับโดยเร็ว หรือไม่ก็ถูกฆ่า แต่ถ้าความหวังไม่เป็นจริง แน่นอน หน่วยพิเศษไม่มีกำลังพลมากพอจะคุ้มกันพวกเราได้ตลอดเวลา หลังจากนั้นจะเหลือทางเลือกเพียงสองข้อ วิธีแรก เปลี่ยนแปลงตัวตนของทุกคนรวมถึงครอบครัว และหลบหนีไปให้ไกล ตามแต่หน่วยพิเศษจะช่วยสนับสนุน แต่วิธีนี้ไม่รับประกันว่าผู้ปลดปล่อยแรงกระหายจะตามหาเบาะแสพวกเราไม่พบ วิธีถัดมา เข้าร่วมหน่วยพิเศษในฐานะบุคลากรภายนอก สำหรับวิธีนี้ ทางโบสถ์จะช่วยปกปิดข้อมูลของแต่ละคนให้เป็นความลับสุดยอด รวมถึงยังจะช่วยเปลี่ยนแปลงตัวตนให้กลายเป็นคนอื่นโดยสมบูรณ์ และยังได้รับความช่วยเหลือในบางส่วน”


เข้าร่วมหน่วยทางการ…? หน่วยไหนอีก? จิตแห่งจักรกล? หรือจะให้เราหนีไปยังลุนเบิร์กและเข้าร่วมกับโบสถ์ปัญญาความรู้?


ถ้าเป็นแบบนั้น เราคงได้กลายเป็นชายสามโบสถ์— ไม่สิ สาวกของสามศาสนาทันที…


ไคลน์เริ่มตระหนักถึงบาปในใจ


ข้าแต่พระองค์ท่าน ช่วยให้อภัยสาวกจอมปลอมคนนี้ด้วยเถิด…


จากนั้น มันเงยหน้าซักถาม


“ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ”


คาสลาน่าไม่เปลี่ยนสีหน้า ไม่มีใครเดาได้ว่าเธอกำลังครุ่นคิดสิ่งใด


ไอเซนการ์ดลูบไปป์อย่างทะนุถนอม :


“มีสิ พวกเราสามคนต้องช่วยกันวางกับดักเพื่อตลบหลังผู้ปลดปล่อยแรงปรารถนา แน่นอน ผลลัพธ์ในอุดมคติคือการฆ่ามันให้ตายคามือ!”


……………………


ราชันเร้นลับ 415 : แหวน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไคลน์ไม่ประหลาดใจกับคำแนะนำของไอเซนการ์ดสักเท่าใด ชายหนุ่มเพียงชำเลืองประตูห้องปิดสนิทและกล่าวโดยไม่มองหน้า


“ผมทราบมาว่า ปีศาจมีพลังในการหยั่งรู้ถึงอันตรายล่วงหน้า สามารถบอกได้แม้กระทั่งแหล่งกำเนิดอันตราย ส่งผลให้มันเตรียมแผนรับมือได้ทันเวลา ฉะนั้น การวางกับดักเพื่อจัดการมันคงไม่ใช่เรื่องงาน”


ไอเซนการ์ดพยักหน้ารับ


“คุณเข้าใจถูกต้อง แต่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีจัดการเสียทีเดียว”


“วิธีไหน?” คาสลาน่ารีบถาม


ไอเซนการ์ดยิ้ม


“ผมเคยดวลกับมันตัวต่อตัวและได้เห็นพลังหยั่งรู้อันตรายมาแล้ว จึงพอจะทราบถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของพลังดังกล่าว เส้นทางปีศาจสามารถตระหนักถึงอันตรายล่วงหน้าได้ระยะเวลาหนึ่ง หากมีใครวางแผนเตรียมลงมือทำร้ายมัน ปีศาจจะสัมผัสได้ทันทีว่ามีอันตรายคืบคลานเข้าหา แน่นอน ต้องเป็นอันตรายในระดับสามารถทำให้มันบาดเจ็บได้ พลังหยั่งรู้จึงจะแสดงผล”


ผิดแล้วสหาย ความจริงก็คือ ปีศาจแต่ละชนิดสามารถหยั่งรู้อันตรายได้ไม่เท่ากัน บางประเภทจะได้ทราบก่อนภัยมาถึงตัวเพียงสิบห้าถึงยี่สิบนาทีเท่านั้น…


ไคลน์โต้แย้งในใจ มิได้กล่าวออกไป


ไอเซนการ์ดเล่าต่อ


“จุดอ่อนของพลังดังกล่าวก็คือ ปีศาจจะทราบเพียงตำแหน่งและตัวตนของผู้สร้างอันตราย ไม่มากไปกว่านี้ พวกเราจึงสามารถนำช่องโหว่มาใช้ดัดหลังมันได้”


“ช่องโหว่? เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังหยั่งรู้อันตราย กับดักก็ไม่น่าจะได้ผลไม่ใช่หรือ”


คาสลาน่าถามอย่างไม่เข้าใจ


ไคลน์เองก็พยักหน้าเห็นพ้อง


จริงอยู่ เราสามารถใช้พลังของห้วงมิติเหนือสายหมอกในการผนึกลางสังหรณ์ศัตรู แต่ปัญหาคือ เราคงเปิดเผยพลังของมิติเหนือสายหมอกเทาให้พวกเขารับรู้ไม่ได้…


ไคลน์เสริมในใจ · ไอเซนการ์ดหัวเราะ


“ในทางทฤษฎีละก็ใช่ แต่โลกของผู้วิเศษเต็มไปด้วยความพิศวงมากมาย ตัวผมคือลำดับ 7 ผู้พิทักษ์ความรู้ หรือมีฉายาว่า ‘นักสืบ’  ผมยอมเปิดเผยพลังตัวเองเพราะต้องการแสดงให้เห็นความจริงใจ ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าความไว้เนื้อเชื่อใจอีกแล้ว”


แค่ลำดับ 7 เนี่ยนะ? แล้วลำดับ 7 เอาชีวิตรอดจากลำดับ 5 ผู้ปลดปล่อยความกระหายได้อย่างไร? ไม่ผิดแน่ มิสเตอร์สแตนธอนคงครอบครองสมบัติวิเศษทรงพลังสักชิ้น…


เมื่อกระจ่าง ไคลน์สลับท่านั่ง


“ผู้พิทักษ์ความรู้มีพลังในการสยบสัญชาตญาณของปีศาจหรือ” คาสลาน่าเอนตัวมาด้านหน้าและซักถามอย่างสนใจ


“เปล่า” ไอเซนการ์ดยิ้มมุมปาก “แต่ผมมีแหวนพิเศษ ถือกำเนิดจากการคลุ้มคลั่งของผู้วิเศษลำดับ 6 เส้นทางนักอ่าน หากผมได้เห็นพลังพิเศษชนิดใด ผมจะสามารถจำแนก บันทึก และเลียนแบบได้ทั้งหมด แต่แน่นอน ยิ่งเป้าหมายมีระดับสูง โอกาสล้มเหลวย่อมมากกว่าสำเร็จ


“ฮะฮะ! นี่คือคติพจน์ของโบสถ์เรา ปัญญาคือพลังอันยิ่งใหญ่!”


ทำไมเราถึงคุ้นหูนัก…


ยิ่งไปกว่านั้น คำอธิบายรายละเอียดนั่น…


ขณะไคลน์กำลังเค้นสมองนึก ไอเซนการ์ดล้วงหยิบแหวนหรูหราวงหนึ่งออกมาแสดง


แหวนเลี่ยมเพชร เต็มไปด้วยเพชรเม็ดเล็กจำนวนมาก รอบนอกเป็นอัญมณีสีเขียวมรกตหรูหราราคาแพง มองผิวเผินจะคล้ายกับดวงตาของมนุษย์


เพียงจ้องเข้าไปในแหวน สมองไคลน์พลันพร่ามัว ประหนึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานเกินขีดจำกัด


ไม่ผิดแน่… นี่คือสมบัติปิดผนึก 2-081!


ไอเซนการ์ด·สแตนธอนคือชายชราเจ้าของนามแฝง มิสเตอร์เนตรแห่งปัญญา?


ไคลน์จ้องมองยอดนักสืบบนเก้าอี้เอนกาย


แหวนวงนั้นคือสมบัติปิดผนึก 2-081 ซึ่งมิสเตอร์เนตรแห่งปัญญาเคยนำมาอวดกับตน แถมยังนำออกมาใช้ตรวจสอบความถูกต้องของสินค้าภายในชุมนุมลับหลายหน!


เนตรแห่งปัญญา… นามแฝงดังกล่าวสอดคล้องกับการเป็นสาวกโบสถ์เทพปัญญาความรู้…


ไคลน์อาศัยพลังตัวตลกช่วยปกปิดอาการตื่นตระหนักพร้อมกับจ้องมองไอเซนการ์ดอย่างเงียบงัน


หลังจากพิจารณาสักพัก ชายหนุ่มพบว่าไอเซนการ์ดมีความคล้ายคลึงกับเนตรแห่งปัญญาหลายส่วน และแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในหลายส่วน


อำพรางตัวเก่งกาจ… สมกับเป็นเจ้าของชุมนุมลับผิดกฎหมาย… หรือนี่จะเป็นพลังของ 2-081 ด้วยเช่นกัน?


ไคลน์วิเคราะห์อย่างคร่าว


ทันใดนั้น ชายหนุ่มเริ่มสร้างมโนภาพเหตุการณ์ล่วงหน้าภายในสมอง


…ถ้าเกิดมิสเตอร์สแตนธอนบอกว่า :


“เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ ในเมื่อผมได้บอกเส้นทางและสมบัติวิเศษของตนไปแล้ว ถึงตาพวกคุณช่วยบอกลำดับ เส้นทาง และสมบัติวิเศษของตัวเองด้วย”


แล้วเราควรตอบกลับอย่างไร…? ควักเข็มกลัดสุริยันซึ่งซื้อต่อจากเขาออกมาแสดง?


เขาจะไม่ตะโกนใส่หน้าเราว่า “เจอตัวแกสักที ไอ้เด็กเวร!” เอาหรือ?


ขณะจินตนาการไคลน์กำลังเตลิด คาสลาน่าก้มมองแหวนพร้อมกับซักถามด้วยน้ำเสียงอิจฉาแกมประหลาดใจ


“แล้วคุณคิดจะใช้แหวนจำลองพลังชนิดใดเพื่อต่อกรกับสัญชาตญาณหยั่งรู้ของปีศาจ”


ไอเซนการ์ดยกโค้งมุมปาก


“ผมจะต่อสู้กับพลังหยั่งรู้อันตรายด้วย… พลังหยั่งรู้อันตราย”


ในวินาทีนี้ สีหน้าของมันเผยความเจ้าเล่ห์เยี่ยงจิ้งจอกเฒ่า


หือ… ทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ… ไคลน์ผงะเล็กน้อยเนื่องจากยังคิดตามไม่ทัน


เมื่อเห็นไคลน์และคาสลาน่าแสดงสีหน้าฉงน ไอเซนการ์ดช่วยอธิบาย


“ประการแรก พวกเราต้องวางแผนอย่างจริงจังเพื่อสร้างอันตรายให้กับปีศาจตนดังกล่าว และแน่นอน ต้องลงมือทำจริงด้วย สอง ผู้ปลดปล่อยแรงปรารถนาจะสัมผัสถึงอันตรายจากพวกเรา และยังทราบด้วยว่ามาจากบ้านหลังนี้ สาม เนื่องจากผู้ปลดปล่อยแรงกระหายมิได้วางแผนไว้ล่วงหน้า สมองของมันจะทำตามสัญชาตญาณเป็นอันดับแรก พฤติกรรมเช่นนี้ถูกฝังอยู่ในสายเลือดและเปลี่ยนกันยาก ห้วงความคิดแวบแรกของมันจึงเป็นการกำจัดต้นตอของปัญหาอย่างเราสามคนทิ้ง ห้วงความคิดถัดมาจึงค่อยเป็นการประเมินว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน มันควรหนีจากพวกเราหรือแก้แค้นตามเดิม สี่ เมื่อผมเปิดใช้งานพลังหยั่งรู้อันตรายบ้าง ด้วยจิตสังหารท่วมท้นจากอีกฝ่าย ผมจะระบุตำแหน่งของมันได้อย่างแม่นยำทันที”


นี่มัน… แผนการขั้นเทพ… ไคลน์กำลังทึ่ง


แต่หลังจากนั้นแล้วยังไงต่อ? ในเวลาเดียวกัน ปีศาจคงตระหนักได้เช่นกันว่านี่เป็นกับดัก และเผ่นหนีไปโดยไม่เปิดโอกาสให้ลงมือ พวกเราไม่มีทางไล่ตามทันอยู่แล้ว…


ไคลน์เริ่มสับสน


ไอเซนการ์ดมองสลับไปมาระหว่างไคลน์และคาสลาน่า


“จากการอนุมานของผม ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายต้องอยู่ไม่ไกลจากบ้านหลังนี้ เพราะไม่ว่าพลังกระตุ้นแรงกระหายจะสะดวกสบายสักเพียงใด แต่ก็ต้องมีขอบเขตแสดงผลจำกัด และเมื่อครู่ มันเพิ่งใช้พลังดังกล่าวไปกับสจ๊วตและคนอื่น ในช่วงบ่าย หลังจากผมหนีจากมันสำเร็จ สาเหตุให้ใช้เวลานานก่อนจะมาถึงบ้านคุณ เพราะต้องวางแผนตลบหลังคนร้ายร่วมกับเหยี่ยวราตรี จิตแห่งจักรกล และกองทัพ พวกเขาสัญญาว่าจะส่งหน่วยพิเศษซึ่งรับงานดูแลละแวกใกล้เคียงมาช่วยราวสองถึงสามทีม ฮะฮะ! แน่นอน สิ่งนี้คงไปกระตุ้นพลังหยั่งรู้ของปีศาจ แต่มันคงไม่ใส่นักเนื่องจากเป็นเหตุการณ์ซึ่งพบได้ตามปรกติ หลักฐานชัดเจนคือ มันยังคงลงมือกับสจ๊วตแม้จะตระหนักถึงอันตรายจากหน่วยพิเศษ หากผมระบุตำแหน่งของปีศาจได้เมื่อไร จะรีบแจ้งให้หน่วยพิเศษทราบทันที และพวกเขาก็จะเริ่มลงมือปิดกั้นเส้นทางหลบหนีรอบตัวผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย”


“ผมมีคำถาม แล้วเราจะแจ้งให้หน่วยพิเศษทราบได้อย่างไร หากแจ้งไม่สำเร็จภายในหนึ่งอึดใจ เกรงว่าปีศาจตนดังกล่าวจะมีเวลามากพอสำหรับหลบหนีออกจากเมือง”


ไคลน์ซักถาม


“ถ้าเป็นแบบนั้นก็จนปัญญา แน่นอน ไม่มีแผนการใดสมบูรณ์แบบ การจะจัดการปีศาจตนดังกล่าวจำเป็นต้องใช้สมบัติปิดผนึกชนิดพิเศษ ผนึกเส้นทางหลบหนีทั้งหมดและล้อมจับด้วยกำลัง แต่สมบัติปิดผนึกชิ้นดังกล่าวมีขั้นตอนการเปิดใช้งานค่อนข้างนาน หากพวกเราพลาด ผู้ปลอดปล่อยแรงกระหายคงหลบหนีออกจากเบ็คลันด์โดยสมบูรณ์ แต่บางที มันอาจย้อนกลับมาแก้แค้นอีกครั้งก็ได้ ใครจะรู้”


