Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 385-392
ราชันเร้นลับ 385 : เรื่องราวความรัก
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากแหงนมองท้องฟ้ามืดครึ้มซึ่งมีสายฟ้าสีขาวสว่างแลบแซม เดอร์ริคตัดสินใจไม่เดินไปเคาะประตูบ้านคนรู้จัก ตรงกันข้าม มันเดินไปบนถนนใหญ่โดยมีจุดหมายเป็นลานโล่งสุดขอบกำแพงเมืองเงินพิสุทธิ์
ทุกครั้งหลังจากทีมสำรวจกลับมา สมาชิกในทีมจะถูกบังคับให้อยู่ภายในเขตนี้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไม่เพียงจะสะดวกต่อการรายงานผลภารกิจ แต่ยังเป็นการกักกันทางอ้อมอย่างนุ่มนวล จุดประสงค์เพื่อคอยคัดกรองภัยอันตรายซึ่งอาจแทรกซึมอยู่ในร่างกายสมาชิกทีมสำรวจ
ระเบียบขั้นตอนข้างต้นเกิดจากประสบการณ์อันยาวนานกว่าสองพันปีของเมืองเงินพิสุทธิ์ ไม่ยุ่งยากแต่ได้ประสิทธิผล
ในวินาทีเดอร์ริคย่างกรายเข้าสู่ลานฝึกพร้อมขวานเฮอริเคนเหน็บเอว ดวงตาเด็กหนุ่มพลันลุกวาวเมื่อได้พบอาวุโสโลเฟียร์—สตรีเลอโฉมจนดูคล้ายหญิงสาววัยสามสิบ ขณะเดียวกัน เดอร์ริคมองเห็นใบหน้าบุคคลคุ้นเคยอีกสอง
จากสภาพแวดล้อมจำกัดจำเขี่ยของเมืองเงินพิสุทธิ์ จำนวนประชากรจึงอยู่ในระดับคงตัวมาตลอด ไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลง กลุ่มคนแต่ละช่วงอายุเฉลี่ยแล้วจะมีสัดส่วนเท่ากัน ดังนั้น ในวัยเดียวกัน ถึงเดอร์ริคจะไม่กล้าพูดเต็มปากว่าตนรู้จักทั้งหมด แต่ก็เคยเห็นหน้ามาแล้วเป็นส่วนใหญ่แน่นอน บางคนเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน บางคนเป็นเพื่อนร่วมคาบเรียนพิเศษ และบางคนเป็นเพื่อนในลานฝึก
จากบรรดาสมาชิกทีมสำรวจด้านใน เดอร์ริคคุ้นเคยคนหนึ่งเป็นพิเศษ อีกฝ่ายคือเด็กหนุ่มนาม ‘ดาร์ก·รีเจนซ์’ ผู้เคยเป็นเพื่อนร่วมทีมลาดตระเวนด้วยกันมาก่อน
ดาร์กมีส่วนสูงปานกลาง รูปร่างท้วมเล็กน้อย แข็งแกร่ง พละกำลังมาก มองโลกในแง่ดี และเป็นคนสดใสร่าเริง ใบหน้ามักฉาบด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรเสมอ ปัจจุบันอยู่ในลำดับ 8 กลาดิเอเตอร์ บนเส้นทางยักษา
เดอร์ริคและเพื่อนสนิทกำลังถูกกีดขวางด้วยแผ่นกระจกสีดำโปร่งแสงซึ่งแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ไม่มีโอกาสได้สัมผัสทางกายภาพต่อกัน ต้องรอให้หน่วยคัดกรองยืนยันเสียก่อนว่า ไม่มีความผิดปรกติใดเกิดขึ้นกับทีมสำรวจ จึงค่อยได้รับอิสระและถูกปล่อยออกมาด้านนอก
เดอร์ริค ผู้เก็บตัวและเงียบขรึมนับตั้งแต่สูญเสียพ่อแม่ ทำการโบกมือทักทายดาร์ก
เมื่อสัมผัสถึงบางสิ่งเคลื่อนไหว กลาดิเอเตอร์ ดาร์ก หันมามองเดอร์ริค
“ดาร์ก เป็นอย่างไรบ้าง? ไม่ได้พบเจอเรื่องอันตรายใช่ไหม?” เดอร์ริคตะโกน
วัสดุสร้างกำแพงสีดำโปร่งแสงสามารถพบได้จากเขตรอบนอกไม่ไกลจากกำแพงเมืองเงินพิสุทธิ์มากนัก มันถูกเรียกว่า ‘อำพันมืด’ ผิวแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ขณะเดียวกันก็ยังโปร่งแสงและลำเลียงเสียงได้ดีในระดับหนึ่ง ส่งผลให้ถ้อยคำของเดอร์ริคไม่ถูกลดทอน
เดอร์ริคจินตนาการว่า ดาร์กคงฉีกยิ้มกว้างและโบกมือตอบกลับมาทำนอง :
‘นายก็เห็นแล้วนี่! ฉันไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนสักหน่อย หมายความว่าพวกเราไม่ได้เผชิญเหตุการณ์วิกฤติยังไงล่ะ!’
ทว่า หลังจากได้ยินคำถาม ดาร์กเดินเข้ามาใกล้กำแพงใสพลางยิ้มตอบแผ่วเบา
“ไม่มี ทุกสิ่งราบรื่น”
เมื่อเห็นรอยยิ้มเย็นชืด เดอร์ริคพลันสั่นสะท้านไปทั้งลำตัว เป็นความรู้สึกคล้ายกับกำลังตั้งค่ายภายในซากปรักหักพังของหอคอยหรือวิหารร้างตามลำพัง โดยด้านนอกเต็มไปด้วยความมืดมิดและสัตว์ประหลาดรอรุมขย้ำ
…
ณ สโมสรครักซ์ ไคลน์และนายแพทย์อลันตกลงค่าจ้างกันเรียบร้อย :
สองปอนด์!
คุณหมอร่ำรวยสมคำร่ำลือ… หากเป็นเราเมื่อไม่กี่เดือนก่อน งานแบบนี้คงได้รับค่าจ้างแค่ 10 ซูลเท่านั้น…
ไคลน์ ผู้ยินดีรับงานนี้แม้จะไม่ได้เงิน กำลังลิงโลดภายในใจ
มันยังจำได้แม่นว่า สมัยยังทำงานกับเหยี่ยวราตรีเมืองทิงเก็น ผู้เก็บซากศพ ฟราย เคยบอกว่า สำหรับอาชีพหมอ หากมีชื่อเสียงจะได้รับค่าจ้างในอัตราสูงมาก
ในตอนนั้น ฟรายมอบข้อมูลเปี่ยมสาระตรงข้ามกับนักกวีเก๊ เลียวนาร์ด·มิเชล โดยสิ้นเชิง เขายังกล่าวเสริมด้วยว่า :
‘ไม่ว่าใครก็ตาม หากสามารถซื้อบ้านติดถนนในย่านพลุกพล่านของเมืองเบ็คลันด์ได้ ธุรกิจแรกในหัวคือการเปิดคลินิก’
ขณะเดียวกัน ไคลน์และอลันได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ทั้งสองจะไปเยี่ยมบ้านของเด็กหนุ่มวิล·อัสตินหลังจากเสร็จมื้ออาหารค่ำ
ในเมื่อยังไม่บ่ายสาม ครูสอนขี่ม้า ทาลิม·ดูมงต์ ได้ชักชวนสหายทั้งสามคนไปนั่งบนโต๊ะเล่นไพ่ จากนั้นก็เริ่มเล่นไพ่เสิงจี๋*ซึ่งถูกคิดค้นโดยจักรพรรดิโรซาย
(เสิงจี๋ – เกมไพ่เชิงนับเลข มีความหมายตรงตัวว่า ‘ยกระดับ’)
เราวางแผนว่าจะเล่นเทนนิส ซ้อมยิงปืน อ่านหนังสือในหอสมุด และพักผ่อนหย่อนกายสบายใจ… ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้…
ไคลน์รำพันขณะเล่นไพ่กับพวกพ้อง
ด้วยความสัตย์จริง หากพึ่งพาพลังของนักมายากล ชายหนุ่มสามารถปล้นเงินจากดอกเตอร์อลัน นักข่าวไมค์ และทาลิม ด้วยเกมไพ่จนทุกคนเกลี้ยงกระเป๋า
แต่พวกเขาโชคดีมาก เพราะเราเป็นคนดี จึงใช้แค่ฝีมือส่วนตัวกับดวงอีกเล็กน้อย…
ขณะบริกรชายกั๊กแดงกำลังสับไพ่ ไคลน์หยิบขนมปังกรอบรสครีมขึ้นมากัดเต็มคำ
มันอดสรรเสริญภายในใจไม่ได้ว่า :
เจ๋งเป้ง!
ระหว่างเกมไพ่ ไคลน์ตระหนักถึงความไม่ปรกติหนึ่งสิ่ง นั่นคืออารมณ์ในปัจจุบันของครูสอนขี่ม้า ทาลิม·ดูมงต์ ชายคนนี้มีสุขภาพจิตดีขึ้นจากคราวก่อนมาก
หรือว่าปัญหาเพื่อนของเขา ผู้มีความรักต้องห้าม ได้รับการสะสางแล้ว?
ชายหนุ่มครุ่นคิดขณะจิบชาดำซิบป์
ในฐานะนักสืบ ไคลน์ทราบดีว่าเรื่องนี้ไม่ควรถูกถามต่อหน้าธารกำนัล จึงเก็บงำไว้ในใจ และเพ่งสมาธิกับเกมไพ่ตรงหน้า
ล่วงเลยจนถึงห้าโมงเย็น ไมค์ขอตัวลาเนื่องจากต้องกลับบริษัท ทำให้เกมไพ่ต้องถูกยกเลิกเพราะขาดขา โดยผลประกอบการของไคลน์เท่ากับ 5 ซูล
เริ่มมีโชคกับเขาบ้างแล้วสินะ…
ขณะครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย ไคลน์เหลือบเห็นนายแพทย์อลันลุกไปเข้าห้องน้ำ จึงหันไปกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา
“ทาลิม ปัญหาของเพื่อนคุณได้รับการสะสางแล้วหรือ?”
ทาลิม ผู้กำลังโยนไพ่ในมือลงบนโต๊ะ พลันออกอาการชะงักราวหนึ่งอึดใจ ก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มแห้ง
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิด”
มันเว้นวรรค ตามด้วยการเสริมเรื่องเล่ายาวเหยียด
“เหตุการณ์ไม่ได้ร้ายแรงตั้งแต่แรก ผมเป็นฝ่ายคิดมากไปเอง สรุปโดยสั้น นี่เป็นเรื่องราวของสุภาพบุรุษหนุ่มสูงศักดิ์คนหนึ่ง ซึ่งดันไปตกหลุมรักสามัญชนไม่คู่ควรเข้า คุณคงทราบดี ด้วยฐานะระดับดังกล่าว เขาจำเป็นต้องแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางใหญ่เท่านั้น แม้แต่บุตรสาวพ่อค้ามั่งคั่งก็ยังไม่คู่ควร”
แค่นี้เองหรือ… เราดันไปคิดว่าจะเป็นเรื่องราวสุดพิสดารจำพวก หลงรักผู้ชายด้วยกัน หลงรักสัตว์ประหลาด หรือไม่ก็ไม่สามารถแต่งงานกับอีกฝ่ายได้ด้วยปัญหาด้านศีลธรรม เช่นพี่น้องร่วมสายเลือด…
ไคลน์แสดงสีหน้าผิดหวังโดยไม่ปิดบัง
“ตามความเข้าใจของผม สุภาพบุรุษของชนชั้นสูงสามารถมีภรรยารองได้ไม่ใช่หรือ”
“ผิดแล้ว เชอร์ล็อก คุณยังไม่เข้าใจ สิ่งนี้เรียกว่าความรัก รักแท้อันบริสุทธิ์! สุภาพบุรุษหนุ่มคนดังกล่าวต้องการแต่งงานกับหญิงสาวสามัญชนคนนั้นเพียงผู้เดียว!” ทาลิมเล่าพลางถอนหายใจ
แน่นอน ผมต้องไม่เข้าใจอยู่แล้ว ในเมื่อยังเป็นแค่หนุ่มโสดซิง…
ไคลน์ไม่ตอบโต้ · ทาลิมยังคงถอนหายใจ
“เพื่อให้สุภาพบุรุษหนุ่มคนดังกล่าวมีอนาคตสดใส ผมถึงขั้นเคยคิดจะจ้างนักลอบสังหารมาเก็บเธอ ฮะฮะ! แต่เนื่องจากผมเป็นพลเมืองดีและยังเคารพกฎหมายอยู่ นั่นจึงเป็นได้แค่ความคิด”
“แล้วถูกสะสางได้อย่างไร?” ไคลน์แสดงสีหน้าสนอกสนใจ
ทาลิมยกกาแฟชาวเขาขึ้นมาจิบ
“ทางออกง่ายดายจนน่าเหลือเชื่อ ผมแค่เดินไปคุยกับหญิงสาวสามัญชนคนนั้นอย่างเปิดอก อธิบายผลเสียซึ่งจะตามมาหากพวกเขาแต่งงานกัน และเมื่อได้ฟังเรื่องราว เธอแสดงความประสงค์จะเป็นฝ่ายจากไปทันที อีกทั้งยังให้ผมหาทางช่วยเหลือ ต้องขอบอกตามตรงว่า เธอมีจิตใจงดงาม คิดถึงหัวอกผู้อื่น กิริยามารยาทเพียบพร้อม และยังเลอโฉมมาก หากไม่เพราะกังวลถึงศักดิ์ศรีตัวเอง ผมคงคุกเข่าลงต่อหน้าเธอและจุมพิตหลังฝ่ามือไปแล้ว”
“ฟังดูเหมือน ผมคงช่วยอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้แต่แรก…” ไคลน์ตอบพร้อมกับยกถ้วยชาดำเลี่ยมทองขึ้นจิบ
ในฐานะผู้มาเยือนจากดาวเคราะห์ชื่อโลก มันมีกฎเหล็กในใจอยู่หนึ่งข้อ :
ห้ามยุ่งเรื่องของผัวเมียเด็ดขาด!
ไม่อย่างนั้นคุณจะกลายเป็นสุนัข!
แต่สำหรับไคลน์ การไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เป็นคนละความหมายกับการ ‘เผือก’ เรื่องชาวบ้านโดยสิ้นเชิง
ถ้าเป็นอย่างหลัง ให้ฟังถึงเช้าก็ยังได้
…
สำหรับอาหารค่ำของสโมสรครักซ์ในวันนี้ จานจำกัดเสิร์ฟคือล็อบสเตอร์โซเนียอบเนย หลังจากกินเสร็จ ไคลน์และอลันขึ้นรถม้าของรายหลัง ตรงไปยังบ้านวิล·อัสติน—อาคารหมายเลข 66 ถนนดาลตันในเขตเหนือ
นี่คือข้อมูลจากความทรงจำอลัน มันไม่ได้ย้อนกลับไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบประวัติคนไข้ย้อนหลัง
ขณะเดียวกัน ไคลน์กำลังมั่นใจว่า ร่องรอยเกือบทั้งหมดของเด็กชาย คงถูกเหยี่ยวราตรีเก็บกวาดไปจนหมดแล้ว
ในฐานะอดีตเหยี่ยวราตรี เรารู้ไส้รู้พุงการทำงานทุกกระเบียดนิ้ว… ชายหนุ่มยิ้มชืด
หลังจากดึงกริ่งบ้านและยืนรอสักพัก สาวใช้หน้าตาธรรมดาในชุดขาวสลับดำเดินมาเปิดประตู ตามด้วยการก็ซักถามอย่างงุนงง
“คุณสุภาพบุรุษทั้งสอง มีอะไรให้ดิฉันช่วยหรือคะ?”
เมื่อเห็นอลันเงียบขรึมตามนิสัย ไคลน์เป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนา
“พวกเราต้องการพบวิล·อัสติน ทางนี้คือนายแพทย์เจ้าของไข้ เขามาเพื่อตรวจสอบผลการรักษาหลังผ่าตัด”
“ด…ดิฉันไม่รู้จักค่ะ เพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่วัน ขอตัวกลับเข้าไปถามเจ้านายก่อนนะคะ…”
สาวใช้ตอบพลางขมวดคิ้ว
ขณะยืนรอด้านนอก อลันหันมาพูด
“ถ้าผมเป็นเธอ ก็คงหลงเชื่อเรื่องโกหกของคุณเหมือนกัน”
“ทักษะพื้นฐานของนักสืบ” ไคลน์ยิ้ม
ภายในไม่กี่อึดใจ ชายวัยห้าสิบเดินมาถึงหน้าบ้านและกล่าวเสียงขรึม
“วิล·อัสตินกับครอบครัวได้ย้ายไปออกไปแล้วในวัน…”
ชายสูงอายุบอกวันเวลาอย่างชัดเจน
อลันไล่นับวันถอยหลังพลางขมวดคิ้ว
“ทำไมพวกเขาถึงต้องรีบร้อนย้ายบ้านหลังจากออกโรงพยาบาลได้เพียงสองวันด้วย?”
ศัลยแพทย์คนดังสวมบทบาทราวกับเดินทางมาตรวจอาการเด็กหนุ่มตามคำกล่าวอ้าง
ไคลน์พลันทำหน้างุนงง มันรีบถามกลับ
“ทำไมคุณถึงทราบวันเวลาชัดเจนนัก?”
ตามปรกติแล้ว ผู้เช่ารายใหม่จะย้ายเข้าหลังจากผู้เช่ารายเดิมย้ายออกไปได้สักพัก
ชายสูงอายุตอบกึ่งฉุนเฉียว
“ก็เคยมีคนบางกลุ่มแวะถามหาสิ่งเดียวกับพวกคุณยังไงล่ะ ผมถึงกับต้องไปถามเจ้าของบ้าน เพื่อให้ได้ข้อมูลมาตอบพวกเขา!”
เหยี่ยวราตรีแน่นอน…
ไคลน์ซักถามอย่างไม่คาดหวัง
“แล้วคุณพอจะรู้ไหมว่า ครอบครัวอัสตินย้ายไปพักอาศัยแถวไหน?”
“ไม่” ชายสูงอายุตอบห้วน
“พวกเขาทิ้งอะไรไว้บ้างไหม” ไคลน์ลังเลเล็กน้อยก่อนถามซักไซ้
“ก็มีบ้าง” ชายสูงอายุพักสูดลมหายใจยาว จากนั้นจึงเล่าต่อ “แต่คนกลุ่มเดิมก็มาเอาไปหมดแล้ว!”
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเหยี่ยวราตรี เราก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำใจ… ถึงจะมีแนวคิดตรงกัน แต่ทางนั้นมีอำนาจอยู่ในมือ…
ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว
เมื่อมั่นใจว่าไม่พบเบาะแสเพิ่มเติม ไคลน์กับอลันนำพาตัวเองออกจาก 66 ถนนดาลตัน
“ผมเกรงว่า กว่าคุณจะได้ขจัดความคาใจ คงต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่” ไคลน์หันไปคุยกับนายแพทย์คนดัง
อลันเงียบงันหลายวินาที ตามด้วยการถอนหายใจยาว
“เมื่อเรื่องราวลงเอยเช่นนี้ ผมคงไม่ติดค้างอะไรอีก ผมเป็นแค่หมอคนหนึ่ง ยังมีคนไข้อีกหลายรายรอให้รักษา การมีสมาธิกับงานตรงหน้าคือสิ่งสำคัญ ผมจะไม่มัวกังวลว่าคนไข้จะคิดอย่างไร และทำไมถึงต้องสาปความโชคร้ายใส่ นับแต่นี้ไป ผมจะทำงานฝั่งตัวเองอย่างสุดฝีมือ ไม่มีอะไรให้ค้างคาใจภายหลัง”
“คิดได้ดีครับ” ไคลน์พยักหน้าเห็นด้วยจากก้นบึ้ง “เอ่อ… ขอถามสักนิด เกิดอะไรขึ้นกับขาซ้ายของวิล·อัสติน?”
