Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1141-1144

 ราชันเร้นลับ 1141 : ฤดูหนาว

 

ทะเลโซเนีย เกาะปาซู มหาวิหารห้วงลึกแห่งพายุ


ที่นี่คือสำนักงานใหญ่ของโบสถ์วายุสลาตัน มหาวิหารในหมู่วิหาร ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกทวยเทพอวยพร


ภาพจิตรกรรมฝาผนังของที่นี่วาดด้วยสีฟ้า สีเงิน สีคราม และสีทองเป็นหลัก อาจดูหยาบ แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกและบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ เมื่อผนวกกับหลังคาโดมที่สูงจากพื้นกว่าหนึ่งร้อยเมตร เพียงเข้ามาด้านใน ผู้คนต่างสัมผัสได้ถึงความต่ำต้อยในตัวเอง เกิดความรู้สึกอยากก้มศีรษะที่ยากจะหักห้าม


อัลเจอร์·วิลสันผ่านพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นผู้ขับขานสมุทร ‘อย่างเป็นทางการ’ แล้ว มันและสมาชิกในกลุ่มเดียวกันถูกพาตัวมาที่นี่เพื่อรอฟังคำสอนจากมหาสังฆราช คาร์ดที่สอง


อย่างที่คิด การดื่มโอสถเกินขนาดนั้นง่ายต่อการทำให้เกิดภาวะคลุ้มคลั่ง แม้เราจะย่อยของเก่าสมบูรณ์แล้ว แต่ของใหม่ก็แทบจะทำให้จิตใจกลายเป็นบ้า…ไว้ออกจากเกาะปาซูเมื่อไร เราจะยืมไม้กางเขนเจิดจรัสจากเดอะซันน้อย…ไม่เพียงจะแลกเปลี่ยนเป็นเงิน แต่ยังสามารถเก็บไว้ใช้สำหรับแอบปลุกปั้นผู้วิเศษที่ภักดีต่อเรา…บนผิวสะท้อนของกระเบื้องสีฟ้าบนพื้น อัลเจอร์พบว่าผมของตนมีสีเข้มขึ้น และหนาขึ้นเล็กน้อย


ทันใดนั้น เสียงเครื่องดนตรีที่ฟังดูคล้ายฟ้าร้องดังกึกก้อง ท่วมท้นอยู่ในหัวใจของผู้วิเศษทุกคน สร้างความตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก


มหาสังฆราชคาร์ดที่สอง ปรากฏกายพร้อมกับคทา เดินขึ้นเวทีพื้นยกสูงต่อหน้าฝูงชน กล่าวด้วยเสียงแผ่ว


“ขอแสดงความยินดีกับทุกท่าน พวกคุณเข้าใกล้พระองค์ไปอีกขั้นแล้ว”


มันแต่งกายด้วยมงกุฎประดับไพลิน มรกต และอัญมณีชนิดอื่น เสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ ปักลวดลายสายฟ้า พายุ และมหาสมุทรด้วยด้ายสีทองสลับเงิน บรรยากาศรอบตัวลุ่มลึกและยิ่งใหญ่ ราวกับมหาพายุกำลังก่อตัว มอบความรู้สึกสะกดข่ม


เทวทูตเดินดินตนนี้คือผู้เป็นปากเสียงแทนองค์วายุสลาตัน รูปลักษณ์คล้ายชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบ แต่ทุกคนทราบดี พระเจ้าคาร์ดที่สองปกครองสภาคาร์ดินัลมานานกว่าร้อยปีแล้ว


ในฐานะข้ารับใช้แห่งทวยเทพ การมีอายุยืนยาวเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในสายตาสาวก ไม่มีสิ่งใดต้องแตกตื่น ถือเป็นเหตุการณ์ปรกติอย่างมาก


ได้ยินถ้อยแถลงของมหาสังฆราช อัลเจอร์ไม่มัวคิดมาก รีบทำตามผู้ขับขานสมุทรคนอื่น นำกำปั้นขวากระแทกอกซ้าย จากนั้นก็ตะโกน


“พายุจงสถิตกับเบื้องบน!”


สิบห้านาทีถัดมา พวกมันฟังคำเทศนาจากมหาสังฆราชคาร์ดที่สองด้วยความสำรวม


หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนทั้งหมด อัลเจอร์ได้รับภารกิจจากอาวุโสใหญ่ สั่งให้ไปซุ่มอยู่ในน่านน้ำนอกเกาะโซเนีย มองหาโอกาสลอบโจมตีท่าเรือ กองเรือเสบียง และเรือสินค้าของฟุซัค



กรุงเบ็คลันด์ เขตราชินี ภายในคฤหาสน์สุดหรูของตระกูลฮอลล์


หลังจากเสื้อคลุมสีน้ำเงินเสร็จ ขณะออเดรย์เตรียมพาโกลเดนรีทรีเวอร์ ซูซี่ สาวใช้แอนนี่ และคนที่เหลือ เดินทางไปยัง ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็น’ บนถนนเฟลป์ เธอเห็นบิดาของตน เอิร์ลฮอลล์ เดินเข้ามาจากประตูหลัก


“อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านพ่อ เมื่อคืนไม่ได้กลับบ้านหรือ” ออเดรย์สำรวจหัวจรดเท้าด้วยความสงสัย


“รู้ได้เลยหรือ?” เอิร์ลฮอลล์สัมผัสหนวดงามและถามกลับด้วยรอยยิ้ม


เมื่อเห็นว่าบิดากำลังอารมณ์ดี ออเดรย์กะพริบตาสีเขียวและกล่าว


“เสื้อนอกของพ่อมีกลิ่นบุหรี่ติดอยู่ แปลว่าไม่ได้ถอนมานาน และเสื้อผ้าชุดนี้คือชุดสำหรับออกไปข้างนอก”


นอกจากสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเหล่านี้ ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากที่ช่วยให้สรุปไปในทิศทางเดียวกัน แต่ออเดรย์เลือกจะไม่พูดออกไป


เอิร์ลฮอลล์ถอดเสื้อนอกส่งให้บุรุษรับใช้ ตามด้วยหัวเราะ


“ถูกต้อง…ช่างสังเกตมาก ดูเหมือนว่างานที่กองทุนจะช่วยพัฒนาลูกไม่น้อย…เมื่อคืนพ่ออยู่ที่บ้านพักของเทศมนตรีทั้งคืนเพื่อรอข่าว”


กล่าวจบ เอิร์ลฮอลล์ถอนหายใจ


“กองกำลังแนวหน้าที่แนวรบแคว้นเหมันต์และแคว้นเลียบทะเล ประสบความสำเร็จในการขับไล่กองทัพฟุซัคที่น่ารังเกียจกลับไปอีกครั้ง เมื่อฤดูหนาวที่รุนแรงย่างกราย ในที่สุดพวกเราก็มีเวลาได้พักหายใจ”


ออเดรย์กะพริบตา ตอบสนองด้วยความประหลาดใจอย่างเหมาะสม


เอิร์ลฮอลล์ยิ้ม


“พ่อเข้าใจความฉงนของเจ้า…สิ่งที่หนังสือพิมพ์บอก เป็นเพียงข้อมูลที่เราต้องการให้ประชาชนทราบ…สถานการณ์ของแนวรบบริเวณเทือกเขาอมานด้าและตามหัวเมืองใหญ่ชายฝั่งทะเลไม่ได้สวยหรูอย่างที่เข้าใจ ในการโจมตีระลอกแรก กองเรือและทหารประสบความสูญเสียใหญ่หลวง แต่เพื่อไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนก พวกเราต้องประกาศชัยชนะและกระตุ้นให้อู่ต่อเรือกับคลังแสงทำงานอย่างแข็งขัน…ในช่วงเวลาดังกล่าว แนวป้องกันทั้งสองแห่งเกือบแตกพ่ายหลายครั้ง จุดยุทธศาสตร์สำคัญถูกยึดครองสลับกับยึดคืนกลับมาสำเร็จ เหมือนเลื่อยที่ขยับเข้าออก แต่สิ่งที่ถูกหั่นกลับเป็นชีวิตมนุษย์ในสงคราม…โชคดีที่พวกเรายันไว้ได้สำเร็จ ฤดูหนาวจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของสงคราม”


อันที่จริง หนูทราบอยู่แล้ว…จำนวนผู้เสียชีวิตสูญหายและบาดเจ็บอาจถูกปกปิดได้ แต่ปัญหาที่รั่วไหลออกมาย่อมมิอาจปิดบังได้มิดชิด…นอกจากนั้นฤดูหนาวอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป จอมอาคมฟ้าดินของฟุซัคเก่งกาจในการใช้ประโยชน์จากสภาพอากาศ…ออเดรย์ที่เกิดความเศร้า ข่มอารมณ์พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ดีจังเลย…หวังว่าความสงบสุขจะกลับมาเยือนอีกครั้งโดยเร็ว”


