Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1137-1140

 ราชันเร้นลับ 1137 : ในประวัติศาสตร์

 

ทะเลคลั่ง บนเกาะแห่งหนึ่งซึ่งปราศจากผู้คน


ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากทวีปใต้ แต่ก็ไม่มีใครทราบตำแหน่งในเชิงภูมิศาสตร์ เหตุผลที่ไคลน์เลือกเกาะแห่งนี้เป็นสถานที่เลื่อนลำดับ แง่หนึ่งเพราะต้องการหลีกเลี่ยงอามุนด์กับซาราธ และเพื่ออยู่ให้ห่างขอบเขตอำนาจของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย แต่ในอีกแง่หนึ่ง เนื่องจากทะเลคลั่งถูกปกคลุมด้วยพลังตกค้างจากเทพมรณา ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้อำนาจของเทพธิดารัตติกาล หากต้องการประกอบพิธีกรรมใหญ่ พลังของพระองค์จะช่วยปกปิดได้ไม่มากก็น้อย


เหนือสิ่งอื่นใด สถานที่แห่งนี้รกร้างว่างเปล่า ปราศจากสิ่งมีชีวิต ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอุบัติเหตุและคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์…ไคลน์มองไปรอบตัว ตัดสินใจเริ่มประกอบพิธีกรรม นำวัสดุที่เตรียมไว้ออกจากมิติเหนือสายหมอก


ทันทีหลังจากนั้น มันพลิกอ่านเอกสารทางประวัติศาสตร์ปึกหนา ดึงบางแผ่นที่ยังไม่มั่นใจและไม่สามารถทำนายยืนยันออกมา


พรึบ!


เพียงสะบัดข้อมือ เปลวไฟสีแดงลุกท่วมปึกกระดาษ


วัตถุเสริมที่จำเป็นสำหรับโอสถปราชญ์โบราณก็คือ บันทึกทางประวัติศาสตร์โบราณที่ถูกต้อง ไคลน์จึงไม่ต้องการเสี่ยงใช้ข้อมูลที่ตนมิอาจยืนยันข้อเท็จจริง ต่อให้เนื้อหาจะลดลงก็ตาม


หลังจากเลือกเสร็จ อันดับแรก มันเทเลือดของสุนัขแห่งฟัลกริมลงในหม้อ จากนั้นก็ใส่ผลึกขนน้ำแข็งที่ชั่งน้ำหนักแล้วลงไป


ทันทีที่วัตถุดิบเสริมทั้งสองชนิดสัมผัสกัน หมอกเจือจางลอยสูงขึ้นทันที ห่อหุ้มภาชนะด้วยความสูงเท่าคนและกว้างหนึ่งศอก


ไคลน์ชำเลืองเข้าไปในหม้อ อาศัยสัมผัสวิญญาณช่วยนำทาง มันตัดสินใจยังไม่ใส่วัตถุดิบเสริมชิ้นสุดท้ายลงไป แต่ให้หุ่นเชิดเอ็นยูนโยนหัวใจที่ผุกร่อนของหมาป่าอสูรแห่งสายหมอก – วัตถุที่ดูคล้ายกับเกิดจากการควบแน่นของหมอก – ลงไปในหม้อต้ม


ขณะแขนของเอ็นยูนถูกน้ำค้างแข็งเกาะ สายหมอกที่อัดแน่นอยู่ภายในเส้นเลือดหัวใจเริ่มเกิดการยุบพอง หัวใจเริ่มเต้นแผ่วเบาประหนึ่งได้รับชีวิตชีวากลับคืนมา


โดยปราศจากความลังเล ไคลน์บังคับหุ่นเชิดเอ็นยูน หยิบดวงตาหนึ่งคู่ของสุนัขแห่งฟัลกริมออกมาถือ จากนั้นก็ยัดเปลวไฟสีแดงสองดวงเข้าไปในกลุ่มหมอกหนาทึบ


สีของกลุ่มหมอกเข้มขึ้นในพริบตา ไคลน์มองไม่เห็นหม้อต้มขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางอีกต่อไป


มันไม่ตื่นตระหนก เพียงบังคับให้หุ่นเชิดอีกตัวหนึ่ง โยนเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องเข้าไปในกลุ่มหมอกทีละแผ่น


กลุ่มหมอกหนาทึบบรรจงหดตัวกลับเข้าไปในหม้อ และหลังจาก ‘ย่อย’ เอกสารทางประวัติศาสตร์เสร็จ กลุ่มหมอกดังกล่าวควบแน่นเป็นก้อน ลอยลงไปอยู่ที่ก้นหม้อในลักษณะคล้ายไอน้ำ กลายเป็นสสารที่มีสถานะกึ่งกลางระหว่างของเหลวกับก๊าซ สีแดงเข้ม ขนาดเกือบเท่าศีรษะทารก


ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์ถอนลูกตุ้มวิญญาณที่ข้อมือซ้ายออก ทำนายยืนยันว่าโอสถปรุงสำเร็จหรือไม่


ผลการทำนายก็คือ วัตถุดังกล่าวอันตรายมาก แต่ก็พอจะทนไหว


กล่าวอีกนัยหนึ่ง โอสถถูกปรุงสำเร็จ


ต่อให้ปรุงตามสูตรอย่างเคร่งครัด แต่โอสถลำดับสาม นั้นไม่ต่างอะไรกับยาพิษ หากเรารอดไปได้ก็จะเลื่อนลำดับ แต่ถ้าไม่ หากไม่กลายเป็นบ้าก็คงคลุ้มคลั่ง หรือในกรณีเลวร้ายก็ตายคาที่…ไคลน์จ้องจี้บุษราคัมที่หมุนทวนเข็มนาฬิกาสักพัก ดึงโซ่เงินขึ้นและพันรอบข้อมือซ้ายกลับเข้าไป


มันจ้องโอสถที่ลอยอยู่ในหม้อ ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว


นอกจากแก่นสำคัญอย่าง ‘สยองขวัญ’ ‘หวาดเสียว’ ‘กำกับการแสดง’ และ ‘ยากจะอธิบาย’ แล้ว จอมเวทพิสดารยังต้องมีคุณสมบัติเกี่ยวกับความลึกลับ นิรนาม ปกปิด ซับซ้อน และมีชะตากรรมที่ยากจะหยั่งถึง ต้องมีเพียบพร้อมทั้งสองด้านเท่านั้น จึงจะรวมกันเป็นจอมเวทพิสดารที่สมบูรณ์แบบ…ฝั่งหนึ่งคือรูปแบบของพฤติกรรม อีกฝั่งคือคุณสมบัติ…


และสำหรับเรา ต้นกำเนิดของเราลึกลับมากเสียจนแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่ทราบความจริง แถมยังมีประสบการณ์ชีวิตที่ซับซ้อน เคยขัดขวางการจุติของเทพมาร เคยทำให้ราชาเทวทูตหวาดกลัว นอกจากนั้น ชะตากรรมของเรายังยากที่จะหยั่งถึง กระทั่งอสรพิษปรอทก็ยังมองไม่เห็นอนาคตล่วงหน้า ทุกปัจจัยประกอบกันจนโอสถของเราถูกย่อยอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้สรุปกฎเกณฑ์…


ทั้งหมดคือภาพสะท้อนของคำว่า ‘พิสดาร’


อา…พิธีกรรมของปราชญ์โบราณคือ ต้องตัดขาดจากโลกแห่งความจริงโดยสมบูรณ์เป็นเวลาอย่างน้อยสามร้อยปี เมื่อตัวเรากลายเป็นเพียงประวัติศาสตร์และไม่ได้อยู่ในยุคปัจจุบัน ถึงตอนนั้นคือช่วงเวลาที่ต้องดื่มโอสถ…อันที่จริง การถูกแขวนอยู่เหนือบานประตูแห่งแสงก็นับว่าเพียงพอต่อการบรรลุเงื่อนไข…แต่ปัญหาคือหลังจากนั้น เราคืนชีพกลับมายังโลกความจริงในฐานะไคลน์·โมเร็ตติ ผ่านเหตุการณ์มากมายตลอดสองปี จารึกชื่อไว้บนโลกความจริงไม่น้อย นั่นจะส่งผลต่อเงื่อนไขของพิธีกรรมหรือไม่?


ก็คงจะส่งผลกระทบบ้าง…แต่โชคดีที่ระยะเวลารวมยังไม่ถึงสองปี ตัวตนของเรายังถูกสลักลงบนยุคสมัยไม่มากนัก… และเหนือสิ่งอื่นใด จะให้เราแขวนตัวเองใหม่อีกสามร้อยปีแล้วค่อยดื่มโอสถคงทำไม่ได้ เพราะโลกกำลังจะถึงจุดจบในอีกสิบแปดปีข้างหน้า!