“บริเวณน่องซ้ายมีเนื้องอกประหลาด มันขยายตัวเป็นวงแหวนจนกระทั่งกดทับเส้นเลือดใหญ่” นายแพทย์อลันเล่าพลางเค้นสมองนึก “แต่เด็กคนนั้นใจสู้จนน่าเหลือเชื่อ ไม่แสดงท่าทีเสียใจเลยสักนิด อาจเผยความกลัวให้เห็นอยู่บ้าง…
“ในตอนแรก พวกเราหวังจะเก็บขาซ้ายของเขาไว้ให้ได้ แต่อาการกลับแย่ลงเรื่อยๆ จนต้องตัดทิ้ง”
……………………
ราชันเร้นลับ 386 : ฝันร้าย
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองเงินพิสุทธิ์
เดอร์ริค·เบเกอร์ลืมไปแล้วว่าตนเดินกลับมาถึงบ้านได้อย่างไร สิ่งเดียวในหัวคือความรู้สึกสะพรึงกลัวเหนือคำบรรยาย
พฤติกรรมของดาร์ก·รีเจนซ์เปลี่ยนแปลงไปไม่มากก็จริง แต่ความต่างเพียงเล็กน้อยก็มากพอจะมอบความปั่นป่วนในใจเดอร์ริค
เด็กหนุ่มกำลังกังวลว่าเมืองเงินพิสุทธิ์ของตนอาจกลายเป็นเป้าโจมตีของเทพมาร—พระผู้สร้างเสื่อมทราม เดอร์ริคกลัวว่าเมืองเงินพิสุทธิ์จะถูกทำลายก่อนตนจะกลายเป็นสุริยัน ไม่ทันได้ขจัดคำสาปอันยาวนานกว่าสองพันปีของดินแดนแห่งนี้
เด็กหนุ่มกำลังโกรธแค้นตัวเอง เหตุไฉนตนถึงอ่อนแอเช่นนี้ เหตุไฉนถึงยังเป็นเพียงผู้วิเศษลำดับ 8
ปล่อยไว้ไม่ได้! เราจะเฝ้าดูอย่างเดียวไม่ได้!
เดอร์ริคลุกพรวด เตรียมเดินไปแจ้งข่าวให้สภาอาวุธคนอื่นและท่านผู้นำ โคลิน·อีเลียด ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงในคราวนี้
อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มทราบดี ความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับทีมสำรวจ หากเพิ่งกลับจากการเดินทางไกล ผู้วิเศษหลายคนจะประสบภาวะตึงเครียดนานหลายวัน สิบวัน หรือเป็นเดือน
ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นการสำรวจบนทุ่งโล่งและความว่างเปล่า จิตใจของสมาชิกในทีมก็จะยิ่งไม่มั่นคง อาจถึงขั้นซึมเศร้า
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อความปลอดภัย สมาชิกทุกคนจะไม่ได้รับอนุญาตให้ปลดปล่อยความใคร่ทางเพศตลอดการเดินทาง สิ่งนี้ทำให้จิตใจใครหลายคนเกิดความว้าวุ่นไม่น้อย และในกรณีเลวร้าย หากสมาชิกในทีมเสียชีวิตหรือบาดเจ็บหนักเกินกว่าครึ่ง การเปลี่ยนนิสัยจากหน้ามือเป็นหลังมือจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่
ปัญหาข้างต้นสามารถถูกแก้ไขได้รูปแบบเดียวก็คือ ต้องกักตัวไว้ชั่วคราวและให้ผู้วิเศษเส้นทางจิตใจเยียวยาอย่างใกล้ชิด แทบไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว
เมืองเงินพิสุทธิ์ครอบครองสูตรโอสถเส้นทางมังกรสามลำดับแรก หมายความว่า พวกมันไม่ขาดแคลนนักจิตวิเคราะห์
เดอร์ริค ผู้กำลังปรี่ไปทางประตูบ้านตัวเอง มีอันต้องชะลอฝีเท้าและหยุดยืนคิด
มันเริ่มตระหนักว่า การรายงานของตนอาจไม่ส่งผลดีสักเท่าไร ตรงกันข้าม สิ่งนี้อาจทำให้ถูกสงสัยยิ่งกว่าเดิม ไม่เพียงเท่านั้น ตัวมันอาจตกเป็นเป้าความโกรธแค้นจาก ‘คนเลี้ยงแกะ’ โลเฟียร์ แห่งสภาอาวุโส
หลังจากเดินวนเวียนในบ้านหลายสิบวินาที เด็กหนุ่มตัดสินใจผลักประตูบ้านออกไปพลางกัดฟันกรอด
เดอร์ริคเกิดความรู้สึกอย่างแรงกล้า ว่าตนต้องแจ้งเรื่องดังกล่าวให้สภาอาวุโสรับทราบ ถึงแม้จะต้องเกิดอันตรายกับตัวเองก็ตาม!
สำหรับประชากรส่วนใหญ่ของเมืองเงินพิสุทธิ์ ทุกคนจะถูกปลูกฝังอย่างเข้มงวดว่า ถ้าการสละชีพของตนช่วยรักษาอารยธรรมกว่าสองพันปีของเมืองไว้ได้ ก็อย่านึกลังเลโดยเด็ดขาด สิ่งนี้ฝังอยู่ในหัวทุกคนมาตั้งแต่เกิด
คนเห็นแก่ตัวมักมีอายุไม่ยืนยาวภายใต้สถานการณ์วิกฤติในปัจจุบัน ไม่ว่าจะภายในหรือภายนอกเมืองก็ตาม
แน่นอน เดอร์ริคไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างประมาท ภายใต้การอบรมของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ โดยเฉพาะแฮงแมน เด็กหนุ่มทราบดีว่าตนต้องอดทนในเวลาเหมาะสม และลงมือเมื่อจังหวะสำคัญมาถึง ในบางครั้ง การอดทนมองดูความสูญเสีย ก็เป็นทางเลือกเหมาะสมกว่า หากต้องการช่วยเหลือเมืองในระยะยาว
เราแค่รายงานความผิดปรกติให้ท่านผู้นำทราบ ไม่น่าจะเป็นอันตรายสักเท่าไร…
เดอร์ริคปลอบใจตัวเอง พลางเร่งฝีก้าวให้เร็วขึ้นทีละนิด
เพียงไม่นาน เด็กหนุ่มก็มองเห็นยอดหอคอยสูงตระหง่าน อาคารสำคัญอันดับหนึ่งของเมืองเงินพิสุทธิ์
เดอร์ริคเดินเข้าไปหาเวรผู้คุ้มกัน ตามด้วยการทำเรื่องขอพบท่านผู้นำสูงสุด
ค่อนข้างน่าประหลาด เวรผู้คุ้มกันมิได้ซักถามอะไรมากนัก หลังจากให้กรอกข้อมูลพื้นฐาน อีกฝ่ายก็เดินนำเดอร์ริคขึ้นบันไดไปยังห้องส่วนตัวของหัวหน้าอาวุโสทันที
แปลกมาก… ไม่เหมือนกับคราวก่อน…
เมื่อพบความต่าง เด็กหนุ่มพลันเกิดความหวาดระแวง
ขณะเดอร์ริคย่างกรายเข้าไปในห้อง ผู้นำสูงสุด โคลิน·อีเลียด กำลังยืนใกล้กับกำแพง
อาวุโสคนนี้มีรูปร่างสูง ดวงตาสีฟ้าลุ่มลึก เส้นผมสีเทายุ่งเหยิง กำลังหันหลังให้กำแพงโดยบนกำแพงมีดาบสองเล่มแขวนอยู่
โคลินสวมชุดป่านสีขาวด้านในและสวมโค้ทสีน้ำตาลทับด้านนอก มองผิวเผินยากจะเชื่อว่านี่คือนักล่าอสูรอันดับหนึ่งของเมืองเงินพิสุทธิ์ ผู้ปราบสัตว์ประหลาดและปีศาจมากมายนับไม่ถ้วน
“เดอร์ริค·เบเกอร์ คุณมีเรื่องด่วนประการใดต้องการแจ้งให้ผมทราบเป็นการส่วนตัวหรือ?” โคลินถามเสียงชรึม
“ท่านผู้นำ” เดอร์ริคกล่าวทักทายอย่างนอบน้อม “ผมมีโอกาสไปพบกับทีมสำรวจซึ่งเพิ่งกลับมาถึงลานฝึกในวันนี้ ผ…ผมรู้สึกว่าดาร์ก·รีเจนซ์ เพื่อนของผม มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางแปลกประหลาด เขามิได้ร่าเริงเหมือนแต่ก่อน รอยยิ้มสดใสกลายเป็นรอยยิ้มเย็นชาของคนแปลกหน้า… ล…แล้วก็ อาวุโสโลเฟียร์กลายเป็นคนเงียบขรึม ไม่พูดจาหลายบุคลิกตามปรกติ…”
โคลินเพ่งมองเดอร์ริคหัวจรดเท้าพลางซักถามด้วยเสียงต่ำ
“แค่สองเรื่องนี้?”
“ค…ครับ” เดอร์ริคก้มต่ำ “ผมคิดว่าต้องมีบางสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นอย่างแน่นอน…”
โคลินโบกมือไล่และกล่าวส่งท้าย
“เข้าใจแล้ว ผมจะให้ไอโฟลว์ตรวจสอบเรื่องนี้ คุณกลับไปได้ สำหรับอนาคต ถ้าเป็นเรื่องทำนองเดียวกัน ให้รายงานกับเวรคุ้มกันหอคอยโดยตรงได้เลย”
ไอโฟลว์คือนักจิตวิเคราะห์อันดับหนึ่งของเมืองเงินพิสุทธิ์ ได้ชื่อว่าเข้าใกล้ลำดับ 6 มากกว่าใครทั้งหมด แต่น่าเสียดาย เมืองเงินพิสุทธิ์ไม่มีสูตรโอสถลำดับ 6 ของเส้นทางมังกร
หลังจากได้รับคำตอบ เดอร์ริคกลับออกมาด้วยสีหน้าอึมครึม
โคลินจ้องมองแผ่นหลังเด็กหนุ่มหายไปพร้อมกับการปิดสนิทของบานประตู มันถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าผิดหวัง
…
หลังจากถกเถียงประเด็นของวิล·อัสตินกับนายแพทย์อลันสักพัก ไคลน์ลงจากรถม้าของอีกฝ่ายและเดินทางต่อด้วยรถไฟใต้ดิน
ผ่านไปสามสถานี ชายหนุ่มนำพาตัวเองขึ้นมายังถนนใกล้กับถนนมินส์ จากนั้นก็เปลี่ยนไปนั่งรถม้าสาธารณะแบบไร้รางเพื่อตรงกลับบ้าน
ขณะข้อมูลยังคุกรุ่น ไคลน์รีบทำนายยืนยันว่าผู้เช่าบ้านคนใหม่แทนครอบครัวอัสตินมิได้โกหกตนกับอลัน
เมื่อได้รับคำตอบ ชายหนุ่มเดินไปหยิบหนังสือแห่งความลับมานั่งศึกษาอย่างตั้งใจ
การได้ครอบครองหนังสือแห่งความลับช่วยให้ไคลน์มั่นใจว่า ตนสามารถใช้พลังของมิติเหนือสายหมอกได้อย่างช่ำชอง เทคนิคหลายประการถูกนำมาปรับใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ตัวเอง
ขีดจำกัดของเราในตอนนี้คือลำดับโอสถและระดับพลังวิญญาณ…
เมื่อเริ่มมืดค่ำ ไคลน์นำหนังสือแห่งความลับไปซ่อนและเข้าห้องน้ำทำความสะอาดร่างกายเตรียมตัวเข้านอน
ในคืนดังกล่าว ชายหนุ่มหลับสบายและฝันหวานถึงเช้า ชนิดแม้แต่ระฆังวิหารก็มิอาจปลุกให้ตื่น อย่างมากก็แค่พลิกตัว
ฤดูหนาวคือช่วงเวลาเหมาะแก่การซุกตัวใต้ผ้าห่มและหลับยาวไม่ใช่หรือไง…
ไคลน์รำพันพลางพยุงตัวลุก
เพื่อเป็นการให้รางวัลแก่จอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด ชายหนุ่มทำไข่ต้มปรุงรสและกินคู่กับขนมปังข้าวโอ๊ตทาแยมสตรอว์เบอร์รี
ขณะนั่งลิ้มรสมื้ออาหารอย่างอิ่มเอมใจ เสียงกริ่งบ้านพลันกังวานอย่างไม่คาดฝัน
เราบอกให้ไมค์แวะเข้ามาหลังอาหารเช้าไม่ใช่หรือ?
ชายหนุ่มรีบซดซุปหวานและเช็ดปากด้วยผ้าขาวอย่างมีมารยาท
จากการนัดแนะล่วงหน้า นักข่าวไมค์จะแวะเข้ามาหาหลังกินอาหารเช้าเสร็จประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้น คนทั้งสองจะเดินทางไปยังเขตตะวันออกเพื่อสัมภาษณ์กลุ่มเหยื่อผู้เคยถูกคาพินลักพาตัว แต่ถ้าไมค์ไม่แวะเข้ามาภายในครึ่งชั่วโมง หมายความว่าภารกิจดังกล่าวจะเลื่อนออกไปเป็นวันพรุ่งนี้
ไคลน์รีบเดินไปยังประตูหน้า แต่ยังไม่ทันจะใช้ฝ่ามือสัมผัสลูกบิด ภาพนิมิตของผู้มาเยือนก็ปรากฏในหัว อีกฝ่ายไม่ใช่ไมค์·โยเซฟ แต่เป็นศัลยแพทย์คนดัง อลัน·คริสต์
“อรุณสวัสดิ์ อลัน เมื่อคืนนอนดึกหรือ?”
ไคลน์สังเกตว่าใบหน้าศัลยแพทย์ขาวซีดผิดปรกติ จึงเปิดเนตรวิญญาณตรวจสอบ
อลันถอดหมวกและวางไม้ค้ำ แต่ขณะกำลังจะถอดเสื้อโค้ท สายลมเย็นเฉียบภายในบ้านทำให้มันต้องชะงักมือ
ไคลน์หัวเราะแห้ง
“คุณคงทราบอยู่แล้ว ผมมีนัดกับไมค์ในอีกไม่นาน จึงไม่ได้จุดเตาผิงเตรียมไว้”
อลันพยักหน้ารับโดยไม่กล่าวสิ่งใด เพียงเดินตามไคลน์เข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่น
“เชอร์ล็อก เมื่อคืนผมฝันร้าย เป็นการฝันถึงเด็กคนนั้น วิล·อัสติน”
ฝันร้าย? สหาย คุณมาหาถูกคนแล้ว… ผมคือผู้เชี่ยวชาญด้านแปลความฝัน ผู้เชี่ยวชาญตัวจริง ไม่ใช่การอนุมานเลื่อนลอย…
ไคลน์โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยพลางประสานสองมือเข้าด้วยกัน
“เป็นฝันร้ายแบบไหน?”
อลันทำหน้านึก
“ผมจำรายละเอียดไม่ได้ในหลายสิ่ง แต่จำได้แม่นยำว่า ในฝันมียอดหอคอยปลายแหลมสีดำสนิท บนผนังหอคอยด้านนอกมีงูยักษ์สีเงินกำลังขดเป็นเกลียวรัดพัน มันเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า จ้องมองผมด้วยดวงตาสีแดงสดแสนดุร้าย ผมเองก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด แต่ตัวผมในความฝันตัดสินใจเดินเข้าไปในหอคอยดังกล่าว ผ่านบันไดขั้นแล้วขั้นเล่า ผ่านบานประตูวกวนซับซ้อนมากมาย จนกระทั่ง ผมได้ผมเด็กชายวิล·อัสตินกำลังนั่งหลบภายในมุมมืด… เขาพยายามพยุงตัวยืนด้วยขาข้างเดียวพลางอาศัยแผ่นหลังค้ำยันกับกำแพง รอบตัวมีไพ่ทาโรต์วางกระจัดกระจาย เมื่อเขามองเห็นผม เด็กชายมีท่าทีหวาดกลัวกึ่งดีใจ เขาเรียกผมว่า ‘คุณหมออลัน’ ภาพรวมความฝันก่อนผมจะตื่น เป็นไปตามคำบอกเล่าข้างต้น”
ไคลน์ก้มหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเริ่มตั้งคำถาม
“วิล·อัสตินได้พูดอะไรอีกไหม?”
อลันขมวดคิ้วพลางเค้นสมองนึก
“พูด… เขาบอกว่า ‘คุณหมออลันครับ งูตัวหนึ่งกำลังจะกินผม’ ทันใดนั้น งูยักษ์สีเงินได้ห้อยศีรษะลงมาจากเพดานโดยหันหัวเข้าหาผม… ปากของมันกว้างมาก ไม่มีฟัน ไม่มีลิ้น มีเพียงเนื้อสีแดงฉาน”
งูยักษ์สีเงิน… ยอดหอคอยดำสนิท…
หมายความว่า วิล·อัสตินกำลังถูกปกป้องโดยพลังลึกลับหลายชั้น…
ไคลน์เงยหน้าตอบอลันเสียงขรึม
“ความฝันของคุณไม่ใช่สิ่งผิดปรกติ คล้ายกับจิตใต้สำนึกของคุณสังเกตเห็นว่า เด็กชายคนนั้นกำลังเผชิญกับเรื่องหนักใจบางประการ หรือถูกใครบางคนคุกคาม ส่งผลให้คุณฝันเห็นเขาหลบอยู่ในหอคอยลึกเข้าไปหลายห้อง ต้องผ่านผนังและประตูนับไม่ถ้วน โดยด้านบนมีงูยักษ์สีเงินห้อยหัวลงมา… ฮะฮะ! ในฐานะนักสืบ ผมพอจะมีความรู้ด้านจิตวิทยาอยู่บ้าง แถมยังเคยอ่านผ่านตาจากหนังสือพิมพ์บ่อยครั้ง หากจะมีเรื่องใดผิดปรกติ นั่นก็คงเป็น ทำไมคุณเพิ่งจะมาฝันเอาป่านนี้…”
ไคลน์ไม่ได้โกหกคำแปลของฝัน เพียงแต่แต่งสาเหตุการฝันขึ้นมาเอง
อลันตอบกลับทันที
“ก่อนหน้านี้ ผมยุ่งมากจนลืมเล่าบางสิ่งสำคัญให้คุณฟังมาตลอด”
ขณะกล่าว ศัลยแพทย์คนดังล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์หนังสีน้ำตาล และนำนกกระเรียนกระดาษซึ่งถูกพับอย่างประณีตออกมาถือบนฝ่ามือ
“หลังจากทราบว่าวิล·อัสตินและครอบครัวย้ายบ้านออกไป ผมเพิ่งฉุกคิดได้ว่า เขาเคยมอบนกกระดาษให้ผมก่อนออกจากโรงพยาบาล โดยกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ‘คุณหมอครับ นกกระดาษตัวนี้จะนำพาโชคดีมาให้’ ในตอนนั้น ผมไม่ได้ใส่ใจกับมันนัก เพียงเก็บไว้ในลิ้นชักของห้องทำงาน แต่หลังจากแยกทางกับคุณเมื่อคืน ผมเดินทางกลับโรงพยาบาลและนำมันมาเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ ในคืนเดียวกัน ฝันร้ายก็เกิดขึ้นทันที”
ไคลน์ก้มหน้าจ้องนกกระเรียนกระดาษ พลางครุ่นคิด
“ดอกเตอร์อลัน ดูเหมือนวิล·อัสตินจะไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณโชคร้าย เขาพยายามชดเชยด้วยการมอบนกกระดาษตัวนี้ คุณอาจไม่ทราบ แต่นกกระเรียนกระดาษซึ่งถูกคิดค้นโดยจักรพรรดิโรซาย มีความเชื่อกันว่า สามารถดลบันดาลให้คนเราหายจากอาการป่วยไข้ได้ ถ้าเข้าใจไม่ผิด เด็กคนนั้นคงอวยพรให้คุณหลุดพ้นจากโชคร้าย”
อลันถามกลับ
“ออริกามิถูกคิดค้นโดยจักรพรรดิโรซาย?”
ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะใช่เขาหรือไม่ แต่มีโอกาสเป็นไปได้มากทีเดียว…
ไคลน์ยิ้ม
“คงอย่างนั้น”
……………………
ราชันเร้นลับ 387 : ความพิเศษของโลกวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
อลันแสดงสีหน้าโล่งใจเมื่อได้ยินคำอธิบายจากปากนักสืบเชอร์ล็อก ขณะเดียวกันก็รอดูสถานการณ์ไปอีกสองสามวัน ว่าตนจะฝันร้ายแบบเดิมอีกหรือไม่
หน้าประตูบ้าน หลังจากส่งศัลยแพทย์อลันกลับไปด้วยรอยยิ้ม สีหน้าไคลน์พลันอึมครึมราวกับกำลังครุ่นคิดในบางเรื่อง
การแปลความฝันไม่มีส่วนใดผิดพลาด ภาพของยอดหอคอยสีดำสนิท กำแพงชั้นแล้วชั้นเล่า บานประตูกีดขวางเส้นทาง และอสรพิษสีเงินตัวใหญ่ ทั้งหมดสื่อความหมายตรงกันว่าเด็กชายวิล·อัสตินกำลักถูกคุกคามโดยบางสิ่ง อยู่ในอารมณ์หวาดระแวง และพยายามสร้างเกราะกำบังให้ตัวเองหลายชั้น
แต่ปัญหาคือ ดอกเตอร์อลันไม่ควรฝันเรื่องราวเช่นนี้ได้ด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็ต้องฝันมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งฝันหลังจากได้พบนกกระเรียนกระดาษ
ตามหลักของศาสตร์เร้นลับ หากอลันจะฝันถึงปัญหาของวิล·อัสติน ก็ต้องฝันตั้งแต่เด็กคนนั้นเริ่มพบว่าตัวเอกถูกใครบางคนคุกคาม หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เป็นช่วงเวลาขณะเด็กชายยังไม่ออกจากโรงพยาบาล
ดังนั้น ไคลน์จึงสงสัยว่าความฝันพิสดารของหมออลันเกิดขึ้นเพราะมีบางสิ่งเป็นสื่อกลาง และสิ่งนั้นก็คือนกกระเรียนกระดาษ
ไคลน์ได้ใช้เนตรวิญญาณตรวจสอบนกกระดาษและไม่พบแสงละอองวิญญาณ แต่สัมผัสวิญญาณกลับร้องบอกว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับออริกามิตัวนี้
ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันยากจะตีความ พลังซึ่งควรค่าแค่การเคารพและหวั่นเกรง :
พลังแห่งโชคชะตา
เด็กชายวิล·อัสตินคนนั้นไม่ธรรมดา… บางที ความพิศวงอาจไม่ได้มีต้นตอมาจากไพ่ทาโรต์ แต่เป็นตัวเด็กคนนั้นเอง…
อสรพิษยักษ์สีเงินคือสัญลักษณ์แทนอันตรายไม่ผิดแน่ และความฝันในคราวนี้มีก็ความเกี่ยวพันกับโชคลางเป็นส่วนใหญ่…
หรือว่างูยักษ์สีเงินจะหมายถึง ‘อสรพิษปรอท’ ลำดับ 1 แห่งเส้นทางสัตว์ประหลาด?
ไคลน์ปล่อยความคิดล่องลอยเรื่อยเปื่อย แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปให้ตัวเอง
ถัดมา ชายหนุ่มลองเปลี่ยนคำถาม
เหตุใดศัลยแพทย์อลันถึงฝันแบบนี้ได้?
จากระดับความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับในปัจจุบันของไคลน์ เรื่องนี้สามารถสันนิษฐานออกมาได้ไม่ยาก มันกลั่นกรองข้อมูลและแจกแจงความเป็นไปได้ทีละจุด
กรณีแรก อลันถูกวิญญาณอาฆาตหรือวิญญาณมารสิงสู่ และโน้มน้าวให้เกิดเป็นความฝันดังกล่าว อย่างไรก็ตาม วิธีนี้จะทำให้สีออร่าของนายแพทย์อลันกลายเป็นเขียวเข้ม แต่ไคลน์ก็ไม่พบความผิดปรกติดังกล่าว จึงตัดทิ้งไปได้เลย
กรณีถัดมาคือเทคนิคระดับสูง เป็นการโน้มน้าวให้เหยื่อฝันในลักษณะเจาะจงแบบไม่เกิดความผิดปรกติต่อร่างกายภายนอก หนึ่งในวิธียอมนิยมคือการใช้พลังของลำดับ 7 ฝันร้าย แห่งเส้นทางผู้ไร้หลับ หลักการแบบเดียวกันกับดันน์·สมิท ฝันร้ายต้องบุกรุกความฝันเหยื่อและชักนำให้ไปยังทิศทางต้องการ แต่ฝันดังกล่าวต้องไม่เกี่ยวข้องกับตัวผู้ลงมือ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการทิ้งร่องรอย
ส่วนอีกหนึ่งวิธีค่อนข้างซับซ้อนและถือเป็นเทคนิคระดับสูงของโลกผู้วิเศษ
ในทางทฤษฎี หลักในการเกิดความฝันก็คือ วิญญาณดาราของมนุษย์จะท่องเที่ยวไปในโลกวิญญาณอย่างอิสระและไม่มีสติ ในระหว่างนั้น ข้อมูลจำนวนมากจะหลั่งไหลเข้าสู่วิญญาณดาราในลักษณะยากจะตีความ จึงต้องแปลงข้อมูลให้เป็นสัญลักษณ์เสียก่อน
แต่หากมีระดับตัวตนหรือระดับพลังวิญญาณสูงมากพอ วิญญาณดาราก็จะเข้าใจข้อมูลดังกล่าวได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลงเป็นสัญลักษณ์ จากนั้น ข้อมูลก็จะถูกส่งต่อมายังกายอากาศและกายจิตบนโลกปรกติ แต่เนื่องจากเจ้าของร่างกำลังหลับอยู่ ข้อมูลจึงมาในรูปแบบความฝัน
สิ่งนี้หมายความว่า ดอกเตอร์อลันอาจถูกชักนำความฝันผ่านโลกวิญญาณ
เทคนิคดังกล่าวสามารถกระทำได้โดย ประการแรก ต้องสร้างความฝันเทียมขึ้นมาด้วยวิธีการทางเวทมนตร์ จากนั้นก็ถ่ายเทความฝันเทียมลงในวิญญาณดาราของเป้าหมายอย่างเป็นธรรมชาติขณะอีกฝ่ายกำลังเตร็ดเตร่ท่ามกลางโลกวิญญาณ วิธีนี้จะทำให้เหยื่อฝันตรงตามความต้องการและไม่ทิ้งร่องรอยน่าสงสัยไว้
ในปัจจุบัน แม้แต่ตัวเราบนมิติสายหมอกก็ยังใช้เทคนิคไม่ได้ ถือเป็นศาสตร์ชั้นสูงและจำเป็นต้องมีระดับพลังวิญญาณสูงมาก…
ไคลน์เว้นวรรคการวิเคราะห์พลางสอดแทรกความเป็นไปได้ทางอื่น
หรือว่า… นกกระเรียนกระดาษตัวนั้นจะฝังการชี้นำทางจิตใจไว้ และเมื่อดอกเตอร์อลันพกติดตัว เขาจึงเกิดความฝันตามการชี้นำทางใจอย่างมิอาจเลี่ยง…
เรื่องนี้พิสูจน์ได้ไม่ยาก ขอเพียงเราใช้พิธีกรรมสื่อวิญญาณกับเขาก็จะพบร่องรอยความผิดปรกติทันที… แต่พิธีกรรมสื่อวิญญาณออกจะไม่เป็นมิตรไปสักหน่อยไหม…
หรือเราควรยืมเทียนไขจิตฝันร้ายมาจากหลวงพ่อยูรอฟสกี้? ไม่ได้… หลวงพ่อยังไม่รู้จักตัวจริงของเรา ภายในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว นอกจากแวมไพร์คลั่งฟิกเกอร์ เอ็มลิน·ไวท์ ก็ไม่มีใครรู้จักตัวจริงของเราแล้ว…
ไคลน์พยายามไตร่ตรองถึงผลกระทบจากพฤติกรรมของตน
จนกระทั่งชายหนุ่มได้ข้อสรุป มันต้องขึ้นไปทำนายยืนยันบนมิติสายหมอกเสียก่อน ว่าแผนการบุกรุกบ้านดอกเตอร์อลันยามวิกาลมีอันตรายหรือไม่ หากยังอยู่ในขอบเขตรับได้ ไคลน์ก็จะใช้ยันต์ห้วงความฝันบุกรุกเข้าไปขณะอลันกำลังหลับใหล และค้นหาว่าความฝันของอีกฝ่ายเกิดจากสิ่งใดกันแน่ เป็นการโน้มน้าวโดยตรง หรือเป็นการสร้างฝันเทียมและบรรจุเข้ามาในวิญญาณดารา
อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินจากพลังในปัจจุบันของไคลน์ การตรวจสอบอย่างหลังคงทำได้ลำบาก ไม่การันตีว่าจะประสบความสำเร็จ
ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่า การนั่งใกล้กันบนโลกจริงจะทำให้วิญญาณดาราของไคลน์ไปโผล่ในมิติเดียวกันกับวิญญาณดาราอลัน หากต้องการทำให้สำเร็จ จำเป็นต้องใช้เทคนิคการล็อกตำแหน่งระดับสูงควบคู่ไปด้วย
จากคำอธิบายในหนังสือแห่งความลับ โลกวิญญาณคือดินแดนแสนพิเศษและยากจะอธิบายให้เห็นภาพชัด โลกดังกล่าวซ้อนทับกับโลกความเป็นจริงโดยสมบูรณ์ หมายความว่ามนุษย์ทุกคนสามารถได้รับข้อมูลทางวิญญาณดาราตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม โลกวิญญาณมิได้แบ่งแยกทิศทาง ซ้ายขวาหน้าหลัง เหนือใต้ออกตก หรืออดีตปัจจุบันอนาคต คล้ายกับท้องทะเลอันกว้างใหญ่ซึ่งบีบอัดข้อมูลปริมาณมหาศาลไว้ด้านในอย่างส่งเดชและไม่มีหลักการ ไม่สามารถใช้สามัญสำนึกของโลกปรกติทำความเข้าใจได้
ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตซึ่งมีระดับตัวตนต่ำจะไม่สามารถรับข้อมูลโดยตรงได้เลย จำเป็นต้องกลั่นกรองในลักษณะสัญลักษณ์แทน
และด้วยเหตุนี้ พิกัดทางโลกวิญญาณของแต่ละคนจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับพิกัดทางกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงสภาพจิตใจและสภาพร่างกายในปัจจุบันด้วย ฉะนั้น หากไม่ได้ใช้เทคนิคการล็อกเป้าขั้นสูง คนสองคนก็ยากจะพบกันบนโลกวิญญาณ ถึงแม้จะนั่งใกล้กันบนโลกความจริงก็ตาม
และยังเป็นเหตุผลว่าทำไมวิญญาณดาราของแต่ละคนจึงไม่ควรสำรวจลึกเข้าไปในโลกวิญญาณไกลนัก เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุจนกลับมายังร่างหลักไม่ได้ เจ้าของร่างก็จะกลายเป็นคนปัญญาอ่อน หรือในกรณีเลวร้ายจะเป็นอัมพาตร่วมด้วย
ขณะเดียวกัน การใช้โลกวิญญาณเป็นถนนสำหรับเดินทางก็นับว่าอันตรายเกินไป หากไม่ระวังตัวให้มาก ก็อาจหลงทางและกลับมายังร่างจริงไม่ได้อีกเลย ต้องปล่อยให้เน่าเปื่อยเช่นนั้นไปจนตาย
ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจยาว พลางเก็บคำถามดังกล่าวไว้ในใจก่อน
ชายหนุ่มหยิบนาฬิกาพกออกมาตรวจสอบและพบว่าเวลาผ่านไปนานพอสมควร อาหารเช้าของตนเย็นชืดโดยสมบูรณ์
ขณะเดียวกัน ในเมื่อนักข่าวไมค์·โยเซฟยังไม่แวะมาหา ก็หมายความว่าภารกิจคงถูกเลื่อนออกไปอีกวัน
ด้วยจิตวิญญาณของนักเสียดาย ไคลน์จัดการสวาปามอาหารเช้าเย็นชืดจนเกลี้ยง ตามด้วยการส่งตัวเองเข้ามิติเหนือสายหมอกเพื่อทำนายถามว่า การบุกรุกบ้านอลันในคืนนี้มีอันตรายหรือไม่
คำตอบออกมาผิดคาด ผลทำนายทั้งหมดระบุตรงกันว่าไม่มีอันตรายใดเลย
เมื่อจัดการทุกสิ่งเสร็จ ไคลน์มั่นใจว่าเวลานัดหมายของตนและไมค์ล่วงเลยไปแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่รีรอ รีบสวมแจ็กเกตหนาและหมวกแก๊ป ตรวจสอบสมุดศัพท์ของเดซี่ และเดินออกจากอาคารหมายเลข 15 ถนนมินส์ทันที
แผนของเดิมของมันคือการไปเยือนเขตตะวันออกพร้อมกับไมค์ จากนั้นก็หาโอกาสบอกใบ้เฒ่าโคห์เลอร์ ว่าห้ามพูดเรื่องตนเคยอาสาช่วยครอบครัวไลฟ์ตามหาเดซี่เด็ดขาด
ส่วนทางฝั่งของครอบครัวไลฟ์ ไคลน์ก็จะฝากเฒ่าโคห์เลอร์ไปเตือนอีกที
แต่ในเมื่อนักข่าวไมค์เลื่อนการสัมภาษณ์ออกไปหนึ่งวัน ความกังวลดังกล่าวจึงไม่เกิดขึ้น ไคลน์สามารถผ่อนคลายตัวเองโดยไม่ต้องกังวลว่าความจะแตก
…
อาศัยข้อมูลจุดนัดพบของโคห์เลอร์และการนำของแท่งวิญญาณ ไคลน์นำพาตัวเองเข้าไปยังส่วนลึกของเขตตะวันออก สองข้างทางเต็มไปด้วยสายตาเหม่อลอย หิวโหย ละโมบ และหวาดระแวง ของคนเร่ร่อน
จนกระทั่งชายหนุ่มเดินเข้าไปในอาคารหลังหนึ่งและขึ้นไปบนชั้นสาม
เบื้องหน้ามีเตียงสองชั้นวางเรียงราย บนพื้นเต็มไปด้วยฟูกนอนเก่าโทรมและสิ่งของวางระเกะระกะ
ไคลน์มองเข้าไปยังชั้นล่างของเตียงในสุดและส่งเสียงเรียก
“เฒ่าโคห์เลอร์”
พรึบ. เฒ่าโคห์เลอร์รีบลุกขึ้นยืนและมองมาทางประตูด้วยสีหน้าประหลาดใจแกมยินดี
“คุณมาจริงด้วย! หลังจากผมส่งจดหมายให้คุณเมื่อวาน ก็คิดไว้ว่าคุณต้องแวะมาหาในวันนี้แน่ จึงไม่ได้ออกไปทำงานท่าเรือ ผมนอนรอคุณมาตลอดทั้งวัน”
เยี่ยมไปเลย… เราไม่ต้องเสียเวลาคิดคำโกหกถึงเหตุผลในการมาหาหมอนี่…
ไคลน์จ้องมองตรงและกล่าว
“เฒ่าโคห์เลอร์ ด้วยรายได้ในปัจจุบัน คุณสามารถย้ายไปพักในหอพักคุณภาพสูงกว่านี้ได้ไม่ใช่หรือ? ไม่เห็นต้องนอนเตียงสองชั้นเบียดเสียดกับผู้อื่นเลยสักนิด”
“รายได้ส่วนใหญ่ของผมมาจากการหาข่าวให้คุณ” โคห์เลอร์ยิ้ม “ผมไม่ได้หนุ่มแน่นเหมือนเดิมแล้ว ไม่มีทางรู้ว่าจะป่วยไข้ตอนไหน จำเป็นต้องออมเงินไว้สำหรับอนาคต”
ไคลน์เงียบงัน ก่อนจะเสนอแนะ
“คุณควรคิดเรื่องการซื้อประกันชีวิตไว้บ้าง ตัวอย่างเช่น ‘ประกันชีวิตม่ายคนชรา’ ในยามแก่เฒ่าจนทำงานไม่ไหว พวกเขาจะมอบเงินสำหรับค่าอาหารเพียงพอให้อิ่มท้องและห้องพักสำหรับซุกหัวนอนในแต่ละสัปดาห์”
สำหรับโลกปัจจุบัน ธุรกิจประกันภัยถือกำเนิดมาตั้งแต่ยุคสมัย 4 เพียงแต่ผู้คนมักไม่ค่อยเห็นความสำคัญ แต่หลังจากได้จักรพรรดิโรซายช่วยกระตุ้น ธุรกิจด้านประกันภัยก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นเล็กน้อย แถมยังแยกย่อยออกเป็นหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยทางทะเล ประกันอัคคีภัย ประกันอุบัติเหตุ ประกันภัยชราภาพโดยมีเงื่อนไขแตกต่างกันออกไป โดยกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นกลางและสูง
“ผมทราบดี สมัยยังเป็นคนงาน ผมเคยส่งเบี้ยประกันสัปดาห์ละสามเพนนี แต่หลังจากตกงานคราวนั้น…” โคห์เลอร์ถอนหายใจยาว
ปัญหาใหญ่ของมันคือความไม่แน่นอนทางรายได้ และไม่มีทางทราบเลยว่านักสืบเชอร์ล็อกจะเลิกจ้างให้เป็นสายข่าวตอนไหน
ไคลน์เองก็รับปากอะไรไม่ได้เช่นกัน เพียงชี้นิ้วไปนอกห้องและพูด
“ไปบ้านไลฟ์กันเถอะ ผมจะนำสมุดศัพท์ไปคืนให้สาวน้อย”
ขณะเดินออกจากห้อง ไคลน์กล่าวติดตลก
“ช่างน่าขัน เมื่อผมคิดจะทำความดีอย่างการเป็นอาสาสมัครช่วยตามหาเดซี่ แต่เธอดันถูกตำรวจส่งกลับบ้านในอีกหนึ่งวันถัดมา ได้โปรดอย่านำเรื่องนี้ไปบอกใครเชียว ผมไม่อยากถูกหัวเราะเยาะ”
“ตกลง” เฒ่าโคห์เลอร์พยักหน้า “แต่ไม่มีใครหัวเราะเยาะความใจดีของคุณแน่”
หลังจากเดินผ่านถนนสกปรกและมาถึงบ้านของไลฟ์ ไคลน์มองเห็นเด็กสาวตัวเล็กกำลังตั้งใจรีดผ้าเช่นเคย ด้านหลังยังคงมีราวแขวนเสื้อผ้าเรียงราย เสื้อผ้าทุกตัวเปียกน้ำและหยดลงพื้นเป็นระยะ ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปจากคราวก่อน ภาพดังกล่าวทำให้ชายหนุ่มหมดคำพูดไปชั่วขณะ
“เดซี่” หลังจากยืนเหม่อสักพัก ไคลน์ตัดสินใจส่งเสียงเรียก “สมุดศัพท์ของเธอ”
ดวงตาเดซี่พลันเปล่งปลั่ง แต่เธอมิอาจปลีกตัวจากงานตรงหน้าได้ทันที ต้องเร่งมือจัดการให้เสร็จถึงจำนวนหนึ่ง จึงสามารถหยุดพักและเดินเข้ามาขอบคุณนักสืบหนุ่มอย่างสุภาพ
จากนั้นไม่นาน ทั้งไลฟ์และเฟรย่าต่างก็ทิ้งงานและเดินเข้ามาแสดงความขอบคุณด้วยท่าทีนอบน้อม ไคลน์ถือโอกาสกำชับติดตลกแบบเดียวกับโคห์เลอร์เมื่อครู่
หลังจากพิธีการขอบคุณเสร็จ ชายหนุ่มล้วงหยิบเศษเหรียญจำนวนสองปอนด์ออกมามอบให้ไลฟ์
“วันพรุ่งนี้จะมีนักข่าวมาขอสัมภาษณ์เดซี่ นี่ถือเป็นเงินค่าจ้างล่วงหน้า แต่อย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าเขาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก บางที วันพรุ่งนี้เขาอาจมอบเงินให้พวกคุณเพิ่มอีกเล็กน้อย แต่คงไม่มากเท่าไรนัก”
“ฉ…ฉันยินดีเปิดโปงความชั่วของชายคนนั้นโดยไม่รับเงินแม้แต่เพนนีเดียว!” เดซี่ส่ายศีรษะหนักแน่น
ไคลน์ฉีกยิ้มกว้าง
“นี่เป็นกฎ… เธอห้ามแหกกฎ เข้าใจไหม”
ชายหนุ่มมองไปทางไลฟ์และกล่าวต่อ
“รับไว้เถอะนะ คุณเลี้ยงลูกมาถูกทางแล้ว ถ้าเดซี่กับเฟรย่าอ่านออกเขียนได้มากกว่านี้อีกสักนิด ผมกล้ารับประกันว่าพวกคุณจะหลุดพ้นจากสถานการณ์ปัจจุบันได้แน่”