เอิร์ลฮอลล์ชะงักเล็กน้อย


“ฝ่าบาทเตรียมกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าประชาชนทั่วประเทศในวันเสาร์นี้ พระองค์จะประกาศความได้เปรียบ…เมื่อเวลานั้นมาถึง ประชาชนะจะถูกเกณฑ์มารวมตัวกันตามจัตุรัสของเมืองใหญ่และหมู่บ้าน เพื่อให้ทุกคนได้ยินเสียงของพระองค์อย่างทั่วถึงด้วยเทคโนโลยีล่าสุด”


เทคโนโลยีล่าสุด…เกณฑ์คนมารวมตัวกันตามจัตุรัสเพื่อฟังสุนทรพจน์ของกษัตริย์…ออเดรย์นึกถึงคำเตือนของเดอะเวิร์ล ตัดสินใจแจ้งข่าวนี้ให้อีกฝ่ายทราบ



เกณฑ์คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่จัตุรัสเพื่อฟังสุนทรพจน์…นี่คือการสังเวยในพิธีกรรม? จอร์จที่สามกำลังจะประกอบพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืด? ไคลน์ที่ทราบข่าวจากมิสจัสติส กลับมายังโลกความจริงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


มันเดินวนเวียนในห้องเช่า รีบหยิบปากกาและกระดาษออกมาเขียน


“ผมรวบรวมเลือดของผู้วิเศษได้ทั้งสิ้นยี่สิบสองเส้นทาง ยังขาดนักลอบสังหารกับอาชญากร…จอร์จที่สามเตรียมกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าประชาชนจำนวนมากในวันเสาร์นี้ คุณคงเข้าใจว่าผมหมายถึงสิ่งใด…นอกจากนั้น ผมอยากทราบพิธีกรรมติดต่อกับมิสเตอร์ประตู”


หลังจากพับกระดาษจดหมายและเรียกไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ไปส่ง ไคลน์หายใจเข้าออกเชื่องช้า เค้นสมองคิดอย่างเป็นระเบียบ


เลือดของแม่มดไม่น่าจะมีปัญหา ทริสซี่ดูเหมือนจะต้องการยับยั้งแผนการของจอร์จที่สาม…


สำหรับราชินีเงื่อนงำ เราสามารถเปิดเผยเรื่องที่เรามีวิธีลอบเข้าไปในสุสานลับ…แม้เป้าหมายของเธอจะเป็นการคืนชีพให้บิดา และไม่เต็มใจจะเป็นศัตรูกับจอร์จที่สามโดยตรง แต่หากจอร์จที่สามเถลิงบัลลังก์เทพสำรวจ มีโอกาสสูงที่จักรพรรดิจะคืนชีพกลับมาไม่ได้…


สำหรับเลือดปิศาจ คงต้องรองให้เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์กลับมาก่อน…ทีมล่าที่เขานำด้วยตัวเองออกเดินทางไปตั้งแต่สิบวันก่อน อีกไม่นานก็คงกลับถึงเมือง…ในทางทฤษฎี ยังเหลือเวลาอีกพอสมควร ไม่น่าจะมีปัญหา…แต่ถ้าไม่ทันการ เราจะลองใช้วิธีสำรองที่คิดเผื่อไว้สองทาง วิธีแรกคือการแทนที่เลือดด้วยออร่าของผู้ละเมอ หรือไม่ก็อัญเชิญปีศาจที่เราเคยเผชิญหน้าออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์และเจาะเลือดพวกมัน…



ย่านสะพานเบ็คลันด์ ภายในห้องที่ดูธรรมดา


ทริสซี่เจ้าของผมสีดำขลับมันวาว เอื้อมมือไปหยิบจดหมายจากกระจกเงา


เมื่อเปิดอ่าน คิ้วของเธอค่อย ๆ ถูกขมวดชนกัน สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยน


ในที่สุด โอกาสนั้นกำลังจะมาถึง…สีหน้าทริสซี่แปรเปลี่ยนอีกหลายหน ทั้งลังเล สับสน หวาดกลัว และไตร่ตรอง


ในที่สุด เธอยิ้มและพึมพำด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย


“เราเคยฆ่าคนไปมากมาย ก่อโศกนาฏกรรมก็ไม่น้อย…ถึงเราจะตายในศึกนี้ แต่อย่างน้อยก็ได้ชดเชยอดีต…”


หลังจากเงียบไปหลายวินาที ทริสซี่ดึงหลอดแก้วออกจากกระเป๋าของเดรสสีดำ


นี่ไม่ใช่เลือดของเธอ แต่เป็นของแม่มดอีกคนหนึ่ง ชื่อเก่าคือเชอร์แมน ในภายหลังเปลี่ยนเป็นเชอร์มาเน่


ในฐานะแม่มดมากประสบการณ์ ระหว่างที่กำลังถ่ายทอดวิชา ทริสซี่หาโอกาสเจาะเลือดของเชอร์มาเน่มาเก็บไว้ เลือดคือพื้นฐานของคำสาป อาจไม่ใช่สิ่งที่มีประโยชน์ในยามปรกติ แต่ก็ช่วยป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ดี


หลังจากเชอร์แมนเสียชีวิต ทริสซี่ยังไม่ทิ้งเลือดไป เพราะแม่มดมักต้องการวัตถุดิบประเภทนี้ในหลายโอกาส เช่นตอนนี้



เมืองเงินพิสุทธิ์ ภายในบ้านหลังหนึ่ง


ทันทีที่ความถี่สายฟ้าเพิ่มขึ้น เดอร์ริคพยุงตัวลุกจากเตียง จุดไฟและปิ้งขนมปังเห็ด


ขนมปังชนิดนี้มีเนื้อละเอียดและหอมอร่อยกว่าหญ้าผิวดำมาก เดอร์ริคชอบมันเป็นพิเศษ และรอคอยที่จะกินวันละสามมื้อ


ปัญหาเดียวก็คือ ปริมาณการเพาะเห็ดในปัจจุบัน ยังนำมาผลิตเป็นขนมปังได้ไม่มากพอ


เนื่องด้วยจำนวนซากสัตว์ประหลาดที่มีจำกัด ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์จึงเบิกขนมปังเห็ดได้เพียงสัปดาห์ละครั้ง ต่อครั้งจะกินได้สี่ถึงห้ามื้อ


หลังจากความพยายามอย่างหนักตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา พื้นที่รอบเมืองเงินพิสุทธิ์กลายเป็นเขตปลอดภัยและมีสัตว์ประหลาดน้อยลงมาก


เดอร์ริคได้ยินมาว่า ในระยะหลังมีใครบางคนจงใจทำให้ตัวเองตกอยู่ในความมืด เพื่อหวังล่าสัตว์ประหลาดและนำศพไปเพาะเห็ด


จากนั้น บุคคลดังกล่าวก็ถูกกิน


เห็ดเหล่านั้นทำให้ชาวเมืองมองโลกในแง่ดีเกินไป…ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก…เดอร์ริคยังคงจำจดความกังวลที่เจ้าเมืองเคยเปรยไว้ก่อนออกเดินทาง เด็กหนุ่มส่ายหน้าแผ่วเบา เดินไปหยิบขวดโหลที่เก็บมาจากซากปรักหักพังของเมืองอื่น จากนั้นก็เทเห็ดนมสีขาวลงไป


ว่ากันตามตรง มันไม่ชอบนมสักเท่าไร แต่มิสจัสติสเคยบรรยายไว้ว่า นมมีสรรพคุณช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและตัวสูง มันจึงยอมกัดฟันดื่ม


ในฐานะชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ เดอร์ริคทราบดี การไม่ได้เลือกเส้นทางคนยักษ์เหมือนคนอื่น จะส่งผลให้ร่างกายไม่พัฒนาไปมากนักในอนาคต แต่มันก็แอบหวังว่าจะไม่ถูกเพื่อนทิ้งห่าง การมีอยู่ของนมคือแสงสว่างที่ช่วยเติมเต็มความปรารถนานั้น


อึก อึก อึก เดอร์ริคดื่มนมประจำวันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


ขณะเตรียมไปรับขนมปัง มันสัมผัสได้ถึงความผิดปรกติ จึงมองออกไปนอกหน้าต่าง


คนผู้หนึ่งงอกออกมาจากเงาหน้าประตูและกล่าว


“เดอร์ริค ท่านเจ้าเมืองบอกให้ผมนำเลือดขวดนี้มาส่ง”


เจ้าเมืองกลับมาแล้ว? เดอร์ริคลุกขึ้นยืนและรีบพูด


“ขอบคุณครับ”


ทันทีที่สิ้นเสียง เด็กหนุ่มพบว่าเงาดำกำลังงอกออกจากช่องวางตรงกรอบประตู ภายในนั้นมีขวดโลหะยื่นออกมา