นอกจากนั้น ข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์โบราณของเราก็ยังมีมากกว่าจอมเวทพิสดารคนอื่น อาจใช้สิ่งนี้เป็นข้อหักล้างได้ในบางแง่มุม ส่งผลให้อันตรายที่ต้องเผชิญไม่ร้ายแรงนัก…


ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์สูดลมหายใจยาวพลางทำสมองให้โล่ง


ในสภาพแต่งกายด้วยหมวกผ้าไหมและเสื้อขนสัตว์กระดุมสองแถว ผิวหนังของชายหนุ่มพลันแปรเปลี่ยนเป็นโปร่งใส หนอนแมลงที่มีสัญลักษณ์สามมิติซ้อนทับทยอยผุดขึ้นทีละตัว


หนอนแมลงโปร่งใสเริ่มดีดดิ้น ราวกับพวกมันต้องการปืนลงไปในหมอกหนาบริเวณก้นหม้อ เหลือทิ้งไว้เพียงเสื้อผ้าและหมวกที่ไม่มีใครสวม


ไคลน์ควบคุมร่างกายตัวเองไว้ได้อย่างยากลำบาก เหยียดมือขวาออกไปอย่างใจเย็น หยิบโอสถที่ถูกห่อหุ้มในกลุ่มหมอก


คล้ายกับโอสถไม่มีน้ำหนัก มันลอยขึ้นมายังใบหน้าชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา


ไคลน์อ้าปากและสูดลมสุดปอด


ทันใดนั้น โอสถเกิดการแปรสภาพและยื่นเข้าไปในปากไคลน์ ดูคล้ายกับกำลังกลืนแสงสีเข้มลงคอ


หนอนแมลงสีใสคลานกลับเข้ามาอยู่ในร่างกาย กรูกันเข้าไปฉีกกระชากโอสถและกลืนกิน


เนื่องจากร่างสัตว์ในตำนานของมันค่อนข้างพิเศษ สามารถรวมกันเป็นหนึ่งหรือแบ่งตัวเป็นจำนวนมหาศาลก็ได้ ไคลน์จึงสามารถดื่มโอสถได้ด้วยวิธีสุดพิสดารเช่นนี้


แต่แน่นอน หากมันสามารถควบคุมร่างวิญญาณได้อย่างใจนึก อะไร ๆ ก็จะง่ายขึ้นมาก


ไคลน์สัมผัสถึงความเย็นเยียบที่แผ่ซ่านไปทั่ว ‘หนอนวิญญาณ’ ทุกตัว มาพร้อมกับความแสบร้อนเล็กน้อย


หมอกสีเทาอ่อนที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้า พวกมันแผ่ปกคลุมโลกทั้งใบและฉายประสบการณ์ในอดีตของชายหนุ่มด้านล่าง


ประกอบด้วยเหตุการณ์เมื่อครั้งสร้างตำนานสยองขวัญ สนทนากับวิญญาณมารเทวทูตสีชาด พามิสจัสติสมารักษาลูก้าที่ใกล้คลุ้มคลั่ง ล่าเฮอร์วิน·แรมบิส จัดการกับร่างโคลนของอามุนด์ แก้แค้นอินซ์·แซงวีลล์ สำรวจเมืองกัลเดรอน ลอบเข้าไปในวิหารนักบุญแซมมวล อาละวาดในทะเล ป้องกันไม่ให้พระผู้สร้างแท้จริงลงมาจุติ ปกป้องทิงเก็น และประสบการณ์ในชีวิตประจำวันอื่น ๆ อันแสนสงบสุข


เป็นประสบการณ์ที่ได้เข้าไปพัวพันกับผู้คนและวัตถุมากมาย ทั้งซับซ้อนและกว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทร ขณะไคลน์กำลัง ‘บิน’ ท่ามกลางมิติแห่งสายหมอก มันมิอาจหาจุดยืนที่มั่นคงและแม่นยำให้กับตัวเอง เป็นความรู้สึกคล้ายกับกำลังหลงทาง ไม่เพียงเท่านั้น ความเย็นเยียบและความแสบร้อนยังคอยผลักดันให้ต้องบินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยากแก่การกลับสู่โลกความจริง


ไคลน์ฝืนควบคุมสติอย่างยากลำบาก ท่ามกลางจิตที่กำลังหลุดลอย ร่างของมันดิ่งลง พยายามค้นหาบางสิ่งเพื่อยืนยันความเป็นตัวเอง


ในที่สุดมันเห็นจุดแสงในส่วนลึกของสายหมอก อาศัยสัญชาตญาณ มันบินตรงไปด้วยท่าทางที่คล้ายกับล่องลอยอยู่บนอวกาศ


ภายในจุดแสงดังกล่าว ร่างหนึ่งถูกห่อหุ้มด้วยรังไหมและห้อยลงมาเหนือบานประตูแห่งแสง โยกคลอนแผ่วเบาอย่างอ่อนโยน รูปลักษณ์เหมือนโจวหมิงรุ่ยทุกประการ โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ไคลน์ลอยไปจับร่างตัวเองที่กำลังห้อยอยู่ตามลำพัง


ก่อนหน้านี้…ในตอนที่ใช้ยันต์วันวานอีกครั้ง เราไม่เคยเห็นฉากเหล่านี้มาก่อน แต่ปัจจุบันกลับทำได้…กล่าวคือ ระหว่างดำเนินพิธีกรรมเลื่อนลำดับ เราสามารถส่งอิทธิพลทางอ้อมไปยังปราสาทต้นกำเนิดเหนือสายหมอกสีเทาได้? จริงสิ ความคิดก็เริ่มกลับมาแล้ว…เมื่อสติไคลน์กลับมากระจ่างชัด ในที่สุดมันก็เข้าใจแก่นสำคัญของพิธีกรรม


ขจัดรายละเอียดที่คอยก่อกวนใจทั้งหมดออกไป ตามหาจุดยืนและตำแหน่งที่แท้จริงของตนให้พบและกลายเป็นปราชญ์โบราณ นั่นคือวิธีเดียวที่จะช่วยให้ไม่หลงทางท่ามกลางโลกใบนี้!


ถัดมา ไคลน์ตัดสินใจไล่ตามจุดแสงที่คล้ายคลึงกัน เริ่มบินเข้าไปในส่วนลึกของสายหมอกสีเทาที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด มันได้พบกับจุดแสงอีกมากมายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วมิติหมอก มีทั้งยุคสมัยสงครามอาณานิคม ยุคสมัยโรซายล์ครองบัลลังก์ ยุคสมัยศึกตระบัดสัตย์ ยุคสงครามกุหลาบขาว ยุคสงครามยี่สิบปี ทั้งหมดคือประวัติศาสตร์ในยุคสมัยที่ห้าที่ไคลน์ทราบ


ขณะลอยผ่าน ไคลน์แบ่งบางส่วนของจิตใต้สำนึกออกมาตามสัญชาตญาณ นำไปสร้างการเชื่อมต่อที่มองไม่เห็นกับจุดแสงเหล่านั้น ช่วยให้จุดยืนและตำแหน่งของตัวเองชัดเจนมากขึ้น


ยุคสมัยแห่งความไร้ชีวิตชีวา ยุคสงครามสี่จักรพรรดิ ยุคจักรวรรดิทรันซอสต์ ยุคจักรวรรดิทูดอร์ ยุคจักรวรรดิร่วม ยุคจักรวรรดิโซโลมอนที่หนึ่งและสอง เหตุการณ์เทวทูตสีชาดร่วงหล่น เหตุการณ์จักรพรรดิโลหิตเถลิงบัลลังก์เทพ เหตุการณ์จักรพรรดิมืดคืนชีพ รวมไปถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อื่น ๆ อีกมาก ไคลน์ยังคงค้นหาต่อไป จุดแสงสว่างขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขต ประหนึ่งดวงดาวที่มอบความสว่างในยามค่ำคืน ช่วยนำทาง ‘นักเดินทาง’ ให้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย


ยิ่งเดินทางลึกเข้าไป ไคลน์ยิ่งรู้สึกว่าสติของตนทวีความคมชัด อาการเย็นเยียบและแสบร้อนซึ่งเกิดกับหนอนวิญญาณเริ่มบรรเทาลงหลายส่วน


อันที่จริง มันสามารถหันหลังและกลับไปยังโลกความจริงได้นานแล้ว แต่ชายหนุ่มยังไม่หยุดมุ่งหน้าอย่างกระตือรือร้น


ฉากการหักหลังของกุหลาบไถ่บาป ฉากของเทวทูตทั้งสามตน สีขาว วายุ และปัญญากำลังแบ่งปันร่างกายเทพสุริยันบรรพกาล ฉากการแอบสมคบคิดในวังราชาคนยักษ์ ฉากการแอบก่อตั้งองค์กรลับของรัตติกาล ธรณี และเทพสงคราม จุดแสงมากมายปรากฏขึ้นระหว่างทางที่เต็มไปด้วยสายหมอก ยิ่งไคลน์มองไปข้างหน้า มันก็ยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย คล้ายกับเครื่องบินที่กำลัง ‘วิ่ง’ ก่อน ‘ทะยาน’


ในบางช่วง ฝูงสัตว์คล้ายสุนัขที่มีเบ้าตาเป็นเปลวไฟ ขนสั้นสีดำ ปรากฏขึ้นมาข้างขนาบข้างไคลน์และร่วมเดินทางโดยที่พวกมันเองก็มองไม่เห็นก้นบึ้งของสายหมอก ทำหน้าที่คอยอารักขาอย่างขันแข็งราวกับผู้พิทักษ์


ในหมู่พวกมัน มีสองตัวที่มีดวงตาแค่ข้างเดียว


ไคลน์เหลียวซ้ายแลขวา มิอาจหุบยิ้ม ยังคงดำดิ่งเข้าไปในส่วนลึกของสายหมอก


บางส่วนของประวัติศาสตร์ในยุคสมัยแห่งสองขั้วอำนาจ และยุคสมัยแห่งการริเริ่มใช้ไฟ คอยนำทางไคลน์ไปข้างหน้า จนกระทั่งชายหนุ่มหยุดลงจนตรงหน้าจุดแสงที่ส่องสว่างอย่างเดียวดาย เป็นฉากของป่าเสื่อมโทรมที่แห้งแล้ง เบื้องหน้ามีหลุมศพของมนุษย์ขนาดปกติ


มันมองไปข้างหน้าอีกครั้ง พบเพียงสายหมอกสีเทา มองไม่เห็นจุดแสงสว่าง


เมื่อตระหนักว่าพลังวิญญาณใกล้หมด ไคลน์เลิกค้นหา เชื่องโยงจิตใต้สำนึกเข้ากับตำแหน่งเริ่มต้น จากนั้นก็ดิ่งลงไปด้านล่าง


จนกระทั่งหมอกสีเทารอบตัวจางหายไป ไคลน์พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงหน้าหม้อใบใหญ่


มันไม่แยแสร่างกายในปัจจุบัน เพียงแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าตามสัญชาตญาณ