ไอเซนการ์ดอธิบายพร้อมกับล้วงหยิบวัตถุสีทองขนาดเท่าฝ่ามือออกมาแสดง สิ่งนี้คือเครื่องส่งโทรเลขจิ๋ว แต่มีแตรติดอยู่ด้านบน


“นี่คือสมบัติปิดผนึก สามารถขยายเสียงผมออกไปได้ไกลถึงห้ากิโลเมตร” ไอเซนการ์ดยิ้มพลางอธิบายต่อ “ผลข้างเคียงคือ ผมจะได้ยินเสียงทั้งหมดภายในรัศมีห้ากิโลเมตรเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมสามารถใช้พลังพิเศษบางชนิดช่วยบรรเทาได้”


เมื่อฟังจบ คาสลาน่าขมวดคิ้ว


“ในเมื่อมีหน่วยพิเศษของทางการเตรียมลงมือ พวกเราก็ไม่จำเป็นไม่ใช่หรือ”


ไอเซนการ์ดสวม 2-081 อย่างระมัดระวังพร้อมกับกล่าวเสียงขรึม


“เพื่อไม่ให้ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายตรวจพบความผิดปรกติ หน่วยพิเศษของทางการจึงดักซุ่มอยู่ในละแวกห่างออกไป เป็นงานของพวกเราสามคนในการตรึงมันไว้อย่างสุดฝีมือ จนกว่าสมบัติปิดผนึกของหน่วยพิเศษจะเปิดใช้งานเสร็จสมบูรณ์”


“ผมไม่คัดค้าน” ไคลน์พยักหน้ารับหลังจากไตร่ตรองสักพัก


คาสลาน่าก็เช่นกัน


“มิสเตอร์สแตนธอน คุณไม่จำเป็นต้องเปิดเผยพลังของตัวเองเลยสักนิด เพราะไม่ว่าอย่างไร เราสองคนก็ต้องร่วมมือเพื่อความอยู่รอดอยู่แล้ว”


“ฮะฮะ! การเปิดเผยพลังก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเช่นกัน และในเมื่อพวกคุณตกปากรับคำ ผมจะถือว่าปฏิบัติการของพวกเราเริ่มขึ้น ณ บัดนี้…”


ไอเซนการ์ดหรี่ตาลง


เม็ดมรกตบนแหวนในมือขวาพลันส่องแสงออร่าสีฟ้าอ่อน


ทันใดนั้น ไอเซนการ์ดลุกพรวดพร้อมกับชี้นิ้วขึ้นไปข้างบนด้วยสีหน้าอึมครึม


“ตรงนั้น! ชั้นบน!”


ไคลน์และคาสลาน่ารีบขยับตัวทันที คนหนึ่งเตรียมดีดนิ้วเพื่อจุดไม้ขีดไฟบนชั้นสองและย้ายร่างตัวเองไป ส่วนอีกคนวิ่งตามหลังไอเซนการ์ดไปทางประตู


ไม่มีใครคาดคิดว่า หลังจากแผนการสร้างความโกลาหลล้มเหลว ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายจะยังแฝงตัวอยู่ภายในอาคารหมายเลข 15 ถนนมินส์!


บางที มันคงกำลังเฝ้ามองเราสามคนวางแผนอย่างเลือดเย็น… ไคลน์ผุดความคิดอันน่าขนลุก


ทันใดนั้น ไคลน์บังเอิญเหลือบเห็นดวงตาของคาสลาน่าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ พร้อมกันนั้น นักสืบหญิงชักกำปั้นขวาและเล็งชกใส่แผ่นหลังของไอเซนการ์ดโดยปราศจากความลังเล


จุดดังกล่าวตรงกับหัวใจพอดิบพอดี!


นี่มัน… ตาดำไคลน์หดเกร็ง ข้อสงสัยหลายประเด็นพลันกระจ่างในพริบตา


เหตุผลให้ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายยังไม่หนีออกจากบ้านเรา เพราะมันมีแผนสำรองเตรียมรอไว้แล้ว!


มันยังเหลือเหยื่อ ‘การชี้นำทางจิต’ ซึ่งยังไม่ถูกกระตุ้นอีกหนึ่งคน


และนั่นคือคาสลาน่า!


หนึ่งในสามผู้วิเศษของฝ่ายเรา!


มันจงใจแสดงให้ทุกคนเห็นว่าแผนการกระตุ้นเหล่านักสืบล้มเหลว ทางเราจะได้ลดการป้องกันลง จากนั้นก็รอคอยจังหวะสำคัญเพื่อกระตุ้นแรงกระหายของคาสลาน่า!


เป้าหมายอันดับหนึ่งของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายคือไอเซนการ์ดตั้งแต่แรก!


เจ้าเล่ห์ฉิบหาย… ไคลน์รีบดีดนิ้วเพื่อยิงกระสุนอากาศใส่คาสลาน่า


พร้อมกันนั้น มันตะโกน


“หลบ!”


ไอเซนการ์ดย่อมมีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน จึงรีบกระโดดไปข้างหน้าแม้จะไม่ทราบว่าไคลน์ให้หลบสิ่งใด


แต่คาสลาน่าไม่แยแสกระสุนอากาศของชายหนุ่ม เธอปล่อยให้มันพุ่งกระทบแขนจนโลหิตสาดกระเซ็นเปรอะเต็มพื้น


เปรี้ยง!


ขณะเดียวกัน คาสลาน่าบรรจงชกใส่แผ่นหลังไอเซนการ์ดโดยการโถมน้ำหนักทั้งตัว


กร็อบ!


ไคลน์ได้ยินเสียงกระดูกหักแจ่มชัด และจุดดังกล่าวคือกระดูกสันหลังแสนสำคัญ


……………………


ราชันเร้นลับ 416 : สองถูกเป็นหนึ่งผิด

โดย

Ink Stone_Fantasy

กร็อบ!


เมื่อไคลน์เห็นแผ่นหลังไอเซนการ์ดยุบเข้าไป มันเกิดความเสียวไส้เหนือพรรณนา


ไอเซนการ์ดล้มลงด้วยเสียง ‘ตุ้บ’  ร่างกายแน่นิ่งชั่วขณะคล้ายกับหมดสติกะทันหันเพราะความเจ็บปวด


คาสลาน่ายังคงยืนในจุดเดิม ลมหายใจกระเส่า ดวงตาเหม่อลอย หน้าผากผุดเหงื่อเม็ดใหญ่ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดเพิ่มเติมจากนักสืบหญิงผู้นี้


ประหนึ่งเธอเพิ่งลืมตาตื่นจากฝันร้ายแห่งห้วงอารมณ์อันยาวนาน เรี่ยวแรงไม่หลงเหลือโดยสิ้นเชิง เนื่องจากปลดปล่อยไปกับกำปั้นเมื่อครู่จนหมดเกลี้ยง


หงึกหงึก…


ร่างกายคาสลาน่าเริ่มโซเซ คล้ายกับใกล้หมดสติล้มลงเต็มที


aไคลน์หรี่ตาลงพร้อมกับกระโจนเข้าหาไอเซนการ์ดภายในสองก้าว


ชายหนุ่มคุกเข่าลงและพยายามช่วยเหลือ


ไอเซนการ์ดนอนแผ่บนพื้น ตะโกนด้วยเสียงแหบพร่าแกมเจ็บปวด


“หนีไป! ไม่ต้องห่วงผม!”


ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น มันคงประเมินว่า ในทีมผู้วิเศษสามคน ซึ่งบาดเจ็บหนักหนึ่งคน และปราศจากเรี่ยวแรงอีกหนึ่งคน ย่อมไม่มีทางตรึงผู้ปลดปล่อยแรงกระหายไว้ในบ้านได้นานแน่ จึงส่งสัญญาณบอกให้ไคลน์รีบหนี เพื่อจะได้เหลือใครสักคนคอยแจ้งข่าวกับหน่วยพิเศษของทางการ


ขณะเดียวกัน ไอเซนการ์ดขยับมือไม้คล้ายเตรียมใช้พลังพิเศษบางชนิด เพื่อทำให้หน่วยพิเศษซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควร พบว่ามีความผิดปรกติขึ้นภายในบ้านหลังนี้


ในส่วนของ ‘เครื่องโทรเลขจิ๋ว’  มันลอยกระเด็นไปชนกำแพงเนื่องจากพลังโจมตีมหาศาลของคาสลาน่าในจังหวะเมื่อครู่


ไคลน์ออกอาการลังเลหลายวินาที จนกระทั่งตัดสินใจเตรียมกระทำบางสิ่ง มุมสายตาบังเอิญเหลือบเห็น ‘ของเหลว’ สีดำกำลังหยดลงจากเพดานพร้อมกับก่อตัวเป็นรูปร่างมนุษย์


คล้ายกับกำลังห่มด้วยม่านสีดำสนิท เปิดเผยเพียงดวงตาสีฟ้าแสนเย็นชา


ในแวบแรก ไคลน์รู้สึกราวกับตนได้เห็นอารมณ์ทั้งหมดบนโลกอย่างแจ่มชัด หวาดกลัว อาฆาต ละโมบ ริษยา หิวโหย หลงใหล และอีกมาก


ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายไม่รีรอ รีบลงมือตามแผนการซึ่งเตรียมไว้อย่างเจ้าเล่ห์ ส่งตัวเองลงมายังห้องกิจกรรมชั้นหนึ่งของบ้าน


ในสถานการณ์ปัจจุบัน จากบรรดานักสืบผู้วิเศษทั้งสาม คาสลาน่าหมดสภาพโดยสิ้นเชิงหลังจากระเบิดอารมณ์ฉับพลัน ส่วนไอเซนการ์ดได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกสันหลังแตกในจุดกึ่งกลาง ส่งผลให้หมดความสามารถในการต่อสู้อย่างไร้ข้อกังขา


มีเพียงไคลน์ ผู้ยังไร้รอยขีดข่วน


ทว่า ชายหนุ่มมิได้พกพาสมบัติวิเศษชิ้นใด ทั้งหมดถูกเก็บไว้บนสายหมอกเพื่อไม่ให้สร้างความฉิบหายกับตนภายหลัง ทักษะในการต่อสู้จึงเหลือเพียงลูกโม่หนึ่งกระบอกและกระสุนพลังพิเศษ


งานหลักของมันคือการเผชิญหน้ากับลำดับ 5 ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย เจ้านายสุนัขปีศาจ ตามลำพัง!


อย่างไรก็ตาม มุมปากไคลน์กำลังยิ้มอ่อน


ชายหนุ่มรีบตวัดมือขวาซึ่งกำลังนาบบนกระดูกสันหลังไอเซนการ์ดในจุดบาดเจ็บ ให้ขยับไปทางด้านซ้ายเล็กน้อย ส่งผลให้ความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ถูกเคลื่อนย้ายจากจุดสำคัญไปยังบริเวณซี่โครงทันที!


สิ่งนี้คือสุดยอดพลังเหนือธรรมชาติอันยากจะหาเหตุผลรองรับของนักมายากล :


ย้ายความเสียหาย!


สามารถย้ายบาดแผลไปยังจุดใดก็ได้ของร่างกาย เปลี่ยนจากหนักเป็นเบา แต่ไม่สามารถนำบาดแผลออกจากร่างกายได้


นับตั้งแต่ได้เห็นอาการบาดเจ็บไอเซนการ์ด ไคลน์ก็คิดแผนนี้ได้ทันที


ขั้นแรก ล่อให้ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเข้าใจผิด คิดว่ากลุ่มสามนักสืบกำลังตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติ สิ่งนี้จะล่อให้มันปรากฏตัวออกมา จากนั้นจึงย้ายบาดแผลไปยังซี่โครงซึ่งบาดเจ็บน้อยกว่ามาก และตนกับไอเซนการ์ดก็จะร่วมมือกันตรึงผู้ปลดปล่อยแรงกระหายไว้จนกว่าหน่วยพิเศษจะตามมาสนับสนุน!


ด้วยวิธีนี้ แม้ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายจะสัมผัสถึงความผิดปรกติ แต่ก็สายเกินไปหากคิดหลบหนี เในวินาทีชายหนุ่ม ‘รักษา’ บาดแผลของยอดนักสืบสำเร็จ การต่อสู้ก็จะกลายเป็นสองต่อหนึ่งทันที และนั่นคือการถ่วงเวลาให้หน่วยพิเศษปิดล้อมบ้านทุกทิศทาง


ทันใดนั้น แหวนในมือไอเซนการ์ดเริ่มแผ่แสงออร่าสีเขียวอ่อน ช่วยเยียวยาบาดแผลบริเวณซี่โครงจนหายสนิท


ซี่โครงซึ่งเคยหัก สามารถคืนสภาวะปรกติในพริบตา


หมายความว่า ตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งเมื่อครู่ ไอเซนการ์ดบาดเจ็บจริง แต่มันแสร้งทำเป็นสิ้นหวังและไม่มีแผนสำรอง!


อย่างไรก็ตาม พลังดังกล่าวซ้อนทับกับความพยายามของไคลน์จนเกินพอดีไปมาก


ขณะผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเตรียมลงมือปิดบัญชีสามนักสืบ เมื่อเห็นฉากตรงหน้า ร่างกายมันพลันชะงักกะทันหัน


ในสภาพปัจจุบัน ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายสามารถเคลื่อนไหวได้อย่าง เนื่องจากไม่มีนักสืบคนใดหันไปสนใจหรือลงมือ จึงมีจังหวะและเวลามากพอสำหรับพุ่งตัวไปทางหน้าต่างด้วยความเร็วสูงสุด


ร่างกายคล้ายมนุษย์ยุบลงบนพื้นและเปลี่ยนเป็นของเหลวสีดำเหนียวข้นอีกครั้ง


ของเหลวซึมลงพื้นห้องและผ่านกำแพงบ้านออกไปด้านนอกอย่างง่ายดาย เพียงพริบตาเดียวก็ไม่เหลือทิ้งร่องรอยใดให้ตามจับ


ไคลน์รีบยกมือขึ้นและดีดนิ้ว


กระสุนอัดอากาศพุ่งผ่านกระจกออกไปด้านนอก เกิดเสียงแก้วแตกละเอียดพร้อมกับประกายไฟเล็กน้อย ทว่า ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายมิได้อยู่ในบริเวณดังกล่าวอีกแล้ว


เผ่นหนีเร็วมาก ปราศจากความลังเลโดยสิ้นเชิง… มันเป็นปีศาจแน่หรือ? แย่ล่ะสิ หลังจากนี้เราคงใช้ชีวิตลำบากแน่…


มุมปากไคลน์เริ่มสั่นเทา ขณะเดียวกันก็หันไปมองไอเซนการ์ด ผู้กำลังพยุงตัวลุกยืน


อีกฝ่ายมองกลับมายังไคลน์


“คุณรักษาบาดแผลได้ด้วยหรือ?”


“คุณรักษาบาดแผลได้ด้วยหรือ?”


