Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 405-408
ราชันเร้นลับ 405 : ลัทธิมาร
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เดอะฟูล?”
ผู้วิเศษของชุมนุมลับมิสเตอร์ A ต่างพากันทวนคำซ้ำหรือไม่ก็หันไปสนทนากับพวกพ้องด้านข้าง เผื่อว่าเคยมีใครพบเจอผู้ศรัทธาของบุคคลลึกลับนามเดอะฟูล
“มีลัทธิมารชื่อนี้ด้วยหรือ?”
ใครบางคนถามเสียงต่ำ
ขณะเดียวกัน มิสเตอร์ A ส่งสัญญาณบอกให้ผู้ช่วยด้านข้าง ยกแผ่นกระดานดำเขียนถ้อยคำภาษาโลเอ็นสามวรรคขึ้นมาตั้ง
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”
หลังจากร่วมชุมนุมเงยหน้ามองแผ่นกระดานและคุยกันเองสักพัก มิสเตอร์ A เปล่งเสียงสากและแหบพร่า
“่ห้ามเขียนหรืออ่านสิ่งนี้ด้วยภาษาเฮอร์มิสเด็ดขาด ยิ่งภาษาคนยักษ์ มังกร เอลฟ์ และเฮอร์มิสโบราณยิ่งห้าม! พวกเจ้าไม่ควรคัดลอกถ้อยคำนี้ด้วยประการทั้งปวง มิฉะนั้น ข้าไม่รับรองความปลอดภัย”
“จงช่วยข้าตามหาผู้ศรัทธาของเดอะฟูล แน่นอน อีกฝ่ายอาจโด่งดังในนามราชันเหลืองดำ หรือผู้ปกครองเหนือห้วงสายหมอกเทาก็ได้เช่นกัน ถ้าใครพบเบาะแสให้รีบแจ้งเข้ามาทันที ขอรับประกันว่ารางวัลคราวนี้มหาศาลจนคาดไม่ถึง!”
“คำอธิบายเช่นนี้… ฟังดูเหมือนกับตัวตนอันสูงส่งไม่มีผิด นอกจากพระนามเต็มของเหล่าเจ็ดเทพจารีต ฉันก็ไม่เคยได้ยินใครใช้ชื่อแบบนี้มาก่อน” หนึ่งในสมาชิกโพล่งขึ้น
พวกพ้องด้านข้างส่ายหัว
“ใครว่าล่ะ ศาสดาของพวกลัทธิมารล้วนมีชื่อแบบนี้ทั้งหมด”
“นั่นคือลัทธิมารหรือ” สมาชิกชุมนุมคนอื่นพลันประหลาดใจเมื่อได้ยินบทสนทนา
“น่าจะใช่ เพราะตามปรกติ การอัญเชิญสิ่งมีชีวิตจากโลกวิญญาณจะต้องเรียกขานด้วยชื่อเต็มสามประโยค และส่วนใหญ่จะมีท่อนกำกับว่าเป็น ‘ผู้รับใช้ของใคร’ หรือ ‘อยู่ในสังกัดเทพองค์ใด’ แต่ชื่อเต็มของเดอะฟูลดูเหมือนจะไม่มีอะไรแบบนั้น จึงน่าจะเป็นศาสดาของลัทธิมาร” สมาชิกผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์เร้นลับเริ่มอธิบาย
ขณะบทสนทนากำลังเข้มข้น ฟอร์สทำเพียงนั่งฟังอย่างตกตะลึงภายใน
นั่นคือพระนามเต็มอันสูงส่งของมิสเตอร์ฟูลไม่ใช่หรือ? ถึงจะถูกเขียนด้วยภาษาโลเอ็น แต่เราไม่มีทางลืมแน่! แล้วทำไมมิสเตอร์ A ถึงตามล่าผู้ศรัทธาของเดอะฟูล? ชุมนุมแสงเหนืออยู่เบื้องหลังเรื่องนี้?
สมองฟอร์สกำลังประมวลผลด่วนจี๋
เธอทราบดี มิสเตอร์ A คือหนึ่งในสมาชิกชุมนุมแสงเหนือ เพราะในคดีสังหารราชทูตเบเคอลันด์แห่งอินทิส ‘กลุ่มก่อการร้าย’ นามชุมนุมแสงเหนือได้อ้างตัวเป็นผู้ลงมือ
เมื่อเริ่มได้สติกลับมา ฟอร์สทำการสำรวจตัวเองว่ามีความผิดปรกติภายนอกหรือไม่ กังวลว่าคนรอบตัวอาจจับพิรุธเรื่องเธอคือหนึ่งในสมาชิกชุมนุมทาโรต์ เพราะนั่นจะไม่ต่างอะไรกับผู้ศรัทธาของเดอะฟูล
เราแค่อ่านพระนามเต็มของเดอะฟูลเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณบนแผ่นกระดาษปริศนา จากนั้นก็ถูกมิสเตอร์ฟูลดึงเข้าไปในห้วงมิติเหนือสายหมอก… ไม่มีใครทราบเรื่องนี้แน่… ฉะนั้น เราไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก…
ถ้าจำไม่ผิด เศษกระดาษแผ่นนั้นถูกซ่อนอยู่ในหนังสือซึ่งยืมมาจากไวเคาต์กายลิน…
ฟอร์สเริ่มเค้นสมองนึก
เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย… เราเคยอ่านข้อความเหล่านี้บนเศษกระดาษ! และหลังจากนั้นก็เกิดฝันร้ายทันที!
ซิลไม่มีวันลืมเลือนประสบการณ์ชวนขนหัวลุกในอดีต แต่ด้วยสัญชาตญาณของนักล่าค่าหัว หญิงสาวร่างเล็กยังคงฉาบความสุขุมไว้ภายนอก ไม่เผยท่าทีผิดปรกติให้ใครเห็น
ทันใดนั้น ในลักษณะเดียวกับฟอร์ส ซิลเริ่มฉุกคิดถึงต้นตอเศษกระดาษแผ่นดังกล่าว
มันถูกซ่อนไว้ในปกหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์ขุนนางโลเอ็น’ ซึ่งยืมมาจากไวเคาต์กายลิน…
เมื่อความคิดเช่นนี้เริ่มผุดขึ้นในหัวสองสาว ซิลและฟอร์สต่างหันไปจ้องกายลินโดยมิได้นัดหมาย
ขณะเดียวกัน กายลินกำลังเงยหน้ามองกระดานดำพลางพึมพำด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“หืม… ไม่เคยได้ยินชื่อเต็มแบบนี้มาก่อน แต่ฟังดูเจ๋งชะมัด!”
เมื่อกล่าวจบ มันหันกลับมามองด้านข้างด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“พวกคุณจ้องผมทำไม?”
“เปล่า” ซิลและฟอร์สส่ายศีรษะพร้อมกัน
…
หลังจากจบมื้ออาหารค่ำในบ้านหรู
ออเดรย์เดินนำสุนัขขนทองตัวใหญ่ ซูซี่ เข้าไปในห้องนั่งเล่นโดยมีครูสอนพิเศษประจำตัว มาดามเอสลันด์ เป็นผู้นำทาง
ทั้งสามกำลังจะเข้าร่วม ‘สัมมนา’ เกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับและจิตวิทยา
บรรดาสาวใช้และบอดี้การ์ดทำได้เพียงยืนรอด้านนอกห้อง ส่วนออเดรย์เดินเข้าไปข้างในพร้อมกับซูซี่
ภายในห้องนั่งเล่น ไม่ว่าจะทำไปเพื่อสร้างบรรยากาศหรืออะไรก็ตาม แต่ตะเกียงแก๊สมิได้ถูกเปิดใช้งาน มีเพียงแสงสว่างจากเชิงเทียนไขสีทองเหนือโต๊ะกาแฟและตู้กับข้าว
โดยไม่ปล่อยให้ออเดรย์สำรวจรอบห้อง สุภาพบุรุษอายุราวสามสิบผู้หนึ่ง สวมโค้ทหางยาวสีเทา เดินตรงเข้ามาใกล้
“ทางนี้คือเจ้าของบ้าน มิสเตอร์สตีเฟ่น·ฮันเพรส เป็นพ่อค้าเครื่องเรือน”
เอสลันด์ ผู้มีผมสีดำยาวสลวยถึงเอว กล่าวแนะนำตัวอีกฝ่าย
ขณะเธอเตรียมแนะนำตัวเด็กสาว ฮันเพรสส่งเสียงคิกคักในลำคอและกล่าว
“เอสลันด์ คุณยังไม่ต้องพูด ผมขอลองคาดเดาด้วยตัวเอง”
หนวดเคราถูกตัดแต่งอย่างเรียบร้อยและพิถีพิถัน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มทรงเสน่ห์ รูปโฉมภายนอกมอบบรรยากาศอ่อนโยนและสง่างาม ไม่เหมือนกับพ่อค้าเครื่องเรือนแม้แต่นิดเดียว
เหมือนอาจารย์มหาวิทยาลัยมากกว่า…
หลังจากมันจ้องมองออเดรย์หัวจรดเท้า ฮันเพรสฉีกยิ้มกว้าง :
“เอสลันด์เคยบอกเพียงว่า คุณคือศิษย์รักคนสำคัญของเธอ ฮะฮะ! ผมมองเห็นความเป็นกุลสตรีชนชั้นสูงในตัวคุณ และไม่ได้มีดีแค่หน้าตา แต่ยังเฉลียวฉลาดถึงขั้น ชีวิตนี้ไม่ต้องกังวลว่าจะตกต่ำ… คุณตื่นเต้นเล็กน้อย อยู่ในวัยกำลังอยากรู้อยากเห็น เป็นคนซื่อตรง และชอบมอบความรักให้แก่ผู้อื่นเสมอ… แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จุดเด่นอันดับหนึ่งของคุณคือความงดงามราวกับนางฟ้า”
จากนั้น ฮันเพรสเลื่อนมือขึั้นมาทาบกึ่งกลางหน้าอก โน้มตัวมาข้างหน้า และกล่าวติดตลกส่งท้าย
“ยินดีต้อนรับ คุณนางฟ้าแสนสวย”
มีความช่างสังเกตสมกับเป็นคนของสมาคมแปรจิต… แต่นั่นเป็นเพียงเปลือกนอกซึ่งเราสร้างขึ้นมาฉาบไว้ เป็นออเดรย์ผู้ใสซื่อเมื่อไม่กี่เดือนก่อน…
ออเดรย์แสร้งอ้าปากอย่างประหลาดใจ
“มิสเตอร์ฮันเพรส คุณรู้จักดิฉันมาก่อนหรือคะ?”