มันมองเห็นหมอกสีเทาด้วยสองตา และเห็นวังโบราณที่งดงาม ตั้งเด่นสง่าอยู่เหนือหมอกสีเทาขึ้นไป


พื้นที่ลึกลับดังกล่าวกำลังสั่นคลอนแผ่วเบา



ในกรุงเบ็คลันด์ บุรุษไปรษณีย์ที่กำลังปั่นจักรยานชะงักฝีเท้า เอียงคอเล็กน้อย เลื่อนมือขึ้นมาจับแว่นตาขาเดียวบนตาขวา


มันพึมพำกับตัวเอง


“ปราสาทต้นกำเนิด…”


ผ่านไปไม่กี่วินาที ชายหนุ่มหน้าเรียวยกมุมปากพลางหัวเราะในลำคอ สีหน้าเผยความคาดหวัง


เขตตะวันตกของเมืองเดียวกัน ภายในบ้านเช่าหลังหนึ่ง กลุ่มเงารางที่ถูกแขวนอยู่กลางอากาศและโยกเอน เปิดปากพูดโดยพร้อมเพรียง


“ปราสาทต้นกำเนิด…”


ชั้นใต้ดินของวิหารนักบุญแซมมวล เลียวนาร์ด·มิเชลซึ่งกำลังแบ่งงานให้สมาชิกในทีม ได้ยินเสียงที่ค่อนข้างชราในหัว


“ปราสาทต้นกำเนิด…”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1138 : ปราชญ์โบราณ

 

บนที่ราบสูง เหนือแท่นบูชาที่มีดวงตา แขน หัว และอวัยวะภายในวางกอง


แสงสีแดงเข้มพวยพุ่งราวกับเลือดสด บิดตัวกลายเป็นเงาดำที่ดูคล้ายกับต้นไม้กลายพันธุ์


ท่ามกลางเสียงดังสนั่น กระดูกมนุษย์ เทียนไข ถาดเงิน กล่องทอง และวัตถุชิ้นอื่น สั่นสะเทือนรุนแรงราวกับจะสลักรอยขีดข่วนลงในวิญญาณ


บทสวดของผู้วิงวอนโดยรอบมีอันต้องหยุดชะงัก พวกมันก้มศีรษะลงตามสัญชาตญาณและหมอบกราบไปบนพื้น


จากนั้น พวกมันเข้าใจตรงกันโดยปริยาย


“ทะเลคลั่ง เกาะแนวปะการัง…”



เมื่อเห็นวังโบราณเหนือสายหมอกสีเทาด้วยสองตา ขณะเดียวกันก็สัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนแผ่วเบาของพื้นที่ลึกลับ ไคลน์ทราบทันทีว่า สายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นระหว่างตนกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ปราสาทต้นกำเนิด’ แนบแน่นขึ้นไปอีกระดับ


ในวินาทีนี้ มันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า สถานที่ดังกล่าวคือของตน


เพียงไม่กี่วินาที ความผิดปรกติบนท้องฟ้าเลือนหายไป ไคลน์ไม่มัวรีรอ บังคับหุ่นเชิดทั้งสองเก็บสิ่งของมีค่าและทำลายที่เหลือ จากนั้นก็นำกระดาษคนออกมาสะบัดหนึ่งครั้ง


สิ้นเสียงกระดาษปะทะกับอากาศ กระดาษคนลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีแดง ปีกมายาที่คมชัดงอกออกจากแผ่นหลังพวกมัน


ไคลน์ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น ไม่คิดว่าการแทรกแซงจากกระดาษคนตัวแทนแสนธรรมดา จะมีกลิ่นอายคล้ายอ้อมกอดเทวทูต


มันรีบคว้าหุ่นเชิดเอ็นยูนและโจนาส อาศัยความช่วยเหลือจากพลังเทเลพอร์ต หายตัวไปจากเกาะที่เกิดจากแนวปะการัง


หลังจากอ้อมไปรอบเกาะหลายแห่งบนทะเลโซเนีย ในที่สุดไคลน์ก็กลับมายังบ้านเช่าในเขตตะวันออกของกรุงเบ็คลันด์


ระหว่างการเดินทาง มันกระหน่ำใช้กระดาษคนตัวแทนที่ถูกยกระดับเชิงคุณภาพเพื่อขัดขวางการทำนายถึง แกะรอย และพยากรณ์


ฟู่ว…เราไม่คิดว่าการเลื่อนลำดับจะสร้างความเปลี่ยนแปลงกับปราสาทต้นกำเนิด จนก่อให้เกิดทัศนียภาพที่มิอาจปกปิด…โชคดีที่เราระวังตัวมากพอ เพราะถ้าประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับในกรุงเบ็คลันด์ อามุนด์กับซาราธคง ‘เห็น’ แน่นอน…ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลาย จากนั้นก็เข้าไปในมิติหมอกเพื่อทำนายยืนยัน


หลังจากมั่นใจว่าปลอดภัย มันไม่แช่อยู่นาน รีบกลับโลกความจริงและเข้าฌานเพื่อหลอมรวมพลังวิญญาณที่กำลังแตกซ่าน


เมื่อจัดการเสร็จ มันเปลี่ยนเสื้อผ้า ทิ้งตัวลงนอนและหลับสนิท


โดยทั่วไปแล้ว จอมเวทพิสดารที่เลื่อนลำดับไปเป็นปราชญ์โบราณสำเร็จจะไม่อ่อนเพลียอย่างที่ไคลน์เป็น และมีพละกำลังเหลือเฟือในการตรวจสอบสภาพร่างกายใหม่ แต่ขณะไคลน์สำรวจประวัติศาสตร์ มันอาศัยความเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์โบราณที่เกินสามัญสำนึกอย่างเต็มที่ ทำการสำรวจลึกไปถึงจุดเริ่มต้นของยุคสมัยที่สอง หรือแม้กระทั่งจุดสิ้นสุดยุคสมัยที่หนึ่ง ในตอนที่วังราชาคนยักษ์ถือกำเนิด


ประสบการณ์เช่นนี้เทียบเท่าการย่อยโอสถ


หลังจากหลับลึกนานหลายชั่วโมง ไคลน์ตื่นขึ้นและบรรจงลืมตา


มันคลำหาหมอนและลุกขึ้นนั่งบนเตียง สอดหมอนไว้ด้านหลัง เงยหน้าขึ้นพลางลูบหน้าผาก


หลังจากผ่อนคลายตัวเองนานกว่าสิบนาที มันตื่นตัวเต็มที่และเริ่มสำรวจตัวเอง


อย่างที่คิด เราย่อยโอสถไปได้เกือบหมดทันทีหลังจากดื่ม…อย่างน้อยก็สี่ในห้าส่วน…ตรงตามที่คาดหวัง…แต่เราไม่รู้ว่าต้องรวบรวมข้อมูลโบราณมากเพียงใดเพื่อให้ย่อยโอสถได้สมบูรณ์…


ดูเหมือนว่า หลักการย่อยโอสถจะมีอยู่สองรูปแบบ หนึ่ง สวมบทบาทเป็น ‘ปราชญ์จากยุคโบราณ’ และสอง สวมบทบาทเป็น ‘ปราชญ์ที่ศึกษาประวัติศาสตร์โบราณ’ จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ใด…บทบาทแรกไม่ใช่เรื่องยาก เงื่อนไขของพิธีกรรมเลื่อนลำดับช่วยให้ทุกคนเป็น ‘ปราชญ์จากยุคโบราณ’ ได้อยู่แล้ว…


แต่บทบาทที่สองนั้นยากมาก…อาจง่ายในสังคมสมัยใหม่ แต่ไม่ใช่กับยุคสมัยที่มีเทพ ปีศาจ และมาร…ลำพังการรวบรวมข้อมูลโบราณก็มีความเสี่ยงสูงแล้ว ยังไม่นับรวมถึงการศึกษาประวัติศาสตร์ที่อาจตายได้ทุกเมื่อโดยไม่รู้ตัว เพราะยิ่งเข้าใกล้ความจริง อันตรายก็ยิ่งมาก…


การที่เรารวบรวมข้อมูลได้มากขนาดนี้ ส่วนใหญ่ต้องขอบคุณ ‘แผนการ’ ของตัวตนที่ยิ่งใหญ่สองสามคน รวมถึงชะตากรรมอันซับซ้อนที่ชักนำโดยปราสาทต้นกำเนิด จนได้มีประสบการณ์ที่ชีวิตโลดโผนดังที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งที่เป็นข้ารับใช้ของเทพแท้จริง เรากลับพลาดท่าตายไปแล้วหนึ่งครั้ง นับประสาอะไรกับปราชญ์โบราณคนอื่น…


มันคงง่ายขึ้นถ้า ‘ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์’ และ ‘ปราชญ์โบราณ’ สลับวิธีการสวมบทบาทกัน…แต่โลกนี้ไม่มีคำว่าถ้า…


นอกจากนั้น สองวิธีในการสวมบทบาทที่เราเพิ่งสรุปได้ เน้นหนักที่คำว่า ‘โบราณ’ มากเกินไป ต้องสนใจคำว่า ‘ปราชญ์’ ด้วย…ต้องเรียนรู้สิ่งใดจากประวัติศาสตร์จึงจะคู่ควรกับคำว่า ‘ปราชญ์’ ?


