Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 393-404
ราชันเร้นลับ 393 : หนอนกาลเวลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากเหม่อลอยไปพักหนึ่ง ออเดรย์เริ่มเข้าใจความหมายของเดอะซัน :
มิสเตอร์ฟูลส่งเทวทูตของท่านมาช่วยขจัดร่างแยกของอามุนด์!
เทวทูต!
มิสเตอร์ฟูลส่งเทวทูตเชียวนะ!
ท่านมีเทวทูตคอยรับใช้ข้างกาย!
เทวทูตต้องมีพลังอย่างน้อยก็ลำดับ 2…
แม้ว่าเธอจะคาดเดาเรื่องนี้ได้นานแล้ว แต่นี่เป็นหนแรก กับการได้พิสูจน์ว่าเรื่องดังกล่าวคือความจริง!
และมีเพียงทวยเทพเท่านั้น จึงจะออกคำสั่งกับตัวตนอย่างเทวทูตได้!
ดวงตาออเดรย์พลันเปล่งปลั่ง เธออยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าเทวทูตของมิสเตอร์ฟูลมีรูปลักษณ์เป็นเช่นไร
เราจะมีโอกาสได้เห็นบ้างไหมนะ…
เด็กสาวหันไปจ้องเก้าอี้ตำแหน่งประธานด้วยสีหน้าชื่นชมแกมเทิดทูน
ขณะเดียวกัน สัมผัสวิญญาณของเธอสังเกตเห็นว่าเดอะเวิร์ล ผู้เงียบขรึมและอึมครึมมาตลอดการชุมนุม เริ่มแสดงท่าทีตกตะลึงออกมาบ้างแล้ว สิ่งนี้ทำให้ออเดรย์มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ทางด้านฟอร์สกำลังหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อน เธอเพียงขอร้องให้มิสเตอร์ฟูลช่วยปิดกั้นการทำนายจากลอว์เรนซ์ แต่ท่านกลับส่งอัครเทวทูตผู้มีปีกสีดำสิงสองคู่มาโอบล้อมวิญญาณของเธอด้วยปีกยักษ์
เทวทูตจริงด้วย… ปีกดำสิบสองคู่…
เป็นกิจวัตรของท่านหรอกหรือ กับการส่งตัวตนระดับเทวทูตลงมาช่วยเหลือสมาชิกชุมนุมทาโรต์ในเรื่องเล็กน้อย…
ทันใดนั้น ฟอร์สพลันไม่กล้าจ้องมองสุภาพบุรุษบนเก้าอี้ประธานใหญ่
แม้ว่าเธอจะอยู่เพียงลำดับ 9 และยังไม่มีความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับมากมายอะไรนัก แต่หญิงสาวก็คลุกคลีกับวงการผู้วิเศษและชุมนุมลับมานานกว่าสามปี ย่อมต้องทราบข้อมูลสำคัญบางเรื่อง แม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
จากบรรดาข้อมูลทั้งหมด กฎข้อสำคัญเหนืออื่นใดก็คือ :
ห้ามจ้องมองเทพโดยตรง!
ในอดีต ฟอร์สเคยมองว่าเรื่องนี้ค่อนข้างไกลตัว จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่ในวินาทีปัจจุบัน เธอพลันมั่นใจว่าวลีดังกล่าวต้องเป็นความจริงแน่นอน และเป็นสัจธรรมอันเกิดจากการหลั่งเลือดมานับไม่ถ้วน!
เทวทูต? มิสเตอร์ฟูลมีเทวทูตคอยรับใช้!
แฮงแมนสัมผัสถึงคลื่นความกลัวและความตื่นเต้นกำลังซัดกระแทกร่างตน ลำตัวของมันกำลังสั่นเทาอย่างมิอาจยับยั้ง
แต่ไหนแต่ไร อัลเจอร์จะสวดภาวนาถึงพระนามเต็มอันยิ่งใหญ่ของมิสเตอร์ฟูลด้วยท่าทีนอบน้อมเสมอ ประหนึ่งอีกฝ่ายเป็นทวยเทพตัวจริง แต่การขาดประจักษ์หลักฐานได้ทำให้ความเคลือบแคลงภายในใจไม่ถูกขจัดโดยสมบูรณ์ ทว่า ในวินาทีปัจจุบัน ประจักษ์หลักฐานได้ปรากฏต่อหน้ามันแล้ว!
มิสเตอร์ฟูลสามารถบงการเทวทูต!
ลำพังตัวตนของเทวทูตเพียงอย่างเดียว ได้ช่วยขจัดข้อสงสัยหลายเรื่องในพริบตา…
เหนือสิ่งอื่นใด สัญลักษณ์ของเทวทูตคือการปกป้องและยับยั้ง… มิสเตอร์ฟูลมิได้ปราศจากอิทธิพลบนโลกจริงโดยสิ้นเชิง… ฉะนั้น ถึงท่านจะไม่มีผู้รับใช้ แต่ก็ยังสามารถสำแดงฤทธิ์เดชบนโลกจริงได้ประมาณหนึ่ง…
อัลเจอร์กำลังเกิดมโนภาพพรั่งพรู เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นกลางหน้าผากเมื่อหวนนึกถึงพฤติกรรมอันจาบจ้วงของตนในอดีต ขณะเดียวกันก็มองเห็นอนาคตแสนเจิดจรัสในวันข้างหน้า
ถัดมา มันเริ่มตั้งสติและกลับมาวิเคราะห์คำพูดของเดอะซันอย่างละเอียด
มิสเตอร์ฟูลมิได้ส่งเทวทูตลงไปแก้ปัญหาโดยตรง แต่ต้องให้เดอะซันประกอบพิธีกรรมเป็นสื่อกลางเสียก่อน ท่านจึงจะมีอำนาจสำหรับจัดการร่างแยกของอามุนด์…
หืม นับเป็นวิธีค่อนข้างอ้อมค้อม…
หมายความว่า หากมิสเตอร์ฟูลต้องการแสดงอิทธิฤทธิ์บนโลกจริง ท่านต้องฝ่าด่านห้วงมิติอันซับซ้อนหลายชั้น? แต่เรื่องนี้ก็สอดคล้องกับข้อสันนิษฐานในอดีตของเรา ท่านคงกำลังอยู่ในภาวะถูกพันธนาการ…
หรือบางที อาจเป็นเพราะความพิเศษของดินแดนเทพทอดทิ้ง ท่านจึงต้องสิ้นเปลืองขั้นตอนมากกว่าปรกติ?
และเหตุผลทำให้ท่านไม่สำแดงอิทธิฤทธิ์ของเทวทูตก่อนหน้า คงเป็นเพราะว่าเพิ่งได้รับพลังบางส่วนกลับคืนมา… ท่านกำลังเป็นอิสระจากพันธนาการทีละนิด…
บนเก้าอี้ประธานใหญ่ ไคลน์ชำเลืองหางตาพลางสำรวจท่าทีตอบสนองของทุกคนอย่างละเอียด มันสังเกตเห็นสีหน้าเทิดทูนและกระตือรือร้นของจัสติส รวมถึงสีหน้าตื่นเต้นแกมประหวั่นของแฮงแมน
ไม่ใช่ว่าพวกนายมองฉันเป็นตัวตนระดับเทพอยู่แล้วหรอกหรือ? แล้วทำไมถึงได้แสดงท่าทีตอบสนองอย่างออกนอกหน้าหลังจากทราบความจริงเกี่ยวกับเทวทูต?
เข้าใจแล้ว ดูเหมือนประจักษ์หลักฐานจะสำคัญกว่าความเชื่อสินะ…
ถ้าอย่างนั้น ในอนาคต หากมีสมาชิกใหม่เข้าร่วมชุมนุมและเกิดเคลือบแคลงในตัวเรา คงต้องให้เดอะเวิร์ลเล่นละครต่อหน้าทุกคนและแสดงกิริยาล่วงเกิน จากนั้นก็ให้เดอะฟูลฆ่าทิ้งด้วยการชี้นิ้ว คนอื่นจะได้เห็นเป็นเยี่ยงอย่าง… ปล่อยไว้จนกว่าเรื่องจะซาลง ค่อยสร้างเดอะเวิร์ลคนใหม่ขึ้นมาแทน…
ทางด้านเดอร์ริค เด็กหนุ่มไม่ค่อยเข้าใจท่าทีตอบสนองอย่างออกนอกหน้าของแฮงแมนกับจัสติสสักเท่าไร ในสายตาของมัน ไม่ใช่ว่าตัวตนระดับทวยเทพอย่างมิสเตอร์ฟูลต้องมีเทวทูตคอยรับใช้เป็นปรกติอยู่แล้วหรือ?
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เดอร์ริคเล่าต่อ
“และเมื่อร่างแยกของอามุนด์ถูกชำระล้าง ผมเกิดไออย่างรุนแรงจนคายหนอนสีใสแบบเดียวกับตัวในห้องใต้ดินออกมา พวกคุณพอจะรู้จักไหมว่าสิ่งนี้คืออะไร?”
ด้วยความช่วยเหลือจากไคลน์ เดอร์ริคฉายภาพหนอนสีใสตัวเล็ก ด้านบนมีวงแหวนสีใสจำนวนสิบสองวงเรียงต่อกัน
ออเดรย์กับฟอร์สเพ่งมองพลางขมวดคิ้วสักพัก ก่อนจะส่ายศีรษะเป็นนัยว่าพวกตนไม่มีข้อมูลใดมอบให้
สิบสองวงแหวน… จากคำอธิบายของหนังสือแห่งความลับ สิ่งนี้คือสัญลักษณ์ของกาลเวลา… ตระกูลอามุนด์อ้างตนว่าสืบเชื้อสายมาจากเทพสุริยันบรรพกาล และคนรุ่นเก่าก็เชื่อว่าดวงอาทิตย์มีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับเวลา… สมมติฐานนี้ค่อนข้างสมเหตุสมผลเมื่อนำข้อมูลสองชนิดมาประกอบกัน…
แต่เราก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมเทพสุริยันเจิดจรัส—ผู้เป็นแสงไม่มีวันดับมอด ผู้คุมกฎเกณฑ์ทั้งปวง เทพแห่งพันธสัญญา และผู้พิทักษ์แห่งการค้าขาย ถึงไม่มีพระนามเต็มเกี่ยวข้องกับกระแสแห่งกาลเวลาเลย…
เพื่อรักษาภาพลักษณ์อันสูงส่งของเดอะฟูล ไคลน์ไม่รีบร้อนมอบคำตอบ
ชายหนุ่มเพียงอมยิ้มด้วยสายตาอบอุ่น
อัลเจอร์ก้มหน้าตรึกตรองสักพัก ก่อนจะมอบคำตอบของตัวเอง
“สิ่งนี้อาจเป็นภาชนะสำหรับสร้างร่างแยกของอามุนด์ ตามตำนานโบราณ หมอนตัวนี้มีรูปลักษณ์ตรงตามคำอธิบายของหนอนชนิดหนึ่งพอดิบพอดี กล่าวกันว่า มันมีวงแหวนสีใสจำนวนสิบสองวางเรียงกันบนตัว ชื่อของมันคือ… หนอนกาลเวลา อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีใครเห็นหนอนกาลเวลาตัวจริงมาก่อน ขณะเดียวกัน บุคคลระดับสูงหลายคนต่างเชื่อว่า หนอนกาลเวลายังเป็นชื่อของโอสถในบางเส้นทางด้วย”
หนอนกาลเวลา… สอดคล้องกับทฤษฎีของเรามาก… แม้ว่าข้อมูลนี้จะเป็นเพียงตำนานเล่าขานภายในหมู่บุคลากรระดับกลางถึงสูงของโบสถ์ แต่ก็นับเป็นข่าวสารมีมูลค่า แล้วทำไมมิสเตอร์แฮงแมนถึงยอมเล่าให้ฟังโดยไม่คิดค่าตอบแทน?
หรือเป็นเพราะเกิดความพึงพอใจในข้อมูลอันมากมายจากปากเดอะซันน้อย?
ไคลน์ฉงนปนขบขัน
“หนอนกาลเวลา… ภาชนะสำหรับสร้างร่างแยกของอามุนด์…”
เดอร์ริคพึมพำด้วยสีหน้ากระจ่าง ราวกับปริศนาภายในใจหลายข้อถูกไขพร้อมกัน
ถัดมา เด็กหนุ่มซักถามต่อ
“แล้วนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง? …ในกรณีตายไปแล้ว”
“ผมเองก็ไม่ทราบ” เมื่อต้องเผชิญสายตาเชื่อมั่นแกมยกย่องจากเดอะซัน อัลเจอร์พลันแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน
ทันใดนั้น เดอะฟูล ผู้นั่งบนเก้าอี้ประธานใหญ่แห่งชุมนุมทาโรต์ ทำการเปล่งเสียงเย็นชาและราบเรียบ
“สามารถใช้เป็นวัตถุดิบหลักสำหรับพิธีกรรมสำคัญบางชนิด”
ไคลน์สร้างทฤษฎีนี้ขึ้นมาจากการตกผลึกข้อมูลภายในหนังสือแห่งความลับ
แน่นอน มันไม่กังวลว่าตนจะพูดผิดและเกิดความแตกในภายหลัง เพราะการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงหรือไม่นั้น แทบจะไม่มีโอกาสกระทำได้เลย
หากใครพิสูจน์ได้ว่า หนอนกาลเวลาไม่ใช่วัตถุดิบหลักของพิธีกรรมบางชนิด แปลว่ามันผู้นั้นยังรู้จักโลกของศาสตร์เร้นลับไม่มากพอ!
ไคลน์เสริมติดตลก
พิธีกรรมบางชนิด… ออเดรย์และคนอื่นต่างพากันสร้างมโนภาพไปไกล
“ขอบคุณมาก ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่”
เดอร์ริคกึ่งลุกยืนพลางโค้งศีรษะคำนับ ก่อนมันจะวกกลับเข้าจุดประสงค์เดิมในตอนแรก—ความกังวลใจของตนเกี่ยวกับภัยคุกคามต่อเมืองเงินพิสุทธิ์
“ทีมสำรวจซากปรักหักพังกลับมาแล้ว ผมหมายถึง ทีมซึ่งนำโดยอาวุโสโลเฟียร์ พวกเขาเพิ่งเสร็จจากภารกิจสำรวจซากปรักหักพังของพระผู้สร้างเสื่อมทรามและเดินกลางกลับถึงเมืองเงินพิสุทธิ์ได้ไม่นาน… ผมพบว่าสมาชิกในหน่วยบางคนเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด…”
“พวกเขาถูกพระผู้สร้างแท้จริงกัดกร่อน”
อัลเจอร์ตอบโดยไม่ลังเล น้ำเสียงเป็นไปอย่างมั่นใจเสียเต็มประดา
พระผู้สร้างแท้จริง?
ออเดรย์ชำเลืองไปทางสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวโดยไม่รู้ตัว
เธอยังจำได้แม่นยำว่า แผนการลงมาจุติของทายาทพระผู้สร้างแท้จริงเคยถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของหนึ่งในผู้รับใช้มิสเตอร์ฟูล
เด็กสาวเคยตั้งข้อสงสัย บางที ผู้นำชุมนุมทาโรต์ของเธออาจจะเป็น ‘มือปราบเทพมาร’ ตัวจริงเสียงจริง
“คุณมั่นใจหรือ?” เดอร์ริคถามกลับ สีหน้าเจือความเคลือบแคลงชัดเจน
แฮงแมนตอบอย่างใจเย็น
“ถ้าอย่างนั้น ช่วยเล่ารายละเอียดความเปลี่ยนแปลงให้พวกเราฟังก่อน”
“…บรรยากาศภายนอกของทุกคนยังคงคล้ายเดิม เพียงแน่นิสัยบางอย่างเปลี่ยนไปชัดเจน เช่น อุปนิสัยมองโลกในแง่ดีกลายเป็นความเงียบขรึม รอยยิ้มอันสดใสกลายเป็นรอยยิ้มสุภาพ…”
เดอร์ริคเล่าทุกความผิดปรกติของพวกพ้อง รวมถึงความผิดปรกติของอาวุโสโลเฟียร์ ผู้แต่เดิมเคยมีหลายบุคลิก ทว่าปัจจุบันกลับไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
หลังจากไตร่ตรอง อัลเจอร์เริ่มวิเคราะห์
“ท่าไม่ดีแล้ว …สถานการณ์อาจกำลังย่ำแย่สุดขีด แย่ชนิดคุณไม่มีวันจินตนาการถึง บางที คุณอาจต้องภาวนาให้พวกเขาแค่ถูกกัดกร่อน… สำหรับปัจจุบัน ถ้าพวกเขาเชื่อมั่นในพระผู้สร้างแท้… เอ่อ พระผู้สร้างเสื่อมทรามจากก้นบึ้งของหัวใจ จะหมายความว่า คนกลุ่มนั้นไม่สามารถกลับมาเป็นปรกติได้แล้ว ไม่ว่าจะเคยมีอุปนิสัยเช่นไร แต่ทั้งหมดจะเริ่มบิดเบี้ยวและเก็บซ่อนความบ้าคลั่งไว้ภายใน อย่างไรก็ตาม คุณสามารถใช้โอกาสนี้สร้างประโยชน์ให้ตัวเอง จงรีบรายงานสภาอาวุโสถึงความผิดปรกติดังกล่าวโดยด่วน”
“ผมรายงานไปแล้ว แต่ดูเหมือนท่านผู้นำจะไม่มองเป็นเรื่องสำคัญสักเท่าไร”
เดอร์ริคเล่าอย่างหดหู่ · ฟอร์สถอนหายใจ
“ก็เพราะว่าหัวหน้าอาวุโสยังคงสงสัยว่าคุณถูกกำลังอามุนด์สิงร่าง จึงกังวลคุณว่าอาจวางแผนทำลายเมืองเงินพิสุทธิ์จากด้านใน”
“แล้วผมควรทำอย่างไร…? ถึงจะอธิบายตัวตนของพระผู้สร้างเสื่อมทรามให้พวกเขาฟังอย่างละเอียด แต่ก็คงไม่มีใครเชื่อผมอยู่ดี… ใช่ไหมล่ะ?” เดอร์ริคตอบกลับอย่างกระวนกระวาย
แฮงแมนเว้นวรรคสามวินาที
“ถ้าคุณเคยเล่าให้เขาฟังแล้ว ผมเชื่อว่าคนอย่างผู้นำสูงสุดคงเกิดความเคลือบแคลงในตัวอาวุโสโลเฟียร์บ้างไม่มากก็น้อย เพราะการจะนำพาเมืองเงินพิสุทธิ์ให้อยู่รอดปลอดภัยได้นานหลายปี เขาต้องมีความระแวงในทุกเรื่องเป็นพื้นฐาน เพียงแต่ว่า ลำดับความสำคัญของภัยคุกคามจากทีมสำรวจ จะยังไม่มากเท่าตัวคุณผู้ถูกอามุนด์สิ่งร่าง”
โดยไม่รอให้เดอะซันแทรก อัลเจอร์เสริม
“แต่นี่อาจเป็นโอกาสอันดีในการขจัดความสงสัยในตัวคุณ… จงหาโอกาสเผชิญหน้ากับสมาชิกหน่วยสำรวจแบบตัวต่อตัว จากนั้นก็กดดันให้อีกฝ่ายแสดงความผิดปรกติออกมา ด้วยวิธีการข้างต้น สภาอาวุโสจะพบความผิดปรกติของทีมสำรวจและเลื่อนระดับความสำคัญขึ้นจากเดิม เมื่อจบเหตุการณ์ดังกล่าว ให้คุณรีบนำหนอนกาลเวลาไปมอบกับสภาอาวุโสและอธิบายว่า สมองของคุณขาวโพลนมาตลอดจนกระทั่งเมื่อครู่ ไม่สามารถจดจำสิ่งใดได้เลย มีเพียงเสียงคนตะโกนว่า ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ อย่างเลือนราง จนกระทั่งตัวคุณไอออกมาเป็นหนอนสีใส หากเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับเทพมาร พลังพิสดารและเหนือสามัญสำนึกจะถูกนำมาใช้อย่างไม่หวงแหน โดยเฉพาะการล้างสมองและควบคุมร่างกายโดยสมบูรณ์ ฉะนั้น สภาอาวุโสจะไม่มองว่าพฤติกรรมของคุณผิดปรกติ จะเข้าใจเพียงว่า ‘ร่างแยกของอามุนด์’ และ ‘เหยื่อของพระผู้สร้างแท้จริง’ เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง จนกระทั่งร่างแยกอามุนด์ในตัวคุณถูกทำลายและเหลือทิ้งไว้เพียงหนอนสีใส หลังจากนั้น การจับตามองรอบตัวคุณก็จะลดลงอย่างมาก หากคุณทำตัวตามปรกติไปสักพัก พวกเขาก็จะขจัดความเคลือบแคลงในตัวคุณอย่างสมบูรณ์”
ทำไมมิสเตอร์แฮงแมนถึงได้ถนัดเรื่องทำนองนี้นัก… ออเดรย์จินตนาการภาพตามด้วยสีหน้าสุดทึ่ง
ขณะเดียวกัน ดวงตาเดอร์ริคกำลังเปล่งปลั่ง เด็กหนุ่มเริ่มมองแฮงแมนเป็นผู้ชี้ทางสว่าง
เขาคิดวิธีแบบนี้ได้ยังไง…!
“…แล้วผมควรกดดันให้สมาชิกทีมสำรวจแสดงความผิดปรกติออกมาด้วยวิธีใด?”
เด็กหนุ่มซักถามอย่างคาดหวัง
อัลเจอร์เงียบงันสักพัก
“สำหรับเรื่องนี้ ผมเองก็ไม่ทราบ”
ก่อนจะกล่าวเสริม
“แต่ถ้าคุณมีสมบัติวิเศษเกี่ยวกับพระผู้สร้างเสื่อมทรามติดตัว ก็คงจะช่วยได้มาก…”
หงึก.
ออเดรย์พลันหันไปจ้องเดอะฟูลบนเก้าอี้ตำแหน่งประธานการชุมนุมทันที
……………………
ราชันเร้นลับ 394 : ประสบการณ์โลกวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไคลน์ทราบดีว่าเพราะเหตุใดมิสจัสติสถึงหันมาจ้องตน สืบเนื่องจากเหตุการณ์คดีลาเนวุสในอดีต เธอย่อมทราบว่าเดอะฟูลเคยกระทบกระทั่งกับพระผู้สร้างแท้จริงทั้งฉากหน้าและฉากหลังหลายหน จึงน่าจะมีวัตถุเกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายติดตัวไม่มากก็น้อย
ในทางทฤษฎี การคิดแบบนั้นไม่ใช่เรื่องผิด และในความเป็นจริง เราเองก็เคยเผชิญหน้ากับพระผู้สร้างแท้จริงทางอ้อมหลายหน จนถึงขั้นมีวัตถุชนิดดังกล่าวติดตัว… ไคลน์รำพัน
ชายหนุ่มเต็มใจยื่นมือช่วยเหลือเดอะซันน้อยอย่างสุดฝีมือ เพราะภายในดินแดนเทพทอดทิ้ง เมืองเงินพิสุทธิ์ มีสัตว์ประหลาดหายากอยู่มากมาย พวกมันแทบไม่ปรากฏตัวในทวีปเหนือใต้มาก่อน
ไม่เพียงเท่านั้น ประวัติศาสตร์และองค์ความรู้อันยาวนานกว่าสองพันปีของเมืองเงินพิสุทธิ์คือสมบัติแสนล้ำค่า พวกเขาไม่ถูกบิดเบือนความจริงโดยเจ็ดโบสถ์หลักเหมือนกับทวีปเหนือใต้ ฉะนั้น ไม่ว่าจะในมุมมองของผู้นำชุมนุมทาโรต์ หรือในมุมการหาผลประโยชน์ส่วนตัว ไคลน์ก็ไม่คิดจะทอดทิ้งให้เดอะซันน้อยเผชิญชะตากรรมตามลำพัง นอกจากจะหมดสิ้นหนทางเยียวยาโดยแท้จริง
ทว่า ตัวตนอย่างมิสเตอร์ฟูลก็ไม่สามารถพูดออกไปได้ทุกเรื่อง
ขณะจัสติส ออเดรย์ กำลังจ้องมองมิสเตอร์ฟูลหลังม่านหมอกด้วยสายตาคาดหวัง เดอะเวิร์ลผู้เงียบขรึมพลันเปล่งเสียงจากด้านข้าง
“ผมมีวัตถุปนเปื้อนการกัดกร่อนทางจิตจากพระผู้สร้างแท้จริง”
มันกำลังหมายถึง ‘ดวงตาดำล้วน’ ของนักเชิดหุ่นโรซาโก้
“วัตถุปนเปื้อนการกัดกร่อนทางจิตจากพระผู้สร้างแท้จริง?” อัลเจอร์ครุ่นคิดพลางเรียบเรียงคำพูด “นั่นต้องช่วยเดอะซันฝ่าฟันวิกฤติได้แน่! หากสมาชิกทีมสำรวจ—เหยื่อของพระผู้สร้างแท้จริง สัมผัสถึงจิตของพระผู้สร้างแท้จริงเข้า สติของพวกมันจะบิดเบี้ยวกะทันหันจนเกิดการเปลี่ยนสภาพในทันที”
เดอะเวิร์ลหันไปจ้องเดอะซันพลางหัวเราะแหบพร่า
“ผมยินดีให้คุณยืมวัตถุชิ้นดังกล่าว แต่คิดจะแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งใด?”
เมื่อมองเห็นแสงแห่งความหวัง สมองของเดอร์ริครีบประมวลผลจนกระทั่ง มันย้อนนึกถึงรายละเอียดการชุมนุมในคราวก่อน
“ผมจะช่วยคุณหาตะกอนพลังของเงามืดหนังมนุษย์ ต่อมใต้สมองกลายพันธุ์และโลหิตของนักล่าพันหน้า รวมไปถึง ผมยินดีช่วยหาวิธีลบการกัดกร่อนทางจิตออกจากตะกอนพลังของผู้คลุ้มคลั่ง หากผมสำเร็จเรื่องใดก่อน สิ่งนั้นจะถูกใช้เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนในการหยิบยืมวัตถุคราวนี้”
จากบรรดาตัวเลือกทั้งหมด เงามืดหนังมนุษย์สามารถหาพบได้ค่อนข้างง่ายรอบเมืองเงินพิสุทธิ์ พวกมันจัดเป็นสัตว์ประหลาดแข็งแกร่งท่ามกลางความมืดมิด
ปัจจุบัน เดอร์ริคไม่กังวลว่าการแลกเปลี่ยนของตนจะเสียเปรียบอีกฝ่าย และถึงจะเป็นลักษณะของการ ‘ยืม’ โดยต้องคืนในภายหลัง แต่การเอาตัวรอดให้ผ่านพ้นวิกฤตินั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด สำหรับตัวมันในตอนนี้ วัตถุเจือปนจิตกัดกร่อนของพระผู้สร้างแท้จริงนับว่ามีมูลค่ามหาศาล จำเป็นต้องรับข้อเสนอเสียเปรียบจากเดอะเวิร์ลอย่างมิอาจเลี่ยง โดยส่วนหนึ่งก็ทำไปเพื่อแสดงความจริงใจ
เดอะเวิร์ลพยักหน้ารับ
“ตกลง ไว้จบการชุมนุมเมื่อใด ผมจะรบกวนให้มิสเตอร์ฟูลช่วยส่งไปให้ทันที”
ขณะกล่าว เดอะเวิร์ลเผยให้ทุกคนเห็นดวงตาดำล้วนพลางแทรกคำอธิบายประกอบ
“สิ่งนี้มีมูลค่าเทียบเท่าโอสถลำดับ 5… หากคุณเผลอทำมันสูญหาย จะต้องชดเชยในราคาเท่าเทียมหรือมากกว่า ฉะนั้น ถ้าใช้งานเสร็จเมื่อไรให้รีบนำมาคืนทันที”
นี่คือความกังวลขอไคลน์ ตัวตนอย่างเดอะฟูลมิอาจเอ่ยคำว่า ‘ชดเชยอย่างเหมาะสม’ หรือ ‘ใช้เสร็จแล้วรีบนำมาคืน’ ออกไปได้ถนัดปากนัก เพราะนั่นจะเป็นการทำลายภาพลักษณ์อันสูงส่ง
ไม่เพียงเท่านั้น ไคลน์ยังกังวลถึงอันตรายซึ่งอาจเกิดขึ้นในอนาคต
ชายหนุ่มมีเหตุให้ต้องใช้งานดวงตาดำล้วนบนโลกจริงบ่อยครั้ง หากนำสมาชิกคนใหม่เข้าร่วมชุมนุมและอีกฝ่ายบังเอิญเคยเห็นดวงตาดำล้วนมาก่อน ความลับทั้งหมดก็จะพังครืนทันที ฉะนั้น การปล่อยให้ทุกคนเข้าใจว่าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้คือเดอะเวิร์ล ย่อมดีกว่าการให้เข้าใจว่าเดอะฟูลคือเดอะเวิร์ล
เมื่อพลังแท้จริงไม่สมกับฐานะเปลือกนอก เราต้องคอยก้าวเดินอย่างระมัดระวัง ให้คิดว่าเบื้องล่างคือแผ่นน้ำแข็งบางเสมอ หรือไม่ก็กำลังเดินไต่เชือกเส้นเดียวเหนือหุบเหวลึก…
ไคลน์ตัดพ้อ
เมื่อเห็นว่ามิสเตอร์ฟูลมิได้คัดค้านคำขอร้องของเดอะเวิร์ล รวมถึงไม่ได้ตำหนิว่าการแลกเปลี่ยนเมื่อครู่มีจุดบกพร่อง เดอร์ริคพลันเบาใจลงหลายส่วนและยอมรับทุกข้อเสนอจากอีกฝ่ายโดยไม่โต้แย้ง
ขณะเดียวกัน ออเดรย์กำลังโล่งใจแทนเดอะซันน้อยจากก้นบึ้ง
ทางด้านอัลเจอร์ยังคงก้มหน้าครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวกับเดอะซันด้วยน้ำเสียงเตือนสติ :
“อย่าเพิ่งมองโลกในแง่ดีนัก หลังจากนี้ยังต้องกังวลเรื่องการหาโอกาสลงมือให้เหมาะสม ประการแรก เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับตัวเอง คุณต้องฉวยโอกาสขณะสมาชิกทีมสำรวจคนใดคนหนึ่งอยู่ตามลำพัง และบริเวณใกล้เคียงต้องมีพลเมืองทั่วไปช่วยเป็นประจักษ์พยานให้จำนวนหนึ่ง หรือไม่ก็ ต้องลงมือขณะสมาชิกทีมสำรวจส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในเขตกักกัน… คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลา จงผนึกภาชนะบรรจุวัตถุปนเปื้อนจิตกัดกร่อนด้วยกำแพงวิญญาณ ห้ามมิให้ใครสัมผัสถึงสิ่งนี้โดยเด็ดขาด ถ้าทำสำเร็จ คุณจะกลายเป็นฝ่ายคุมเกม… และต้องไม่ลืมซ่อนวัตถุดังกล่าวให้มิดชิดทันทีหลังจบภารกิจ จะให้หกสภาอาวุโสเห็นมันไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคงไม่มีวันขจัดความเคลือบแคลงในตัวคุณสำเร็จ…”
เฮ่อ… ถ้าพ่อหนุ่มหัวอ่อนคนนี้ด่วนตายไป เราก็คงไม่ได้หลอกถามข้อมูลของยุคสมัยบรรพกาลกันพอดี โดยเฉพาะข้อมูลของดินแดนเทพทอดทิ้ง… แฮงแมนแสดงท่าทีเต็มใจช่วยโดยไม่ขัดข้อง
หลังจากได้ฟังคำแนะนำ เดอร์ริครีบบันทึกส่วนสำคัญของแผนลงในความทรงจำ
“ขอบคุณมาก มิสเตอร์แฮงแมน ขอบคุณมากทุกคน” เด็กหนุ่มแสดงความขอบคุณจากใจจริง พฤติกรรมดังกล่าวทำให้ออเดรย์รู้สึกมีความสุขเมื่อตระหนักว่าตนได้ทำความดีลงไป
หลังจากปัญหาของเดอะซันจบลง ฟอร์ส ผู้เฝ้ามองเหตุการณ์อย่างเงียบงันมาสักพัก เริ่มฉุกคิดบางสิ่งได้
เธอใช้มือสางเส้นผมยาวหยักศกตอนปลายพลางกล่าว :
“ดิฉันต้องการทราบว่า เส้นทางผู้ฝึกหัดถือครองโดยตระกูลใด ยินดีแลกเปลี่ยนข้อมูลด้วยเนื้อหาหนึ่งบทจากหนังสือ ‘ประสบการณ์โลกวิญญาณ’ … แม้ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นการพร่ำเพ้อคล้ายกับผู้เขียนกำลังนอนฝันกลางวัน แต่จากประสบการณ์ท่องวิญญาณส่วนตัวของดิฉัน ขอรับประกันว่าเนื้อหาข้างในเป็นความจริงเสียส่วนมาก”
‘ประสบการณ์โลกวิญญาณ’ คือหนังสือด้านศาสตร์เร้นลับ เป็นหนึ่งในมรดกตกทอดจากมาดามอาริสา เนื้อหาด้านในขาดตรรกะและความสมเหตุสมผลโดยสิ้นเชิง แค่ได้อ่านก็มากพอจะทำให้คนสติดีเกิดความระคายเคืองทางสมอง อย่างไรก็ตาม หลังจากฟอร์สมีโอกาสท่องโลกวิญญาณทั้งหมดสามครั้งจากหลากหลายสาเหตุ เธอกลับพบว่าเนื้อหาในหนังสือนั้นไม่ใช่การพร่ำเพ้อทั้งหมด
ประสบการณ์โลกวิญญาณ…?