เธอทำทีตกใจเพียงไม่นาน เพราะอากัปกิริยาโดยทั่วไปของคนตกตะลึงจะคงอยู่แค่ช่วงระยะเวลาสั้น
หากใครแสดงสีหน้าตกใจค้างนานเกินไป ให้สงสัยไว้ก่อนว่านั่นคือการแสดง
ออเดรย์ไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน จนกระทั่งมีโอกาสสำรวจอากัปกิริยาของเป้าหมายคนแล้วคนเล่าจนเกิดเป็นข้อสรุป
“ผิดแล้วครับคุณหนู ผมไม่เคยรู้จักคุณมาก่อน นี่เป็นเพียงคุณสมบัติพื้นฐานของผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา” ฮันเพรสยิ้ม
ขณะอีกฝ่ายกำลังโอ้อวด ออเดรย์เพ่งสายตาสังเกตอีกฝ่าย ตามด้วยสร้างข้อสันนิษฐานจากสภาพแวดล้อม
เครื่องแต่งกายและการตกแต่งบ้านสามารถบ่งบอกได้ว่า ชายคนนี้ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์เป็นอย่างมาก…
แหวนพลอยบนมือซ้ายมีขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่คุณภาพกลับไม่ได้ยอดเยี่ยม แถมยังปราศจากอักขระเวทมนตร์หรือสัญลักษณ์ทางศาสตร์เร้นลับ… สถานภาพทางการเงินมิได้มั่งคั่งเหมือนภายนอก…
เป็นพวกดีแต่เปลือก…
แม้ภายนอกอาจแสดงออกถึงความอ่อนโยนและจริงใจ แต่ภาษากายของท่ายืน การหันปลายเท้า และสีออร่าทางอารมณ์ล้วนบ่งบอกว่า เขาค่อนข้างระมัดระวังตัว…
เขากล่าวชมเราจากใจจริง แต่ไม่ใช่ในเชิงเกี้ยวพาราสี… บนใบหน้ามีร่องรอยการใช้เครื่องสำอาง ทักษะการแต่งอาจหน้าด้อยกว่าซอเรีย สาวใช้แต่งหน้าของเรา แต่เขามีฝีมือดีกว่าเรามาก… น้ำหอมใช้กลิ่น ‘ล่องลอย’ … ไม่ผิดแน่ ชายคนนี้ชอบผู้ชายด้วยกัน และบทบาทบนเตียงคือฝ่ายรับ…
ออเดรย์วิเคราะห์อย่างชำนาญ ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าใสซื่อ
“มิสเตอร์ฮันเพรส ดิฉันอยากมีเทคนิคการสังเกตแบบคุณจังเลยค่ะ!”
ขณะกล่าว เด็กสาวเผยรอยยิ้มเจือจางพลางรับการทักทายจากสมาชิกราวเจ็ดถึงแปดคนภายในห้อง
ผู้คลั่งไคล้จิตวิทยาและศาสตร์เร้นลับล้วนมาจากสังคมชนชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานของขุนนางเก่า ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัย หรือลูกหลานพ่อค้าทรงอิทธิพล ตัวอย่างเช่น ชายหนุ่มตรงหน้า เขามีบิดาเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าฟิลิป ห้างอันดับหนึ่งประจำกรุงเบ็คลันด์
เมื่อการสัมมนาเริ่มขึ้น ออเดรย์รับบาทผู้ฟังอย่างตั้งใจ มีเพียงการยิงคำถามเล็กน้อยหากเกิดความสงสัย ขณะเดียวกันก็แสดงความอยากรู้อยากเห็นเป็นระยะ
ตลอดการสัมมนาเชิงวิชาการ เอสลันด์และฮันเพรสเล่าถึงเรื่องของ ‘กายจิต’ และ ‘กายปัญญา’ รวมถึงโลกวิญญาณและทะเลจิตใต้สำนึก สมาชิกส่วนใหญ่แสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้ออเดรย์ไขข้อสงสัยของตนไปหลายเรื่อง
เมื่อการสัมมนาจบลงและทุกคนเริ่มทยอยแยกย้ายออกจากบ้าน ออเดรย์ชำเลืองไปทางเอสลันด์ด้านข้างและซักถามอย่างไร้เดียงสา
“มิสเอสลันด์ อ…อีกนานไหมคะ กว่าดิฉันจะเชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเท่ากับมิสเตอร์ฮันเพรส?”
เอสลันด์ยกมุมปากอย่างมีเลศนัย จ้องมองเด็กสาวและกล่าว
“อีกไม่นานค่ะ…”
…
กลางดึกสงัด ไคลน์ ผู้กำลังจะเข้าไปซุกตัวใต้ผ้าห่มอย่างมีความสุข มีเหตุด่วนให้ต้องส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา
ไม่ว่าจะง่วงสักเพียงใด แต่ชายหนุ่มก็ต้องถ่างตาตื่นหลังจากได้ยินคำสวดภาวนาของมิสเมจิกเชี่ยน
ชุมนุมแสงเหนือตระหนักถึงการมีตัวตนของเดอะฟูล? พวกมันรู้จักนามเต็มของเรา?
พระผู้สร้างแท้จริงทราบตำแหน่งเราแล้ว?
ไคลน์นั่งบนเก้าอี้พนักสูงด้วยสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด พร้อมรับการโจมตีทุกเมื่อ
ถัดมาไม่นาน ชายหนุ่มเริ่มตัดประเด็นสุดท้ายทิ้งไป เพราะถ้าอีกฝ่ายทราบตำแหน่งของตนจริง ป่านนี้มิสเตอร์ A ต้องมาเคาะประตูบ้านโดยปลอมเป็นคนเก็บค่าแก๊สแล้ว
สรุปได้ว่า ข้อมูลรั่วไหลมีเพียงนามเต็มของเดอะฟูล และเบาะแสคือกรุงเบ็คลันด์…
ใครเป็นคนปล่อยข่าว?
ไคลน์ก้มหน้าตรึกตรองเคร่งเครียด
จากนั้นไม่นาน มันเกิดสมมติฐาน
เดอะซันน้อยเคยเอ่ยนามเต็มของเราต่อหน้าสมาชิกทีมสำรวจ ผู้ถูกกัดกร่อนจิตใจโดยพระผู้สร้างแท้จริง… แถมยังประกอบพิธีกรรมโดยวาดสัญลักษณ์ของเดอะฟูล และบางที ฉากของพระราชวังโบราณเหนือสายหมอกสีเทาอาจปรากฏให้อีกฝ่ายเห็น…
หรือก็คือ พระผู้สร้างแท้จริงตระหนักถึงการมีตัวตนของเดอะฟูล และคิดว่าเราพยายามขัดขวางแผนการ… ไม่สิ พยายามก่อกวน… นั่นก็ไม่ใช่…
คิดว่าเราพยายามล้วงข้อมูล…?
ไม่เพียงเท่านั้น เดอะซันยังปลดผนึกของดวงตาดำล้วน ซึ่งถูกปนเปื้อนการกัดกร่อนทางจิตจากพระผู้สร้างแท้จริง… ดวงตาดำล้วนเกิดจากโรซาโก้ ผู้ถูกยันต์กัดกร่อนของเราเล่นงาน…
เราสร้างยันต์กัดกร่อนจากใบหูสีดำ ซึ่งซื้อมาจาก ‘อสรพิษดำ’ บุคคลต้องสงสัยว่าจะเป็นสมาชิกชุมนุมแสงเหนือในกรุงเบ็คลันด์…
จึงส่งผลให้ พระผู้สร้างแท้จริงเชื่อว่าผู้ศรัทธาของเดอะฟูลอาศัยอยู่ในเบ็คลันด์?
เห็นทีว่า เราคงไม่สามารถนำดวงตาดำล้วนออกมาใช้ได้อีกแล้ว!
เมื่อเริ่มเข้าใจต้นตอปัญหา ไคลน์ผุดประเด็นสงสัยข้อใหม่
มิสเตอร์ A ประกาศตามล่าตัวผู้ศรัทธาของเดอะฟูลต่อหน้าสมาชิกชุมนุมจำนวนมากโดยไม่ปิดบังข้อมูลใดเลย? แถมยังเขียนชื่อเต็มของเราลงไปด้วย?
มันเสียสติไปแล้ว? หรืออาจเป็นการจงใจ ‘ล่อเหยื่อให้ติดกับ’ …
เฮ่อ…!