หลังจากนี้ มีหลายทิศทางที่เราต้องมุ่งหน้าไป…อันดับแรกคือการยืนยันสถานการณ์ปัจจุบันของเทวทูตมืด ซาสเรีย และศึกษาขั้นตอนการเกิดมหาภัยพิบัติอย่างละเอียด ถัดมา เราต้องทุ่มเวลาให้กับการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์อย่างละเอียดของยุคสมัยที่สี่เข้าด้วยกัน ไม่ใช่พึงพอใจแค่การปะติดปะต่อเหตุการณ์อย่างคร่าว…ประการที่สาม ต้องเจาะลึกประวัติศาสตร์ในบางจุด เช่นการผงาดและร่วงหล่นของตระกูลอันทีโกนัส…


หลังจากยืนยันวิธีสวมบทบาทอย่างมีประสิทธิภาพ และทิศทางที่ตนต้องเดินไปในอนาคต ไคลน์ทำการวิเคราะห์ความก้าวหน้าของพลังพิเศษที่เพิ่มเข้ามา รวมถึงลวดลายศักดิ์สิทธิ์ของหนอนวิญญาณ ระหว่างการทดลอง มันอาศัยพลังทำนายและการปฏิบัติจริงเพื่อกะเกณฑ์ประสิทธิภาพของพลังใหม่อย่างแม่นยำ


ตอนนี้สามารถแบ่งหนอนวิญญาณได้มากถึงหกร้อยตัว ลวดลายศักดิ์สิทธิ์บนตัวหนอนก็มีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร ซับซ้อนมากขึ้น และสามารถสำแดงอำนาจในเชิงความพิสดารและสะกดข่ม…


การเปลี่ยนแปลงของลวดลายศักดิ์สิทธิ์ ปัจจัยแรกมาจากตะกอนพลัง…ปัจจัยที่สองมาจากความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับในโอสถ และไม่ได้มาจากตะกอนพลังเพียงอย่างเดียว แต่บางส่วนมาจากแหล่งข้อมูลที่มีระดับสูงกว่านั้น…หมายความว่า หลังจากกลายเป็นผู้วิเศษลำดับสูงอย่างแท้จริง ผู้วิเศษสามารถดัดแปลงองค์ความรู้ภายในแหล่งข้อมูลระดับสูงเพื่อสร้างอิทธิพลต่อลำดับอื่นได้?


ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ การ ‘เข้าใจ’ สูตรโอสถหลังจากได้เห็นลวดลายศักดิ์สิทธิ์…ถ้ามีชีวิตรอดกลับไปล่ะนะ…


นอกจากนั้น สำหรับผู้วิเศษลำดับสาม การเปลี่ยนแปลงของลวดลายศักดิ์สิทธิ์จะมีผลต่อคุณสมบัติส่วนตัว และนั่นคือกุญแจสำคัญในการสวดวิงวอนและตอบสนอง ถึงจะเป็นปราชญ์โบราณเหมือนกัน แต่พระนามเต็มอันทรงเกียรติย่อมต่างกันไปตามคุณสมบัติ ประสบการณ์ และอุปนิสัย


อา…เราสามารถใช้หนอนวิญญาณเป็น ‘ระบบตอบรับอัตโนมัติ’ เวลามีคำสวดวิงวอนที่ไม่สำคัญเข้ามา และนั่นจะไม่ส่งผลกระทบต่อร่างหลัก…สำหรับบุคคลที่ทำเครื่องหมายพิเศษไว้ หรือคำสวดวิงวอนที่สำคัญมาก จะยังคงถูกส่งมายังร่างหลักเหมือนเดิม…


ปราชญ์โบราณสามารถใช้หนอนวิญญาณหลายตัวในการทำหน้าที่ ‘เทพ’ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ลำดับสาม ของเส้นทางอื่นจัดการกับเรื่องนี้ยังไง? คงไม่สามารถตอบสนองตอนนอนได้หรอกกระมัง…


หึหึ…ไว้ค่อยคิดพระนามเต็มอันทรงเกียรติของปราชญ์โบราณวันหลัง…ตอนนี้ต้องศึกษาพลังใหม่ก่อน…


หืม…พลังหลักของปราชญ์โบราณคือการพึ่งพาความช่วยเหลือจากประวัติศาสตร์…แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการยืมความแข็งแกร่งมาจากอดีต…


สำหรับเราการทำแบบนั้นกับตัวเองคงมีแต่ผลเสีย เพราะตัวเราในอดีตอ่อนแอกว่าปัจจุบันมาก โดยเฉพาะช่วงที่ยังถูกแขวนอยู่เหนือบานประตูแห่งแสง ตอนนั้นเป็นแค่คนธรรมดา…เทียบกันแล้ว พลังนี้มีประโยชน์กับตัวตนที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต แต่ปัจจุบันอ่อนแอจากหลายสาเหตุ…ยกตัวอย่างเช่น ใครสักคนที่เป็นทารกขี้แยและชอบกินไอศกรีม สามารถกลายร่างและเข้าร่วมสงครามของเทวทูตลำดับหนึ่งได้อย่างแข็งแกร่งและปราศจากจุดอ่อน…ปัญหาเดียวก็คือ ผลลัพธ์คงอยู่ได้ไม่นาน…


แต่แน่นอน ถ้าเราเป็นปราชญ์โบราณนานเข้า พลังนี้จะเริ่มมีประโยชน์กับตัวเอง เพราะสามารถยืมพลังของตัวเองซึ่งเป็นปราชญ์โบราณในสภาพ ‘แข็งแกร่งที่สุด’ มาสู้ได้เรื่อย ๆ แม้ว่าจะพลาดท่าจนได้รับบาดเจ็บหนัก…กล่าวคือ หากไม่ตายคาที่หรือพลังวิญญาณหมดลง เราจะไม่มีวันตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เด็ดขาด…


ใช่แล้วตราบใดที่พลังวิญญาณยังเหลือ เราสามารถยืมความแข็งแกร่งจากอดีตได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง…สำหรับพลังวิญญาณในปัจจุบัน ต่อให้ไม่มีการฟื้นฟูระหว่างต่อสู้เลย ก็ยังยืมพลังจากตัวเองในอดีตได้เกือบสิบครั้งต่อวัน…ครั้งละห้านาที…


ส่วนที่สองพลังในการเรียกภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ เป็นได้ทั้งมนุษย์และวัตถุ ยิ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่เรามีส่วนเกี่ยวข้องและเข้าใจอย่างถ่องแท้มากเพียงใด โอกาสสำเร็จก็ยิ่งมากขึ้น และคงสภาพได้นานขึ้น…


ในทำนองเดียวกัน ยิ่งระดับตัวตนของเป้าหมายต่ำ โอกาสสำเร็จก็ยิ่งสูง และยิ่งคงสภาพได้นาน…


นอกจากนั้น ยิ่งเรากับเป้าหมายใกล้ชิดกัน โอกาสสำเร็จและระยะเวลาก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น…


นี่คือเงื่อนไขสามข้อที่ส่งผลต่ออัตราความสำเร็จ…นอกจากนั้น หากพยายามอัญเชิญสิ่งของหรือบุคคลที่มีระดับเหนือกว่าตัวเอง ถึงแม้จะโชคดีประสบความสำเร็จ แต่ภาพฉายที่เกิดขึ้นจะมีความแข็งแกร่งเพียงส่วนหนึ่งจากความจริง ไม่มีทางอัญเชิญร่างสมบูรณ์ออกมาได้…ในปัจจุบัน เราสามารถอัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ได้พร้อมกับสูงสุดสามชนิด นับรวมกับสิ่งที่หุ่นเชิดอัญเชิญออกมา…


สำหรับตอนนี้ ต่อให้เป็นวัตถุที่เราใกล้ชิดและเคยใช้งาน แต่ก็จะคงสภาพได้นานที่สุดไม่เกินสิบห้านาที…


แนวคิดที่ว่า ยิ่งสนิทสนมกันยิ่งมีโอกาสสำเร็จสูงนั้นน่าสนใจมาก…โดยพื้นฐานแล้ว การยืมพลังจากตัวเองในอดีตก็เป็นการอัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ประเภทหนึ่ง แต่เนื่องจากเราสนิทกับตัวเองมาก โอกาสล้มเหลวจึงแทบไม่มี…


หรือกล่าวได้ว่า หากเราต้องการอัญเชิญตัวตนที่ยิ่งใหญ่ออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ ก็ควรเลือกคนที่มีความสัมพันธ์ต่อกันมานาน…ยกตัวอย่างเช่น การอัญเชิญมิสเตอร์อะซิกจะมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าการอัญเชิญเทวทูตตนอื่น…


สิ่งนี้เรียกว่าพลังพิเศษได้หรือ? เห็นได้ชัดว่าเรายังต้องพึ่งพาทักษะทางด้านอารมณ์ มนุษยสัมพันธ์ และการสื่อสารระหว่างบุคคล!


ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน มันเชื่อโดยไม่คลางแคลงว่า พลังของปราชญ์โบราณนั้นเข้าขั้นมหัศจรรย์ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตัวตนที่อยู่ในช่องว่างประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่แข็งแกร่งเหนือจินตนาการ


ทว่า หากต้องการสำแดงพลังอย่างเต็มประสิทธิภาพ ปราชญ์โบราณจำเป็นต้องใช้สมองให้มาก แถมยังต้องเตรียมตัวล่วงหน้า


นี่คือ ‘กฎ’ ที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยของเส้นทางนักทำนาย


อา…หลังจากเรียกภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ออกมา เราคงสนทนาหรือสื่อสารกับพวกเขาไม่ได้…กล่าวคือ ปราชญ์โบราณไม่มีสิทธิ์แทรกแซงประวัติศาสตร์หรือเปลี่ยนแปลงอดีต…หากมองในมุมการสวมบทบาท เราสามารถสรุปแก่นสำคัญได้ว่า ปราชญ์โบราณต้อง ‘เป็นสักขีพยานให้กับอดีต’ ‘สร้างอิทธิพลกับปัจจุบัน’ และ ‘เปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้’


สำหรับกระดาษคนตัวแทน นอกจากการโอนถ่ายโรคภัย คำสาป การโจมตี คำพยากรณ์ และการจ้องมอง มันยังมีพลังใหม่ในการ ‘ถ่ายโอนอวัยวะบางส่วนของกระดาษ’ ให้กับเป้าหมาย…สมจริงมากจนต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะรู้ว่าเป็นของปลอม…หึหึ หากใครถูกทำลายหัวใจและรีบมาหาเรา ตราบใดที่สมองยังไม่ตาย เราสามารถมอบหัวใจกระดาษให้ จากนั้นก็ยืมความสามารถในการสูบฉีดเลือดมาจากประวัติศาสตร์…