ไคลน์เอนกายเล็กน้อยพลางควบคุมให้เดอะเวิร์ลชิงตอบตัดหน้าแฮงแมน
“ผมทราบคำตอบ และยินดีมอบข้อมูลอื่นประกอบโดยไม่คิดราคาเพิ่ม”
ชายหนุ่มทราบดีว่าแฮงแมนทราบคำตอบของคำถามเมื่อครู่
การมีคู่แข่งทำให้เราต้องยอมเสียสละ… จำเป็นต้องยื่นข้อเสนอต่อตาล่อใจให้สูงกว่าอีกฝ่าย… ไคลน์รำพัน
“ตกลง” ฟอร์สแสดงสีหน้าคาดหวัง
เธอพบว่าชุมนุมทาโรต์มีระดับแตกต่างจากของชุมนุมลับอื่นโดยสิ้นเชิง คำถามยากและซับซ้อนล้วนถูกไขกระจ่างแทบจะในพริบตา
เดอะเวิร์ลซักถามเสียงแหบพร่า
“คุณต้องการฟังคำตอบตามลำพัง หรือต้องการให้คนอื่นได้ยินไปพร้อมกัน”
ฟอร์สก้มหน้าตรึกตรองหลายวินาที ก่อนจะมอบคำตอบเหนือความคาดหมายทุกคน
“เชิญพูดออกมาได้เลย”
ในความคิดของเธอ คำตอบของคำถามเมื่อครู่คงไม่ช่วยให้คนอื่นได้ประโยชน์อะไรนัก และถ้าเดอะเวิร์ลตอบตกหล่นหรือตอบผิดไปจากความจริง สมาชิกคนอื่นยังสามารถโต้แย้งหากมีข้อมูล โดยเธอยินดีตอบแทนในแบบเดียวกันกับสมาชิกคนดังกล่าว ด้วยวิธีเช่นนี้ ฟอร์สมั่นใจว่าตนจะได้รับคำตอบฉบับสมบูรณ์
เดอะเวิร์ลไม่แสดงท่าทีประหลาดใจ เพียงเริ่มต้นเล่าอย่างใจเย็น
“ย้อนกลับไปในยุคสมัยที่สี่ เส้นทางผู้ฝึกหัดถูกครอบครองโดยตระกูลอับราฮัม โดยในภายหลังเริ่มแพร่กระจายมาถึงตระกูลทามาร่าผ่านการสมรสฉันท์พันธมิตรสักระยะหนึ่ง สำหรับยุคสมัยที่ห้า… ยุคสมัยปัจจุบันของมนุษย์เรา ชุมนุมสัมผัสวิญญาณก็มีสูตรโอสถผู้ฝึกหัดและนักตุกติกไว้ในครอบครอง เชื่อกันว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัมหรือไม่ก็ทามาร่า โดยในขณะเดียวกัน หลายฝ่ายได้ตั้งประเด็นว่าชุมนุมสัมผัสวิญญาณอาจเป็นองค์กรลับในเครือเดียวกับนิกายแม่มด”
เมื่อประเมินว่ามิสเมจิกเชียนเคยพบกับหนึ่งในสมาชิกตระกูลอับราฮัมมาแล้ว ไคลน์จงใจเล่าเสริมผ่านเดอะเวิร์ล
“มีข่าวลือว่า ตระกูลอับราฮัมคือสายเลือดต้องสาป พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากแยกกันอาศัยในลักษณะครอบครัวเล็ก เลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกันเพื่อป้องกันอันตราย”
สายเลือดต้องสาป…?
ดวงตาฟอร์สพลันสั่นเทาขณะทบทวนเรื่องราวในความทรงจำ
…สามีของมาดามอาริสาคือสมาชิกของตระกูลอับราฮัม? และมิสเตอร์ลอว์เรนซ์ พี่ชายของเขา ก็เป็นสมาชิกของตระกูลอับราฮัมเช่นเดียวกัน? และเป็นสาเหตุว่าทำไม เธอถึงได้พูดออกมาว่า ‘ไม่ต้องกังวลเรื่องคำสาปถ้าไม่ได้เป็นสมาชิกของตระกูลหลัก’ …
แต่เราดันใช้งานกำไลข้อมือ… จนตัวเองต้องกลายเป็นสมาชิกของตระกูลอับราฮัมไปโดยปริยาย?
ฟอร์สอยากแหกปากกรีดร้องในความโง่เขลาของตนอีกครั้ง
อัลเจอร์และออเดรย์เพิ่งเคยได้ยินเรื่องคำสาปของตระกูลอับราฮัมเป็นครั้งแรก แต่ละคนจึงครุ่นคิดในแบบของตัวเอง ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดออกมาเป็นเวลานาน
ผ่านไปสักพัก ฟอร์สถอนหายใจยาว :
“ขอบคุณมาก มิสเตอร์เวิร์ล คำตอบของคุณช่วยคลายปมในใจดิฉันจนกระจ่าง หลังจบการชุมนุม ดิฉันจะคัดลอกบทแรกของหนังสือประสบการณ์โลกวิญญาณและสังเวยให้มิสเตอร์ฟูล… ได้ไหมคะท่าน?”
มิสเมจิกเชี่ยนคือลูกหลานตระกูลอับราฮัม? เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเคยมีประสบการณ์ผ่านเข้าออกโลกวิญญาณ… และถ้าเราเดาไม่ผิด เธอต้องครอบครองสมบัติวิเศษในขอบเขตดังกล่าวสักชิ้นสองชิ้นแน่… แฮงแมนเพ่งมองหญิงสาวฝั่งตรงข้ามพลางครุ่นคิด
ฟอร์สคือสมาชิกตระกูลอับราฮัม? เธอเป็นลูกหลานของตระกูลเก่าแก่จากยุคสมัย 4…?
ออเดรย์พยักหน้าหงึกหงักราวกับเข้าใจบางสิ่งคนเดียว
เมื่อได้รับสัญญาณเชิงบวกจากมิสเตอร์ฟูล ฟอร์สเริ่มผ่อนคลายพลางประกาศขอซื้อวัตถุดิบหลักโอสถนักตุกติก—ถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนวิญญาณและเลือดของปลามาร์ลินทะเลลึก แต่เนื่องจากเดอะซันเอาแต่หมกตัวอยู่ในเมืองตลอดสัปดาห์ ความคืบหน้าในเรื่องนี้จึงเป็นศูนย์ ในส่วนของแฮงแมน มันระบุว่า ตนพอจะมีเบาะแสของปลามาร์ลินทะเลลึกอยู่บ้าง แต่ไม่รับปากไปมากกว่านี้
ขณะเดียวกัน ยังไม่มีใครได้ครอบครองสูตรโอสถผู้รับใช้วายุ แฮงแมนจึงต้องรอต่อไปอีกสักพักใหญ่ ส่วนทางด้านออเดรย์ก็ไม่รีบร้อนหาซื้อสูตรโอสถลำดับถัดไป เพราะเธอกำลังจะได้เป็นสมาชิกของสมาคมแปรจิต
เดิมที ไคลน์ต้องการขายตะกอนพลังของมนุษย์หมาป่าหรือไม่ก็ขวดพิษชีวภาพ แต่เมื่อพิจารณาว่าสมบัติวิเศษอย่างหลังมีพลังสอดคล้องกับร่างวิญญาณของตน รวมถึงตระหนักว่าสมาชิกคนอื่นกำลังขัดสนทางการเงิน ชายหนุ่มจึงพับเก็บการขายไว้ชั่วคราว
ช่วงเวลาค้าขายจบลงอย่างรวดเร็ว ชุมนุมทาโรต์เริ่มเข้าสู่ช่วงแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระ
ออเดรย์รีบกวาดสายตาหนึ่งรอบและกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใสอย่างไม่ปิดบัง
“เมื่อราวหนึ่งสัปดาห์ก่อน กรุงเบ็คลันด์มีข่าวใหญ่น่าสนใจหนึ่งเรื่อง โดยพระเอกในเหตุการณ์ดังกล่าวมีชื่อว่า… จอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด”
……………………
ราชันเร้นลับ 395 : ตะกอนพลังเจ้าพนักงาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
จักรพรรดิมืด…?
แฮงแมน ผู้นั่งฟังคำบอกเล่าของจัสติสโดยไม่คิดอะไรในตอนแรก พลันหรี่ตาลงด้วยสีหน้าตกตะลึง
มันเพิ่งมีโอกาสได้ทราบว่า ไพ่บนโต๊ะเบื้องหน้ามิสเตอร์ฟูล คือไพ่เย้ยเทพของเส้นทางจักรพรรดิมืด!
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่าน…?
อัลเจอร์ชำเลืองมองสุภาพบุรุษสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวตามสัญชาตญาณ ก่อนจะรีบก้มศีรษะต่ำเมื่อนึกขึ้นได้
ถ้าเป็นฝีมือผู้รับใช้มิสเตอร์ฟูล เรื่องนี้ไม่มีทางเล็กน้อยแน่… อัลเจอร์ครุ่นคิดพลางรอฟังคำอธิบายเพิ่มเติมจากจัสติส
ฟอร์ส ผู้เคยทราบข่าวดังกล่าวจากซิล ย่อมคาดเดาตื้นลึกหนาบางได้เบื้องต้น จึงหันมาชำเลืองเดอะฟูลด้วยความฉงนเฉกเช่นคนอื่น หญิงสาวอยากทราบว่า สุภาพบุรุษเบื้องหลังม่านสายหมอกสีเทาจะแสดงอากัปกิริยาเช่นไรออกมา
ออเดรย์ หลังจากพบว่าตนอ่านท่าทีตอบสนองจากเดอะฟูลไม่ได้เลย เด็กสาวเว้นวรรคหนึ่งอึดใจก่อนอธิบายต่อ
“เหยื่อในคราวนี้คือมหาเศรษฐีนามคาพิน ข่าวลือหลายแห่งระบุตรงกันว่า คาพินคือนักค้ามนุษย์อันดับหนึ่งของกรุงเบ็คลันด์ จอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดได้แทรกซึมเข้าไปในคฤหาสน์และขโมยชีวิตคาพินไป รวมถึงช่วยชีวิตเด็กหญิงจำนวนมากผู้ตกเป็นเหยื่อการค้าทาสออกจากคุกใต้ดิน ขณะหน่วยพิเศษเข้าไปพบศพ ตามลำตัวคาพินถูกกองสุมด้วยไพ่ทาโรต์ บนใบหน้ามีไพ่ทาโรต์ถูกบรรจงวางไว้สองใบ… จัดจ์เมนต์และดิเอ็มเพอเรอร์”
เด็กสาวมิได้เล่าถึงการขโมยสมบัติภายในตู้นิรภัยเนื่องจากมองว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ไพ่ถูกโปรยลงบนตัวศพ? นั่นคือสัญลักษณ์การลงมือของชุมนุมทาโรต์?
เดี๋ยวก่อน…! นักค้ามนุษย์?
อัลเจอร์เริ่มวิเคราะห์คำสำคัญ ก่อนจะหันไปทางสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวและซักถามอย่างนอบน้อม
“มิสเตอร์ฟูล คาพินเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของทาสในเขตอาณานิคมหรือ?”
นี่คือภารกิจซึ่งมันได้รับมาจากโบสถ์วายุสลาตัน และเคยฝากฝังให้ชาวเบ็คลันด์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นจัสติส เมจิกเชียน หรือเดอะเวิร์ล ช่วยจับตามองชายต้องสงสัยนามว่า ‘บาลุน’
จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม เมื่ออัลเจอร์ได้ยินคำว่า ‘นักค้ามนุษย์’ มันต้องนำไปเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ชาวเผ่าทวีปใต้และทาสบนเกาะในทะเลโซเนียหายตัวไปเป็นจำนวนมาก
อัลเจอร์เชื่อว่า ต้องเป็นเรื่องสำคัญและมีลับลมคมในระดับนี้เท่านั้น จึงจะดึงดูดความสนใจจากตัวตนอย่างเดอะฟูลได้
อย่างไรก็ตาม มันยังไม่ตัดประเด็นการเคลื่อนไหวอย่างอิสระของผู้รับใช้เดอะฟูล อีกฝ่ายเป็นถึงบุคคลทรงพลังระดับไม่ต่ำกว่าครึ่งเทพ คงไม่ได้เอาแต่รอให้เทพคอยออกคำสั่งทุกกระเบียดนิ้ว…
อัลเจอร์วิเคราะห์
หืม คาพินเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของทาสในเขตอาณานิคมหรือไม่…?
เมื่อลองคิดทบทวน ไคลน์ประเมินว่าตนยังไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ทิ้ง เนื่องจากในคฤหาสน์คาพินมีผู้วิเศษมากถึงสี่คน ลำพังเรื่องนี้ก็มากพอจะทำให้เหตุการณ์เบื้องลึกเบื้องหลังไม่ธรรมดา
ตามปรกติแล้ว ต่อให้เป็นมหาเศรษฐีร่ำรวยและมีเงินเหลือใช้ แต่หากต้องการจ้างผู้วิเศษมารับงานบอดี้การ์ด อย่างมากก็คงจ้างลำดับ 7 หนึ่งคนและลำดับ 8 หรือ 9 อีกสองสามคน แต่ในกรณีของคาพิน มันกลับมีเฮรัส ผู้เมื่อผนวกเข้ากับสมบัติวิเศษถุงมือโลหะ จะมีพลังต่อสู้ทัดเทียมลำดับ 5 เลยทีเดียว…
คำถามของแฮงแมนได้กระตุกให้ไคลน์ฉุกคิดประเด็นใหม่ และสัมผัสได้เลือนรางว่าบางทีอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกันจริง
แต่นั่นเป็นเพียงทฤษฎี และยังไม่มีสิ่งใดมาช่วยพิสูจน์ในปัจจุบัน ไคลน์จึงตัดสินใจไม่ตามน้ำแฮงแมน เพียงหัวเราะในลำคอและกล่าว
“ผู้รับใช้ของเราแค่ต้องการสร้างผลงาน”
กะแล้วเชียว! ดวงตาออเดรย์พลันเปล่งปลั่ง
คิดไว้แล้วไม่มีผิด…! นี่คือครั้งแรกอย่างแท้จริง กับการได้ยินเรื่องราวของชุมนุมทาโรต์บนโลกความจริง… ฟอร์สกำลังมีความสุขเจือปนความคาดหวัง
ทางด้านอัลเจอร์กำลังเชื่อมั่น ถ้อยคำเมื่อครู่ของมิสเตอร์ฟูลต้องเป็นการบอกใบ้ทางอ้อมว่า ข้อสงสัยของตนมีโอกาสเป็นความจริงอยู่หลายส่วน
คาพินคงไม่ใช่นักค้ามนุษย์ธรรมดาแน่ ถึงขั้นทำให้ผู้รับใช้ของตัวตนระดับเทพต้องลงมือเองเช่นนี้ และเหนือสิ่งอื่นใด เหตุการณ์ค้ามนุษย์และเหตุการณ์หายตัวไปของทาส ถือเป็นสองสิ่งซึ่งสอดคล้องกันอย่างลงตัว
โดยไม่รอให้จัสติสเล่าต่อ ไคลน์ใช้นิ้วเคาะโต๊ะทองแดงยาวแผ่วเบาพลางเสริม :
“จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ เขาได้รับตะกอนพลังสองก้อนและต้องการขายออกไปโดยเร็ว เป็นตะกอนพลังของลำดับ 8 เจ้าพนักงาน และลำดับ 7 นักสอบสวน”
เจ้าพนักงาน. นักสอบสวน…?
ทั้งสองเป็นโอสถเส้นทาง ‘ผู้ตัดสิน’ ในการควบคุมดูแลของราชวงศ์ออกัสตัสมิใช่หรือ?
มีเพียงเชื้อพระวงศ์ ขุนนางเก่าแก่ และสมาชิกกองทัพระดับสูงเท่านั้น จึงจะมีสูตรโอสถเส้นทางดังกล่าวไว้ในครอบครอง…
หนึ่งในกลุ่มข้างต้นคอยหนุนหลังคาพิน? ไม่สิ ยังตัดราชวงศ์กาสตีญ่าแห่งเฟเนพ็อตไม่ได้เช่นกัน…
อัลเจอร์ขมวดคิ้ว เริ่มตระหนักว่าเรื่องดังกล่าวซับซ้อนกว่าจินตนาการของตนไปไกล
ทางด้านออเดรย์กำลังคิดคล้ายกัน เธอไม่เคยทราบมาก่อนว่า ผู้วิเศษในคฤหาสน์คาพินจะมาจากเส้นทางผู้ตัดสิน
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า หนึ่งในขั้วอำนาจสำคัญของอาณาจักรโลเอ็น ให้ความร่วมมือกับนักค้ามนุษย์อย่างคาพิน… ออเดรย์เงียบงันพักใหญ่ เธอไม่รู้ว่าตนควรแสดงออกเช่นไร
เจ้าพนักงาน?
ฟอร์ส ผู้ทราบว่าเพื่อนรักของตน ซิล กำลังเก็บเงินก้อนใหญ่เพื่อรวบรวมวัตถุดิบหลักของโอสถชนิดดังกล่าว รีบซักถามด้วยสีหน้าสับสน
“อ…เอ่อ มิสเตอร์ฟูล ตะกอนพลังหมายถึงสิ่งใดหรือคะ?”
…ผิดคาดชะมัด ไม่คิดว่าจะถามเรื่องนี้… เธอควรถามว่ามันมีราคาเท่าไรไม่ใช่หรือ?
อา จริงสินะ เมจิกเชี่ยนเพิ่งเข้าเป็นสมาชิกได้ไม่นาน คงยังไม่ทราบถึงกฎอนุรักษ์พลังพิเศษในเส้นทางใกล้เคียงและความถาวรของพลังพิเศษ…
ไคลน์ผงะครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียบเรียงคำพูดเพื่ออธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ
ทันใดนั้น ออเดรย์ชิงพูดแทน
“มิสเตอร์ฟูล ดิฉันขอตอบคำถามข้อนี้แทนได้ไหมคะ? สิ่งแลกเปลี่ยนจะยังตกเป็นสิทธิ์ของท่านเช่นเดิม”
เธอและฟอร์สเป็นเพื่อนกัน เด็กสาวจึงอาสาอธิบายแทน เพราะเกรงว่าเดอะฟูลจะไม่ต้องการพูดเรื่องเดิมซ้ำซาก
“เชิญ” ไคลน์ยิ้มอ่อน
มิสจัสติสคอยเป็นห่วงเป็นใยเราเสมอ… ชายหนุ่มรำพันด้วยความรู้สึกด้านบวก
ฟู่ว… ออเดรย์ถอนหายใจยาว ก่อนจะหันไปทางฟอร์สและอธิบายโดยจงใจไม่ใช่ศัพท์เฉพาะของขุนนาง
“คุณอยากฟังคำตอบใช่ไหม? เช่นนั้นแล้ว คุณต้องการแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งใด?”
ฟอร์สรับพยักหน้ารับ
“อยากฟัง!”
ตามด้วยการหันไปมองสุภาพบุรุษผู้กำลังถูกม่านหมอกสีเทาห้อมล้อม :
“มิสเตอร์ฟูล ดิฉันสามารถแลกเปลี่ยนด้วยเนื้อหาภายในหนังสือ ‘ประสบการณ์โลกวิญญาณ’ บทถัดไปได้หรือไม่คะ?”
เธอเน้นคำว่า ‘บทถัดไป’ เพราะทราบว่า หากตนคัดลอกบทแรกให้เดอะเวิร์ล เดอะฟูลก็คงได้อ่านไปด้วย ดังนั้น การแลกเปลี่ยนด้วยเนื้อหาบทเดียวกัน จะไม่ถือว่าท่านได้ประโยชน์เพิ่มเติมแต่อย่างใด
ไม่ใช่เพราะเธอสงสัยว่าเดอะฟูลจะแอบอ่าน เพียงแต่หญิงสาวมองว่า พฤติกรรมเช่นนี้สามารถแสดงความจริงใจได้มากกว่า
ตัวตนระดับเทพคงสนใจเพียงทัศนคติและมารยาทพื้นฐาน… ฟอร์สจำได้ว่านิยายหลายเล่มเคยกล่าวถึงเรื่องนี้
ไคลน์เอนกายพลางมอบคำตอบเสียงขรึม
“ตกลง”
“ขอบคุณมาก มิสเตอร์ฟูล” หญิงสาวกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใสโดยไม่ปิดบัง
เธอเชื่อว่าตนกำลังจะได้รับความรู้แสนสำคัญของโลกผู้วิเศษ!
ออเดรย์อมยิ้มมุมปาก
“โลกของผู้วิเศษย่อมมีกฎเหล็ก ขอเน้นย้ำอีกครั้ง สิ่งนี้คือกฎเหล็ก ปริมาณพลังวิเศษในเส้นทางเดียวกันจะมีค่าคงตัวเสมอ ไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่สามารถย้ายจากภาชนะหนึ่งไปสู่ภาชนะหนึ่งได้อย่างอิสระ ฉะนั้น หลังจากผู้วิเศษเสียชีวิต พลังพิเศษของพวกเขาจะแยกออกจากร่างกาย เกิดการควบแน่นและตกผลึกเป็นตะกอนพลัง สิ่งนี้มีค่าเทียบเท่าวัตถุดิบหลักทั้งหมดของโอสถชนิดดังกล่าว… อ๊ะ! จริงสิ มีข้อยกเว้นสำหรับการเสียชีวิตของผู้คลุ้มคลั่ง ตะกอนพลังของพวกเขามักถูกปนเปื้อนด้วยจิตมุ่งร้ายจนไม่สามารถนำมาปรุงเป็นโอสถ ทำได้เพียงเปลี่ยนให้เป็นสมบัติปิดผนึก”
หลังจากผู้วิเศษเสียชีวิต พลังพิเศษของพวกเขาจะตกผลึกกลายเป็นตะกอนพลังซึ่งมีค่าเทียบเท่าวัตถุดิบหลักโอสถ?
ข้อมูลแสนสำคัญช่วยให้ฟอร์สพลันกระจ่างในหลายเรื่อง
กลายเป็นว่า… มรดกตกทอดของมาดามอาริสา แท้จริงแล้วคือตะกอนพลังของเธอ…
กลายเป็นว่า… ในสายตาผู้วิเศษ ผู้วิเศษทุกคนนอกจากตัวเองล้วนเป็นวัตถุดิบหลักโอสถเดินได้… มืดมนชะมัด…
ฟอร์สกำหมัดแน่นเมื่อตระหนักว่าโลกของผู้วิเศษเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและหดหู่
อย่างไรก็ตาม เธอมิได้รู้สึกพะอืดพะอมแม้แต่น้อยเมื่อทราบว่าตนกินตะกอนพลังของมาดามอาริสาเข้าไป ตรงกันข้าม หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและอ่อนโยน
นับตั้งแต่สูญเสียมารดา ก่อนจะได้พบเพื่อนสนิทอย่างซิล มาดามอาริสาคือผู้มีพระคุณอันดับหนึ่งของเธออย่างไร้ข้อกังขา สำหรับฟอร์ส การมีตะกอนพลังของอีกฝ่ายอยู่ในร่างกายนั้นเท่ากับว่า เธอและมาดามอาริสาจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป
“อย่างนั้นเองหรือ… กฎอนุรักษ์พลังพิเศษในเส้นทางใกล้เคียงและความถาวรของพลังพิเศษ… หมายความว่า ตะกอนพลังจากศพผู้ผู้ตัดสิน จะมีค่าเทียบเท่าวัตถุดิบหลักทั้งสองชนิดของโอสถใช้ไหม?”
ฟอร์สถามย้ำเพื่อให้มั่นใจ
“ถูกต้อง” ออเดรย์ตอบโดยไม่ปิดบัง เธอเองก็อยากให้ซิลได้พัฒนาลำดับพลัง
ฟอร์สลุกขึ้นยืนและก้มศีรษะคำนับสุภาพบุรุษหลังม่านหมอกอย่างนอบน้อม
“มิสเตอร์ฟูล ดิฉันอยากรบกวนให้ผู้รับใช้ของท่าน ช่วยเก็บตะกอนพลังเจ้าพนักงานไว้ก่อนสักพักจะได้ไหมคะ? ดิฉันต้องการซื้อมันจากใจจริง เพียงแต่สถานภาพการเงินในปัจจุบันยังไม่เอื้ออำนวย คงต้องขอเวลาอีกสักหนึ่งสัปดาห์”
“ไม่มีปัญหา” ไคลน์ตอบเสียงเรียบราวกับมิได้ใส่ใจเรื่องเงินทอง
ฟอร์สถอนหายใจยาวอย่างปลอดโปร่ง :
“เช่นนั้นแล้ว ผู้รับใช้ของท่านต้องการขายในราคาเท่าใด?”
วัตถุดิบหลักโอสถลำดับ 8 จะมีราคาชิ้นละสามร้อยปอนด์… ไคลน์อมยิ้ม
“หกร้อยปอนด์”
เมื่อบอกราคาเสร็จ ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนประเด็นสนทนาโดยทำทีไม่สนใจการค้าขาย
มันมองไปรอบโต๊ะหนึ่งครั้ง ก่อนจะเสกกระดาษหนังขึ้นมาหลายแผ่น ทุกแผ่นปรากฏตรงหน้าสมาชิกทุกคน
“เราจะสอนวิธีอ่านอักษรพิเศษของโรซายล์ให้พวกเจ้าโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน เพื่อให้พวกเจ้ารวบรวมไดอารีของโรซายล์ได้ง่ายขึ้น”
ข้อมูลบนกระดาษคือวิธีการอ่านตัวเลขและวันเดือนปีภาษาจีนกลาง
เหตุผลให้ไคลน์ต้องสอนวิธีอ่านตัวเลขและวันเวลากับทุกคน เพราะมันกังวลว่าสมาชิกชุมนุมอาจนำของ ‘เลียนแบบ’ มาให้ตนอ่านอีกในอนาคต และนั่นค่อนข้างน่าหงุดหงิด
ไดอารีของโรซายล์มักมีวันเดือนปีเขียนกำกับไว้เสมอ ข้อมูลข้างต้นมากพอจะช่วยคัดกรองไดอารีของปลอมได้เกือบทั้งหมด…
ไคลน์หัวเราะอย่างภูมิใจ
ออเดรย์และคนอื่นต่างประหลาดใจอย่างมาก พวกเขาและเธอไม่คาดคิดว่าเดอะฟูลจะยอมสอนวิธีอ่านไดอารีโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน ถึงแม้เนื้อหาจะเป็นพื้นฐานของพื้นฐาน แต่การได้เรียนรู้สิ่งใหม่ถือเป็นก้าวแรกแสนสำคัญ ใครจะรู้ ในอนาคตอาจมีการสอนเพิ่มเติมหนสองหนสามตามมาอีกก็ได้!