ชุมนุมแสงเหนือเต็มไปด้วยกลุ่มคนเสียสติ สมองของพวกมันคงถูกทำลายไปจนหมดแล้ว คนสติดีอย่างเราจึงไม่มีทางคาดเดาความคิดและจุดประสงค์ได้แม่นยำ…
ดังคำโบราณว่าไว้ :
ถ้าคุณไม่บ้า ก็จะไม่มีวันเข้าใจคนบ้า
……………………
ราชันเร้นลับ 406 : ความจริงอันน่ายินดีแต่ไม่เกิดประโยชน์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ ห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา ท่ามกลางพระราชวังโอ่อ่าอลังการ
ไคลน์เคาะโต๊ะทองแดงสลับเป็นจังหวะ สมองประมวลผลว่าตนควรรับมือการไล่ล่าจากชุมนุมแสงเหนือด้วยวิธีใด
ขณะปวดหัวอยู่กับคำถามว่า อีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ชายหนุ่มพลันผุดแนวคิดใหม่ในการแก้ปัญหา
จริงด้วย… แจ้งตำรวจจับมิสเตอร์ A!
แจ้งจับชุมนุมลับของมัน!
มันสามารถทราบตำแหน่งบ้านจัดชุมนุมได้จากมิสเมจิกเชี่ยน จากนั้นก็แอบรายงานให้เหยี่ยวราตรี จิตแห่งจักรกล หรือทูตพิพากษาในเขตดังกล่าวดำเนินการกวาดล้าง
ลำพังชื่อเสียงของชุมนุมแสงเหนือ มากพอจะทำให้หน่วยพิเศษตื่นตัวและเกิดความสนใจ
เมื่อเป็นเช่นนั้น ความปลอดภัยรอบตัวมิสเตอร์ A ก็จะลดลง และไม่มีเวลาเหลือสำหรับไล่ลาสาวกของเดอะฟูล
แต่ปัญหาคือ วิธีนี้จะทำให้ผู้วิเศษไร้เดียงสาจำนวนมากต้องเดือดร้อน…
จริงสิ มิสเตอร์ A อาจประกาศตามล่าตัวสาวกของเดอะฟูลเพียงเพื่อวางกับดัก…
มันน่าจะเตรียมลู่ทางหลบหนีไว้ล่วงหน้าแล้ว หากหน่วยพิเศษบุกถล่มชุมนุมลับของมันจริง ก็จะหมายความว่า สาวกของเดอะฟูลแฝงตัวอยู่ในกลุ่มสมาชิกชุมนุม…
ส่วนเป็นใครนั้น คนเสียสติอย่างมิสเตอร์ A ไม่มัวกังวลให้เปลืองสมอง มันแค่จัดการกับทุกคนให้หมดก็สิ้นเรื่อง
และถ้ากลุ่มผู้วิเศษไร้เสียงสาตกอยู่ในเงื้อมมือของมิสเตอร์ A โอกาสรักษาความลับก็แทบจะกลายเป็นศูนย์
ในฐานะกลุ่มคนเสียสติอย่างชุมนุมแสงเหนือ ในฐานะโอสถลำดับ 5 คนเลี้ยงแกะ ในฐานะสาวกของพระผู้สร้างแท้จริง มิสเตอร์ A ย่อมเชี่ยวชาญการกัดกร่อนจิตใจเป็นพิเศษ
เมื่อแนวคิดทางศาสนาถูกบิดเบือนและเริ่มเทิดทูนบูชาพระผู้สร้างแท้จริงจากก้นบึ้งหัวใจ จะยังมีใครรักษาความลับได้อีกหรือ?
ใช่ว่าเราไม่มีทางอื่นสักหน่อย… ไม่ควรรีบร้อนแจ้งตำรวจหรือหน่วยพิเศษ…
ไคลน์เอนกายพิงเก้าอี้พนักสูง ไตร่ตรองเรื่องราวทั้งหมดใหม่อีกครั้ง
ขณะพยายามนึกหาทางออก ชายหนุ่มเริ่มตระหนักถึงความจริงบางข้อ
โลกนี้ไม่มีสาวกของเดอะฟูลสักหน่อย!
หากกล่าวถึงชุมนุมทาโรต์ จำนวนสมาชิกก็นับว่าน้อยเกินไป โดยแต่ละคนสามารถเก็บความลับได้ดี
สรุปโดยสั้น ชุมนุมแสงเหนือไม่มีทางได้รับเบาะแสอะไรจากการประกาศค่าหัวคราวนี้… เราไม่ต้องกังวลเลยสักนิด… ปัญหาเดียวก็คือ เดอะฟูลได้กลายเป็นเป้าความเกลียดชังจากเทพ จริงอยู่ นี่อาจเป็นความรู้สึกไม่น่าอภิรมย์ แต่นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไร…
ไคลน์พยักหน้ากับตัวเองพลางสงบสติ
เมื่อลองตรึกตรองให้ลึกลงไป ความไม่สะดวกข้อเดียวจากเหตุการณ์นี้ก็คือ ไคลน์เคยใช้ชื่อเต็มของเดอะฟูลในภาษาเฮอร์มิส เป็นรหัสผ่านเปิดบัญชีธนาคาร และเมื่อถูกเปิดเผย บัญชีของตนอาจมีปัญหาในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เดอะฟูลคิดค้นพิธีกรรม ‘สังเวย’ และ ‘รับมอบ’ สำเร็จ บัญชีธนาคารดังกล่าวก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป จึงถูกทิ้งร้างมานานแล้ว
และในช่วงเดือนครึ่งก่อนหน้า ยังไม่เคยมีใครพยายามลักลอบเปิดบัญชีธนาคารของเราแม้แต่ครั้งเดียว จึงสรุปได้ว่า ไม่ต้องมัวกังวลเรื่องของบัญชีธนาคาร…
พนักงานธนาคารธรรมดา ผู้คอยเก็บรักษารหัสผ่าน คงไม่รู้จักภาษาเฮอร์มิส ฉะนั้น ต่อให้เขาหรือเธอเห็นนามเต็มของเดอะฟูลเป็นภาษาโลเอ็น ก็ไม่มีทางเชื่อมโยงกับนามเต็มของเดอะฟูลในภาษาเฮอร์มิสได้แน่…
หากใครคัดลอกเป็นภาษาเฮอร์มิส ไม่ว่าจะด้วยวิธีเขียนหรือท่อง ตัวเรา เดอะฟูล ก็จะตระหนักถึงได้ทันที…
หรือต่อให้มีใครบางคนเข้าถึงรหัสผ่าน ก็คงยากจะเชื่อมโยงกับนักสืบเชอร์ล็อก เพราะเราปลอมตัวแนบเนียนทุกครั้งขณะเบิกเงิน…
ขณะเคาะโต๊ะทองแดงโบราณ ไคลน์แสยะยิ้มพลางกล่าวเสียงเคร่งขรึม
“พวกแกคิดว่าเดอะฟูลมีผู้ศรัทธามากมายจนสามารถแกะรอยได้ง่ายดายอย่างนั้นหรือ? ผิดแล้ว… ผิดถนัด! โลกนี้มีผู้ศรัทธาเดอะฟูลเพียงคนเดียวเท่านั้น! และนั่นคือฉันคนนี้!”
เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มขื่นขม
“ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจเลยสักนิด…”
หลังจากนี้ เราต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังให้มาก อย่าเพิ่งนำชื่อของเดอะฟูลไปใช้งานฟุ่มเฟือย…
ไคลน์เตือนสติตัวเอง พลางมอบคำตอบกลับไปหาเมจิกเชี่ยน
มันเปลี่ยนท่านั่งและกล่าวเสียงทุ้ม
“ไม่ต้องกังวล”
…
ไม่ต้องกังวล…
หลังจากฟอร์สได้รับคำตอบ เธอค่อนข้างประหลาดใจ แต่ส่วนหนึ่งก็คาดเดาไว้บ้างแล้ว
จริงด้วย… ในสายตามิสเตอร์ฟูล ชุมนุมแสงเหนือเป็นได้แค่พวกหนอนแมลงเท่านั้น!
ถัดมา ฟอร์สเอ่ยพระนามเต็มของเดอะฟูลและซักถามเพิ่มเติมด้วยเสียงต่ำ
“ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ชุมนุมแสงเหนือศรัทธาเทพองค์ใดหรือคะ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น มองเห็นมิสเตอร์ฟูลกำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงท่ามกลางสายหมอกสีเทาไร้จุดสิ้นสุด
อีกฝ่ายเปล่งเสียงตอบกลับมา
“พระผู้สร้างแท้จริง”
พระผู้สร้างแท้จริง…!
ดวงตาฟอร์สพลันสั่นเทา ขณะเดียวกันก็เข้าใจทันทีว่า เหตุใดมิสเตอร์ A ถึงต้องตามล่าตัวสาวกของเดอะฟูล!
ด้วยความช่วยเหลือจากชุมนุมทาโรต์ เด็กหนุ่มเดอะซันได้เปิดโปงความผิดปรกติของทีมสำรวจและทำให้แผนการของพระผู้สร้างแท้จริงล้มเหลว!