ระยะเวลาในการเข้าควบคุมด้ายวิญญาณเบื้องต้นเหลือแค่สองวินาที และใช้เวลาเพียงสิบวินาทีในการเข้าควบคุมอย่างสมบูรณ์พร้อมกับเปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิด…รัศมีการใช้งานพลังคือห้าร้อยเมตร…พลังสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดเพิ่มเป็นห้ากิโลเมตร…


กระโจนไฟสามารถใช้ได้ไกลถึงห้ากิโลเมตร…สามารถใช้ปืนใหญ่อัดอากาศได้อย่างอิสระ และหากเค้นพลังเต็มที่ ความรุนแรงจะเทียบเท่าปืนใหญ่ป้องกันชายฝั่ง…


สามารถแปลงร่างเป็นสิ่งมีชีวิตทุกชนิดได้โดยไม่มีขีดจำกัดด้านขนาดร่างกาย…อวัยวะจำลองบางชิ้นจะใช้งานได้จริง แต่บางชิ้นก็เป็นแค่เครื่องประดับ…


ฟู่ว…นี่คือปราชญ์โบราณที่ย่อยโอสถเกือบสมบูรณ์…สำรวจตัวเองเสร็จ ไคลน์บรรจงลุกขึ้นยืน


มันเตรียมส่งตัวเองเข้าสู่มิติหมอก เพื่อตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของปราสาทต้นกำเนิด

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1139 : อยู่ด้วยกันในอีกร...

 

เหนือสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขต ไคลน์ปรากฏกายภายในวังโบราณ


เพียงมองไปรอบตัว มันพบความแตกต่างหลายจุด


จากบรรดาทั้งหมด จุดที่ชัดเจนที่สุดคือการที่โครงสร้างและสภาพปัจจุบันของมิติลึกลับแห่งนี้ ฉายเข้ามาในร่างวิญญาณไคลน์โดยตรง ช่วยให้มองเห็นเมฆสีเทาและบานประตูแห่งแสงแม้จะอยู่ห่างออกไป


นอกจากวังที่เราจินตนาการขึ้น และบานประตูแสงที่มีอยู่ตั้งแต่แรก ที่นี่ไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่าและไร้ขอบเขต อัดแน่นด้วยพลังงานระดับสูง…ไคลน์พึมพำ นั่งลงพร้อมกับยกมือขวาขึ้น


เพียงพริบตา หมอกสีเทาทั้งหมดพลันเดือดพล่าน แม้กระทั่งมิติลึกลับก็ยังสั่นไหว ละอองแสงสีเข้มสว่างขึ้นด้านบน


ละอองแสงมารวมตัวกันและแปรสภาพกลายเป็นเทวทูตโปร่งแสงตามที่ไคลน์ต้องการ ด้านหลังมีปีกมายาหลายชั้น ระดับความแข็งแกร่งและความน่าเกรงขามทัดเทียบกับเทวทูตตัวจริง ทั้งสง่างาม ศักดิ์สิทธิ์ และสะกดข่ม


ไม่จำเป็นต้องฝังไพ่จักรพรรดิมืด ทรราช หรือนักบวชสีชาด ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคทาเทพสมุทร…ลำพังตัวเราคนเดียวก็สามารถระดมพลังของมิติลึกลับได้เกือบทั้งหมด เกิดเป็นเทวทูตของเดอะฟูลที่มีลำดับสองอย่างแท้จริง แต่แน่นอน เทวทูตดังกล่าวมิอาจตอบสนองต่อคำสวดวิงวอน และมิอาจคงสภาพไว้ได้นานนัก…มีพลังประเภทอ้อมกอดและโจมตีได้ไม่กี่ครั้ง รวมถึงพลังในขอบเขต ‘ปาฏิหาริย์’ บางชนิด…


อย่างที่คิด พลังการคืนชีพของเราคือของขวัญจากปราสาทต้นกำเนิด…ตอนนี้คืนชีพได้ทั้งหมดกี่ครั้งกันนะ…ดูเหมือนว่าจะไม่มีวิธีตรวจสอบ เว้นเสียแต่จะมีสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์บางชิ้น…แต่แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว เราไม่ควรพึ่งพามันมากเกินไป…ผู้วิเศษเส้นทางนักทำนายต้องดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาทเสมอ…


น่าเสียดาย…ปาฏิหาริย์ระดับนี้กลับใช้ได้แค่เราคนเดียว…


แต่แน่นอนนั่นหมายถึงในปัจจุบันหากต้องการควบคุมพลังของมิติแห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์ อย่างน้อยก็ต้องก้าวไปถึงระดับเทวทูตหรือไม่ก็ลำดับศูนย์ซึ่งนั่นจะทำให้ปราสาทต้นกำเนิดมีอานุภาพสมชื่อของมัน…ส่วนบานประตูแห่งแสง เงื่อนไขในการใช้งานอาจสูงยิ่งกว่านั้นอีก…ตอนนี้เรายังมองไม่เห็นอันตรายจากมัน…


จุดประสงค์ของปราสาทต้นกำเนิดคืออะไร? จับนักเดินทางข้ามโลกมาขังและทยอยส่งลงไปช่วยคืนชีพให้พระผู้สร้างต้นกำเนิด? ไคลน์สะบัดมือขวาแผ่วเบา สลายเทวทูตที่ศักดิ์สิทธิ์และทรงพลัง


ปราสาทต้นกำเนิดสงบลงทันที


จากนั้น ไคลน์ลุกขึ้นยืน ก้าวไปบนเมฆสีเทาที่ควบแน่นกลางอากาศ หยุดยืนหน้าบานประตูแห่งแสงแปลกประหลาดที่ประกอบจากลูกบอลแสงจำนวนนับไม่ถ้วน


บานประตูแห่งแสงมีสีน้ำเงินและดำปะปนเล็กน้อย แกนกลางลูกบอลแสงทุกลูกคือกลุ่มหนอนแมลงโปร่งใส


ขณะจ้องมอง ‘รังไหม’ โปร่งใสซึ่งถูกแขวนไว้ด้วยด้ายสีดำเส้นบาง ไคลน์ลองเหยียดแขนขวาออกไปหาประตู พยายามสัมผัสกับมัน


ในที่สุดฝ่ามือของมันก็เอื้อมถึงประตู แต่ปลายนิ้วกลับทะลุผ่านไปราวกับเป็นเพียงภาพมายา


อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับคราวก่อน บานประตูมายาดู ‘จริง’ ขึ้นกว่าคราวก่อน คล้ายกับสามารถกลายเป็นจริงได้ในอนาคต


สิ่งนี้คือแก่นแท้ของปราสาทต้นกำเนิด? ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก ย้ายตัวเองกลับมาที่วังโบราณ


โดยไม่มัวรีรอ ชายหนุ่มออกจากมิติหมอกและเริ่มทดสอบพลังใหม่


ก่อนอื่นก็ต้องคิดพระนามเต็มอันมีเกียรติ…ลำดับสามจะตอบสนองได้ในระดับ ‘ดินแดน’ แต่รัศมีจะแตกต่างกันไปตามอำนาจที่ถือครอง เห็นได้ชัดว่า ‘เจ้าสมุทร’ มีอำนาจการปกครองค่อนข้างกว้างกว่าเส้นทางอื่น…ชื่อของเราควรเป็นอะไรดี? กรุงเบ็คลันด์? ผู้พิทักษ์เหล่าเด็กยากไร้ในกรุงเบ็คลันด์? ฟังดูประหลาดชะมัด…


อา…คนอื่นอาจต้องดิ้นรนภายใต้ขีดจำกัด แต่กับเราแล้วไม่ใช่ ทางนี้สามารถใช้ ‘ข้ารับใช้แห่งปราสาทต้นกำเนิดและโลกวิญญาณ’ แทนได้ และผู้ที่เป็นข้ารับใช้ของทั้งสองอย่างคงมีแค่เราคนเดียว ไม่ซ้ำกับใครแน่นอน ด้วยชื่อดังกล่าว ทุกคนที่อยู่ในเขตหรือในเมืองเดียวกับเรา สามารถสวดวิงวอนถึงเราได้โดยตรง…


แต่ถ้าอยู่นอกเขตก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เราไม่สามารถแบ่งหนอนวิญญาณเก็บไว้บนมิติหมอกได้เหมือนกันคทาเทพสมุทรที่อาศัยพลังของปราสาทต้นกำเนิดในการตอบสนองคำวิงวอนจากทั่วโลก…แม้ว่าตอนนี้จะยังมิอาจยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างเทวทูตมืดกับเทพสุริยันบรรพกาล แต่เราก็ควรระวังการก่อกบฏของหุ่นเชิดและร่างโคลนของตัวเองไว้บ้าง… นอกจากนั้น การแบ่งหนอนวิญญาณทิ้งไว้แค่ไม่กี่ตัวคงไม่เกิดประโยชน์ หากต้องการผลลัพธ์แบบเดียวกับคทาเทพสมุทร เราต้องแบ่งหนอนวิญญาณไว้บนปราสาทต้นกำเนิดเป็นจำนวนมหาศาล และในปัจจุบันก็ยังทำแบบนั้นไม่ได้…


เหนือสิ่งอื่นใด จิตใจของเรายังปรกติ ไม่เกิดการแบ่งบุคลิกที่สอง ยังไม่ได้เป็นคนเย็นชาและป่าเถื่อน…เห็นได้ชัดว่าตราประทับที่ปราชญ์โบราณสลักไว้ในประวัติศาสตร์คือ ‘หลักยึดเหนี่ยว’ ที่เพียงพอ…นอกจากนั้น อาการของจักรพรรดิโรซายล์แย่ลงหลังจากกลายเป็นเทวทูต เขาจึงต้องแก้ไขด้วยการใช้สาวกเป็นหลักยึดเหนี่ยว สำหรับเรายังอีกห่างไกล ถือเป็นก้าวที่ใหญ่มาก…คงต้องหาข้อมูลเผื่อไว้ว่า หลักยึดเหนี่ยวนอกจากสาวกแล้วยังมีอะไรได้อีก…ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์หยิบกระดาษกับปากกา