เดอร์ริคทราบได้ทันที เลือดขวดนี้เป็นของปีศาจที่มิสเตอร์เวิร์ลต้องการ

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1142 : เตือนภัย

 

เมื่อแกะเทวทูตกระดาษออก ไคลน์เทขวดที่บรรจุเลือดปีศาจลงในไหเคลือบเงา จากนั้นก็คนกวนด้วยแท่งแก้วที่เสกขึ้นมา


ฟู่ว…ในที่สุดก็รวบรวมมาได้ครบแล้ว…ชายหนุ่มจ้องมองสองสามวินาทีก่อนจะถอนหายใจยาว


ด้วยเหตุนี้ มันจึงมีเวลาเหลือพอสมควรก่อนที่จอร์จที่สามจะประกอบพิธีกรรม


สำหรับเลือดของนักลอบสังหารและปีศาจ ไคลน์ไม่กังวลว่ามันจะตัดการเชื่อมต่อกับเจ้าของหรือยัง เพราะหลังจากการทำนายถาม ชายหนุ่มยืนยันได้ว่าเจ้าของเลือดเสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่


มันลองทำนายถึงที่มาของเลือดนักลอบสังหารเพื่อดูว่าเป็นของทริสซี่หรือไม่ ถ้าหากใช่ ไคลน์จะกันไว้บางส่วนสำหรับป้ายลงบนปก ‘การเดินทางของกรอซาย’ ในภายหลัง


ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำให้ชายหนุ่มผิดหวัง แต่ก็ไม่ประหลาดใจสักเท่าไร เพราะทริสซี่มันรู้จักเป็นคนรอบคอบเช่นนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว


เส้นทางแม่มดมีลำดับ ‘นักกระตุ้น’ ที่ต้องใช้สติปัญญาสูง…อา…โอสถนักกระตุ้นและนักวางแผนคงมีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างสติปัญญา ไม่อย่างนั้นอนาคตของเดนิสต้องลำบากมากแน่…ขณะครุ่นคิด ไคลน์โยนไหเคลือบเงาเข้าไปในกองขยะ


มันส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริงและตรวจสอบรายละเอียดพิธีกรรมที่ทริสซี่เขียนให้


พิธีกรรมสำหรับสื่อสารกับมิสเตอร์ประตูในคืนจันทร์เต็มดวง


“อัญมณีเก้าชนิด…ไม่ฟุ่มเฟือยไปหน่อยหรือ?” ไคลน์ขมวดคิ้วพึมพำ


ในฐานะเศรษฐีที่มีเงินสดเกือบสามหมื่นปอนด์หลังจากบริจาคไปแล้วบางส่วน (ธนบัตรหนึ่งหมื่นสี่พันปอนด์ ทองคำแท่งหนึ่งหมื่นห้าพันปอนด์ เหรียญทองสามสิบห้าทองปอนด์ และเศษเหรียญอีกจำนวนหนึ่ง) ชายหนุ่มมีเงินเหลือเฟือสำหรับซื้ออัญมณี เพียงแค่คิดว่ามันสิ้นเปลืองเกินไป


หลังจากไตร่ตรองสิบวินาที ไคลน์ตัดสินใจจะอัญเชิญอัญมณีออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ เพราะแต่ไหนแต่ไร มันไม่ได้คิดจะทำให้มิสเตอร์ประตูพึงพอใจอยู่แล้ว เพียงหวังว่าหลังจากพิธีกรรมจบลงและอัญมณีหายไป ตนจะไม่ถูกมิสเตอร์ประตูเล่นงาน


แต่ถ้าใช้การไม่ได้ เราคงไม่มีทางเลือกนอกจากซื้อจากร้านขายเครื่องประดับ…ไคลน์ลุกขึ้น ลงมือประกอบพิธีกรรมในห้องด้านนอก


หลังจากเตรียมการเบื้องต้นเสร็จ ชายหนุ่มเหยียดมือขวาออกพยายามคว้าอากาศด้านหน้าอย่างตั้งใจ


มันหยิบกุญแจทองเหลืองที่ดูธรรมดาออกจากความว่างเปล่า


นี่คือกุญแจที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในพิธีกรรมติดต่อกับมิสเตอร์ประตู มาสเตอร์คีย์


ทันทีหลังจากนั้น ไคลน์เหยียดมือออกไปคว้าอากาศด้านหน้าอีกครั้ง ลากบางสิ่งออกจากความว่างเปล่า


วัตถุชิ้นนี้มีรูปทรงพระจันทร์เต็มดวง รายล้อมด้วยอัญมณีสีแดงเข้ม กึ่งกลางเป็นสัญลักษณ์ดวงจันทร์และลวดลายลึกลับ เปล่งแสงอบอุ่นออกมาตลอดเวลา


มงกุฎจันทร์ชาด!


มุงกฎจันทร์ชาดที่ปัจจุบันเป็นของชารอน!


มีคุณสมบัติในการสร้างผลลัพธ์แบบเดียวกับพระจันทร์เต็มดวง ช่วยให้ผู้ที่ถือมาสเตอร์คีย์ได้ยินเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตู


หากสิ่งที่ไคลน์ต้องการมีเพียงฟังเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตู การเตรียมตัวแค่นี้ถือว่าเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องประกอบพิธีกรรม อย่างไรก็ตามจุดประสงค์หลักของชายหนุ่มคือการได้พูดคุยกับราชาเทวทูต ดังนั้นพิธีกรรมคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้


หลังจากวางมาสเตอร์คีย์และมงกุฎจันทร์ชาดไว้บนแท่นบูชา ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก ยื่นมือขวาออกไปข้างหน้า ดึงบางสิ่งออกจากอากาศ


คราวนี้มันหยิบสร้อยคอฝังเพชรพลอยที่ถูกดัดให้เป็นรูปทรงหัวใจ


อา…ประสบการณ์ของดอน ดันเตสก็พอจะมีประโยชน์บ้างเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นเราคงไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับสตรีชนชั้นสูงและเห็นเครื่องประดับหรูหรามากมายของพวกเธอ แถมยังดึงเส้นที่ต้องการออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์อย่างแม่นยำ…สร้อยเส้นนี้คงสภาพได้สิบห้านาที…มีเวลาเหลือเฟือ…ไคลน์ที่บรรลุเป้าหมาย ถอนหายใจอย่างอิ่มเอม


จากนั้น มันเหยียดมือขวาออกไปอีกครั้ง เตรียมรวบรวมอัญมณีให้ตรงตามเงื่อนไขจากสตรีที่เคยเต้นรำด้วย


ไม่กี่วินาทีถัดมา มือของมันชะงักกลางอากาศ สีหน้าพลันแข็งทื่อ


ลืมไปเลยว่าดึงภาพฉายออกมาได้พร้อมกันสูงสุดแค่สามภาพ…ทำยังไงดี? นำสร้อยเส้นปัจจุบันไปคืนและเปลี่ยนไปเป็นเส้นที่มีอัญมณีครบทั้งเก้าชนิด? แล้วต้องทำยังไงถึงจะนึกออกว่าเคยพบสร้อยแบบนั้นจากใคร…ทำนายด้วยความฝัน? ใช่แล้ว! โอสถนักทำนายช่วยสนับสนุนปราชญ์โบราณได้เป็นอย่างดี…เมื่อรวมกันจะกลายเป็นสุดยอดพลัง…ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์มองหาเก้าอี้เพื่อนั่งลงและเตรียมทำนาย แต่ทันใดนั้นก็ต้องขมวดคิ้ว


มันตระหนักถึงความผิดปรกติ


ภายใต้สถานการณ์ปรกติ เป็นไปไม่ได้ที่ตนจะลืมข้อจำกัดซึ่งระบุว่า สามารถอัญเชิญภาพฉายทางประวัติศาสตร์ได้สูงสุดแค่สามภาพในเวลาเดียวกัน


เป็นการเตือนจากสัมผัสวิญญาณ? ไคลน์ชำเลืองมาสเตอร์คีย์และมงกุฎจันทร์ชาดบนแท่นบูชา โบกมือแผ่วเบาเพื่อทำให้พวกมันเลือนหายไป


จากนั้น มันเดินถอยหลังสี่ก้าว ท่องพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์และส่งตัวเองมายังเก้าอี้เดอะฟูลบนสายหมอก


เมื่อกระดาษและปากกาถูกเสกขึ้น ไคลน์เขียนข้อความ


“การสนทนากับมิสเตอร์ประตูตอนนี้คือสิ่งที่อันตราย”


การทำนายจะพุ่งเป้าไปยังมิสเตอร์ประตูโดยตรง หมายความว่าไคลน์อาจต้องเผชิญกับการตอบโต้ที่รุนแรง แต่ในปัจจุบัน มันมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับปราสาทต้นกำเนิดและระดมพลังสายหมอกได้มากขึ้น ไคลน์เชื่อว่าตนรับมือไหว และเหนือสิ่งอื่นใด ต้องไม่ลืมว่ามิสเตอร์ประตูกำลังอยู่ในสถานะถูกผนึกและเนรเทศ


ชายหนุ่มคลายลูกตุ้มที่ข้อมือซ้ายและจับมันด้วยมือซ้ายและปล่อยให้ปลายจี้จ่อกระดาษจนเกือบจะสัมผัส


มันหลับตาลง พึมพำประโยคทำนายเจ็ดครั้งด้วยสติเคร่งขรึม


ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณของไคลน์ถูกกระตุ้นอย่างน่าประหลาด


มันรีบลืมตาและพบว่าจี้บุษราคัมแหลกละเอียดกลายเป็นเศษผง


หลังจากเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทต้นกำเนิด การทำนายบางชนิดจะถูกยับยั้งเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ?