เบื้องหลังของเหตุการณ์นี้ คือความขัดแย้งระหว่างมิสเตอร์ฟูลและพระผู้สร้างแท้จริง…
ฟอร์สไม่ถามเซ้าซี้ เพียงเล่าถึงเหตุการณ์การพบปะกับหนึ่งในสมาชิกตระกูลอับราฮัม เจตจำนงของมิสเตอร์ลอว์เรนซ์ สมุดบันทึกประหลาด และตะกอนพลังของเขา
“ท่านเดอะฟูล ดิฉันควรทำเช่นไร”
หญิงสาวขอคำแนะนำ
ควรทำอย่างไร? ทำไมเราถึงไม่โชคดีแบบเธอบ้าง น่าอิจฉาชะมัด…
ไคลน์ยิ้มและมอบคำตอบ
“ทำตามเสียงของหัวใจ”
มันไม่กังวลว่า บุคคลชื่อโดเรียน·เกรย์จะทำอันตรายมิสเมจิกเชียนจนถึงแก่ชีวิต เพราะมันทราบดี เธอยังเหลืออัญมณีบนกำไลข้อมืออีกสองเม็ด ช่วยให้หลบหนีโดยใช้เส้นทางโลกวิญญาณได้สองครั้ง
ทำตามเสียงหัวใจ… ฟอร์สก้มหน้าครุ่นคิด
“เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมาก”
เธอตัดสินใจจะซื้อบัตรโดยสารรถจักรไอน้ำในวันพรุ่งนี้ หากใช้วิธีเดินทางดังกล่าว ฟอร์สสามารถไปถึงท่าเรือพริสต์โดยใช้เวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมงไม่มาก หรือถ้าโชคดีก็เร็วกว่านั้น
หลังจากรายงานเรื่องราวทั้งหมด ฟอร์สแจ้งความประสงค์ ขอประกอบพิธีกรรมสังเวยและรับมอบ เพื่อแลกเปลี่ยนเงินตราของตนกับตะกอนพลังเจ้าพนักงาน
เมื่อได้จับต้องวัตถุคล้ายกำปั้นสามสี ประกอบด้วยสีแดงเข้ม ดำเหล็ก และเงินวาว ซึ่งแผ่แสงออร่างดงามตลอดเวลา ฟอร์สพลันเกิดความยินดีปรีดาเหนือคำบรรยาย
ซิลรวบรวมวัตถุดิบรองของโอสถได้นานแล้ว แปลว่าเธอกำลังจะกลายเป็นลำดับ 8 เจ้าพนักงาน… ส่วนเรายังอีกนานกว่าจะได้เป็นลำดับ 8 นักตุกติก ได้แต่หวังว่ามิสเตอร์แฮงแมนและสมาชิกชุมนุมทาโรต์คนอื่น จะช่วยตามหาวัตถุดิบเกี่ยวข้องได้โดยเร็ว…
ซิลทำตัวเป็นผู้ตัดสินมานานแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องการย่อยโอสถ แต่ถ้าเธอกลายเป็นเจ้าพนักงานเมื่อไร เราควรทำอย่างไรดี?
ขออนุญาตมิสเตอร์ฟูลเพื่อถ่ายทอดเทคนิคสวมบทบาท หรือแนะนำให้เธอแฝงเข้าไปทำงานกับภาครัฐ?
…
ณ เก้าอี้หัวโต๊ะทองแดงโบราณ ไคลน์นั่งจ้องเงินสดปึกใหญ่ในมือและนับซ้ำหลายหน
ด้วยการค้าขายเมื่อครู่ เราจึงมีเงินสดติดตัวทั้งสิ้น 1,230 ปอนด์ ยังขาดอีกสามร้อยปอนด์หากต้องการซื้อวัตถุดิบหลักโอสถลำดับ 6 สักหนึ่งชิ้น ไม่สิหนึ่งพันห้าร้อยปอนด์เป็นเพียงราคาขั้นต่ำ ถ้าสินค้ามีจำนวนจำกัด ราคาก็จะยิ่งพุ่งสูงกว่าเดิม…
จะหาเงินเพิ่มยังไง? ปล้นธนาคาร?
หรือควรรอให้จักรยานของเลพเพิร์ดจดสิทธิบัตรผ่าน จึงค่อยขายหุ้นให้นายทุนใหญ่?
จริงสิ เราลืมความพิเศษของชุมนุมทาโรต์เสียสนิท ถึงแม้ว่าตะกอนพลังมนุษย์หมาป่า—สมบัติของโรงเรียนกุหลาบ จะไม่สามารถค้าขายได้ในเบ็คลันด์เพราะอาจถูกสาวถึงตัว แต่ถ้าเป็นมิสเตอร์แฮงแมน เขาต้องทำไปขายให้ชุมนุมโจรสลัดได้แน่ เราแค่ต้องแบ่งเงินค่านายหน้าให้บางส่วน…
หลังจากหักลบทุกสิ่ง ตะกอนพลังมนุษย์หมาป่าน่าจะทำเงินได้สักหนึ่งพันปอนด์ และนั่นจะส่งผลให้เรามีเงินเพียงพอสำหรับซื้อวัตถุดิบหลักโอสถลำดับ 6 ได้หนึ่งชิ้น…
ไคลน์เริ่มวางแผน
ขณะเดียวกัน มันค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อยเมื่อไม่สามารถขายตะกอนพลัง ‘นักสอบสวน’ ให้ซิลได้ในเร็ววัน เพราะกว่าเธอจะย่อยโอสถเจ้าพนักงานสำเร็จและมีเงินพอซื้อ ตนคงกลายเป็นผู้ไร้หน้าไปนานแล้ว
ในส่วนของฟอร์ส ถ้าการติดต่อกับตระกูลอับราฮัมผ่านไปด้วยดี อีกฝ่ายอาจให้ความสนใจในตัวเธอ และสูตรโอสถโหราจารย์ในมือเราก็จะไม่สามารถทำเงินได้…
เกิดเป็นคนจนช่างน่าเศร้า…
ไคลน์ถอนหายใจยาว พลางส่งตัวเองกลับสู่โลกแห่งความจริง
…
วันพุธเช้า
ไคลน์มิได้ตื่นตระหนกจนนอนไม่หลับ แผนตามล่าสาวกเดอะฟูลของชุมนุมแสงเหนือหาได้กระทบกับสภาพจิตใจชายหนุ่ม มันหลับสนิทจนถึงช่วงสาย และตื่นขึ้นมาจับจ่ายซื้ออาหารอย่างมีความสุข เช่นการซื้อพายเดซี่กลับมากินเป็นมื้อเช้า
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พายเดซี่ต้องกินคู่กับชาเย็นจึงจะสมบูรณ์แบบ!
ขณะกำลังลิ้มรสอาหารมื้อเช้า ไคลน์ใช้มือข้างหนึ่งพลิกอ่านหนังสือพิมพ์ตามประสาสุภาพบุรุษชาวโลเอ็น จากนั้นก็พบกว่า บริษัทการค้าเอินส์ได้ลงประกาศโฆษณารับซื้อสินค้าในหน้าห้า หรือก็คือ คืนพรุ่งนี้สองทุ่มตรงจะมีการชุมนุมของเนตรแห่งปัญญา
ในการชุมนุม เราจะประกาศหาซื้อวัตถุดิบโอสถผู้ไร้หน้า แต่แน่นอน สำหรับชุมนุมลับขนาดเล็ก โอกาสสมหวังช่างริบหรี่ อย่างมากก็คงได้วัตถุดิบรองจำพวก กระจุกเส้นผมของนากาทะเลลึก…
ไคลน์เริ่มแจกแจงว่า ตนมีช่องทางรวบรวมวัตถุดิบโอสถใดบ้าง
มือซ้ายถูกเหยียดออกไปเพื่อนับนิ้ว
สำหรับชุมนุมทาโรต์ เรามีเดอะซันจากเมืองเงินพิสุทธิ์ มีแฮงแมนจากทะเล มีจัสติสจากสังคมชนชั้นสูง และมิสเมจิกเชี่ยนจากสังคมชนชั้นกลาง นอกจากนี้ เรามีชุมนุมของเนตรแห่งปัญญา มีมิสบอดี้การ์ดกับมาริค แต่เรายังไม่ควรรีบร้อนติดต่อพวกเขา…
หืม… นั่นสินะ เรายังมีแวมไพร์เอ็มลิน·ไวท์ หมอนั่นเคยบอกว่า ตนสามารถเขียนจดหมายปรึกษากับแวมไพร์ชั้นสูงได้ นี่ล่ะ! หนึ่งในสายสัมพันธ์ทางธุรกิจ!
คิดมาถึงจุดนี้ ไคลน์ตัดสินใจแวะไปยังวิหารฤดูเก็บเกี่ยวเพื่อตามหาเอ็มลิน·ไวท์
แม้จะทราบดีว่า ชุนนุมแสงเหนือไม่มีวันพบเบาะแสหรือสาวมาถึงตน แต่ไคลน์ก็ไม่ทำตัวประมาท มันปรารถนาจะเลื่อนลำดับทันทีเมื่อโอสถนักมายากลย่อยเสร็จสมบูรณ์
สิบโมงเช้า
ณ ถนนกุหลาบ ย่านทิศใต้ของสะพาน
ไคลน์ ผู้มาในชุดกระดุมสองแถวตัวหนาและหมวกทรงกึ่งสูง ย่างกรายเข้าไปในวิหารขนาดเล็กอย่างไม่รีบร้อน
เพียงชำเลืองหนึ่งรอบ มันได้พบกับบิชอปร่างกายใหญ่ยักษ์ หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ และแวมไพร์หนุ่ม เอ็มลิน·ไวท์ ในชุดคลุมยาวสีน้ำตาลของนักบวช
รายหลังกำลังทำความสะอาดตะเกียงด้วยแววตาเหม่อลอย ราวกับขอตายเสียยังดีกว่า
บังเอิญจัง… เดี๋ยวก่อน…!
หรือว่าเอ็มลินจะอาศัยอยู่ในวิหารฤดูเก็บเกี่ยวทั้งวัน โดยกลับบ้านแค่ตอนกลางคืน?
ไคลน์สอดส่องมองหาเก้าอี้นั่ง และพบว่าโถงหลักของโบสถ์มีผู้ศรัทธากำลังสวดมนต์อยู่ราวห้าคน
เมื่อเอ็มลิน·ไวท์มองเห็นชายหนุ่ม มันรีบวางผ้าขี้ริ้วและจ้ำเท้าเข้ามานั่งด้านข้างทันที
สีหน้าแววตาแวมไพร์พลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด มันเชิดคางขึ้นเล็กน้อยพลางกล่าวด้วยอากัปกิริยาแสนทระนงตน
“ลงทุนถ่อมาหาข้าด้วยตัวเองเชียวหรือ? แปลว่าเจ้ากำลังเดือดร้อน และต้องการความช่วยเหลือจากข้าคนนี้ใช่ไหม?”