มันเขียนพระนามเต็มอันทรงเกียรติของตัวเอง


“ข้ารับใช้แห่งโลกวิญญาณและปราสาทต้นกำเนิด”


ครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มเขียนวรรคที่สองและสามโดยอาศัยประสบการณ์อันยาวนานและความรู้จากลวดลายศักดิ์สิทธิ์


“ตัวตนเร้นลับจากอดีตกาล”


“ประจักษ์พยานแห่งห้วงประวัติศาสตร์ชั่วนิรันดร์”


เนื่องจากลำดับสามไม่ใช่เทพแท้จริง จึงมิอาจใช้พระนามเต็มเพียงสามวรรค ไคลน์ไตร่ตรองสักพักและเพิ่มอีกสองประโยค


“ผู้พิทักษ์ละครและมายากล”


“มหาเกอร์มัน·สแปร์โรว์”


อันที่จริง บุคคลที่ไม่ใช่เทพแท้จริงก็สามารถมีพระนามเต็มสามวรรคได้ แต่ต้องมีวรรคหนึ่งผูกโยงกับเทพแท้จริง ยกตัวอย่างเช่น ไคลน์สามารถใช้นามเต็มว่า ‘ข้ารับใช้แห่งเทพธิดารัตติกาล’ แต่โดยพื้นฐานแล้ว ชื่อแบบนี้จะฟังดูไม่เหมือนนามเต็ม แต่เหมือนกับบทสวดอัญเชิญที่ใช้กับผู้ส่งสารมากกว่า อย่างไรก็ดี ในกรณีของผู้ส่งสาร สถานะของสิ่งมีชีวิตคือสัตว์วิญญาณ ข้อจำกัดตรงนี้จะไม่เหมือนกับมนุษย์ ต่อให้ระบุว่าเป็นข้ารับใช้ของเทพแท้จริงก็ไม่เกิดประโยชน์ นั่นคือเหตุผลที่การอัญเชิญผู้ส่งสารส่งเดชเป็นเรื่องที่อันตราย เพราะไม่รู้ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตแบบใดออกมา


ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์บังคับหุ่นเชิดเอ็นยูนท่องพระนามเต็มของตนเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ


ผ่านไปไม่กี่วินาที ชายหนุ่มยกมือขวาลูบหน้าผาก สีหน้าเผยความแปลกใจ


มันไม่ได้ยินคำสวดวิงวอน


“ชื่อนี้มีจุดไหนที่ผิด…” ไคลน์ไตร่ตรองอย่างจริงจังจนกระทั่งเริ่มเอะใจ “ไม่ใช่แค่เราที่เป็นข้ารับใช้แห่งโลกวิญญาณและปราสาทต้นกำเนิด…สุนัขแห่งฟัลกริมก็ใช่…ต้องระบุให้ชัดเจนกว่าเดิม…”


หลังจากดัดแปลงชื่อ ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดเอ็นยูนสวดมนต์อีกครั้งเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ


“ข้ารับใช้แห่งโลกวิญญาณและปราสาทต้นกำเนิด”


“ตัวตนเร้นลับจากอดีตกาล”


“ประจักษ์พยานแห่งห้วงประวัติศาสตร์ชั่วนิรันดร์”


“ผู้พิทักษ์ละครและมายากลแห่งเบ็คลันด์”


“มหาเกอร์มัน·สแปร์โรว์”


“ข้อปรารถนาคำอวยพร ขอวิงวอนให้ท่านช่วยขจัดความมืดมิดเบื้องหน้า”


ทันทีที่สิ้นเสียงเอ็นยูน ไคลน์ได้ยินคำวิงวอนแผ่วเบา เนื่องจากคำวิงวอนดังกล่าวมุ่งไปยังหนอนวิญญาณ ไม่ใช่ร่างต้นของไคลน์


แตกต่างจากคำวิงวอนที่ได้ยินบนปราสาทต้นกำเนิด อันนั้นฟังดูชัดเจนมาก…ขณะไคลน์กำลังครุ่นคิด หนอนวิญญาณตอบสนองต่อคำวิงวอนแทนชายหนุ่ม เนื่องจากมีการตั้งค่าไว้ล่วงหน้า


เปลวไฟลุกโชนตรงหน้าหุ่นเชิดเอ็นยูน มอบแสงสว่างไปทั่วห้อง


ไม่เลว…ถ้าสวดวิงวอนเป็นภาษาเฮอร์มิส ต้องประกอบพิธีกรรมและวาดสัญลักษณ์…สำหรับน้ำมันสกัดและสมุนไพร นั่นไม่สำคัญ จะมีหรือไม่มีก็ได้ คิดว่าคนอย่างเราจะพึงพอใจกับเรื่องแค่นี้หรือ? สัญลักษณ์ต้องประกอบด้วยม้วนกระดาษที่หมายถึงประวัติศาสตร์ ดวงตาสมบูรณ์ที่หมายถึงประจักษ์พยาน และเส้นโค้งที่หมายถึงการเปลี่ยนแปลง…ไคลน์ยังไม่มีแผนจะเผยแพร่นามเต็ม เพราะนั่นจะหมายความว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์กลายเป็นผู้วิเศษลำดับสามเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นการเผยไต๋โดยใช่เหตุ นอกจากนั้น มันก็ยังมีอีกสองตัวตนเป็นเดอะฟูลและเทพสมุทร เพียงพอต่อการตอบสนองอยู่แล้ว


เป๊าะ!


ทันทีที่ดีดนิ้ว กระดาษที่เขียนนามเต็มของเกอร์มัน·สแปร์โรว์พลันลุกไหม้


ปราชญ์โบราณมีพลังในการสร้างหมอกและลดอุณหภูมิ แต่นั่นไม่ใช่ความสามารถหลัก…ถัดไป เราต้องลองอัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์…เลือกใครเป็นคนแรกดี? ไคลน์ถอนหายใจยาว


มันหรี่ตาลง อาศัยประสาทสัมผัสของเทพ แบ่งวิญญาณบางส่วนเข้าไปท่องในโลกที่เต็มไปด้วยหมอกสีเทาแห่งประวัติศาสตร์


ท่ามกลางตำแหน่งที่เคยสลักตราประทับไว้ล่วงหน้า ไคลน์หยุดอยู่หน้าจุดแสงหนึ่ง


ด้านในมีหน้าต่างสองแถวที่สูงจากพื้นจรดเพดาน ภายในห้องมีชายแต่งกายด้วยชุดคลุมสีแดงปักด้ายสีทองยืนริมหน้าต่าง มองไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า


อายุราวสามสิบ ผมยาวสีเกาลัด ตาสีฟ้า จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง หนวดบนริมฝีปากถูกตัดแต่งอย่างประณีต ใบหน้าโดยรวมหล่อเหลา


โรซายล์·กุสตาฟ



บนถนนเส้นหนึ่งในเขตเหนือ ชายหน้าเรียวหน้าผากเถิกคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟริมถนน ดวงตาข้างขวาสวมแว่นตาขาเดียว ถือปากกาด้วยสีหน้าครุ่นคิด


มันยกมืออีกข้างขึ้นมาจับแว่น เขียนประโยคหนึ่งลงไป


“ข้ารับใช้แห่งโลกวิญญาณและปราสาทต้นกำเนิด…”


จากนั้น ปากกาหยุดขยับ ราวกับไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรต่อ



เขตตะวันออก ในบ้านเช่าแบบสองห้องนอน ไคลน์หยิบนาฬิกาพกเลี่ยมทองออกมาตรวจสอบเวลา


มันนัดพบชารอนกับมาริคในบ้านร้างหลังหนึ่งคืนนี้


ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ยกมือขวาขึ้นและคว้าอากาศด้านหน้า


กุญแจสีทองเหลืองหน้าตาธรรมดาปรากฏขึ้นบนฝ่ามือชายหนุ่ม


นี่คือ ‘มาสเตอร์คีย์’ ที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยไคลน์เอาชนะวิญญาณมาร สตีฟ และช่วยป้องกันไม่ให้พระผู้สร้างแท้จริงลงมาจุติ ผลข้างเคียงด้านลบก็คือ มันจะทำให้ผู้ถือครองได้ยินเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตูในคืนจันทร์เต็มดวง


ปัจจุบัน ไคลน์อัญเชิญมันออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ สามารถคงสภาพได้นานสิบนาที


หึหึ… สำหรับปราชญ์โบราณ ตราบใดที่เคยใช้งานวัตถุดังกล่าว ไม่ว่าสุดท้ายจะขายทิ้ง คืนเจ้าของ ถูกทำลาย หรือสูญหาย แต่มันก็ไม่ได้จากไปอย่างถาวร ยังคงอยู่ด้วยกันในอีกรูปแบบหนึ่ง…มองไปยังมาสเตอร์คีย์ในมือ ไคลน์รำพันด้วยสีหน้าพึงพอใจ


ด้วยวัตถุในมือ หากไคลน์ทราบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง มันเองก็สามารถพูดคุยกับมิสเตอร์ประตูได้โดยตรง


เก็บมาสเตอร์คีย์กลับเข้าไป ไคลน์สวมเสื้อคลุมขนสัตว์กระดุมสองแถว หมวกผ้าไหม หยิบไม้ค้ำเลี่ยมทองและเดินออกจากห้อง

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1140 : แผนการ

 

กรุงเบ็คลันด์ บ้านเลขที่เจ็ด ถนนพินสเตอร์


หลังจากวันที่วุ่นวายจบลง ในที่สุดเลียวนาร์ดก็มีโอกาสได้ถามในสิ่งที่สงสัย


“ตาแก่ ปราสาทต้นกำเนิดคืออะไร?”