มันทำไปเพื่อความปลอดภัยของเรา? หรือเป็นเพราะช่องว่างระหว่างเรากับมิสเตอร์ประตูลดลงจนถึงระดับหนึ่งแล้ว? แน่นอนว่าหมายถึงมิสเตอร์ประตูในสภาพถูกผนึก…หรือเกิดจากเหตุผลทั้งสองข้อประกอบกัน?


ผลลัพธ์เช่นนี้หมายความว่า การสนทนากับมิสเตอร์ประตูในปัจจุบันมีอันตรายที่เหนือจินตนาการรออยู่…ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? ไคลน์ขมวดคิ้วสับสน มิอาจคาดเดาได้อย่างสมเหตุสมผล


ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักสูง ส่ายหน้าและถอนหายใจ ยกเลิกแผนการเดิม


คงต้องเตรียมตัวในรูปแบบอื่นแทน…เพียงไคลน์วางมือซ้ายลง จี้บุษราคัมก็กลับเป็นปรกติทันที เพราะมันเป็นเพียงภาพฉายบนมิติหมอก


เนื่องจากพลังทำนายบนมิติหมอกมีการเปลี่ยนแปลง ไคลน์ลองทบทวนสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และบางที การทำนายถึงกลุ่มก้อนหนอนแมลงบนยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิสในคราวนี้ อาจไม่อันตรายเหมือนกับแต่ก่อน


อีกฝ่ายน่าจะเป็นเทวทูตลำดับหนึ่ง แห่งตระกูลอันทีโกนัส และอาจเป็น ‘ฮาล์ฟฟูล’ ที่เลียวนาร์ดพูดถึง…ถ้าเรา ‘จ้องมอง’ ได้สักพัก บางทีอาจถอดรหัสสูตรโอสถลำดับสอง ‘ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์’ ได้จากลวดลายศักดิ์สิทธิ์บนตัวหนอน…แต่เรามีโอกาสแค่ครั้งเดียว ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหากเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดบ้าคลั่งที่แสนอันตราย…ไว้ย่อยโอสถปราชญ์โบราณเสร็จเมื่อไรค่อยทดสอบก็แล้วกัน…ไคลน์ลูบหน้าผาก ร่างของมันเลือนหายไปจากมิติเหนือสายหมอก


กลับถึงโลกความจริง ชายหนุ่มไม่รีบร้อนเก็บกวาดแท่นบูชา แต่นั่งบนเก้าอี้และไตร่ตรองอย่างจริงจังเกี่ยวกับการเตรียมตัวในแง่มุมอื่น


การเตรียมตัวแบบทั่วไปจะประกอบด้วยนัดพบกับราชินีเงื่อนงำเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับรายละเอียดของแผนมอบของขวัญเพิ่มเติมให้กับวิล อัสติน ไรเน็ตต์ ไทน์เคอร์ และพาลีส โซโรอาสเตอร์สวดวิงวอนถึงเทพธิดารัตติกาลเพื่อเพิ่มโอกาสในการอัญเชิญภาพฉายของหัวหน้านักบวชแห่งรัตติกาล อาเรียน่า ออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ทำความเคยชินกับพลังของปราชญ์โบราณ…


สำหรับการเตรียมตัวที่เหนือกว่า ‘ทั่วไป’ นั่นขึ้นอยู่กับจินตนาการของไคลน์


ครุ่นคิดสักพัก สีหน้าไคลน์ทวีความเคร่งขรึม ขมวดคิ้วและเหยียดมือขวาไปในอากาศ


คราวนี้มันไม่ได้ลากอะไรออกมา


ไคลน์ลองคว้าอีกสิบครั้ง แต่ความพยายามทั้งหมดก็ล้มเหลว ส่งผลให้ไคลน์จำใจยอมรับสภาพ


ลำพังพลังของเราคนเดียว ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้สำเร็จ!


มันหยิบนกกระเรียนกระดาษออกจากกระเป๋าสตางค์ เขียนด้วยดินสอบนผิวกระดาษ


“ผมต้องการความโชคดี จะตอบแทนด้วยไอศกรีมจากภัตตาคารเซอเรนโซ่”


พับนกกระเรียนเสร็จ ไคลน์เข้าไปในห้องนอน ทิ้งตัวลงบนเตียงและบังคับหลับด้วยการเข้าฌาน


ท่ามกลางความฝันสีเทา มันเห็นงูสีเงินตัวเล็กเรียงเป็นคำพูด:


“ห้า!”


“จัดไป” ไคลน์ยิ้มและรับปาก


ถัดมามันลืมตาตื่น


หลังจากพยุงตัวนั่ง ชายหนุ่มยื่นมือขวาจับอากาศอีกสิบครั้งติดต่อกัน


แต่ก็ยังล้มเหลวทั้งหมด!


แค่โชคดียังไม่เพียงพอ…ยากฉิบ…ไคลน์นึกอยากจะใช้นิ้วเคาะที่วางแขนเก้าอี้ แต่มันระงับความคิดไว้ได้ทัน นิสัยดังกล่าวเป็นของเดอะฟูลเหนือสายหมอก ไม่เหมาะสมที่จะนำลงมาบนโลกความจริง


หลังจากเดินวนเวียนไตร่ตรองเป็นเวลานาน นึกทบทวนความสัมพันธ์ของตัวเองกับสิ่งต่าง ๆ ไคลน์ตัดสินเข้าสู่มิติหมอกและนำบางสิ่งกลับมายังโลกแห่งความจริง จากนั้นเดินออกจากห้องนอนมายังแท่นบูชาด้านนอก


สิ่งนั้นคือหนังสือโบราณที่ปกทำจากกระดาษหนังสีน้ำตาลเข้ม


‘การเดินทางของกรอซาย’


เมื่อหยิบบันทึกการเดินทางขึ้นมาถือ ไคลน์สูดลมหายใจยาว หลับตาลงและสัมผัสกับบางสิ่ง


จากนั้น มันเหยียดมือขวาออกไปคว้าอากาศ


ล้มเหลว


ล้มเหลว


ยังคงล้มเหลว


หลังจากล้มเหลวติดต่อกันห้าครั้ง การเคลื่อนไหวของไคลน์ชะงักไปเล็กน้อย คล้ายกับเตรียมหยิบถ่านออกจากเตาผิงที่กำลังลุกโชน


ทันใดนั้น กล้ามเนื้อแขนของมันกระตุกแผ่วเบา ดึงบางสิ่งออกมาอย่างระมัดระวัง


มือขวาของชายหนุ่มบรรจงลากปากกาขนนกที่ดูโบราณและธรรมดาออกมา


สิ่งนี้ถูกดึงออกจากเหตุการณ์ในจัตุรัสคืนชีพแห่งเมืองคูคัว แคว้นเหนือของไบลัมตะวันตก


เป็นปากกาขนนกที่เคยตกอยู่ข้างศพอินซ์ แซงวิลล์


ศูนย์ ศูนย์แปด ก่อนที่จะโดนพี่ชายอามุนด์หยิบไป

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1143 : การพัฒนาที่สมเหตุ...