……………………
ราชันเร้นลับ 407 : ผู้รับใช้ตัวจริง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว
ไคลน์เอียงคอพลางหันไปจ้องเอ็มลิน·ไวท์ และเพื่อไม่เป็นการทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบ ชายหนุ่มจงใจบีบเสียงให้เบาและถาม
“คุณกำลังร้อนเงินใช่ไหม?”
เมื่อถ้อยคำข้างต้นหลุดจากปาก ไคลน์รู้สึกราวกับตนได้ถามอีกฝ่ายด้วยคำพูดยอดนิยมของธุรกิจขายตรงว่า ‘มาทำแอมเวย์กันเถอะ’
เอ็มลินผงะในตอนต้น ก่อนจะตวาดแผ่วเบาด้วยท่าทีหัวเสีย
“ผีดูดเลือดอันสูงส่งอย่างข้าไม่จำเป็นต้องใช้เงินดำรงชีพ!”
ไคลน์ฉีกยิ้มอย่างเหยียดหยัน สายตาชำเลืองหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ร่างยักษ์ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันกลับมาพูดต่อ
“จากข้อมูลของผล ตุ๊กตาในห้องนอนพวกนั้นค่อนข้างมีราคา ไม่สิ เรียกว่าแพงก็ยังได้ ยิ่งถ้ามีขนาดเท่าคนจริงด้วยแล้ว…”
“…” เอ็มลินอ้าปากค้างประหนึ่งต้องการโต้เถียงขาดใจ แต่กลับไม่มีถ้อยคำใดเล็ดลอดออกมาแม้แต่ครึ่งพยางค์
หลังจากเงียบงันสักพัก มันรีบกระแอมในลำคอและแสร้งปั้นหน้าเย็นชาราวกับมิได้รู้สึกรู้สาอะไร
“ต้องการอะไรก็บอกมา ผีดูดเลือดอย่างข้าไม่ชอบเล่นทายปริศนา”
ไคลน์กล่าวโดยไม่หันกลับมามองแวมไพร์หล่อเหลาด้านข้าง
“เพื่อนคนหนึ่งของผมกำลังรวบรวมวัตถุดิบโอสถเพื่อเลื่อนลำดับ แต่ไม่แน่ใจว่าคุณพอจะมีปัญญาหาให้ได้หรือไม่…”
“เจ้ากำลังดูถูกข้า?” เอ็มลิน·ไวท์เปล่งเสียงอย่างโอหัง “ต่อให้ข้าไม่มี แต่ก็สามารถเขียนจดหมายถึงเหล่าผีดูดเลือดชั้นสูงได้อยู่ดี!”
นั่นแหละ ต้องอย่างนั้น…
ไคลน์รีบสาธยายยืดยาว
“เพื่อนของผมต้องการต่อมใต้สมองกลายพันธุ์ของนักล่าพันหน้า รวมถึงเลือดของมันอีกหนึ่งร้อยมิลลิลิตร ตะกอนพลังของเงามืดหนังมนุษย์ และเส้นผมของนากาทะเลลึกห้าเส้น ถ้าหามาได้ ไม่ว่าจะชิ้นใดก็ตาม ผมยินดีจ่ายค่านายหน้าดำเนินการ ยิ่งราคาต่ำ คุณก็ยิ่งได้เงินมาก”
ชายหนุ่มจงใจเพิ่มปริมาณของวัตถุดิบรองเผื่อไว้ในกรณีทำสูญหาย
เหลือดีกว่าขาด…
เมื่อได้ยินถ้อยคำอันไหลลื่นและไร้รอยต่อจากปากอีกฝ่าย เอ็มลิน·ไวท์ทราบทันทีว่า ตนถูกหลอกล่อให้ติดกับดักทางอารมณ์เข้าแล้ว
มันทำใจให้สงบก่อนมอบคำตอบ
“วัตถุดิบวิเศษคิดค่านายหน้าอย่างน้อยหนึ่งร้อยปอนด์ วัตถุดิบเสริมคิดค่านายหน้าอย่างน้อยสิบปอนด์ แม้ว่าข้าจะยังไม่ทราบระดับของวัตถุดิบในรายการข้างต้น แต่มั่นใจว่าไม่มีทางเป็นลำดับต่ำแน่ เพราะไม่อย่างนั้น เจ้าคงไม่ต้องถ่อมาพึ่งพาข้า”
ฉลาดไม่เลว… ไคลน์ยิ้ม
“ตกลง!”
ได้ยินเช่นนั้น เอ็มลินพลันหวาดระแวงทันที มันกังวลว่าตนอาจตั้งราคาต่ำเกินไป
ด้วยเหตุนี้ แวมไพร์หนุ่มรีบเสริม
“มิสเตอร์นักสืบ เจ้าหาวิธีลบการชี้นำทางจิตได้หรือยัง?”
อาศัยจังหวะบิชอปยูทรอฟสกี้กำลังเพ่งสมาธิสวดมนต์หน้าแท่นบูชา ไคลน์หันกลับมาหาแวมไพร์หนุ่ม
“ผมมีวิธีง่ายกว่านั้น”
“วิธีอะไร?” ดวงตาสีแดงสดของเอ็มลินพลันเปล่งปลั่ง
“เอาชนะหลวงพ่อยูทรอฟสกี้และขโมยเทียนไขจิตฝันร้ายมา” ชายหนุ่มยกโค้งมุมปากอย่างมีเลศนัย “เมื่อผนึกกำลังกับพ่อและแม่ของคุณ การเอาชนะบิชอปยูทรอฟสกี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก คิดว่าแวมไพร์สามตนจะล้มอัศวินรุ่งอรุณไม่ได้เชียวหรือ”
มุมปากเอ็มลินพลันกระตุกด้วยสีหน้าหดหู่
“พวกเราพ่ายแพ้หมดท่า… ไม่มีทางเอาชนะได้เลย ไม่ใกล้เคียงสักนิด พ่อและแม่ของข้าเกือบถูกจับขัง เทียนไขจิตฝันร้ายเล่มนั้นพิสดารเกินไป…”
หมายความว่า พวกนายเคยลองแล้ว?
และสามพ่อแม่ลูกเกือบถูกบังคับให้นับถือศาสนาพระแม่ธรณีกันหมด… แวมไพร์สามตนยังเอาชนะบิชอปยูทรอฟสกี้ไม่ได้เลยหรือ การมีเทียนไขจิตฝันร้ายและอุปกรณ์ถ่ายเลือด ช่วยให้เขาทรงพลังถึงขั้นนั้นเชียว?
หรือแวมไพร์อ่อนแอเกินไป? แต่จากข้อมูลของเรา เผ่าพันธุ์แวมไพร์ค่อนข้างแข็งแกร่งในการต่อสู้…
“ถ้าอย่างนั้น คุณควรเขียนจดหมายแจ้งกับแวมไพร์ชนชั้นสูง พวกเขาคงมีบุคคลทรงพลังมากพอจะช่วยปราบหลวงพ่อ”
เอ็มลินส่ายหัวด้วยใบหน้าซังกะตาย
“พวกท่านปฏิเสธ”
มันหันมาจ้องไคลน์ด้วยสายตาคาดหวัง
“เจ้าเอาชนะหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ได้ไหม? เพื่อนของเจ้าก็ได้!”
หลังจากมีเข็มกลัดสุริยัน ขวดพิษชีวภาพ และย่อยโอสถนักมายากลใกล้สมบูรณ์ ฉันเคยมั่นใจว่า ตัวเองในร่างวิญญาณคงเอาชนะหลวงพ่อได้ไม่ยากเย็น แต่หลังจากได้ฟังคำอธิบายเมื่อครู่ของนาย ดูเหมือนจะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว…
เทียนไขจิตฝันร้ายทรงพลังถึงขั้นนั้นเชียว?
แถมยังฟังดูชนะทางร่างจิตของเราด้วย…
ไคลน์ส่ายหัว
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง”
มันรีบเบี่ยงประเด็น
“แล้วทำไมชนชั้นสูงของผีดูดเลือดถึงตอบปฏิเสธ? งานแบบนี้ไม่น่าจะยากไม่ใช่หรือ”
ใบหน้าเอ็มลินพลันอึมครึม
“พวกท่านเล่าว่า หลวงพ่อยูทรอฟสกี้เป็น ‘ผู้รับใช้’ ของพระแม่ธรณี จึงไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น พวกท่านกำลังศึกษาวิธีลบการชี้นำทางจิตออกจากวิญญาณ ตัวอย่างเช่น บางท่านได้ตระเวนไปตามทะเลหมอก ทะเลโซเนีย และทะเลคลั่ง เพื่อตามหาเหล่ามังกรซึ่งตัดขาดตัวเองจากโลกไปนานแล้ว”
แวมไพร์หนุ่มเสริมด้วยสีหน้าน่าสมเพช
“แต่กว่าพวกท่านจะหามังกรพลังจิตพบ ตัวข้าคงกลายเป็นสาวกตัวยงของพระแม่ธรณีเรียบร้อยแล้ว แม้กระทั่งตอนนี้ ข้าเริ่มชื่นชอบชีวิตในวิหารฤดูเก็บเกี่ยวมากขึ้นทีละนิด”
ผู้รับใช้พระแม่ธรณี? หลวงพ่อเป็นถึงผู้รับใช้ของพระแม่ธรณีเชียว? เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมีสมบัติวิเศษมากมายนัก… นั่นสินะ จากโจรสลัดทรงพลังและป่าเถื่อน การย้ายมานับถือพระแม่ธรณีคงไม่ใช่เรื่องง่าย…
ไคลน์ถอนหายใจยาว ขณะเดียวกันก็เริ่มรู้สึกขนลุก
ย้อนกลับไปไม่กี่สัปดาห์ก่อน มันเคยเกือบจะตอบตกลงคำขอร้องของเอ็มลินในเรื่อง ร่วมมือกันจัดการหลวงพ่อยูทรอฟสกี้เพื่อปล่อยแวมไพร์หนุ่มกลายเป็นอิสระ!