สองยอดนักสืบส่งเสียงถามพร้อมกัน


เมื่อสายตาประสานกันสักพัก ไอเซนการ์ดส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาพร้อมกับยิ้ม


“ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่า กับดักของตัวเองจะเป็นสาเหตุให้มันหนีรอดไปได้”


ขณะเล่า แหวนบนมือยังคงแผ่แสงออร่าเจือจาง พร้อมกันนั้น ไอเซนการ์ดเริ่มสำรวจรอบตัวจนมั่นใจว่าผู้ปลดปล่อยแรงกระหายหลบหนีไปแล้วจริง


มันหันมาอธิบายไคลน์สั้นกระชับ


“ในช่วงบ่าย ผมไม่มีโอกาสได้จำลองพลังรักษาเพื่อใช้กับตัวเอง แต่หลังจากนั้น ผมผุดแนวคิดว่าจะใช้พลังรักษาในภายหลัง โดยหลอกให้ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายตายใจว่า ตัวผมกำลังบาดเจ็บหนัก จึงแสร้งพันแผลให้ดูอลังการเกินจริง”


มันชี้ไปยังเฝือกบนไหล่


“และไม่ผิดจากความคาดหมาย แผนการเป็นไปอย่างราบรื่น เพียงแต่ ผมคาดไม่ถึงว่าคุณเองก็มีพลังรักษาเช่นกัน มันก็เลย…”


ไอเซนการ์ดถอนหายใจ


เมื่อนักสืบทั้งสองต่างจัดลำดับความสำคัญกับพลัง ‘รักษาแผล’ ไว้ในระดับสูงสุดเหมือนกัน แต่ละคนจึงใช้พลังของตัวเองโดยมิได้นัดหมาย ส่งผลให้ไม่มีใครคอยตรึงผู้ปลดปล่อยแรงกระหายไว้ได้ทัน


ให้ตายสิ… ทั้งไอเซนการ์ดและเราต่างมีไพ่ตายลับเพื่อล่อลวงให้ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายติดกับ แต่ใครจะไปคิดกันว่า เราสองคนดันใช้ออกมาพร้อมกันจน ‘เกินพอดี’ และทำให้ศัตรูหลบหนีไปในช่องว่างดังกล่าว…


ดังคำโบราณว่าไว้ สองผิดเป็นหนึ่งถูก…


ไคลน์ยิ้มจืดชืดพร้อมกับกล่าว


“เป็นเพราะพวกเรายังไม่รู้จักกันดีพอ และไม่เคยต่อสู้ร่วมกันมาก่อน”


“ไม่เลย เป็นความผิดของผมเอง” ไอเซนการ์ดตำหนิตัวเองอย่างจริงใจ “นับตั้งแต่เห็นคุณเดินมาจับบาดแผล ผมควรทราบว่าคุณไม่ตื่นตระหนกและมีไพ่เด็ดเตรียมไว้รับมือ แต่น่าเสียดาย เป็นเพราะว่าผมกำลังสวมแหวนวงนี้ สมองจึงทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้คาดเดาการกระทำของคุณไม่ออก”


หมายความว่า 2-081 จะกัดกร่อนสติปัญญาของผู้ใช้งานขณะสวมใส่สินะ…


ไคลน์ยิ้ม


“มิสเตอร์สแตนธอน ตอนนี้ไม่ใช่เวลามัวตามหาคนผิด แต่ต้องคิดว่าควรทำอย่างไรต่อไปต่างหาก”


ไอเซนการ์ดถอดแหวนพร้อมกับเดินไปทางประตูห้องกิจกรรม


“หน่วยพิเศษของทางการกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า ผมต้องออกไปช่วยคุมสถานการณ์ฝั่งสจ๊วตและนักสืบ… แล้วคุณล่ะ? จะออกมาพร้อมกับผม หรือมีบางสิ่งในบ้านต้องการให้เรียบร้อยก่อน?”


หน่วยพิเศษของทางการ… มิสเตอร์สแตนธอนเคยเอ่ยชื่อเหยี่ยวราตรี จิตแห่งจักรกล และหน่วยลับของกองทัพให้ฟัง… ได้โปรดอย่าเป็นคนรู้จักเลย… แต่สัมผัสวิญญาณของเราไม่ร้องเตือน คงไม่มีเรื่องต้องกังวลกระมัง…


หืม… มิสเตอร์สแตนธอนบอกใบ้ให้เราไปจัดการกับวัตถุแปลกปลอมภายในบ้าน ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาถ้าถูกหน่วยพิเศษค้นบ้านและพบเข้าในภายหลัง…


ขณะสมองกำลังประมวลผล ไคลน์เงยหน้าซักถาม


“มิสเตอร์สแตนธอน ขณะคุณพบตำแหน่งของผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย มันอยู่ตรงส่วนใดของชั้นสอง?”


ไอเซนการ์ดทำหน้านึก


“ห้องนอน มันกำลังนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะอ่านหนังสือของคุณ”


…โอหังฉิบหาย… ไคลน์ชี้ไปทางประตู


“ผมจะขึ้นไปตรวจสอบว่ามันทิ้งเบาะแสใดไว้หรือไม่ หากได้เห็นใบหน้าแท้จริงสักนิด คงง่ายต่อการรับมือในอนาคต คงต้องฝากทางนั้นไว้กับคุณ”


“ตกลง” ไอเซนการ์ดเดินไปพยุงคาสลาน่าผู้ปราศจากเรี่ยวแรง


เมื่อเห็นภาพดังกล่าว ไคลน์ทำได้เพียงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา


อุตส่าห์วางแผน เตรียมกับดัก และชิงลงมือก่อนอย่างดิบดี แต่กลับจับตัวผู้ปลดปล่อยแรงกระหายไว้ไม่ได้ และต้องอยู่ในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้… ไม่ว่าจะเตรียมตัวดีอย่างไร แต่อุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อในรูปแบบไม่คาดฝัน… คงเป็นเหตุผลว่าทำไม นักมายากลจึงเป็นแค่โอสถลำดับ 7…


เมื่อเดินออกจากห้องกิจกรรม ไคลน์ตรงไปยังห้องนอนบนชั้นสองทันที


เครื่องเรือนยังอยู่ในตำแหน่งเดิม แม้กระทั่งระยะห่างระหว่างเก้าอี้กับโต๊ะก็ไม่เปลี่ยนไป แต่ไคลน์สามารถจินตนาการภาพของบุคคลร่างกายสีดำคล้ายกำลังห่มด้วยผ้าม่านได้อย่างชัดเจน


มันกำลังนั่งบนเก้าอี้ มองตรงไปทางเหยื่อ และรอคอยโอกาสลงมืออย่างใจเย็น


สมกับเป็น ‘สัตว์เลือดเย็น’ …


ไคลน์มองไปทางบานกระจกบนมุขหน้าต่าง มันเกิดลางสังหรณ์ว่า ตนสามารถทำนายบางสิ่งได้ หากกระจกบานนี้เคยสะท้อนภาพใดไว้


เส้นทางปีศาจเชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมเป็นพิเศษ คงไม่มีเบาะแสใดเหลือทิ้งไว้กระมัง… แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เราสามารถทดสอบทำนายด้วยห้วงมิติเหนือสายหมอกในภายหลัง…


ไคลน์สำรวจรอบห้องอย่างละเอียด ระหว่างนั้นก็จุดไฟเผาสมุดบันทึกศาสตร์เร้นลับของตัวเองทิ้งไป


หลังจากจัดการกับวัตถุต้องสงสัยเสร็จจนหมด ถัดมาไม่นาน คนแปลกหน้าราวสองถึงสาม กำลังเดินขึ้นบันไดมายังชั้นสอง


ผู้นำกลุ่มเป็นบุรุษใบหน้าเคร่งขรึม แต่มีเส้นผมสีน้ำตาลหงิกงอและแข็งชี้


ในมือกำลังถือกระจกเงินลวดลายแปลกประหลาดบานหนึ่ง สองฝั่งของกระจกถูกประดับด้วยอัญมณีสีดำ มองผิวเผินจะมีลักษณะคล้ายดวงตาสองข้าง


“สวัสดีครับ มิสเตอร์โมเรียตี้ ผมคือไอคานส์·เบอร์นาร์ดจากโบสถ์เทพจักรกลไอน้ำ ไม่ทราบว่าจะขอตรวจสอบชั้นสองสักเล็กน้อยได้หรือไม่?”


ไคลน์พยักหน้ารับ


“เชิญ” ตามด้วย “แล้วผมต้องเดินตามไปตอบคำถามในแต่ละจุดไหม”


“ก็ดีครับ คงต้องรบกวนด้วย มิสเตอร์ไอซนการ์ดอาจอธิบายสถานการณ์ของคุณไว้บ้างแล้ว แต่ทางเรายังต้องทำตามระเบียบปฏิบัติอย่างเคร่งครัด” ไอคานส์ยิ้มรับ


สมาชิกในทีมเดินตามหลังมันมาไม่ห่าง แต่ละคนมีท่าทีแตกต่างกันไป บ้างเพิกเฉย บ้างอยากรู้อยากเห็น และบ้างไม่เป็นมิตร


สถานการณ์ของเรา? แล้วไอเซนการ์ดเล่าให้พวกเขาฟังว่าอย่างไร? ไม่คิดจะนัดแนะกันสักหน่อยหรือ?


ขณะสมองไคลน์กำลังปั่นป่วน มันเดินตามไอคานส์เข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง ส่วนทีมผู้วิเศษจับคู่แยกย้ายไปตามแต่ละห้อง


“ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเคยนั่งบนเก้าอี้ตัวนี้ใช่ไหม” ไอคานส์ชี้ไปยังเก้าอี้หน้าโต๊ะ เห็นได้ชัดว่ามีการซักถามข้อมูลเบื้องต้นจากไอเซนการ์ดแล้ว


“ใช่ครับ” ไคลน์ไม่ปิดบัง


โดยไม่รีรอ ไอคานซ์ยกกระจกเงินขึ้นพร้อมกับใช้มือขวาลูบไล้แผ่วเบาสามหน


เว้นวรรคหนึ่งอึดใจ มันกล่าวเสียงทุ้ม


“ถึงท่านอาโรเดสผู้ยิ่งใหญ่ คำถามของกระผมก็คือ : ‘ปีศาจผู้เคยนั่งบนเก้าอี้ตัวนี้มีรูปลักษณ์เป็นเช่นไร’”


ทันใดนั้น แสงสว่างรอบตัวทุกคนพลันอึมครึมกะทันหัน ราวกับห้องถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบหลังพายุฝน ผิวกระจกผุดแสงคล้ายคลื่นน้ำกระเพื่อมอย่างอ่อนโยน เผยให้เห็นฉากหนึ่งด้านใน :


บุรุษผู้มีร่างกายปกคลุมด้วยของเหลวสีดำกำลังนั่งบนเก้าอี้ สายตาจ้องมองมาทางเตียง


ฉากบนกระจกเริ่มแปรเปลี่ยน คราวนี้เป็นภาพสะท้อนมุมด้านข้างจากมุขหน้าต่าง เผยให้เห็นบุรุษชุ่มฉ่ำไปด้วยของเหลวสีดำคนเดิม


แต่ในมุมนี้ ทุกคนสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ในเชิงสามมิติได้ชัดเจนกว่าเดิม


โหนกแก้มใหญ่ ดวงตาสีฟ้าแสนเย็นชา


……………………


ราชันเร้นลับ 417 : อาโรเดส

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อได้เห็นเหตุการณ์บนผิวกระจก ไคลน์แสดงสีหน้าประหลาดใจโดยไม่ปิดบังคนรอบข้าง


กระจกบานนี้ทรงพลังมาก แถมยังมีชื่อเป็นของตัวเอง คงเป็นสมบัติปิดผนึกแบบมีสัญญาณชีพกระมัง…


ของแบบนี้มักไม่อันตราย แต่มีขั้นตอนการปิดผนึกซับซ้อน และถูกใช้งานไม่บ่อยครั้ง ต้องเป็นภารกิจเฉพาะทางเท่านั้น…


หมายความว่าไอคานส์·เบอร์นาร์ดจากจิตแห่งจักรกลคนนี้ต้องไม่ธรรมดา คงเป็นบุคลากรระดับสูง ขั้นต่ำคืออาวุโส และอาจไม่ใช่อาวุโสธรรมดา…


ศาสตร์การทำนายนั้นมีพลังจำกัด การทำนายของเราผลให้ผลลัพธ์ไม่ต่างจากกระจกเงินบานนี้มากนัก ถึงจะเป็นบนห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาก็ตาม…


และรายละเอียดเมื่อครู่ไม่ช่วยอะไรมาก เบ็คลันด์เต็มไปด้วยบุรุษแก้มตอบดวงตาสีฟ้านับไม่ถ้วน…


ขณะไคลน์กำลังครุ่นคิด ฉากเหตุการณ์บนผิวกระจกเริ่มเลือนหาย ก่อนจะถูกแทนด้วยข้อความสีเลือดค่อนข้างยาว :


“ตามกฎการแลกเปลี่ยนอันเท่าเทียม ข้ามีสิทธิ์ตั้งคำถามกับเจ้าหนึ่งข้อ หากโกหกหรือตอบผิด เจ้าจะต้องเลือกระหว่างการรับทำภารกิจให้ข้าหรือรับบทลงโทษ”


“…” ไคลน์ขมวดคิ้วทันทีหลังจากอ่านจบ


นี่มันกระจกถามตอบ? ชักน่าสนใจ…


ถัดมา อักษรเลือดบนเผิวกระจกเริ่มเคลื่อนไหวและเรียงตัวกันเป็นประโยคใหม่ :


“ชื่อจริงของ ‘แสงแดง’ คืออะไร”


แสงแดง…?


หนึ่งในผู้นำของภราดรภาพแสงพิสุทธิ์? หนึ่งในเจ็ดริ้วแสงของโลกวิญญาณ?


ไคลน์ก้มหน้าตรึกตรองสักพักและมั่นใจว่าตนไม่สามารถตอบคำถามข้อนี้ได้


เพราะมันรู้จักเพียงแสงเหลือง เวนิธาน


ลูกกระเดือกไอคานส์ขยับขึ้นลงชัดเจน เหงื่อเม็ดใหญ่เริ่มผุดขึ้นกึ่งกลางหน้าผาก


บรรยากาศเงียบงันปกคลุมห้องนอนไคลน์นานหลายวินาที จนกระทั่งไอคานส์ตัดสินใจเปล่งเสียงเคร่งขรึม


“นานีเดส!”


“ผิด” อักษรเลือดสีแดงสดบนผิวกระจกเริ่มเปลี่ยนคำอีกครั้ง “ลงโทษหรือภารกิจ?”