 

คงสภาพได้แค่หนึ่งนาที…ไม่น้อยไปหน่อยหรือ? ความคิดไคลน์สว่างวาบ โดยไม่มัวรีรอ มันเดินสองก้าวมาที่โต๊ะอ่านหนังสือ


ชายหนุ่มวาง ‘การเดินทางของกรอซาย’ ลงและนำศูนย์ ศูนย์แปด เขียนลงบนกระดาษขาว


“จอร์จที่สามจงใจใช้สุนทรพจน์เป็นเหยื่อล่อศัตรูที่ต้องการขัดขวางพิธีกรรม แต่หากทุกสิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่น มันจะถือโอกาสนี้ดื่มโอสถพร้อมกับเผยไพ่ตายในการเถลิงบัลลังก์เทพของตน ถึงแม้อนาคตจะไม่แน่นอนและมากด้วยตัวแปร ส่งผลให้พิธีกรรมในคราวนี้ยังไม่ปลอดภัยเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การเตรียมตัวในปัจจุบันก็สมบูรณ์แบบและเหมาะสมเพียงพอแล้ว…”


“ทุกสิ่งพัฒนาไปอย่างสมเหตุสมผล”


หลังจากเขียนประโยคสุดท้าย ไคลน์เตรียมอ่านทวนเนื้อหาเพื่อตรวจสอบข้อผิดพลาด แต่ปากกาขนนกสีเข้มในมือกลับสลายไปอย่างเงียบเชียบประหนึ่งไม่เคยมีตัวตนมาก่อน


และดูเหมือนว่าเนื้อหาสั้น ๆ ที่เขียนลงไปไม่กี่ประโยค จะดูดกลืนพลังงานของไคลน์ไปจนเกือบหมด ศีรษะชายหนุ่มวิงเวียนจนซวนเซสองสามก้าวและนั่งลงบนเก้าอี้


ไม่สมเหตุสมผลเลย…ทำไมอินซ์ แซงวิลล์ถึงเขียนได้โดยไม่เหนื่อย…คงเป็นเพราะเราฝืนใช้ศูนย์ ศูนย์แปด เขียนเรื่องราวโดยที่ไม่ยอมปล่อยให้มันเขียนเอง พลังวิญญาณจึงถูกดูดกลืนจากร่างกายเราโดยตรง…แต่กับอินซ์ แซงวิลล์ หมอนั่นคงเจรจาขอความร่วมมือ ส่งผลให้ไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณของตัวเองทั้งหมด…ไคลน์หลับตาสนิท เข้าฌานสักพักจนอาการเริ่มดีขึ้น


ภายใต้สถานการณ์ปรกติ ไคลน์ที่ไม่เคยสัมผัสกับศูนย์ ศูนย์แปด มาก่อน และเคยเห็นกับตาแค่ครั้งเดียว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะอัญเชิญสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ชิ้นนี้ออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ แต่เมื่อครู่ มันได้รับพรโชคดีจากอสรพิษแห่งชะตา แถมยังมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ซึ่งถูกทิ้งไว้โดยมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล ด้านในหนังสือเล่มนี้มีเมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิด ซ่อนอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างมันกับศูนย์ ศูนย์แปดย่อมไม่ธรรมดาและหากไม่ถูกก่อกวนด้วยพลังระดับสูง พวกมันคงได้กลับมาอยู่ด้วยกันไปนานแล้ว


ในตอนแรกไคลน์ไม่มั่นใจว่าความสัมพันธ์เชิงโชคชะตาผ่านสื่อกลางเช่นนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จหรือไม่ มันแค่พยายามอย่างสุดความสามารถและลองทำทุกวิธีที่นึกออก และผลลัพธ์ก็เหนือความคาดหมาย


นั่นคือเหตุผลที่ไคลน์ไม่กล้าใช้ ‘การเดินทางของกรอซาย’ เป็นกระดาษสำหรับเขียนด้วยศูนย์ ศูนย์แปด ไม่แม้แต่จะนำมาวางใกล้กัน ด้วยเกรงว่าอาจเกิดปรากฏการณ์ที่ตนไม่สามารถรับมือ


ที่นี่คือเบ็คลันด์ซึ่งมีปริมาณประชากรหนาแน่มาก!


แต่พิจารณาตามหลักเหตุและผล เราคิดว่าไม่น่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น เนื่องจากศูนย์ ศูนย์แปดเป็นเพียงภาพฉายทางประวัติศาสตร์ เป็นของปลอม และ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ก็ถูกสร้างจากจินตนาการของมังกรจินตภาพ เรียกว่าเป็นของปลอมเช่นกัน เมื่อของปลอมมาเจอกัน มันก็ไม่น่าจะเกิดผลลัพธ์ใด เพราะปราศจากต้นกำเนิดความมหัศจรรย์อย่างตะกอนพลังทั้งคู่…ไว้ค่อยทดสอบเรื่องนี้วันหลังบนเกาะแนวปะการัง…ไคลน์ลูบหน้าผาก ยืนขึ้นและเดินกลับไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ ทบทวนเนื้อหาที่ตัวเองเขียนลงไป


มันไม่ได้เขียนโดยตรงว่า จอร์จที่สามเลื่อนลำดับล้มเหลวและตายคาที่ เพราะเชื่อว่าเทวทูตลำดับหนึ่ง ไม่น่าจะได้รับอิทธิพลที่รุนแรงระดับนั้นจากฝีมือของศูนย์ ศูนย์แปดปลอมจึงทำได้เพียงสร้างอิทธิพลทางอ้อมที่สมเหตุสมผล


ยิ่งไปกว่านั้น เบื้องหลังของจอร์จที่สามยังมีสมาคมแปรจิตและพี่ชายอามุนด์ การสร้างอิทธิพลที่ชัดเจนเกินไปจะทำให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น ไคลน์ต้องเลี่ยงความชัดเจนและลงมืออย่างรัดกุมแทน


หวังว่าจะได้ผลนะ…จ้องมองสักพัก ไคลน์พับกระดาษและยัดลงในกระเป๋าเสื้อ


จากนั้น มันสังเวย ‘การเดินทางของกรอซาย’ กลับเข้าสู่มิติหมอก


จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์เริ่มทบทวนปัญหาถัดไปของตัวเอง นั่นคือ มันควรจะออกไปซื้อไอศกรีมให้ทารกตอนไหน?


ในกรุงเบ็คลันด์มีซาราธ และน่าจะมีอามุนด์ด้วยเช่นกัน การออกไปเตร็ดเตร่บ่อยครั้งอาจทำให้เดินสวนกันโดยบังเอิญ ซึ่งนั่นอันตรายมาก…ดึงไอศกรีมออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์? สิ่งนี้จะหายไปในสิบห้านาที…นอกจากอร่อยแล้ว ยังไม่อ้วนด้วย ของกินในฝันเลย…ไคลน์พึมพำ


ท้ายที่สุด มันตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกจากบ้าน เพราะไม่ว่ายังไงก็ต้องรักษาสัญญา!



เช้าวันเสาร์ ท้องฟ้าเป็นสีเทาหม่น มีหมอกหนา บรรยากาศทำให้ผู้คนรู้สึกหดหู่โดยไม่มีเหตุผล


นี่คือสภาพอากาศทั่วไปในฤดูหนาวจัดของกรุงเบ็คลันด์ แม้จะไม่มีหมอกควันหนาทึบและกลิ่นเหม็นเหมือนกับปีที่แล้ว แต่ในเชิงภูมิศาสตร์ สภาพอากาศเป็นเรื่องของสถานที่ตั้ง หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเผชิญฤดูกาลแบบเดิมตลอดทุกปี นอกจากนั้น ผู้คนเพิ่งตื่นตัวกับการรักษาสภาพแวดล้อม ไม่ใช่สิ่งที่จะประกาศชัยชนะได้ในหนึ่งถึงสองปี


เมลิสซ่าซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อขนสัตว์สีดำยาวคลุมเข่า กระโปรงยาว สวมหมวกที่มีตาข่ายคลุมหน้าสีดำ เร่งฝีเท้าเดินไปทางประตู


เบ็นสันหยิบหมวกทรงสูงพลางส่ายหน้าให้กับสิ่งที่เห็น


“เด็กผู้หญิงที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ ไม่ควรแต่งตัวให้ดูแก่และเชยขนาดนี้…เข้าใจไหม? เชยมาก!”