ขณะไคลน์กำลังจะแนะนำให้ไลฟ์พาบุตรสาวทั้งสองคนย้ายไปอยู่รอบเขตตะวันออก เพราะย่านดังกล่าวย่อมมีลูกค้าซักรีดมากกว่าในเขตตะวันออก มันพลันชะงักและกลืนถ้อยคำดังกล่าวลงคอ
จนแล้วจนรอด ไคลน์ก็ไม่ได้พูดออกไป
ชายหนุ่มระงับตัวเองไม่ให้ยื่นมือช่วยพวกเขาไปมากกว่านี้
ในเขตตะวันออกมีคนแบบไลฟ์นับพัน นับหมื่น นับแสน หรือนับล้าน ต่อให้เป็นพ่อค้าแสนร่ำรวยก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกคนอย่างเท่าเทียม และกลุ่มคนยากจนไม่ได้มีเฉพาะในกรุงเบ็คลันด์ แต่ยังรวมถึงอาณาจักรโลเอ็นทั้งหมด
“…ขอบคุณมาก ฝากขอบคุณนักข่าวคนนั้นด้วย” ไลฟ์รับเงินด้วยสีหน้าซาบซึ้ง
ไคลน์ไม่เสียเวลาปักหลักอยู่นาน มันเร่งฝีเท้าราวกับกำลังถูกภูตผีไล่กัดกินวิญญาณ
เมื่อเดินออกมาข้างนอกพร้อมโคห์เลอร์ ชายหนุ่มหันกลับไปมองพลางรำพันเสียงค่อย
“ไม่ว่าจะโลกไหน พระเจ้าก็ไม่มีอยู่จริง…”
……………………
ราชันเร้นลับ 388 : สำรวจดินแดนความฝัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“คุณว่าอะไรนะ?” เฒ่าโคห์เลอร์หันมาถามเนื่องจากได้ยินไม่ชัด
ไคลน์ก้มมองหลุมบ่อบนถนนพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มจืดชืด
“ไม่มีอะไร… แค่หวังว่าไลฟ์กับครอบครัวจะหลุดพ้นจากสถานการณ์ปัจจุบันได้โดยเร็ว”
ไคลน์เล่าความคิดของตนเสียงดังฟังชัด
ในฐานะชาวจักรวรรดิแห่งอาหารบนดาวเคราะห์โลก ชายหนุ่มย่อมมีแผนปฏิวัติและยึดครองโลกปัจจุบันมาไว้ในมือ เริ่มจากการซื้อใจคนหมู่มาก จากนั้นก็เปลี่ยนพวกเขาให้เป็นกองทัพส่วนตัว
แต่เมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน มันพบว่าเรื่องราวค่อนข้างซับซ้อนและไม่ง่ายดายขนาดนั้น ตนไม่สามารถปกครองโลกได้ด้วยกลุ่มคนจนนับแสนนับล้านเนื่องมาจากเหตุผลสำคัญคือ :
โลกนี้มีผู้วิเศษ
ด้วยจำนวนซึ่งมากกว่าและยุทโธปกรณ์ปืนไฟแบบธรรมดา ย่อมไม่มีประสิทธิภาพมากพอจะต่อกรกับกลุ่มผู้วิเศษไหว แถมในบางเส้นทางยังได้เปรียบอาวุธประเภทปืนโดยสมบูรณ์ เช่นลำดับ 5 วิญญาณอาฆาต แห่งเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์
นั่นไม่ใช่ปัญหาเพียงข้อเดียว ยังมีกฎอนุรักษ์พลังพิเศษในเส้นทางใกล้เคียงและความถาวรของพลังพิเศษอยู่ด้วย การเข้าถึงวัตถุดิบโอสถจึงมีจำกัด ส่งผลให้ไม่สามารถสร้างกองทัพผู้วิเศษจำนวนมากได้ หรือต่อให้หาวิธีทำจนสำเร็จ แต่ในเมื่อผู้วิเศษยังคงเผชิญปัญหาการคลุ้มคลั่ง สักวันก็คงเกิดหายนะขึ้นอยู่ดี
หากโลกนี้ไม่มีผู้วิเศษลำดับสูง หลายสิ่งก็คงจะง่ายขึ้นมาก เช่น แผนการปลุกระดมคนจนจะช่วยให้ไคลน์สามารถกุมอำนาจในมือได้พอสมควร
แต่ความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น สำหรับโลกปัจจุบัน นอกจากจะมีตัวตนระดับครึ่งเทพเดินเพ่นพ่าน ยังมีสมบัติปิดผนึกทรงพลังชนิดฆ่าคนหมู่มากได้ในพริบตา โดยพวกเขาเหล่านั้นมิอาจทราบได้ว่าตัวเองเสียชีวิตได้อย่างไร และเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ตัวตนระดับทวยเทพมีอยู่จริง และครองพลังเป็นล้นพ้นสมชื่อ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพคนจนจะมีประโยชน์เพียงการรวมตัวประท้วงเพื่อเรียกร้องบางสิ่ง ไม่สามารถติดอาวุธได้ มิฉะนั้นจะถูกลงโทษด้วยมาตรการรุนแรง ตามมาด้วยความสูญเสียใหญ่หลวง อาจเลวร้ายถึงขั้นสลักความกลัวลงในใจประชาชนจนไม่กล้าออกมาทำสิ่งใดอีกเลย
ทางเดียวในการต่อกรกับหน่วยพิเศษของทางการคือองค์กรลับ แต่โดยส่วนมาก องค์กรลับจะนับถือเทพมาร ดังนั้น หากเข้าร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับพวกมันเมื่อไร ความตายจะไม่ใช่จุดจบเลวร้ายอันดับหนึ่งอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้ หากต้องการปฏิวัติและเปลี่ยนแปลงโลก ตัวเลือกฉลาดคือการเข้าร่วมกับโบสถ์และได้รับการสนับสนุน
เหมือนกับโรซาย
เฮ่อ… กองทัพคนจนมีอำนาจในมือน้อยเกินไป การประท้วงตามท้องถนนไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้อยู่แล้ว ในเมื่อนักลงทุนรายใหญ่ยังคอยวิ่งเต้นติดสินบนข้าราชการอยู่เนืองนิจ… ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของคนจนจริง ลองติดสินบนข้าราชการแข่งกับพวกพ่อค้ายังพอมีโอกาสสำเร็จมากกว่า…
อย่างไรก็ตาม เราเริ่มมองเห็นความหวังหลังจากเหตุการณ์พระผู้สร้างแท้จริงพยายามส่งทายาทลงมาจุติในเบ็คลันด์… คดีสะเทือนขวัญของลาเนวุสทำให้โบสถ์รัตติกาลและขุนนางบางส่วนเริ่มตื่นตัวกับเรื่องนี้ สามารถยืนยันได้จากรายงานของไมค์·โยเซฟและข้อมูลของมิสจัสติส…
ไคลน์ครุ่นคิดถึงสถานการณ์เกี่ยวกับเขตตะวันออก ย่านท่าเรือและโรงงาน
ลงเอยด้วย มันหัวเราะกับตัวเองในใจ
จากบรรดาแผนปฏิวัติวิถีชีวิตคนจนทั้งหมดของเรา… ไม่มีแผนใดได้ผลเท่ากับการเกือบจะลงมาจุติของทายาทพระผู้สร้างแท้จริงเลยหรือ?
แต่เทพมารตนนั้นไม่มีทางจะเห็นคุณค่าของชีวิตมนุษย์ เพราะมันเคยสังเวยดวงวิญญาณมนุษย์เป็นว่าเล่นเมื่อใดอดีต หากปล่อยให้ทายาทของมันลงมาจุติสำเร็จ หายนะจะร้ายแรงยิ่งกว่าปัญหาอดอยากของคนจนเสียอีก
ขัดแย้งฉิบหาย…
…
เขตราชินี คฤหาสน์หรูของเคาต์ฮอลล์
เนื่องจากแพทย์หญิงเอสลันด์มีธุระในสัปดาห์หน้า ออเดรย์จึงต้องเรียนจิตวิทยาสองคาบรวดภายในวันเดียว
ซูซี่ตื่นเต้นกว่าใครทั้งหมด เธอรีบเข้ามานั่งเรียนโดยยอมทิ้งการเล่นคาบบอลซึ่งเคยเป็นกิจกรรมสุดโปรด
ออเดรย์จงใจแสดงความฉงนตลอดการเรียนการสอน คอยซักถามเอสลันด์เป็นระยะในกระเด็นคาบเกี่ยวระหว่างศาสตร์เร้นลับและจิตวิทยา
เมื่อจบคาบเรียน เอสลันด์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะตัดสินใจกล่าว
“มิสออเดรย์ พวกเรามักจัดสัมมนาเกี่ยวกับหัวข้อดังกล่าวเป็นครั้งคราว สมาชิกผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เชี่ยวชาญด้านคาบเกี่ยวระหว่างศาสตร์เร้นลับและจิตวิทยา คุณสนใจจะเข้าร่วมด้วยไหม?”
“แน่นอนค่ะ!” เด็กสาวพยักหน้าหนักแน่นโดยไม่ลังเลแม้แค่วินาทีเดียว พฤติกรรมเช่นนี้สอดคล้องกับนิสัยคุณหนูใจร้อนและอยากรู้อยากเห็น ซึ่งเธอพยายามสร้างขึ้นต่อหน้าทุกคนเป็นเวลานาน
เอสลันด์ยิ้มตอบ
“ช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยนะคะ โดยเฉพาะจากเหล่าอาวุโส พวกเขายังไม่เปิดใจยอมรับเรื่องเหนือธรรมชาติ ไว้จบคาบเรียนครั้งหน้า ฉันจะพาคุณเข้าร่วมสัมมนาด้วยกัน”
“ตกลงค่ะ!” ออเดรย์รับปากพลางพยักหน้าอย่างตื่นเต้น
หลังจากออเดรย์ส่งเอสลันด์ สาวสวยผู้มีผมยาวสลวยถึงเอว ออกจากห้องหนังสือ เธอปิดประตูพลางเดินกลับมาหยุดหน้ากระจกเงา และยืนจ้องอย่างเงียบงันเป็นเวลานาน
จนกระทั่ง เด็กสาวยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อยและทำการหมุนตัวในท่ารำของชนชั้นสูง ก่อนจะหยุดยืนมองตัวเองในกระจกและกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
“ออเดรย์ เธอสุดยอดมาก!”
เด็กสาวทราบดีว่าตนกำลังจะได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมแปรจิต แม้ว่าสัมมนาดังกล่าวจะเป็นกิจกรรมวงนอก และยังต้องผ่านขั้นตอนทดสอบอีกหลายชั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอกำลังขยับเข้าใกล้สมาคมแปรจิตเต็มที
ในช่วงก่อนหน้า เธอไม่ได้หยิบยืมพลังจากภายนอกแม้แต่หนเดียว เลือกจะพึ่งพาความช่างสังเกตส่วนตัวและการเล่นละครตบตาอย่างสมบูรณ์แบบ จนสามารถปิดบังความจริงจากนักจิตวิทยา เอสลันด์ ได้โดยไม่ถูกอีกฝ่ายสงสัย จึงไม่แปลกหากออเดรย์จะรู้สึกภูมิใจมากมายเช่นนี้
“สัมนาหรือ… น่าสนใจมาก!” ซูซี่กล่าวพลางกระดิกหากระรัว “ออเดรย์ ฉันเข้าร่วมสัมมนาด้วยได้ไหม?”
เข้าร่วม?
ขณะจ้องมองเข้าไปในดวงตาเปล่งปลั่งของสุนัขขนทองฟู เด็กสาวก้มหน้าครุ่นคิดสักพักก่อนจะมอบคำตอบ
“ตอนนี้คงให้เข้าร่วมไม่ได้… ซูซี่ มันคงสะดุดตาเกินไปถ้าเธอเป็นหนึ่งในสมาชิก…”
ทันใดนั้น ออเดรย์พลันเปลี่ยนสีหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แต่ฉันพาเธอไปได้ในฐานะอื่น”
…
วันเสาร์กลางคืน ไคลน์หยิบมาสเตอร์คีย์และไม้ค้ำสีดำ พร้อมกับเดินออกจากอาคารหมายเลข 15 บนถนนมินส์ มันเกรงว่าหากไม่มีอุปกรณ์อย่างหลัง คืนนี้ตนคงกลับไม่ถึงบ้านแน่นอน
ภารกิจของคืนนี้คือ ชายหนุ่มต้องตามหาตัวดอกเตอร์อลันและทำการบุกรุกความฝัน จากนั้นก็ตรวจสอบหาสาเหตุว่า ทำไมเขาถึงฝันร้ายเกี่ยวกับเด็กชายวิล·อัสตินได้
สำหรับพิกัดบ้านของดอกเตอร์อลัน ไคลน์สืบทราบมาแล้วว่าพักอยู่ในอาคารหมายเลข 3 บนถนนเบอร์นิงแฮม เขตฮิลสตัน
กว่ามันจะมาถึงก็ห้าทุ่มกว่า บรรยากาศโดยรอบจึงมืดสนิทและเงียบสงัด
หลังจากโยนเหรียญหาคำตอบ ไคลน์ลอบปีนรั้วและเดินอ้อมไปทางกำแพงข้างบ้าน ตามด้วยการใช้มาสเตอร์คีย์ไขกำแพง ส่งตัวเองเข้าไปในมุมมืดแห่งหนึ่งภายในตัวอาคาร
ด้วยความคล่องแคล่ว มันย่องขึ้นไปบนชั้นสองอย่างเงียบเชียบ และเดินเข้าไปในห้องนอนแขกซึ่งไม่ได้ล็อกประตู
เมื่อมั่นใจว่าดอกเตอร์อลันและภรรยากำลังหลับสนิท ไคลน์ทำการไขกำแพงเพื่อสร้างทางเดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่
ก่อนอื่น มันโยนยันต์หลับใหลใส่ภรรยาเพื่อส่งให้เธอเข้าสู่ภวังค์นิทรายาวนาน จะได้ไม่ตื่นขึ้นมาเห็นชายแปลกหน้ากำลังกระทำบางสิ่งกับสามี
ถัดมา ไคลน์เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้หน้ากระจกเครื่องแป้ง มือข้างหนึ่งถือยันต์ห้วงความฝันพลางพึมพำภาษาเฮอมิสโบราณ
“แดงฉาน.”
หลังจากสิ้นเสียง ยันต์บนฝ่ามือพลันไร้น้ำหนักประหนึ่งเป็นเพียงภาพมายา
ไคลน์ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปจนตัวยันต์เริ่มมีเปลวเพลิงสีใสลุกโชนเงียบงัน ขณะเดียวกัน กลิ่นอายความมืดมิดอันปลอดโปร่งบรรจงแผ่ออกมาทีละนิด
ไคลน์เพ่งจิตควบคุมความมืดจากยันต์ ให้มันล่องลอยโอบล้อมร่างอลันและตนไว้
ในเวลาต่อมา ชายหนุ่มรีบเข้าฌานและเริ่มเห็นความมืดมิดไร้ก้นบึ้งโดยกึ่งกลางมีกลุ่มก้อนแสงทรงรีสว่างไสว
ไคลน์แผ่พลังวิญญาณเข้าไปสัมผัสกับวัตถุส่องแสงดังกล่าว
ทันใดนั้น โลกรอบตัวพลันกลับหัวและบิดเบี้ยวรุนแรงจนกระทั่งภาพตัด มันลืมตาอีกครั้งและพบว่าตนกำลังยืนท่ามกลางดินแดนอันว่างเปล่า ใต้ฝ่าเท้าเต็มไปด้วยพื้นหินสีดำซึ่งไม่มีหญ้าแม้แต่ต้นเดียว
ใจกลางทุ่งโล่งมีหอคอยสีดำสูงตระหง่านหนึ่งหลัง ยอดหอคอยมีอสรพิษยักษ์สีเงินกำลังขดตัวเป็นเกลียว ศีรษะของมันยกขึ้นสูง ดวงตาจ้องมองมาทางไคลน์อย่างเย็นชา
ตรงข้ามกับคำอธิบายของอลัน งูยักษ์สีเงินตัวนี้ไม่มีเกล็ดทางกายภาพ ตามลำตัวเต็มไปด้วยลวดลายลึกลับสลักติดกันเป็นพืด
อักขระถูกเขียนอัดแน่นในวงกลมและเรียงต่อกันเป็นจำนวนมาก กงล้อดังกล่าวทอดยาวไปตามแนวลำตัวจากหัวถึงหาง แต่ละวงจะมีสัญลักษณ์แตกต่างกันออกไป
อย่างไรก็ตาม ส่วนหางและส่วนหัวของอสรพิษยักษ์กลับปรากฏเพียงครึ่งวงกลมเท่านั้น มองแล้วเกิดความขัดใจเหนือพรรณนา ถึงขั้นทำให้กลุ่มคนคลั่งความสมบูรณ์แบบรู้สึกหงุดหงิด
ทว่า ไคลน์กำลังจินตนาการภาพของอสรพิษยักษ์ตัวนี้ใช้ปากกลืนหางของตัวเอง หากเป็นเช่นนั้น สัญลักษณ์ครึ่งวงกลมบนหัวและหางก็จะประกบกันเป็นกงล้อสมบูรณ์
ถัดไปไม่ไกลจากไคลน์ ดอกเตอร์อลันกำลังจ้องมองไปทางหอคอยด้วยดวงตาเหม่อลอย สองเท้ากำลังย่างกรายเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว
เราสามารถยืนยันได้ว่า ไม่มีใครคอยชักนำให้อลันเกิดความฝันแบบนี้… ตัดผู้วิเศษอาชีพฝันร้ายออกไปได้เลย…
ไคลน์สรุปเบื้องต้น
ชายหนุ่มไม่ส่งเสียงเรียกให้อลันหยุด เพียงเดินตามไปในทิศทางของหอคอยและงูยักษ์
แต่หลังจากขยับได้ไม่กี่ก้าว หอคอยและงูตัวใหญ่ก็มาอยู่ตรงหน้าในระยะประชิดทันที
อสรพิษสีเงินใช้ส่วนหัวเลื้อยลงมาด้านล่างใกล้กับทางเข้าหอคอย ดวงตาจ้องมองคนทั้งสองประหนึ่งกำลังคิดว่า จะกินอาหารซึ่งเดินมาเสิร์ฟถึงปากอย่างไรดี
อสรพิษสีเงินกำลังอ้าปากกว้าง แต่ไคลน์ไม่ได้กลิ่นเหม็นชวนอาเจียนแต่อย่างใด
ดวงตาสีแดงสดของอีกฝ่ายยังคงจ้องมองคนทั้งสองอย่างเลือดเย็น อย่างไรก็ตาม อสรพิษตนนี้กลับมิได้แผ่จิตสังหารหรือภัยคุกคามให้ไคลน์สัมผัสถึงแม้แต่น้อย
ต่อหน้าอสรพิษสีเงิน คล้ายกับทุกชีวิตมีค่าเท่าเทียมกันหมด เป็นได้แค่ตัวตนแสนต่ำต้อยและอ่อนแอ
แต่จนแล้วจนรอด อสรพิษยักษ์ก็มิได้ทำการโจมตีใส่คนทั้งสอง ไคลน์จึงเดินตามนายแพทย์อลันผ่านเข้าไปในบานประตูไม้เก่าผุพัง เข้าสู่อาคารบรรยากาศมืดมิดเต็มตัว
ตรงตามคำอธิบายของอลันก่อนหน้า โครงสร้างอาคารทั้งพิสดารและซับซ้อน บันไดวนประเดี๋ยวขึ้นประเดี๋ยวลง ห้องต่างๆ บ้างปรกติบ้างกลับหัว และบ้างซ้อนทับกันสองห้องอย่างไม่มีเหตุผล อาคารเช่นนี้ไม่มีทางปรากฏอยู่ในโลกจริงแน่นอน
หลังจากเดินผ่านประตูบานแล้วบานเล่า ไคลน์ไม่มีทางทราบว่าตนกำลังอยู่ในส่วนใดของหอคอย อาจเป็นชั้นสูงสุด หรืออาจเป็นห้องใต้ดิน
ทันใดนั้น ท่ามกลางความมืดเข้มข้น ไคลน์สังเกตเห็นใครบางคนกำลังนั่งขดตรงมุมห้อง
เมื่ออีกฝ่ายตระหนักถึงการมาเยือนของคุณหมออลัน บุคคลร่างเล็กพยายามฝืนพยุงตัวลุกยืนด้วยขาข้างเดียว
ขณะเดินเข้าไปใกล้ ไคลน์เริ่มมองเห็นอีกฝ่ายชัดเจน บุคคลดังกล่าวมีแววตามั่นใจและกระฉับกระเฉง อายุราวสิบขวบกว่า สีหน้าเจือความประหวั่นเล็กน้อย
สูงราว 1.4 เมตร ขาข้างซ้ายถูกตัดตั้งแต่ส่วนน่องลงไป ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอดีตคนไข้ของอลัน เด็กชายวิล·อัสติน
ในมือกำลังถือสำรับไพ่ทาโรต์ ดวงตาสีดำสองข้างเจือความประหลาดใจ ยินดี และหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน
“คุณหมออลัน งูตัวนั้นกำลังจะกินผม!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เด็กชายเริ่มแหกปากกรีดร้องโหยหวน ภาพของอสรพิษยักษ์สีเงินพลันสะท้อนบนกระจกตา
พรืด!