หลังจากปล่อยให้แลกเปลี่ยนอีกเล็กน้อย ไคลน์ประกาศกึกก้องด้วยเสียงผ่อนคลาย
“วันนี้พอเท่านี้ก่อน”
“สุดแล้วแต่ท่าน” ออเดรย์ อัลเจอร์ และคนอื่นต่างลุกยืนคำนับพร้อมเพรียง
ร่างมายาของแต่ละคนเริ่มกลายเป็นแสงสีแดงเข้มก่อนจะเลือนรางหายไป พระราชวังโอ่อ่าเหนือสายหมอกสีเทากลับคืนความเงียบสงบอีกครั้ง เหลือทิ้งไว้เพียงไคลน์ ผู้กำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล
……………………
ราชันเร้นลับ 396 : ภราดรภาพแสงพิสุทธิ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากกลับโลกจริง ฟอร์สนั่งลงบนโต๊ะอ่านหนังสือและปล่อยสมองให้ครุ่นคิดเรื่องตระกูลอับราฮัมอยู่พักใหญ่ ขณะเดียวกันก็เริ่มเข้าใจความหมายของคำบางในหนังสือศาสตร์เร้นลับซึ่งตนเคยสับสนมานาน
แบบนี้นี่เอง… เป็นเหตุผลว่าทำไม มาดามอาริสาถึงไม่ยอมบอกให้มิสเตอร์ลอว์เรนซ์ทราบเรื่องการตายของสามี… เมื่อลองนึกภาพตาม ตระกูลอับราฮัมช่างน่าสงสารนัก…
ฟอร์สพึมพำกับตัวเองก่อนจะลุกเดินไปค้น ‘ประสบการณ์โลกวิญญาณ’ จากกองหนังสือจำนวนมาก เจตนาเตรียมคัดลอกสองบทแรกสังเวยให้แก่มิสเตอร์ฟูล
ขณะนั่งเขียน หญิงสาวต้องเข้าฌานและปรับลมหายใจให้สงบนิ่ง เพื่อมิให้จิตใจเกิดการสับสนว้าวุ่นหรือเข้าสู่ภาวะปั่นป่วนทางสมอง อิทธิพลจากประสบการณ์โลกวิญญาณรุนแรงและอันตรายถึงเพียงนั้น
ตัวอักษรมิได้แฝงพลังเวทมนตร์หรือพลังวิญญาณไว้เลย แต่เมื่ออ่านและจินตนาการตามเนื้อหา คล้ายกับอารมณ์ของเราถูกชักจูงอย่างรุนแรงจนสมองพร่ามัว… หลังจากเพ่งสมาธิเขียนห้านาทีเต็ม เราต้องนั่งพักนานถึงห้านาทีเต็มเช่นกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้ เราไม่อยากเกิดคลุ้มคลั่งในสภาพเช่นนี้…
ฟอร์สนำนาฬิกาพกออกมาวางตรงมุมโต๊ะอ่านหนังสือเพื่อจับเวลา
…
บ้านตระกูลเบเกอร์ เมืองเงินพิสุทธิ์
เดอร์ริคลืมตาขึ้นและได้พบกับแสงสายฟ้าแลบวิบวับด้านนอกหน้าต่าง
ในสภาพพยุงตัวนั่ง เด็กหนุ่มกวาดสายตาไปรอบตัวหนึ่งหน และไม่พบว่ามีใครกำลังสอดส่องจับตามองตนอยู่
แต่จากการคาดเดาสถานการณ์อย่างแม่นยำของแฮงแมน รวมถึงการให้เหตุผลอย่างฉะฉานจนเถียงไม่ออก เดอร์ริคเห็นพ้องว่าตนคงกำลังถูกจับตามองโดยผู้วิเศษบางคนจากสภาเมือง
เหนือสิ่งอื่นใด มิสเตอร์ฟูลมิได้โต้แย้งคำพูดของแฮงแมน…
เดอร์ริคลุกจากเตียงพลางบิดขี้เกียจตามกิจวัตรปรกติ ขณะเดียวกันก็นึกทบทวนคำแนะนำจากแฮงแมนอย่างละเอียด
“จวบจนปัจจุบัน ในเมื่อคุณยังได้รับอิสระโดยไม่ถูกลากตัวไปขังไว้ใต้หอคอย ให้ประเมินไว้ก่อนว่า ทางสภายังเลือกใช้วิธีจับตามองคุณอย่างสันติ บางที พวกเขาอาจกำลังหาวิธีอพยพชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ออกจากดินแดนเทพทอดทิ้งซึ่งต้องคำสาป ผ่านทางตัวตนลึกลับนามอามนุด์—ผู้มาเยือนลึกลับจากภายนอกคนแรกในรอบหลายพันปี ฉะนั้น ถ้าคุณไม่ล้ำเส้น พวกเขาก็จะไม่ทำตัวกระโตกกระตาก เพื่อให้อามุนด์ไม่สังเกตเห็นความผิดปรกติ ฉะนั้น ผู้วิเศษซึ่งคอยจับตามองคุณจะไม่เข้าใกล้คุณมากนักในทางกายภาพ อย่างน้อยก็ในยามคุณลืมตาตื่น ด้วยเหตุนี้ ทางสภาเมืองคงยังไม่เห็นว่าคุณอาเจียนหนอนกาลเวลาออกมาแล้ว เครื่องพิสูจน์ก็คือ ท่าทีเย็นชาของผู้นำสูงสุดขณะคุณรายงานเรื่องความผิดปรกติของทีมสำรวจ โดยในลักษณะเดียวกัน พวกเขาคงสังเกตเห็นว่าคุณแอบประกอบพิธีกรรมบางอย่าง เพียงแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าคุณสวดภาวนาถึงใคร ถ้าเป็นผม คงเลือกสงสัยอามุนด์ไว้ก่อน ด้วยเหตุผลข้างต้น คุณสามารถประกอบพิธีกรรมได้อย่างเปิดเผยหลังจากนี้ เพราะพวกเขาจะพุ่งเป้าความสงสัยไปหาอามุนด์แต่เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ตาม คุณต้องแสร้งทำเป็นระวังตัวให้มากขณะประกอบพิธีกรรม เพื่อให้พวกเขาไม่เกิดความเคลือบแคลง และเหนือสิ่งอื่นใด หลังจากลงมือเสร็จ คุณต้องเตรียมเข้ารับการทดสอบจากนักจิตวิเคราะห์ของสภาเมือง ส่วนจะผ่านไปได้อย่างไรนั้น ผมขอแนะนำให้คุณรับความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูล…”
จากคำแนะนำของแฮงแมน เด็กหนุ่มเดินวนรอบโต๊ะกลมสองหนและเริ่มจุดเทียนสร้างแท่นบูชา เตรียมประกอบพิธีกรรมรับมอบ
…
ณ ห้วงมิติเหนือสายหมอก ท่ามกลางพระราชวังโบราณโอ่อ่า
ไคลน์นั่งจ้องเสาหินต้นใหญ่อย่างเหม่อลอย ฉากตรงหน้ามอบความรู้สึกคล้ายกับสถาปัตยกรรมของวิหารเอเธนส์จากโลกเก่า
เสาหินเหล่านี้เกิดจากจิตใต้สำนึกของเราจากโลกเดิม? ชายหนุ่มครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย
ทันใดนั้น ดาวแดงแทนเดอะซันเริ่มยุบพองและส่องแสง ตามด้วยการก่อตัวเป็นประตูมายาสลักลวดลายซับซ้อน สายหมอกสีเทาด้านล่างจำนวนหนึ่งเริ่มไหลเวียนคล้ายกับมีการใช้พลังงานภายในห้วงมิติ
ขณะนั่งฟังเสียงสวดภาวนามายาดังซ้อนทับหลายชั้น ไคลน์ก้มมองดวงตาดำล้วนซึ่งถูกเตรียมไว้บนโต๊ะทองแดงยาวเบื้องหน้า
หวังว่าเดอะซันน้อยจะไม่ทำมันหาย… ไม่อย่างนั้น ชุมนุมทาโรต์คงต้องบอกลาเดอะเวิร์ลเป็นการถาวร…
หากไม่เพราะดวงตาดำล้วน ไคลน์ ผู้ยังไม่มีพลังของนักเชิดหุ่น คงไม่สามารถควบคุมเดอะเวิร์ลให้เคลื่อนไหวได้เหมือนมนุษย์จริง
หากสิ่งนี้สูญหาย ไคลน์ไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยให้เดอะเวิร์ลตาย ดีกว่าปล่อยให้สมาชิกคนอื่นมอง ‘กล’ ของตนออก
ขณะถอนหายใจยาว ชายหนุ่มเพ่งพลังวิญญาณเพื่อบงการสายหมอกสีเทา ให้ไหลเข้าไปในบานประตูมายาด้านข้างและทำการเปิดมันออก พร้อมกับสร้างอุโมงค์วิญญาณเชื่อมต่อระหว่างมิติปัจจุบันกับโลกความจริง
ถัดมา ชายหนุ่มนำดวงตาดำล้วนวางลงในกล่องโลหะและปิดฝาสนิท ตามด้วยการโยนเข้าไปในรอยแยกกึ่งกลางบานประตูและกล่าวเสียงขรึม
“ห้ามสัมผัสวัตถุด้านในเด็ดขาด”
เมื่อพูดจบ ไคลน์ไม่เสียเวลาอยู่ในห้วงมิติสายหมอกนานนัก มันมั่นใจว่าเดอะซันคงยังไม่ลงมือในเร็ววัน และมิสเมจิกเชี่ยนคงต้องใช้เวลาอีกสักพักในการคัดลอกเนื้อหาสองบทแรกของหนังสือ
ชายหนุ่มห่อหุ้มร่างจิตด้วยพลังวิญญาณและเลือนหายไปจากห้วงมิติเหนือสายหมอก
…
เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านตระกูลเบเกอร์
ขณะเดอร์ริคเหลือบเห็นกล่องโลหะบนแท่นบูชา เด็กหนุ่มได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังตามมาอย่างเลื่อนราง :
“ห้ามสัมผัสวัตถุด้านในเด็ดขาด”
ห้ามสัมผัส…
เดอร์ริคเตือนสติตัวเองอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ละเมิดข้อห้ามดังกล่าวโดยเด็ดขาด
หลังจากขอบคุณเดอะฟูลและมิสเตอร์เวิร์ล เด็กหนุ่มสิ้นสุดพิธีกรรมและหยิบกล่องโลหะขึ้นมาเปิดฝาสำรวจ
วัตถุด้านในคือดวงตาสีดำล้วนซึ่งปราศจากตาดำ เพียงจ้องมองก็ทำให้สมองเกิดความปั่นป่วน ขาวโพลน โงนเงน อืดอาดยืดยาด และได้ยินเสียงเพรียกอย่างเลือนราง
เมื่อร่างกายตอบสนองในด้านลบ เด็กหนุ่มรีบปิดฝากล่องและใช้มีดเงินสร้างกำแพงวิญญาณผนึกไว้ทันที
ถัดมา เดอร์ริคนำกล่องซ่อนไว้ในช่องกระเป๋าลับของเสื้อตัวนอก ตามด้วยการจัดแจงขวานเฮอร์ริเคนให้เข้าตำแหน่ง และเดินออกจากบ้านและตรงไปยังลานฝึกของเมือง
ทีมสำรวจยังคงถูกกักกัน
อย่างไรก็ตาม เดอร์ริคยังไม่มีแผนลงมือในวันนี้ เพียงต้องการสำรวจสถานการณ์ให้รอบคอบและแน่ใจเสียก่อน อย่างไรก็ตาม หากสบโอกาสเหมาะเจาะ เด็กหนุ่มก็เตรียมลงมือโดยไม่ลังเล
เมื่อย่างกรายเข้าเขตลานฝึก เดอร์ริคเดินวนเขตกักกันหนึ่งรอบและสังเกตเห็นว่า สมาชิกทีมสำรวจล้วนจับกลุ่มยืนสนทนาราวสองถึงสามคน แต่เมื่ออีกฝ่ายตระหนักถึงสายตาจ้องมองจากบุคคลแปลกหน้า ทุกคนจะหยุดการกระทำทั้งหมดและยืนแน่นิ่งทันที บางกลุ่มเดินวนเวียนไปมาอย่างไรชีวิตชีวาราวกับซอมบี้
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราปลดผนึกกล่องโลหะและให้พวกเขาสัมผัสถึงออร่าของวัตถุจากมิสเตอร์เวิร์ลเดี๋ยวนี้?
พวกเขาจะหันมามองเราด้วยสายตาเย็นชาอย่างพร้อมเพรียง?
เพื่อเดอร์ริคจินตนาการภาพทุกคนพลันหันขวับมาจ้องตนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์และปราศจากประกายดวงตา เด็กหนุ่มพลันเกิดความรู้สึกหวาดกลัวเข้าไปถึงก้นบึ้ง
มันถอนหายใจยาวสุดปอด พลางเตือนสติตัวเองให้ใจเย็นและไม่ตื่นตูมจนเกินไป
…
เมืองเงินพิสุทธิ์
ณ ยอดหอคอย ห้องผู้นำสูงสุด
น่าล่าปีศาจ โคลิน·อีเลียด ผู้กำลังนั่งหลับตาเพื่อพักผ่อนสมอง พลันหันขวับไปมองเงาดำตรงมุมห้อง
จุดดังกล่าว เงาดำค่อยๆ ยืดตัวออกจากพื้นในลักษณะบิดเป็นเกลียว จนกระทั่งก่อตัวเป็นรูปทรงคล้ายมนุษย์สีดำสนิท
เงาดำพูดด้วยน้ำเสียงหวีดแหลมคล้ายโลหะเสียดสี
“ท่านผู้นำ เดอร์ริค·เบเกอร์ประกอบพิธีกรรมอีกแล้วขอรับ จากการสำรวจของผม คราวนี้เป็นพิธีกรรมรับมอบวัตถุบางชนิด หากเข้าใจไม่ผิด พิธีกรรมมีลักษณะคล้ายกับพิธีกรรมรับมอบซึ่งพวกเราทำกันเป็นประจำ เพียงแต่ว่า เดอร์ริคได้รับการตอบสนองจากอีกฝ่ายเป็นกล่องโลหะสีดำ ผมมองไม่เห็นว่าวัตถุด้านในกล่องมีลักษณะเป็นเช่นไร แต่ออร่าของสิ่งนั้นได้มอบความรู้สึกอันตรายและชั่วร้ายสุดขีด”
เล่าถึงตรงนี้ เงาดำแสดงความเห็น
“ท่านผู้นำ ปลายทางพิธีกรรมต้องเป็นชายปริศนาคนนั้นแน่ พวกเราต้องรีบลงมือก่อนเหตุการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้! มิฉะนั้น เดอร์ริค·เบเกอร์อาจอัญเชิญเทพมารหรือตัวตนระดับเดียวกัน ลงมาทำลายเมืองเงินพิสุทธิ์จากภายใน!”
สีหน้าโคลินพลันอึมครึม มันลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินวนไปมาด้วยย่างก้าวเชื่องช้า
“รอดูไปก่อน… สำหรับปัจจุบัน พวกเรายังไม่ทราบจุดประสงค์แท้จริงของบุคคลปริศนานามอามุนด์คนนั้น ยังไม่เข้าใจว่า เหตุใดเขาถึงส่งร่างแยกมาเพียงหนึ่งหลังจากค้นพบตำแหน่งเมืองเงินพิสุทธิ์ตั้งแต่สี่สิบปีก่อน แล้วเหตุใดถึงต้องให้ร่างแยกรอนานกว่าสี่สิบปีจึงค่อยเคลื่อนไหว หากเขามีเจตนาทำลายพวกเราให้สิ้นซากจริง ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเฝ้ารออย่างสูญเปล่านานกว่าสี่สิบปี… จริงไหม? ช่วยอดทนไปอีกสักพัก เขาอาจเป็นความหวังเดียวของเรา ความหวังในการรอดชีวิตจากเหตุการณ์วันโลกาวินาศ!”
เมื่อสิ้นเสียง สายฟ้าเส้นใหญ่พลันผ่าลงมาด้านนอกหน้าต่าง ช่วงมอบแสงสว่างวาบให้กับห้องทำงานบรรยากาศมืดสลัว
…
จนกระทั่งใกล้ตกเย็น เมื่อไคลน์ได้ยินเสียงสวดภาวนาจากมิสเมจิกเชี่ยน มันส่งตัวเองเข้ามิติเหนือสายหมอกเพื่อรับกระดาษเขียนเนื้อหาสองบทแรกของหนังสือประสบการณ์โลกวิญญาณ
ขณะกำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล ชายหนุ่มบรรจงพลิกกระดาษฉบับคัดลอกอ่านด้วยท่าทีผ่อนคลาย
ผ่านไปบรรทัดแล้วบรรทัดเล่า ยิ่งอ่านถลำลึกลงไปมากเท่าใด ไคลน์ก็ยิ่งประหลาดใจเมื่อตระหนักว่าตนถูกรบกวนทางสมองหนักหน่วง
เกิดอะไรขึ้น…?
ตัวอักษรพวกนี้ปราศจากพลังวิญญาณแฝงโดยสิ้นเชิง และกระดาษก็เป็นกระดาษธรรมดา ไม่ใช่สมบัติวิเศษแน่ แล้วทำไมจิตใจของเราจึงถูกรบกวน? ยิ่งไปกว่านั้น เรากำลังอยู่บนมิติสายหมอก แม้แต่ทวยเทพยังไม่มีพลังมากพอจะแผ่อิทธิพลเข้ามาได้…
ไคลน์ขมวดคิ้ว เอนกายพิงเก้าอี้อย่างผ่อนคลายพลางครุ่นคิด จนกระทั่งเริ่มตระหนักว่า อาการวิงเวียนของตนคลับคล้ายคลับคลากับเหตุการณ์บางชนิด
มันเริ่มเข้าใจสาเหตุ
หากมีการเขียนอธิบายรูปลักษณ์ของตัวตนระดับสูงไว้อย่างละเอียด ต่อให้เป็นการเขียนลงบนกระดาษธรรมดาด้วยอักษรธรรมดา แต่จิตใจของผู้อ่านก็สามารถเกิดความรู้สึกระคายเคืองได้เช่นกัน!
จากบรรดาตัวตนระดับสูงทั้งหมด หากใครได้อ่านบันทึกเกี่ยวกับทวยเทพ ผลข้างเคียงจะไม่ใช่แค่อาการวิงเวียนแน่นอน
และถ้าหนังสือเล่มใดอธิบายลงลึกในรายละเอียดของตัวตนระดับเทพ ผู้อ่านทุกคนมีสิทธิ์กลายเป็นบ้า บางคนอาจเปลี่ยนอุดมคติและการนับถือศาสนา ส่วนในกรณีของผู้วิเศษ มีโอกาสสูงว่าจะประสบภาวะคลุ้มคลั่งกะทันหัน
หนังสือ ‘ประสบการณ์โลกวิญญาณ’ ถูกเขียนขึ้นโดยหนึ่งในบรรพบุรุษของตระกูลอับราฮัม ผู้เขียนได้บันทึกประสบการณ์แปลกประหลาดซึ่งตนได้เห็นและได้ยินในโลกวิญญาณอย่างละเอียด
บทแรกกล่าวถึง ‘แสง’ ภายในโลกวิญญาณ โดยผู้เขียนเชื่อว่า แสงพิสุทธิ์เจ็ดสีของโลกวิญญาณจะอุดมไปด้วยองค์ความรู้มหาศาลในแต่ละขอบเขตโดยไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน และไม่ว่านักท่องเที่ยวจะเดินทางไปยังหนแห่งใดในโลกวิญญาณ พวกเขาก็จะเห็นริ้วแสงพิสุทธิ์เจ็ดสีอยู่ด้านบนสุดเสมอ
เรื่องน่าประหลาดใจกว่านั้นคือ แสงทั้งหมดมีชีวิตและความนึกคิดเป็นของตัวเอง! เป็นราวกับกายจิตซึ่งทอดยาวปกคลุมทั่วโลกวิญญาณทุกซอกมุม
ในทางศาสตร์เร้นลับ พิธีกรรมพันธสัญญาลับบางชนิดได้กำหนดเป้าหมายไปยังริ้วแสงพิสุทธิ์ทั้งเจ็ดโดยตรง และหากอีกฝ่ายยอมตอบสนองพันธสัญญา ผู้ประกอบพิธีกรรมจะได้รับความรู้ในขอบเขตดังกล่าวจำนวนหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์เร้นลับส่วนใหญ่มักเรียกเจ็ดแสงพิสุทธิ์ว่า ‘อาจารย์’ หรือไม่ก็ ‘ครู’
การกระทำดังกล่าวส่งผลให้ริ้วแสงพิสุทธิ์ทั้งเจ็ดมีความสุขอย่างมาก พวกเขาถึงกับรวบรวมสิ่งมีชีวิตภายในโลกวิญญาณจำนวนหนึ่ง เพื่อก่อตั้งเป็นองค์กรลับสำหรับสอนสั่งมนุษย์นามว่า :
ภราดรภาพแสงพิสุทธิ์!
สำหรับบทที่สองของหนังสือ นักท่องเที่ยวจากตระกูลอับราฮัมซึ่งเป็นผู้เขียน ได้บันทึกความทรงจำและประสบการณ์เมื่อครั้งได้พบกับ ‘แสงเหลือง’ ซึ่งมีนามว่า :
เวนิธาน
……………………
ราชันเร้นลับ 397 : คำทำนายวันพิพากษา
โดย
Ink Stone_Fantasy
อาศัยความช่วยเหลือจากห้วงมิติสายหมอกเทา ไคลน์คืนสติตัวเองกลับมาได้ไวและเริ่มอ่านบทที่สองของหนังสือประสบการณ์โลกวิญญาณต่อทันที
นักท่องเที่ยวของตระกูลอับราฮัม ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ อ้างตัวว่าขณะตนท่องเข้าไปในส่วนลึกของโลกวิญญาณ เขาได้พบกับชายชราสวมชุดคลุมสีเหลืองเปลือกเลมอน
ร่างกายของชายชราคนดังกล่าวมีลักษณะโปร่งแสงเฉกเช่นสิ่งมีชีวิตอื่นบนโลกวิญญาณ อย่างไรก็ตาม ท่าทีของเขากลับเป็นมิตรจนน่าเหลือเชื่อ
นักท่องเที่ยวจากตระกูลอับราฮัมสนทนากับอาวุโสสักพัก โดยในภายหลังมีอันต้องประหลาดใจเมื่อทราบว่า ชายชราคนดังกล่าวคือหนึ่งในเจ็ดริ้วแสงพิสุทธิ์ผู้ปกคลุมน่านฟ้าของโลกวิญญาณมาช้านาน
‘แสงเหลือง’ เวนิธาน
เวนิธานยังเล่าให้บรรพบุรุษของตระกูลอับราฮัมฟังด้วยว่า คุณลักษณะพิเศษของตนคือ ‘ตรรกะ’ และ ‘การปรับตัว’ พลังในขอบเขตคือโหราศาสตร์ และอัญมณีประจำตัวคือมรกต
ชายชรายังเล่าถึงผลการทำนายอนาคตของตนอย่างคร่าว :
“จงระวังดวงดาวจากอวกาศให้ดี มันจะพุ่งชนโลกจนทำให้ผืนดินถูกทำลาย ทุกสิ่งจะเข้าสู่ภาวะแตกดับ”
เวนิธานเชื่อว่าวันสิ้นโลกจะเกิดขึ้นในอีกสองร้อยปีข้างหน้า และจะไม่มีสิ่งใดเหลือรอด
นักท่องเที่ยวจากตระกูลอับราฮัมมิได้แยแสคำทำนายดังกล่าวมากนัก เพียงเพ่งความสนใจไปยังวิธีรักษาคำสาปของสายเลือด
‘แสงเหลือง’ เวนิธาน ตอบกลับอย่างคลุมเครือว่า :
“เจ้าจะมองว่าเป็นคำสาปก็ไม่ผิด แต่สิ่งนี้ไม่ใช่คำสาปในทางศาสตร์เร้นลับ ส่วนวิธีหลุดพ้นจากหายนะดังกล่าว คือการพึ่งพาผู้ฝึกหัดคนหนึ่งซึ่งถูกช่วยไว้โดยบุคคลลึกลับ”
อย่างไรก็ตาม เวนิธานได้เตือนทิ้งท้ายไว้อย่างน่าขนลุกว่า หากคำสาปตระกูลอับราฮัมถูกขจัดเมื่อใด วินาทีดังกล่าวคือจุดเริ่มต้นของขุมนรกอันแท้จริงของตระกูลอับราฮัม
แต่ขุมนรกดังกล่าวมีลักษณะหรือหน้าตาเป็นเช่นไร เวนิธานเองก็ไม่มั่นใจนัก ระบุเพียงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลยิ่งใหญ่ระดับทวยเทพ
ผู้เขียนหนังสือยังกล่าวอีกว่า เวนิธานได้เล่าเรื่องน่าสนใจให้ฟัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้นำแห่งภราดรภาพแสงพิสุทธิ์—เหล่าริ้วแสงพิสุทธิ์ทั้งเจ็ดเส้น พวกเขามักแฝงตัวเข้าไปในโลกมนุษย์ด้วยหลากหลายวิธีการ จำแลงกายเป็นมนุษย์และคอยถ่ายทอดความรู้ตามแต่ความถนัดของตน
นับตั้งแต่ยุคสมัยที่ห้าเป็นต้นมา บุคลากรระดับปรมาจารย์ของโลกในหลายสาขาอาชีพ มักเป็นร่างจำแลงของริ้วแสงพิสุทธิ์ทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น สุดยอดนักโหราศาสตร์ของโลก ดิ·ฟอสมันน์ ผู้สร้างทฤษฎีโลกกลมและเชื่อว่าเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง แท้จริงแล้วคือร่างจำแลงของ ‘แสงเหลือง’ เวนิธาน
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนหนังสือจึงเริ่มตั้งประเด็นสงสัยว่า โรซายล์·กุสตาฟ คือร่างจำแลงของริ้วแสงพิสุทธิ์เส้นใดกัน เนื่องจากชายคนนั้นเชี่ยวชาญในศาสตร์หลายแขนงเสียเหลือเกิน
ต้องขอโทษด้วยคุณอับราฮัม แต่เขาไม่ใช่… หรือหากคิดแบบนั้นแล้วมีความสุข ผมก็ขอตอบว่าชายคนนั้นคือแสงเขียว…
ไคลน์ครุ่นคิดพลางเลื่อนมือขึ้นมาลูบขมับ
จากข้อมูลเมื่อครู่ มันได้ทราบว่าผู้เขียนหนังสือมิใช่ตัวตนเก่าแก่โบราณ ขณะเดียวกัน เมื่อประเมินว่าอีกฝ่ายมิได้เรียกโรซายล์ว่า ‘จักรพรรดิ’ หมายความว่าการท่องโลกวิญญาณในบันทึกเล่มนี้ อาจเกิดขึ้นขณะโรซายล์ยังเป็นเพียงกงสุล หรือไม่ก็เพิ่งเริ่มเรียกตัวเองว่าเป็นจักรพรรดิได้ไม่นาน จึงยังไม่แพร่หลายสู่สาธารณชนสักเท่าไร
แต่บางที อาจเป็นเพราะตระกูลอับราฮัมจะไม่เรียกราชวงศ์อื่นนอกจากทูดอร์ว่าจักรพรรดิก็เป็นได้…
นักท่องโลกวิญญาณ… คงเป็นผู้วิเศษระดับค่อนไปทางสูง แต่ต้องไม่สูงจนเกินไป ไม่อย่างนั้นคงช่วยเหลือมิสเตอร์ประตูออกมานานแล้ว และคำสาปตระกูลอับราฮัมก็จะไม่ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน… ฉะนั้น ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คงมีลำดับประมาณ 5 หรือไม่ก็ลำดับ 6 ผู้ครอบครองสมบัติวิเศษ… ถึงแม้ว่าตระกูลอับราฮัมจะเสื่อมถอยลงในช่วงหลัง แต่พวกเขาก็มิได้อ่อนแอ…
หืม… แล้วทำไมคำทำนายด้านวันสิ้นโลกของ ‘แสงเหลือง’ เวนิธาน ถึงได้คล้ายคลึงกับคำทำนายของนิกายแม่มดและชุมนุมแสงเหนือนัก?
หรือวันพิพากษาจะมีอยู่จริง?
ถ้าอย่างนั้น หากคำนวณตามวันเวลาในบันทึกอย่างคราว วันพิพากษาจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า…
ไคลน์ขมวดคิ้วขบคิด
โรซายล์ขึ้นเป็นกงสุลในช่วงปี 1173… โดยปัจจุบันคือปี 1349 หมายความว่าเขาเป็นกงสุลเมื่อประมาณ 179 ปีก่อน… ในช่วงเวลาดังกล่าว เวนิธานได้ทำนายว่าอีกสองร้อยปี โลกจะถึงวันพิพากษา…
เมื่อนำหลายข้อมูลประกอบกัน ไคลน์กลั่นกรองได้ตัวเลขออกมาเป็น : วันพิพากษาจะเกิดขึ้นในอีกประมาณยี่สิบสี่ถึงห้าสิบปีข้างหน้าถ้านับจากเวลาปัจจุบัน (โรซายล์ตั้งตนเป็นจักรพรรดิในปี 1192 และถูกลอบสังหารในปี 1198)
แม้ว่าสองบทแรกในหนังสือประสบการณ์โลกวิญญาณจะไม่มีเขียนถึงพิธีกรรมซับซ้อนหรือความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับมากนัก แต่ข้อมูลดังกล่าวได้เปิดโลกทัศน์ไคลน์พอสมควร
อย่างน้อยก็ช่วยให้ทราบสถานการณ์ของโลกวิญญาณได้ดีระดับหนึ่ง รวมถึงความเข้าใจในตัวตนของริ้วแสงพิสุทธิ์ และองค์กรลับภราดรภาพแสงพิสุทธิ์
เข้าใจแล้ว… ริ้วแสงด้านบนสุดขณะประกอบพิธีกรรม หรือขณะอยู่ในสภาพร่างวิญญาณหลังจากเลื่อนลำดับ ความจริงแล้วคือแสงพิสุทธิ์แห่งโลกวิญญาณนี่เอง… เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาล้วนมีความนึกคิดเป็นของตัวเอง… มหัศจรรย์ชะมัด…
อีกอย่าง สองบทแรกของหนังสือประสบการณ์โลกวิญญาณ มิได้ปราศจากข้อมูลทางศาสตร์เร้นลับโดยสิ้นเชิง อย่างน้อย เราก็ได้ทราบว่าแสงเหลืองชื่อเวนิธาน และอัญมณีประจำตัวคือมรกต ข้อมูลในคราวนี้อธิบายไว้ค่อนข้างละเอียด จนมากพอจะทำไปประกอบพิธีกรรมระบุตัวถึงตัวตนของแสงเหลืองได้แม่นยำ… แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ข้อมูลข้างต้นคงไม่มีประโยชน์สักเท่าไร…
ไคลน์นั่งไตร่ตรองสักพัก ก่อนจะปิดปึกกระดาษฉบับคัดลอกและส่งตัวเองกลับโลก
ปัจจุบัน มันมีสิ่งสำคัญให้ต้องสนใจมากกว่าการติดต่อกับ ‘แสงเหลือง’ เวนิธาน
ไคลน์หยิบแผ่นกระดาษออกมาวาง ตามด้วยการจับปากกาเขียนจดหมายหานักประดิษฐ์อัจฉริยะ เลพเพิร์ด เพื่อสอบถามว่าสิทธิบัตรจักรยานคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ทำไมถึงยังไม่เสร็จเสียที และต้องการให้ช่วยหาทนายหรือไม่
หลังจากตั้งกฎเหล็กของนักมายากลสำเร็จ ความเร็วในการย่อยโอสถไคลน์ก็คืบหน้าอย่างเห็นได้ชัด อีกไม่เกินสองเดือนก็คงย่อยเสร็จสมบูรณ์ ถึงตอนนั้น มันต้องรีบออมเงินเพื่อซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถ ‘ผู้ไร้หน้า’
สำหรับหนึ่งในวัตถุดิบหลัก เดอะซันคงตอบแทนเดอะเวิร์ลหลังจากยืมใช้งานดวงตาดำล้วนเสร็จ แต่ไคลน์ก็ยังเหลือวัตถุดิบหลักอีกหนึ่งชนิดให้ต้องควักเงินซื้อด้วยตัวเอง
หากอ้างอิงตามราคาตลาด วัตถุดิบหลักโอสถลำดับ 6 จะมีราคาสูงถึงหนึ่งพันห้าร้อยปอนด์ต่อชิ้น แถมยังค่อนข้างผันผวนขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการ
นอกเหนือจากวัตถุดิบหลัก วัตถุดิบรองยังประกอบด้วยเลือดของนักล่าพันหน้า และเส้นผมของนากาทะเลลึก วัตถุทั้งสองชนิดนับว่ามีพลังวิญญาณเจือปนในปริมาณเข้มข้น ราคาจึงไม่เล็กน้อยเลยสักนิด
การออมเงินช่างยากลำบาก แต่การใช้จ่ายกลับง่ายดายเหมือนเททิ้ง… ต่อให้เราขายตะกอนพลังของมนุษย์หมาป่าและนักสอบสวนได้หลังจากนี้ ก็คงมิอาจใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายได้อยู่ดี…
ไคลน์รำพันพลางผนึกซองจดหมายและติดตราไปรษณียากร
มันทราบจำนวนทรัพย์สินในปัจจุบันของตนโดยไม่ต้องเสียเวลานั่งนับ
624 ปอนด์ในรูปแบบธนบัตร เหรียญหนึ่งทองปอนด์อีกห้าเหรียญ ธนบัตรเจ็ดซูลและเศษเหรียญเพนนีอีกจำนวนหนึ่ง
ใช่แล้ว เรายังจะมีรายได้อีกหกร้อยปอนด์จากมิสเมจิกเชี่ยนในการขายตะกอนพลังเจ้าพนักงานให้มิสซิล หวังว่าทั้งสองสาวจะหาเงินมาจ่ายได้ในเร็ววัน…
ไคลน์ให้กำลังใจพวกเธอจากก้นบึ้ง
…
“เธอกำลังจะบอกว่า ชุมนุมผู้วิเศษใหม่ล่าสุดมีวัตถุดิบหลักโอสถของเจ้าพนักงานทั้งสองชนิดขาย แถมราคายังสมเหตุสมผล โดยสองชิ้นรวมกันเพียงหกร้อยปอนด์?”