ใบหน้าไอคานส์ปรากฏความหนักใจชัดเจน ก่อนมันจะสูดลมหายใจเต็มปอดและโพล่งออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว


“ลงโทษ”


ในวินาทีสิ้นหางเสียง สายฟ้าสีเงินพลันผ่าลงมาจากด้านบนอย่างไม่มีปี่ขลุ่ย กระทบใส่ศีรษะหัวหน้าหน่วยจิตแห่งจักรกลเข้าอย่างจัง


เกิดเสียง ‘เปรี๊ยะ’ หนึ่งหนพร้อมกับการล้มหงายหลังดัง ‘ตึง’ ของไอคานซ์ เส้นผมบนศีรษะหงิกงอแหละแข็งชี้ยิ่งกว่าเก่า ตามลำตัวมีควันดำลอยขึ้นมาอย่างเจือจาง


แต่กระจกมิได้หล่นพื้นตามร่างไอคานส์ เพียงลอยลงไปวางบนโต๊ะอ่านหนังสืออย่างเงียบงัน


ผ่านไปราวสองวินาที ร่างกายไอคานส์ชักกระตุกแผ่วเบา ตามด้วยการฝืนพยุงตัวลุกด้วยมือไม้สั่นระริกและลมหายใจขาดห้วง


ไคลน์ทำได้เพียงจ้องมองภาพเหตุการณ์อย่างเงียบงัน ไม่รู้ว่าตนควรกล่าวสิ่งใดหรือแสดงพฤติกรรมใดออกมา


จนกระทั่งผ่านไปสักพัก ไอคานส์เริ่มฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้บางส่วน มันหันมาจ้องชายหนุ่มพร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้มจืดชืด


“คุณคงเคยได้ยินการมีอยู่ของสมบัติปิดผนึกแล้วใช่ไหม? สิ่งเหล่านี้มักมีผลข้างเคียงประมาณหนึ่งเสมอ”


“เคยครับ” ไคลน์ชำเลืองมองเส้นผมชี้โด่เด่ของไอคานส์พร้อมกับเข้าใจทันทีว่า เหตุใดชายคนนี้ถึงหัวหยิกและมีเส้นผมแข็งกระด้างอย่างผิดธรรมชาติ


มันหันไปซักถาม


“แต่ผมไม่เข้าใจ คุณไม่จำเป็นต้องถามต่อหน้าผมก็ได้ ทำไมถึงไม่แอบซักถามลับหลัง คนอื่นจะได้ไม่เห็นขณะคุณถูกลงโทษ”


“ฟู่ว… เงื่อนไขการใช้งานกระจกบานนี้คือ ต้องมีใครสักคนต้องมองจากด้านข้าง” ร่างกายไอคานส์ยังคงสั่นเทา


ใจร้ายชะมัด…


ไคลน์เดินสองก้าวเข้าหาโต๊ะอ่านหนังสือ สายตาก้มมองกระจกเงาสีเงินอย่างสนใจ ชายหนุ่มไม่พบความผิดปรกติอื่นนอกจากอัญมณีลักษณะคล้ายดวงตาสองข้าง ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่าเป็นสมบัติปิดผนึก


ไอคานส์หัวเราะแห้ง


“คุณจะลองถามก็ได้นะ พวกเราไม่ถือสา”


“ไม่เอาดีกว่า… เกรงใจ”


ไคลน์ไม่มีทางเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับกระจกพิศวงผีถ้วยแก้วบานนี้


ขณะมอบคำตอบ ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วสัมผัสขอบกระจกเงินอย่างระมัดระวัง


นอกจากความเย็นเฉียบของโลหะก็ไม่มีสิ่งใดพิเศษ…


ทันใดนั้น กระจกเงินเริ่มสั่น


ตามด้วยข้อความ ‘สีขาว’ ใจความว่า :


“ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่าน อาโรเดส พร้อมรับใช้ท่านทุกเมื่อ”


เห…?


สมองไคลน์เริ่มขาวโพลน


มันรีบผละออกจากโต๊ะอ่านหนังสือด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่มีเหตุการณ์ผิดปรกติ


เกิดอะไรขึ้น? กระจกเพิ่งเล่นเกมทายคำสุดโหดหินด้วยข้อความเย็นชาและแข็งกร้าว… แล้วทำไมถึงเขียนข้อความเมื่อครู่ต่อหน้าเรา?


ไคลน์ประหลาดใจแกมสับสน ตามด้วยการตั้งสมมติฐานจากข้อมูลปัจจุบัน


กระจกเงินบานนี้รู้จักชื่อจริงของแสงแดง แปลว่าคงเป็นตัวตนจากโลกวิญญาณหรือไม่ก็ผู้เกี่ยวข้อง…


ดูเหมือนห้วงมิติเหนือสายหมอกเท่าก็จะเชื่อมต่อกับโลกวิญญาณเช่นกัน หรืออย่างน้อยก็ขณะเราประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง ด้านในบานประตูมิติมีลักษณะคล้ายกับคำอธิบายของโลกวิญญาณ…


แปลว่ากระจกเงิน ‘อาโรเดส’ ตระหนักถึงออร่าของห้วงมิติเหนือสายหมอกได้?


ขณะสร้างทฤษฎีในสมอง ไคลน์เหลือบเห็นไอคานส์ฟื้นตัวกลับมาพร้อมกับพยุงตัวลุกยืน ก่อนจะเอื้อมมือลงไปหยิบกระจกเงาบนโต๊ะ ทางด้านลูกทีมจิตแห่งจักรกลอีกสองคน หลังจากแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มาสักพัก พวกมันเริ่มกลับมาค้นหาเบาะแสภายในห้องอีกครั้ง


เมื่อการสอบปากคำผ่านไปด้วยดี ไคลน์โบกมือลาไอคาสน์และเดินกลับลงมาหาไอเซนการ์ดและกลุ่มนักสืบ


“แล้วเราจะทำยังไงต่อ” ไคลน์ถามเถรตรง


ไอเซนการ์ดสวมสีหน้าเคร่งขรึม


“ต้องจัดแจงให้สจ๊วตและครอบครัวย้ายบ้านพร้อมกับเปลี่ยนแปลงตัวตนให้แนบเนียน แต่แน่นอน นี่เป็นเพียงแผนระยะสั้น ส่วนคุณ ผม และคาสลาน่าจะทำตัวตามปรกติและได้รับการคุ้มครองลับจากหน่วยพิเศษ นอกเหนือจากนั้น พวกเราได้แต่หวังให้ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายถูกจับกุมโดยเร็ว คุณนับถือเทพจักรกลไอน้ำใช่ไหม”


“ครับ” ขณะตอบ ไคลน์วาดสัญลักษณ์สามเหลี่ยมกลางหน้าอกอย่างชำนาญ


ภายในใจส่งเสียงรำพัน


หลังจากนี้ไปอีกสักพัก เราคงส่งตัวเองเข้าสู่ห้วยมิติเหนือสายหมอกได้แค่ในห้องน้ำเท่านั้น…



เขตราชินี คฤหาสน์หรูของเคาต์ฮอลล์


ออเดรย์แหงนมองนาฬิกาแขวนผนังรูปทรงงดงาม ก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยอารมณ์ตื่นเต้นแกมประหม่า


เธอมีแผนจะเดินทางไปยังบ้านของครูสอนจิตวิทยาส่วนตัว เอลลันด์ เพื่อเข้ารับการทดสอบเป็นสมาชิกสมาคมแปรจิตเต็มตัว


แต่ก่อนจะออกเดินทาง เด็กสาวต้องการเวลาส่วนตัวสำหรับขอความช่วยเหลือจากเดอะฟูล


เราจะได้เห็นเทวทูตบ้างแล้วใช่ไหม…!


เธอกำลังคาดหวัง


หลังจากนั่งทำใจสักพัก ออเดรย์ก้มหน้าลงเล็กน้อย สองมือประสานใต้คาง พลางเปล่งเสียงเอ่ยพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของเดอะฟูลแผ่วเบา


ณ 15 ถนนมินส์ ไคลน์กำลังยืนในห้องนั่งเล่นพลางกวาดสายตามองบรรยากาศแสนเงียบงันรอบตัว


สำหรับมัน ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเป็นเพียงภัยอันตราย แต่สำหรับสจ๊วต สิ่งนี้คือจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต


หวังว่าเรื่องราวจะจบลงโดยเร็ว… กรุงเบ็คลันด์เต็มไปด้วยผู้วิเศษแข็งแกร่งและสมบัติปิดผนึกจำนวนมาก ต้องมีหนทางสยบผู้วิเศษเส้นทางปีศาจได้แน่…


ขณะกำลังครุ่นคิด ไคลน์ได้ยินเสียงวิงวอนของหญิงสาวดังกังวานในสมอง


คงเป็นมิสจัสติส…


เนื่องจากเตรียมตัวไว้แล้ว ชายหนุ่มเพียงมองไปรอบตัวหนึ่งหนและเดินเข้าห้องน้ำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


เมื่อลงกลอนเรียบร้อย ไคลน์ถอนหายใจยาวพลางรำพันเงียบ


วิถีชีวิตเราก็เปลี่ยนไปเช่นกัน…


จนกว่าปัญหาของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายจะคลี่คลาย มันคงส่งตัวเองเข้าห้วงมิติเหนือสายหมอกพร่ำเพรื่อไม่ได้ เนื่องจากมีจิตแห่งจักรกลคอยจับตามองทุกฝีก้าว


ในสัปดาห์หน้า เราคงต้องเร่งเวลาของชุมนุมทาโรต์ให้กระชับกว่าปรกติ น่าจะเหลือประมาณเกือบสิบนาที… แต่นั่นก็ยังถือว่านาน คงต้องแสร้งทำเป็นท้องเสีย…


ใครเป็นคนตั้งกฎว่าผู้วิเศษท้องเสียไม่ได้?


ขณะกำลังมองโล่งในแง่ดี ไคลน์เดินทวนเข็มสี่ก้าวและส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา


เมื่อได้รับสัญญาณ ออเดรย์เริ่มประกอบพิธีกรรมตามคำสอนของเดอะฟูล จากนั้นก็เข้าสู่อาการ ‘ละเมอเทียม’


หลังจากไคลน์เห็นว่าดาวแดงของจัสติสเริ่มฉายร่างมายาพร่ามัว มันลงมือตามขั้นตอนทันที ประการแรก ไคลน์ใช้มือสัมผัสกับไพ่จักรพรรดิมืดเพื่อยกระดับร่างจิต จากนั้นก็โยนกระดาษรูปคนซึ่งพัฒนาฝีมือการตัดขึ้นมาเล็กน้อย ออกไปด้านหน้า


และไม่ผิดคาด กระดาษรูปคนกลายเป็นสื่อกลางในการซึมซับพลังละอองพลังปริมาณมากภายในห้วงมิติ ก่อเกิดเป็นเทวทูตผู้มีปีกสิบสองคู่สีดำสนิท


ขณะเดียวกัน ออเดรย์มองเห็นเทวทูตปีกสีดำสนิทหลายชั้นกำลังร่อนลงมาหาตนจากเบื้องหน้า จากนั้นก็โอบกอดแนบแน่น ทำเอาเด็กสาวทึ่งจนหมดคำจะกล่าวไปเป็นเวลานาน


นี่คือเทวทูต… ของมิสเตอร์ฟูล…!


แถมยังมีปีกสิบสองคู่… อัครเทวทูต!


ตรงตามคำอธิบายในพระคัมภีร์ทุกประการ! เทวทูตของชุมนุมทาโรต์!


ออเดรย์จ้องมองเงาลางของเทวทูตเบื้องหน้าบรรจงเลือนหายไปทีละนิด ก่อนจะเกิดความรู้สึกซาบซ่านไปทั่วร่าง


เธอกล่าวขอบพระคุณมิสเตอร์ฟูลด้วยสีหน้าความเปี่ยมสุข ตื่นเต้น และเคารพเทิดทูน ก่อนจะเรียกสาวใช้เพื่อบอกว่าตนพร้อมออกไปข้างนอกแล้ว


ไคลน์เพียงยิ้มรับและส่งตัวเองกลับห้องนั่งเล่นของบ้าน สายตาจ้องมองรูกระสุนบนกำแพงพลางทำสีหน้าครุ่นคิด


เราควรใช้สีราคาถูกทาทับ หรือจะซ่อมกำแพงใหม่และลงสีใหม่หมดดี?



ณ บ้านของเอสลันด์ เขตฮิลสตัน ถนนหมายเลขเจ็ด


ออเดรย์สั่งให้สาวใช้และบอดี้การ์ดรออยู่ในห้องรับแขก ส่วนเธอเดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปในห้องนั่งเล่นพร้อมกับสุนัขสีทองขนฟู


ด้านในมีสองบุคคลยืนรออยู่ก่อนแล้ว คนหนึ่งคือฮิลเบิร์ด·อลูคาร์ด นักจิตวิทยาซึ่งเด็กสาวรู้จักผ่านคุณนายนอร์ม่า ส่วนอีกหนึ่งคนคือสตีเฟ่น·ฮันเพรส เจ้าของงานสัมมนาหัวข้อจิตวิทยาและศาสตร์เร้นลับในคราวก่อน


แม้จะถึงเวลาเริ่มงานเลี้ยง แต่ภายในห้องกลับมีแสงสว่างจากเทียนไขเพียงหนึ่งเล่ม


เทียนไขถูกวางใจกลางโต๊ะกาแฟ เปลวไฟสีเหลือนวลไหววูบวาบ ช่วยไล่ความมืดมิดออกไปจากห้องได้บางส่วน


หลังจากแนะนำตัวกันและกันจนครบ ฮิลเบิร์ด ผู้มีผิวแทนซึ่งเป็นผลมาจากเลือดผสมของชาวทวีปใต้ ก้มหน้ามองซูซี่เล็กน้อยโดยไม่กล่าวสิ่งใดออกมา


ออเดรย์ยิ้มอ่อน


“ดิฉันรู้สึกอุ่นใจเมื่อมีเธอคอยเคียงข้าง”


ซูซี่แหงนหน้ามองฮิลเบิร์ดและทำตาปริบๆ


“เข้าใจแล้ว เชิญนั่งครับ” ฮิลเบิร์ดยิ้มรับพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะกาแฟ ทางด้านเอสลันด์และฮันเพรสแยกย้ายไปนั่งประจำจุดของตัวเอง


เมื่อออเดรย์นั่งลง ฮิลเบิร์ดขยับไส้เทียนให้ยาวขึ้นเพื่อเร่งแสงขึ้นจากเดิมเล็กน้อย


มันจ้องออเดรย์ผ่านเปลวเทียนสีเหลือง


“ช่วยตอบมาตามตรง คุณแน่ใจแล้วใช่ไหม ว่าจะเข้าร่วมสมาคมแปรจิต”


ภายใต้บรรยากาศสลัว ราวกับดวงตาของฮิลเบิร์ลแปรเปลี่ยนเป็นสีทองสว่าง ลึกลงไปในตาดำกำลังปรากฏภาพมายาของดวงตาแนวตั้งซ้อนทับ


สติออเดรย์หลุดลอยชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาได้ทันท่วงที เด็กสาวรีบพยักหน้ารับอย่างเป็นธรรมชาติ


“ใช่ค่ะ”


ฮิลเบิร์ดถามต่อ


“คุณคิดร้ายต่อสมาคมแปรจิตหรือไม่”


น้ำเสียงของมันแฝงความคล้อยตามอย่างน่าประหลาด คล้ายกับว่า ความคิดจากส่วนลึกของจิตใจเป้าหมายจะถูกตอบออกมาตามสัญชาตญาณอย่างมิอาจขัดขืน


“ไม่ค่ะ” เด็กสาวยังคงแนบเนียน


หลังจากชุดคำถามผ่านไปจนครบ ฮิลเบิร์ด เอสลันด์ และฮันเพรต่างถอนหายใจด้วยสีหน้าผ่อนคลาย


รายแรกอมยิ้มและซักถามเด็กสาว


“คุณมีอะไรอยากจะพูดไหม”


ออเดรย์ทำหน้าลังเลแกมหนักใจ ก่อนจะยอมเผยความลับเพื่อแสดงถึงความ ‘จริงใจ’


“ด…ดิฉันเคยซื้อโอสถผู้ชมมาจากชุมนุมลับของผู้วิเศษ ต…ตอนนี้จึงเป็นผู้ชมแล้วค่ะ”


ชุมนุมลับดังกล่าวก็คือ… ชุมนุมทาโรต์!