ไพ่ทาโรต์ในมือเด็กชายร่วงกราวลงพื้นกะทันหัน แต่มีใบหนึ่งยังคงถูกจับไว้แน่นกระชับ
ไคลน์เพ่งมองและพบว่าหน้าไพ่เป็นสัญลักษณ์กงล้อแห่งโชคชะตา
วีลล์ออฟฟอร์จูน!
เพล้ง!
ภาพความฝันพลันแตกละเอียด ชายหนุ่มพบว่าจิตของตนถูกส่งกลับมายังเก้าอี้หน้ากระจกเครื่องแป้งอีกครั้ง
……………………
ราชันเร้นลับ 389 : เหยี่ยวราตรี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดวงจันทร์แดงฉานบนท้องฟ้ากำลังส่องแสงทะลวงผ่านกลุ่มเมฆหนาลงมาอย่างยากลำบาก แสงแดงนวลตกกระทบเครื่องเรือนชิ้นใหญ่ภายในห้องนอนของบ้านดอกเตอร์อลันจนเกิดเป็นเงาเลือนราง แต่บรรยากาศภายในห้องยังคงมืดมิดเป็นส่วนใหญ่
ไคลน์ยังนั่งนิ่งโดยไม่มีทีท่าว่าจะกลับ
สายตาชำเลืองร่างหลับสนิทของศัลยแพทย์อลันพลางวิเคราะห์ฉากในฝันทีละจุด
ถ้าเราดูไม่ผิด ไพ่ทาโรต์ในมือวิล·อัสตินคือวีลล์ออฟฟอร์จูนแน่นอน… สำหรับทุกความฝันของมนุษย์ ทุกองค์ประกอบจะมีความหมายเสมอ เพราะเป็นข้อมูลจากวิญญาณดาราโดยตรง… หรือในอีกความหมายหนึ่ง ภัยคุกคามของเด็กชายวิล·อัสตินจะต้องเกี่ยวพันกับโชคชะตา…
อสรพิษยักษ์สีเงินอาจหมายถึงอสรพิษปรอท ลำดับ 1 แห่งเส้นทางสัตว์ประหลาด…
หมายความว่า วิล·อัสตินเข้าไปพัวพันกับตัวตนลำดับสูงของเส้นทางสัตว์ประหลาด หรือไม่ก็สมบัติปิดผนึกซึ่งมีพลังคล้ายกัน…
ถ้าอย่างนั้น ภัยคุกคามเป็นของอสรพิษปรอทหรือสมบัติวิเศษกันแน่…
แต่อสรพิษปรอทเป็นถึงลำดับ 1 ตัวตนใกล้เคียงความเป็นเทพเพียงครึ่งก้าว หากอสรพิษปรอทต้องการทำร้ายวิล·อัสตินจริง เด็กคนนั้นก็ไม่น่าจะมีชีวิตอยู่แล้ว… ขนาดร่างแยกของอามุนด์ ผู้อาจมีลำดับ 1 2 หรือ 3 ยังแข็งแกร่งพอจะทะลุทะลวงขึ้นมาบนห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา…
ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว เบื้องหลังคงเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ใหญ่…
หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ไคลน์ตัดสินใจถอนตัวโดยสมบูรณ์
อันตรายเกินไป… และเหนือสิ่งอื่นใด ไพ่ทาโรต์ของเด็กคนนั้นไม่ใช่สมบัติวิเศษ ความพิเศษอยู่กับวิล·อัสตินต่างหาก…
อา ถ้าไม่นับเรื่องฝันร้าย ปัญหาความโชคร้ายของดอกเตอร์อลันได้ถูกสะสางเรียบร้อยแล้ว เขาจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ฉะนั้น เราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากกว่านี้…
จริงอยู่ นักมายากลควรท้าทายความเป็นไปไม่ได้อยู่เสมอ แต่ต้องฉลาดพอจะแยกแยะด้วยว่า อย่างไหนเรียกว่าท้าทาย อย่างไหนเรียกว่าฆ่าตัวตาย… ใช่แล้ว เราต้องทำตามเสียงร้องเตือนในหัวใจ!
ไคลน์ใช้ถุงมือดำเกาะขอบโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อพยุงตัวยืนอย่างเชื่องช้า
การบุกรุกความฝันเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มมั่นใจว่า ความฝันพิเศษของอลันเกิดจากเทคนิคขั้นสูง มีใครบางคนสร้างฝันเทียมขึ้นและบรรจุลงในวิญญาณดาราของอลันโดยตรง การจะทำเช่นนี้ให้สำเร็จต้องมีการ ‘ล็อกเป้า’ วิญญาณดาราเสียก่อน และนกกระเรียนกระดาษคือสื่อกลางสำหรับล็อกเป้า
จากข้อมูลในหนังสือแห่งความลับ ไคลน์สามารถทดสอบล็อกเป้าวิญญาณดาราของศัลยแพทย์อลันได้เช่นกัน จากนั้นก็สืบหาเบาะแสว่าความฝันเทียมเป็นฝีมือของใคร
แต่ชายหนุ่มสาบานไว้แล้วว่าจะไม่นำตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากกว่านี้
ไคลน์บิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะเดินไปล้วงกระเป๋าสตางค์หนังของอลันด้วยสีหน้าครุ่นคิด ตามด้วยการหยิบนกกระเรียนกระดาษออกมาตรวจสอบ
ถัดมา มันนำนกกระดาษมาวางบนหัวไม้ค้ำและใช้มือกุมไว้แน่น ดวงตาเริ่มกลายเป็นสีเข้มขณะท่องประโยคทำนายเสียงค่อย :
“ตำแหน่งปัจจุบันของวิล·อัสติน”
เมื่อครบเจ็ดหน สายลมกระโชกพลันไหลเวียนภายในห้องราวกับหมายพัดพาดวงวิญญาณให้กระจัดกระจาย
หลังจากไคลน์ปล่อยมือขวา ไม้ค้ำตั้งตรงครู่หนึ่ง ก่อนจะทิ้งตัวล้มลงไปพร้อมกับนกกระดาษโดยหันหัวทแยงมุมไปทางเตียงนอน
“ทางนั้น…” ไคลน์ขมวดคิ้วและลองขยับตำแหน่งของตนโดยการเดินไปทางประตูห้องนอน มันทำนายซ้ำด้วยประโยคทำนายแบบเดิมทุกประการ
ผลลัพธ์ค่อนข้างน่าตกตะลึง
หัวไม้ค้ำชี้ไปทางเตียงนอนอีกครั้ง!
เหตุใดตำแหน่งของวิล·อัสตินถึงเป็นเตียงนอนของดอกเตอร์อลัน? น่าสนใจดีนี่…
ไคลน์พึมพำด้วยสีหน้าแปลกใจปนขบขัน
ความอยากรู้อยากเห็นยิ่งเพิ่มทวีคูณ!
แม้จะไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างถลำลึก แต่ก็เป็นคนละส่วนกับการหาตำแหน่งปัจจุบันของเด็กชายวิล·อัสติน ชายหนุ่มเพียงต้องการทราบว่าเพราะเหตุใด ผลการทำนายจึงพุ่งเป้าไปทางศัลยแพทย์อลันทั้งสองครั้งอย่างไม่ควรจะเป็น
หืม… แล้วทำไมเราถึงไม่นำนกกระดาษขึ้นไปทำนายบนมิติสายหมอก? ถ้าเป็นบนนั้น ผลการทำนายจะไม่ถูกรบกวนหรือบิดเบือน…
ไคลน์เกิดความคิดใหม่
และในเมื่อมันไม่สะดวกจะอัญเชิญตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติสายหมอกภายในห้องนอนอลัน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจนำนกกระเรียนกระดาษติดตัวกลับบ้าน
ไคลน์เตรียมการสำหรับเรื่องนี้ไว้นานแล้ว ในตอนแรก ขณะยังไม่ทราบความหนักเบาของสถานการณ์ และหวังจะหาโอกาสครอบครองไพ่ทาโรต์ของวิล·อัสติน มันจึงตัดสินใจทำนกกระเรียนกระดาษปลอมเพื่อนำมาสับเปลี่ยนกับของเดิมด้วยหลายเหตุผล เช่น เอาไว้ทำนายหาตำแหน่งในบางสถานการณ์ และเมื่อเรื่องราวถูกสะสางค่อยนำกลับไปคืน
ขณะใช้ความคิด ไคลน์หยิบนกกระเรียนกระดาษของปลอมออกมาถือ
ออริกามิตัวนี้ถูกพับขึ้นบนห้วงมิติสายหมอก เผื่อว่าถ้าศัลยแพทย์อลันนำสิ่งของเกี่ยวกับวิล·อัสตินมอบให้คนของโบสถ์รัตติกาลทั้งหมด ตนจะได้ไม่ถูกทำนายถึงด้วยวิธีการปรกติ
การมองภาพรวมก่อนลงมือจะช่วยให้ทุกสิ่งง่ายดายไปเสียหมด… ไคลน์เยินยอตัวเอง
ภายใต้แสงจันทร์แดงสลัว ชายหนุ่มทำการเปรียบเทียบนกกระเรียนกระดาษของตนกับของเด็กชายวิลเพื่อสังเกตว่ามีจุดใดแตกต่างกันบ้าง
หลังจากเปรียบเทียบเสร็จ ไคลน์หมดคำจะกล่าวอยู่นาน
ฝีมือการพับของเราห่วยแตกกว่าเด็ก…
แต่นกกระดาษก็คือนกกระดาษ! ไม่ได้แตกต่างกันขนาดนั้นสักหน่อย ของเราแค่ขาดความประณีตเล็กน้อย… ถ้าอลันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านออริกามิโดยตรง ก็คงบอกไม่ได้ว่านกกระดาษของตนถูกสับเปลี่ยน…
ไคลน์พึมพำพลางหยิบเหรียญออกมาโยนทำนายยืนยันอันตรายเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อได้รับคำตอบ ชายหนุ่มนำนกกระดาษของตนยัดใส่กระเป๋าสตางค์อลันแทนของเดิม ตามด้วยการเก็บกวาดทำลายหลักฐาน และนำนกกระดาษของเด็กชายวิล·อัสตินติดตัวออกจากอาคารหมายเลข 3 ถนนเบอร์นิงแฮม
ด้วยความช่วยเหลือจากไม้ค้ำ ไคลน์ใช้เทคนิคทำนายแท่งวิญญาณจนกระทั่งพาตัวเองกลับถึงบ้านหมายเลข 15 ถนนมินส์ มันรีบล้างหน้าและนำมาสเตอร์คีย์กับนกกระดาษไปเก็บไว้ในห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา
ท่ามกลางพระราชวังคนยักษ์อันว่างเปล่า ไคลน์หยิบนกกระเรียนกระดาษขึ้นมาสำรวจสักพัก แต่กลับไม่พบความผิดปรกติใดเช่นเคย
มันตัดสินใจเสกปากกาและกระดาษเพื่อเขียนประโยคทำนายแบบเดิมทุกประการ :
“ตำแหน่งปัจจุบันของวิล·อัสติน”
ในคราวนี้ ไคลน์สลับมาใช้เทคนิคทำนายด้วยนิมิตฝัน และต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามีผลลัพธ์ปรากฏ
ภายในห้องมืดมิด วิล·อัสตินกำลังนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะอ่านหนังสือริมหน้าต่าง ดวงตาสีดำจ้องมองออกไปข้างนอกอย่างเหม่อลอย
มือสองข้างกำลังถือปึกไพ่ทาโรต์ บนโต๊ะด้านหน้ามีบล็อกไม้จำนวนมากวางเรียง
บล็อกไม้เรียงตัวในลักษณะวงกลมสมบูรณ์ ดูคล้ายกับงูกำลังกินหางตัวเอง
บรรยากาศนอกห้องมืดสนิท มีเสียงแม่น้ำดังแทรกเข้ามาเป็นระยะ
ความฝันจบลงเพียงเท่านี้โดยไม่มีเสียงอื่นเพิ่มเติม ไคลน์ลืมตาขึ้นและใช้นิ้วเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวตรงหน้า ตามด้วยการพึมพำกับตัวเอง :
สัญลักษณ์โอโรโบรอส… คงหมายถึงอสรพิษปรอท… อสรพิษปรอทแห่งโชค…
ด้านนอกมีเสียงน้ำไหล… หรือว่าตำแหน่งปัจจุบันของเด็กชายวิล·อัสตินจะอยู่ใกล้กับแม่น้ำทัสซอค?
แล้วทำไมการทำนายด้วยแท่งวิญญาณคราวก่อน ผลลัพธ์ถึงชี้ไปทางเตียงนอนของศัลยแพทย์อลันถึงสองครั้ง?
เพราะถูกพลังโชคชะตาบิดเบือน?
ชายหนุ่มไม่เคลือบแคลงผลการทำนายบนห้วงมิติสายหมอก จึงประเมินสถานการณ์โดยใช้ผลลัพธ์ดังกล่าวเป็นพื้นฐาน
เราควรนำนกกระดาษไปเปลี่ยนคืนในช่วงดึกของวันพรุ่งนี้ จากนั้นก็หาโอกาสโน้มน้าวให้อลันรายงานความคืบหน้าล่าสุดกับโบสถ์รัตติกาล พร้อมกับอธิบายเรื่องราวทั้งหมดแก่บิชอปประจำวิหาร…
เรื่องนี้ต้องปล่อยให้มืออาชีพจัดการ…
ไคลน์แสยะยิ้มเงียบงันพลางส่งตัวเองกลับลงมายังโลกความจริง
หลังจากอาบน้ำอย่างสบายอุรา ชายหนุ่มรีบเข้านอนโดยไม่มัวเสียเวลาทำอย่างอื่น
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ
ไคลน์พลันตระหนักว่าตนกำลังฝัน ร่างปัจจุบันอยู่ในห้องนั่งเล่นและกำลังอ่านหนังสือแห่งความลับของราชาหมอผีคารามัน
นี่มัน… ความรู้สึกอันคุ้นเคย…
ไคลน์หันไปมองประตูตามสัญชาตญาณ
ทันใดนั้น บานประตูถูกเปิดออก บุรุษสวมโค้ทสีเทาย่างกรายเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน
อายุราวสามสิบ ใบหน้ายาวเรียว หน้าผากเถิกกว้าง ดวงตาสีน้ำเงินเข้มทรงปัญญา
ไม่ใช่หัวหน้า…
ไคลน์ยิ้มขื่นขมในใจ พลางสูดลมหายใจยาวและเพ่งจิตเปลี่ยนให้หนังสือแห่งความลับกลายเป็นนิตยสารแฟชั่นของสตรี
ชายหนุ่มทำทีพลิกอ่านนิตยสารพลางหันไปทักทายแขกผู้มาเยือน
ชายสวมโค้ทเทาถอดหมวกและเดินมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“อลันมาหาคุณเมื่อเช้าใช่ไหม?”
เหยี่ยวราตรีจริงด้วย… ฝันร้าย…
ไคลน์พยายามอดกลั้นไม่ให้เปลี่ยนสีหน้า ขณะเดียวกันก็คำตอบด้วยรอบยิ้ม
“ใช่”
มันทราบทันทีว่า เพราะเหตุใดเหยี่ยวราตรีถึงบุกรุกความฝันของตนกะทันหัน
เหยี่ยวราตรีตรงหน้าคงเป็นหัวหน้าทีมสืบสวนคดีในวิล·อัสติน แต่พวกเขายังไม่ได้รับเบาะแสสำคัญแม้จะผ่านมานานแล้ว
ด้วยเหตุนี้ การไปเยือนบ้านเก่าครอบครัวอัสตินของดอกเตอร์อลันและนักสืบเชอร์ล็อกจึงถือเป็นความคืบหน้าใหม่ บางที เหยี่ยวราตรีอาจได้ทราบข่าวในช่วงเมื่อคืนหรือเมื่อเช้า และคงทราบด้วยว่า ดอกเตอร์อลันรีบแจ้นมาหานักสืบเชอร์ล็อกทันทีหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ
ด้วยจิตวิญญาณของมืออาชีพ การบุกรุกความฝันควรกระทำในตอนกลางคืนเพื่อให้เป้าหมายไม่เกิดความสงสัย และในเมื่อคดีของวิล·อัสตินยังเป็นปริศนาค่อนข้างมาก พวกเขาจึงไม่กล้าบุกรุกความฝันของอลันอย่างบุ่มบ่าม หรือในกรณีเลวร้าย การบุกรุกความฝันโดยไม่เตรียมตัวจะทำให้เบาะแสของคดีหายไปถาวร
เมื่อนำปัจจัยทั้งหมดมาติดร่วมกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเหยี่ยวราตรีจะแวะเข้ามาบุกรุกความฝันตนก่อนเป็นคนแรก
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับอลัน?”