เมลิสซ่าชำเลืองพี่ชายด้วยหางตา ตอบเสียงเย็น


“ราคาขนมปังเพิ่มขึ้นอีก ศูนย์จุดสองห้า เพนนีต่อน้ำหนักหนึ่งปอนด์”


“ให้ตายสิ…” เบ็นสันถอนหายใจ


มันหยิบนาฬิกาพกสีเงินที่มีลวดลายใบองุ่นออกมาตรวจสอบ


“ไปกันเถอะ ระยะทางจากที่นี่ไปถึงจัตุรัสเทศบาลค่อนข้างไกล”


เมลิสซ่าอืมในลำคอ เดินตามพี่ชายออกไปที่ถนน


“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณนายแดเนียล” หลังจากเดินออกไปไม่กี่ก้าว เบ็นสันที่เห็นเพื่อนบ้านเตรียมออกเดินทาง หันไปกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม


มันเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี ปัจจุบันสร้างความสนิทสนมกับเพื่อนบ้านละแวกในใกล้เคียงครบหมดแล้ว


สตรีที่ถูกเรียกว่าคุณนายแดเนียลมีอายุราวสี่สิบ แต่งกายด้วยเดรสสีดำล้วน ใบหน้าที่ผอมเพรียวถูกคลุมด้วยตาข่ายสีดำที่ห้อยจากหมวก เมื่อได้ยินคำทักทาย เธอหันมาพยักหน้าให้และตอบกระชับ


“อรุณสวัสดิ์ สองพี่น้อง”


เธอไม่ทักทายจิปาถะตามมารยาท เพียงจากไปอย่างเย็นชา


เบ็นสันจ้องมองแผ่นหลังสตรีคนดังกล่าวสักพัก ความเร็วในการเดินลดลง จนกระทั่งรักษาระยะห่าง จึงหันไปพูดกับน้องสาว


“เกิดอะไรขึ้นกับคุณนายแดเนียล? ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก ไม่ได้แวะไปหาเพื่อนบ้านสักพักใหญ่แล้ว”


เมลิสซ่าเม้มปาก


“ลาร์รี่ บุตรชายคนโตของคุณนายแดเนียล ได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิตในสมรภูมิเทือกเขาอมานด้า…ข่าวมาถึงเมื่อวาน”


“เด็กหนุ่มที่ตัวสูง ขี้อาย จิตใจดีและจริงใจคนนั้นน่ะหรือ? ครั้งก่อนที่กลับมาเยี่ยม เขาเพิ่งเล่าว่าถูกเลื่อนยศเป็นร้อยโท…” เบ็นสันเล่าด้วยสีหน้าประหลาดใจ


เมลิสซ่าพยักหน้า


“ไม่คิดเลยว่าลาร์รี่คนนั้นจะด่วนจากไปไว…”


ชวนให้เธอนึกถึงเพื่อนร่วมชั้นที่ถูกระเบิดตายไปต่อหน้าต่อตาในวันเกิดเหตุ


สิ่งที่เกิดขึ้นแค่ไม่กี่วินาที กลับทำให้ใครบางคนพูดไม่ได้ หรืออ่านหนังสือไม่ได้ไปตลอดชีวิต


เบ็นสันเงียบงันสักพัก ถอนหายใจยาว


“ช่วงนี้ฉันกำลังยุ่งมาก งานส่วนใหญ่เป็นการจัดสรรเงินชดเชยให้เหยื่อ…รายชื่อส่วนหนึ่งที่อยู่ในมือฉันไม่มีลาร์รี่ ก็เลยไม่ทราบเรื่องนี้…ข้อมูลที่ถูกส่งมาค่อนข้างลงลึกในรายละเอียด…ผู้สูญเสียบางคนร่าเริง กระตือรือร้น บางคนมีอารมณ์ขัน บางคนเป็นลูกคนเดียวของบ้าน บางคนขยันหมั่นเพียรและเป็นผู้นำของกลุ่มทหารรอบตัว บางคนเพิ่งแต่งงานแต่ยังไม่มีลูก บางคนลูกยังเล็ก บางคนกำลังเตรียมของขวัญให้ลูกสาวและบางคนพกจดหมายรักไว้กับตัว คิดจะรอให้สงครามจบลงก่อนค่อยนำไปส่งไปรษณีย์…แต่ทุกคนตายหมด”


เมลิสซ่าและเบ็นสันเงียบไปนาน ไม่มีใครกล่าวคำใดออกมา


เมื่อใกล้ถึงทางแยก เมลิสซ่ามองไปที่ถนนข้างหน้าและกล่าวเสียงเรียบ


“นายคิดว่าวันนี้ฝ่าบาทจะกล่าวสุนทรพจน์แบบไหน?”


“อาจมาเกณฑ์คนไปรบเพิ่ม หรือไม่ก็ปลุกใจและชวนให้เชื่อว่าพวกเรากำลังคว้าชัยชนะ” เบ็นสันตอบโดยไม่มองหน้า


เมลิสซ่าเหลือบไปมองพี่ชาย


“ตอบแบบนี้ไม่สมเป็นนายเลย เบ็นสัน…ไม่ใช่ว่าต้องจิกกัดหรือล้อเลียนพวกเขาหรือ?”


“การล้อเลียนจะเกิดขึ้นหลังจากฟังสุนทรพจน์จบ เมื่อเข้าใจเนื้อหาและแก่นสารอย่างถ่องแท้ การล้อเล่นจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด…หลักพื้นฐานในการดำรงชีวิตก็คือ ไม่ควรแสดงความเห็นในสิ่งที่ไม่เข้าใจหรือยังไม่รู้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับลิงบาบูนขนหยิก” เบ็นสันยิ้ม


ขณะเดียวกัน มันเห็นเพื่อนบ้านอีกหนึ่งคน


อีกฝ่ายมีผมหงอกขาว ใบหน้ากว่าครึ่งถูกปกปิดด้วยผ้าพันคอ สวมเสื้อนอกตัวหนา ถือถุงผ้าในมือ เดินผ่านสองพี่น้องไปอย่างรวดเร็ว


“มิสเตอร์โทมัสแต่งตัวแปลกมาก…เขากำลังจะไปไหน?” เบ็นสันถามขณะหันไปมองแผ่นหลังอีกฝ่าย


เมลิสซ่าตอนเสียงแผ่ว


“คุณนายโทมัสป่วย ทำให้เงินเก็บของครอบครัวเหลือน้อย ประกอบกับการที่ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้นโดยที่รายรับของมิสเตอร์โทมัสยังเท่าเดิม เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากไปต่อแถวรับบริจาคอาหารทุกสองสามวัน…เขาทำตัวเป็นสุภาพบุรุษมาตลอด คงไม่อยากให้ใครจำหน้าได้…นอกจากนั้น อาหารที่จุดบริการยังมีจำกัด ถ้าไปสายก็ไม่ได้กิน ต้องไปที่วิหาร โรงทำงาน หรือที่อื่นเพื่อขอเพิ่ม…ได้ยินว่าจะมีการแจกอาหารหลังจบสุนทรพจน์ของฝ่าบาทในวันนี้ บางทีเขาคงรีบไปที่นั่นให้ทัน”


เบ็นสันพยักหน้าเชื่องช้า


“คุณนายโทมัสป่วยเป็นอะไร? ฉันพอจะรู้จักหมอเก่ง ๆ อยู่บ้าง”


“โรควิตกกังวล” เมลิสซ่าเล่าในสิ่งที่ได้ยินมา “คุณนายโทมัสเป็นห่วงลูกชายคนสุดท้องที่เพิ่งถูกส่งไปแนวรบ”


“โทมัสจูเนียร์?” เบ็นสันขมวดคิ้ว


หลังจากฟังคำตอบจากน้องสาว มันเงียบไปพักใหญ่ราวกับกำลังใช้ความคิด


ผ่านไปสักพัก เมื่อเข้าใกล้จัตุรัสเทศบาล เบ็นสันมองตรงไปและหรี่เสียงพูด


“โทมัสจูเนียร์ตายแล้ว…”


“…” เมลิสซ่าไม่ตอบสนอง สีหน้าค่อนไปทางแข็งทื่อ


พวกมันเดินตรงไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางความเงียบ


ยิ่งตรงเข้าไปก็ยิ่งพบเจอผู้คนมากขึ้น บ้างแต่งกายด้วยชุดสุภาพ ถือไม้เท้าเหมือนกับสุภาพบุรุษ บ้างแต่งกายด้วยกระโปรงสีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง หรือสีแดง บ้างแต่งกายด้วยเสื้อกันหนาว เสื้อคลุม และกางเกงขายาว บ้างแต่งกายในชุดสีดำโทนหม่น


พวกมันทยอยออกจากบ้านผ่านถนนที่อาศัย ดูคล้ายกับหยดน้ำที่ค่อย ๆ มารวมกลุ่มกันจนเป็นลำธารบริเวณทางแยก


กระแสน้ำยังคงไหลต่อไป ลำธารหลายสายได้ไหลเข้ามาบรรจบกันที่ทางเข้าจัตุรัสจนกลายเป็นแม่น้ำ


ยิ่งเวลาผ่านไป สายน้ำก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามาในจัตุรัสอย่างท่วมท้น


ท่ามกลางกระแสสายธารของผู้คน เมลิสซ่ารู้สึกลีบเล็กราวกับเป็นเพียงน้ำหนึ่งหยด

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1144 : ใกล้เข้ามา

 

เนื่องจากมาถึงค่อนข้างเร็ว เมลิสซ่าและเบ็นสันจึงจับจองตำแหน่งได้ค่อนข้างดี ช่วยให้มองเห็นวัตถุประหลาดสองชนิดที่วางอยู่บนเสาหินกึ่งกลางจัตุรัส อันหนึ่งเล็ก อันหนึ่งใหญ่ ถูกทาด้วยสีน้ำเงินเข้มเชื่อมกับสายโทรเลข