เสียงค่อนข้างชราในใจเงียบไปสักพัก หัวเราะในลำคอและกล่าว


“สถานที่ที่เจ้าไปชุมนุมทุกวันจันทร์น่าจะเป็นปราสาทต้นกำเนิด”


“…” เลียวนาร์ดไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้ สมองของมันขาวโพลนไปชั่วขณะ เกิดเป็นความประหลาดใจและตกตะลึง ผสมปนเปกันอย่างซับซ้อน


ผ่านไปสักพัก มันถามเสียงต่ำด้วยความร้อนรน


“แล้วปราสาทต้นกำเนิดคือสถานที่แบบไหน”


พาลีส·โซโรอาสเตอร์ถอนหายใจพลางหัวเราะจิกกัดตัวเอง


“อันที่จริง ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก เคยได้ยินแค่ในข่าวลือ…เป็นตำนานพระผู้สร้างที่ต่างออกไปจากที่เจ้าเคยฟัง…ตามข่าวลือ พระผู้สร้างต้นกำเนิดได้ทิ้งสมบัติที่แตกต่างกันไว้เก้าชนิด บ้างเป็นอาณาจักร บ้างเป็นเมือง แม่น้ำ ทะเล และกุญแจ… ปราสาทต้นกำเนิดคือหนึ่งในนั้น…รูปลักษณ์ที่แท้จริงอาจไม่ใช่ปราสาท แต่อยู่ในโฉมอื่น…ส่วนจะเป็นอะไรนั้น เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้า…สาเหตุที่ข้ามั่นใจว่ามันมีอยู่จริง เพราะในตอนที่กลายเป็นเทวทูต ข้าสัมผัสถึงมันได้ แต่มองไม่เห็นและมิอาจสร้างการเชื่อมต่อ…ปู่ทวดของข้าสันนิษฐานว่า ทั้งเก้าสิ่งอาจถูกบันทึกไว้ในศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองในฐานะ ‘แก่นแท้แห่งต้นกำเนิด’ น่าเสียดาย เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ ท่านมิอาจถอดรหัสความหมายที่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด”


เลียวนาร์ดสงบสติลง เอนหลังพิงโซฟาพลางถาม


“ตาแก่…คุณสงสัยว่ามิสเตอร์ฟูลคือร่างอวตารของแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด?”


พิจารณาจากสิ่งที่มันเคยฟังจากชุมนุมทาโรต์ และสิ่งที่ตาแก่พาลีสมักเล่าให้ฟัง มันเริ่มตระหนักถึงระดับของทวยเทพตนนี้อย่างคร่าว


พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบงันเป็นเวลานาน


“อาจจะ…”



ในค่ำคืนที่มีการบังคับใช้กฎเคอร์ฟิวอย่างเข้มงวด ท้องถนนเบ็คลันด์แทบไม่มีผู้คนเดินเตร็ดเตร่ นาน ๆ ครั้งจะมีรถม้าแล่นผ่านไป บุคคลด้านในเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม


หลังจากไคลน์มาถึงบ้านที่นัดหมาย มันไม่รีบร้อนเข้าไป เพียงหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ยกมือขวาขึ้นจับอากาศด้านหน้า ดึงเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ที่แต่งกายด้วยเสื้อขนสัตว์สีดำกระดุมสองแถว หมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง และไม้ค้ำออกจากความว่างเปล่า


นี่คือภาพฉายทางประวัติศาสตร์ของตัวมันในช่วงเวลาก่อนหน้าเพียงไม่นาน ขณะที่เพิ่งออกจากบ้านเช่า


เนื่องจากมีไคลน์ตัวจริงยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ภาพฉายดังกล่าวจึงดูแข็งทื่อราวกับอุปกรณ์ประกอบฉากบนเวที


จากการทดลองในช่วงที่ผ่านมา ไคลน์ค้นพบกฎทางศาสตร์เร้นลับ ‘จิตใต้สำนึกเพียงหนึ่งเดียวในช่วงเวลาหนึ่ง’ กล่าวคือ ในช่วงเวลาหนึ่ง ทุกคนจะมีจิตสำนึกที่แท้จริงได้เพียงหนึ่งเดียว หากไคลน์ตัวจริงมีความคิดและสติ ภาพฉายทางประวัติศาสตร์จะไม่มี


ผลลัพธ์เป็นเช่นเดียวกันการอัญเชิญคนตาย ไคลน์จึงสงสัยว่า อาจเป็นเพราะตนยังมีระดับพลังไม่เพียงพอ หรือกล่าวโดยย่อ ภาพฉายทางประวัติศาสตร์จะต่อสู้และมีกลไกความคิดในระดับแค่พื้นฐาน จะอ้างอิงจากสัญชาตญาณของร่างต้นเป็นหลัก และจะเกิดผลลัพธ์แบบเดียวกันต่อให้ปราชญ์โบราณอัญเชิญภาพฉายของตัวเองออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์


สิ่งนี้ช่วยยืนยันหนึ่งในข้อสันนิษฐานของไคลน์ที่ว่า ภาพเหตุการณ์ที่ปราชญ์โบราณมองเห็นในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ คือสิ่งที่ปราชญ์โบราณผ่านการศึกษาและเข้าใจอย่างถ่องแท้บนโลกความจริง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ปราชญ์โบราณมีหน้าที่ต้อง ‘ขจัด’ หมอกที่คอยปิดบังประวัติศาสตร์ออกไปให้หมด


และแน่นอน ไคลน์เชื่อว่าหากชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์เดียวกันถูกเปิดเผยจนเกือบหมด ความลับที่เหลือเป็นส่วนน้อยก็จะถูกเผยออกมาตามธรรมชาติ


อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่า พลังพิเศษของเป้าหมายจะไม่ตกหล่นเพียงเพราะเรารู้จักอีกฝ่ายไม่ดีพอ…ตราบใดที่ดึงภาพฉายทางประวัติศาสตร์ออกมาได้สำเร็จ สถานภาพของเป้าหมายในช่วงเวลาดังกล่าวจะถูกบันทึกไว้อย่างสมบูรณ์…แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว…ไคลน์ชำเลืองไปทางภาพฉายประวัติศาสตร์ของตนที่เคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณ จากนั้น ร่างจริงของไคลน์พลันเลือนหายและเข้าไปอยู่ในหมอกสีเทา


แม้แต่สุนัขแห่งฟัลกริมที่เป็น ‘ปราชญ์โบราณไม่สมบูรณ์’ ก็ยังอาศัยในช่องว่างของประวัติศาสตร์ได้ นับประสาอะไรกับปราชญ์โบราณตัวจริงเสียงจริง แต่ปัญหาก็คือ ระยะเวลามีจำกัด และนอกจากนั้น หากตัดขาดจากโลกความจริงนานเกินไป หุ่นเชิดจะเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม สำหรับปราชญ์โบราณ ความตายของหุ่นเชิดก็แค่การแยกจากกันทางกายภาพ แต่ความจริงแล้วยังอยู่ร่วมกันในอีกรูปแบบหนึ่ง


ในวินาทีที่ร่างต้นของไคลน์เข้าไปอาศัยอยู่ในจุดแสงของหมอกสีเทา จิตใต้สำนึกของชายหนุ่มถูกโอนถ่ายมายังภาพฉายทางประวัติศาสตร์บนโลกความจริงทันที


ไคลน์ซึ่งกำลังใช้ใบหน้าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ ยกมือกดหมวกทรงกึ่งสูงเหนือศีรษะ เดินมาถึงหน้าบ้านหลังที่นัดหมาย หยิบมาสเตอร์คีย์ออกมาสอดเข้าไปในรูกุญแจพร้อมกับออกแรงบิดแผ่วเบา


ร่างของมันหายเข้าไปโผล่ในตัวบ้าน สายตากวาดมองอย่างรวดเร็วท่ามกลางแสงจันทร์สีแดง


ไม่ว่าจะโซฟา ตู้ เก้าอี้พนักสูง โต๊ะกาแฟ หรือเครื่องเรือนชิ้นอื่น ทั้งหมดดูค่อนข้างโบราณ ราวกับหลุดมาจากศตวรรษก่อนหน้า


ท่ามกลางสภาพแวดล้อมมืดสลัว ชารอนซึ่งแต่งกายในชุดเดรสโกธิกสีเข้มซับซ้อน บนศีรษะสวมหมวกอ่อนสีเดียวกัน ปรากฏกายขึ้นบนเก้าอี้พนักสูง


“สายัณห์สวัสดิ์” หุ่นกระบอกสาวผงกศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับทักทาย


หากเธอไม่พูดหรือขยับตัว จะดูเหมือนกับตุ๊กตาเลอค่าที่ถูกสร้างอย่างประณีตที่สุดในโลก


ขณะเดียวกัน มาริคที่แต่งกายในเชิ้ตสีขาวและเสื้อกั๊กสีดำ ปรากฏตัวบนโซฟา


…คุณสุภาพบุรุษ นี่ก็เข้าฤดูหนาวแล้ว แต่งตัวแบบนี้ไม่กลัวแข็งตายหรือ? นั่นสินะ นายคือคนตาย และคนตายก็คงไม่กลัวหนาว…ไคลน์พึมพำเงียบ ถอดหมวกออก หันไปทางชารอนเจ้าของผมสีทองอ่อน ตาสีฟ้า จากนั้นก็ก้มศีรษะ


“สายัณห์สวัสดิ์ มิสชารอน”


ถัดมา มันหมุนตัวครึ่งหนึ่งและหันไปพูดกับมาริค


“สายัณห์สวัสดิ์”


สำหรับอดีตซอมบี้ซึ่งกลายเป็นวิญญาณอาฆาตในปัจจุบัน ความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดของไคลน์ก็คือ อีกฝ่ายชอบตั้งวงเล่นไพ่กับฝูงซอมบี้ที่ตัวเองเป็นคนบังคับ