ถ้าเราพ่ายแพ้ คงไม่แคล้วถูกขังไว้ในห้องใต้ดินและบังคับให้สำนึกบาป แต่ถ้าเราชนะ คงเป็นการล่วงเกินเทพเพิ่มอีกหนึ่งองค์… ไม่สิ เราไม่มีทางชนะแต่แรกแล้ว การเป็นผู้รับใช้ของพระแม่ธรณี เขาคนนั้นต้องมีไพ่ตายเหนือความคาดหมายซ่อนอยู่ หากไม่เพราะหลวงพ่อช่วยสะกดตัวเองในอดีตเพื่อให้เราทำภารกิจได้ราบรื่น การเอาชนะตัวเขาในอดีตคงไม่มีวันเกิดขึ้น…
ไคลน์ฉลาดพอจะไม่คุยต่อในเรื่องเดิม เพียงชำเลืองกลับไปมองหลวงพ่อร่างยักษ์และเปล่งเสียงแผ่วเบา
“บางที สมาคมแปรจิตอาจช่วยคุณได้”
หรือไม่ก็รอให้มิสจัสติสของฉันกลายเป็นนักจิตบำบัดเต็มตัว แต่กว่าจะถึงตอนนั้น นายก็คงสรรเสริญพระแม่เช้าเย็นเรียบร้อยแล้ว…
สำหรับไคลน์ คงเป็นการดีถ้าเอ็มลินเข้าร่วมสมาคมแปรจิต เผื่อในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นกับมิสจัสติส เธอจะได้มีคนคอยช่วยเหลือได้ทันท่วงที เพราะตัวไคลน์ ผู้ต้องคอยเป็นทั้งเดอะฟูล ผู้รับใช้ และสาวกตัวยง คงไม่สะดวกออกหน้าตลอดเวลา
“สมาคมแปรจิต? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” เอ็มลินไวท์ส่ายหัวอย่างเหยียดหยัน “คงเป็นองค์กรใหม่เพิ่งสร้างกระมัง”
“ผิดแล้ว พวกเขาก่อตั้งมานานกว่าสองร้อยปีเป็นอย่างน้อย” ไคลน์ปฏิเสธเสียงแข็ง
“สำหรับผีดูดเลือดอย่างพวกข้า ระยะเวลาเพียงสองร้อยปีนั้นแสนสั้น ไม่ต่างอะไรกับเพิ่งก่อตั้ง ยิ่งถ้าเป็นผีดูดเลือดชั้นสูง การนอนหลับหนึ่งงีบก็กินเวลานานนับร้อยปีแล้ว”
เอ็มลินกล่าวอย่างภาคภูมิ
โดยไม่ปล่อยให้ไคลน์พูด มันกระแอมและบีบเสียงให้เบาลง
“แล้วเจ้ารู้วิธีติดต่อพวกเขาไหม”
ไคลน์กำลังจะตอบกลับไปว่า : ในเมืองทิงเก็นจะมีจิตแพทย์ชื่อดักซ์เตอร์·กูเดเลียน ชายคนนั้นคือสมาชิกสมาคมแปรจิต
แต่มันตัดสินใจกลืนประโยคดังกล่าวลงคอ
ขณะกำลังถูกพระผู้สร้างแท้จริงจับตามองทุกฝีก้าวเช่นนี้ เราไม่ควรพาดพิงไปถึงเมืองทิงเก็นด้วยประการทั้งปวง ชุมนุมแสงเหนือล้วนเต็มไปด้วยคนบ้า หากข่าวรั่วไหล พวกมันไม่มีทางปล่อยเบ็นสันกับเมลิสซ่าแน่นอน…
ไคลน์ส่ายหัว
“แค่เคยได้ยินชื่อ แล้วทำไมคุณไม่ลองเขียนจดหมายถามจากผีดูดเลือดชั้นสูงดูล่ะ”
เอ็มลิน·ไวท์แสดงสีหน้าผิดหวังชัดเจน ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยการหันมาจ้องไคลน์และกล่าวด้วยท่าทีเหยียดหยัน
“ข้าสงสัยว่า ‘เพื่อน’ ผู้กำลังจะเลื่อนลำดับพลัง แท้จริงแล้วคือตัวเจ้าเองมากกว่า”
ไคลน์มองตรงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ปิ๊งป่อง! ถูกต้อง เดาเก่งมาก”
“…” เอ็มลินพลันผงะ มันไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองในลักษณะนี้
ไคลน์หัวเราะโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“มิสเตอร์ไวท์ ผมคิดว่าคุณควรเลิกเป็นนักปรุงยาและเปลี่ยนไปเล่นละครเวทีแทน”
เอ็มลินขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเชิดคางขึ้นและตอบกลับอย่างโอหัง
“ข้าคือผีดูดเลือดผู้สูงส่งและมีเกียรติ ไม่มีทางหากินกับความหล่อเหลาของตัวเองแน่!”
หือ… หมอนี่คิดว่าเรากำลังชื่นชมหน้าตา?
ไคลน์ฉีกยิ้มกว้างพลางหันกลับมาจ้องแวมไพร์เอ็มลินอย่างเชื่องช้า
“ผิดแล้ว ผมกำลังหมายถึง คุณมีพรสวรรค์ในการทำให้คนอื่นขำจนท้องแข็ง”
ขณะเอ็มลินกำลังอ้าปากค้าง ไคลน์ลุกยืนและเดินแทรกตัวออกจากแถวเก้าอี้ ตามด้วยการกล่าวส่งท้าย
“อย่าลืมหาวัตถุดิบให้ผมด้วยล่ะ”
…
ท่าเรือพริสต์ ถนนโอ๊กขาว
ฟอร์ส·วอลล์โดยสารรถจักรไอน้ำรอบเช้าเพื่อเดินทางมายังท่าเรือสำคัญอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรโลเอ็น โดยก่อนหน้านั้น เธอได้ซื้อบัตรโดยสารเรือขากลับเบ็คลันด์ ซึ่งมีราคาค่อนข้างต่ำ เตรียมไว้ล่วงหน้า
เมื่อกลิ่นของทะเลกระทบปลายจมูก หญิงสาวมองเห็นคนงานท่าเรือกำลังเดินขวักไขว่ในอากัปกิริยารีบร้อน
ในช่วงกลางฤดูกาล ท่าเรือมักเนืองแน่นไปด้วยคนงานชั่วคราว ผู้มีค่าแรงค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับแรงงานชนิดอื่น ส่งผลให้คนจนในเขตตะวันออกของเบ็คลันด์บางกลุ่ม ยอมเดินเท้าเป็นระยะทางไกลกว่าหกสิบกิโลเมตรเพื่อมาให้ถึงท่าเรือพริสต์ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวง เป็นเช่นเดียวกันกับฤดูกาลเก็บเกี่ยวต้นฮ็อปส์
ถนนกว้างกว่าเบ็คลันด์เล็กน้อย อากาศดีกว่ามาก แต่บ้านเมืองสกปรกพอสมควร…
ฟอร์สกวาดสายตามองจนกระทั่งพบป้ายสมาคมชาวประมงบนอาคารหลังเก่า
โดยไม่ยากลำบาก เธอพบโดเรียน·เกรย์ภายในสำนักงาน
สุภาพบุรุษคนดังกล่าวมีส่วนสูงปานกลาง ท่อนแขนใหญ่ เส้นผมถูกจัดทรงและหวีเรียบ แตกต่างจากสมาชิกส่วนใหญ่ในสมาคม ซึ่งจะมีทรงผมไม่ต่างจากรังนก
เขาคงเป็นคนของตระกูลอับราฮัม…
หลังจากอธิบายจุดประสงค์จบ ฟอร์สยื่นจดหมายสั่งเสียของลอวเรนซ์ พร้อมกับสมุดบันทึกและตะกอนพลังรูปทรงคล้ายเพชรให้อีกฝ่าย
โดเรียนรับทุกสิ่งไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ก่อนจะเปิดจดหมายสั่งเสียเป็นอันดับแรก
มันตั้งใจอ่านจนจบ เงยหน้าขึ้น และจ้องสำรวจฟอร์สหัวจรดเท้าด้วยดวงตาสีฟ้าคราม
“ความจริงใจและความซื่อสัตย์ของคุณช่างน่ายกย่อง มิสวอลล์ ผมจะไม่ลืมว่าคุณเคยยื่นมือช่วยเหลือลาโบโร่และอาริสา ได้โปรดให้ผมได้เลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ” ขณะตอบ ฟอร์สครุ่นคิดเล็กน้อยว่า เธอจะพลาดรอบเรือโดยสารขากลับเบ็คลันด์หรือไม่
โดเรียนจัดแจงให้ฟอร์สนั่งคอยให้ห้องพักรับรองแขก พร้อมกับเตรียมชาดำ ของว่าง และนิตยสารให้อ่านเล่นฆ่าเวลา
ถัดจากนั้น มันเดินกลับเข้าห้องทำงานด้วยสีหน้าเคลือบแคลง ก่อนจะหยิบบางสิ่งออกจากตู้เก็บของ
ลูกแก้วคริสตัล
ลูกแก้วดูดวง ซึ่งกำลังส่องแสงอ่อนโยน
……………………
ราชันเร้นลับ 408 : สมมติฐานเลื่อนลอย
โดย
Ink Stone_Fantasy
โดเรียนขึงผ้าม่านมิดชิด สร้างบรรยากาศมืดมิดให้ห้องทำงานของตน ก่อนจะนั่งลง
มือซ้ายกำลังถือลูกแก้วใส พลางใช้ปลายนิ้วมือขวาลูบไล้อย่างอ่อนโยนบนผิวด้านบน ปากขยับพึมพำบางสิ่งแผ่วเบา
แสงจากลูกแก้วคริสตัลทวีความเจิดจ้าทีละนิด จนกระทั่งผิวแก้วเริ่มปรากฏภาพดวงดาวระยิบระยับอย่างคมชัด
อุปกรณ์ชนิดนี้มีไว้ทำนายการเคลื่อนตัวของโชคชะตา การเคลื่อนตัวของกลุ่มดวงดาว จนออกมาเป็นข้อมูลในช่วงชีวิตหนึ่งของเป้าหมายอย่างคร่าว ผลลัพธ์จะแสดงออกมาบนผิวลูกแก้วในเชิงสัญลักษณ์จากโลกวิญญาณ