ออเดรย์กล่าวอย่างภาคภูมิ


……………………


ราชันเร้นลับ 418 : อำนาจพลังจิต

โดย

Ink Stone_Fantasy

ออเดรย์ทราบดีว่าเธอกำลังถูกครอบงำโดยพลังสะกดจิตบางชนิด แต่ตนมีเทวทูตของเดอะฟูลช่วยปกป้องคุ้มครองให้รอดพ้นจากสถานะดังกล่าว


ด้วยเหตุนี้ เด็กสาวจึงจงใจเผยความลับบางส่วนของตัวเองเพื่อแลกกับความเชื่อใจ และยังเป็นการปกปิดความลับใหญ่กว่านั้นไว้


ออเดรย์มิได้กระทำไปเพราะไม่เชื่อใจในเทวทูตของเดอะฟูล เพียงแต่วิธีนี้จะช่วยให้เธอสามารถใช้พลัง ‘ผู้ชม’ ได้อย่างอิสระในอนาคต โดยไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้


ถึงแม้ว่าเด็กสาวจะเชี่ยวชาญการปกปิดตัวตนจนยากจะมีใครจับได้ว่าเป็นผู้วิเศษ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ประสบการณ์โลกผู้วิเศษของเธอยังน้อยมากหากเทียบกับคนอื่น ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าในอนาคตจะไม่เผลอก่อความผิดพลาดขึ้น


ในเมื่อมีโอกาสเกิดความผิดพลาดข้างต้น แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่เด็กสาวก็ไม่คิดเสี่ยง เธอตัดสินใจชิงเป็นฝ่าย ‘สารภาพ’ ก่อน เพื่อคลายความกดดันของตัวเองและขจัดความเคลือบแคลงทางฝั่งสมาคมแปรจิต


ขณะเดียวกัน สมองออเดรย์กำลังจินตนาการถึงฉากการใช้ปีกโอบกอดของเทวทูตอย่างมีความสุข


เมื่อได้ยินคำตอบของเด็กสาว ทั้งเอสลันด์และฮันเพรสต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจ พวกมันไม่อยากจะเชื่อว่า อีกฝ่ายสามารถเล็ดลอดสายตาของตนมาได้จนถึงตอนนี้


ในส่วนของฮิลเบิร์ต มันยกมุมปากเล็กน้อยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ก่อนจะผงกศีรษะรับอย่างพึงพอใจและกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน


“ความซื่อตรงของคุณช่างน่ายกย่อง แล้วยังมีอะไรอยากจะพูดอีกไหม”


ออเดรย์แสร้งส่ายหัวอย่างเชื่องช้าราวกับยังคงตกอยู่ในภวังค์ล่องลอย


“ไม่มีค่ะ”


ฮิลเบิร์ตเว้นวรรคเพื่อไตร่ตรองสักพัก ตามด้วยคำถามอีกสองสามประโยค


“คุณซื้อสูตรโอสถผู้ชมมาจากชุมนุมลับแห่งใด ใครเป็นผู้ขาย และหาวัตถุดิบหลักจากแหล่งไหน”


ออเดรย์กลอกตาดำถี่ เพื่อให้มีภาษากายเหมือนกับกำลังเค้นสมองนึก


“ดิฉันไม่สามารถบอกชื่อชุมนุมลับได้ ผู้ขายสูตรโอสถไม่เปิดเผยตัวตน แต่ฟังจากสำเนียงและวิธีการพูด ดิฉันบอกได้ว่าเขาเป็นสาวกของโบสถ์วายุสลาตัน”


เมื่อได้ยินคำตอบ ฮิลเบิร์ตพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้าคล้ายกับเข้าใจในบางสิ่ง


ออเดรย์เล่าต่อ


“วัตถุดิบโอสถส่วนใหญ่มาจากคลังสมบัติของตระกูล ถ้าขาดสิ่งใดก็จะหาซื้อหรือแลกเปลี่ยนกับเพื่อนฝูงในกลุ่ม”


จนสามารถปรุงเป็นโอสถได้สองขวด…


ออเดรย์เสริมเงียบ


ส่วนใหญ่หาได้จากคลังสมบัติตระกูล…?


ฮิลเบิร์ต เอสลันด์ และฮันเพรสทวนคำซ้ำในใจอย่างหมดคำจะกล่าว


ผ่านไปราวสองสามวินาที ฮิลเบิร์ตหันไปพยักหน้าให้เอสลันด์และฮันเพรสเป็นนัยว่า เรื่องราวค่อนข้างสมเหตุสมผล


เมื่ออีกสองคนตอบกลับในเชิงเห็นพ้อง แสงสีทองในดวงตาฮิลเบิร์ตเริ่มลดทอนความสว่าง ภาพมายาของดวงตาแนวตั้งเลือนรางลงทีละนิด


ฮิลเบิร์ตใช้มือเปล่าถูไส้เทียนโดยไม่เกรงกลัวความร้อน ส่งผลให้เปลวเทียนเริ่มวูบวาบและสลับติดดับนานหลายวินาที


ท่ามกลางบรรยากาศเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ออเดรย์ตระหนักว่าพลังพิเศษซึ่งเคยครอบงำตนจนถึงเมื่อครู่ ได้อันตรธานหายไปแล้ว


เด็กสาวบรรจงควบคุมสีหน้าล่องลอยในตอนต้น ให้แปรเปลี่ยนเป็นความฉงนและสับสนทีละนิดอย่างสมจริง


“ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะครับ ว่าคุณจะเป็น ‘ผู้ชม’ มานานแล้ว” ฮิลเบิร์ตยิ้ม


“เอ๋…?” ออเดรย์รีบทำหน้าประหลาดใจแกมตื่นตระหนก ปากอ้ากว้าง ดวงตาลุกวาว


ในฐานะ ‘นักอ่านใจ’ มากประสบการณ์ เธอเคยสังเกตกลุ่มเป้าหมายหลากหลายประเภท จึงทราบว่าภายใต้อาการตกใจ การแสดงสีหน้าเช่นไรจึงจะแนบเนียน


ฮิลเบิร์ตยังคงยิ้ม


“ไม่ต้องกังวล พวกเรามิได้ถือสา และการทดสอบขอบเราจบลงแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย คุณผ่านการทดสอบทั้งหมดและกลายเป็นสมาชิกของสมาคมแปรจิตเต็มตัวแล้ว”


“ง…งั้นหรือคะ…” ออเดรย์ยังคงไม่หายจากอาการสับสน “เหมือนกับฝันไปเลย”


คล้ายกับเพิ่งนึกได้ เธอรีบลุกขึ้นพร้อมกับใช้สองมือจับชายกระโปรงสองข้าง ก้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อเป็นการแสดงความเคารพอย่างสง่างาม :


“เราเป็นพวกเดียวกันแล้วสินะคะ”


เอลลันด์และคนอื่นรีบลุกยืนตาม เพื่อทำท่าคารวะตอบให้สมกับความสุภาพนอบน้อมของบุตรีตระกูลขุนนางตรงหน้า


เมื่อทุกฝ่ายกลับมานั่งลง ฮิลเบิร์ตเรียบเรียงคำพูดและเกริ่น


“มิสออเดรย์ ผมจะอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันของสมาคมแปรจิตให้ฟัง”


“ได้ค่ะ” เด็กสาวยิ้ม “เรียกออเดรย์ก็พอ”


ฮิลเบิร์ตพยักหน้า เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ขยับขาขวาไขว้ทับขาซ้าย ประสานสองมือไว้ข้างหน้า


“เดิมที สมาคมแปรจิตถูกก่อตั้งในรูปแบบของกลุ่มสัมมนา ซึ่งเชื่อว่าพลังจิตของสิ่งมีชีวิตนั้นไร้ขอบเขตและเต็มไปด้วยความพิศวง ในเวลาถัดมา กลุ่มสัมมนาดังกล่าวได้รับลายแทงสมบัติ จนกระทั่งค้นพบมรดกตกทอดเก่าแก่ของเฮอร์มิส”


“เฮอร์มิสจากภาษาเฮอร์มิส…?” ออเดรย์ซักถามอย่างตื่นเต้น


“ถูกต้อง กล่าวกันว่าเขาคือเจ้าแห่งศาสตร์เร้นลับในยุคแรกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ภาษาเฮอร์มิสโบราณถูกประดิษฐ์ให้สอดประสานกับพลังธรรมชาติอย่างลงตัว จนมีประสิทธิภาพทัดเทียมภาษาเอลฟ์ มังกร และคนยักษ์ เฮอร์มิสรุ่งเรืองอย่างมาในช่วงยุคสมัยที่สอง ยุคแห่งความมืด โดยในขณะนั้น มนุษย์ยังเป็นทาสและบริวารของคนยักษ์อยู่”


ฮิลเบิร์ตเล่าด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


มันถอนหายใจแผ่ว


“สมาชิกยุคบุกเบิกของสมาคมแปรจิตค้นพบข้อมูลสำคัญมากมายในซากปรักหักพัง พวกเขาได้ทราบว่าเฮอร์มิสเชี่ยวชาญศาสตร์เร้นลับสาขาจิตใจเป็นพิเศษ เป้าหมายการวิจัยของเฮอร์มิสคือสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์มังกร เจ้าเวหาผู้ปกครองผืนฟ้าในยุคสมัยที่สอง หรือระบุให้ชัดก็คือ มังกรจิต ข้อมูลตามเอกสารระบุว่า มังกรจิตได้พัฒนาพลังในขอบเขตดังกล่าวจนมีระดับทัดเทียมทวยเทพ”


เราเองก็ทราบเช่นกัน… มังกรจินตภาพ ราชามหามังกร แอนเคอร์เวล หนึ่งในเทพบรรพกาล… ออเดรย์คิดตามอย่างพึงพอใจ


ฮิลเบิร์ตเล่าต่อ


“เอกสารเหล่านั้นได้กลายมาเป็นตัวกำหนดทิศทางการวิจัยของสมาคมแปรจิต พวกเราเชื่อกันว่า ลึกลงไปในจิตของมนุษย์จะมีความลับซ่อนอยู่มากมาย การค้นหาสิ่งเหล่านั้นให้พบถือเป็นเรื่องยาก… ขอใช้คำว่า ‘ลึก’ ก็แล้วกัน ผมคิดว่าการอธิบายด้วยวลีดังกล่าวจะเข้าใจได้ง่ายกว่า ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยขณะค้นหาความลับในห้วงจิต จะส่งผลมหาศาลต่อร่างกายของบุคคลดังกล่าว ชนิดมิอาจย้อนกลับหรือรักษาได้ด้วยวิธีการปรกติ ออเดรย์ คุณจงจำไว้ให้ดีว่า เรื่องดังกล่าวละเอียดอ่อนและต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ผมไม่แนะนำให้คุณทำตาม”


ออเดรย์ผงกหัวหงึก · ฮิลเบิร์ตเล่าต่อ


“แต่หากใครก็ตามสามารถสำรวจจนค้นพบความลับในห้วงจิต บุคคลผู้นั้นจะได้รับพลังมหาศาลและความมหัศจรรย์เหนือจินตนาการ ขณะเดียวกันก็ยังมีพลังสำหรับควบคุมจิตใจของเป้าหมาย หากไปถึงจุดดังกล่าวสำเร็จ ขั้นตอนต่อไปคือการควบคุม ‘ห้วงทะเลจิตรวม’  ซึ่งนั่นคือเป้าหมายสูงสุดขององค์กรเรา อย่างไรก็ตาม คำว่าห้วงทะเลจิตรวมยังไม่ช่วยให้เห็นภาพสักเท่าไร ผมจึงขอใช้คำว่า ‘โลกแห่งจิตของทุกสิ่งมีชีวิต’ แทน ดินแดนดังกล่าวเต็มไปด้วยปริศนาและความมหัศจรรย์มากมาย แถมยังมีบางส่วนเชื่อมต่อกับโลกวิญญาณ”


“มีคำถามค่ะ ถ้าหากควบคุม ‘โลกแห่งจิต’ เสร็จ พวกเราจะได้รับพลังใดตอบแทนหรือคะ?”


ออเดรย์ชิงถามในประเด็นค้างคาใจมานาน


ฮิลเบิร์ตยิ้ม


“คุณคงทราบอยู่แล้วว่า โลกเรามักมีเหตุการณ์บังเอิญจนน่าเหลือเชื่อเกิดขึ้นหลายเรื่อง เช่น เมื่อคุณกำลังอยากพบหน้าเพื่อนสนิทคนหนึ่ง และเพื่อนคนดังกล่าวก็มาเคาะประตูบ้านพอดิบพอดี คุณอาจมองว่าเป็นเพียงความบังเอิญทั่วไป แต่ในบางกรณีก็สามารถเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนผิดปรกติ และการวิจัยของสมาคมแปรจิตช่วยให้เราทราบว่า ความบังเอิญเหล่านั้นสามารถเกิดจากการถูกชักนำทางจิตอย่างไม่รู้ตัวได้เช่นกัน หากคุณสามารถควบคุม ‘โลกแห่งจิต’ หรือชื่อในทางวิชาการคือ ‘ห้วงทะเลจิตรวม’  ไว้ในมือได้เมื่อไร คุณจะมีพลังสำหรับสร้างปรากฏการณ์ ‘ความบังเอิญ’ ในจินตนาการให้เกิดขึ้นจริง หรือโดยสั้นก็คือ… คิดสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น”


“ส…สุดยอด!” ออเดรย์เคยได้ยินเดอะซันน้อยเล่าถึงพลังของมังกรฝันร้าย อัลเซอฟอร์ด มาแล้วหนหนึ่ง เพียงแต่คำอธิบายของเด็กหนุ่มมิได้ละเอียดเท่าฮิลเบิร์ตเมื่อครู่


ฮิลเบิร์ตยิ้ม


“สำหรับพวกเรา ยังเร็วเกินไปหากต้องการถกเถียงในประเด็นดังกล่าว การกระทำเช่นนั้นไม่เกิดประโยชน์ แถมยังอาจทำให้เกิดโทษ เช่น การสูญเสียตัวตนไปทีละนิด ดังนั้น ผมขอวกกลับเข้าประเด็นเกี่ยวกับสมาคมแปรจิตของเราก่อน การค้นพบซากปรักหักพังเฮอร์มิสได้ทำให้องค์กรของเราถือกำเนิดขึ้น สมาชิกรุ่นบุกเบิกต้องการให้เป็นสัมมนาเชิงวิชาการอย่างแท้จริงโดยไม่มีสิ่งอื่นเจือปน แต่หลังจากกาลเวลาผ่านไป พวกเขาเริ่มพบว่า ในบางครั้งก็ต้องจัดการปัญหาด้วยพลัง ไม่อย่างนั้นงานวิจัยก็จะไม่คืบหน้า และหนึ่งในพลังสำคัญขององค์กรคือสมบัติวิเศษ นับแต่นั้นเป็นต้นมา สมาคมแปรจิตก็เริ่มวางโครงสร้างให้มีระเบียบแบบแผนชัดเจน จนกระทั่งกลายเป็นองค์กรลับอย่างเป็นทางการในภายหลัง แต่เมื่อเทียบกับองค์กรลับอื่น สมาคมแปรจิตของเรามีอิสระกว่ามาก และยังมีแผนผังการปกครองไม่ซับซ้อน”