ถ้าว่างก็เล่นไพ่กันได้นะ…ชายหนุ่มถอนหายใจเงียบ


สาเหตุที่ไคลน์นึกถึงการเล่นไพ่ขึ้นมา เพราะเมื่อลองวิเคราะห์หลักการต่อสู้ของปราชญ์โบราณ มันพบว่าหากตนต้องเผชิญหน้ากับซาราธ สถานการณ์จะไม่ต่างกับการเล่นไพ่


นายลงโรซายล์สมัยกงสุลใหญ่ ฉันลงโรซายล์สมัยจักรพรรดิ…นายลงแบร์นาแดต ฉันลงเบอนัวต์…ถ้านายลงฮาล์ฟฟูล ฉันก็ลงอามุนด์…


คิดไม่ถึงว่า การดวลกันระหว่างนักทำนายจะลงเอยด้วยการเล่นไพ่…แต่เป็นไพ่คนจริงที่ดุเดือดและอันตรายมาก… เฮ้อ…ซาราธเป็นถึงเทวทูตลำดับหนึ่ง เจ้านั่นคงไม่ปล่อยให้เราลงไพ่ง่ายนัก และบางที เป็นเราเองที่โชคร้ายดึงไพ่ดี ๆ ออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ไม่สำเร็จเลย…ไคลน์ถอนสายตากลับ หันไปกล่าวกับชารอน


“ผมกำลังวางแผนจะทำบางสิ่งในอนาคตอันใกล้ เป็นงานที่ยากและอันตรายมาก หนึ่งในขั้นตอนสำคัญคือการรวบรวมเลือดของผู้วิเศษทั้งยี่สิบสองเส้นทาง สำหรับเส้นทางวิญญาณอาฆาต ผู้วิเศษที่ผมรู้จักมีแค่คุณกับมาริค…คุณน่าจะถนัดพลังสาปแช่ง และคงมีวิธีตัดขาดการเชื่อมต่อกับเลือดตัวเอง”


อันที่จริง มันสามารถทดลองเรียกพลเรือเอกโลหิตออกจากว่างประวัติศาสตร์ จากนั้นก็นำเลือดมาเทใส่ไหเคลือบเงาที่เตรียมไว้ แต่ไคลน์ไม่รู้ว่าวิธีดังกล่าวจะได้ผลหรือไม่ และการทำนายถามก็เปล่าประโยชน์ เพราะไม่เพียงสิ่งนี้จะเกี่ยวข้องกับลำดับที่สูงกว่าหนึ่ง แต่มันยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ สิ่งเดียวที่ควรให้ความสนใจจึงเป็น ผู้บริจาคเลือดทุกคนต้องไม่ได้รับอันตรายจากเหตุการณ์คราวนี้


เนื่องจากพลังของปราชญ์โบราณค่อนข้างกว้างและคลุมเครือ ไคลน์จึงเคยทดลองอัญเชิญแม่มดทริสซี่ออกมาจากช่องว่างประวัติศาสตร์และนำเลือดของเธอป้ายลงบน ‘การเดินทางของกรอซาย’


แต่น่าเสียดาย วิธีนี้ไม่ได้ผล


หลังจากไตร่ตรองเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ไคลน์พบว่าสาเหตุที่ล้มเหลวอาจเป็นเพราะความขัดแย้งของเส้นเวลา – เลือดของทริสซี่ที่นำมาป้ายบนลง ‘การเดินทางของกรอซาย’ เป็นทริสซี่ในอดีต ดังนั้น หนังสือจึงควรดูดทริสซี่ในอดีตเข้าไป แต่นั่นจะเท่ากับเป็นการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์


และเมื่อปราชญ์โบราณไม่มีพลังในการเปลี่ยนอดีต ผลลัพธ์จึงล้มเหลว


ได้ฟังคำขอของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ ชารอนตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


“ตกลง…ต้องการแค่ไหน”


ชารอนตอบสนองเหมือนที่เราคิดไว้ทุกประการ…ไคลน์หยิบหลอดแก้วใบเล็กออกมา


“แค่หลอดนี้ก็พอ”


ชารอนที่แต่งกายในเดรสโกธิกซับซ้อน ยกมือขวาแผ่วเบา ประหนึ่งบันดาลให้หลอดแก้วมีชีวิต มันบินออกจากฝ่ามือของไคลน์ไปหาเธอ


ทันทีหลังจากนั้น สตรีที่ดูเหมือนตุ๊กตานำมือขวาวางลงบนมือซ้าย เล็บที่ยาวและคมมากงอกออกมา


เพียงรูดผ่านข้อมือแผ่วเบา รอยแผลถูกกรีดเป็นทางยาวปรากฏขึ้น แต่แทนที่เลือดสีแดงจะหยดลง พวกมันกลับลอยขึ้นไปในอากาศและบรรจุลงขวดแก้วอย่างนุ่มนวล


จนกระทั่งใส่จนเต็มบาดแผลของชารอนสมานปิดสนิท ปราศจากรอยแผลเป็นโดยสิ้นเชิง ขณะเดียวกัน จุกหลอดแก้วลอยขึ้นไปตรงปากพร้อมกับหมุนปิดด้วยตัวเอง


ระหว่างดำเนินการ ชารอนมีสีหน้าเรียบเฉย ปราศจากการเปลี่ยนแปลงทั้งปวง ประหนึ่งอารมณ์ทั้งหมดถูกผนึกอยู่ในส่วนลึกจิตใจ


จ้องมองหลอดแก้วที่บรรจุเลือดจนเต็ม ชารอนนำมือซ้ายไปจ่อเกลียวฝา รูดลงจากบนลงล่างอย่างเชื่องช้า


ทำไปเพื่อตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างเลือดกับร่างต้น


จัดการเสร็จ หลอดบรรจุเลือดลอยกลับมาตกลงบนฝ่ามือไคลน์


“มีอะไรให้ช่วยอีกไหม” ชารอนที่นั่งบนเก้าอี้พนักสูง กล่าวอย่างใจเย็น


“ไม่มีแล้ว ขอบคุณมาก” ไคลน์ส่ายหน้าพร้อมกับดีดนิ้ว จุดไฟลุกท่วมฝ่ามือ


เปลวไฟปกคลุมหลอดแก้วโดยสมบูรณ์


จนกระทั่งเปลวไฟสีแดงหายไป หลอดแก้วก็หายไปเช่นกัน


นี่คือการยกระดับของ ‘กระโจนไฟ’ สามารถย้ายวัตถุบนร่างกายไปยังหุ่นเชิดหรือร่างต้นในพริบตา


นอกจากกระโจนไฟ พลังพิเศษอื่นของไคลน์ยังถูกเสริมแกร่งในทุกมิติ


หลังจากแสดงการใช้พลังอย่างชำนาญ มันจ้องชารอนฝั่งตรงข้าม ถามอย่างเป็นกันเอง


“โอสถหุ่นกระบอกย่อยไปถึงไหนแล้ว”


ย้อนกลับไปตั้งแต่ที่มันพบชารอนครั้งแรก ภาพจำของอีกฝ่ายก็เหมือนตุ๊กตามาแต่ไหนแต่ไร ไคลน์เชื่อว่านี่คงเป็น ‘หลักคำสอน’ ของฝ่ายระงับแรงปรารถนา เพื่อให้ศิษย์ทุกคนมีโอกาสได้สวมบทบาทล่วงหน้า และเมื่อเธอดื่มโอสถหุ่นกระบอกเข้าไป พัฒนาการที่สั่งสมมานานจะเกิดความคืบหน้าในคราวเดียว


“ก็ดี” ชารอนตอบกระชับ “คงเสร็จสมบูรณ์ภายในหนึ่งถึงสองปี”


หนึ่งถึงสองปี…นั่นสินะ ต่อให้เร็วแค่ไหน คนปรกติก็คงมีหน่วยเป็นปี…แต่สำหรับเราเพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งปีเท่านั้น… ไม่สิ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรภาพภูมิใจ พัฒนาการของเราเกิดจากแผนการของใครบางคน…นอกจากนั้น หากนับรวมเวลาที่ถูกแขวนเหนือประตูแห่งแสง นั่นอาจนานถึงหลายพันปี…ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์…หากเราหลุดพ้นจากชะตากรรมนี้ได้ บางทีอาจได้ชื่อว่าเป็น ‘ผู้สร้างปาฏิหาริย์’ … ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว พยักหน้ารับและตั้งคำถาม


“เป้าหมายถัดไปของคุณคือ?”


ชารอนตอบ


“อยากฟื้นฟูร่างเนื้อของอาจารย์ให้ได้”


มาริคบนโซฟาเสริมทันที


“แต่คุณเคยบอกเราใช่ไหม…หัวหน้าลัทธิเร้นลับ ซาราธ กำลังอยู่ในเบ็คลันด์และใกล้ชิดกับโรงเรียนกุหลาบ”


“ใช่” ไคลน์ยิ้ม “กรุณาอดทนรออย่างใจเย็น โอกาสจะต้องมาถึงแน่”


อันที่จริง นี่เป็นแค่คำปลอบใจ เพราะถึงไคลน์จะกลายเป็นปราชญ์โบราณเรียบร้อยแล้ว แถมยังมีผู้ช่วยที่แข็งแกร่งอีกมาก แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีความคิดที่จะลงมือกับซาราธแม้แต่น้อย – เทวทูตลำดับหนึ่ง ซึ่งไม่บาดเจ็บหรือตกหลุมพราง ระดับความน่าสะพรึงกลัวไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะจินตนาการออก!


นอกจากนั้น ยิ่งไคลน์มีความรู้ในเส้นทางนักทำนายมากขึ้น มันก็ยิ่งตระหนักถึงความน่ากลัวของซาราธ


หลังจากขัดขวางพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์เทพของจอร์จที่สาม ไคลน์วางแผนจะออกจากเบ็คลันด์และหาเวลาพัฒนาตัวเอง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)