โดเรียน·เกรย์หยุดพิธีกรรมและจ้องมอง
เธอไม่ได้โกหก… โชคชะตาของเธอตรงตามคำบอกเล่าทุกประการ…
ไม่เพียงเท่านั้น ดวงดาวยังบอกด้วยว่า เธอคือผู้เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตระกูลอับราฮัมอย่างใหญ่หลวง…
ในด้านดี…
โดเรียนลุกยืนพลางวางแผนในใจ
…
มื้อกลางวัน ณ ร้านอาหารวิหคสี่ปีก
ด้านหน้าฟอร์สคือจานปลาหั่นพอดีคำ รอบจานมีก้านโรสแมรีถูกโรยในปริมาณเหมาะสม หนังปลามีรสสัมผัสกรุบกรอบ เนื้อนุ่มละมุนและสดใหญ่ แต่ปัญหาเดียวของอาหารจานนี้คือ รสนิยมทางศิลปะอันผิดแผกพิสดารของพ่อครัว หัวปลาถูกตั้งวางบนจานโดยไม่แคะลูกตาออก ราวกับกำลังจ้องคนกินและกล่าวอย่างโกรธแค้นว่า ‘กินฉันทำไม’
ฟอร์สใช้ส้อมดันให้หัวปลานอนลง ตามด้วยการตัดหางมาวางปิดลูกตาไว้เพื่อมิให้เห็นภาพชวนพะอืดพะอม
ขณะเดียวกัน โดเรียน·เกรย์กำลังขยับมืดส้อมอย่างชำนาญพลางส่งเสียงถามอย่างเป็นกันเอง
“อาริสาก็เป็นผู้คลั่งไคล้ศาสตร์เร้นลับเหมือนกัน เธอศึกษาลงลึกพอสมควร… หลังจากเธอตายไป คุณได้พบหนังสือ สมุดบันทึก หรือกระดาษจดอะไรทำนองนั้นบ้างไหม”
“มีหนังสือกับสมุดบันทึกค่ะ” ฟอร์สตอบซื่อตรง “หลังจากได้อ่าน ดิฉันก็เริ่มชื่นชอบศาสตร์เร้นลับขึ้นมาบ้าง แต่ไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาส่วนใหญ่ภายในหนังสือได้”
โดยเฉพาะหนังสือ ‘ประสบการณ์โลกวิญญาณ’ ไม่เพียงเนื้อหาจะเพ้อฝัน ขาดความสมเหตุสมผล ยุ่งเหยิง และซับซ้อน จนทำให้เราไม่สามารถตีความได้…
แม้จะเพ่งสมาธิอ่านด้วยการเข้าฌานจนจิตสงบนิ่งแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีทางจดจำเนื้อหาเมื่อครู่ได้เลย เมื่ออ่านเสร็จจะหลงลืมเกือบทั้งหมดในทันที ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงการทำความเข้าใจ… ฟอร์สเสริม
โดเรียนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้น คุณสามารถปรึกษาผมเกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับได้ทุกเมื่อ ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้หลงใหลศาสตร์เร้นลับเช่นกัน และค่อนข้างชำนาญพอตัว”
“จริงหรือคะ? เยี่ยมเลย!”
ฟอร์สแสดงอาการตกใจพองาม
เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงความสนใจ โดเรียนเริ่มพาบทสนทนาเข้าศาสตร์เร้นลับทันที มีทั้งการพูดถึงโลกวิญญาณ ประสบการณ์ขณะเข้าฌานของตน และสิ่งอื่น
มันเตรียมตัวพูดสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ก่อนจะเดินเข้ามาในร้านเสียอีก โดเรียนจงใจเลือกมุมอับสายตาและห่างไกลจากโต๊ะอื่น จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครได้ยินบทสนทนา
เมื่อเสร็จมื้ออาหาร โดเรียนแนะนำ
“ผมเคยกังวลว่าจะไม่สามารถตอบแทนน้ำใจของคุณได้ แต่ตอนนี้คงไม่ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว ฮะฮะ! ถึงลอว์เรนซ์จะตอบแทนเงินให้คุณบางส่วนก็ตาม แต่ผมเชื่อว่านั่นยังไม่เพียงพอต่อความใจกว้างและซื่อสัตย์ของคุณ มิสวอลล์ นับแต่นี้ไป คุณสามารถเขียนจดหมายปรึกษาผมเกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับได้ทุกเมื่อ ผมจะตอบแทนอย่างสุดฝีมือ”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ” ฟอร์สไม่ปฏิเสธ
จากบทสนทนาเมื่อครู่ หญิงสาวสามารถยืนยันได้ว่า โดเรียน·เกรย์มีความรู้ทางศาสตร์เร้นลับในระดับเชิงลึก พื้นฐานแน่น และอธิบายทุกสิ่งจากรากเหง้าได้อย่างไม่ติดขัด ทำตัวสมกับเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลเก่าแก่ของโลก อับราฮัม
พื้นฐานด้านศาสตร์เร้นลับถือเป็นจุดบกพร่องของฟอร์สมานาน แม้ว่าเธอพอจะมีข้อมูลด้านศาสตร์เร้นลับอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดเกิดจากการอ่านหนังสือเฉพาะทาง หรือไม่ก็เป็นความรู้จากชุมนุมลับแบบไม่ปะติดปะต่อ เรียกได้ว่าขาดพื้นฐานโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถประกอบทฤษฎีใหม่ได้ด้วยตัวเอง
เมื่อได้ยินคำตอบ โดเรียนยกแก้วในมือ
“ผมได้แต่หวังว่า สักวันหนึ่ง พวกเราจะได้ครอบครองพลังพิเศษเหล่านั้นไปด้วยกัน”
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตเหนือ มหาวิหารแซมมัว
คนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินลงมายังห้องใต้ดินของตัวอาคาร ทั้งหมดสวมเสื้อกันลมสีดำและถุงมือสีแดงทั้งสองข้าง หัวหน้ากลุ่มเป็นสุภาพบุรุษในวัยสี่สิบกว่า ใบหน้าอ่อนเยาว์ ผมค่อนข้างยาว
ด้วยหมวกทรงสูงหรูหราเหนือศีรษะ มันย่ำเท้าเดินตามลูกน้องเข้าไปในห้องปิดตายลักษณะค่อนข้างกว้าง
ด้านในเต็มไปด้วยชั้นหนังสือ มีกองเอกสารถูกวางสอดแทรกเป็นระยะ บนเก้าอี้พนักสูงมีสตรีเลอโฉมผู้หนึ่งกำลังนั่งเอนกายอย่างสง่างาม เธอปัดแก้มและหางคิ้วด้วยสีฟ้าครามจนเด่นสะดุดตา สวมชุดคลุมสีดำยาว
เธอไม่ลุกขึ้นหรือทักทายผู้ใด
ไม่ใช่ใครนอกจากอดีตผู้สื่อวิญญาณ ดาลีย์
“โซสต์ เอกสารตามความประสงค์ของคุณอยู่ทางนั้น” ดาลีย์ใช้คางชี้ไปทางโต๊ะข้างประตูหน้าห้อง
ชายวัยกลางคน โซสต์ ยิ้มรับ
“ดาลีย์ ใครเป็นคนส่งคุณมาเฝ้าห้องนี้กัน คนมีความสามารถเช่นคุณควรได้จับงานใหญ่ไม่ใช่หรือ”
“ผิดแล้ว นี่คือความต้องการของตัวฉันเอง ชอบสงบจิตใจด้วยการอ่านเอกสารมากกว่า” ดาลีย์ฉีกยิ้ม “ฉันทำไปเพื่ออนาคต มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตอ่อนแอและเปราะบาง ต้องการเวลาพักใจหลังจากถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก ไม่มีใครใช้ชีวิตบนห้วงความสุข สมหวัง และอิ่มเอมใจได้ตลอดไป”
“…ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ ช่างน่าเสียดาย คุณไม่เคยเปิดใจให้ผมเลย” โซสต์ฉีกยิ้มกว้าง
ดาลีย์ส่ายหัว
“คุณไม่ได้เข้าใจอะไรฉันเลยสักนิด รสนิยมของฉันไปไกลกว่าจินตนาการคุณมากแล้ว เว้นเสียแต่คุณจะแปลงกายเป็นศพเดินดิน เผยกระดูกผุกร่อนสีขาว และมีหนอนชอนไชตามจมูกปาก นั่นอาจทำให้ฉันเกิดความสนใจขึ้นมาได้บ้าง”
เมื่อกล่าวจบ หญิงสาวหันไปมอง ‘ถุงมือแดง’ ด้านหลังโซสต์
“เลียวนาร์ด ทำไมคุณถึงเลือกเข้าหน่วยของเขา? ชายคนนี้ทั้งอวดดี โอหัง และตาขาว เอาแต่จินตนาการภาพหญิงสาวคลานขึ้นมาหาบนเตียงด้วยท่าทางเซ็กซี่ หืม หรือนี่คือลักษณะพิเศษของฝันร้าย..”