ดวงตาซิลพลันลุกวาวขณะรัวยิงคำถามใส่เพื่อนสนิทไม่หยุดพัก
เธอเพิ่งกลับจากเขตตะวันออกหลังจากพยายามหาว่ามีใครปองร้ายกับคาพินในระยะหลังบ้าง
“ถูกต้อง และเขายังเป็นคนดัง รับประกันเรื่องความถูกต้องได้แน่นอน ติดปัญหาตรง ชุมนุมนี้มีกฎระเบียบการเข้าร่วมเข้มงวดมาก ฉันคงยังพาเธอไปด้วยในได้ในช่วงนี้”
ฟอร์สเล่าความจริงทุกประการ
“เจ๋งเป้ง!” ซิลไม่เคลือบแคลงถ้อยคำเพื่อนสนิท เพียงเดินเข้าหาอีกฝ่ายสองก้าวพร้อมกับทำสีหน้าตื่นเต้น
ทว่า เพียงไม่นานก็กลับไปหดหู่
“แค่ฉันมีเงินไม่พอ…”
มุมปากฟอร์สเริ่มกระตุกเล็กๆ :
“แล้วตอนนี้เธอมีเท่าไร?”
“เมื่อรวมกับค่าจ้างของงานล่าสุดจำนวนสามสิบปอนด์ ฉันจะมีเงินออมทั้งหมดสามร้อยสิบปอนด์ ขาดอีกตั้งครึ่ง!” ซิลสางผมสีทองสั้นอันยุ่งเหยิง “ฉันขอคิดก่อน… อีกสามร้อยปอนด์สามารถหยิบยืมจากใครได้บ้าง… ธนาคารไม่มีวันปล่อยกู้ให้นักล่าค่าหัวอยู่แล้ว และเงินกู้นอกระบบก็มีดอกเบี้ยสูงเกินไป…
“หรือว่า… มิสออเดรย์?”
ซิลได้ยินว่าเพื่อนสนิทของตนเพิ่งซื้อสูตรโอสถนักตุกติกมาในราคาสี่ร้อยห้าสิบปอนด์ จึงไม่คิดจะยืมเงินจากหล่อน
“ทำไมพวกเราถึงได้ขัดสนนักนะ…” ฟอร์สรำพันห่อเหี่ยว “ช่วงนี้มิสออรเดย์แทบไม่ออกจากคฤหาสน์ คล้ายกับกำลังสนุกอยู่กับบางสิ่ง และการยืมเงินเธอก็ยังไม่ค่อยเหมาะสมนัก… บางที พวกเราควรเริ่มจากไวเคาต์กายลินก่อน แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ฉันจะช่วยออกเงินให้เธอซื้อวัตถุดิบหลักไปก่อน เพราะในปัจจุบัน ฉันยังเหลือเงินออมอยู่สี่ร้อยสิบปอนด์ นั่นคงพอจะช่วยเธอจ่ายได้”
ซิลกะพริบตาถี่พลางเปล่งเสียงตื่นเต้น
“ฟอร์ส ฉันคงหาเพื่อนสนิทคนใดดีกว่าเธอไม่ได้อีกแล้ว! ถ้าได้เป็นเจ้าพนักงานเมื่อไร ฉันจะทำเงินได้มากกว่าเดิมแน่!”
ฟอร์สอมยิ้มพลางส่ายหัว
“ถ้าซาบซึ้งขนาดนั้น วันนี้ช่วยทำความสะอาดแทนเวรของฉันได้ไหม? หืม?”
…
เมืองเงินพิสุทธิ์
เดอร์ริคตรงกลับบ้านทันทีหลังจากแวะไปเยี่ยมลานฝึกของเมือง
มันได้ถามผู้คุมแล้วว่า ทีมสำรวจชุดนี้จะถูกปล่อยจากการกักกันตอนไหน และคำตอบออกมาเป็น :
“เมื่อสายฟ้าสงบรอบถัดไป”
บนเก้าอี้หลังโต๊ะไม้โบราณ เดอร์ริคกำลังนั่งไตร่ตรองแผนการของตัวเองอย่างถี่ถ้วน มันยังจดจำคำของแฮงแมนได้แม่นยำ :
“ถ้าไม่มีชาวเมืองช่วยเป็นพยานให้ จงใช้คนของสภาอาวุโส ผู้ได้รับมอบหมายให้คอยสะกดรอยตามคุณทุกฝีก้าว ช่วยเป็นพยานในเหตุการณ์ดังกล่าวแทน”
แต่เราจะทราบได้ว่า ปัจจุบันกำลังถูกคนของสภาอาวุโสจับตามองอยู่… มิสเตอร์แฮงแมนอธิบายแผนการให้เราฟังอย่างฉะฉานก็จริง แต่เขาไม่ได้ระบุว่าต้องใช้วิธีใดตรวจสอบ…
คำถามมากมายกำลังถาโถมใส่เด็กหนุ่ม และมันก็ไม่สามารถหาคำตอบเองได้
แม้จะรู้สึกอับอาย ถ้าต้องรบกวนให้ตัวตนอย่างมิสเตอร์ฟูลช่วยตอบคำถามโง่เขลาเช่นนี้ แต่เพื่อความอยู่รอดของเมืองเงินพิสุทธิ์ เด็กหนุ่มกัดฟันบากหน้าซักถามตัวตนระดับเทพ
มันสวดภาวนาถึงเดอะฟูลด้วยเสียงแผ่ว พร้อมกับอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันอย่างคร่าว
เพียงไม่นาน เดอร์ริคได้เห็นภาพของเดอะฟูลท่ามกลางสายหมอกไร้จุดสิ้นสุด ตามด้วยคำตอบสั้นกระชับ :
“จงสัมผัสกับวัตถุในกล่องเหล็กโดยตรง แต่ห้ามนานกว่าสามวินาทีเด็ดขาด ก่อนจะสัมผัสให้เตรียมใจอย่างมั่นคง สิ่งสำคัญก็คือ พยายามมองหาเส้นด้ายสีดำให้พบ”
ง่ายแค่นี้เองหรือ?
เดอร์ริคแสดงความขอบคุณเดอะฟูลด้วยท่าทีนอบน้อมแกมคาดหวัง
เด็กหนุ่มรีบปรับท่าทางร่างกายเล็กน้อย พลางเลื่อนมือเข้าไปยังช่องลับของกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวนอก
หลังจากกำแพงวิญญาณสลายไป เดอร์ริคใช้ปลายนิ้วบรรจงเปิดกล่องและลูบคลำหาตำแหน่งวัตถุข้างในอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้น ปลายนิ้วชนเข้ากับวัตถุเย็นเฉียบและน่าขยะแขยง ภาพการมองเห็นของเด็กหนุ่มพลันดำมืดกะทันหัน
สมองเริ่มวิงเวียนประหนึ่งถูกค้อนเหล็กทุบใส่ท้ายทอยเต็มแรง โสตประสาทถูกทะลุทะลวงด้วยเสียงคำรามมายาแสบแก้วหู
ร่างกายเดอร์ริคเกิดอาการชักกระตุก น้ำหูน้ำตาไหลเต็มใบหน้าเนื่องด้วยความเจ็บปวดฉับพลันซึ่งกำลังแล่นไปทั่วร่าง
มันเกือบลืมไปแล้วว่าจุดประสงค์ของตนคือสิ่งใด แต่โชคยังดี ภายในขอบเขตของสายตาเบื้องหน้า เดอร์ริคได้พบกับเส้นด้ายสีดำจำนวนมากกำลังลอยเข้าไปในห้วงมิติอันว่างเปล่า
ตรงมุมห้อง คล้ายกับเงาดำบริเวณนั้นกำลังเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิต!
เด็กหนุ่มรีบชักมือกลับอย่างลนลานราวกับสัมผัสโดนเหล็กร้อนโดยไม่ได้สวมเครื่องป้องกัน
เดอร์ริคล้มฟุบลงกับพื้นห้องและนอนชักกระตุกเป็นเวลานาน อากัปกิริยาคล้ายกับคนถูกฟ้าผ่ากลางศีรษะ ริมฝีปากอ้ากว้าง น้ำลายสีใสไหลหยดย้อยเป็นทางยาว
ใช้เวลานานเกือบนาทีกว่าจะกลับสู่ภาพปรกติได้ หลังจากคืนสติกลับมา เดอร์ริครีบปิดฝากล่องโลหะในช่องลับและผนึกกำแพงวิญญาณทับอีกชั้น
มันรีบจิบน้ำเพื่อคลายความตึงเครียด สำหรับวินาทีนี้ เด็กหนุ่มไม่เคลือบแคลงอีกแล้วว่าตนกำลังถูกจับตามองหรือไม่
จนกระทั่ง ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ประตูบ้านของเดอร์ริคมีเสียงคนเคาะ
“ใคร?” เด็กหนุ่มซักถามอย่างไม่คาดหวัง
เสียงยินดีปรีดาดังมาจากหลังประตู
“ฉันเองเพื่อน ดาร์กไง ตอนนี้ทีมสำรวจถูกปล่อยตัวจากการกักกันแล้ว นายอยากฟังไหม ว่าฉันได้พบเรื่องสุดยอดแบบไหนมาบ้าง?”
……………………
ราชันเร้นลับ 398 : เห็ดอันเย้ายวน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดาร์ก?
ภาพของดาร์ก·รีเจนซ์ผุดขึ้นในหัวเดอร์ริค
สูงปานกลาง เจ้าเนื้อเล็กน้อย มีพละกำลังมาก มองโลกในแง่ดี ร่าเริง และมักฉาบด้วยรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอ ดาร์กเป็นเพื่อนเดอร์ริคตั้งแต่สมัยเรียน และในภายหลังได้กลายมาเป็นเพื่อนร่วมทีมลาดตระเวน
แต่หลังจากภารกิจสำรวจซากปรักหักพังของพระผู้สร้างเสื่อมทราม ดาร์กเปลี่ยนไปเป็นคนเก็บตัวและสุภาพนอบน้อมจนผิดวิสัย เขาแทบไม่เคยยิ้มให้ใครอีกเลย
เมื่อหวนนึกถึงบุคลิกใหม่ของเพื่อนสนิท เด็กหนุ่มพลันยืนสั่นเทาแม้ว่าอากาศรอบตัวจะไม่หนาว ร่างกายสั่นสะท้านจากความเย็นเฉียบทุกอณู
ทำไมถึงมาหาเรากะทันหันแบบนี้? ไม่ใช่ว่าเขาควรตรงกลับบ้านทันทีหลังถูกปล่อยตัวจากเขตกักกันหรอกหรือ?
คำถามมากมายพรั่งพรูใส่สมองเดอร์ริค
จากนั้น มันเริ่มวิเคราะห์หาความเป็นไปได้
…หรืออาวุโสโลเฟียร์จะทราบว่าเรากำลังสงสัยในตัวทีมสำรวจ จึงส่งดาร์กมาเก็บเรา?
เดอร์ริคเผยอาการตกตะลึงและหวาดกลัว แต่ไม่นานก็เริ่มมองโลกในแง่ดี
แฮงแมนเคยกล่าวไว้ว่า :
‘ถ้าไม่มีชาวเมืองช่วยเป็นพยานให้ จงใช้คนของสภาอาวุโส ผู้ได้รับมอบหมายให้คอยสะกดรอยตามคุณทุกฝีก้าว ช่วยเป็นพยานในเหตุการณ์ดังกล่าวแทน’
และตอนนี้ คนของสภาอาวุโสกำลังหลบซ่อนอยู่ตรงมุมห้อง ถ้าดาร์กโจมตีใส่เรา สภาอาวุโสก็จะทราบทันทีว่าทีมสำรวจชุดนี้ไม่ปรกติ!
ดังนั้น ถึงจะไม่มีวัตถุของมิสเตอร์เวิร์ลช่วยกระตุ้นให้พวกเขาเผยธาตุแท้ แต่เราก็จะผ่านวิกฤติไปได้อย่างราบรื่น!
เดอร์ริคมองออกไปนอกหน้าต่าง
สายฟ้าด้านนอกกำลังผ่าด้วยความถี่ต่ำ ประมาณสองนาทีต่อหนึ่งครั้ง ส่งผลให้บรรยากาศรอบเมืองเงินพิสุทธิ์มืดสนิทเกือบตลอดเวลา
หากอาศัยอยู่ตามลำพัง เดอร์ริคจะไม่เสียเวลาหามองเทียนไขขึ้นมาจุด เพียงนอนแผ่ไปบนเตียงพลางใช้สมองขบคิดเรื่องราวต่างๆ จนกระทั่งหลับไป
แน่นอน มันทราบว่าพฤติกรรมเช่นนี้เป็นสิ่งอันตราย เพราะหากปราศจากแสงสว่าง จะมีโอกาสถูกสัตว์ประหลาดจากความมืดลอบทำร้าย แม้ว่ากำลังอยู่ในเมืองเงินพิสุทธิ์ก็ตาม
แต่เนื่องจากเดอร์ริคคือ ‘ผู้ภาวนาแห่งแสง’ ร่างกายจะแผ่ออร่าของธาตุแสงออกมาตลอดเวลาอยู่แล้ว สิ่งนี้จึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวล
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ดาร์กเคาะประตูย้ำอีกสามหน ราวกับกำลังเร่งเร้าให้เจ้าของบ้านรีบออกมาเปิด
เขาไม่เคยเป็นแบบนี้… ดาร์กมีนิสัยสุภาพและขี้เกรงใจมาก…
เดอร์ริคทวีความเจ็บแปลบตรงหน้าอก
เด็กหนุ่มเดินไปหยิบเทียนไขและนำมาวางไว้บนโต๊ะไม้ ตามด้วยการใช้ปลายนิ้วถูไส้เทียนจนเกิดแสงสว่างสีทอง
เมื่อเทียนไขติดไฟ บรรยากาศภายในบ้านเริ่มสลัวอย่างอบอุ่น มีกลิ่นฉุนแซมเล็กน้อย
เทียนไขภายในเมืองเงินพิสุทธิ์จะถูกผลิตจากไขมันและน้ำมันจากศพสัตว์ประหลาด ส่งผลให้มีกลิ่นแตกต่างกันไปตามแต่ละต้นกำเนิด
หลังจากสูดลมหายใจยาวสุดปอด เดอร์ริคเดินไปเปิดประตูด้วยท่าทีระมัดระวัง
“ทำไมถึงได้ช้านัก?” ดาร์กถามเปื้อนยิ้ม
“หาเทียนไขอยู่” เดอร์ริคตอบห้วน
เด็กหนุ่มไม่กล้าหันหลังให้อีกฝ่ายแม้แต่วินาทีเดียว มันเดินไหล่ชิดไหล่เข้าไปในบ้านพร้อมกับอีกฝ่าย จนกระทั่งแต่ละคนแยกกันนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะไม้
“กินผลดูมแห้งไหม?” ดาร์กซักถามด้วยรอยยิ้มขณะปลดถุงผ้าใบเล็กออกจากเอว
ผลดูมคืออาหารทานเล่นหายากของเมืองเงินพิสุทธิ์ หาได้จากเถาวัลย์ดูมโลหิต เป็นพืชชนิดพิเศษ สามารถเจริญเติบโตได้โดยไม่ต้องอาศัยแสงแดด กลไกทางชีวภาพคือการแย่งชิงสารอาหารจากซากศพเน่าเปื่อยทุกชนิด เถาวัลย์ดูมโลหิตมีสติและความนึกคิด มักโจมตีใส่สิ่งมีชีวิตใกล้ตัวเสมอ ถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่สัตว์ประหลาดอ่อนแอ
เถาวัลย์ดูมโลหิตจะมีผลสีดำขนาดเท่าหัวแม่มือมนุษย์ สามารถใส่ปากเคี้ยวได้ทันทีโดยไม่ต้องปรุง รสสัมผัสกรุบกรอบ รสชาติหวาน แต่ปราศจากคุณค่าทางอาหารและไม่อิ่มท้อง เป็นได้เพียงอาหารทานเล่นระหว่างวัน ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์สามารถนำคะแนนผลงานไปแลกเป็นผลดูมได้หลายถุง
“ไม่ดีกว่า” เดอร์ริคส่ายหัวปฏิเสธ
“เข้าใจแล้ว” เมื่อกล่าวจบ ดาร์กเทผลไม้แห้งสีดำออกจากถุงผ้า ก่อนจะหยิบขึ้นมาใส่ปากเคี้ยวกร้วมกร้ามเสียงดังอย่างไม่เกรงใจ
เดอร์ริคครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเปิดประเด็น
“ในห้องใต้ดินของซากปรักหักพังมีสัตว์ประหลาดบ้างไหม?”
ดาร์กหยุดเคี้ยวพลางเงยหน้ายิ้มตอบ
“มีไม่มาก และค่อนข้างอ่อนแอ เพียงครู่เดียวก็ถูกพวกเราจัดการจนหมด ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสักเท่าไร วิหารดังกล่าวเคยถูกสำรวจมาแล้วหนหนึ่ง หากมีสัตว์ประหลาดแข็งแกร่งอาศัยอยู่จริง มันคงย้ายถิ่นฐานไปนานแล้ว”
ดาร์กเว้นวรรค ตามด้วยการเล่าโดยยกโค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“ในจุดลึกสุดของวิหาร พวกเราได้พบพืชพันธุ์ประหลาด ลักษณะคล้ายเห็ด… ไม่ผิดแน่ รายละเอียดปลีกย่อยตรงตามคำอธิบายของเห็ดภายในหนังสือเรียนทุกประการ เพียงแต่มันส่องแสงสว่างจ้าเป็นพิเศษ และดูน่ากินจนแทบอดใจไม่ไหว พวกเรายืนยันแล้วว่า เห็ดดังกล่าวสามารถกินได้ มีสรรพคุณช่วยเสริมพลังวิญญาณและความคงทนทางร่างกาย ถ้านำไปปรุงร่วมกับเนื้อสัตว์ประหลาดย่าง จะมอบกลิ่นชนิดพิเศษซึ่งเย้ายวนเกินห้ามใจ”
ขณะเล่าเรื่อง ดาร์กหยิบเห็ดขนาดเท่าฝ่ามือออกจากถุงผ้าอีกหนึ่งใบ โคนเห็ดมีสีขาวโพลนราวกับนมสด หมวกเห็ดเป็นสีแดงลักษณะมันวาวคล้ายผลึก แซมด้วยจุดสีทองเข้มประปราย
เพียงจ้องมอง เดอร์ริคพลันน้ำลายแตกฟองราวกับไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน
ภายใต้แสงสลัวจากเทียนไข เห็ดดังกล่าวทั้งระยิบระยับและเชื้อเชิญให้ผู้ได้พบเห็น เกิดความต้องการจะหยิบใส่ปากอย่างแรงกล้า ชนิดยากจะหักห้ามใจตัวเองไหว
“อันนี้ของนาย” ดาร์กยิ้มอ่อนโยน
“ตกลง…” จิตใต้สำนึกของเดอร์ริคบอกให้มันหยิบเห็นตรงหน้าใส่ปากเคี้ยวทันที แต่จนแล้วจนรอด สติส่วนลึกได้เอาชนะแรงปรารถนา ก่อนจะเงยหน้าพูดกับอีกฝ่าย
“ฉันจะเก็บไว้กินพรุ่งนี้”
ดาร์กไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงดันเห็ดปริศนามาวางหน้าเดอร์ริคและเคี้ยวผลดูมแห้งอย่างเอร็ดอร่อย
เดอร์ริคฝืนเบือนสายตาออกจากเห็ดปริศนาอย่างยากลำบาก ตามด้วยการซักถามสารทุกข์สุกดิบ
“ทีมสำรวจค้นพบอะไรในการเดินทางครั้งนี้บ้างไหม?”
“มีสิ!” ดาร์กหยุดเคี้ยว จากนั้นก็มอบคำตอบด้วยสีหน้าขึงขัง
“พวกเราพบจิตรกรรมฝาผนังใหม่เป็นจำนวนมาก เดอร์ริค นายยังจำรูปปั้นด้านหน้าวิหารได้ไหม?”
“จำได้” เดอร์ริคชำเลือง ‘เห็ด’ พลางพยักหน้ารับ “รูปปั้นของคนเปลือยกายเปื้อนเลือด ถูกแขวนกลับหัวบนกางเขนใหญ่ใช่ไหม?”
ดาร์กควงผลดูมในมือเล่น
“ถูกต้อง ภาพวาดชุดใหม่ได้สื่อเป็นนัยว่า ผู้สร้างวิหารแห่งนี้มีความเชื่อว่า เทวรูปดังกล่าวคือมหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง มหาเทพผู้รังสรรค์ทุกสิ่งจากต้นกำเนิด… พวกเขายังเชื่อด้วยว่า พระองค์มิได้ทอดทิ้งพวกเราและดินแดนแห่งนี้ ตรงกันข้าม เมื่อมหาภัยพิบัติมาเยือน พระองค์ได้แบกรับบาปทั้งหมดของพวกเราไว้แต่เพียงผู้เดียว ส่งผลให้พระองค์ถูกตรึงกางเขนในสภาพกลับหัว ถูกพันธนาการและลงโทษเท่ากับจำนวนบาปของพวกเราทุกคน พระองค์ต้องหลั่งเลือดเพื่อชดใช้บาปแทนพวกเรา”
“ความรักจากองค์เทพนั้นไร้ขอบเขต พวกเรามิใช่ผู้ถูกทิ้ง กลับกันเลยต่างหาก! พวกเราคือลูกแกะผู้ถูกพระองค์เลือก! หากพระองค์ไม่แบกรับบาปแทนพวกเรา เมืองเงินพิสุทธิ์คงถูกทำลายในเหตุการณ์มหาภัยพิบัตินานแล้ว มนุษยชาติก็จะถึงคราวสูญสิ้น!”
แต่ว่านะดาร์ก… โลกด้านนอก อาณาจักรโลเอ็น ถิ่นอาศัยของเดอะเวิร์ล แฮงแมน เมจิกเชี่ยน และจัสติส ไม่มีคำสาปเหมือนพวกเราแม้แต่อย่างเดียว ไม่มีสัตว์ประหลาดในความมืดมิด… พวกเราไม่ใช่กลุ่มผู้ถูกเลือกอย่างแน่นอน อาจตรงกันข้ามด้วยซ้ำ…
เดอร์ริคโต้แย้งในใจ
“และหากความเชื่อของพวกเขาเป็นความจริงทั้งหมด หมายความว่า ทุกพิธีกรรมหลังจากนี้ เมืองเงินพิสุทธิ์ต้องเปลี่ยนสัญลักษณ์และพระนามเต็มให้สอดคล้องกับพระองค์ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น พวกเราจึงจะได้รับการตอบสนองจากพระองค์อีกครั้ง…”
ดาร์กยังคงสาธยายอีกยืดยาว มันอธิบายรายละเอียดของภาพวาด เล่าถึงมุมมองของตัวเอง และการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนพิธีกรรมของเมืองเงินพิสุทธิ์
ยิ่งได้ฟัง เดอร์ริคก็ยิ่งพบว่า ตนหักห้ามใจจาก ‘เห็ด’ ได้ยากขึ้นทุกขณะ
ห้ามกินเด็ดขาด… จะกินไม่ได้เด็ดขาด!
ไม่อย่างนั้น เราจะกลายเป็นเหมือนดาร์กและคนอื่น ถูกพระผู้สร้างเสื่อมทรามกัดกร่อนจิตใจและกลายเป็นสาวกเดนตาย… ถึงจะมีคนของสภาอาวุโสคอยจับตามอง แต่เขาคงไม่พบความผิดปรกติกับตัวเราแน่…
ความหวาดกลัวเริ่มกัดกินจิตใจเดอร์ริคทีละนิด จนถึงขั้น มันอยากหาข้ออ้างเพื่อปลีกตัวออกจากดาร์กสักระยะ
เราควรทำยังไงดี…? ไล่ดาร์กกลับไปพร้อมกับคืนเห็ด? แต่ถ้าทำแบบนั้น เราก็จะเสียโอกาสแสนสำคัญ… โอกาสอันหายาก…
สายตาเดอร์ริคหันมาจดจ่ออยู่กับเปลวเทียนไขสีเหลืองนวลเพื่อตั้งสติ
“เดี๋ยวฉันจะไปหยิบน้ำให้” ขณะลุกยืน เด็กหนุ่มตัดสินใจหนักแน่นว่า ตนจะเริ่มลงมือตามแผนของมิสเตอร์แฮงแมนเดี๋ยวนี้!
ดาร์กพยักหน้ารับพลางโยนผลดูมสีดำเข้าปากเคี้ยวเสียงดัง
ขณะรินน้ำใส่แก้ว เดอร์ริคจงใจเทให้ช้าลง เด็กหนุ่มก้มศีรษะต่ำพร้อมกับเอ่ยพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของเดอะฟูล และตามด้วย :
“ผู้ศรัทธาของท่าน ขอภาวนาให้ท่านรับฟังคำขอร้อง ผู้ศรัทธาของท่าน ขอภาวนาให้ท่านรับเครื่องเซ่นสังเวย ผู้ศรัทธาของท่าน ขอภาวนาให้ท่านเปิดประตูอาณาจักรของท่าน”
ฟ้าว!
สายลมกระโชกพลันพัดผ่านภายในห้อง จากนั้น สายลมทางธรรมชาติอันเกิดจากคาถาบริกรรม เริ่มก่อตัวเป็นลักษณะเกลียวคลื่น
ถัดมาไม่นาน ดาร์ก·รีเจนซ์ ผู้กำลังหยิบผลดูมแห้งขึ้นมาเคี้ยวโดยไม่คิดอะไร พลันเงยหน้าและซักถามเสียงฉงน เมื่อพบว่าเดอร์ริคเดินมาหยุดยืนข้างตนด้วยสีหน้าอึมครึม
“มีอะไรหรือ?”
เดอร์ริคไม่ตอบ มือข้างหนึ่งกำด้ามขวานเฮอร์ริเคนแน่นกระชับ อีกข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋าลับเสื้อโค้ทพลางทำลายกำแพงวิญญาณและเปิดกล่องโลหะ
สายตาเดอร์ริคไม่ปกปิดความหวาดระแวงในตัวเพื่อนสนิท ทันใดนั้น เด็กหนุ่มเริ่มมองเห็นแสงสีแดงเข้ม สว่างวาบขึ้นบนกระจกตาสีฟ้าครามของดาร์ก
บนฝ่ามือดาร์ก เปลือกผลดูมแห้งสีดำถูกกะเทาะออก เนื้อด้านในเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นบางสิ่งซึ่งมีสีสันคล้ายผิวหนังมนุษย์
ในวินาทีนี้ วัตถุในมือดาร์ก·รีเจนซ์ไม่ใช่ผลดูมแห้งอีกต่อไป หากแต่เป็นนิ้วมือ
นิ้วมือมนุษย์ชุ่มฉ่ำด้วยเลือดสด!
เช่นเดียวกันกับผลดูมจำนวนมากซึ่งถูกวางกองสุมบนโต๊ะไม้ ทั้งหมดคือนิ้วมนุษย์!
‘เห็ด’ ระยิบระยับเริ่มเปลี่ยนแปลงรูปโฉม ความงดงามในตอนต้นเลือนหายจนหมดสิ้น เฉกเช่นความเย้ายวนอันเชิญชวนให้โยนใส่ปากเคี้ยว
มันกลายเป็นหนังศีรษะของมนุษย์ซึ่งมีเส้นผมสีดำแซมอยู่หนึ่งกระจุก!
ดาร์กจ้องเดอร์ริคกลับด้วยสีหน้าสับสน ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเย็นชาแกมล่องลอย
“นายคิดจะทำอะไร?”
…
กรุงเบ็คลันด์ บ้านเลขที่ 15 ถนนมินส์
ขณะไคลน์กำลังขดตัวอยู่ภายในโลกแสนอบอุ่นใต้ผ้าห่มหนา เมื่อได้ยินเสียงสวดภาวนาจากเดอะซัน ชายหนุ่มรีบกุลีกุจอลุกจากเตียงเพื่อสร้างกำแพงวิญญาณ เดินถอยหลังทวนเข็มสี่ก้าว และส่งจิตเข้าห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา
เมื่อกลับมานั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล ไคลน์ไม่รีบร้อนตรวจสอบคำภาวนาของเดอะซันน้อย อันดับแรก มันนำไพ่จักรพรรดิมืด กระดาษรูปคน และสมบัติวิเศษชนิดอื่นมาวางเรียงรายบนโต๊ะตรงหน้าอย่างเป็นระเบียบ
จากแผนการของแฮงแมน เดอะซันต้องประกอบพิธีกรรมสังเวยถึงเดอะฟูลค้างไว้ก่อน จากนั้นค่อยเริ่มลงมือกระตุ้นให้ทีมสำรวจเผยร่างแท้จริงออกมา ด้วยวิธีการข้างต้น เมื่อเรื่องราวจบลง เดอะซันจะได้ฉวยโอกาสสังเวย ‘ดวงตาดำล้วน’ ของเดอะเวิร์ล กลับคืนให้เดอะฟูลได้ทันที ไม่หลงเหลือหลักฐานเกี่ยวกับชุมนุมทาโรต์ไว้บนโลกจริง และความผิดทั้งหมดก็จะตกเป็นของอามุนด์!
ในส่วนของมิสเตอร์ฟูล ไคลน์อนุญาตให้เดอะซันประกอบพิธีกรรมถึงตนในแบบฉบับ ‘รวบรัด’ ได้เป็นกรณีพิเศษ ไม่ต้องเตรียมวัตถุฟุ่มเฟือยหรือมากพิธีรีตอง เพียงกล่าวคำสำคัญให้ครบก็พอ
โดยงานของเดอะฟูลก็คือ นั่งรอให้เดอะซันดำเนินพิธีกรรมสังเวยจนถึงขั้นตอนเปิดอุโมงค์วิญญาณ
นั่นจะเป็นเวลาลงมือของตน
……………………
ราชันเร้นลับ 399 : ผู้ถูกกัดกร่อน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านตระกูลเบเกอร์
เดอร์ริคจ้องมองหนังศีรษะมนุษย์เปื้อนเลือดแซมด้วยกระจุกเส้นผม พลางย้อนนึกกลับไปถึงสภาพเดิมของมัน—เห็ดระยิบระยับแสนเย้ายวนเชื้อเชิญให้หยิบใส่ปากเคี้ยว
ผลดูมแห้งรสกรุบกรอบซึ่งดาร์กเคยชักชวนให้กิน แท้จริงแล้วกลับเป็นชิ้นส่วนนิ้วมือมนุษย์สีขาวซีด!