“ดิฉันชื่นชอบในส่วนนี้มาก” ออเดรย์แสดงความเห็น


ฮิลเบิร์ตเริ่มอธิบายกฎระเบียบและข้อบังคับอย่างละเอียด จนกระทั่งเข้าส่วนสรุป


“หากต้องการพบหน้าสมาชิกคนอื่น คุณต้องมีระดับในองค์กรสูงกว่านี้เสียก่อน และเพื่อเป็นการต้อนรับสมาชิกใหม่ ผมจะมอบโอสถลำดับ 8 ‘นักอ่านใจ’ ให้คุณ”


พวกเขามีโอสถลำดับ 8 เตรียมพร้อมไว้ตลอดเวลา สมกับเป็นองค์กรใหญ่… ออเดรย์ทั้งมีความสุขและภาคภูมิใจ


ขณะสายตากำลังจ้องมองของเหลวส่องแสงแวววาวในภาชนะ เด็กสาวแสดงสีหน้าลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าว


“ไว้จะดื่มหลังจากถึงบ้านนะคะ”


เธอยังไม่เชื่อใจเรา และคงหาวิธีพิสูจน์ให้แน่ใจก่อนดื่ม… ฮิลเบิร์ตอ่านใจออเดรย์พร้อมกับส่งยิ้มตอบ


“ไม่มีปัญหา ด้วยสภาพร่างกายของคุณในปัจจุบัน การดื่มโอสถนักอ่านใจเข้าไปคงไม่สร้างปัญหาร้ายแรง”


ออเดรย์ยิ้มรับอย่างสุขใจ ตามด้วยการกล่าวขอบคุณและซักถามหยั่งเชิง


“เอ่อ… ดิฉันขอทราบสูตรโอสถของลำดับ 7 ‘นักจิตบำบัด’ เลยได้ไหมคะ? จะได้ไม่เสียเวลารวบรวมวัตถุดิบในภายหลัง”


หือ… ตามปรกติแล้ว การเข้าร่วมองค์กรลับสักแห่ง ไม่ว่าจะองค์กรใด สมาชิกใหม่ทุกคนล้วนหวังสูตรโอสถ และหวังจะได้รับวัตถุดิบหลักไปพร้อมกันไม่ใช่หรือ?


เราไม่เคยเห็นใครพูดว่า ‘ขอสูตรด้วยค่ะ เดี๋ยวจะรวบรวมวัตถุดิบตัวเอง’ เลยสักครั้ง…


ขณะจ้องมองเด็กสาวด้วยสีหน้าตกตะลึง ฮิบเบิร์ต ฮันเพรส และเอสลันด์ต่างทึ่งจนหมดคำพูดนานหลายวินาที พวกมันไม่อยากเชื่อว่า อีกฝ่ายกำลังแสดงสีหน้าผ่อนคลายราวกับเป็นเพียงเรื่องแสนธรรมดาในชีวิต


ไม่กี่อึดใจถัดมา ฮิลเบิร์ตฝืนยิ้ม


“ได้ครับ ผมจะช่วยส่งเรื่องไปทางเบื้องบน แต่ตามปรกติแล้ว การร้องขอเช่นนี้จำเป็นต้องแลกด้วย ‘คะแนนผลงาน’ คะแนนจะได้จากการทำภารกิจของเรา การรวบรวมข้อมูลสำคัญ หรืองานวิจัยด้านจิตวิทยาแปลกใหม่”


“ตกลงค่ะ! ดิฉันจะพยายาม” ออเดรย์ตกปากรับคำเสียงดังฟังชัด


เมื่อเริ่มเดินทางออกจากบ้านเอสลันด์ เด็กสาวสวมมาดเงียบขรึมตลอดทาง เธอไม่เปลี่ยนสีหน้าจนกระทั่งกลับถึงห้องส่วนตัวและบอกให้แอนนี่กับสาวใช้คนอื่นแยกย้ายกลับไป


ออเดรย์หันมาพูดกับสุนัขขนฟูตัวใหญ่พลางฉีกยิ้มกว้าง


“ซูซี่! เธอได้โอสถขวดใหม่แล้ว~!”


แต่น่าเสียดาย เราไม่มีโอกาสได้ใช้งานซาลามันเดอร์สีรุ้งของพี่อัลเฟรด คงทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากนำไปขายแลกเงิน… ออเดรย์ถอนหายใจด้วยอารมณ์หลากหลาย


ซูซี่จ้องขวดบรรจุโอสถ ‘นักอ่านใจ’ พร้อมกับกระดิกหางรุนแรงอย่างมีความสุข


บริเวณลำคอของสุนัขโกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่ มีแว่นกรอบทองถูกแขวนไว้เพื่อความตลกขบขัน ไม่ใช่ฝีมือใครนอกจากออเดรย์



เขตฮิลสตัน บ้านของไอเซนการ์ด


ไคลน์ถูกเชิญมารับประทานอาหารเช้า นอกจากชายหนุ่ม เพื่อนร่วมโต๊ะมีคาสลาน่าอีกหนึ่งคน


หลังจากกินพายมันฝรั่งแสนอร่อยจนหมด ไคลน์กล่าวชมเชยจากใจจริง


“มิสเตอร์สแตนธอน ฝีมือการทำอาหารของคุณยอดเยี่ยมจนเหนือความคาดหมาย”


ไอเซนการ์ด ผู้มีจอนสีเทาบนขมับสองข้าง ฉีกยิ้มกว้างและอธิบาย


“เป็นความพิเศษของชาวลุนเบิร์กอยู่แล้ว ไม่เพียงเท่านั้น สำหรับโบสถ์ปัญญาความรู้ของผม การเชี่ยวชาญศาสตร์หลายแขนงในคนเดียวไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะลำดับ 6 นั้นมีชื่อว่า ‘พหูสูต’ อย่างไรก็ตาม ผู้วิเศษโอสถดังกล่าวจะมีความเสี่ยงคลุ้มคลั่งค่อนข้างสูง แม้แต่ผมก็ยังไม่กล้าจะเลื่อนลำดับขึ้นไป”


……………………


ราชันเร้นลับ 419 : ความปรารถนา

โดย

Ink Stone_Fantasy

พหูสูต… แค่ชื่อก็ทรงพลังแล้ว…


ถ้าจำไม่ผิด ลำดับ 7 คือ ‘ผู้พิทักษ์ความรู้’ หรือมีฉายาว่านักสืบ เป็น ‘อาชีพ’ ซึ่งมีพลังเกี่ยวกับการขวนขวายหาความรู้และการอนุมานหาคำตอบ… อย่างมากก็คงมีเทคนิคการต่อสู้ค่อนข้างดี และใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือได้อย่างชำนาญ จึงนับว่าอ่อนแอในด้านการต่อสู้พอสมควร… แต่เมื่อย่างเข้าสู่ลำดับ 6 คล้ายกับว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดบนเส้นทาง จากผู้ใช้สมองวิเคราะห์เป็นหลัก กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ทุกแขนง และคงรวมถึงการต่อสู้ด้วย…


เมื่อลองไตร่ตรองให้ดี ดูเหมือนว่าทุกเส้นทางล้วนมี ‘ก้าวกระโดด’ ครั้งใหญ่หนึ่งหนก่อนถึงลำดับ 4 แต่จะไม่ตายตัวว่าเป็นลำดับเท่าไร ตัวอย่างเช่นเส้นทางนักทำนาย การเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดจะอยู่ตรงลำดับ 7 ‘นักมายากล’ …


ไคลน์จิบกาแฟร้อนหนึ่งคำใหญ่ ชายหนุ่มไม่คิดละลาบละล้วงความลับของเส้นทางอื่นไปมากกว่านี้ จึงทำเพียงเผยรอยยิ้มและกล่าว


“มิสเตอร์สแตนธอน ทำไมสีหน้าของคุณถึงได้ผ่อนคลายนัก ไม่รู้สึกกังวลเลยหรือ”


ไอเซนการ์ดยังไม่ตอบทันที เพียงวางมีดส้อมลง หยิบไปป์ขึ้นมาถือพร้อมกับซักถาม


“ผมสูบได้ใช่ไหม”


ถ้าตามปรกติก็คงไม่… แต่พวกเรากำลังอยู่ในเมืองหลวงหมอกระยำอย่างเบ็คลันด์ การสูดควันบุหรี่มือสองเพิ่มเข้าไปสักสามฟอดคงไม่แย่ลงกว่าเดิมสักเท่าไร…


ไคลน์อมยิ้มและส่ายหัว


“สูบแล้วสมองโล่งหรือ”


“ระบุให้ชัดคือ มันเป็นกิจวัตรประจำวันหลังอาหารเช้าของผม” เมื่อเตรียมไปป์เสร็จ ไอเซนการ์ดจัดการอัดยาเข้าไปหนึ่งปอดใหญ่


ตามด้วยการพ่นควันสีเทาอมขาวด้วยใบหน้าผ่อนคลาย


“ความหวาดกลัว วิตก หรือกังวล ไม่มีสิ่งใดช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ และในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมมนุษย์ถึงไม่ใช้ชีวิตให้ง่ายเข้าไว้? ไม่ใช่แค่นั้น สมองของมนุษย์ยังทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในยามผ่อนคลาย ดูได้จากผู้ช่วยของผม เขาเป็นโรคขี้กังวลเกินเหตุ จึงต้องพบจุดจบน่าสงสาร… เฮ่อ”


ไอเซนการ์ดชำเลืองคาสลาน่าพลางเล่าต่อ


“และพวกเราต้องไม่ลืมว่า ศัตรูในคราวนี้คือผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย การมีอารมณ์เข้มข้นเกินไปจึงไม่ใช่เรื่องดีนัก”


เมื่อเล่าจบ มันยิ้ม


“แถมเรายังไม่มีเบาะแสเพิ่มเติมหรือตำแหน่งปัจจุบันของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายเลยสักนิด กังวลไปก็เท่านั้น”


“แล้วพวกเราควรทำอย่างไรต่อ” คาสลาน่าจัดการเบค่อนชิ้นสุดท้ายพลางถามด้วยสีหน้าขึงขัง


ไอเซนการ์ดอัดยาอีกรอบ ก่อนจะเผยรอยยิ้มจนปัญญา


“ผมอยากคุยเรื่องพวกนี้บนเก้าอี้เอนหลังมากกว่า… สำหรับปีศาจ ถึงแม้จะมีสัญชาตญาณตระหนักถึงอันตรายล่วงหน้า แต่มันกลับไม่ชำนาญด้านพลังทำนายหรือนิมิตลางสังหรณ์ ดังนั้น หากผู้ปลดปล่อยแรงกระหายหวังแก้แค้นใครสักคน มันก็ต้องลงภาคสนามเพื่อรวบรวมข้อมูลด้วยตัวเอง ถ้าอย่างนั้นผมมีคำถาม แล้วมันทราบได้อย่างไรว่ามีนักสืบคนใดเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องบ้าง? ทำไมถึงรู้ว่าพวกคุณและผมเป็นแกนนำ? ถูกต้อง… มันต้องลงมือสืบสวนเรื่องราวของพวกเราอย่างละเอียด และในระหว่างนั้นมันไม่มีทางหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนได้ ไม่ว่าจะด้วยใบหน้าจริงหรือปลอมก็ตาม มันไม่มีทางเก็บซ่อนเบาะแสของตัวเองได้มิดชิด ไม่เพียงเท่านั้น พวกเรายังมีภาพร่างคนร้ายอย่างคร่าวจากจิตแห่งจักรกล การค้นพบร่องรอยก็ยิ่งง่ายขึ้น และด้วยหลักการเดียวกัน ก่อนมันจะลงมือจู่โจมผมในวันก่อน ต้องมีการสังเกตพฤติกรรมของผมอย่างละเอียดมาแล้วสักพัก เช่น ผมเข้าบ้านทางไหน ออกทางไหน มีผู้วิเศษคอยคุ้มกันหรือไม่ ผู้ช่วยมีพลังพิเศษหรือไม่ และการเฝ้าสังเกตอย่างเดียวคงไม่เพียงพอแน่ จะต้องมีการสอบถามผู้คนเพื่อประกอบการตัดสินใจ และนั่นจะหมายถึงการทิ้งเบาะแสไว้ตามทาง ผมชอบคติพจน์ข้อหนึ่ง : ทุกย่างก้าวของคนร้าย ทุกการสัมผัส และทุกปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ทั้งหมดจะกลายเป็นพยานไร้เสียงซึ่งช่วยให้เราสาวถึงตัวมันได้”


เราเคยได้ยินคติพจน์นี้มาก่อน เป็นคำกล่าวของโรซายล์… ไคลน์ยิ้ม


ทันใดนั้น สีหน้ามันพลันหดหู่ เนื่องจากเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก กับการได้ยินคติพจน์ข้างต้นบนโลกใบใหม่แห่งนี้


มันเคยได้ยินครั้งแรกขณะยังอยู่ทิงเก็น


หัวหน้า…


คาสลาน่าแก้มตอบถอนหายใจยาว


“สมกับเป็นยอดนักสืบ ฉันไม่เคยคิดถึงประเด็นดังกล่าวมาก่อน ขอชื่นชมทักษะการสังเกตและให้เหตุผล”


ไอเซนการ์ดยิ้มรับ


“ทุกคนมีความถนัดเป็นของตัวเอง ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นการต่อสู้ ผมคงถูกคุณฆ่าตายหนแล้วหนเล่า เชอร์ล็อกเองก็คิดแบบเดียวกับผม เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมา เขาเป็นนักสืบหนุ่มมากพรสวรรค์ ช่างสังเกต และเป็นเจ้าแห่งการอนุมาน”


สหาย… ถ้าชมกันขนาดนี้ ผมก็อายเป็นเหมือนกัน… ไคลน์ฝืนยิ้ม


“ผิดแล้ว ยอดนักสืบคือคุณต่างหาก หนทางของผมยังอีกยาวไกลนัก”


“คนหนุ่มสมัยนี้ช่างถ่อมตน” ไอเซนการ์ดถอนหายใจยาว ยิ้มและกล่าวต่อ


“แผนการของพวกเราหลังจากนี้ก็คือ อาศัยช่องทางข่าวสารของแต่ละคน ช่วยกันสืบหาเบาะแสซึ่งผมได้กล่าวไปแล้วข้างต้น”


สหาย… นอกจากชุมนุมทาโรต์ แหล่งข่าวภายในกรุงเบ็คลันด์ของผมล้วนมาจากคุณเกือบทั้งหมด… ไคลน์ยิ้มรับ “เข้าใจแล้วครับ”


สำหรับช่องทางติดต่อ ถ้าไม่นับคนของชุมนุมลับมิสเตอร์เนตรแห่งปัญญา ไคลน์จะมีเส้นสายเพียงชารอน มาริค แวมไพร์เอ็มลิน และหลวงพ่อยูทรอฟสกี้


แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน เรากำลังถูกจิตแห่งจักรกลตามคุ้มกัน การติดต่อชารอนกับมาริคคงทำได้ไม่… เรายังไปหาเอ็มลินได้อยู่ เพราะเขากลายเป็นสาวกของพระแม่ธรณีไปครึ่งตัวแล้ว คงได้รับความคุ้มครองจากหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ประมาณหนึ่ง… ไคลน์เริ่มวางแผนอนาคตตัวเอง


คาสลาน่าแน่นิ่งไปหลายวินาที


“ไม่มีปัญหา”


ไคลน์ปาดครีมทาขนมปังก้อนสุดท้าย ตามด้วยการหยิบขึ้นมาเคี้ยวอย่างไม่รีบร้อน


“มิสเตอร์สแตนธอน ก่อนหน้านี้คุณเคยพูดถึงสมบัติปิดผนึกซึ่งมีขั้นตอนเปิดใช้งานค่อนข้างนาน สิ่งนั้นจะช่วยให้พวกเราสามารถรับมือกับผู้ปลดปล่อยแรงกระหายได้จริงหรือ”


“ได้แน่นอน เพราะมันคือปัจจัยสำคัญในปฏิบัติการล้อมจับสุนัขปีศาจเมื่อคราวก่อน”


ไอเซนการ์ดมอบคำตอบสั้นกระชับ


“รหัส 1-42”


1-42…? สมบัติระดับ 1 อันตรายมาก?