ด้านล่างวัตถุดังกล่าวมีกลุ่มทหารเสื้อแดงกางเกงขายาวสีขาวยืนอารักขาสี่ทิศ ทุกคนสะพายเป้โลหะสีเทา ถือปืนไรเฟิลลำกล้องใหญ่ที่มีกลไกซับซ้อน สายตากวาดมองไปรอบ ๆ อย่างไม่ประมาท


ท่ามกลางประชาชนที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จัตุรัสมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อย ๆ


จนกระทั่งเก้าโมงตรง วัตถุประหลาดบนเสาหินส่งเสียงซ่าออกมาเล็กน้อยและกลายเป็นเสียงทุ้มลึกในเวลาถัดมา


“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย เราคือจักรพรรดิของพวกท่าน ผู้ปกครองสูงสุดแห่งโลเอ็น ไบลัมตะวันออก และหมู่เกาะรอสต์…จอร์จออกัสตัสที่สาม”


…เสียงพูดดังออกมาจากสิ่งนั้น? ใช้หลักการเดียวกับโทรเลข? ดวงตาเมลิสซ่าเบิกโพลงทันที ความสนใจเบี่ยงจากเนื้อหามายังกลไกการทำงานของวัตถุประหลาด



“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย เราคือจักรพรรดิของพวกท่าน ผู้ปกครองสูงสุดแห่งโลเอ็น ไบลัมตะวันออก และหมู่เกาะรอสต์…จอร์จออกัสตัสที่สาม”


ณ จัตุรัสรำลึกในเขตตะวันตก ออเดรย์ยืนใกล้กับเวทีสูง ด้านข้างเป็นบิดา มารดา และพี่ชาย ทุกคนจดจ้องกษัตริย์ในเครื่องแต่งกายเต็มยศพร้อมกับตั้งใจฟังสุนทรพจน์


เนื่องจากทราบล่วงหน้าว่าเนื้อหาสุนทรพจน์ของจอร์จที่สามจะเป็นไปในทิศทางใด และจะสร้างบรรยากาศแบบไหน ออเดรย์จึงมิได้สวมชุดออกงานตัวเก่ง แต่แต่งกายในทำนองเดียวกับคุณหญิงเคทลิน เดรสเรียบง่ายสไตล์โบราณ สีดำล้วน ปราศจากเครื่องประดับ


“…เราทั้งดีใจและหนักใจที่จะแจ้งให้ทุกคนทราบว่า ในที่สุดโลเอ็นก็สามารถยับยั้งการรุกรานระลอกแรกจากฟุซัคได้สำเร็จ ทำลายแผนการของพวกมันที่คิดจะปิดฉากโลเอ็นภายในสามเดือน…”


“…อย่างไรก็ตาม มีคนหนุ่มสาวอนาคตไกลมากมายต้องจบชีวิตลงในสมรภูมิแนวหน้า พวกเขาควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ควรได้อยู่เคียงข้างพ่อแม่และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ควรแต่งงานและออกเรือนไปสร้างครอบครัวที่สงบสุขกับคู่ครอง ให้กำเนิดเด็กน้อยที่น่ารักและแข็งแรง…”


“…ฟุซัค…พรากทุกสิ่งทุกอย่างไป…”


ออเดรย์ที่ทราบว่าสงครามปะทุขึ้นเพราะเหตุใด มิได้ซาบซึ้งไปกับสุนทรพจน์ของกษัตริย์ เพียงรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีพรสวรรค์ในการเล่นละคร


เธอได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วเบาดังมาจากรอบตัว ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่า มวลอารมณ์ความเศร้ากำลังก่อตัว ผสมผสานและบ่มเพาะ


สิ่งนี้ทำให้เบ้าตาของเธอแดงระเรื่ออย่างมิอาจควบคุม


จริงอยู่ที่สุนทรพจน์ของกษัตริย์เป็นของปลอม แต่ความโศกเศร้าของผู้คนเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ออเดรย์มีโอกาสได้เห็นบรรดาญาติของผู้เสียชีวิต มีโอกาสได้ช่วยเหลือกลุ่มคนยากจนที่ต้องสูญเสียลูกหลาน สามี และบิดาในชั่วข้ามคืน


ท่ามกลางการสอดประสานของห้วงอารมณ์ที่เข้มข้น ช่วงเวลานี้เหมาะแก่การดื่มโอสถ ‘จอมบงการ’ มากที่สุด…ออเดรย์ฉุกคิดถึงพิธีกรรมเลื่อนลำดับ แต่เธอไม่สามารถฉวยโอกาสจากมันได้ เพราะนอกจากจะยังย่อยโอสถนักท่องฝันไม่เสร็จ เธอยังรวบรวมคะแนนผลงานจากมิสเตอร์เวิร์ลได้ไม่มากพอ


หญิงสาวสูดลมหายใจยาว ควบคุมอารมณ์ที่แปรปรวน ถอนสายตาจากจอร์จที่สามและปล่อยให้ความคิดล่องลอย


มิสเตอร์เวิร์ลให้ความสนใจกับสุนทรพจน์วันนี้มาก แต่เราไม่รู้ว่าเขาจะฉวยโอกาสลงมือทำสิ่งใด…


ขอให้ไม่เกิดอุบัติใหญ่ที่ลุกลามเป็นวงกว้าง…


เทคโนโลยีที่เรียกว่า ‘การกระจายเสียง’ อาศัยหลักการเดียวกับวิทยุ? มิสเตอร์เวิร์ลเคยเล่าให้ฟังว่า มีบางกองกำลังในทะเลกำลังใช้งานและพัฒนาเทคโนโลยีนี้อยู่…เมื่อเทียบกับทะเลที่เต็มไปด้วยพายุก่อกวน บนบกเหมาะจะใช้งานกว่ามาก…


ขณะออเดรย์ปล่อยให้ความคิดล่องลอย จอร์จที่สามซึ่งมีหนวดงามเหนือริมฝีปาก มีบรรยากาศเคร่งขรึมและหัวโบราณ เสร็จสิ้นการกล่าวส่วนแรกของสุนทรพจน์และเปล่งเสียงทุ้มต่ำ


“เราขอใช้โอกาสนี้เพื่อไว้ทุกข์ให้กับเหล่าวีรบุรุษผู้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ…ขอให้สุภาพบุรุษ สุภาพสตรี กล่าวตามเราในใจ”


“ในนามแห่งจักรพรรดิจอร์จที่สาม เราขอให้ดวงวิญญาณวีรบุรุษผู้ล่วงลับได้พานพบความสุขอันเป็นนิรันดร์ ขอให้พวกเขาทุกคนหลับใหลในดินแดนทวยเทพที่นับถืออย่างสงบสุข”


ประโยคดังกล่าวอันแน่นไปด้วยความน่าเกรงขามเหนือคำบรรยาย ส่งผลให้ผู้ฟังทุกคนรวมถึงออเดรย์ก้มศีรษะลงตามจิตใต้สำนึก ประสานมือและกล่าวภายในใจ


ในนามแห่งจักรพรรดิจอร์จที่สาม…



ในนามแห่งจักรพรรดิจอร์จที่สาม…อีกด้านหนึ่งของจัตุรัสรำลึก ไคลน์ซึ่งมีใบหน้าทั่วไป แต่งกายด้วยเสื้อขนสัตว์สีดำ สวดวิงวอนไปพร้อมกับผู้คนรอบข้างอย่างกลมกลืน


หลังจากความเงียบงันเข้าปกคลุมนานสามนาที ชายหนุ่มใช้หุ่นเชิดประเภทนกที่เกาะตามหลังคาคอยสอดส่องพฤติกรรมของจอร์จที่สามอย่างระมัดระวัง มองหาโอกาสที่กษัตริย์จะปลีกตัวลงจากเวทีเพื่อเข้าไปดื่มโอสถในสุสานลับ


ตามความเข้าใจของไคลน์ วลี ‘ในนามแห่งจักรพรรดิจอร์จที่สาม’ น่าจะเป็นแก่นสำคัญของพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืด การดื่มโอสถควรทำหลังทันทีจากนี้ทันทีเพราะมวลอารมณ์กำลังเข้มข้น หากปล่อยให้ล่าช้าเกินนานกว่าสามนาที ประสิทธิภาพและผลลัพธ์อาจไม่ถดถอย


หืม…จอร์จที่สามเอาแต่ไว้อาลัยอย่างเงียบงัน ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน…ไคลน์พยายามระงับความกระสับกระส่ายและความสงสัย รอคอยให้เวลาผ่านไปอย่างอดทน


ความเงียบที่ทำให้หลายคนหลั่งน้ำตาดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุด ประชาชนทยอยลืมตา ส่วนจอร์จที่สามยังคงไม่ไปไหน ดำเนินการกล่าวสุนทรพจน์ของตนต่อไป


“เราผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดมาแล้ว…พวกเราจะเอาชนะความชั่วร้ายและโหดเหี้ยมได้อย่างแน่นอน นี่คือพลังแห่งความยุติธรรม…พลังที่มาจากทหารแนวหน้าทุกคน…พลังที่มาจากแรงงานในอุตสาหกรรมทุกคน…”


นี่แปลว่า…ศูนย์ศูนย์แปดของเราสร้างอิทธิพลไม่สำเร็จ? จอร์จที่สามไม่มีแผนจะเถลิงบัลลังก์เทพในวันนี้ สุนทรพจน์มีขึ้นเพียงเพื่อ ‘ล่อ’ ให้ศัตรูที่ต้องการทำลายพิธีกรรมเผยตัว และในอนาคตก็จะมีสุนทรพจน์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีก? ไคลน์ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด


ทันใดนั้น ใบหน้าของมันเริ่มอึมครึมหลังจากฉุกคิดบางสิ่ง


เพียงพริบตา ไคลน์สลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดเอ็นยูนในท่อระบายน้ำ ฝ่ายหลังแต่งกายเหมือนกับร่างต้นตั้งแต่หัวจรดเท้า


ถัดมาชายหนุ่มถอยหลังสี่ก้าวส่งตัวเองเข้าสู่มิติหมอก ใช้ตาทิพย์สังเกตสถานการณ์ในจัตุรัสรำลึกโดยอาศัยดวงดาวของจัสติสเป็นศูนย์กลาง


ปัจจุบันมันคือผู้วิเศษลำดับสาม สามารถใช้ตาทิพย์ขยายทัศนวิสัยได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคทาเทพสมุทร จริงอยู่ที่ตาทิพย์ของเทพสมุทรมองเห็นได้ไกลกว่าปราชญ์โบราณพอสมควร แต่กับสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่จำเป็น


เมื่อไคลน์มองลงไปยังเวทีสูงสำหรับกล่าวสุนทรพจน์ของกษัตริย์จอร์จที่สาม สายตาของมันพลันแข็งทื่อเนื่องจากไม่เห็นใครยืนอยู่เลย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งจอร์จที่สามเป็นเพียงภาพลวงตาจอมปลอม!


จอร์จที่สามซึ่งกำลังกล่าวสุนทรพจน์คือตัวตนที่ถูกจินตนาการขึ้น!


ก่อนสุนทรพจน์จะเริ่มขึ้น ไคลน์เคยตรวจสอบมาแล้วครั้งหนึ่งและยืนยันว่าจอร์จที่สามบนเวทีเป็นตัวจริง แต่หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่นาที ตัวจริงถูกสลับกับตัวปลอมตอนไหนก็มิอาจทราบได้


ในตอนที่ทุกคนกำลังไว้ทุกข์อย่างเงียบงัน จอร์จที่สามใช้พลังบิดเบือนของเส้นทางจักรพรรดิมืด สลับตำแหน่งภาพลวงตากับตัวจริง? ตอนนี้เขาน่าจะเข้าสุสานลับเรียบร้อยแล้ว เตรียมดื่มโอสถเพื่อเลื่อนลำดับ! ไคลน์เค้นสมองวิเคราะห์ รีบตรวจสอบสถานการณ์ของพื้นที่โดยรอบและพบความผิดปรกติจากใต้เวที ในจุดดังกล่าวมีพลังสีดำที่แข็งแกร่งกำลังไหลเวียน


ไคลน์หยิบไพ่จักรพรรดิมืดขึ้นมาจากโต๊ะทองแดงยาว อาศัยกฎการดึงดูดของตะกอนพลังเพื่อยืนยันว่า กลุ่มก้อนพลังงานสีดำที่ไหลเวียนใต้เวทีคือพลัง ‘บิดเบือน’ ของเส้นทางจักรพรรดิมืดอย่างที่คิด


ยอดเยี่ยมมาก…ระหว่างที่ ‘ล่อ’ ศัตรูด้วยสุนทรพจน์ จอร์จที่สามปลีกตัวจากเวทีอย่างเงียบเชียบเพื่อเตรียมดื่มโอสถ…เวลาเหลือไม่มากแล้ว…จิตไคลน์ทวีความตึงเครียด ชายหนุ่มรีบส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริงและสวดวิงวอนภายในท่อระบายน้ำเป็นภาษาคนยักษ์


“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ผู้ไล่ล่าความรู้”


“ประภาคารแห่งโลกเงื่อนงำ”


“ดวงตาแห่งการส่องชะตากรรม”


“ราชินีแห่งท้องทะเล”


“แบร์นาแดต กุสตาฟผู้ศักดิ์สิทธิ์และผุดผ่อง”


นี่คือนามเต็มอันทรงเกียรติของราชินีเงื่อนงำ แต่แตกต่างจากลำดับสาม ทั่วไปเล็กน้อย เพราะรัศมีในการตอบสนองของเธอกว้างไกลจนน่าทึ่ง อาจไกลมาถึงเบ็คลันด์เลยทีเดียว สำหรับประเด็นดังกล่าว ไคลน์สงสัยว่าจักรพรรดิโรซายล์น่าจะสร้างสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ สักชิ้นมาช่วยสนับสนุนให้เธอครอบครองคุณสมบัตินี้


ก่อนจะถึงลำดับสอง แบร์นาแดตแทบไม่บอกนามเต็มของเธอกับใคร ด้วยเกรงว่าศัตรูบางคนจะใช้การตอบสนองอัตโนมัติเพื่อล็อกเป้า เป็นชุดความคิดและความรอบคอบแบบเดียวกับไคลน์


ไคลน์นัดหมายกับเธอล่วงหน้าว่า ทันทีที่ตนเอ่ยนามเต็มอันทรงเกียรติ ให้แบร์นาแดตเปิดสุสานลับสักแห่งตามใจชอบด้วยเลือดพิเศษและสัญลักษณ์ของมิสเตอร์ประตู จากนั้นก็พยายามทำลายมัน


ทั้งตัวมันและแบร์นาแดตต่างก็ไม่คาดหวังกับวิธีนี้มากนัก เพราะอีกฝ่ายก็มีเทวทูต สามารถให้คนเฝ้าสุสานผลัดเวรกันสวดวิงวอนเป็นระยะ ช่วยให้เทวทูตสามารถ ‘จับตามอง’ จากจุดแสงสวดวิงวอน และตอบสนองทันทีที่พบสิ่งผิดปรกติ


หน้าที่หลักของแบร์นาแดตคือการเบี่ยงเบนความสนใจ!


แต่แน่นอน หากเทวทูตเหล่านั้นตอบสนองได้เชื่องช้ากว่ากำหนด แบร์นาแดตจะเปลี่ยนท่าทีจาก ‘ถ่วงเวลา’ เป็น ‘ทำลายล้าง’


จัดการเสร็จ ไคลน์เหยียดมือขวาออกไปจับอากาศ


ในตอนที่ดึงแขนกลับ ร่างหนึ่งปรากฏกายเบื้องหน้า


เป็นสตรีผู้มีใบหน้าธรรมดา ดวงตาสีเข้ม ชุดคลุมสีดำเรียบง่าย สวมเข็มขัดเปลือกไม้ ผมยาวสีดำขลับปล่อยตามธรรมชาติ เท้าเปลือยเปล่า


หัวหน้าสำนักชีรัตติกาล ผู้นำแห่งเหล่านักบวช บริวารอำพราง เทวทูตเดินดิน อาเรียนน่า


สำเร็จในครั้งเดียว…ไคลน์ตกตะลึง แต่ไม่มัวเสียเวลา รีบกล่าวเข้าประเด็น


“ปกปิดตัวตนของผมและคอยช่วยเหลือผู้คนในเบ็คลันด์”


ไคลน์กังวลว่า หากจอร์จที่สามคลุ้มคลั่งเนื่องจากพิธีกรรมล้มเหลว มันจะออกจากสุสานมาทำร้ายผู้บริสุทธิ์


“ตกลง” อาเรียนน่าตอบด้วยท่าทีสำรวมและอ่อนโยน มิได้แข็งทื่อเหมือนกับที่ภาพฉายทั่วไปเป็น


…อย่าบอกนะว่า…หรืออันที่จริง การอัญเชิญของเราล้มเหลว แต่เทพธิดาได้กำชับให้มาดามอาเรียนน่าแอบกลับมายังเบ็คลันด์ล่วงหน้า และเมื่อท่านสัมผัสถึงการอัญเชิญของเรา จึงปรากฏตัวออกมา…เทวทูตในเส้นทาง ‘ปกปิด’ สามารถควบคุมภาพฉายทางประวัติศาสตร์ของตัวเองได้ในระดับหนึ่ง? ขณะความคิดถาโถม ไคลน์พบว่าตนเข้าสู่ภาวะแปลกประหลาด ถูกตัดขาดจากประสาทสัมผัสของโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)