ในวินาทีนี้ เดอร์ริคเกิดอาการคลื่นไส้รุนแรงพร้อมกับกระเพาะร้องโครกคราก น้ำย่อยพลันตีกลับขึ้นมาถึงลำคอ
เด็กหนุ่มฝืนกัดฟันอดทนไม่ให้อ้วกแตกอ้วนแตก ขณะเดียวกันก็ขยับปากท่องกลอนทำนองไพเราะกังวาน
“ข้าแต่พระองค์ท่าน ได้โปรดนำพาอาณาจักรของท่านลงมายังดินแดนเบื้องหน้า ศัตรูของท่านจักมลายสิ้น ผู้ศรัทธาของท่านจักยินดีปรีดา!”
เสียงของเด็กหนุ่มเปี่ยมด้วยความศักดิ์สิทธิ์แกมอบอุ่นอ่อนโยน เพียงพริบตา เดอร์ริคตระหนักว่าร่างกายตนเบาขึ้นกะทันหัน อาการพะอืดพะอมเลือนหายไป พลังวิญญาณกลับมาเปี่ยมล้นและมีชีวิตชีวา
บทเพลงเมื่อครู่ช่วยเพิ่มความกล้าหาญ พละกำลัง และความว่องไวในปริมาณสูง
นี่คือพลังของลำดับ 9 นักขับขาน!
ดาร์ก·รีเจนซ์นั่งจ้องอดีตเพื่อนร่วมชั้นและเพื่อนร่วมหน่วยร้องเพลงด้วยสีหน้าอึมครึม ก่อนมันจะเปล่งเสียงซ้ำซากในลักษณะห่างไกลความเป็นมนุษย์เข้าไปทุกที
“นายพกอะไรมาด้วย… นายพกอะไรมาด้วย? นายพกอะไรมาด้วย!!”
ทันใดนั้น เสื้อรัดรูปสีดำของดาร์กพลันบวมพองราวกับเลี้ยงงูตัวใหญ่ไว้ข้างในหลายสิบหลายร้อย
แคว่ก!
เถาวัลย์เนื้อมนุษย์ทรงเกลียวหลายสิบเส้นพุ่งทะลวงออกจากเสื้อสีดำรัดรูปในลักษณะน่าขยะแขยง ทุกเส้นล้วนมีกระจุกขนสีดำงอกแซมหลายจุด
เถาวัลย์เกลียวเนื้อมีรูปทรงเรียวแหลมและแผ่ออกมาทุกทิศทาง ดาร์ก·รีเจนซ์จึงมีรูปลักษณ์เหมือนตัวเม่นสีชมพูไม่มีผิดเพี้ยน
ฟ้าว!
ขนเม่นเนื้อยืดเป็นเกลียวและควงสว่านเข้าหาเดอร์ริคด้วยความเร็วสูง เด็กหนุ่มทำได้เพียงยืนมองในจุดเดิมโดยไม่ขยับตัว
อย่างไรก็ตาม เดอร์ริคคือสมาชิกหน่วยลาดตระเวนมากประสบการณ์และเพิ่งได้รับเลือกให้เข้าหน่วยสำรวจ ย่อมต้องเคยเผชิญหน้าสัตว์ประหลาดท่ามกลางความมืดมาแล้วนับไม่ถ้วน สถานการณ์เช่นนี้จึงยังไม่ทำให้เด็กหนุ่มสูญเสียความเยือกเย็น
เดอร์ริคบิดเอวพลางยกแขนข้างถือขวานเฮอร์ริเคนขึ้น ก่อนจะสับลงเป็นเส้นตรงเพื่อเฉือนเถาวัลย์เกลียวปลายแหลมอย่างแม่นยำ
ฉัวะ!
ขวานเฮอร์ริเคนตัดวัตถุน่าขยะแขยงขาดสะบั้นจนหล่นลงพื้น
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนของเมืองเงินพิสุทธิ์ สายฟ้าจากขวานจึงโชคร้ายไม่แสดงผล พร้อมกันนั้น เถาวัลย์เนื้อเส้นอื่นๆ พลันพุ่งเข้ามาพันธนาการขวานเฮอร์ริเคนจนมิอาจขยับเขยื้อนแม้แต่หนึ่งเซนติเมตร
เมื่อเด็กหนุ่มตระหนักว่าตนกำลังจะเสียอาวุธไป ดวงตาทั้งสองเริ่มส่องแสงเจิดจ้าจนมีลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ย่อส่วนสองดวงปรากฏในดวงตา
มืออีกข้างกำลังถือบางสิ่งจ่อริมฝีปากพลางเริ่มสวดภาวนา
โดยปราศจากสุ้มเสียง เสาเพลิงสีขาวโพลนพลันสาดทอดจากฟากฟ้า ฉาบใส่ร่างกายลักษณะคล้ายก้อนเนื้อหนามสีชมพูตรงหน้าอย่างถ้วนทั่ว
ดาร์กแหกปากกรีดร้องอย่างน่าสมเพช ก้อนเนื้อจำนวนมากหลุดลอกเป็นแผ่นตกลงพื้นในสภาพเกรียมดำ
พวกมันยังคงยุบพองและหงิกงอประหนึ่งมีชีวิตจิตใจ
แต่ทันใดนั้น คล้ายกับพลังวิญญาณในก้อนเนื้อถูกช่วงชิงไปอย่างกะทันหัน ละอองพลังวิญญาณเริ่มระเหยไปรวมกับพลังธรรมชาติอันเกิดจากพิธีกรรม ขณะเดียวกัน เดอร์ริคกำลังเปล่งเสียงบริกรรมมนตร์คาถาจนเกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมมายาสีชมพูสดใส
คลื่นดังกล่าวซัดโถมใส่เปลวเทียนไขบนโต๊ะไม้กึ่งกลางห้องรับแขก แสงเทียนพลันเบ่งบานเปล่งปลั่งจนก่อตัวเป็นบานประตูมายาสลักลวดลายซับซ้อน
เดอร์ริควาดสัญลักษณ์ของเดอะฟูลเตรียมไว้บนเทียนไขนานแล้ว!
ทั้งหมดถูกวางแผนไว้ล่วงหน้า
ปัจจัยข้างต้นทำเด็กหนุ่มสามารถบรรลุความต้องการพื้นฐานของพิธีกรรม และสร้างอุโมงค์วิญญาณเชื่อมต่อได้สำเร็จ!
โครม!
หลังจากเก้าอี้ไม้ถูกทำลาย ดาร์ก·รีเจนซ์กระโจนเข้าหาเดอร์ริค เถาวัลย์เกลียวเนื้อหลายเส้นรอบตัวมันพุ่งแหวกอากาศเข้าหาในลักษณะเกรี้ยวกราด แต่เส้นละชุ่มโชกด้วยโลหิตแดงฉาน
แววตาของดาร์กปราศจากความหวาดกลัวโดยสิ้นเชิง มีเพียงความปรารถนาอันแรงกล้าไร้ก้นบึ้งกำลังครอบงำ
เมื่ออุโมงค์วิญญาณก่อตัวสมบูรณ์ ไคลน์ เดอะฟูล เริ่มตอบสนองต่อพิธีกรรม
เกิดเสียงบานประตูดังเสียดสี ประตูมายาสลักลวดลายซับซ้อน เริ่มขยับเปิดออกจนเกิดช่องว่างเพียงเล็กน้อย
ภายในประตูคือฉากอันมืดสนิทซึ่งเต็มไปด้วยเงาดำมีชีวิตจำนวนมาก
เหนือเงาดำขึ้นไปเป็นริ้วแสงพิสุทธิ์จำนวนเจ็ดสี คล้ายกับแต่ละสีอัดแน่นด้วยองค์ความรู้ปริมาณมหาศาล
เหนือริ้วแสงระยิบระยับคือทะเลหมอกสีเทาไร้ขอบเขต และเหนือทะเลหมอกขึ้นไปอีกขั้นก็คือพระราชวังขนาดใหญ่ ซึ่งกำลังดูแคลนทุกสิ่งอย่างเท่าเทียมจากเบื้องบน
ทันใดนั้น ตรงมุมหนึ่งของห้องรับแขกบ้านเด็กหนุ่มเดอร์ริค เงาดำปริศนาพลันกระโจนใส่ดาร์กซึ่งยืนอยู่ในจุดใกล้กว่า
ร่างกายก้อนกลมของดาร์กเริ่มถูกของเหลวสีดำสนิทและเหนียวข้นห่อหุ้มไว้ทุกรูขุมขน ลักษณะคล้ายกับแมวถูกครอบด้วยถุงดำและพยายามดิ้นให้หลุด
เงาดำไม่หยุดเพียงเท่านั้น มันขยายขนาดขึ้นและนำเงาอีกส่วนพุ่งเข้าหาเดอร์ริคซึ่งกระโจนหลบไปในจุดห่างไกล ขณะเดียวกันเปล่งเสียงแหบพร่าแกมขึงขัง
“หยุดนะ! คิดจะทำอะไรกันแน่!”
ในฐานะผู้เฝ้ามอง แผนของมันคือการจับตามองพฤติกรรมเด็กหนุ่มทั้งสองอย่างเงียบงันและคอยสังเกตความผิดปรกติ จะลงมือก็ต่อเมื่อสถานการณ์บานปลายยากเกินยับยั้งเท่านั้น
แต่เมื่อได้เห็นบานประตูมายาสลักลวดลายประหลาด จิตของเงาดำพลันถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงด้วยฉากอันลึกลับและน่าเกรงขามด้านในรอยแง้มของประตู
ผู้เฝ้ามองเชื่อมั่นโดยไม่เคลือบแคลงว่า ประตูดังกล่าวต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวตนระดับเทพมารอย่างแน่นอน มันจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลงมือเพื่อห้ามมิให้เดอร์ริคสังเวยบางสิ่งแก่บุคคลด้านในประตู
อย่างไรก็ตาม เดอร์ริคทราบตำแหน่งของเงาดำมาตั้งแต่แรก และกระโจนหลบไปในจุดตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ เงาดำจึงเหลือเพียงสองทางเลือก หนึ่งคือ ปล่อยดาร์กเป็นอิสระและปรี่ไปจัดการเดอร์ริคก่อน หรือสองก็คือ จัดการกับดาร์กให้สิ้นซากโดยเร็ว
แน่นอน มันเลือกอย่างหลัง ฝ่ายผิดปรกติหนักข้อกว่าคือดาร์ก การหันหลังให้สิ่งมีชีวิตประเภทนี้ไม่ต่างอะไรกับความโง่เขลา
ฉวยโอกาสทองดังกล่าว เดอร์ริคล้วงกล่องโลหะจากช่องลับและขว้างใส่บานประตูมายาเหนือเปลวเทียนไขกลางห้องอย่างแม่นยำ มันเล็งปาเข้าไปในช่องแง้มของห้วงมิติโดยปราศจากความลังเล
เมื่อกล่องโลหะสาบสูญจากโลกมนุษย์โดยสมบูรณ์ ประตูมายาพลันปิดดังโครม ตามด้วยการเลือนหายวับไปในพริบตา
เดอร์ริคยังไม่ลืมคำแนะนำของแฮงแมน เด็กหนุ่มแสร้งทำหน้าบิดเบี้ยวคล้ายกับเสียสติและวิ่งเข้าใส่ ‘เงาดำ’ ซึ่งกำลังจัดการดาร์ก
แต่ก่อนจะปล่อยให้เงาดำพันธนาการร่างกาย เดอร์ริคทำเป็นอาเจียนหนอนสีใสออกมาทางปากและล้มสลบไปต่อหน้า
เงาดำเหนียวข้นคล้ายของเหลวทำการแผ่ปกคลุมร่างเด็กหนุ่มเดอร์ริคทันที
บ้านตระกูลเบเกอร์เข้าสู่ความเงียบงันโดยสมบูรณ์เป็นเวลานาน ภายในห้องรับแขกมี ‘ดักแด้’ สีดำกำลังนอนแน่นิ่งสองจุด
จนกระทั่งผ่านไปสักพัก เงาดำเริ่มคลายตัวออกจากร่างเด็กหนุ่มทั้งสอง และแฝงตัวกลับไปเป็นความมืดตามเดิม
เมื่อปราศจากดักแด้สีดำ ร่างของเดอร์ริคและดาร์กได้กลับมาปรากฏอีกครั้ง
รายแรกกำลังนอนหมดสติโดยถือหนอนสีใสตัวเล็กไว้ในมือ บนตัวหนอนมีวงแหวนสีใสสิบสองวงเรียงราย ส่วนฝ่ายหลังได้กลายเป็นก้อนเนื้อยุบพองแสนน่ารังเกียจ พร้อมโจมตีใส่คนแปลกหน้าตลอดเวลา
เห็นดังนั้น เงาดำไม่มีทางเลือกนอกจากลงมือให้เด็ดขาดกับดาร์ก มันโผล่ขึ้นจากพื้นและใช้ของเหลวข้นสีดำห่อหุ้มร่างสุดพิสดารของดาร์ก·รีเจนซ์อีกครั้ง
ขณะสายตาชำเลืองไปเห็นนิ้วมือมนุษย์จำนวนมากวางกองระเกะระกะบนโต๊ะ รวมถึงหนังศีรษะพร้อมด้วยกระจุกเส้นขน เงาดำรีบสูดลมหายใจสุดปอดเพื่อระงับสติ ก่อนจะเพ่งสมาธิเพื่อใช้พลังพิเศษควบคุมเงาดำนอกบ้านตระกูลเบเกอร์ จนเกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมส่งต่อไปถึงห้องของผู้นำสูงสุดบนยอดหอคอย
สายตาของ ‘เงาดำ’ เบนกลับมาจ้องเดอร์ริคผู้นอนหมดสติไปกับพื้น มันมองสลับกลับไปมาระหว่างเด็กหนุ่มหลับสนิทกับหนอนสีใสตัวเล็กด้านข้าง ก่อนจะวิเคราะห์สถานการณ์อย่างคร่าวตามความเข้าใจตัวเอง
“หรือว่า… ร่างแยกอามุนด์ในตัวเดอร์ริคจะถูกกำจัดเรียบร้อยแล้ว?” เงาดำพึมพำด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
เมื่อนำไปผนวกกับความพิสดารของดาร์ก รวมถึง ‘เห็ดอันเย้ายวน’ และ ‘ผลดูมแห้ง’ เงาดำเริ่มเข้าใจสถานการณ์เบื้องต้น
บางที อามุนด์อาจเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับผู้อยู่เบื้องหลังความผิดปรกติของดาร์ก และเพื่อให้แผนการของอีกฝ่ายล้มเหลว อามุนด์ถึงกับยอมเสียสละร่างแยกของตน
และการไปเยือนลานฝึกของเดอร์ริค รวมถึงการขึ้นไปแจ้งข่าวให้ผู้นำสูงสุดทราบถึงความผิดปรกติ ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามแผนของอามุนด์ในกรณีไม่ต้องลงมือเอง
ขณะเดียวกัน ผู้บงการซึ่งทำให้ดาร์กมีอาการทางจิต เริ่มระแคะระคายถึงความผิดปรกติของเดอร์ริค จึงควบคุมให้ดาร์กเดินทางมาทำอะไรสักอย่างกับเดอร์ริคถึงบ้าน
เงาดำยืนจ้องนิ้วมือมนุษย์และหนังศีรษะแซมกระจุกเส้นผม
เมื่อครุ่นคิดมาถึงจุดนี้ เงาดำเริ่มเห็นด้วยกับความเห็นของผู้นำสูงสุด :
“ภัยพิบัติร้ายแรงเหนือจินตนาการกำลังย่างกรายเข้าใกล้เมืองเงินพิสุทธิ์ สิ่งนี้คือสาเหตุให้พวกเรามีโอกาสพบได้เหตุการณ์ประหลาดและตัวตนลึกลับภายในเงามืดบ่อยครั้ง”
…
ในห้องทำงานของผู้นำสูงสุด
เงาดำเล่าเรื่องราวทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง
โคลิน·อีเลียด เจ้าของมาดอันดุดันและน่าเกรงขาม เพียงพยักหน้ารีบแผ่วเบาด้วยอากัปกิริยาลุ่มลึก
“เดอร์ริค หรือควรต้องเรียกเขาว่าอามุนด์ ได้เตรียมแผนสำหรับเผชิญเหตุการณ์ในวันนี้มานานมากแล้ว ไม่ว่าจะเทียนไขที่สลักสัญลักษณ์ใครบางคน วัตถุชั่วร้ายซึ่งสามารถเปิดเผยเนื้อแท้ของดาร์กได้ การหาข้ออ้างเพื่อขอไปรินน้ำใส่แก้วพลางสวดภาวนาถึงตัวตนลึกลับ รวมไปถึงการโยนวัตถุดังกล่าวใส่แท่นบูชาพิธีกรรมสังเวยในจังหวะเหมาะสม… ปัจจัยทั้งหมดกำลังบ่งชี้ว่า ทุกสิ่งดำเนินไปตามแผนการของอามุนด์โดยไม่ตกหล่น แต่ผมมีสองคำถาม หนึ่ง สัญลักษณ์บนเทียนไขหมายถึงใครกันแน่? อามุนด์หรือเทพผู้อยู่เบื้องหลังอามุนด์อีกที? สอง เหตุใดอามุนด์ถึงยอมสละร่างแยกเพียงเพื่อเปิดเผยความผิดปรกติของทีมสำรวจ? เขาเป็นศัตรูกับผู้อยู่เบื้องหลังการกัดกร่อนทางจิตของดาร์กงั้นหรือ? แล้วทำไมถึงต้องอดทนรอในคุกใต้ดินนานถึงสี่สิบสองปี? หรือกำลังจะบอกว่า อามุนด์มองเห็นเหตุการณ์ในวันนี้ตั้งแต่เมื่อสี่สิบสอง ปีก่อน จึงส่งร่างแยกของตนปะปนมากับร่างหัวหน้าทีมสำรวจในอดีต ทั้งหมดทำไปเพื่อให้แผนการของอีกฝ่ายล้มเหลว…? เขาอดทนรอนานถึงสี่สิบสองปีเพียงเพื่อเรื่องนี้เรื่องเดียว?”
เมื่อได้ยินคำถามมากมายพรั่งพรูจากปากหัวหน้าสภาอาวุโส เงาดำตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระจ่างชัด
“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอนขอรับ! ท่านผู้นำ ลองนึกดูให้ดี เหตุใดอามุนด์ถึงอดทนรอนานถึงสี่สิบสองปี จึงค่อยทำให้อเดลคลุ้มคลั่งขณะเดอร์ริคย้ายมาพักในห้องข้างเคียง? คำตอบเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก เขาตระหนักว่าศัตรูใกล้ลงมือเต็มที จึงจำเป็นต้องใช้ร่างใครสักคน หนีออกจากคุกใต้ดินเพื่อทำลายแผนการของอีกฝ่าย!”
“ไม่ผิดแน่… พวกเราเอาแต่มุ่งประเด็นว่าทำไมถึงต้องเป็นเดอร์ริค โดยลืมคิดเสียสนิทว่ายังมีปัจจัยด้านจังหวะเวลาอยู่ด้วย”
โคลิน·อีเลียด ผู้นำสูงสุดของเมืองเงินพิสุทธิ์ พยักหน้ารับพลางเล่าความคิดเห็นของตัวเองทีละข้อ
เงาดำรีบกล่าวเสริม
“ท่านผู้นำ ได้โปรดรีบจับสมาชิกทีมสำรวจทุกคนมากักขังเป็นการชั่วคราว บางที พวกเขาเหล่านั้นอาจไม่ใช่มนุษย์ปรกติอีกแล้ว… รวมถึงอาวุโสโลเฟียร์ด้วย เธอเองก็ไม่น่าจะรอดพ้นจากการถูกกัดกร่อนเช่นกัน!”
โคลินขมวดคิ้ว
“สำหรับเรื่องนี้ ก่อนคุณจะกลับมารายงานให้ผมฟัง ก่อนดาร์กจะถูกปล่อยตัวจากเขตกักกัน โลเฟียร์ได้มาแจ้งกับผลว่า สมาชิกทีมสำรวจของเธอถูกปนเปื้อนโดยพลังบางชนิด เธอแนะนำให้พวกเราจับตามองคนกลุ่มนั้นอย่างใกล้ชิด และเพื่อให้ง่ายต่อการเฝ้าระวัง ควรสั่งให้พวกเขาไปทำงานอารักขาความปลอดภัยรอบสุสานกลับหัวของอาวุโสฮาวิค”
ฮาวิคคืออดีตผู้นำของเมืองเงินพิสุทธิ์ จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง มันสร้างสุสานให้ตัวเองและเข้าไปอาศัยแทนบ้าน นับแต่นั้นเป็นต้นมา ฮาวิคก็เริ่มปรากฏตัวน้อยลงจนกระทั่งประตูสุสานปิดสนิท ไม่สามารถเปิดออกได้อีกเลย
“อาวุโสโลเฟียร์เอ่ยถึงความผิดปรกติมาสักระยะแล้วหรือขอรับ?” เงาดำซักถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
เมื่อเห็นภาษากายเชิงยอมรับจากโคลิน เงาดำพึมพำอย่างโล่งใจกึ่งฉงน
“อาวุโสโลเฟียร์ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว…”
“…ผมส่งคนไปจับกุมและนำตัวสมาชิกทีมสำรวจมากักขังจนเกือบครบแล้ว อย่างไรก็ตาม พวกเราห้ามมองข้ามความเสี่ยงแม้เพียงเล็กน้อยโดยเด็ดขาด”
โคลินถอนหายใจยาว
“ช่วยตามไอโฟลว์มาหาผม เห็นทีคงต้องนำตัวเดอร์ริคมาสอบปากคำพร้อมกับเธอ”
……………………
ราชันเร้นลับ 400 : ‘เด็กใหม่’ เป็นงาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในห้องมืดสนิท พื้นห้องค่อนข้างแข็งกระด้าง เดอร์ริค·เบเกอร์ ผู้แสร้งทำเป็นหมดสติจนถึงเมื่อครู่ เริ่มพยุงตัวลุกขึ้นยืน
ขวานเฮอร์ริเคนถูกปลดออกไปตรวจสอบหาความผิดปรกติ เฉกเช่นวัตถุและสมบัติติดตัวทุกชนิดบนเสื้อผ้า ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ
เดอร์ริคสูดลมหายใจยาวพลางกวาดสายตารอบตัวหนึ่งหน
ดวงตาเด็กหนุ่มกำลังส่องสว่าง คล้ายกับมีดวงตะวันฉบับย่อส่วนอยู่ข้างใน ช่วยให้มองเห็นทุกสิ่งภายในห้องได้อย่างชัดเจน
ภายในห้องอันไม่คุ้นเคยแห่งนี้ เดอร์ริคมองเห็นเครื่องเรือนเพียงสามชนิด : โต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้สองตัว และเทียนไขหนึ่งแท่งกลางโต๊ะ
พื้นห้องทำจากหินลวดลายซับซ้อน
เทียนไขถูกใช้งานไปประมาณครึ่งหนึ่ง
สำหรับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ เครื่องเรือนข้างต้นคือของใช้จำเป็นต่อหนึ่งห้อง เนื่องจากสัตว์ประหลาดจากความมืดจะลอบโจมตีหากบรรยากาศรอบขาดแสงสว่างเป็นเวลานาน
โดยไม่รีรอ เดอร์ริคเดินไปนั่งบนเก้าอี้และเอื้อมมือหยิบเทียนไข
ถัดมา เด็กหนุ่มลงมือหักเทียนไขออกเป็นสามเล่ม เล่มแรกยาวสามส่วนสี่จากของเดิม ก่อนจะนำท่อนคงเหลือมาแบ่งครึ่งให้กลายเป็นอีกสองเล่ม
เดอร์ริคจัดการตกแต่งเทียนไขเล็กน้อย จนไส้เทียนแต่ละเล่มอยู่ในสภาพพร้อมจุด
พรึบ!
เด็กหนุ่มถูปลายนิ้วสร้างเพลิงสีทองและนำไปจุดไส้เทียนทั้งสาม
สองเล่มด้านบนคือตัวแทนเดอะฟูล ส่วนท่อนล่างโดดเดี่ยวคือตัวแทนของเดอร์ริค
หลังจากเตรียมแท่นบูชาเสร็จ เด็กหนุ่มมิได้เทผงสมุนไพร สารสกัด หรือน้ำมันสกัดลงบนเปลวเทียนเหมือนทุกครั้ง ตรงกันข้าม มันลัดขั้นตอนไปท่องพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของเดอะฟูลทันที ตามด้วยการเข้าฌานเพ่งสมาธิจดจ่อ
เดอร์ริคสวดภาวนาซ้ำไปมาด้วยท่วงทำนองราบเรียบ ประหนึ่งพยายามสะกดจิตตัวเองให้เข้าสู่ภวังค์
ด้วยความช่วยเหลือจากฌาน เด็กหนุ่มเริ่มเข้าสู่ภาวะไม่ปรกติ จิตล่องลอย พลังวิญญาณไหลซึมออกจากร่างกายเป็นระยะในปริมาณไม่มาก สมองค่อนข้างขาวโพลน แต่สติกลับยังคมชัดอยู่หลายส่วน ไม่สูญเสียตัวตนโดยสิ้นเชิง กายจิตรู้สึกคลับคล้ายกำลังโบยบินขึ้นไปยังดินแดนบนฟากฟ้า
สิ่งนี้เรียกว่า ‘ละเมอเทียม’
เดอร์ริค ผู้ได้รับอนุญาตจากเดอะฟูลเป็นกรณีพิเศษ กำลังประกอบพิธีกรรมในรูปแบบสั้นกระชับเพื่อแข่งกับเวลา
…
เหนือห้วงมิติสายหมอกสีเทา ท่ามกลางพระราชวังหรูหราโอ่อ่า
ไคลน์ ผู้กำลังนั่งเล่นดวงตาดำล้วน พลันสังเกตเห็นดาวแดงตัวแทนเดอะซันเริ่มยุบพองและส่องสว่าง ก่อนจะฉายแสงออกมาเป็นร่างมายาของเด็กหนุ่ม ขณะเดียวกัน คลื่นสายหมอกเบื้องล่างเริ่มมีการไหลเวียนเล็กน้อยจนมองเห็นด้วยตาเปล่า
ฉากตรงหน้าทำให้ไคลน์เกิดความโล่งใจ เพราะสิ่งนี้หมายความว่า เดอะซันน้อยผ่านส่วนยากสุดของภารกิจเสี่ยงตายมาแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนกลบเกลื่อนให้แนบเนียน
ไคลน์ไม่มัวรีรอ มันวางดวงตาดำล้วนและหยิบไพ่จักรพรรดิมืดขึ้นมาถือ
ตัวตนชายหนุ่มถูกยกระดับขึ้นทันตาเห็น พลังของห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาเริ่มยอมรับในตัวไคลน์และให้ความร่วมมือ
ถัดมา มันหยิบกระดาษรูปคนขึ้นมาถือ ก่อนจะสะบัดข้อมือเหวี่ยงไปทางร่างมายาของเดอะซันน้อยด้านข้าง
พลังของห้วงมิติเริ่มหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระดาษ ก่อเกิดเป็นเทวทูตผู้มีปีกสีดำสนิทสิบสองคู่ มาพร้อมบรรยากาศน่าเกรงขามเหนือพรรณนา
เทวทูตเคลื่อนตัวผ่านแสงสีแดงเข้มของดวงดาว และผสานเป็นหนึ่งเดียวกับร่างมายาของเด็กหนุ่มอย่างอบอุ่นอ่อนโยน
จากนั้น เทวทูตเริ่มลุกไหม้และสลายตัวไป จนกระทั่งเหลือเพียงซากขี้เถ้าของกระดาษ
มาถึงตรงนี้ งานของไคลน์จบลงอย่างสมบูรณ์ ส่วนเรื่อง ‘เทวทูตกระดาษ’ ของตนจะช่วยเหลือเดอะซันได้มากน้อยเพียงใด คงต้องสุดแล้วแต่โชคชะตา ชายหนุ่มไม่มั่นใจในตัวเองมากนัก
เราพยายามสุดฝีมือแล้ว… หลังจากนี้ต้องสวดภาวนาให้สวรรค์เห็นใจ…
…
ท่ามกลางสติอันเลือนราง เดอร์ริคมองเห็นเทวทูตกำลังร่อนลงจากสวรรค์และโอบกอดตนไว้ด้วยปีกสีดำสิบสองคู่
ทันใดนั้น สติเด็กหนุ่มกลับมาคมชัดอีกครั้ง เบื้องหน้าปรากฏภาพเทียนไขสามเล่มกำลังลุกไหม้อย่างอ่อนโยน
หลังจากแสดงการคำนับต่อเดอะฟูลเสร็จ เดอร์ริครีบจบพิธีกรรมและดับเทียนสองเล่มเล็กซึ่งเป็นตัวแทนเดอะฟูล
ถัดมา เด็กหนุ่มกำเศษเทียนทั้งสองแท่งไว้ในมือพร้อมกับสร้างเปลวเพลิงสีทองลุกโชน
แปะ. แปะ. แปะ.
เมื่อเทียนไขสองเล่มเล็กเริ่มละลายกลายเป็นของเหลว เดอร์ริคนำน้ำตาเทียนหยดใส่เทียนไขเล่มยาวเพื่อเพิ่มขนาด รวมถึงหยดรอบโคนเทียนเพื่อให้มีลักษณะคล้ายกับเพิ่งถูกใช้งาน
เมื่อเทียนสองเล่มเล็กละลายจนหมด บนโต๊ะไม้จึงเหลือแค่เทียนเล่มใหญ่ในสภาพถูกจุดมาสักระยะหนึ่ง แม้ความยาวจะสั้นลงจากเดิมเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตทั่วไปของการใช้งาน
หลังจากลบร่องรอยน่าสงสัยทั้งหมดเรียบร้อย เด็กหนุ่มใช้มือดับเทียนไขเล่มสุดท้าย ส่งผลให้บรรยากาศรอบตัวกลับไปมืดสนิทอีกครั้ง
เดอร์ริคนั่งนิ่งบนเก้าอี้พลางมองตรงไปข้างหน้าโดยไม่ขยับเขยื้อนร่างกายเป็นเวลานาน
ภายในใจกำลังเป็นกังวล กลัวว่าสภาอาวุโสจะลงมือได้ไม่เร็วพอ ทำให้ทีมสำรวจสามารถกระจายตัวไปรอบเมือง และมีคนบริสุทธิ์เผลอกิน ‘ผลดูมแห้ง’ กับ ‘เห็ด’ เข้าไปเป็นจำนวนมาก
ขณะเดียวกันก็กังวลว่า ผู้นำสูงสุดและอาวุโสคนอื่นจะพบเบาะแสเพิ่มเติม จนทำให้การเตรียมตัวของตนต้องสูญเปล่า
เดอร์ริคเกลียดชังพวก ‘คนนอก’ ผู้อาศัยในความมืดและมีเจตนาร้ายต่อเมืองเงินพิสุทธิ์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นอามุนด์หรือพระผู้สร้างเสื่อมทรามก็ตาม
เด็กหนุ่มกำลังรู้สึกผิด ตนแสร้งทำเป็นคลุ้มคลั่งเพื่อหลีกเลี่ยงไม่เข้าร่วมทีมสำรวจ และปิดปากเงียบโดยไม่ยอมตักเตือนดาร์กกับคนอื่น ส่งผลให้พวกเขาต้องกลายเป็นสัตว์ประหลาดจิตใจคดเคี้ยว
หนึ่งในเพื่อนอันน้อยนิด เดอร์ริคต้องเห็นดาร์กตายไปต่อหน้าต่อตา
แม้จะไม่ได้ประจักษ์วาระสุดท้ายอย่างแท้จริง แต่เด็กหนุ่มเชื่อว่า ด้วยสภาพก้อนเนื้ออัปลักษณ์ดังกล่าว ความตายอาจเป็นทางเลือกฉลาดกว่า
มันไม่มีทางทราบว่าผ่านไปนานแค่ไหน กับการจมอยู่ในหัวความคิดสับสนว้าวุ่นตามลำพัง ระหว่างกำลังนั่งรออย่างเบื่อหน่าย เด็กหนุ่มตัดสินใจจุดเทียนไขขึ้นมาอีกรอบ
ทันใดนั้น ผนึกของห้องถูกคลายออกจนเกิดเสียงดังกังวาน พร้อมกับการเปิดแง้มของบานประตูด้านหน้า
เมื่อเงยศีรษะขึ้นมอง ด้วยความช่วยเหลือจากแสงเทียนเหลืองนวล เดอร์ริคมองเห็นหญิงสาวกระโปรงดำเดินเข้ามา เส้นผมของเธอมีสีดำสนิท ถูกรวบและมัดหางม้าเรียบร้อย
“มาดามไอโฟลว์…” เดอร์ริคเรียกชื่ออีกฝ่ายตามความเคยชิน
ไอโฟลว์คือหญิงสาวใบหน้าสะสวย แต่มีริ้วรอยเล็กน้อยรอบขอบตา เธอส่งยิ้มพลางพยักหน้ารับตามมารยาท ก่อนจะเดินอย่างไม่รีบร้อน มานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเด็กหนุ่ม
“มีอะไรอยากเล่าไหม?”