หัวหน้าทีมเหยี่ยวราตรีซักถามด้วยน้ำเสียง ‘เป็นกันเอง’
ไคลน์ตอบกลับตามความจริง
“เขาฝันร้าย…”
ชายหนุ่มอธิบายรายละเอียดของหอคอยสีดำสนิท อสรพิษยักษ์สีเงิน และเกราะป้องกันตัวเองหลายชั้นของวิล·อัสติน ตามด้วยการเล่าปิดท้าย
“ก่อนจะเกิดความฝันเช่นนี้ อลันเดินทางไปบ้านของวิล·อัสติน ส่วนหนึ่งเพราะเป็นห่วงอาการหลังผ่าตัด อีกส่วนหนึ่งเพราะยังคาใจถึงความโชคร้ายของตน แต่น่าเสียดาย ครอบครัวอัสตินดันย้ายบ้านไปก่อน แต่การไปเยือนคราวนี้ทำให้อลันฉุกคิดบางเรื่องได้ เขาลืมมาตลอดว่าเด็กชายวิลเคยมอบนกกระเรียนกระดาษพลางอวยพรให้ตนประสบความโชคดี บางที ทั้งสองเหตุการณ์คงไปกระตุ้นให้เกิดฝันร้ายกะทันหัน”
ชายสวมโค้ทสีเทาทำสีหน้าประหลาดใจ
“นกกระเรียนกระดาษ?”
“ถูกต้อง” ไคลน์พยักหน้า
“เด็กคนนั้นมอบนกกระดาษให้อลันก่อนเขาจะออกจากโรงพยาบาล ในตอนแรก อลันมองว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ จึงเก็บไว้ในลิ้นชักห้องทำงานจนกระทั่งเมื่อวาน”
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับคำอธิบาย”
หัวหน้าเหยี่ยวราตรีลุกยืนและถอดหมวกคำนับไคลน์อย่างสุภาพ
ทันใดนั้น ฉากความฝันพลันกระเพื่อมพร้อมกับการหายไปของชายคนดังกล่าว
ไคลน์นั่งจ้องเก้าอี้อันว่างเปล่าฝั่งตรงข้ามเป็นเวลานาน พลางวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมถัดไปของเหยี่ยวราตรี
ในคืนนี้ เหยี่ยวราตรีคงแวะไปหาอลันต่อทันทีเพื่อบุกรุกความฝัน และคงนำนกกระดาษติดตัวกลับไปด้วย…
แต่ปัญหาก็คือ ในเมื่อนกกระดาษตัวนั้นเป็นของเรา ส่วนของจริงอยู่บนมิติสายหมอก ทางเหยี่ยวราตรีจะพบความผิดปรกติในส่วนนี้หรือไม่? แล้วพวกเขาจะไขคดีได้ไหม…
ไม่เกี่ยวสักหน่อย… ไม่ว่าจะเป็นนกกระดาษจริงหรือเทียม แต่พวกเขาก็ไม่มีทางได้รับคำตอบจากการทำนายอยู่แล้ว จะเป็นของจริงหรือของปลอมก็ไม่สำคัญ…
ไคลน์ได้ข้อสรุป
ถัดมา ชายหนุ่มนั่งนิ่งในโลกความฝันแห่งเดิมเป็นเวลานาน สายตาจ้องมองตรงไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอยโดยไม่ขยับร่างกาย
จนกระทั่ง มุมปากยกโค้งเล็กน้อย
คิดถึงชะมัด…
……………………
ราชันเร้นลับ 390 : คาดหวัง <ประกาศผลผู้ได้รับเหรียญทอง>
โดย
Ink Stone_Fantasy
วันอาทิตย์ช่วงเช้า หลังจากไคลน์กินอาหารมื้อแรกของวันเสร็จไม่นาน เสียงกริ่งบ้านพลันดังแว่ว
เรื่องน่าประหลาดใจก็คือ ผู้มาเยือนไม่ได้มีเพียงนักข่าวไมค์·โยเซฟ แต่ยังรวมถึงศัลยแพทย์อลัน·คริสต์
“เชอร์ล็อก เมื่อคืนผมก็ฝันร้าย นี่คงไม่ใช่เรื่องปรกติแล้ว” อลันไม่เก็บงำเรื่องราวแม้จะมีนักข่าวไมค์ยืนด้านข้าง มันเริ่มเปิดปากเล่าเมื่อย่างกรายเข้าไปในห้องนั่งเล่น
โดยไม่รอให้ไคลน์ตอบ ศัลยแพทย์ชื่อดังล้วงหยิบนกกระเรียนกระดาษออกจากกระเป๋าสตางค์หนัง
“คุณคิดว่าเจ้านี่จะเป็นต้นตอของปัญหาหรือไม่? นับตั้งแต่ผมนึกขึ้นได้และพกมันติดตัว ฝันร้ายก็ปรากฏขึ้นทุกคืน”
ไคลน์ชำเลืองมองนกกระดาษอย่างไม่คิดอะไรมาก แต่ทันใดนั้น สายตาชายหนุ่มพลันต้องผงะ หากไม่ได้พลังของโอสถตัวตลกช่วยควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าไว้ มันคงหลุดเผยรอยยิ้มเด่นชัด
ใช่แล้ว รอยยิ้ม
นี่มัน… นกกระเรียนกระดาษตัวนี้อัปลักษณ์ยิ่งกว่าของเราเสียอีก…
นั่นคือความคิดแวบแรกในหัวไคลน์
ชายหนุ่มอยากเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดหน้าและถอนหายใจยาวเสียงดัง
เหยี่ยวราตรีต้องพับนักกระดาษได้ห่วยแตกทุกคนเลยหรือไง…
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นกกระดาษในมืออลันคือผลพวงจากการสับเปลี่ยนของเหยี่ยวราตรี หลังจากพวกมันได้รับคำอธิบายอย่างละเอียดจากนักสืบเชอร์ล็อก เหยี่ยวราตรีคงเตรียมนกกระเรียนกระดาษตัวใหม่และลอบบุกรุกความฝันของอลันต่อทันที ปิดท้ายด้วยการสับเปลี่ยนนกกระดาษกลับไป
แต่พวกมันย่อมไม่ทราบว่านกกระดาษตัวดังกล่าวเป็นของปลอม เกิดจากฝีมือสุดห่วยของไคลน์ขณะพับบนห้วงมิติเหนือสายหมอก
รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก…
ไคลน์เงยหน้ามองดอกเตอร์อลันผู้กำลังแสดงสีหน้ากังวล ก่อนมันจะกระแอมในลำคอและกล่าว
“ผมขอแนะนำให้คุณกลับไปยังวิหารแห่งเดิมและอธิบายเรื่องราวให้บิชอปฟัง เราต้องเชื่อมั่นว่า เทพในความศรัทธาของพวกเรา กำลังปกป้องคุ้มครองพวกเราอยู่”
ขณะกล่าว ชายหนุ่มทำสัญลักษณ์สามเหลี่ยมกึ่งกลางหน้าอก
หลังจาก ‘ฝันร้าย’ คนเมื่อคืนกลับไป ไคลน์รีบเข้ามิติสายหมอกเพื่อทำนายยืนยันว่า การสับเปลี่ยนนกกระดาษของตนจะนำพาอันตรายมาถึงตัวหรือไม่ และคำตอบระบุชัดเจนว่าไม่มีอันตรายแม้แต่นิดเดียว
ไคลน์จึงวางแผนแนะนำให้อลันนำความฝันไปแจ้งโบสถ์รัตติกาล เจตนาเพื่อกลั่นแกล้งเพื่อนร่วมงานเก่า
ชักอยากรู้แล้วว่า พวกเขาจะทำหน้าอย่างไรขณะเห็นนกกระดาษสุดห่วยของตัวเองถูกส่งกลับคืน…
เพื่อเป็นการขจัดความตึงเครียดในใจอลัน ชายหนุ่มหันไปพูดกับไมค์ด้วยรอยยิ้ม
“ไมค์ ว่ากันตามตรง ผมอยากแนะนำให้คุณหมอของเราไปพบจิตแพทย์มากกว่า แต่เชื่อผมเถอะ ความศรัทธาทางศาสนาก็ช่วยให้จิตของมนุษย์สงบลงได้เช่นกัน”
“ฟังดูไม่ค่อยจริงใจเลยนะ” ไมค์ยิ้ม
“เอาล่ะ พวกเรารีบไปกันเถอะ”
…
หลังจากนั้นทั้งวัน ไคลน์เดินตามนักข่าวประจำหนังสือพิมพ์เกาะกระแสรายวันไปทั่วเขตตะวันออก เพื่อสัมภาษณ์เด็กหญิงผู้ถูกช่วยเหลือจากเหตุการณ์คาพิน
ด้วยค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งปอนด์ถ้วน ไม่มีใครปฏิเสธข้อเสนอของไมค์แม้แต่คนเดียว ไม่เว้นกระทั่งเด็กหญิงซึ่งเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศภายในคฤหาสน์คาพิน
ไมค์สัมภาษณ์โดยเน้นหนักไปในสองประเด็น ประการแรก บาปอันชั่วช้ายากเกินให้อภัยของคาพิน และประการสอง ความเป็นอยู่ในปัจจุบันของเด็กหญิงเหล่านี้
ข้อแรกจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกโมโห ส่วนข้อสองจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกเห็นใจ
เดซี่ค่อนข้างโชคดี เธอยังกลับมาทำงานเดิมได้ตามปรกติหลังจากถูกช่วยเหลือ โดยกว่าหนึ่งในสามของเหยื่อจะมีสถานการณ์คล้ายคลึงกับเธอ คือ ครอบครัวพอจะมีเงินออมสำหรับประทังชีวิตอยู่บ้าง หากเหยื่อคนใดเกิดบาดแผลทางใจรุนแรง ก็ยังพอมีเวลาให้เยียวยาจนหายขาด ก่อนกลับมาทำงานได้ตามปรกติ
แต่อีกราวสองในสาม ชีวิตพวกเธอมิได้สวยหรู ไม่มีโอกาสสำหรับคนจิตใจอ่อนแอ ทุกคนต้องกลับไปดิ้นรนทำงานเอาชีวิตรอดเหมือนเคย และสถานการณ์ยิ่งยากลำบากขึ้นเมื่อตลาดแรงงานฝ่ายหญิงกำลังล้น เนื่องจากมีคนงานหญิงจำนวนมากเพิ่งเสียงานเพราะโรงงานทอผ้านำเครื่องจักรรุ่นใหม่มาติดตั้ง ทางรอดเดียวของพวกเธอคืองานซึ่งมีค่าแรงต่ำกว่ามาตรฐาน หากพ่อแม่ของเด็กหญิงคนใดยังไม่ตกงานก็ดีไป ยังพอมีอะไรให้กินประทังชีวิตอยู่บ้าง ถึงแม้จะเป็นอาหารคุณภาพต่ำสุดขีดก็ตาม แต่บางรายก็ไม่มีทางเลือก ต้องเดินบนเส้นทางแห่งหุบเหวนรก กลายเป็นหญิงค้าบริการริมถนน ชะตากรรมไม่ได้ต่างจากการถูกคาพินจับตัวเลยสักนิด
ตลอดการสัมภาษณ์ สีหน้าของไมค์หดหู่ชัดเจน แทบไม่พูดกับใคร จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดและคนทั้งสองเดินทางออกจากเขตตะวันออก ไมค์จึงหันมากล่าวกับไคลน์
“เชอร์ล็อก ผมต้องขอบคุณมาก ไม่อย่างนั้นคงถูกพวกอันธพาลริมถนนปล้นเข้าแล้ว”
“ไม่เห็นต้องขอบอกขอบใจ คุณจ้างผมเพราะเรื่องนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
ไคลน์ยิ้มสุภาพโดยปราศจากการโอ้อวด
ด้วยการนัดแนะล่วงหน้า เฒ่าโคห์เลอร์และไลฟ์จึงไม่ได้พูดเรื่อง ‘นักสืบเชอร์ล็อกอาสาช่วยตามหาตัวเดซี่โดยไม่คิดเงิน’
โดยเฉพาะเด็กฉลาดอย่างเดซี่ เมื่อเธอถูกไมค์ถามว่าสนิทกับใครเป็นพิเศษบ้างหรือไม่ เด็กสาวตอบอย่างเถรตรงว่า
“มีค่ะ คุณนักข่าวกับคุณนักสืบไงคะ”
ไมค์พยักหน้ารับและเดินกลับออกมาด้วยสีหน้าเหม่อลอยเป็นเวลานาน
ขณะเตรียมเดินขึ้นรถม้า มันถอนหายใจ
“ผมต้องการใช้รายงานฉบับนี้กดดันให้รัฐบาลนำทรัพย์สินของคาพินมาขายและตั้งเป็นกองทุนการศึกษา จากนั้นก็นำผลกำไรในแต่ละปีมาเยียวยาเหยื่อผู้ถูกคาพินล่วงละเมิดทางเพศ โดยหวังว่าพวกเธอจะหลุดพ้นจากสถานการณ์ปัจจุบันได้เร็ว ถึงแม้ตู้นิรภัยทั้งหมดในบ้านคาพินจะถูกจอมโจรวีรบุรุษขโมยจนเกลี้ยง แต่ทรัพย์สินจำพวกอสังหาฯ ก็ยังมีค่ามากอยู่ดี และน่าจะครอบครองด้วยวิธีการผิดกฎหมาย”
ไคลน์ยืนฟังอย่างตั้งใจพลางจ้องมองไมค์ด้วยสายตายกย่อง
“ผมไม่เคยเห็นนักข่าวคนใดมีจิตใจสุดยอดเท่าคุณมาก่อน”
“ชมเกินไปแล้ว ยังมีนักข่าวอีกมากคิดแบบเดียวกับผม เชื่อเถอะ โลกใบเต็มไปด้วยนักอุดมคติ” ไมค์ถอนหายใจยาว
เมื่อสิ้นเสียง มันจ่ายเงินจำนวนสิบปอนด์ให้ไคลน์และถอดหมวกโบกมืออำลา
ขณะยืนมองนักข่าวเดินเข้าไปในรถม้าเช่า ไคลน์เตรียมเดินกลับไปขึ้นรถม้าสาธารณะในทิศทางตรงกันข้าม ทันใดนั้น ไมค์เปิดหน้าต่างออกมาและยิ้มส่งท้าย
“เชอร์ล็อก ในแวดวงนักข่าวของเบ็คลันด์ คุณไม่ได้รู้จักผมแค่คนเดียวใช่ไหม?”
ไคลน์ผงะเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มตอบ
“ลองเดาดูสิ”
…
เมืองเงินพิสุทธิ์
ประหนึ่งสัตว์ป่าถูกขังกรง เดอร์ริคเดินวนเวียนภายในบ้านอย่างกระวนกระวาย
มันรู้สึกว่าหัวหน้าอาวุโส โคลิน·อีเลียด ไม่ได้ใส่ใจรายงานของตนมากนัก จึงกำลังเป็นกังวลว่า หากสมาชิกทีมสำรวจซึ่งถูกพระผู้สร้างเสื่อมทรามครอบงำ หลุดพ้นจากเขตกักกันของเมืองออกมาได้ ประวัติศาสตร์อันยาวนาน 2,582 ปีของเมืองเงินพิสุทธิ์จะถูกทำลายจนสิ้นซาก
ในสถานการณ์เช่นนี้ เด็กหนุ่มต้องการคำแนะนำจากแฮงแมน จัสติส และคนอื่น ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องของพระผู้สร้างเสื่อมทรามมากกว่าตน
ท่ามกลางเหตุการณ์วิกฤติ เดอร์ริคคาดหวังคำปรึกษาจากชุมนุมทาโรต์เหนือสิ่งใด
รออีกนิด… ต้องอดทนอีกนิด… น่าจะใกล้ถึงเวลาเรียกตัวของมิสเตอร์ฟูลแล้ว… แต่ถ้าเขายังไม่เรียก เราค่อยสวดภาวนาหาท่านก็ยังไม่สาย…
เดอร์ริคพยายามข่มสติ แต่สองเท้ายังคงก้าวเดินอย่างกระวนกระวายภายในบ้าน
ทันใดนั้น ภาพของห้วงสายหมอกสีเทาไร้ก้นบึ้งพลันปรากฏเบื้องหน้า พร้อมกับเสียงซึ่งเป็นราวกับพระผู้มาโปรด
“เตรียมเข้าร่วมชุมนุม”
เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ก่อนจะเดินไปนั่งปลายเตียงและทิ้งตัวเองลงนอน ประหนึ่งต้องการพักผ่อนหลังจากเหน็ดเหนื่อยเสียเต็มประดา
หลังจากนับจังหวะหัวใจเต้นจนใกล้ครบพันครั้ง เดอร์ริคเฝ้ารอให้แสงสีแดงเข้มทำการสาดส่องโอบล้อมร่างกายเฉกเช่นทุกที
เพียงพริบตา ห้องนอนของเด็กหนุ่มเข้าสู่ภวังค์เงียบงันโดยสมบูรณ์ ด้านนอกหน้าต่างมีเพียงแสงจากสายฟ้าคอยมอบความสว่างแก่ดินแดนต้องคำสาป
ทันใดนั้น ตรงมุมห้องใกล้กับเตียงนอนเด็กหนุ่ม เงาดำปริศนาเริ่มยืดตัวขึ้นจากพื้นและกลายร่างเป็นมนุษย์ทีละนิด
เงาดังกล่าวก้มมองเดอร์ริคอย่างเงียบงัน
สายตาของมันจดจ้องร่างบนเตียงไม่ต่ำกว่าหนึ่งนาที ก่อนจะกลับลงพื้นคืนสภาพเดิมโดยไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม
ณ มุมดังกล่าว เงาดำไม่มีการขยับเขยื้อนอีกเป็นเวลานาน
…
ใต้ฝ่าเท้าของมันยังคงมีสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขตเช่นเคย โต๊ะทองแดงยาวเบื้องหน้ามีรอยสนิมเก่าเลือนราง แต่ไม่ปรากฏสัญญาณการผุพังเสื่อมสลาย ภาพแรกในการมองเห็นเดอร์ริคคือจัสติสและเมจิกเชี่ยนผู้นั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
ถัดมาไม่นาน เสียงทักทายอันสดใสและมีชีวิตชีวาเริ่มดังขึ้น
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล~ ทิวาสวัสดิ์ค่ะ…”
ไคลน์ ผู้ถูกห่อหุ้มด้วยม่านหมอกหนาทึบ ทำการพยักหน้ารับเล็กน้อย มองผิวเผินจะคล้ายกับการตอบสนองทุกคนพอเป็นพิธี แต่ในความเป็นจริง สมาธิของไคลน์กำลังเพ่งอยู่กับการควบคุมเดอะเวิร์ลให้แนบเนียนสมจริง
ย้อนกลับไปเมื่อคืน กว่าภารกิจคุ้มกันนักข่าวไมค์จบลงก็มืดค่ำและถึงเวลาอาหารเย็น ไคลน์จึงเดินเข้าไปในร้านขายอาหารท้องถิ่นของเฟเนพ็อต แต่รสชาติเผ็ดจัดจ้านได้ทำให้ชายหนุ่มเกิดความกระหาย จึงจำใจต้องสั่งเบียร์ทะเลทรายมาดื่มดับเผ็ดหลายแก้ว
หลังจากกินจนอิ่มหนำและเดินกลับบ้าน ไคลน์ก็ไม่ย่างกรายออกจากบ้านอีกเลย
ไม่แม้แต่จะอ่านหนังสือแห่งความลับหรือเตรียมอาหารให้ตัวเองในมื้อถัดมา ความคิดเอาแต่จดจ่ออยู่กับเรื่องราวอันน่าสลดหดหู่ของเขตตะวันออก
กว่าจะรู้ตัวอีกก็เกือบบ่าย สมาธิจึงหันมาเพ่งอยู่กับการเตรียมชุมนุมทาโรต์
หลังจากกล่าวทักทายจบ จัสติส ออเดรย์ พยายามระงับความอยากรู้อยากเห็น ตัดสินใจไม่ถามความจริงเกี่ยวกับการตายของคาพิน
มิสเตอร์ฟูลอาจไม่ตอบ แต่ถ้าเราไม่เป็นฝ่ายเริ่มถาม ก็จะไม่มีวันทราบว่าท่านต้องการตอบหรือไม่… บางที ท่านอาจเสนอการแลกเปลี่ยนเท่าเทียม และเราต้องพยายามตอบสนองให้ได้…
ออเดรย์ครุ่นคิดพลางหันไปสำรวจสมาชิกชุมนุมคนอื่น
ในฐานะนักอ่านใจ เธอสามารถตรวจพบความผิดปรกติได้ไม่ยาก
หืม… เดอะซันกำลังกระวนกระวายหนัก เกิดอะไรขึ้นกับอดีตหัวหน้าทีมสำรวจ? หรือเขาเผชิญหน้าอามุนด์เข้า?