เมื่อคำว่า ‘ฝันร้าย’ หลุดจากปาก ดาลีย์พลันชะงักอย่างไม่มีเหตุผล
เลียวนาร์ดกล่าวอย่างจนปัญญา
“มาดามดาลีย์ เจ้าคุณท่านซีสม่าเป็นผู้จัดสรรให้ผมเข้าร่วมหน่วยนี้”
“อย่างนั้นเองหรือ… แปลว่าคุณไม่ปฏิเสธคำพูดของฉันใช่ไหม เรื่องอุปนิสัยของโซสต์”
ดาลีย์กล่าวยียวน
เลียวนาร์ดผงะจนลืมแก้ต่าง
โชคยังดี ผู้ปลอบวิญญาณ โซสต์ มิได้ถือสากับคำพูดดาลีย์ เพียงเดินตรงไปทางโต๊ะทำงานและหยิบเอกสารขึ้นมาหนึ่งปึก มันใช้ปลายนิ้วพลิกอ่านทีละหน้า ด้านเลียวนาร์ดพร้อมด้วยสมาชิกคนอื่นต่างก็เดินตามไปยืนล้อมวงและทำแบบเดียวกัน
หลังจากภายในต้องมีแต่เสียงพลิกกระดาษสักพัก โซสต์ซักถามอย่างผ่อนคลาย
“เบ็คลันด์ช่วงนี้มีข่าวใหม่น่าสนใจบ้างไหม? ขอแบบน่าจับตามองเป็นพิเศษ”
หางตาดาลีย์กระตุกเล็กน้อย เธอก้มหน้าครุ่นคิดสักพักก่อนมอบคำตอบ
“สายข่าวของเรารายงานเข้ามาว่า คนกลุ่มหนึ่งกำลังพยายามตามล่าตัวสาวกของเดอะฟูล ผู้มีชื่อเต็มว่า…”
ดาลีย์ท่องชื่อเต็มของเดอะฟูลเป็นภาษาโลเอ็นให้ถุงมือแดงฟัง พลางอมยิ้ม
“ดูเหมือนพวกเราจะได้เป็นประจักษ์พยานการถือกำเนิดของลัทธิมารใหม่ หรือไม่ก็เป็นสหายเก่าในอดีตกลับชาติมาเกิด โซสต์ คุณคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้”
โซสต์ก้มหน้าตรึกตรองจริงจัง
“ไม่เลย ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ทันใดนั้น เลียวนาร์ดเงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือและกล่าวติดตลก
“จะเกี่ยวกับพิธีกรรมไพ่ทาโรต์ทั้งสองคดีในความดูแลของพวกเราไหม? เดอะฟูลคือไพ่หมายเลขศูนย์ ถือเป็นไพ่ใบแรกในสำรับหลัก และยังมีความสำคัญเป็นอย่างมากในศาสตร์การดูดวง”
ดาลีย์พลันชะงัก ตามด้วยการพยักหน้ารับในเชิงเห็นพ้อง
“ทฤษฎีน่าสนใจ”
“แต่ขาดหลักฐานรองรับ เป็นการเดาส่งแบบเลื่อนลอย เรียกว่าอนุมานยังไม่ได้เลย” โซสต์ปัดตกแนวคิดดังกล่าว
เลียวนาร์ดเผยรอยยิ้มมุมปาก
“จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวไว้ว่า จงตั้งสมมติฐานเลื่อนลอยขึ้นมาก่อน จากนั้นค่อยหาหลักฐานกลบเกลื่อนให้สมจริงในภายหลัง”
…
เขตฮิลสตัน สโมสรครักซ์
หลังออกจากวิหารฤดูเก็บเกี่ยว ไคลน์ย่างกรายเข้าไปในตัวอาคารหรูหรา พร้อมกันนั้น ชายหนุ่มสังเกตเห็นครูสอนขี่ม้า ทาลิม·ดูมงต์ กำลังนั่งในมุมเปลี่ยวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เมื่อตระหนักว่ายังเหลือเวลารับประทานอาหารกลางวันอีกสักพัก ไคลน์เดินเข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ทิวาสวัสดิ์ ทาลิม คุณมีเรื่องหนักใจอีกแล้วหรือ”
ทาลิมสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบหันกลับมาส่ายศีรษะปฏิเสธ
“ป…เปล่า!”
เขาทำเรื่องผิดศีลธรรมลงไปหรือไง?
ไคลน์พึมพำ นั่งลง และยิ้ม
“น่าเสียดาย ไมค์กับอลันไม่อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นพวกเราคงมีช่วงบ่ายอันยอดเยี่ยม”
ทาลิมยิ้ม
“พวกเขางานยุ่งมาก แทบไม่มีเวลาว่าง”
โดยไม่เปิดโอกาสให้ไคลน์พูด ทาลิมกวาดสายตารอบตัวหนึ่งหนและบีบเสียงให้แผ่ว
“เชอร์ล็อก บุคคลสำคัญระดับอาณาจักรคนหนึ่งต้องการพบคุณหลังจากเขาได้ยินผลงานในอดีต… สนใจจะรับงานไหม? พูดตามตรง ผมอิจฉามาก โอกาสแบบนี้คงหาไม่ได้อีกแล้ว”
เราเคยมีผลงานอะไรในอดีตด้วยหรือ?
ช่วยมาดามแมรีจับชู้คาหนังคาเขา?
ช่วยคุ้มกันไมค์ขณะแวะเข้าซ่อง?
หรือแม้แต่การเดินทางไปเขตตะวันออกสามหน เราก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน…
อย่างมาก บุคคลสำคัญดังกล่าวอาจสืบทราบว่า เรามีส่วนในการไขคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง หรือไม่ก็มอบคำแนะนำจนศัลยแพทย์อลันหลุดพ้นจากโชคร้ายและฝันร้าย…
ไคลน์ขมวดคิ้วสับสน
แต่หลังจากประมวลผลสักพัก มันเริ่มมองเห็นความเป็นมา
บางที บุคคลสำคัญอาจเพียงถามทาลิมว่า พอจะรู้จักนักสืบมีฝีมือบ้างไหม และทาลิมก็ไม่รู้จักใครเลยนอกจากเรา จึงทำการสร้างเกียรติประวัติให้เราอย่างยิ่งใหญ่ เช่นการเป็นนักสืบสมองเพชรผู้คอยบงการทีมนักสืบจนประสบความสำเร็จในการตามล่าฆาตกรต่อเนื่อง หรือ การเอะใจว่าสามีของมาดามแมรี่และชู้พยายามยักยอกเงินจากบริษัทโคอิม จึงลงมือสืบจนได้หลักฐานเด็ด…
ในสายตาบุคคลสำคัญ เราคงกลายเป็นนักสืบระดับพระกาฬไปแล้ว… ไคลน์ถอนหายใจยาว
ชายหนุ่มแสดงสีหน้าหนักใจสักพัก จึงค่อยมอบคำตอบ
“ต้องขอโทษด้วย ทาลิม นักสืบทุกคนมีกฎเหล็กของตัวเอง ผมก็เช่นกัน กฎของผมคือการไม่ยุ่งเกี่ยวกับบุคคลสำคัญโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น การกระทบกระทั่งเพียงเล็กน้อยอาจนำพาหายนะมาถึงตัวผม ผมไม่ต้องการเลือกข้าง จึงไม่ต้องการพบบุคคลสำคัญของคุณ”
นี่มิใช่ข้ออ้างใหม่ แต่เป็นกฎของไคลน์ก่อนตัดสินใจทำงานนักสืบเสียอีก
ชายหนุ่มไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับสังคมชนชั้นสูงในชื่อเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ ฉะนั้น ก่อนจะกลายเป็น ‘ผู้ไร้หน้า’ ไคลน์ตัดสินใจปฏิเสธทุกความเสี่ยงโดยไม่ลังเล
“…สมเหตุสมผลมาก” ทาลิมถอนหายใจยาว พลางเล่าต่อ “บุคคลสำคัญคาดเดาการตอบสนองเช่นนี้ไว้แล้ว และยังบอกว่า หากนักสืบคนใดตอบปฏิเสธด้วยเหตุผลข้างต้น หมายความว่าเขาเป็นยอดนักสืบ
“ด้วยเหตุนี้ บุคคลสำคัญยังคงยืนกรานจะให้คุณช่วยเหลือ โดยสัญญาว่าจะไม่ลากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแวดวงชนชั้นสูง”
“เป็นงานแบบไหน” ไคลน์ซักถาม
ทาลิมยิ้ม
“ยังจำคดีของคาพินได้ไหม ผมได้ยินคุยเคยคุยกับไมค์ บุคคลสำคัญสนใจคดีนั้นมาก และยังสนใจองค์กรผู้ใช้สัญลักษณ์ไพ่ทาโรต์เป็นพิเศษ เขาระบุอย่างชัดเจนว่า ไพ่ทาโรต์มิได้ถูกนำมาใช้ในคดีคาพินเป็นครั้งแรก ความต้องการของเขาคือ ให้คุณช่วยสืบหาเบาะแสขององค์กรลับข้างต้น”
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น