หญิงสาวถามอ่อนโยน
เดอร์ริคจ้องมองตอบ ทันใดนั้น มันพลันสังเกตเห็นว่า ดวงตาอีกฝ่ายกำลังส่องแสงเป็นวงรีสีทองในแนวตั้ง ไม่ผิดไปจากสัตว์ป่า
สติของเด็กหนุ่มหลุดลอยกะทันหัน เข้าสู่ภาวะละเมอด้วยอากัปกิริยาสะลึมสะลือ
ถัดมา ไอโฟลว์ทำการปรับแต่งแสงเทียนให้ฉาบใบหน้าเดอร์ริคอย่างถ้วนทั่ว
ตาดำสีทองอ่อน ทรงรีแนวตั้ง เริ่มลดประกายระยิบระยับลงทีละนิด จนกระทั่งเข้าสู่ภาวะไร้ตัวตนของผู้ชมอย่างสมบูรณ์
ทันใดนั้น รอบตาดำทรงรี พลันปรากฏวงแหวนสีทองซ้อนรอบนอก วงแล้ววงเล่า ลักษณะคล้ายกับกำลังสร้างคลื่นสีทองอันงดงามและน่าเกรงขาม
ขณะเดียวกัน เดอร์ริคในภาวะจิตล่องลอยเริ่มมองเห็นภาพสีดำสนิทสลับกับแสงสีทองสว่างจ้าเป็นระยะ
แต่ทันใดนั้น สติเด็กหนุ่มพลันกระจ่างชัดอย่างไม่มีเหตุผล คล้ายกับถูกบางสิ่งฉุดรั้งขึ้นมาจากอาการจิตหลุดลอย
เดอร์ริคกลับมามองเห็นเทียนไขสีเหลืองนวลและมาดามไอโฟลว์ เจ้าของดวงตาสีทองทรงรีแนวตั้ง
จากมุมสายตา หัวหน้าอาวุโสมาดสง่างามและน่าเกรงขาม โคลิน·อีเลียด กำลังเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา
โคลินพยักหน้าให้ไอโฟลว์หนึ่งครั้งและเอ่ยปากซักถามเด็กหนุ่ม
“ในช่วงหลัง คุณทำอะไรลงไปบ้าง”
เดอร์ริคทบทวนบทพูดของตนพลางกล่าวกลับไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแสร้งเหม่อลอย
“ผมไม่ทราบ สมองของผมขาวโพลนเกือบตลอดเวลา คล้ายกับอยู่ในความฝัน ได้สติกลับมาเพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น…”
ขณะเด็กหนุ่มมอบคำตอบ ดวงตาของนักล่าปีศาจ โคลิน·อีเลียด เริ่มปรากฏอักขระซับซ้อนสีเขียวเข้มขณะจ้อง
ไอโฟลว์ซักถาม
“แล้วยังจำได้ไหม ว่าตัวเองเคยเผชิญหน้ากับดาร์ก·รีเจนซ์?”
“จำได้แค่ว่า พวกเรากำลังจะสู้กัน… นอกเนือจากนั้น ผมมองเห็นผู้ชายถูกห้อยกางเขนใหญ่ในสภาพกลับหัว และผู้ชายสวมหมวกปลายแหลม สวมแว่นตาขาเดียว… ใช่แล้ว ผมเคยเห็นเขาในห้องใต้หอคอยมาก่อน เขาหันมายิ้มให้ผมและพูดว่า…”
เดอร์ริคเล่าเรื่องยาว
ไอโฟลว์หันไปมองโคลินครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาถามซักเดอร์ริค
“เขาพูดว่าอะไร?”
“ผมก็จำไม่ได้ละเอียดนัก… เขายิ้มและพูดกับผมอย่างเย็นชาว่า ‘พระผู้สร้างเสื่อมทราม’ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ และ ‘คนเลี้ยงแกะ’ …”
เดอร์ริคพยายามข่มอาการตื่นเต้นไว้อย่างสุดความสามารถ
กล่าวกันตามตรง เด็กหนุ่มไม่ชำนาญการโกหกสักเท่าไร แต่มันก็ยอมเสี่ยงเพื่อให้ได้บอกกับหัวหน้าอาวุโสว่า ผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์คราวนี้คือพระผู้สร้างเสื่อมทรามและคนเลี้ยงแกะ!
“พระผู้สร้างเสื่อมทราม… พระผู้สร้างแท้จริง… ข้อมูลตรงตามภาพจิตรกรรมฝาผนังใต้วิหารลึกลับ” โคลินพยักหน้าเชิงกระจ่าง
ก่อนจะขมวดคิ้วพึมพำกับตัวเองเสียงค่อย
“คนเลี้ยงแกะ…”
“แล้วมีอะไรอีกไหม?” ไอโฟลว์ซักถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนผิดธรรมชาติ
เดอร์ริคตอบล่องลอย
“หลังจากนั้น ทั้งสองเกิดการปะทะกันจนโลกทั้งใบสว่างจ้า ผมมองไม่เห็นอะไรอีกเลยจนกระทั่งตื่นขึ้นมาและอาเจียนรุนแรง…”
ตลอดการตอบคำถามของเด็กหนุ่ม อักขระสีเขียวภายในดวงตาโคลินมิได้จางหาย มันคอยส่งสัญญาณบอกใบ้ให้ไอโฟลว์เค้นคำตอบเป็นระยะ
เดอร์ริคเลือกตอบอย่างชาญฉลาด เกือบทั้งหมดเป็นการป้ายสีให้อามุนด์ตามบทเรียนติวเข้มของแฮงแมน และหากถูกถามนอกประเด็น มันจะแสร้งทำเป็นความจำเสื่อม
จนกระทั่ง ไอโฟลว์ถาม
“คุณนำขวานเล่มนั้นมาจากไหม? แล้วคุณมีสูตรโอสถเส้นทางสุริยันได้อย่างไร?”
“ผมซื้อขวานจากตลาดมืด คนขายสวมหน้ากากปิดบังตัวตนมิดชิด บอกได้เพียงว่าเป็นเพศชาย… สูตรโอสถเส้นทางสุริยันเป็นของพ่อแม่ผม พวกเขาพบมันระหว่างยังเป็นสมาชิกทีมสำรวจ…”
เดอร์ริคตอบล่องลอยแต่ไหลลื่น
ว่ากันตามตรง เดอะซันพกพาสิ่งของผิดวิสัยของเมืองเงินพิสุทธิ์ติดตัวอยู่หลายชิ้น แฮงแมนจึงคอยเน้นย้ำวิธีตอบคำถามชี้แจงไว้ล่วงหน้า ส่งผลให้เดอร์ริคไม่ตะกุกตะกักขณะถูกถามจี้
แม้ว่าตลาดมืดของเมืองเงินพิสุทธิ์จะค่อนข้างเสรีแตกต่างจากทวีปเหนือ แต่ก็ยังมีพ่อค้าแม่ค้าบางคนตัดสินใจปกปิดหน้าตาด้วยหลากหลายเหตุผล สิ่งนี้จึงเป็นทางออกสุดสมบูรณ์แบบสำหรับเดอร์ริค
หลังจากไอโฟลว์ถามจบ เธอหันไปกล่าวกับนักล่าปีศาจ โคลิน·อีเลียด
“เขาไม่ได้โกหก… ระบุให้ชัดคือ เขาไม่มีทางโกหกต่อหน้า พลัง ‘มงกุฎรุ่งโรจน์’ ด้วยประการทั้งปวง”
โคลินพยักหน้ารับ
“อา… เขาไม่ได้เผยกลิ่นอายความชั่วร้าย กัดกร่อน หรือเสื่อมทรามออกมาเช่นกัน”
นักล่าปีศาจย่อมถนัดการค้นหากลิ่นอายเหล่านี้จากร่างกายเป้าหมาย
ในฐานะ ‘อาชีพ’ ลำดับสูง นักล่าปีศาจจะชำนาญด้านการเก็บซ่อนจิตสังหารและลบตัวตน จนบรรดาปีศาจสัมผัสถึงไม่ง่ายนัก ศัตรูจะได้ไม่เกิดความระมัดระวังขณะถูกซุ่มโจมตี
หมายความว่า นักล่าปีศาจคือของแสลงสำหรับปีศาจโดยแท้จริง ฉะนั้น การตรวจจับว่าใครเป็นปีศาจหรือไม่ อาจง่ายยิ่งกว่าการหายใจเข้าออกด้วยซ้ำ
หลังจากก้มหน้าตรึกตรองตามลำพังอยู่นานสองนาน โคลินลุกยืนและเดินออกจากห้อง ก่อนจะหันไปพูดกับเงาดำในมุมหนึ่งด้านนอกห้อง
“พวกเราคงต้องปล่อยเดอร์ริคไปก่อน ช่วงนี้ไม่น่าจะเกิดปัญหาใดตามมา อย่างไรก็ตาม รบกวนช่วยจับตามองเขาไปอีกสักพัก ในเมื่ออามุนด์เคยสร้างมาร่างแยกมาแล้วสองหน การจะมีร่างสามหรือสี่ก็คงไม่ใช่เรื่องประหลาดนัก”
“ขอรับ ท่านผู้นำ” เงาดำตอบด้วยเสียงพร่าคล้ายกับโลหะเสียดสี
…
หลังจากเดอร์ริค ‘ตื่น’ ขึ้น ห้องสอบสวนก็เหลือเพียงความว่างเปล่า มีแค่ข้อความระบุว่าสามารถกลับบ้านได้ทุกเมื่อ
เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวขณะย่างกรายออกจากห้องด้วยฝีเท้าแผ่วเบา มันยังไม่ลืมคำเตือนของแฮงแมน :
“ถึงแม้ทุกสิ่งจะผ่านไปอย่างราบรื่น แต่คุณห้ามลดความระมัดระวังลงเด็ดขาด! การจับตามองคงเกิดขึ้นอีกสักระยะ หากไม่แล้ว แปลว่าผู้นำสูงสุดของพวกคุณยังอ่อนหัด!”
นั่นสินะ สำหรับช่วงนี้ เราคงเอ่ยพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของมิสเตอร์ฟูลไม่ได้…
เดอร์ริคพึมพำขณะเดินลงบันไดวนหอคอย
ทันใดนั้น มุมสายตาพลันเหลือบเห็นบุคคลใบหน้าคุ้นเคย หญิงสาวสวมชุดคลุมยาวแซมด้วยแถบสีม่วง
คนเลี้ยงแกะคนสวย อาวุโสโลเฟียร์!
ดวงตาสีเทาซีดของเธอหันมาจ้องเดอร์ริค ตามด้วยการเผยรอยยิ้มอบอุ่นและอ่อนโยน
รอยยิ้มอบอุ่นและอ่อนโยน!
…
เมื่อกลับถึงห้อง โลเฟียร์เดินมานั่งหน้าโต๊ะอ่านหนังสือและคลี่ม้วนคาถาหนังสัตว์อ่าน
หญิงสาวใช้มือซ้ายกระชากนิ้วชี้ขวาออกมาทั้งลำ ไม่เหลือแม้แต่โคนนิ้ว อย่างไรก็ตาม กลับไม่มีเลือดสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนแม้แต่หยดเดียว ราวกับโลหิตทั้งหมดถูกขังไว้รอบรอยตัดของบาดแผลอย่างเรียบเนียน
เธอนำนิ้วชี้ข้างดังกล่าวมาจับต่างปากกา
โลเฟียร์ใช้มือซ้ายเขียนสัญลักษณ์เลือดลงบนกระดาษ เป็นสัญลักษณ์ ‘เนตรไร้ตาดำ’ ซึ่งเป็นตัวแทนของความลึกลับ และ ‘เส้นขดเป็นเกลียว’ คล้ายรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นตัวแทนของความเปลี่ยนแปลง
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเป็นหนสุดท้าย เธอนำกระดาษหนังมาห่อกับ ‘นิ้วชี้ขวา’ และยัดเข้าไปในปาก ตามด้วยการเคี้ยวเสียงดังกร้วมกร้ามและกลืนลงคอจนหมด
ขณะมือขวาเหลือเพียงสี่นิ้ว ปากแผลบริเวณโคนนิ้วชี้เริ่มยุบพอง ก่อนจะพุ่งพรวดออกมาเป็นนิ้วชี้ใหม่เอี่ยม เพียงแต่สีซีดลงจากเดิมเล็กน้อย
หญิงสาวรีบก้มหน้าอ่านบางสิ่งบนฝ่ามือข้างขวา จากนั้นก็พึมพำออกมาหนึ่งคำ
“เดอะฟูล…?”
……………………
ราชันเร้นลับ 401 : คำชี้นำจากเทพ
โดย
Ink Stone_Fantasy
กรุงเบ็คลันด์ ภายในห้องใต้ดินซึ่งมีสภาพโอ่โถงคล้ายวิหาร
มิสเตอร์ A ผู้สวมชุดคลุมยาวสีดำ กำลังนั่งคุกเข่าเบื้องหน้ารูปปั้นยักษ์ห้อยหัวโดยไม่ขยับเขยื้อนร่างกายเป็นเวลานาน
ทันใดนั้น ใบหูของมันพลันกระดิกราวกับกำลังได้ยินบางสิ่ง
มิสเตอร์ A ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้มือซ้ายกระชากนิ้วชี้ขวาออกมาทั้งลำ
มันยัดนิ้วโชกเลือดใส่ปากและเคี้ยวเสียงดัง
อึก!
ลำคอมิสเตอร์ A กระเพื่อมเล็กน้อยขณะฝืนกลืนเศษนิ้วบดลงกระเพาะอาหาร
ทันใดนั้น ร่างกายมันชักกระตุกรุนแรงราวกับถูกจับเขย่าโดยฝ่ามือล่องหน
ในสภาพดังกล่าว มิสเตอร์ A เหยียดแขนขวาตรงไปข้างหน้าและใช้เลือดจากบาดแผลเขียนตัวอักษรลงบนพื้นห้อง
อักษรดังกล่าวมิได้เป็นของภาษาคนยักษ์หรือมังกรซึ่งเปี่ยมด้วยพลังธรรมชาติ และไม่ใช่เฮอร์มิสซึ่งนิยมใช้ในพิธีกรรม หากแต่เป็นภาษาท้องถิ่นแสนธรรมดาอย่างอักษรโลเอ็น
ของเหลวสีแดงถูกปัดป้ายจนกลายเป็นประโยคยาวใจความว่า
“พบแล้ว : เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ ผู้รับใช้และสาวกของมัน… …อยู่ในเบ็คลันด์”
หลังจาก ‘คำชี้นำจากเทพ’ จบลง ร่างกายมิสเตอร์ A พลันหยุดสั่น นิ้วใหม่งอกเงยขึ้นมาแทนตำแหน่งเดิมอย่างไร้รอยต่อ
มันก้มหน้าลงไปอ่านข้อความเลือดของตัวเองซ้ำหลายหน จนกระทั่ง มุมปากเริ่มยกโค้งอย่างมีเลศนัยท่ามกลางบรรยากาศมืดสนิท
“ข้าน้อยน้อมรับบัญชาจากพระองค์!”
มิสเตอร์ A หมอบกราบราบไปกับพื้นอย่างมีความสุข ประหนึ่งได้ค้นพบความหมายการมีชีวิตของตัวเองอีกครั้ง
…
เมืองเงินพิสุทธิ์ เหนือสุดยอดหอคอย
โลเฟียร์เดินมายืนข้างหน้าต่างพลางก้มมองแสงเทียนสลัวท่ามกลางความมืดด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เธอได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตูห้อง
“ท่านผู้นำ?” โลเฟียร์รีบหันไปมองอย่างกระตือรือร้นและทักทายผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้ม
ประตูห้องเปิดเข้ามาเองโดยอัตโนมัติ
อีกฝ่ายไม่ใช่ใครนอกจากผู้นำสูงสุดของเมืองเงินพิสุทธิ์ นักล่าปีศาจ โคลิน·อีเลียด มันยังคงแต่งกายด้วยโค้ทสีน้ำตาล เข็มขัดหนังเต็มไปด้วยขวดบรรจุของเหลวลึกลับ
“โลเฟียร์ ความผิดปรกติของทีมสำรวจได้รับการยืนยันแล้ว” โคลินอธิบายเสียงเรียบ “ในฐานะหัวหน้าทีม แม้ว่าคุณจะไม่ปรากฏสัญญาณความผิดวิสัย แต่ตามระเบียบขั้นตอนแล้ว คุณต้องถูกกักกันในห้องใต้หอคอยเป็นเวลาสามวันเต็ม รวมถึงต้องได้รับการบำบัดจากมงกุฎรุ่งโรจน์ของไอโฟลว์ ได้โปรดเข้าใจด้วยว่านี่คือกฎระเบียบเก่าแก่”
โลเฟียร์มิได้เผยท่าทีโกรธเคืองแม้แต่เศษเสี้ยว หญิงสาวเพียงยิ้ม
“ดิฉันทราบดี และเตรียมตัวสำหรับการใช้ชีวิตในห้องกักกันเป็นเวลานานไว้แล้ว หรือต่อให้เรื่องนี้จบลง ดิฉันก็ยินดีรับการตรวจสอบจนกว่าท่านจะพึงพอใจ”
ขณะกล่าว โลเฟียร์เดินสวนกับโคลินและนำหน้าออกจากห้องไป
โคลินไม่กล่าวสิ่งใด เพียงเดินตามหลังและก้าวขาลงบันไดวนไปยังชั้นล่าง
ระหว่างทาง ทั้งสองได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกสลับกับเสียงร่ำไห้อย่างสะเทือนขวัญเป็นระยะ
“ถึงเวลาแล้วหรือ?”
โลเฟียร์ทำหน้าฉงนเล็กน้อย
โคลินผงกศีรษะรับ
“ถูกต้อง นี่คือชะตากรรมอันโหดร้ายซึ่งพวกเราทุกคนมิอาจหนีพ้น…”
ในเวลาเดียวกัน ภายในห้องโถงใหญ่กึ่งกลางหอคอย
สมาชิกทีมสำรวจและชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ผู้ตกเป็นเหยื่อการกัดกร่อนจิต กำลังถูกกดร่างกายให้หมอบติดพื้นด้วยบางสิ่งคล้ายพลังศักดิ์สิทธิ์ ราวกับมีขุนเขาลูกยักษ์กดทับจนแบนราบ
คู่รักผิวคล้ำอายุราวสี่สิบ พวกมันกำลังถือตามเงินฉาบอักขระซับซ้อน พลางย่างกรายเข้าหาเด็กหนุ่มวัยยี่สิบกว่า
ส่วนลำตัวของเด็กหนุ่มกลายเป็นก้อนเนื้อเน่าเฟะโดยสมบูรณ์ แต่ศีรษะยังคงครบถ้วนเหมือนมนุษย์ มีท่อสีแดงยาวเชื่อมติดระหว่างก้อนเนื้อและต้นคอ
เมื่อเห็นสองสามีภรรยาย่างกรายเข้าใกล้ เด็กหนุ่มรีบตะโกนโหวกแหวกด้วยเสียงประหวั่น
“พ่อ! แม่! คิดจะทำอะไรกับผม? ไหนบอกว่าคืนนี้พวกเราจะมีงานเลี้ยงแมงป่องเหล็กย่าง? พ่อครับ แม่ครับ ผมอุตส่าห์จับแมงป่องเหล็กย่างมาให้ตั้งหลายตัว…”
สองสามีภรรยามิอาจทนเห็นภาพตรงหน้าต่อไปได้อีก พวกมันเบือนศีรษะไปทางอื่น แต่ปลายดาบยังคงยกค้างขึ้นฟ้า
ฉึก! ฉึก!
เสียงเสียดแทงดังสองครั้งซ้อน เสียงโหยหวนของเด็กหนุ่มพลันหยุดลงในพริบตา มันชักกระตุกแผ่วเบาในตอนต้น หลังจากนั้นก็ปราศจากสัญญาณชีพโดยสิ้นเชิง
ในจุดอื่นของลานกว้าง เด็กหญิงอายุราวสิบขวบคนหนึ่ง กำลังเงื้อดาบเงินสลักลวดลายซับซ้อน ตั้งท่าเตรียมแทงใส่พี่สาวร่วมสายเลือดด้วยน้ำตานองหน้า
คนพี่นอนแผ่นราบไปบนพื้นพลางหัวเราะด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“จากนี้ไป เธอจะต้องใช้ชีวิตตามลำพัง อย่าปล่อยให้ใครเขาหลอกเชียวนะ…”
เด็กหญิงคนน้องเอาแต่คุกเข่าร่ำไห้จนดวงตาพร่ามัว ดาบในมือชะงักค้างไว้กลางอากาศ
จนกระทั่งเธอกัดฟันทุ่มแรงแทงลงไป
ฉึก!
ดวงตาเด็กหญิงพลันเหม่อลอย ราวกับประสาทสัมผัสทั้งหมดหยุดทำงานกะทันหัน
นี่คือคำสาปแสนหดหู่ซึ่งชาวเมืองพิสุทธิ์ทุกคนต้องเผชิญ พวกมันมีชะตากรรมต้องลงมือปลิดชีพญาติพี่น้องร่วมสายเลือดด้วยน้ำมือตัวเอง ไม่อย่างนั้น ศพคนตายจะกลายเป็นวิญญาณมารและสร้างความฉิบหายให้แก่เมืองเงินพิสุทธิ์
ดังนั้น ถึงแม้ดาร์ก·รีเจนซ์จะกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดโดยสมบูรณ์เนื่องจากถูกกัดกร่อนโดยตัวตนลึกลับ แถมยังไม่มีมูลค่าในเชิงการสอบสวน แต่ ‘เงาดำ’ ก็ไม่กล้าสังหารดาร์กในทันที มันเลือกจะพาตัวกลับมายังหอคอยและปล่อยให้ญาติมิตรลงมือปลิดชีพแทน ไม่อย่างนั้น สถานการณ์คงยากลำบากมากขึ้นหลายเท่า
ชะตากรรมของทีมสำรวจในคราวนี้ไม่ถือเป็นกรณีพิเศษแต่อย่างใด บรรพชนเคยถูกปฏิบัติตัวเช่นไร พวกมันก็ถูกกระทำเช่นนั้นอย่างเท่าเทียมมานานกว่าสองพันปี ถึงแม้ชนรุ่นหลังจะไม่เคยเห็นกับตาว่า หากตายโดยฝีมือบุคคลอื่นนอกจากญาติ ศพจะกลายเป็นวิญญาณมารและลุกขึ้นมาทำลายเมืองจริงหรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพิสูจน์ในเรื่องนี้
โชคยังดี เมืองเงินพิสุทธิ์มีจำนวนประชากรไม่มาก แถมยังมีระบบบริหารสายเลือดค่อนข้างเข้มงวด ประชากรแต่ละคนจึงมีจำนวนเครือญาติมาก และเกือบทั้งหมดจะอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียง แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่พร้อมกันไม่เกินสามรุ่น แต่ก็สามารถตามตัวญาติมาปลิดชีพได้ไม่ยากเย็น
ด้วยเหตุนี้ เงื่อนไขพื้นฐานของการจัดทีมลาดตระเวนรอบเมือง จึงต้องคำนึงด้านสายเลือดเป็นหลัก เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉินหากมีใครเสียชีวิต
แต่ในกรณีของทีมสำรวจนั้นไม่เคร่งครัดเท่า เนื่องจากเป็นภารกิจเดินทางไกล ถึงจะมีใครเสียชีวิต แต่วิญญาณมารก็จะอยู่ห่างจากเมืองเงินพิสุทธิ์มาก ไม่ส่งผลกระทบต่อเมืองแต่อย่างใด
ในกรณีของคนไร้เครือญาติโดยสิ้นเชิง เขาหรือเธอเหล่านั้นจะถูกจับตามองเป็นกรณีพิเศษจากสภาเมือง และถ้าแสดงอาการป่วยรุนแรงหรือแก่ชรามากแล้ว ชะตากรรมเดียวคือการถูกเนรเทศให้เดินเข้าไปในความมืดมิดภายนอกเมืองเงินพิสุทธิ์และจบชีวิตลง
เฉกเช่นอดีตหัวหน้าทีมสำรวจจากสี่สิบสองปีก่อน อเดล ผู้ถูกขังไว้ในห้องใต้หอคอย ในตอนนั้น มีอาวุโสจำนวนสามคนกำลังเฝ้าระวังความปลอดภัยอยู่ภายในหอ แต่ผู้ลงมือกลับเป็นโคลิน·อีเลียดด้วยตัวเอง เพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้น อาวุโสคนอื่นจะทำได้แค่พยายามผนึกอเดลไว้โดยมิอาจฆ่าทิ้ง
สืบเนื่องมาจาก อเดลคือพี่ชายสืบสายเลือดเดียวกับโคลิน
คนเลี้ยงแกะโลเฟียร์ และนักล่าปีศาจโคลิน เดินลงมายังเขตห้องใต้หอคอยโดยไม่มีใครกล่าวสิ่งใด ถัดมา ด้วยการนำทางของอัศวินรุ่งอรุณ ทั้งสองจึงถูกพามายังส่วนลึกสุดของห้องคุมขัง
เพียงไม่นาน โลเฟียร์และโคลินหยุดยืนหน้าประตูห้องขัง ส่วนอัศวินรุ่งอรุณแยกย้ายกลับไปประจำตำแหน่งตัวเอง
หญิงสาวเดินเข้าไปในห้องขังโดยปราศจากความผิดแผกทุกรูปแบบ
เครื่องเรือนภายในห้องประกอบด้วยหนึ่งฟูกนอน หนึ่งโต๊ะ หนึ่งเก้าอี้ และหนึ่งเทียนไข
ก่อนประตูโลหะจะปิดสนิท โลเฟียร์ใช้ดวงตาสีเทาซีดจ้องมองนักล่าปีศาจโคลิน
“ท่านเคยบอกกับดิฉันว่า ถ้าชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เสียชีวิตท่ามกลางความมืดนิดด้านนอก พวกเขาจะไม่กลายเป็นวิญญาณมารในทันที แต่ต้องใช้เวลาหลายวันจึงจะเกิดกระบวนการเปลี่ยนสภาพ ส่งผลให้ทีมสำรวจมีเวลามากพอในการทิ้งระยะห่างเพื่อความปลอดภัย”
โคลินพยักหน้ารับ
โลเฟียร์หลับตาลง พลางกล่าวต่อด้วยรอยยื้มขื่นขม
“ในภารกิจสำรวจเมื่อสองเดือนก่อน สมาชิกคนหนึ่งเสียชีวิตต่อหน้าต่อตาดิฉัน ในภายหลัง ดิฉันแสร้งบอกกับคนอื่นในทีมว่าขอแยกตัวเดินทางคนเดียวสักพัก แต่ความจริงแล้ว ดิฉันย้อนกลับไปเฝ้าศพของสมาชิกผู้เสียชีวิต …อย่างไรก็ตาม แม้จะรอนานถึงห้าวันเต็ม แต่เขาก็ยังไม่กลายเป็นวิญญาณมาร”
นักล่าปีศาจโคลินไม่กล่าวสิ่งใดต่อ สายตามจ้องมองโลเฟียร์อย่างเงียบงันจนกระทั่งประตูเหล็กปิดสนิท และผนึกใต้หอคอยเริ่มทำงานของมันอย่างสมบูรณ์
…
เหนือสายหมอกสีเทา ท่ามกลางพระราชวังโบราณอันเงียบสงัด
หลังจากเพ่งสมาธิรอผลลัพธ์สักพัก ไคลน์ค่อนข้างผ่อนคลายเมื่อพบว่าดาวแดงของเดอะซันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
คงทำสำเร็จแล้วกระมัง…
ชายหนุ่มบีบคลึงขมับพลางห่อหุ้มร่างจิตด้วยพลังวิญญาณเพื่อกลับมายังโลกจริง
ในวินาทีได้รับประสาทสัมผัสของมนุษย์กลับคืน ร่างกายไคลน์พลันหนาวเย็นจับใจ
มันจามเสียงดังหนึ่งครั้ง ก่อนจะรีบสลายกำแพงวิญญาณและคลานกลับเข้าไปใต้ผ้าห่ม
ช่างน่าเศร้า เตียงนอนกำลังเย็นเฉียบยิ่งกว่าแผ่นน้ำแข็งเสียอีก
โชคยังดีว่า ร่างกายเราได้รับการคุ้มครองจากห้วงมิติเหนือสายหมอก ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้คงได้ป่วยเป็นหวัดแน่…
ไคลน์รำพันขณะนอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มเย็น
สภาพในปัจจุบันทำให้ชายหนุ่มหวนนึกถึงมุกตลกสมัยโลกเก่า :
การเสียดสีจะทำให้เกิดความอบอุ่น…
กว่าจะนอนหลับก็ต้องรอให้เตียงกลับมาเย็นอีกครั้ง ระหว่างนั้น ไคลน์ปลดปล่อยความคิดล่องลอยและวิเคราะห์เรื่องราวรอบตัว
ใช่แล้ว… ช่วงนี้เราไม่มีเรื่องเร่งด่วนต้องรีบสะสาง กฎของนักมายากลก็ได้ข้อสรุปแล้วเช่นกัน ต่อให้ไม่ ‘รนหาความตาย’ ลำพังการสวมบทบาทในชีวิตประจำวัน ก็มาพอจะช่วยให้โอสถย่อยสมบูรณ์ได้ในช่วงปีใหม่ งานของเราช่วงนี้จึงเป็นการรวบรวมวัตถุดิบหลักของโอสถผู้ไร้หน้าให้ครบ หนึ่งในวิธีครอบครองคือการออมเงินก้อนใหญ่ แต่รีบร้อนจนเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน…
สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน ความตึงเครียดในใจไคลน์ผ่อนคลายลงมาก มันวางแผนจะพักผ่อนสักสองสามวันโดยไม่ต้องการกระทำสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน
เมื่อเตียงนอนเริ่มกลับมาอบอุ่น ชายหนุ่มจึงเผลอหลับโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งลืมตาตื่นอีกทีเมื่อระฆังวิหารดังกังวานแปดครั้ง
ไคลน์เหยียดแขนบิดขี้เกียจ แต่เมื่อสัมผัสกับอากาศเย็นจัด ชายหนุ่มพลันหดกลับเข้าผ้าห่มอย่างลนลาน
วันนี้ก็หนาวขึ้นอีกแล้วหรือ… ในเมื่อช่วงนี้ไม่มีอะไรสำคัญให้ต้องทำ เราควรทิ้งตัวนอนสันหลังยาวไปอีกราวสองชั่วโมง….