ฟอร์สต้องการถามบางสิ่ง แต่ไม่กล้าพอ… เธอคงอ่านหนังสือพิมพ์และได้พบข่าวการตายของคาพินกับไพ่ทาโรต์ จึงคิดว่าคงเกี่ยวข้องกับชุมนุมทาโรต์ของพวกเรา แต่ยังสงสัยว่าใครคือโค้ดเนม ‘ดิเอ็มเพอเรอร์’ …
หือ… เธอกำลังเลื่อมใสในตัวมิสเตอร์ฟูลเป็นอย่างมาก… เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
มิสเตอร์แฮงแมนกำลังอารมณ์ดี คงเป็นเพราะย่อยโอสถสมบูรณ์แล้ว… ขณะเดียวกันก็เกิดความรู้สึกคาดหวังในบางสิ่ง…
มิสเตอร์เวิร์ลมืดมนและอ่านอะไรไม่ได้เหมือนเคย สมกับเป็นของแสลงสำหรับเส้นทางนักอ่านใจ!
เดอร์ริคไม่พยายามปกปิดความกังวล แต่เด็กหนุ่มก็ไม่กล้าซักถามออกไปอย่างโผงผาง
มันทราบดีว่า ตอนนี้เป็นช่วงเวลา ‘อ่าน’ ของมิสเตอร์ฟูล นอกเสียจากจะไม่มีใครนำไดอารีจักรพรรดิโรซายมามอบให้
เราไม่จำเป็นต้องรีบร้อน การชุมนุมเริ่มต้นขึ้นแล้ว… หากมิสเตอร์ฟูลอารมณ์ดี บางที ท่านอาจช่วยชี้ทางสว่างให้เรา…
เดอร์ริคปลอบใจตัวเอง
อัลเจอร์เงยหน้าขึ้นพลางกล่าวอย่างสุภาพ
“ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ผมรวบรวมไดอารีจักรพรรดิโรซายได้ทั้งหมดสามหน้า”
ไดอารี? ไดอารีจักรพรรดิโรซาย?
ฟอร์สพลันหูตั้ง · ไคลน์ยิ้มและตอบ
“เจ้าต้องการแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งใด”
อัลเจอร์ชำเลืองมองไพ่ด้านหน้าเดอะฟูลและกล่าวด้วยท่าทีสำรวม
“ผมต้องการทราบว่า… ไพ่ใบนั้นคือสิ่งใด”
……………………
ราชันเร้นลับ 391 : ยอดนักเดินเรือโรซายล์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฉันรู้…!
ดวงตาออเดรย์พลันเปล่งปลั่ง ปลายคางเชิดขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เด็กสาวมองทแยงไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างมีความสุข ปลายสายตาจดจ้องเสาหินต้นใหญ่ซึ่งคอยค้ำจุนโดมสูงของพระราชวังคนยักษ์สักพัก
ก่อนจะดึงสายตากลับมามองแฮงแมนเพื่อรอดูท่าทีตื่นตะลึงของอีกฝ่าย
ในเวลาเดียวกัน ฟอร์สได้ทราบความจริงอันน่าตกตะลึงหนึ่งเรื่อง : ไดอารีโรซายล์ในความหมายของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ สามารถใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับเดอะฟูลได้ หรือแม้กระทั่งใช้แลกเปลี่ยนเป็นวัตถุบางชนิด!
ไดอารีโรซายล์…? หมายถึงสมุดบันทึกของจักรพรรดิโรซายล์ซึ่งเต็มไปด้วยอักษรพิเศษน่ะหรือ?
แผ่นกระดาษเหล่านั้นคือไดอารี?
น้ำเสียงของมิสเตอร์แฮงแมนมิได้แฝงความเคลือบแคลงแม้แต่น้อย และมิสเตอร์ฟูลก็มิได้โต้แย้ง…
เราเคยพบไดอารีพวกนั้นหลายแผ่น แต่ไม่เคยใส่ใจจะรวบรวมเลยสักครั้ง…
จริงสิ! คุณหนูออเดรย์มีสมุดบันทึกของจักรพรรดิโรซายล์ตั้งหลายหน้าเลยไม่ใช่หรือ?
ต…แต่ว่าสุนัขของเธอ… เมื่อสัปดาห์ก่อน ไม่สิ อาจเป็นสัปดาห์ก่อนหน้านั้น เราเองก็จำไม่ได้แล้ว… แต่สรุปได้ว่า สุนัขของเธอกัดหนังสือและกระดาษของโรซายล์ขาดกระจุยกระจายจนไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อีก…
ความประหลาดใจปนผิดหวังพรั่งพรูออกมาอย่างท่วมท้น จนฟอร์สรู้สึกว่าตนอยากนำสองมือขึ้นมาปิดหน้าและกรี๊ดดังๆ
แต่นั่นก็ยังไม่มากพอจะทำให้หัวใจแสนเจ็บช้ำของเธอถูกเยียวยา!
ฉันเกลียดหมา! ฟอร์สขบกรามกรอด
ว่ากันตามตรง ข้อแลกเปลี่ยนของแฮงแมนค่อนข้างผิดคาดไคลน์ แต่นั่นกลับเป็นเรื่องดี เพราะไม่มีการแลกเปลี่ยนใดสะดวกสบายไปกว่านี้อีกแล้ว
“ตกลง… เจ้าต้องการได้ทุกคนได้ยินพร้อมกัน หรือต้องการฟังตามลำพัง”
อัลเจอร์ปราศจากความลังเล :
“ตามลำพังขอรับ”
มันไม่เคยมีจิตวิญญาณของผู้เสียสละมาตั้งแต่แรกแล้ว!
ไคลน์อมยิ้มพลางปิดกันประสาทสัมผัสของทุกคนยกเว้นแฮงแมน สิ่งนี้ทำให้จัสติสรู้สึกผิดหวังอย่างมาก เธอต้องการจะเห็นท่าทีตอบสนองอันตื่นตระหนกของแฮงแมนด้วยตาตัวเอง ราวกับเป็นความสุขอย่างหนึ่งของชีวิต
แต่แฮงแมนน่ารังเกียจคนนั้นกลับพรากความสุขของเราไป…!
ออเดรย์พึมพำอย่างโกรธเคือง
แน่นอน เธอเข้าใจแจ่มแจ้งว่าอีกฝ่ายมีสิทธิ์จะแลกเปลี่ยนตามลำพัง
แต่ในเมื่อเรารู้คำตอบอยู่แล้ว ขอเห็นหน้าสักหน่อยไม่ได้หรือไง…
เด็กสาวเม้มปากอย่างเจ็บใจ
ขณะเดียวกัน ไคลน์พลิกไพ่เย้ยเทพตั้งตรงและหันหน้าเข้าหาแฮงแมน เผยให้อีกฝ่ายเห็นโรซายล์ในมาดสวมชุดเกราะและมงกุฎดำ
เนื่องจากภาพวาดของโรซายล์กระจายอยู่ทั่วทั้งทวีป อัลเจอร์จึงจดจำได้ทันที และเหนือสิ่งอื่นใด กึ่งกลางไพ่มีข้อความเขียนไว้ว่า :
“ลำดับ 0 จักรพรรดิมืด”
คิดไว้แล้วไม่มีผิด! สิ่งนี้คือไพ่บรรจุเส้นทางแห่งการเป็นเทพซึ่งสร้างโดยฝีมือโรซายล์! แถมยังเป็นต้นแบบของไพ่ทาโรต์ในยุคปัจจุบัน…
ลำดับ 0 จักรพรรดิมืด…
เส้นทางสมบูรณ์ของนักกฎหมาย?
ปลายทางคือตัวตนระดับเทพ?
เข้าใจแล้ว มิสเตอร์ฟูลพยายามรวบรวมไดอารีจักรพรรดิโรซายล์เพื่อหาเบาะแสของไพ่เย้ยเทพ และภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ท่านสามารถหามาครองได้แล้วหนึ่งใบ…
อัลเจอร์ทั้งประหลาดใจและโล่งอก
มันพลันมองเห็นอนาคตอันสดใสของชุมนุมทาโรต์ขึ้นมาทันที
ก่อนหน้านี้ มันเพียงรู้สึกเคารพนับถือในความยิ่งใหญ่ของเดอะฟูล แต่มิได้ผูกพันกับชุมนุมทาโรต์มากนัก มองเป็นแค่จุดแลกเปลี่ยนข้อมูลและวัตถุดิบโอสถ อย่างไรก็ตาม ความคิดในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง มันกำลังจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสมาชิกชุมนุมทาโรต์ยุคบุกเบิกบ้าง หากเดอะฟูลทำการรวบรวมไพ่เย้ยเทพครบทุกใบ
เมื่อถึงตอนนั้น ชุมนุมทาโรต์ก็จะกลายเป็นองค์กรลับอันดับหนึ่งของโลก!
อัลเจอร์เริ่มวาดฝันอนาคตของตัวเองร่วมกับทุกคน
ไคลน์เปล่งเสียงอย่างเชื่องช้า
“สิ่งนี้คือไพ่เย้ยเทพ”
ตามด้วยการลบผนึกบนตัวสมาชิกคนอื่น
ในวินาทีได้รับประสาทสัมผัสกลับคืน เด็กสาวจัสติสรีบจ้องมองแฮงแมนฝั่งตรงข้ามทันที โดยท่ามกลางร่างมายาไม่คมชัด เธอสามารถ ‘อ่าน’ ได้อย่างเลือนรางว่าอีกฝ่ายกำลังยินดี ตะลึง และวาดฝันบางสิ่ง
ต้องอย่างนั้น!
เด็กสาวพึงพอใจสุดขีด
ไพ่เย้ยเทพ… ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับแผ่นศิลาเย้ยเทพอย่างแน่นอน…
อัลเจอร์ก้มศีรษะให้เดอะฟูลนานสองวินาที ก่อนจะเพ่งสมาธิเขียนไดอารีจำนวนสามหน้า
เพียงไม่กี่อึดใจ กระดาษหนังสีน้ำตาลอมเหลืองได้ปรากฏขึ้นบนมือไคลน์
ชายหนุ่มบรรจงอ่านอย่างไม่รีบร้อน
“15 มีนาคม เราคือตัวเอกของโลกใบนี้อย่างแท้จริง! ด้วยความรู้ด้านโบราณคดีและตำนานพื้นเมือง เราสามารถค้นพบเรือผีสิงของจักรวรรดิโซโมลอนในทะเลหมอกใกล้กับหมู่เกาะอัลเดิร์ก ชื่อของมันคือ ‘บัลลังก์มืด’! เท่ชะมัด!”
“ภายในเรือมีหนังสือโบราณหลายเล่ม รวมถึงลายแทงสมบัติระบุพิกัดไปยังเกาะร้างบางแห่ง! เราสันนิษฐานว่าจุดดังกล่าวคือถิ่นฐานสุดท้ายของขุนนางจักรวรรดิโซโลมอนผู้พ่ายแพ้และหนีออกไปจากทวีปเหนือ ทรัพย์สินทั้งหมดของเขาอยู่บนเกาะแห่งนั้น!”
“19 มีนาคม หลังจากไตร่ตรองและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เราตัดสินใจออกเดินเรือเป็นเวลานาน จากนั้นก็จะกลับมาเข้าร่วมกองทัพเรือในฐานะนายพล! โอกาสล้ำค่าแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้ว”
“เอ็ดเวิร์ดและกริมม์ต้องการเสี่ยงบุกตะลุยทะเลสายหมอกไปพร้อมกับเราด้วย”
“ว่ากันตามตรง นอกจากสมบัติแล้ว เรายังต้องการพิสูจน์บางเรื่อง : ไม่ว่าจะดวงอาทิตย์ จันทร์แดง การโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้า หรือฤดูกาลทั้งสี่ ปัจจัยทั้งหมดบ่งบอกว่าโลกปัจจุบันมีลักษณะเป็นดาวเคราะห์ทรงกลม และถ้าเป็นเช่นนั้น หมายความว่าต้องไม่ได้มีแค่ทวีปเหนือและใต้ จากข้อมูลอ้างอิงจำนวนมาก ผืนดินทั้งสองยังกินอาณาเขตไม่ถึงหนึ่งส่วนสิบของโลกด้วยซ้ำ หมายความว่า อีกกว่าเก้าส่วนจะเป็นทะเลและหมู่เกาะทั้งหมดเลยหรือ?”
“ฝั่งตะวันตกของทวีปเหนือใต้คือทะเลหมอก และฝั่งตะวันออกคือทะเลโซเนีย เราเชื่อว่าต้องมีผืนทวีปซ่อนอยู่หลังจากสุดเขตทะเลทั้งสองแห่งแน่ เฉกเช่นการค้นพบทวีปใต้หลังจากล่องเรือไปยังสุดทะเลคลั่ง!”
“บางที เราอาจกลายเป็นผู้ค้นพบทวีปใหม่”
“ทวีปตะวันตก!”
“โรซายล์·โคลัมบัส·แม็กเจนแลน·กุสตาฟ เจ้าจงออกไปพิสูจน์ความจริงให้กระจ่าง!”
จักรพรรดิในวัยหนุ่มช่างหุนหัน กล้าดียังไงถึงคิดล่องเรือเพียงเพราะได้รับลายแทงสมบัติซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นของจริงหรือไม่… ไม่สิ อาการหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ติดตัวมาจนถึงยามแก่ ไพ่เย้ยเทพคือหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี…
ไคลน์รำพันติดตลก
ไดอารีหน้าเมื่อครู่เชื่อมต่อกับหนึ่งถึงสองหน้าก่อนซึ่งตนเคยอ่านมาแล้ว บางทีอาจมีหน้าคั่นอีกเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ ไคลน์จึงมั่นใจว่าโรซายล์ทำการเดินเรือเป็นระยะทางไกลจริง แต่เกิดหลงและบังเอิญพบกับเกาะโบราณใกล้กับเส้นทางเดินเรือปลอดภัย โดยเกาะดังกล่าวเต็มไปด้วยสัตว์วิเศษจำนวนมาก อีกทั้ง โรซายล์ยังได้มอบตำแหน่งชวนหัวเราะให้เอ็ดวาร์ดและกริมม์เป็น ‘จตุรอาชาแห่งวันสิ้นโลก’ รวมถึงการกล่าวติดตลกว่าตนจะกลายเป็นราชาโจรสลัด
แต่หลังจากนั้น กริมม์ ผู้ถูกโรซายล์ยกย่องว่ามีสติปัญญาสูงกว่าใครในหมู่คนสนิท กลับเริ่มแปลกไปหลังจากค้นพบเกาะสัตว์วิเศษ และหลังจากนั้นได้เสียชีวิตภายในทะเลหมอก
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีโลกกลมของโรซายล์เริ่มถูกทั่วโลกยอมรับในเวลาถัดมา…
ไคลน์พลิกไปยังหน้าสองของไดอารี
“18 เมษายน เราค้นพบวลี ‘ทวีปตะวันตก’ ภายในหนังสือโบราณจากเรือบัลลังก์มืด! ทวีปตะวันตกมีอยู่จริง!”
“ทว่า แม้แต่ยุคสมัยที่สี่ซึ่งเหล่าทวยเทพเดินเพ่นพ่านบนโลก ดินแดนทวีปตะวันตกก็เป็นได้เพียงตำนานปรัมปรา กล่าวกันว่าเป็นถิ่นอาศัยของเผ่าเอลฟ์ และเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับเทพบรรพกาลนามว่า ‘ซอนญาทริมม์’”
“หลังจากนั้น บรรดาเอลฟ์ได้อพยพไปอยู่บนเกาะโซเนียและกระจัดกระจายตามแนวภูเขากับทะเล โดยตำนานยังกล่าวอีกว่า เหล่าเอลฟ์มิได้คิดจะเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดอย่างทวีปตะวันตกสักเท่าไร”
“สรุปโดยสั้นคือ สุดเขตทะเลหมอกอาจมีทวีปตะวันตกซึ่งเป็นบ้านเกิดของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ ถ้าอย่างนั้น สุดเขตทะเลโซเนียจะมีดินแดนใดรออยู่? หรือจะเป็นดินแดนเทพทอดทิ้งตามตำนานปรัมปราอีกเช่นกัน?”
“ลุยเข้าไป โรซายล์! เจ้ากำลังจะถึงเป้าหมายในอีกไม่ช้า!”
ทวีปตะวันตก ทวีปตะวันออก… โรซายล์เดาว่าอย่างหลังคือดินแดนเทพทอดทิ้ง… จริงสิ มิสเตอร์แฮงแมนเคยเล่าว่า สมาชิกชุมนุมแสงเหนือพยายามค้นหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งพระผู้สร้างต้นกำเนิดภายในทะเลโซเนีย และเราสงสัยว่าดินแดนดังกล่าวจะเป็นอย่างเดียวกับดินแดนเทพทอดทิ้ง…
โลกใบนี้มีปริศนาซ่อนอยู่เต็มไปหมด…
ไคลน์ก้มศีรษะอ่านย่อหน้าสุดท้ายของแผ่นกระดาษ
“20 เมษายน ปัจจัยทั้งหมดกำลังบอกว่าเราเข้าใกล้ผืนทวีปแล้ว! คราวนี้ไม่ใช่เกาะเล็กๆ แต่เป็นผืนทวีปใหญ่!”
“นี่คือความโชคดีในความโชคร้ายหรือ? การหลงทางทำให้เราค้นพบทวีปตะวันตก!”
“21 เมษายน เราได้เห็น…”
“…ขุมนรก”
ขุมนรก?
เขาเห็นขุมนรกในแง่ของศาสตร์เร้นลับหรือเป็นเพียงคำเปรียบเปรย?
ตาดำไคลน์พลันหดเกร็ง มันรีบพลิกไดอารีไปยังหน้าถัดไปโดยไม่รีรอ
อย่างไรก็ตาม หน้าสามของไดอารีกลับทำให้ชายหนุ่มต้องนึกทบทวนว่าตนเรียนภาษาจีนกลางมาอย่างถูกต้องแล้วหรือไม่
เนื้อหาบนกระดาษเริ่มต้นด้วย :
“โอ้พระอาทิตย์หิวได้โปรดผู้ชายในบ้าน”
นี่มัน…
ไคลน์ทราบทันทีว่าเนื้อหาของหน้านี้เกิดจากความพยายามในการ ‘เลียนแบบ’ ไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์ ใครบางคนได้นำตัวอักษรจีนกลางมาเรียงต่อกันอย่างส่งเดช
ชายหนุ่มต้องการสาปแช่งคนเลียนแบบด้วยถ้อยคำสุดหยาบคายเหนือพรรณนา
มันกำลังคาใจสุดขีดว่า ขุมนรกในความหมายของโรซายล์จะใช่ดินแดนแห่งความชั่วร้าย ดินแดนแห่งการเสื่อมทราม และดินแดนแห่งปีศาจตามหลักของศาสตร์เร้นลับหรือไม่
มีการกล่าวกันว่า ขุนนรกแท้จริงจะตั้งอยู่ในด้านมืดของเอกภพ แม้แต่ทวยเทพก็ยังถูกกัดกร่อนหากคิดย่างกรายเข้าไป และเฉกเช่นโลกวิญญาณ ขุมนรกเป็นดินแดนซึ่งแยกจากโลกความจริงโดยสมบูรณ์ อย่างน้อยข้อมูลเหล่านี้ก็มาจากหนังสือแห่งความลับ รวมถึงเอกสารลับของเหยี่ยวราตรี…
และถ้าไม่ใช่ขุมนรกในความหมายดังกล่าว แล้วจักรพรรดิโรซายล์กำลังหมายถึงขุมนรกใด?