มักถูกใช้ในสถานการณ์เฉพาะทางเท่านั้น แม้จะเป็นเมืองใหญ่อย่างมุขมณฑลเบ็คลันด์ก็ยังมีเก็บไว้หลังประตูยานิสไม่เกินสองชิ้น…


เมื่อความรู้สมัยเหยี่ยวราตรีแล่นผ่านเข้าหัวสมอง ไคลน์ซักถามต่อไปอย่างสนใจ


“หน้าตาเป็นอย่างไร? ผลข้างเคียง?”


ไอเซนการ์ดหัวเราะในลำคอ


“ผมจะไปทราบได้อย่างไร นั่นคือสมบัติปิดผนึกของโบสถ์รัตติกาล แต่ก็พอจะรู้ว่า เดิมที มันไม่ได้ถูกเก็บอยู่ในเบ็คลันด์ แต่ถูกส่งมาให้ใช้เป็นกรณีพิเศษกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง กล่าวกันว่าเป็นชุดเกราะเต็มอัตราศึกสีเงินแวววาว มีคราบเลือดแดงเข้มแห้งเกรอะกรังเกาะติด ครั้งหนึ่งเคยทำลายเมืองเล็กจนพินาศและมีผู้เสียชีวิตไปกว่าหนึ่งแสนราย”


“ชุดเกราะต้องสาป?” ไคลน์ถือวิสาสะตั้งชื่อเองเสร็จสรรพ


ไอเซนการ์ดพ่นควันสีขาวเทาพร้อมกับส่ายหัวหนักแน่นเป็นเชิงปฏิเสธ


“ไม่น่าจะใช่คำสาป คนส่วนใหญ่มักเรียกมันว่า ‘ชุดเกราะคลั่ง’ หรือไม่ก็ ‘ชุดเกราะกระหายเลือด’  โบสถ์ของผมเดาว่าคราบเลือดแห้งกรังบนผิวโลหะ อาจเป็นโลหิตของเทพจากยุคสมัยบรรพกาล ขณะถูกพบครั้งแรก ชุดเกราะตัวดังกล่าวมีรูปทรงแสนธรรมดา ไม่โดดเด่นพอจะให้กลายเป็นจุดสนใจ แต่เดิมเคยถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่วัตถุโบราณ เกิดการซื้อขายเปลี่ยนมือไปหลายทอด แต่แล้ววันหนึ่ง ทุกคนซึ่งเคยสัมผัสชุดเกราะตัวนั้นล้วนเสียชีวิตในสภาพน่าเวทนา แขนขาแยกออกจากร่างกาย ไม่เว้นแม้กระทั่ง ผู้ไม่ได้สัมผัสมันมานานแล้ว เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เมืองเล็กแห่งหนึ่งถูกทำลายไปพร้อมกับชาวเมืองอีกนับแสน เรื่องราวข้างต้นเกิดขึ้นราวช่วงต้นยุคสมัยที่ห้า เมืองดังกล่าวอยู่ในเขตความดูแลของเหยี่ยวราตรี พวกเขาจึงส่งทีมเข้าไปตรวจสอบซากปรักหักพังจนกระทั่งได้พบเข้า”


สมกับเป็นผู้วิเศษจากโบสถ์ปัญญาความรู้ เชี่ยวชาญรายละเอียดปลีกย่อยในประวัติศาสตร์มาก… ไคลน์ชื่นชม


คาสลาน่าถามด้วยสีหน้าวิตก


“แล้วมันจะเป็นอันตรายกับพวกเราไหม”


“โบสถ์รัตติกาลคงหาวิธีผนึกอย่างมีประสิทธิภาพได้แล้ว สำหรับพวกเรา แค่ไม่เข้าไปสัมผัสก็คงเพียงพอ” ไอเซนการ์ดมอบข่าวดีพร้อมกับตักเตือน


เมื่อเสร็จมื้ออาหารเช้า ไคลน์และไอเซนการ์ดเดินไปทางห้องนั่งเล่นซึ่งฝ่ายหลังเคยใช้เป็นสังเวียนต่อสู้กับคนร้าย ส่วนคาสลาน่าขอตัวเข้าห้องน้ำเป็นคนแรก


ขณะสายตาจ้องมองแผ่นหลังนักสืบสาว ริมฝีปากชายหนุ่มขยับซักถาม


“เธอมาจากเส้นทางผู้ตัดสินใช่ไหม”


“สายตายังคงเฉียบแหลมเช่นเคย”


ไอเซนการ์ดนั่งเอนหลังบนเก้าอี้นอน


ไคลน์เดินไปทางโซฟาเดี่ยวพลางพึมพำด้วยสีหน้าสับสน


“เส้นทางดังกล่าวอยู่ในความดูแลของตระกูลออกัสตัสอย่างเข้มงวด หรือไม่ก็กองทัพและขุนนางเก่า แทบเคยไม่มีสูตรโอสถหรือวัตถุดิบหลักเล็ดลอดเข้ามาในท้องตลาด… หมายความว่ามาดามคาสลาน่าอาจมีเบื้องหลังอยู่ในกลุ่มข้างต้น?”


ไอเซนการ์ดยิ้มรับ


“คงเป็นเช่นนั้น แต่เธอกลับไม่เคยพูดถึงมันแม้แต่ครั้งเดียว แม้จะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์วิฤติอย่างตอนนี้ก็ตาม ผมจึงตีความว่าเธอไม่สะดวกใจจะเล่าให้ใครฟัง”


มันหันมาจ้องไคลน์โดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่ภาษากายภายนอกคล้ายกับกำลังพูดว่า :


…คุณเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?


ไคลน์ยิ้มแห้งขณะหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟา


ถัดมาไม่นาน คาสลาน่าเดินออกจากห้องน้ำและเริ่มปรึกษาหารือเกี่ยวกับวิธีรับมือผู้ปลดปล่อยแรงกระหายกับไคลน์และไอเซนการ์ด


เมื่อเล่ามาถึงจุดหนึ่ง สีหน้าหญิงสาวพลันอึมครึม ก่อนจะถอนหายใจยาว


“ในเมื่อถูกลากเข้ามาพัวพันคดีสุดแสนอันตราย ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่า ตัวเองจะมีชีวิตรอดไปจากวิกฤติคราวนี้หรือไม่… ห…หากฉันถูกผู้ปลดปล่อยแรงปรารถนาฆ่าตาย ได้โปรดสลักป้ายหลุมศพไว้ว่า… เธอมีมารดาสุดประเสริฐ”


เสียงของคาสลาน่าเบาลงทีละนิด บรรยากาศเย็นชาและไม่เป็นมิตรกับผู้คนเริ่มบรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด


ไอเซนการ์ดพยักหน้าเชิงเห็นพ้อง


“ผมเองก็เหมือนกัน นี่คือคดีอันตรายอันดับหนึ่งอย่างไร้ข้อกังขา”


มันเผยรอยยิ้มขื่นขม


“ถ้าผมตายในเหตุการณ์คราวนี้ และคุณสองคนยังมีชีวิตรอด รบกวนช่วยนำศพกลับไปยังมหาวิหารแห่งความรู้ในลุนเบิร์กได้ไหม”


…เลิกปักธงตายกันสักที!


ริมฝีปากไคลน์สั่นเทาเป็นระยะ มันไม่ทราบวิธีหยุดถ้อยคำแสนหดหู่ของสองนักสืบตรงหน้า


“ไม่มีปัญหา แต่ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น” ชายหนุ่มพยายามมองโลกในแง่บวกเพื่อสลัดความคิดด้านลบ


ไอเซนการ์ดชำเลืองพร้อมกับซักถาม


“เชอร์ล็อก แล้วทางคุณล่ะ หากเสียชีวิตในเหตุการณ์คราวนี้ คุณมีคำขอร้องสุดท้ายจะฝากฝังกับพวกเราหรือไม่”


…ชุบชีวิตฉันขึ้นมา!


ไคลน์เกรี้ยวกราดในใจ


“ผมอยากถูกฝังในสุสานซึ่งมีวิวทิวทัศน์งดงาม และหากเป็นไปได้ สภาพศพต้องสมบูรณ์ ถูกพรมด้วยน้ำมนตร์ โปรยด้วยดอกไม้สดจำนวนมาก”


หรือในอีกความหมายหนึ่งคือ… ห้ามเผา!


ไม่ว่ายังไงก็ห้ามเผาเด็ดขาด!


บรรยากาศภายในห้องนั่งเล่นพลันอึมครึมเป็นเวลานาน จนกระทั่งเสียงกริ่งบ้านดังขึ้น


ผู้มาเยือนคืออาวุโสคนสำคัญแห่งโบสถ์จักรกลไอน้ำ ไอคานส์·เบอร์นาร์ด เจ้าของผมเผ้ารุงรังและแข็งโด่เด่จนแม้แต่การสวมหมวกปีกกว้างก็ไม่สามารถช่วยจัดทรง


ร่างกายกำยำบึกบึน องค์ประกอบโดยรวมมอบความขัดแย้งอย่างบอกไม่ถูก


แต่ในคราวนี้ มันไม่ได้มาพร้อมกับกระจกวิเศษนามอาโรเดส ไม่มีใครทราบว่าไอคานส์นำไปเก็บไว้ไหน


หากมีโอกาส เราเองก็จะอยากจะเห็นเหมือนกัน ว่าข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนคนนั้นจะยื่นมือช่วยเหลือในลักษณะใด…


ไคลน์ครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย


ไอคานส์ไม่เดินเข้ามาด้านใน เพียงยืนตรงจุดเดิมพลางจ้องมองสามนักสืบผู้วิเศษ


ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงค่อนข้างร้อนรน


“ทางเราได้รับเบาะแสเพิ่มของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายแล้ว!”


……………………


ราชันเร้นลับ 420 : ตระกูลปีศาจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เขตตะวันตก บ้านเลขที่ 6 ถนนเอ็ดเวิร์ด


หลังจากพานักสืบทั้งสามขึ้นรถม้ามายังบ้านหลังหนึ่ง ไอคานส์·เบอร์นาร์ดถอดหมวกสีดำด้วยมือหนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างชี้ไปทางประตูบ้านซึ่งอยู่ถัดไปจากน้ำพุ


“พวกเราทำการรื้อคดีกลับมาสืบใหม่ทั้งหมดจากหลายช่องทาง เก็บรวบรวมเบาะแสทุกชนิด สืบสวนร่วมกับภาพวาดด้านข้างของคนร้าย แล้วก็… ผนวกกับความช่วยเหลือจากกระจกวิเศษ ผลลัพธ์คือ ทางเราสามารถระบุตัวผู้ต้องสงสัยได้หนึ่งคน”


ถึงกับชะงักครู่หนึ่งเมื่อพูดถึงกระจกวิเศษ…ชักอยากรู้แล้วว่าเขาต้องจ่ายอะไรไปบ้างกว่าจะได้รับคำตอบสำคัญเกี่ยวกับคดี…


เมื่อได้ยินเสียงสั่นเครือของไอคานส์ ไคลน์รู้สึกเห็นอกเห็นใจไม่น้อย


“ผู้ต้องสงสัยคือเจ้าของบ้านหลังนี้?”


คาสลาน่าย้อนถาม น้ำเสียงค่อนข้างมั่นใจว่าตนคาดเดาไม่ผิด


ไอเซนการ์ดมองไปรอบตัวด้วยสีหน้าครุ่นคิด


“ในเมื่อคุณยอมบอกเรื่องนี้กับเรา…หมายความว่าจิตแห่งจักรกลค้นพบเบาะแสสำคัญเพิ่มเติมแล้วใช่ไหม”


“ถูกต้อง จุดน่าสงสัยก็คือ พวกเราไม่พบรูปถ่ายเจ้าของบ้านแม้แต่ใบเดียว ปรากฏเพียงภาพวาดสีน้ำมัน” ไอคานส์เปิดเผยรายละเอียดของคดีโดยไม่ปิดบัง “ไม่เพียงเท่านั้น ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงยังระบุตรงกันว่า พวกเขาเคยเห็นสุนัขสีดำตัวใหญ่ในบ้าน—”


“พวกคุณจึงสรุปว่า ผู้ต้องสงสัยเป็นคนเดียวกับผู้ปลดปล่อยแรงกระหายใช่ไหม?” เมื่อกล่าวจบ ไอเซนการ์ดยิ้มชืด “ต้องขอโทษด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจจะขัด เพียงแต่ความเข้มข้นของคดีทำให้พวกเรากระวนกระวาย”


หลังจากทุกคนเดินอ้อมน้ำพุ ไอคานส์ชี้ไปทางประตูบ้านพร้อมกับเล่าต่อ


“เจ้าของบ้านชื่อว่าเจสัน·แพทริค เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารเล็กแห่งหนึ่ง จากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้านในละแวก เขาเป็นชายวัยกลางคนอุปนิสัยร่าเริง กระตือรือร้น และมองโลกในแง่บวก เป็นชายโสด แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าเขามีภรรยาลับซ่อนไว้หลายคน อย่างไรก็ตาม แม้จะร่ำรวย แต่จำนวนคนรับใช้กลับน้อยผิดปรกติ การจัดงานเลี้ยงรับแขกแต่ละครั้งจำเป็นต้องจ้างคนใช้ชั่วคราวจากสำนักงานจัดหาคนรับใช้ประจำเมืองเป็นจำนวนมาก เขาให้เหตุผลรองรับว่า ตนเป็นโรคนอนไม่หลับ จึงไม่ชอบจ้างคนรับใช้ในบ้านเยอะเพราะมักมีเสียงดังวุ่นวาย”


“อย่างนั้นหรือ…แต่ผมกลับคิดว่า เหตุผลแท้จริงของพฤติกรรมกล่าวก็คือ เขากำลังซุกซ่อนความลับบางอย่างไว้ในบ้าน” ไอเซนการ์ดกล่าวทีเล่นทีจริง


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไคลน์ ผู้ไม่ได้จ้างคนใช้ไว้ในบ้านเลย เริ่มออกอาการร้อนตัว


“เขาอาจไม่ได้ร่ำรวยเหมือนภายนอกก็ได้”


“ถูกต้อง พวกเรายังไม่ควรตัดความเป็นไปได้ดังกล่าวออกไป” ไอเซนการ์ดยกมุมปากขณะเดินขึ้นไปบนเฉลียงหน้าประตู


ไอคานส์พลันหันมาจ้องไคลน์ด้วยสีหน้ากระจ่าง ราวกับเพิ่งตระหนักบางสิ่งได้


“แบบนี้นี่เอง…สาเหตุให้คุณไม่จ้างคนรับใช้แม้แต่คนเดียว และเลือกใช้บริการทำความสะอาดจากสาวใช้เจ้าของบ้านสัปดาห์ละสองครั้งแทน เพราะคุณกังวลว่าความลับเรื่องผู้วิเศษจะรั่วไหลออกไป?”