ชายหนุ่มปิดเปลือกตาด้วยความขี้เกียจ
แต่เพียงไม่นาน เสียงท้องร้องเริ่มดังโครกคราก พร้อมกับความปั่นป่วนมวนท้องจากด้านล่าง
ทำไมการใช้ชีวิตถึงได้ยากแบบนี้…
ไคลน์รำพันหัวเสีย
หลังจากการต่อสู้ของสองอารมณ์ขัดแย้งผ่านไปราวสิบนาที ชายหนุ่มตัดสินใจลุกตื่น และเดินตรงไปทางห้องน้ำซึ่งมีประตูติดกับห้องนอน
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกับล้างหน้าล้างตา ไคลน์เดินลงมายังชั้นล่างและหยิบเครื่องปรุงสำหรับบะหมี่เฟเนพ็อตออกมาเตรียม
ในคราวนี้ มันไม่คิดใช้ซอสเนื้อซึ่งซื้อมาติดบ้านไว้เป็นประจำ ตรงกันข้าม มันจะใช้เนื้อสับทำเอง สิ่งนี้ถูกเตรียมไว้ตั้งแต่สองวันก่อน เกิดจากเครื่องปรุงในความทรงจำอันเลือนรางสมัยโลกเก่า ถึงแม้วัตถุดิบของโลกสองใบ้จะแทบไม่เหมือนกันเลย แต่ไคลน์ก็พยายามดัดแปลงให้ออกมาใกล้เคียง
เพียงไม่นาน บะหมี่เฟเนพ็อตราดเนื้อสับก็เป็นอันเสร็จสิ้น ไคลน์พบว่าวันนี้ก็เป็นช่วงเช้าอันยอดเยี่ยมอีกหนึ่งวัน
มันยังคงเลียนแบบกิจวัตรของชาวโลกใหม่ นั่นคือการอ่านหนังสือพิมพ์พลางกินอาหารอย่างสำราญใจ อันดับแรกคือการตรวจสอบโฆษณาเพื่อให้ทราบว่า เนตรแห่งปัญญาได้จัดการชุมนุมในวันถัดไปหรือไม่
สืบเนื่องจากความคิดกลางดึกเมื่อคืน วันนี้ไคลน์จึงเตรียมผ่อนคลายตัวเองอย่างเต็มพิกัด ถ้าไม่ไปชมละคร ก็คงเป็นโอเปร่า หรือไม่ก็การแสดงดนตรี
บัตรเข้าชมหอดนตรีในเขตตะวันตก เขตเชอร์วู้ด และเขตฮิลสตัน ล้วนมีราคาไม่ต่ำกว่าหกซูล ยิ่งถ้าเป็นนักดนตรีมีชื่อเสียง ราคาจะพุ่งสูงถึงหนึ่งปอนด์เลยทีเดียว ทางด้านหอดนตรีสำหรับชนชั้นกลางจะมีราคาลงลดเหลือหกถึงเก้าเพนนี ส่วนหอดนตรีของชนชั้นล่างซึ่งมักเปิดให้บริการในเขตตะวันออก จะราคาเพียงหนึ่งเพนนีเท่านั้น…
ไคลน์พลิกอ่านข้อมูลประกอบ พลางตัดสินใจว่าวันนี้ตนควรพักผ่อนหย่อนใจอย่างไรดี
ทันใดนั้น เสียงกริ่งบ้านพลันก้องกังวาน
กริ๊ง~
……………………
ราชันเร้นลับ 402 : ขุดลงไป
โดย
Ink Stone_Fantasy
ใครกัน? ไคลน์หันขวับไปทางประตู
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตนกำลังป่วยเป็นโรคกลัวเสียงกริ่งบ้าน คล้ายกับโรคกลัวเสียงโทรศัพท์ซึ่งมันเคยประสบขณะอยู่โลกเก่า!
ไคลน์วางหนังสือพิมพ์ลงและก้มมองชามอาหารอันว่างเปล่า สะอาดเกลี้ยงเกลาไม่หลงเหลือแม้แต่น้ำซุป ก่อนจะลุกยืนและเดินไปทางประตูบ้าน
ยังไม่ทันได้ใช้มือจับลูกบิด ภาพนิมิตของผู้มาเยือนก็ปรากฏในสมอง
ศัลยแพทย์อลัน
ไม่ทำงานทำการบ้างหรือไง…?
ไคลน์พึมพำหัวเสียพลางหมุนลูกบิด
“อรุณสวัสดิ์ อลัน วันนี้หมอกเข้มจังเลย”
ชายหนุ่มยิ้มรับ
อลันยังคงสวมสีหน้าเย็นชาเหมือนทุกที แต่แววตากำลังเผยความหวาดกลัวและวิตกกังวลพอสมควร
อีกฝ่ายใช้นิ้วขยับกรอบแว่นสีทอง ก่อนจะกล่าวห้วนเข้าประเด็นโดยไม่ทักทาย
“เชอร์ล็อก ผมฝันร้ายอีกแล้ว… ฝันถึงวิล·อัสติน”
หือ…? ไคลน์พลันผงะ
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง… กระดาษนกกระเรียนพับของจริงยังอยู่กับเราไม่ใช่หรือ? กระดาษในกระเป๋าสตางค์ของเขาเป็นเพียงสิ่งเลียนแบบจากเหยี่ยวราตรี แล้วทำไมยังฝันถึงวิล·อัสตินได้อีก? ไม่สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์เลยสักนิด… ไม่สิ หลักของศาสตร์เร้นลับ…
ไคลน์ซักถามเสียงขรึม
“เป็นความฝันแบบเดิม?”
“ไม่ใช่ คราวนี้ไม่น่ากลัวเท่าของเก่า” อลันเริ่มใจเย็นลง “ผมฝันเกี่ยวกับสุสานกรีน คุณน่าจะรู้จักใช่ไหม”
“อา.” ไคลน์ตอบห้วน
ย้อนกลับไป มันเคยแอบมองกลุ่มเด็กนักเรียนและคาปุสตี้·รีดด์—มือใหม่แห่งวงการศาสตร์เร้นลับ แอบประกอบพิธีกรรมระบำวิญญาณ โดยหลังจากนั้น ไคลน์ได้ตามไปถึงบ้านของคาปุสตี้และสืบเรื่องราว จนกระทั่งได้รับนกหวีดเรียกผู้ส่งสารเพิ่มอีกหนึ่งตัว
อลันสูดอากาศเย็นจัดเข้าไปในปอดพลางเล่าเรื่องราว
“ผมฝันถึงป่านอกสุสานกรีน เห็นต้นเบิร์ชซึ่งเปลือกไม้ถูกลอกออกหลายชั้น เห็นเด็กชายวิล·อัสตินกำลังนั่งใต้ต้นเบิร์ชพลางจ้องมองมายังผมโดยไม่กล่าวสิ่งใด”
“หลังจากนั้น?” ไคลน์ซักไซ้
อลันส่ายหัว
“ฝันจบลงแค่นี้”
น่าแปลก… กำลังจะบอกว่าความฝันของหมออลันไม่เกี่ยวกับนกกระเรียนกระดาษ? คงไม่ใช่แน่ เพราะความฝันเปลี่ยนแปลงทันทีหลังจากเรานำนกกระดาษติดตัวมาด้วย… และเหนือสิ่งอื่นใด คำทำนายจากห้วงมิติสายหมอกก็ให้คำตอบสอดคล้องกัน…
ไคลน์ตอบกลับเสียงขรึม
“เรื่องนี้อยู่นอกเหนือความเข้าใจของผม อลัน คุณถ่อมาหาผมด้วยเหตุผลใด?”
อลันพ่นลมหายใจอุ่น ซึ่งจับตัวเป็นหมอกสีขาวทันทีหลังจากพ้นรูจมูก
“ผมต้องการแวะเข้าไปในสุสานกรีน ต้องการไปเดี๋ยวนี้ ขณะท้องฟ้ายังสว่าง จึงอยากให้คุณคอยตามไปคุ้มกัน ผมยินดีจ่ายค่าเสียเวลาหนึ่งปอนด์”
ค้นหาตำแหน่งในความฝัน? ถ้าเป็นขณะฟ้ายังสว่างแบบนี้ คงไม่มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกระมัง…
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะมอบคำแนะนำ
“ผมยินดีรับงานนี้ แต่ขอแนะนำให้คุณแวะเข้าไปในวิหารสักแห่งก่อน เพื่อเล่าความฝันเมื่อคืนให้ท่านบิชอปฟัง”
อลันไม่คัดค้าน เพียงซักถามอย่างฉงน
“ทำไมคุณถึงเอาแต่แนะนำให้ผมแวะเข้าไปในวิหาร? ผมทราบดี คุณเคยอธิบายไว้อย่างสมเหตุสมผลแล้วว่า หากโลกนี้มีพลังเหนือธรรมชาติอยู่จริง บรรดาโบสถ์หลักซึ่งคอยชี้นำมนุษย์มานานหลายพันปีย่อมต้องทรงพลังมากกว่าใคร หรือต่อให้โลกนี้ไม่มีพลังดังกล่าว แต่การได้ระบายเพื่อให้จิตใจผ่อนคลายก็ยังถือเป็นเรื่องเหมาะสม… แต่ผมไม่เข้าใจ ทำไมคราวนี้คุณถึงยังแนะนำให้ผมไปหาโบสถ์อยู่? ความฝันในคราวนี้ธรรมดามาก ไม่น่าจะเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติไม่ใช่หรือ”
ไคลน์ก้มหน้าตรึกตรองราวสองวินาที ก่อนจะเงยขึ้นมาตอบอย่างขึงขัง
“ผมเป็นนักสืบ ย่อมเคยเผชิญเหตุการณ์เหนือธรรมชาติซึ่งหาคำอธิบายไม่ได้หลายหน และผมเข้าใจถึงความพิเศษของบรรดาสามโบสถ์หลัก บ่อยครั้งจึงต้องไปขอคำปรึกษาจากท่านบิชอป”
“เป็นความจริงหรือ?” อลันซักถามอึมครึม
ไคลน์ยกมุมปาก
“ไม่เลย แค่อำเล่น… อลัน ผ่อนคลายเข้าไว้ ผมขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและล้างจานให้เรียบร้อยก่อน”
หลังจากยืนสนทนากับอลันหน้าประตูเป็นเวลานาน ไคลน์สัมผัสได้ว่า ร่างกายตนเริ่มเย็นเฉียบจากสายลมหนาว
อาศัยโอกาสดังกล่าว ชายหนุ่มเดินเข้าห้องน้ำและส่งตัวเองขึ้นมิติเหนือสายหมอก ตามด้วยการทำนายถึงความอันตรายของภารกิจตรงหน้า และได้รับคำตอบออกมาว่า :
แทบจะไม่มีอันตราย
หากออกมาเป็นคำตอบยอดนิยมอย่าง ‘มีอันตรายแต่อยู่ในขอบเขตรับได้’ ไคลน์เตรียมผลักภาระให้โบสถ์เทพธิดาสานต่อทันที
…
เขตฮิลสตัน วิหารมหาดารา
“เชอร์ล็อก ทำไมคุณถึงไม่จ้างสาวใช้ไว้สักคนสองคน? ในฐานะนักสืบชื่อดังรายได้มั่นคง คุณน่าจะจ้างพวกหล่อนได้สบายไม่ใช่หรือ”
อลันซักถามขณะเดินนำไคลน์เข้าไปในวิหารมหาดารา—วิหารอันดับหนึ่งของโบสถ์รัตติกาลประจำเขตฮิลสตัน
คำถามข้างต้น อลันสงสัยมาสักพักแล้ว มันพยายามหาจังหวะถามขณะอยู่บนรถม้า แต่เนื่องจากบทสนทนาค่อนข้างพัวพัน จึงยังไม่มีโอกาสเสียที
ไคลน์ถอนหายใจยาว ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม
“อลัน ผมขอเล่านิทานให้ฟังหนึ่งเรื่อง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนักสืบหนุ่มคนหนึ่ง เขาจ้างสาวใช้ส่วนตัวติดบ้านไว้สองคน พ่อครัวหนึ่งคน และผู้ช่วยหนึ่งคน ทุกสิ่งเป็นไปอย่างราบรื่นนานหลายปี แต่อยู่มาวันหนึ่ง เขารับงานสืบคดีฆาตกรรม โดยคนร้ายมีอุปนิสัยป่าเถื่อนและชอบใช้ความรุนแรง เมื่อคนร้ายใกล้ถูกสาวถึงตัว มันตัดสินใจลอบเข้ามาในบ้านเพื่อหวังแก้แค้น นักสืบคนดังกล่าวมีฝีมือพอตัวและสามารถเอาชนะได้โดยบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่เขาต้องเสียคนรับใช้ไปสองคน อลัน คุณพอจะเห็นภาพไหม…”
“เข้าใจแล้ว” น้ำเสียงอลันแฝงความเห็นใจจากก้นบึ้ง “เชอร์ล็อก ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณมีอดีตขื่นขมแบบนี้”
ผิดแล้วสหาย… ตัวเอกในนิทานไม่ได้เกี่ยวข้องกับผมเลยสักนิด นั่นก็แค่เรื่องแต่ง…
เพียงแต่ผมบอกคุณไม่ได้ว่า ตัวผมมีวัตถุแปลกประหลาดและเหนือธรรมชาติซ่อนไว้เต็มบ้าน ไม่สะดวกให้คนใช้เดินเพ่นพ่านไปมา การไม่มีคนใช้จึงอิสระกว่ามาก…
ไคลน์รำพันพลางถอนหายใจยาว
สำหรับปัจจุบัน การทำความสะอาดบ้านจะตกเป็นงานของสาวใช้คนสวยของคุณนายซาเมอร์—ยูเลียนน่า เธอคอยเข้ามาทำความสะอาดบ้านให้ไคลน์สัปดาห์ละสองครั้ง โดยทุกครั้งจะคิดค่าบริการหนึ่งซูล
ขณะเดินสนทนา สุภาพบุรุษทั้งสองย่างกรายเข้ามาในโถงสวดมนตร์หลักประจำวิหารมหาดารา
บรรยากาศค่อนข้างมืด เงียบ และปราศจากแสงเทียน สมกับเป็นสถาปัตยกรรมในสไตล์โบสถ์รัตติกาล
ด้านในสุดของโถงหลักคือแท่นบูชาสลักตราศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดาสีดำขนาดใหญ่ ดวงดาวบนตราศักดิ์สิทธิ์ทำจากไข่มุก และจันทร์แดงทำจากทับทิม นอกเหนือจากนั้นก็มีเพียงบรรยากาศมืดสลัวรอบห้อง
เพียงไคลน์กวาดสายตามอง มันได้พบช่องว่างสำหรับให้แสงลอดผ่าน ห้องโถงจึงอัดแน่นด้วยกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์เข้มข้น
แต่ชายหนุ่มกลับมองว่า วิหารแห่งนี้ยังด้อยกว่ามหาวิหารพระแม่เซเลน่าในเมืองทิงเก็นพอสมควร สำหรับวิหารพระแม่ บรรยากาศภายในห้องจะดำมืด มีเพียงช่องว่างขนาดเล็กทรงกลมไม่กี่จุด แสงจึงลอดผ่านเข้ามาในลักษณะคล้ายดวงดาวระยิบระยับในตอนกลางวัน ช่วยมอบบรรยากาศราวกับพลังของเทพธิดารัตติกาลกำลังโอบอุ้ม
อย่างไรก็ตาม การตกแต่งในลักษณะดังกล่าวจะมีข้อเสียคือ ตอนกลางคืนจะมีบรรยากาศมืดสนิทโดยสิ้นเชิง…
ไคลน์สุ่มนั่งโดยไม่เลือกเก้าอี้ พลางวางไม้ค้ำสีดำพิงไว้ด้านหน้า ส่วนอลันเดินตรงไปเข้าคิวเพื่อรอสารภาพบาปกับบิชอป
เมื่อได้นั่งในโถงสวดมนตร์พลางจ้องมองผู้คนตั้งใจสวดภาวนารอบตัว สมาธิไคลน์เริ่มสงบนิ่งพร้อมกับครุ่นคิดเรื่องของตัวเอง
จะว่าไป… เราเคยเข้ามาในวิหารของเทพธิดาเพียงสามครั้งเท่านั้น…
ชายหนุ่มรำพันพลางเผยรอยยิ้มจืดชืด
…
มหาวิหารสุขสงบ รัฐเหมันต์
เลียวนาร์ด·มิเชล ผู้สวมเสื้อกันลมสีดำและถุงมือแดงสองข้าง เดินเข้าไปในห้องทำงานของอาวุโสใหญ่แห่งโบสถ์รัตติกาล
เครสไทน์·ซีสม่า
“ขอแสดงความยินดีด้วย คุณกลายเป็นสมาชิกของถุงมือแดงอย่างเป็นทางการแล้ว ขอให้เทพธิดาอวยพร”
เครสไทน์วาดจันทร์แดงกลางหน้าอก
มันยังคงแต่งกายในลักษณะเดิม คือการนำปกเสื้อขึ้นมาปิดบังริมฝีปากและส่วนคาง
“เทพธิดาจงเจริญ… เป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับคนต่ำต้อยเยี่ยงกระผม”
เลียวนาร์ดเลือนมือขึ้นมาทำสัญลักษณ์สี่จุดทวนเข็มนาฬิกา
เครสไทน์ไม่พิธีรีตอง รีบเข้าประเด็นทันที
“ตามความต้องการของคุณ ผมจัดสรรให้คุณเข้าหน่วยของโซสต์ สบายใจได้ เขาเป็นถึงนักปลอบวิญญาณผู้ครอบครองสมบัติวิเศษ และถ้าหากต้องการ ผมสั่งให้ช่างฝีมือเตรียมรอสร้างอาวุธวิเศษให้คุณแล้ว ทีมของคุณจะรับงานดูแลคดีด้านการอัญเชิญปีศาจและพิธีกรรม โดยตัวคุณต้องคอยทำงานภาคสนามเพื่อสืบหาเบาะแส ยกตัวอย่างเช่น คดีต่อเนื่องภายในกรุงเบ็คลันด์ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับไพ่ทาโรต์”
“ขอรับ ท่านเจ้าคุณซีสม่า” เลียวนาร์ดไม่คัดค้านคำสั่ง
นี่จะเป็นก้าวแรกในการแค้นของเรา…
มันพึมพำ
…
เขตตะวันตก รอบนอกสุสานกรีน
ไคลน์คอยเดินตามอลันผ่านแนวป่าแห่งแล้วแห่งเล่า ระยะทางนับว่าค่อนข้างไกลจากจุดเริ่มต้น และทั้งสองกระแอมบ่อยครั้งเนื่องจากเศษฝุ่นสีเทาร่วงหล่นลงมาเป็นระยะ
“บางที อาจไม่มีต้นไม้ดังกล่าวอยู่บนโลกความจริง โดยเป็นเพียงสัญลักษณ์”
อลันเริ่มไม่แน่ใจเมื่อการสำรวจกินเวลานานกว่าความคาดหมายในตอนแรก
ไม่ต้องห่วง คุณหมอ ตัวผมเชี่ยวชาญการตามหาของมาก…
ไคลน์ใช้ไม้ค้ำชี้ตรงไปข้างหน้าและกล่าว
“พวกเราเดินไปดูตรงนั้นก่อนก็แล้วกัน ถ้าไม่มีค่อยตัดสินใจกลับ”
“ตกลง” อลันพยายามสูดหายใจเข้า
หลังจากเดินต่อไม่นาน ศัลยแพทย์ชื่อดังพลันชะงักฝีเท้าและโพล่งขึ้นเสียงดัง
“ตรงนั้น! ต้นนั้นไม่ผิดแน่!”
ไม่กี่สิบเมตรข้างหน้า ต้นเบิร์ชซึ่งเปลือกไม้ถูกลอกออกหลายชั้น ตั้งเด่นตระหง่านเตะตากว่าต้นไม้ในละแวกใกล้เคียงทั้งหมด ราวกับกำลังรอให้ใครหาพบ
“เหมือนกับในฝันไม่มีผิด!” อลันกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแกมตื่นเต้น
ไคลน์ยิ้มพลางติดตลก
“แต่ผมไม่เห็นวิล·อัสตินเลยนะ”
อลันเดินเข้าไปใกล้ต้นเบิร์ช มันขมวดคิ้วและชี้ปลายนิ้วลงด้านล่าง
“ในความฝัน วิล·อัสตินนั่งตรงนี้ พร้อมกับก็ชี้นิ้วลงไปบนพื้นโคลนข้างล่าง”
ชี้นิ้วลงไปบนพื้นโคลน…?
ไคลน์ขมวดคิ้ว ก่อนจะก้มมองลงไปในจุดหญ้าเขียวชอุ่ม
“คุณจะขุด?”
อลันรีบพยักหน้า
“แน่นอน ในเมื่อพวกเราตามหาตำแหน่งในความฝันจนพบ ก็ต้องยืนยันให้แน่ชัดก่อนกลับไป เชอร์ล็อก ช่วยกลับไปยังสุสานและขอยืมพลั่วมาสองเล่ม ผมคอยเฝ้าตรงนี้ดีกว่า ถ้าให้คุณเฝ้าคนเดียว เกรงว่าอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝัน” ไคลน์อธิบายพร้อมเหตุผล
“ตกลง” อลันไม่คัดค้าน เพียงรีบวิ่งออกไปจากเขตป่า
ผ่านไปสักพัก และด้วยการบริจาคเงินให้สุสานจำนวนหนึ่ง อลันเดินกลับมาพร้อมสัปเหร่อและพลั่วอีกสามเล่ม
ทุกคนลงมือช่วยกันขุด
ระหว่างออกแรง ไคลน์เริ่มได้กลิ่นอันคุ้นเคยจากเบื้องล่างทีละนิด จนกระทั่งหน้าดินถูกตักออกและเผยให้เห็นบางสิ่งด้านล่างอย่างสมบูรณ์
ศพเด็ก
ศพเด็กเน่าเปื่อยมาแล้วหลายวัน!
ผิวหนังและเนื้อใกล้ละลายกลายเป็นของเหลวเต็มที หนอนแมลงนานาชนิดชอนไชเข้าออกปากจมูกอย่างอิสระ
เคร้ง!
พลั่วหลุดจากมืออลันกระทบหิน
ศัลยแพทย์ชื่อดังชี้นิ้วไปยังส่วนขาของศพพลางพะงาบปากหงึกหงัก แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
ไคลน์อดทนต่ออาการคลื่นไส้และเพ่งมองจุดดังกล่าวอย่างตั้งใจ มันพบว่าขาซ้ายของศพเด็กหายไปตั้งแต่ส่วนใต้หัวเข่า
อลันผงะถอยหลังสองก้าวและล้มก้มจ้ำเบ้า
“ว…วิล! วิล·อัสติน!”
ศพของวิล·อัสติน
……………………
ราชันเร้นลับ 403 : ชะตากรรมของนักสืบเอกชน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เขาตายแล้ว?
วิล·อัสตินตายแล้ว?
แถมยังน่าจะตายมานานแล้วด้วย!
มีโอกาสเป็นศพปลอมไหม?
ไคลน์จ้องศพเด็กชายด้วยสีหน้าประหลาดใจแกมสงสัย ประโยคคำถามมากมายพลันผุดขึ้นในสมอง
จากข้อมูลของไคลน์ วิล·อัสตินคือเด็กพิเศษ ผู้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับลำดับ 1 อสรพิษปรอท ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
หลังจากการเล่นไพ่ทำนายดวงกับอลัน เด็กคนนั้นพูดว่า ‘คุณหมอ ดวงของคุณจะแย่ลงหลังจากนี้’ เพียงไม่นาน ความซวยมากมายก็เกิดกับอลันทันที ไม่ใช่แค่นั้น นกกระเรียนกระดาษซึ่งเขาพับด้วยตัวเองและนำมามอบให้อลัน ยังกลายเป็นเครื่องมือระบุพิกัดวิญญาณดาราของอลันบนโลกวิญญาณได้แม่นยำ แถมยังสามารถบรรจุความฝันเทียมลงไปได้ด้วย สิ่งนี้ถือเป็นศาสตร์ชั้นสูง เพราะแม้ว่าไคลน์จะพึ่งพาพลังของมิติสายหมอกเข้าช่วย แต่ก็ทำได้เพียงระบุตำแหน่งอย่างคร่าว และไม่สามารถบรรจุความฝันเทียมลงไปได้…
จะบอกว่าเด็กสุดพิเศษคนนี้ตายแล้ว?
แถมยังอาจจะตายก่อนอลันเริ่มฝันร้าย…
แล้วครอบครัวของเขาไปไหน?
ไคลน์หรี่ตาจ้อง พลางฝืนกล้ำกลืนอาการพะอืดพะอมเพื่อสำรวจดินร่วนรอบศพอย่างละเอียด จนกระทั่งเริ่มสังเกตเห็นเศษไพ่ทาโรต์ฉีกขาด
สัมผัสวิญญาณของมัน บ่งบอกชัดเจนว่าศพตรงหน้าไม่ใช่ใครนอกจากวิล·อัสติน
ทั้งน่าประหลาดใจและเต็มไปด้วยคำถาม… บางที เราควรเข้ามิติสายหมอกเพื่อทำนายยืนยันให้แน่ชัด ว่าเป็นศพของวิล·อัสตินจริงหรือไม่…
เดี๋ยวสิ… แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรา?
ไหนเคยสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอสรพิษปรอทไปมากกว่านี้… ดีไม่ดี อีกฝ่ายอาจน่ากลัวยิ่งกว่าสมบัติปิดผนึก 0-08 ของอินซ์·แซงวิลล์ด้วยซ้ำ…
ไคลน์ดึงสติกลับสู่โลกความจริง พลางหันไปกล่าวกับสัปเหร่อและอลัน ผู้กำลังลนลานและใกล้สติแตกเต็มที
“เรียกตำรวจเร็วเข้า!”
“ต…ตกลง! ตกลง!” สัปเหร่อผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะได้สติกลับมาและทวนคำสั่งซ้ำ
ด้วยพลั่วในมือ มันรีบหันหลังกลับและสับเต็มฝีเท้าออกจากแนวป่าลึกไปอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งกำลังถูกซอมบี้ไล่ล่าก็มิปาน
ช่องว่างเต็มไปหมด… คงเพราะเขาเป็นแค่คนธรรมดา จึงไม่มีการระวังตัวใดทั้งสิ้น และคิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์เช่นนี้ คนรอบตัวมักอันตรายกว่าใครเสมอ…
การหันหลังให้คนแปลกหน้าอย่างพวกเรา จะถูกซัดพลั่วใส่ตอนไหนก็ไม่แปลก…
ไคลน์มองตามหลังสัปเหร่อพลางถอนหายใจยาว
สมัยยังเป็นเหยี่ยวราตรีประจำเมืองทิงเก็น มันเคยอ่านแฟ้มคดีจำนวนมากและพบว่า เหยื่อส่วนใหญ่มักถูกเล่นงานโดยคนใกล้ตัว
ขณะใช้ความคิด ชายหนุ่มเดินไปยืนข้างศัลยแพทย์อลันและเหยียดแขนออกไปหา
“หมดห่วงได้เลย เด็กคนนั้นตายแล้ว”
“เพราะเขาตาย ผมจึงยิ่งกลัว”
อลันเริ่มใจเย็นลง และพยุงตัวลุกยืนโดยไม่อาศัยความช่วยเหลือจากไคลน์
โค้ทกระดุมสองแถวของอลันเต็มไปด้วยคราบดินและโคลนเปื้อนเปรอะ ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจไคลน์เจ็บแปลบพอสมควร
จริงสินะ เราเป็นพวกไม่ชอบเห็นของแพงได้รับความเสียหาย…
ชายหนุ่มถอนหายใจเงียบ
เมื่อเห็นว่าอลันยังคงตื่นกลัว ไคลน์ยิ้มและกล่าวปลอบใจ
“สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ การสวดภาวนาถึงองค์เทพในศรัทธา จะช่วยเยียวยาจิตใจได้ดีเป็นพิเศษ”
“อย่างนั้นหรือ” อลันชะงักเล็กน้อย ก่อนจะทำสัญลักษณ์สี่จุดบนหน้าอกในลักษณะทวนเข็มนาฬิกาและเปล่งเสียงแผ่ว “ข้าแต่องค์เทพธิดารัตติกาลผู้สูงสง่ากว่าดาราและยาวนานกว่านิรันดร์ สาวกผู้มีศรัทธาแรงกล้าของท่าน ขอสวดภาวนาเพื่อรับพร…”
หลังจากอลันเปล่งถ้อยคำดังกล่าวซ้ำไปมาหลายรอบ ท่าทีของมันเริ่มสุขุม ไม่ตื่นกลัวเท่ากับในช่วงแรก
ทางด้านไคลน์กำลังวาดสัญลักษณ์สามจุดบนหน้าอก ตัวแทนเทพจักรกลไอน้ำ พลางพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน
ข้าแต่องค์เทพจักรกลไอน้ำ สาวกจอมปลอมและมิได้ศรัทธาในตัวท่านมากนัก ขอสวดภาวนาเพื่อรับพร…
ขณะพึมพำ ไคลน์เผยรอยยิ้มมุมปากพลางกังวลว่า ตนอาจถูกสายฟ้าจากพระเจ้าเล่นงานเข้ากลางศีรษะอย่างกะทันหัน
แต่นั่นคงเป็นไปไม่ได้… พลังสายฟ้าอยู่ในขอบเขตของเทพวายุสลาตัน เทพจักรกลไอน้ำไม่มีพลังเช่นนั้น… ชายหนุ่มครุ่นคิดติดตลกพลางผ่อนคลายความกังวล
…
ถัดมาประมาณยี่สิบนาที หนึ่งนักสืบหนึ่งศัลยแพทย์กำลังนั่งภายในห้องสอบสวนของสถานีตำรวจใกล้เคียง
ระหว่างการสอบปากคำ ไคลน์ตีหน้าซื่อเล่าว่าตนเป็นเพียงนักสืบเอกชนผู้รับงานคุ้มกันอลัน จึงไม่ทราบเรื่องราวมากนัก ในส่วนของศัลยแพทย์อลัน มันเล่าความฝันให้ตำรวจฟังพร้อมกับเหตุผลว่าทำไมถึงต้องไปขุดดินตรงจุดดังกล่าว
ไคลน์สามารถบอกได้ว่า ทางตำรวจไม่เชื่อคำแก้ตัวหรือข้ออ้างของตนและอลัน แต่หลังจากพวกมันหายหน้าไปสักพัก เมื่อกลับมาอีกครั้ง ท่าทีพลันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แถมยังกล่าวด้วยว่า พฤติกรรมของศัลยแพทย์อลันและนักสืบเชอร์ล็อกไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย สามารถลงบันทึกประจำวันและกลับบ้านได้ทันที
อลันประหลาดใจอย่างมาก แต่กับไคลน์แล้วไม่เลยสักนิด เพราะชายหนุ่มทราบดีว่าเรื่องนี้มีเหยี่ยวราตรีอยู่เบื้องหลัง
และนี่คือสาเหตุว่า ทำไมไคลน์ถึงต้องให้คุณหมออลันแวะเข้าไปในวิหารมหาดาราเป็นอันดับแรก จึงค่อยลงมือสำรวจป่าหลังสุสาน
ขณะเดินออกจากสถานี ชายหนุ่มไม่ประหลาดใจนักเมื่อได้เห็นบุคคลใบหน้าคุ้นเคย—เหยี่ยวราตรีผู้เคยเข้าฝันตนเมื่อวันก่อน
ชายผู้อาจเป็นหัวหน้าทีมเหยี่ยวราตรี สวมชุดกันลมสีดำซึ่งมีประสิทธิภาพลดทอนความหนาวเย็นได้มากกว่าโค้ทของไคลน์ ดวงตาสีฟ้าของมันกวาดผ่านใบหน้าชายหนุ่มโดยไม่เผยอากัปกิริยาผิดปรกติ แสร้งทำตัวเป็นเพียงสารวัตรอาวุโสคนหนึ่งอย่างแนบเนียน
แต่ทางฝั่งไคลน์ ผู้แสร้งทำตัวเป็นนักสืบเอกชนธรรมดาคนหนึ่งได้แนบเนียนกว่า มันใช้มือขยับกรอบแว่นตาเล็กน้อย หยิบหมวกทรงกึ่งสูงขึ้นมาสวม และเดินออกจากสถานีตำรวจโดยตรงไปยังรถม้าของอลัน
หลังจากศัลยแพทย์คนดังบอกให้คนขับรถส่วนตัวมุ่งหน้าไปถนนมินส์ มันหันกลับมาจ้องไคลน์และซักถาม
“เชอร์ล็อก คุณคิดว่าเรื่องนี้จบลงหรือยัง”
“ถ้านั่นคือศพของวิล·อัสตินจริง ทุกสิ่งก็น่าจะจบลงแล้ว” ไคลน์เว้นวรรคหนึ่งอึดใจ “อลัน คุณพบสิ่งผิดปรกติในช่วงหลังบ้างไหม จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้”
อลันก้มหน้าตรึกตรองและส่ายหัว
“ไม่มีเลย”
“งั้นก็ได้เวลาฉลอง!” ไคลน์ยิ้ม
สำหรับชายหนุ่ม นี่คือบทสรุปในอุดมคติของคดีเด็กชายวิล·อัสติน แม้ว่านกกระเรียนกระดาษฝีมือไคลน์จะไม่สามารถถูกทำนายถึง และไม่ทิ้งเบาะแสน่าสงสัยใดไว้ แต่ชายหนุ่มก็ยังกังวลว่า เหยี่ยวราตรีอาจมีไม้เด็ดเหนือความคาดหมาย เช่นสมบัติปิดผนึกพิสดารสักชิ้นของโบสถ์รัตติกาล แต่หลังจากมีการพบศพเด็กชายวิล·อัสติน คดีคงไม่แคล้วต้องปิดตัวลงเนื่องจากดำเนินมาถึงทางตัน และแฟ้มเอกสารก็ต้องถูกเก็บเข้ากรุ จะไม่มีเหยี่ยวราตรีคนใดคอยตามสืบเบาะแสของนกกระเรียนกระดาษอีก
อลันผ่อนคลาย ก่อนจะซักถาม
“ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่คิดว่าคำอธิบายของพวกเราจะทำให้ตำรวจยอมเชื่อและปล่อยตัวกลับออกมา… ทำไมพวกเขาถึงไม่คัดค้านอะไรเลยสักนิด?”