ไคลน์ครุ่นคิดเป็นเวลานานแต่ก็ไม่พบคำตอบ ข้อมูลประกอบมีน้อยเกินไป ส่งผลให้ชายหนุ่มกำลังฉุนเฉียวประหนึ่งอ่านนิยายมาถึงจุดสำคัญและพบว่าผู้แต่งดองยาว
แต่เพียงไม่นาน มันระงับสติตัวเองและปล่อยให้กระดาษหนังในมือสลายไป
“พวกเจ้าเริ่มได้” ไคลน์บนเก้าอี้ประธานใหญ่กล่าวพลางอมยิ้ม
อัลเจอร์รีบหันหน้าไปมองเดอะซันและซักถามเสียงเรียบ
“คุณรีดข้อมูลจากอดีตหัวหน้าทีมสำรวจได้มากน้อยแค่ไหน?”
……………………
ราชันเร้นลับ 392 : เดอะซันน้อยเล่าเรื่อง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เดิมที เดอร์ริคต้องการปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับภัยคุกคามจากพระผู้สร้างเสื่อมทราม แต่หลังจากได้ยินคำถามของแฮงแมน เด็กหนุ่มก็ตอบกลับอย่างซื่อตรง
“เขาตายแล้ว”
“ตายแล้ว?” จัสติส แฮงแมน และเมจิกเชียนต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจไม่ปิดบัง
ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องราวจะดำเนินมาในทิศทางนี้ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด อดีตหัวหน้าทีมสำรวจถูกกักตัวอยู่ใต้หอคอยมานานหลายสิบปีไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดถึงได้เสียชีวิตทันทีหลังจากเดอะซันพยายามพูดคุย?
ในวินาทีนี้ นอกจากมิสเตอร์ฟูล มีเพียงเดอะเวิร์ลผู้เดียวยังรักษามาดเคร่งขรึมไว้ได้
เดอร์ริคพยักหน้ารับ
“ถูกต้อง หลังจากจิตของผมถูกส่งกลับไป ผมพยายามติดต่อเขาเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมตามคำแนะนำของมิสเตอร์แฮงแมนทันที แต่เขากลับโผล่มาอยู่ข้างหลังอย่างกะทันหันและถามว่า ‘กำลังมองหาฉันอยู่หรือ’”
เมื่อสิ้นเสียง ออเดรย์พลันหยุดหายใจ
แม้ว่าทักษะการเล่าเรื่องของเดอะซันน้อยจะไม่หวือหวา แต่ถ้อยคำเถรตรงและเรียบง่ายก็มาพอจะทำให้เด็กสาวรู้สึกราวกับกำลังได้อ่านนิยายสยองขวัญตามลำพังกลางดึกสงัด
ประหนึ่งใครบางคนกำลังยืนข้างหลังเธอและกระซิบข้างหูว่า ‘กำลังมองหาฉันอยู่หรือ’
ฟอร์สเกิดความหวาดกลัวแกมตื่นเต้น เป็นความรู้สึกคล้ายกับขณะได้ฟังมารดาเล่านิทานสยองขวัญตอนยังเด็ก ย้อนกลับไปในตอนนั้น แม้ว่าจะเธอจะอุดหูด้วยความกลัว แต่คล้ายกับมีบางสิ่งสิงสู่ให้เธอแง้มนิ้วมือออกเล็กน้อย ปล่อยให้เสียงของแม่เล็ดลอดเข้าไปในโสตประสาทเพื่อจะได้ฟังเรื่องราว
วลีเมื่อครู่สมควรถูกนำไปใส่ลงในนิยาย!
สัญชาตญาณของนักเขียนนิยายติดอันดับขายดีกำลังทำงานเต็มประสิทธิภาพ
อัลเจอร์ ผู้มากพร้อมประสบการณ์และเปี่ยมด้วยความรู้กว้างขวาง ทำการซักถามโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ไหนคุณบอกว่าเมืองเงินพิสุทธิ์มีผนึกคอยกักขังผู้คลุ้มคลั่ง? ไม่มีม่านผนึกขวางกั้นระหว่างห้องเลยหรือ? ผมเคยได้ยินคุณพูดว่า หอคอยใต้ดินของเมืองเงินพิสุทธิ์จะมีสมบัติปิดผนึกทรงพลังเป็นแกนกลางคอยค้ำจุน”
“มีสิ แต่ผมก็ไม่ทราบว่าเขาทะลวงผ่านอุปสรรคเหล่านั้นมาได้อย่างไร แถมยังเป็นในสภาพคลุ้มคลั่งโดยสมบูรณ์ ร่างกายถูกผ่าจากส่วนหัวลงมาถึงกลางลำตัว ของเหลวน่าขยะแขยงฟุ้งกระจาย ตามลำตัวมีรอยแยกจำนวนมาก ทุกรอยแยกเต็มไปด้วยฟันคม”
เดอร์ริคอธิบายเป็นฉากๆ
“แล้วคุณรอดมาได้อย่างไร? ใช้วิธีใดหลบหนีจากเขา… ไม่สิ จากมัน!” ฟอร์สพลันเกิดอารมณ์ร่วม เธอตัดสินใจซักถามในประเด็นค้างคา ซึ่งเป็นข้อสงสัยข้อเดียวกับออเดรย์
ในทางกลับกัน อัลเจอร์มีท่าทีตอบสนองแตกต่างจากคนอื่นโดยสิ้นเชิง มันพึมพำหลังจากกลั่นกรองความคิดสักพัก
“ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด… กับการจัดสรรให้คุณ ผู้แสดงอาการเริ่มต้นของภาวะคลุ้มคลั่ง ไปอยู่ใกล้กับตัวอันตรายแบบนั้น เมื่อพิจารณาจากมุมดังกล่าว มีความเป็นไปได้สูงว่า สภาอาวุโสของเมืองเงินพิสุทธิ์จงใจจัดสรรให้คุณอยู่ห้องข้างชายคนนั้น หวังให้คุณสร้างสนทนาและหลอกถามข้อมูลสำคัญ ส่วนพวกเขาก็คอยจับตามองทุกฝีก้าวจากจุดใดสักแห่ง เช่นนั้นแล้ว อาวุโสคนใดช่วยคุณไว้?”
เดอร์ริคพลันอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ภายในใจรู้สึกราวกับมิสเตอร์แฮงแมนได้เห็นและได้ยินทุกสิ่งด้วยตาตัวเอง
จากรายละเอียดเพียงเล็กน้อย เขาสามารถวิเคราะห์สถานการณ์และมองเห็นความจริง!
เดอร์ริคอุทานด้วยสีหน้าชื่นชม
“ถูกต้อง… ไม่ผิดจากคำกล่าวของคุณแม้แต่น้อย ท่านหัวหน้าอาวุโสปรากฏตัวออกมาช่วยผมไว้ด้วยสมบัติวิเศษ เขาจัดการกับผู้คลุ้มคลั่งได้ในพริบตา”
เมื่อเห็นสีหน้าแววตาชื่นชมของเด็กหนุ่ม อัลเจอร์พ่นลมหายใจเย้ยหยัน
“ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจสักนิด ของแบบนี้ ถ้ามีประสบการณ์มากพอก็สามารถคาดเดาได้ไม่ยากทุกคน”
แต่ดิฉันคิดไม่ถึง… ออเดรย์พึมพำหดหู่
ฉันเดาไม่ถูก… ฟอร์สเลื่อนมือขึ้นมาสางผมด้วยความอับอาย
เราไม่ได้คิดไปในทิศทางดังกล่าวเลย… เดอะฟูลในคราบเดอะเวิร์ลถอนหายใจยาว
เมื่อกล่าวจบ อัลเจอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยและซักถามต่อ
“เมื่อครู่คุณบอกว่า หลังจากจิตถูกส่งกลับถึงเมืองเงินพิสุทธิ์ได้ไม่นาน อดีตหัวหน้าทีมสำรวจก็เกิดคลุ้มคลั่งทันทีใช่ไหม? ชายคนนั้นไม่คลุ้มคลั่งมาตลอดสี่สิบสองปี… แล้วทำไมถึงได้คลุ้มคลั่งอย่างกะทันหันหลังจากจิตของคุณกลับไป?”
ขณะกล่าว แฮงแมนแอบชำเลืองเดอะฟูลเล็กน้อยเพื่อสำรวจปฏิกิริยา และเมื่อพบว่าอีกฝ่ายยังคงสุขุม ไม่ออกอาการประหวั่น ความกังวลใจของแฮงแมนจึงแปรเปลี่ยนเป็นคำถามภายใน
ตระกูลอามุนด์ถูกเรียกขานว่าผู้เย้ยเทพ… หรือมันจะสัมผัสถึงชุมนุมทาโรต์และความลับเหนือห้วงมิติสายหมอกเทา แต่ในภายหลังได้ถูกมิสเตอร์ฟูลจัดการไปแล้ว…?
เดอร์ริคพยักหน้ารับ
“ผมเคยคาดเดาไว้สองเหตุผล หนึ่งคือ เป็นเพราะผมเลือกเส้นทางสุริยัน และคุณเคยบอกว่าตระกูลอามุนด์เป็นทายาทของเทพสุริยันบรรพกาล ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลคือ มันอาจสัมผัสได้ว่าผมถูกมิสเตอร์ฟูลดึงเข้าร่วมชุมนุมบนมิติแห่งนี้ ส่งผลให้ตัดสินใจลงมืออย่างปุบปับ… และในตอนหลังได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นอย่างหลัง”
“พิสูจน์อย่างไร?” อัลเจอร์ถามจี้
เป็นไปไม่ได้…! มีใครบางคนสัมผัสถึงการดึงเข้าร่วมชุมนุมของมิสเตอร์ฟูล? มีคนทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ? ช่างทรงพลังอะไรเช่นนี้! สมกับเป็นตระกูลแห่งผู้เย้ยเทพ…
ออเดรย์ประหลาดใจแกมตะลึง
เธออดชำเลืองบุคคลในตำแหน่งประธานใหญ่ไม่ได้ แต่เด็กสาวผ่อนคลายตัวเองลงเมื่อตระหนักว่าอีกฝ่ายไม่แสดงท่าทีตื่นตระหนก ยังคงนั่งนิ่งอย่างไม่แยแสทุกสรรพสิ่งเช่นเคย
คงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย… สำหรับท่านเดอะฟูล สิ่งนี้คงไม่ระคายเคือง…
ออเดรย์โล่งใจและมีความสุข
มีใครบางคนสามารถตระหนักถึงชุมนุมลับแห่งนี้… นึกแล้วเชียว โลกของผู้วิเศษเต็มไปด้วยเส้นทางมากมาย ย่อมต้องมีสักเส้นทางสามารถทำได้… สำหรับตัวเราในปัจจุบัน เรื่องนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง พลังของเรายังน้อยเกินไป เห็นทีต้องรีบพัฒนาโดยเองโดยเร็ว…
ฟอร์สกำลังหวาดหวั่น
เดอร์ริคเล่าเรื่องราวต่อไปอย่างเถรตรง
“หลังจากหัวหน้าอาวุโสจัดการผู้คลุ้มคลั่งสำเร็จ ผมได้เห็นเงาของอามุนด์ครู่หนึ่ง ต้องเป็นมันไม่ผิดแน่… หน้าตาก็ประมาณนี้”
เมื่อได้รับอนุญาตจากมิสเตอร์ฟูล เด็กหนุ่มทำการฉายม่านแสงรูปลักษณ์ของอามุนด์ให้ทุกคนได้รับชม
ชุดคลุมยาวสีดำ หมวกปลายแหลมสีเดียวกัน แว่นคริสตัลขาเดียว หน้าผากกว้าง ใบหน้าผอมเพรียว ดวงตาดำสนิท และเส้นผมสีดำหยักศกเล็กน้อย
“มีใครเคยเห็นมาก่อนไหม?” เดอร์ริคถามอย่างมีความหวัง
แฮงแมน จัสติส เมจิกเชี่ยน และเดอะเวิร์ลพลันส่ายหัวหนักแน่นพร้อมกัน
โดยไม่มัวเสียเวลา เดอร์ริคตัดสินใจเล่าต่อ
“เงาของอามุนด์ถูกท่านหัวหน้าอาวุโสใช้สมบัติวิเศษบางชนิดจัดการ เหลือทิ้งไว้เพียงหนอนสีใสหนึ่งตัว หัวหน้าอาวุโสบอกกับผมว่า นี่เป็นเพียงร่างแยกของอามุนด์เท่านั้น… ท่านยังอธิบายอีกว่า ทางสภาอาวุโสจงใจจัดสรรให้ผมพักอยู่ในห้องติดกันเพื่อหวังสืบหาข้อมูล… หลังจากท่านตรวจสอบตัวผมและยืนยันว่าไม่พบสิ่งใดปรกติ หัวหน้าอาวุโสได้ปล่อยผมกลับบ้านทันที ย้อนกลับไปในตอนนั้น ผมค่อนข้างหวาดกลัวผลข้างเคียงจากพลังของอามุนด์ จึงรีบสวดภาวนาหามิสเตอร์ฟูลทันทีเมื่อกลับถึงห้องนอน”
“หยุดก่อน” อัลเจอร์พูดแทรกพลางขมวดคิ้วย่น “คุณบอกว่า หลังจากเผชิญเหตุการณ์เสี่ยงตาย หัวหน้าอาวุโสได้ปล่อยคุณกลับบ้านทั้งอย่างนั้น? และเมื่อคุณถึงบ้าน ก็ยังสวดภาวนาหามิสเตอร์ฟูลอีก?”
“ถูกต้อง” เดอร์ริคตอบกลับอย่างงุนงง
เราทำอะไรผิดตรงไหน? เหตุใดมิสเตอร์แฮงแมนต้องแสดงสีหน้าเช่นนี้?
ทางด้านออเดรย์เริ่มตระหนักว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้องในพฤติกรรมของเดอะซัน เพียงแต่เธอยังนึกไม่ออกในทันที แค่เชื่อว่าถ้าเป็นตัวเองจะไม่ทำแบบเดียวกันแน่นอน
ฟอร์สพลันเลื่อนมือขึ้นมาปิดหน้า
ประมาทเกินไปแล้ว…! เราเคยมีบทเรียนแบบเดียวกันเมื่อในอดีต และต้องจ่ายมาด้วยการใช้หินบนกำไลข้อมือพร้อมกับได้รับคำสาปจากคืนจันทร์เต็มดวงจวบจนทุกวันนี้…
นักเขียนนิยายขายดีถอนหายใจยาว
อัลเจอร์ชำเลืองเดอะฟูลอีกครั้งและพบว่าอีกฝ่ายยังคงไม่แสดงอาการใด จึงทำตัวผ่อนคล้ายพลางประสานมือเข้าด้วยกันและยกขึ้นมาจ่อปลายจมูก
“หลังจากเผชิญหน้ากับอามุนด์ในระยะประชิด คุณคิดว่าหัวหน้าอาวุโสจะยอมปล่อยคุณเป็นอิสระเพียงเพราะผ่านการตรวจสอบเบื้องต้นจริงหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง อดีตหัวหน้าทีมสำรวจคงไม่ถูกกักตัวมานานกว่าสี่สิบสองปีแน่นอน ตามประสบการณ์ของผม หัวหน้าอาวุโสต้องแอบส่งใครบางคนคอยจับตามองคุณ และคุณได้เปิดเผยความพิเศษของตัวเองออกไปเรียบร้อยแล้ว! ไม่ผิดแน่… เพราะถ้าผู้นำสูงสุดของเมืองเงินพิสุทธิ์เป็นเพียงตาแก่โง่เขลา อารยธรรมของพวกคุณไม่มีทางยืนยาวภายในสภาพแวดล้อมแร้นแค้นได้นานหลายปีแน่นอน!”
นี่มัน…
ดวงตาเด็กหนุ่มพลันเบิกโพลง ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งเลื่อมใสแฮงแมน ว่าเป็นบุคคลมีความรอบรู้และมากประสบการณ์ แถมเรื่องราวยังถูกปะติดปะต่ออย่างมีเหตุผล!
ท…ท่านผู้นำพบความผิดปรกติของเราแล้ว…! เป็นเหตุให้ท่านมีท่าทีตอบสนองเย็นชาหลังจากฟังรายงานของเราสินะ…
ควรทำอย่างไรดี เราต้องทำยังไงดี!
เดอร์ริคเริ่มออกอาการกระวนกระวาย
เมื่อเห็นอีกฝ่ายประหม่า อัลเจอร์พ่นลม
“ไม่ต้องกังวลไป ยังไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายถึงขั้นนั้น ต่อให้หัวหน้าอาวุโสพบความผิดปรกติในตัวคุณจริง แต่เขาก็จะคิดว่าเป็นผลจากการถูกอามุนด์สิงร่าง มิได้เกี่ยวข้องกับชุมนุมทาโรต์แต่อย่างใด คุณยังมีเวลาไตร่ตรองอย่างใจเย็นเพื่อแก้ปัญหานี้”
เดอร์ริคสงบลงเล็กน้อย ก่อนจะเล่าเรื่องราวตามความเป็นจริง
“ย้อนกลับไปในตอนนั้น ผมเคยถูกอามุนด์สิงร่างจริง…”
“อะไรนะ!” อัลเจอร์โพล่งกะทันหัน
มันเกือบลุกพรวดจากเก้าอี้และตั้งท่าเตรียมต่อสู้ เผื่ออาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
ออเดรย์และฟอร์สต่างก็แสดงสีหน้าหวาดหวั่นพร้อมกัน มีเพียงเดอะเวิร์ลผู้เดียว มันทำเพียงตกใจเล็กน้อย
เมื่อเห็นท่าทีตอบสนองของอีกฝ่ายเริ่มไม่ปรกติ เด็กหนุ่มรีบเล่าเสริม
“มิสเตอร์ฟูลสังเกตเห็นอามุนด์ขณะผมเอ่ยพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของท่าน”
เดอร์ริคกล่าวพลางเสกม่านแสงแสดงภาพเดียวกันกับเมื่อครั้งตนถูกอามุนด์สิงร่าง
อามุนด์สวมเครื่องแต่งกายคล้ายเดิม เสื้อคลุมยาวและหมวกปลายแหลมสีดำ แว่นตาคริสตัลขาเดียว เพียงแต่ร่างมายาในคราวนี้กำลังขดตัวรอบเดอร์ริคราวกับงูผี
ภาพตรงหน้าทำให้จัสติส แฮงแมน และเมจิกเชียนพลันหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม
แฮงแมนรีบถามจี้
“แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น?”
“มิสเตอร์ฟูลได้สอนวิธีประกอบพิธีกรรมบางอย่างให้ผม หลังจากนั้น ท่านได้ส่งเทวทูตลงมาขจัดร่างแยกอามุนด์ผ่านพิธีกรรม”
เดอร์ริคเล่าโดยไม่แต่งเติม
เทวทูต…!
แฮงแมนรีบหันไปมองเก้าอี้ประธานด้วยสีหน้าตกตะลึงสุดขีด
ทันใดนั้น มันรีบก้มศีรษะลงต่ำเมื่อตระหนักว่าพฤติกรรมของตนไร้มารยาทและขาดความเคารพ
เทวทูต…?
ใบหน้าออเดรย์พลันเหม่อลอยราวกับจิตหลุดออกจากร่าง
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น