หากเทียบกับความลับอื่นของฉัน…เรื่องนั้นจะไม่น่ากังวลเลยสักนิด…


ไคลน์แสร้งยิ้มชืด


“ใช่ครับ”


ขณะชายหนุ่มมอบคำตอบ ไอเซนการ์ดผลักประตูบ้านเข้าไป กลิ่นเหม็นเน่าลอยโชยออกมาทันใด


“กลิ่นการเน่าเปื่อย…” ไอเซนการ์ดคาดเดาความสัญชาตญาณ


ไอคานส์ส่งเสียงเรียกสมาชิกทีม


“คาร์ลเซ่น! พบอะไรบ้างไหม?”


ผู้วิเศษ คาร์ลเซ่น สวมแว่นตาหนาเตอะ กำลังทำสีหน้าซับซ้อน


“ศพ… ศพเต็มไปหมดเลยครับ… ใต้ซีเมนต์ห้องใต้ดิน ระหว่างกำแพงซีเมนต์หนา ใต้ลานหญ้า พวกเราขุดพบศพแล้วศพเล่าอย่างต่อเนื่อง ศพเก่าสุดคงตายมานานกว่าสิบปีแล้ว และศพใหม่สุดยังมีลมหายใจจนกระทั่งสองสามวันก่อน บ้างเหลือแต่ซากกระดูก บ้างเน่าเปื่อยไปแล้วบางส่วน… ท่านอาวุโส บ้านหลังนี้ไม่ต่างอะไรกับโรงเชือดมนุษย์!”


ขณะคาร์ลเซ่นกำลังเล่า จิตแห่งจักรกลและตำรวจซึ่งถูกคัดเลือกมาอย่างดี ทยอยขนศพออกมาวางเรียงรายด้านหน้า


หลายศพมีชิ้นส่วนกระจัดกระจาย บนพื้นจึงเต็มไปด้วยลิ้น นิ้ว กระเพาะอาหาร ลูกตา และอีกมาก บางศพแห้งกรังเหลือเพียงกระดูก


“ดูเหมือนว่า คดีคนหายเกือบส่วนใหญ่ในเบ็คลันด์จะถูกสะสางก็คราวนี้” ไอเซนการ์ดบิดจมูกพร้อมกับถอนหายใจ


เมื่อไคลน์เห็นลำไส้เล็กถูกลากไปตามพื้นจนเกิดคราบของเหลว มันรีบเบือนหน้าหนีพลางสำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัว


คาร์ลเซ่นส่งเสียงพึมพำอีกครั้ง


“เจสันจ่ายค่าแรงให้คนรับใช้สูงมาก แถมยังมอบวันหยุดยาวมากกว่านายจ้างรายอื่น คนรับใช้ในละแวกใกล้เคียงจึงพากันอิจฉาคนรับใช้ของหลังนี้… พ่อครัวของเจสันรับปากกับลูกชายไว้ว่า ครอบครัวจะเดินทางไปชมคณะละครสัตว์ในช่วงสุดสัปดาห์…”


“ปีศาจตัวจริง…” คาสลาน่ากัดฟันกรอด


ไคลน์ข่มอารมณ์พร้อมกับมองไปรอบบ้าน


“ทำไมเครื่องเรือนถึงมีสภาพธรรมดานัก? เป็นถึงนายธนาคาร อาจไม่ใช่ธนาคารใหญ่ก็จริง แต่เจสันก็ควรมีภาชนะลายครามไว้คอยรับแขกไม่ใช่หรือ รวมถึงเป็นภาพวาดสีน้ำมัน นาฬิกาแหวนผนังหรูหรา และเครื่องเรือนวัสดุผ้าไหม ทำไมถึงไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียว? …ถึงเครื่องเรือนจำพวกไม้จะถูกประกอบจากวัสดุค่อนข้างดีก็เถอะ”


คาร์ลเซ่นชำเลืองไอคานศ์ รอจนกระทั่งอีกฝ่ายพยักหน้าอนุญาต จึงหันกลับมาเล่า


“ค่อนข้างแน่ชัดว่าเจสันวางแผนแก้แค้นไว้นานแล้ว มันทยอยขายสมบัติมูลค่าสูงแต่ไม่เตะตาออกไปทีละนิดโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ขณะเดียวกันก็เทขายหุ้นทั้งหมดให้ธนาคารบาร์วาร์ตอย่างลับๆ หลังจากฆ่าคนรับใช้ในบ้าน มันเริ่มเปลี่ยนทรัพย์สินเป็นเงินอย่างรวดเร็ว เร่งขายภาพวาดสีน้ำมันราคาแพงและสมบัติชนิดอื่น ราวกับมั่นใจมากว่าจะถูกพวกเราตามสืบจนพบตัว ทุกการกระทำจึงไม่ปรากฏความลังเลแม้แต่น้อย ทุกสิ่งถูกจัดการอย่างเด็ดขาดและฉับไว แทบไม่หลงเหลือเบาะแสในบ้าน ก่อนจะลงมือแก้แค้นพวกคุณ มันเหลือเพียงบ้านหลังนี้ เครื่องเรือนเก่า และตัวตน… ไม่มีใครทราบว่ามันขนย้ายเงินสดก้อนโตด้วยวิธีใด และยังมีอัญมณีราคาแพงอีกมากซึ่งทางเราไม่พบประวัติการขายทอดตลาด”


หลังจากได้ยินคำอธิบายคาร์ลเซ่น ไคลน์นึกออกเพียงสามคำในหัว :


เยือกเย็น มีเหตุมีผล และบ้าบิ่น!


“ปีศาจตัวริง…” ไอเซนการ์ดพำพึมพร้อมกับแบ่งปันความคิดเห็น “พฤติกรรมของมันเยือกเย็นจนน่ากลัว แต่ขณะเดียวกันก็บ้าบิ่น กล้าได้กล้าเสียประหนึ่งนักผจญภัย สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับพฤติกรรมทั้งสองครั้งของมัน”


“ถ้าอย่างนั้น พวกเราควรระวังความบ้าบิ่นของมันเอาไว้ใช่ไหม? คนแบบนี้สามารถจู่โจมได้ทุกเมื่อในจังหวะไม่คาดฝัน” ไคลน์พยายามจับประเด็น


“ถูกต้อง” ไอเซนการ์ดพยักหน้ารับ


ถัดมา สามนักสืบร่วมมือกับหน่วยพิเศษเพื่อค้นบ้าน จนกระทั่งพบหลักฐานมากมายบ่งชี้ว่า เจสัน·แพทริคไม่ใช่นายธนาคารปรกติ


ขณะเดียวกัน กึ่งกลางห้องนั่งเล่นยังมีภาพวาดสีน้ำมันผืนใหญ่แขวนไว้ :


ชายวัยกลางคน โหนกแก้มใหญ่ ดวงตาสีฟ้าอมเทา ใบหน้าจืดชืด เส้นผมหวีเรียบ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดพิเศษ


ไอคานส์เดินตรงมาทางไคลน์


“พวกเราพบวัตถุปริศนาภายในห้องลับ จากการวิเคราะห์เบื้องต้น ผมสามารถยืนยันได้ว่าเจสัน·แพทริคพยายามอัญเชิญปีศาจทรงพลังกว่าตัวเองลงมาบนโลก แต่ด้วยเหตุผลบางประการ พิธีกรรมดังกล่าวเกิดล้มเหลวกลางคัน และวัตถุปริศนาก็ช่วยให้พวกเราทราบถึงตัวตนแท้จริงของมัน เจสัน·แพทริค หนึ่งในสมาชิกตระกูลปีศาจโบราณ ‘บีเลียล’  ดังนั้น ชื่อจริงของมันก็ควรจะเป็นเจสัน·บีเลียล”


ตระกูลบีเลียล…? ไคลน์พยักหน้ารับโดยไม่เผยความประหลาดใจมากนัก


“ในยุคสมัยที่สี่ กลุ่มมนุษย์บูชาปีศาจได้จับมือก่อตั้งพันธมิตรอย่างหลวมๆ ในนามนิกายบูชาโลหิต องค์กรของสาวกมันมีการแบ่งฝักฝ่ายภายในชัดเจน ประกอบด้วยสามสุดยอดตระกูลปีศาจ นอร์ธ อันเดราธ และบีเลียล พวกมันถูกเรียกว่าไตรภาคีแห่งปีศาจ เป็นสามเสาหลักสำคัญของนิกายบูชาโลหิต กราบไหว้บูชาเทพมารนาม ‘ด้านมืดเอกภพ’  เชื่อกันว่าเป็นผู้ปกครองสูงสุดแห่งนรก เกิดมาเพื่อทำลายและกัดกร่อนทุกสรรพสิ่งในจักรวาล” ไอเซนการ์ดเปิดเผยข้อมูลสำคัญให้ผู้วิเศษไร้สังกัดอย่างไคลน์และคาสลาน่าฟัง


ไอคานส์ส่ายหัว


“ถึงจะเป็นไตรภาคีและแบ่งแยกฝักฝ่ายอย่างชัดเจนในนิกาย แต่การร่วมอุดมการณ์เดียวกันก็ทำให้พวกมันตัดไม่ขาด ข่าวลือหลายแหล่งระบุตรงกันว่า เมื่อตระกูลบีเลียลและอันเดราธเริ่มเสื่อมอำนาจลงเมื่อราวหนึ่งพันปีก่อน พวกมันตัดสินใจมารวมกับนอร์ธในฐานะตระกูลสาขาเมื่อราวสิบปีหลัง สัญลักษณ์ของตระกูลบีเบียลจะเป็นรูปดาวห้าแฉกและเขาแพะ”


แต่ถึงอย่างนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าบีเลียลคือหนึ่งในตระกูลโบราณ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เหตุใดเจสันถึงมั่งคั่งจนสามารถชุบเลี้ยงสุนัขปีศาจขึ้นมาได้… เฮ่อ แต่นั่นคงเป็นแค่ส่วนเดียว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือการเป็นเจ้าของธนาคาร ถึงจะไม่ใหญ่นักก็ตาม…


ในยุคสมัยที่สอง เทพบรรพกาลซึ่งมีพลังสอดคล้องกับด้านมืดเอกภพคือ ราชาปีศาจ ฟาโบธี…ทั้งสองจะมีส่วนเกี่ยวข้องกันไหม?


ไคลน์ถอนหายใจยาวขณะครุ่นคิด


หลังจากค้นทั่วบ้านอย่างละเอียด สามนักสืบและจิตแห่งจักรกลทำได้เพียงยืนยันว่า เจสัน·แพทริคคือผู้ปลดปล่อยแรงกระหายจริง แต่ไม่มีใครสามารถระบุตำแหน่งปัจจุบันได้


ไคลน์ขอผ้าเช็ดหน้าของเจสันในพิธีกรรมอัญเชิญปีศาจติดตัวกลับไป โดยอ้างว่าจะนำไปให้เพื่อนของตนช่วยค้นหาอีกแรง แต่ความจริงคือ มันเตรียมใช้ทำนายบนห้วงมิติเหนือสายหมอก เนื่องจากไม่มีวัตถุใดเกี่ยวข้องกับเจสัน·แพทริคมากกว่านี้แล้ว


ถัดมาไม่นาน ไอคานส์เดินเข้ามาใกล้สามนักสืบพลางกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


“เหยี่ยวราตรีกำลังนำสมบัติปิดผนึกอันตรายมายังบ้านหลังนี้! พวกเราต้องรีบย้ายก้นออกไปโดยด่วน!”


“ตกลง!” ไอเซนการ์ดและคาสลาน่าขานรับพร้อมกัน


ในส่วนของไคลน์ เพียงได้ยินคำว่าเหยี่ยวราตรี ภายในใจก็ยกมือสนับสนุนนานแล้ว


หลังจากเดินพ้นบ้านหลังใหญ่และกว้างขวางของเจสัน ไคลน์หันกลับไปมองด้านหลังและกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม


มันกล่าวอย่างเคลือบแคลง


“ไม่สมเหตุสมผล”


“เรื่องไหน?” คาสลาน่ารีบถาม


ไคลน์เรียบเรียงคำพูดอธิบาย


“มันถึงกับขายธนาคาร ธุรกิจ และสมบัติมีค่ามากมายล่วงหน้า… หมายความว่าเจสันเตรียมทิ้งตัวตนปัจจุบันรวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ซึ่งสั่งสมมานานหลายสิบปี…เพียงเพื่อแก้แค้นให้สุนัขตัวเดียว? ผมมองว่าพฤติกรรมดังกล่าวไม่มีเหตุผลรองรับมากพอ มันอาจผูกพันกับสุนัขตัวนั้นเป็นพิเศษก็ได้ เชอร์ล็อก คุณอาจคาดไม่ถึง แต่โลกนี้มีคนรักสัตว์เทียบเท่าคนในครอบครัวอยู่มาก” คาสลาน่าโต้แย้ง


ไอเซนการ์ดด้านข้างกล่าวเสียงขึงขัง


“ผิดแล้ว เหตุผลของเชอร์ล็อกฟังขึ้น คาสลาน่า คุณทราบหรือไม่ว่าลำดับ 8 ของเส้นทางปีศาจมีชื่อโบราณว่าอย่างไร”


คาสลาน่าเผยสีหน้าครุ่นคิด คล้ายกับเธอเคยทราบมาก่อน แต่ไม่สามารถนึกให้ออกได้ในทันที


ทันใดนั้น ไคลน์ตอบเสียงต่ำ


“สัตว์เลือดเย็น”


สัตว์เลือดเย็น…! หลังจากพึมพำตาม เธอเริ่มเข้าใจความหมายแฝงของสองยอดนักสืบ เชอร์ล็อกและไอเซนการ์ด


เมื่อเห็นท่าทีตอบสนอง ไคลน์ชี้ไปยังทางแยกตรงหน้า


“คงต้องแยกกันตรงนี้ รีบใช้ช่องทางของแต่ละคนช่วยกันสืบหาเบาะแสคนร้าย”


หลังจากเห็นอีกสองคนพยักหน้ารับ ไคลน์เร่งฝีเท้าเดินแยกตัวออกมา แต่มันยังไม่ตรงไปยังย่านทิศใต้ของสะพานเพื่อตามหาเอ็มลินในทันที


อันดับแรก มันมีแผนแวะสถานีตำรวจซีซาร์เพื่อนำเงินประกันจำนวนห้าสิบปอนด์คืน!


ไคลน์ได้รับการพิสูจน์ว่าไม่ใช่คนร้ายเนื่องจากทั้งไอเซนการ์ดและหน่วยพิเศษอย่างไอคานส์ช่วยเป็นพยานยืนยัน


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)