“ผมเองก็ไม่ทราบ” ไคลน์แสร้งตีหน้ามึน “นึกว่าจะต้องให้นักกฎหมายประจำตัวมาช่วยพากลับบ้าน… ไม่สิ มาช่วยประกันตัวออกไปเสียแล้ว”
อลันยิ้มตอบ
“เชอร์ล็อก ดูเหมือนคุณจะมีประสบการณ์กับสถานีตำรวจพอสมควรเลยนะ”
ไคลน์ยิ้มแห้ง ตอบเสียงขรึม
“มันคือชะตากรรมของนักสืบเอกชน”
…
ขณะไคลน์และอลันถูกนำตัวไปยังสถานีตำรวจใกล้กับสุสานกรีน ฟอร์ส·วอลล์ ผู้สวมเดรสสีดำยาวและหมวกใบเล็กพร้อมด้วยตาข่ายคลุมหน้า กำลังย่างกรายเข้าไปในเขตสุสานกรีนเพื่อเคารพหลุมศพมาดามอาริสา
ย้อนกลับไปหนึ่งชั่วโมงก่อน เธอและเพื่อนสนิทร่างเล็ก ซิล·เดียร์ชา เดินทางเข้าเขตราชินี บ้านของไวเคาต์กายลิน เพื่อขอยืมเงินจำนวนสี่ร้อยปอนด์แบบปากเปล่าและไม่มีดอกเบี้ย
ข้อเรียกร้องเดียวของกายลินคือ ให้พวกเธอผู้วิเศษสองสาว ช่วยตามไปคุ้มกันขณะตัวมันเข้าร่วมชุมนุมลับของมิสเตอร์ A
ปัจจุบัน กายลินกำลังต้องการผลึกพิษของแมงกะพรุนกะหล่ำดอกเหนือสิ่งอื่นใด เพื่อนำไปปรุงเป็นโอสถนักปรุงยา
ออเดรย์พบ ‘เขาของอลิคอร์น’ ในคลังสมบัติตระกูลฮอลล์ จึงทำเรื่องเบิกออกมาใช้งานด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์และเพื่อการศึกษาเรียนรู้ จากนั้นก็นำไปมอบให้กายลินเพื่อชดใช้หนี้เก่า
ขณะเดียวกัน เด็กสาวได้รบกวนให้กายลินช่วยเป็นธุระ ติดต่อกับลูกหลานดยุคนีแกน ให้พวกเขาช่วยตรวจสอบว่า ในคลังสมบัติตระกูลนีแกนมีซากศพ ‘นักล่าพันหน้า’ บ้างหรือไม่ และถ้ามี ผิวหนังของมันยังมีประกายแวววาวไหม
เมื่อรวบรวมเงินได้ครบตามจำนวน ฟอร์สไม่รีบร้อนสังเวยให้มิสเตอร์ฟูลทันที เนื่องจากพฤติกรรมดังกล่าวอาจทำให้ซิลเกิดความสงสัย ว่าเพราะเหตุใด ฟอร์สถึงจัดการได้รวดเร็วและง่ายดายเช่นนี้
อาศัยช่วงเวลาว่าง หญิงสาวเปลี่ยนเสื้อผ้าและเช่ารถม้าเดินทางไปยังสุสานกรีน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณรอบนอกเขตตะวันตก
หลังจากได้ทราบกฎอนุรักษ์พลังพิเศษในเส้นทางใกล้เคียงและความถาวรของพลังพิเศษ ฟอร์สตระหนักว่าวัตถุดิบหลักของโอสถ ‘ผู้ฝึกหัด’ ของตน แท้จริงแล้วคือตะกอนพลังจากศพมาดามอาริสา
หรือสรุปโดยสั้น เธอคือผู้สืบทอดพลังต่อจากหญิงชรา
ฉะนั้น ฟอร์สจึงต้องการแวะเยี่ยมหลุมศพของเธอพร้อมกับนำช่อดอกไม้ไปวาง เพื่อนเป็นการแสดงความขอบคุณอีกฝ่าย
ปัจจุบันเป็นช่วงต้นฤดูหนาว ดอกไม้ตามธรรมชาติล้วนเหี่ยวเฉา แต่ฟอร์สกลับกำลังถือดอกไม้จริงหนึ่งช่อใหญ่เต็มกำมือ
ดอกไม้เหล่านี้ถูกปลูกขึ้นในเรือนเพาะชำ และราคาพวกมันค่อนข้างสูง
ขอบคุณมาก จักรพรรดิโรซายล์ สำหรับสิ่งประดิษฐ์แสนล้ำค่าเช่นนี้… ฟอร์สกล่าวขอบคุณจากก้นบึ้ง
ตามข้อมูลของเธอ ในช่วงนี้ของฤดูกาล ดอกไม้ส่วนใหญ่ตามงานเลี้ยงของบรรดาชนชั้นสูงล้วนมาจากเรือนเพาะชำ และบางส่วนถูกขนส่งมาจากแถบอากาศอบอุ่นบนดินแดนทวีปใต้ ราคาจึงค่อนข้างสูงและไม่เหมาะสมกับสังคมชนชั้นกลาง
ขณะยืนหน้าป้ายหลุมศพสีดำ ฟอร์สจ้องมองรูปถ่ายอาริสาครู่หนึ่ง ก่อนจะคุกเข่าลงวางดอกไม้และกระซิบกระซาบ
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวลุกยืน หลับตาลง หวนนึกถึงอดีตระหว่างตนและหญิงชรา
ทันใดนั้น เสียงค่อนข้างชราพลันดังแว่ว
“นึกแล้วเชียว คุณช่างเป็นกุลสตรีจิตใจงดงาม…”
ฟอร์สลืมตา หันไปทางต้นเสียง และได้พบกับมิสเตอร์ลอว์เรนซ์จากตระกูลอับราฮัม
ในมือของชายชรากำลังถือช่อดอกไม้ลักษณะไม่ต่างจากตนมากนัก
“ผิดแล้วค่ะ ดิฉันมิได้เป็นคนใจกว้างหรืออะไรทำนองนั้น เพียงแต่ว่า ในช่วงเวลายากลำบากและไม่เหลือใคร มาดามอาริสาได้เข้ามาทดแทนตำแหน่งของมารดาและมอบความอบอุ่นหัวใจอันยากลืมเลือน”
ฟอร์สเล่าเรื่องอย่างซื่อตรง
ดวงตาของเธอเริ่มเผยของเหลวสีใส
ลอว์เรนซ์ ผู้มีริ้วรอยรอบขอบตา เดินเข้ามาวางดอกไม้หน้าหลุมศพและถอนหายใจ
“สิ่งนี้หมายความว่า คุณเป็นคนจิตใจงดงามและเห็นความสำคัญของมิตรภาพ”
หลังจากสนทนากันสักพัก ขณะฟอร์สเตรียมเดินกลับ ลอว์เรนซ์ ผู้กำลังยืนโบกมืออำลา พลันกระแอมในลำคอ และเริ่มไอแห้งอย่างรุนแรงจนผิดวิสัย
แค่ก! แค่ก! แค่ก!
ชายชราเกร็งคอไอจนแข้งขาอ่อนระทวยและล้มลงไปนอนกับพื้นเย็นเฉียบ ท่าทีราวกับจะขาดอากาศหายใจเสียให้ได้
ในฐานะแพทย์หญิงผู้จบการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ชื่อดัง ฟอร์สไม่ลังเลในการวิ่งกลับมาปฐมพยาบาล
ผ่านไปสักพัก อาการไอของลอว์เรนซ์เริ่มทรงตัว ชายชราปาดคราบน้ำลายตรงมุมปากพลางส่งรอยยิ้มให้หญิงสาว
“คนสวย ช่วยพาผมกลับโรงแรมได้ไหม”
“ได้ค่ะ” ฟอร์สช่วยพยุงอีกฝ่ายลุก
ลอว์เรนซ์มองตรง ดวงตาเริ่มพร่ามัว
มันกระแอมและกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขม
“ชีวิตของผมคงใกล้ถึงจุดจบแล้ว…”
……………………
ราชันเร้นลับ 404 : ฝากฝัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เขตตะวันตก โรงแรมคาร์ลเพนซ่า
ฟอร์สช่วยพยุงลอว์เรนซ์จนถึงห้องและพาชายชราไปนอนบนเตียง
โรงแรมแห่งนี้ค่อนข้างหรูหรา ทั่วห้องยกเว้นห้องน้ำจะมีพรมหนานุ่ม สีเทาสลับเหลืองวางทอดเป็นระยะ บนกำแพงมีภาพวาดสีน้ำมันเลียนแบบงานศิลป์ชื่อดัง
ลอว์เรนซ์หายใจยากลำบาก
“ขอบคุณมาก มิสวอลล์ ได้โปรดอภัยให้กันด้วย ชายแก่คนนี้ลุกขึ้นคำนับไม่ไหว”
“มิสเตอร์ลอว์เรนซ์ อาการของคุณกำลังจะดีขึ้น ในฐานะอดีตแพทย์หญิง ดิฉันสามารถยืนยันได้ว่า อายุขัยของคุณยังไม่จบลงตรงนี้ หลังจากนอนพักผ่อนสักพัก พวกเราจะแวะไปคลินิกหรือไม่ก็โรงพยาบาลกัน”
ฟอร์สกล่าวปลอบใจ · ลอว์เรนซ์ยิ้ม
“ผมรู้จักร่างกายตัวเองดี คุณไม่จำเป็นต้องให้กำลังใจผม ยิ่งไปกว่านั้น ผมมีงานอดิเรกเป็นนักโหราศาสตร์มือสมัครเล่น เคยดูดวงให้ตัวเองและพบว่า ผมมีชะตากรรมต้องตายบนเตียงนอนของโรงแรมในกรุงเบ็คลันด์”
หากไม่นับการปกปิดเรื่องเหนือธรรมชาติ ทุกสิ่งจากปากลอว์เรนซ์ล้วนเป็นความจริงทั้งหมด มันอายุเกือบแปดสิบ ไม่มีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม ถ้าไม่เพราะมีพลังของโอสถค่อยค้ำจุนร่างกาย ป่านนี้คงถูกฝังอยู่ในสุสานสักแห่งนานแล้ว
เดิมที ลอว์เรนซ์เคยประเมินว่าตนสามารถใช้ชีวิตได้อีกสักสิบปี แต่ใครจะไปคิดว่า ‘นักท่องเที่ยว’ โบทิส จะทำการทรยศตระกูลและเข้าร่วมกับชุมนุมแสงเหนือ โดยในศึกดังกล่าว ลอว์เรนซ์ได้รับบาดเจ็บหนัก แถมยังเสียทายาทของตัวเองไปจนหมด
สิ่งนี้กระทบกระเทือนจิตใจลอว์เรนซ์รุนแรงจนมันเกือบกลับมาไม่ได้
ซ้ำร้าย การค้นหาข่าวคราวพี่น้องร่วมสายเลือดในกรุงเบ็คลันด์ก็ยิ่งทำให้มันหดหู่ เพราะทุกคนได้ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว
เมื่อนำทั้งหมดหมดผนวกเข้าด้วยกัน จิตใจลอว์เรนซ์จึงถูกกัดกร่อนรุนแรง มันเริ่มตระหนักว่า ตนคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
แผนเดิมก็คือ ลอว์เรนซ์จะแวะเยี่ยมหลุมศพของลาโบโร่และอาริสา ต่อด้วยการเดินทางกลับไปประชุมหารือกับอาวุโสคนอื่นของตระกูลเพื่อสะสางเรื่องราว จึงค่อยจากโลกนี้ไปอย่างสงบ
แต่ด้วยความชรา สุขภาพของลอว์เรนซ์จึงอยู่นอกเหนือการควบคุม
โดยไม่รอท่าทีตอบสนองจากฟอร์ส ชายชราขยับตัวล้วงหยิบสมุดเล่มหนึ่งจากเสื้อโค้ท
ปกแข็งของสมุดมีสีเขียวขี้ม้า มอบความรู้สึกโบราณและน่าเกรงขาม
อักษรบนปกเขียนด้วยภาษาฟุซัคโบราณ :
“ข้าบรรลุ ข้าประจักษ์ ข้าบันทึก”
ลอว์เรนซ์วางสมุดลงบนผ้าห่มตรงหน้าอกพลางถอนหายใจยาว
“มิสวอลล์ หากผมตายไปตรงนี้ รบกวนคุณช่วยนำสมุดไปส่งให้ใครบางคน ณ ท่าเรือพริสต์ได้ไหม?”
“มิสเตอร์ลอว์เรนซ์ คุณจะไม่เป็นอะไร”
ฟอร์สพูดให้อีกฝ่ายรู้สึกดี
ในเวลาเดียวกัน เธอชำเลืองสำรวจสมุดบันทึกและพบว่า มันมีจำนวนหน้าไม่มาก ประกอบด้วยกระดาษสามชนิด ช่วงต้นจะเป็นกระดาษหนังสีเหลือง มีแค่สองถึงสามหน้า ไม่มากไปกว่านี้ ช่วงกลางจะเป็นกระดาษหนังสีน้ำตาล และช่วงท้ายจะเป็นกระดาษสีขาวแบบทั่วไป ไม่มีสิ่งใดพิเศษ
ลอว์เรนซ์ฉีกยิ้มพลางฝืนเปล่งเสียงอย่างยากลำบาก
“ผมแค่สมมติน่ะ แต่ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้นจริง คุณจะช่วยผมได้ไหม มิสวอลล์”
“ท่าเรือพริสต์อยู่ไม่ไกล เรียกว่าการเดินทางยังไม่ได้ หากมีเรื่องเร่งด่วน ดิฉันสามารถไปกลับได้ในเวลาครึ่งวันด้วยรถจักรไอน้ำ”
ฟอร์สพยักหน้ารับ
ลอว์เรนซ์ถอนหายใจยาวอย่างผ่อนคลาย สีหน้าแววตาดีขึ้นจากตอนแรกเล็กน้อย
“หลังจากผมตาย ให้รอสิบนาที จึงค่อยเก็บวัตถุส่องแสงระยิบระยับ และนำไปส่งให้มิสเตอร์โดเรียน·เกรย์ ณ สมาคมชาวประมงแห่งท่าเรือพริสต์พร้อมกับสมุดเล่มนี้ ผมขอยกเงินสดสี่สิบสองปอนด์ในกระเป๋าสตางค์แทนค่าเสียเวลาและคำขอบคุณ ส่วนเสื้อผ้าของผม ได้โปรดให้มันกลายเป็นเถ้าถ่านไปพร้อมกับผม”
“ไม่จำเป็นค่ะ ดิฉันไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ไม่สิ… มิสเตอร์ลอว์เรนซ์ คุณจะไม่เป็นอะไร”
ฟอร์สกล่าวจากความรู้สึกก้นบึ้ง
ลอว์เรนซ์ยังคงสั่งเสียต่อไป ราวกับไม่ได้ยินถ้อยคำของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“บางที โดเรียนอาจตอบแทนคุณเพิ่มเติม แต่นั่นขึ้นอยู่กับตัวคุณด้วย… ผมเชื่อใจคุณนะ ดูจากการปฏิบัติตัวต่ออาริสา คุณคือหญิงสาวผู้มีจิตใจงดงาม…”
มันเว้นวรรค ก่อนจะกล่าวกับฟอร์สด้วยแววตากระจ่างชัดผิดวิสัย
“มิสวอลล์ รบกวนนำเหยือกลงไปกรอกน้ำชั้นล่างให้ผมสักหน่อย ไม่แน่ใจว่าพนักงานโรงแรมจะมาเติมให้เมื่อไร”
“ได้ค่ะ” ฟอร์สหยิบเหยือกน้ำและเดินออกจากห้องโดยไม่คิดอะไรมาก
แต่หลังจากเดินไปได้สามก้าว ฟอร์สพลันสังเกตเห็นความผิดปรกติ เหยือกน้ำในมือตนค่อนข้างหนัก และปริมาณน้ำนับว่าไม่น้อย
ขณะเตรียมหันกลับไปถาม สัมผัสวิญญาณของเธอพลันตระหนักถึงความผันผวนของพลังวิญญาณภายในห้อง
นี่มัน…!
ฟอร์สพลันยืนตัวแข็งทื่อ เธอเข้าใจทันทีว่ามิสเตอร์ลอว์เรนซ์คิดจะทำสิ่งใด
เมื่อความตายคืบคลานเข้ามาใกล้ เจ้าของร่างคงสัมผัสถึงความผิดปรกติได้ดีกว่าใคร ด้วยความกลัวว่าตนจะคลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาด การปลิดชีพตัวเองจึงถือเป็นวิถีปฏิบัติของมนุษย์คนหนึ่ง
เขาคงอยากตายในฐานะมนุษย์มากกว่า…
คงเป็นมโนธรรมสุดท้ายของผู้วิเศษกระมัง
แน่นอน สามารถมองในอีกมุมหนึ่งได้ว่า หากเขากลายเป็นสัตว์ประหลาด แผนการส่งต่อตะกอนพลังให้คนชื่อโดเรียน·เกรย์ก็จะกลายเป็นหมัน
เมื่อทราบความจริง ฟอร์สยืนรอหน้าห้องพักด้วยแววตาหดหู่ จนกระทั่งครบสิบนาที จึงทำการเปิดประตูเข้าไป
เธอเห็นลอว์เรนซ์ ผู้กำลังนอนสงบนิ่งบนเตียงด้วยใบหน้าแก่ชราลงจากเดิมเล็กน้อย โดยข้างกายมี ‘เพชร’ ขนาดเท่าดวงตามนุษย์
แสงจากหน้าต่างสองเข้ามากระทบกับ ‘เพชร’ จนเกิดประกายระยิบระยับราวกับดวงดาว นับเป็นภาพอันหาชมได้ยาก
ฟอร์สถอนหายใจยาว รีบตรวจสอบร่างกายของลอว์เรนซ์ และได้ข้อสรุปว่าชายชราเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลว
…
เขตเชอร์วู้ด บ้านเลขที่ 15 ถนนมินส์
ไคลน์นั่งพักสักครู่หลังจากกลับถึงบ้าน จากนั้นค่อยเข้าห้วงมิติเหนือสายหมอก และทำนายถึงสถานการณ์ปัจจุบันของวิล·อัสติน
ชายหนุ่มเพ่งจิตสั่งให้นกกระเรียนกระดาษลอยออกจาก ‘กองขยะ’ มาตกบนโต๊ะทองแดงยาวเบื้องหน้าตน ตามด้วยการก็ปลดจี้บุษราคัมออกจากข้อมือ
ไคลน์ถือลูกตุ้มวิญญาณด้วยมือซ้าย และเพ่งสมาธิเข้าฌานเพื่อระลึกความทรงจำขณะยังอยู่ในเขตป่านอกสุสานกรีน
รายละเอียดเล็กน้อยบางอย่างอาจตกหล่นไปจากสมองไคลน์ แต่สัมผัสวิญญาณย่อมไม่พลาดสิ่งสำคัญแน่
เมื่อนำข้อมูลข้างต้นมาประกอบกับการพึ่งพาพลัง ‘ขจัดการรบกวน’ ของห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา ไคลน์เชื่อว่าผลการทำนายต้องตนจะออกมาแม่นยำ
หลังจากเตรียมการเบื้องต้นเสร็จ ไคลน์เสกกระดาษหนังออกมาเขียนประโยคทำนาย :
“วิล·อัสตินตายแล้ว”
ถัดมา มันนำนกกระเรียนมาวางทาบบนกระดาษประโยคทำนาย กดมันลงไป และจ่อปลายลูกตุ้มจนเกือบสัมผัสกระดาษ
หลังจากเข้าฌานและดำเนินขั้นตอนการทำนายด้วยลูกตุ้มวิญญาณเสร็จ ชายหนุ่มลืมตาขึ้นและจ้องมองผลลัพธ์
ลูกตุ้มบุษราคัมหมุนทวนเข็มนาฬิกาด้วยความเร็วสูง แถมวงการแกว่งยังกว้างมาก
ผลลัพธ์ออกมาเป็น : ไม่ใช่
วิล·อัสตินยังไม่ตาย!
หืม…
ไคลน์ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ท่าทีคล้ายกับคาดเดาได้บางส่วน
มันครุ่นคิด ก่อนจะเปลี่ยนประโยคทำนาย :
“ศพเด็กชายคนนั้นคือวิล·อัสติน”
สำหรับคราวนี้ ผลลัพธ์ระบุว่า ‘ใช่’
ศพเด็กเป็นของวิล·อัสตินจริง
แนวคิดมากมายพลันผุดขึ้นในสมอง ไคลน์รีบก้มหน้าตรึกตรองก่อนจะเขียนประโยคทำนายใหม่ลงไป :
“ศพของวิล·อัสตินจะคืนชีพ”
หลังจากเพ่งสมาธิทำนาย ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมองผลลัพธ์
ลูกตุ้มหมุนทวนเข็มด้วยความเร็วสูง
หมายความว่าศพ ของวิล·อัสตินจะไม่คืนชีพหรือกลับมาเกิดใหม่
คล้ายกับว่า วิล·อัสตินจงใจสละร่างกายและมีชีวิตรอดในบางรูปแบบแทน…
เรื่องนี้เกี่ยวกับอสรพิษปรอทหรือไม่?
ไคลน์พยายามทำนายถามหาเบาะแสของวิล·อัสตินด้วยประโยคทำนายอีกหลายมุมมอง แต่ทั้งหมดก็ล้มเหลว รวมถึงประโยคทำนาย :
“สถานการณ์ปัจจุบันของวิล·อัสติน”
ถัดมา ชายหนุ่มเปลี่ยนไปใช้เทคนิคทำนายนิมิตฝันและเขียนประโยคทำนายลงไปว่า :
“ตำแหน่งปัจจุบันของวิล·อัสติน”
ผลลัพธ์ออกมาคล้ายคลึงของเก่า :
เป็นฉากห้องมืดสนิท มีเสียงน้ำไหล
แต่สำหรับคราวนี้ ไคลน์รู้สึกว่าบรรยากาศแตกต่างออกไปเล็กน้อย
ช่างมันปะไร… เราสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่ยุ่งเรื่องอสรพิษปรอทไปมากกว่านี้…
ไคลน์นำจี้บุษราคัมไปรัดข้อมือตามเดิม และเตรียมตัวกลับสู่โลกความจริง
จากข้อมูลทั้งหมด รวมถึงจากผลการทำนายเมื่อครู่ ไคลน์ผุดทฤษฎีเกี่ยวกับวิล·อัสตินได้หนึ่งข้อ เพียงแต่ยังขาดหลักฐานยืนยัน
มันเชื่อว่า วิล·อัสตินคือหนึ่งในอสรพิษปรอท!
ในฐานะลำดับ 1 อสรพิษปรอทย่อมไม่มีแค่คนเดียว แต่มีมากสุดถึงสามคนพร้อมกัน!
อสรพิษแห่งโชคชะตา ผู้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ ‘ชะตา’ ผู้สามารถระบุตำแหน่งวิญญาณดาราของศัลยแพทย์อลันและบรรจุความฝันเทียมลงไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งมีชีวิตระดับนี้ต้องมีพลังบันดาลโชคร้ายให้กับเป้าหมาย
และด้วยเหตุผลบางประการ พลังของวิล·อัสตินเริ่มอ่อนแอลงจนถูกอสรพิษปรอทตัวอื่นคุกคามหนักหน่วง การขอความช่วยเหลือจากอลัน จึงเป็นการดิ้นรนเพื่อให้เกิดผลลัพธ์บางประการ
และเดาได้ไม่ยาก ว่าเหตุใดอสรพิษปรอทถึงเกิดความขัดแย้งกันเอง
การไม่มีลำดับ 0 จะทำให้มีลำดับ 1 ได้สูงสุด 3 คนพร้อมกัน แต่ถ้ามีลำดับ 0 เส้นทางดังกล่าวจะไม่มีลำดับ 1 แม้แต่คนเดียว
จากประโยคข้างตน ผนวกกับสูตรโอสถจักรพรรดิมืดในความทรงจำไคลน์ ชายหนุ่มจึงได้ข้อสรุปให้ตัวเอง
หนึ่งในวัตถุดิบหลักของโอสถจักรพรรดิมืดก็คือ : ตะกอนพลัง ‘องค์ชายวิปริต’ สองชิ้น!
องค์ชายวิปริตคือลำดับ 1 ของเส้นทางจักรพรรดิมืด!
สิ่งนี้หมายความตรงตัวว่า ถ้าลำดับ 1 ของเส้นทางต้องการพัฒนาไปเป็นลำดับ 0 มันจะต้องฆ่าลำดับ 1 อีกสองคนเพื่อชิงตะกอนพลัง!
ด้วยความคิดดังกล่าว ไคลน์ยิ่งไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวิล·อัสตินมากกว่านี้
หากทฤษฎีของเราถูกต้อง ข้อพิพาทดังกล่าวจะเป็นศึกระหว่างเทพของจริง คงไม่ใช่ฉลาดนักหากนำพาตัวเองเข้าไปอยู่ตรงกึ่งกลางสมรภูมิ…
ไคลน์ห่อหุ้มร่างกายด้วยพลังวิญญาณและส่งตัวเองกลับมายังโลกจริง ปล่อยให้พระราชวังโบราณเหลือเพียงความว่างเปล่า
…
เขตราชินี ภายในบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีลักษณะไม่โดดเด่นสะดุดตา ชุมนุมลับของมิสเตอร์ A ใกล้จะถูกจัดขึ้นตามกำหนด
ฟอร์สและซิลเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย คอยเดินตามไวเคาต์กายลิน ผู้สวมหน้ากากเหล็ก เข้าไปในห้องโถงหลักและเลือกเก้าอี้นั่งเป็นหลักแหล่ง
ก่อนชุมนุมจะเริ่มขึ้น ไวเคาต์กายลินเขียนความประสงค์ของตนลงบนกระดาษและส่งให้ผู้ช่วย มันภาวนาต่อเทพธิดา ขอให้วันนี้มีคนนำวัตถุดิบตรงตามความต้องการมาเสนอขาย
เฉกเช่นทุกครั้ง ฟอร์สแสดงพฤติกรรมเฉื่อยชา มีการเลื่อนผ้าคลุมหัวลงมาปกปิดใบหน้าเป็นบางคราว
เธอกำลังครุ่นคิดถึงสถานการณ์ของตระกูลอับราฮัมและการตายของมิสเตอร์ลอว์เรนซ์
หญิงสาวทราบดี ‘เพชร’ จากศพชายชราเป็นสิ่งใดไม่ได้นอกจากตะกอนพลังของลอว์เรนซ์ แต่เธอก็ไม่ทราบว่าเป็นของโอสถชนิดใดและลำดับเท่าไร
ฟอร์สพลิกเปิดอ่านเนื้อหาในสมุดบันทึก แต่ด้านในกลับไม่มีสิ่งใดสำคัญเขียนไว้ หากไม่ใช่หน้าเปล่า ก็จะเป็นอักขระซับซ้อนเกินกว่าความเข้าใจของเธอ
ช่างมันเถอะ ไม่สำคัญสักหน่อย เราต้องรักษาสัญญากับเขา… ฟอร์สเตือนสติ
ทันใดนั้น มิสเตอร์ A ผู้นั่งบนโซฟาเดี่ยวตัวใหญ่และแต่งกายด้วยชุดคลุมหรูหรา พลันเปล่งเสียงอันแหบพร่าไปทั่วห้อง
“ข้ามีภารกิจ จงช่วยข้าตามหาผู้ศรัทธาของเดอะฟูล!”
เห…?
ฟอร์สรู้สึกราวกับถูกค้อนทุบเข้าท้ายทอย
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น