Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1127-1136
ราชันเร้นลับ 1127 : ปราสาทต้นกำเนิด
ขณะเปลวไฟสีแดงทั้งสองดวงลอยมาอยู่ที่ปลายเท้าไคลน์และสุนัขแห่งฟัลกริมหมอบลง ชายหนุ่มได้สติตื่นพร้อมกับความฉงนและโล่งใจ
ทำไมพวกมันถึงทำร้ายตัวเองด้วยการมอบดวงตาให้เราคู่หนึ่ง…ดูเหมือนว่าจะเลือดไหลด้วย…
ถ้านี่คือกับดัก เราคงตกหลุมพรางไปแล้ว…ถึงกับชะงักไปหลายวินาที สำหรับจอมเวทพิสดาร นี่คือความผิดพลาดที่ยากจะอภัย…
แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าได้พบเจอสถานการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก คงตอบสนองไม่ต่างจากเรานัก – ศัตรูตัวฉกาจที่เตรียมคิดแผนสำหรับล่ามาเป็นอย่างดี กลับหมอบลงและกระดิกหางรอรับคำชมเชย…ไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนฝัน…
ท่าทีตอบสนองคล้ายกับอาโรเดสมาก…หรือว่าความเป็น ‘ผู้ปกครองสูงสุดเหนือโลกวิญญาณ’ จะส่งอิทธิพลบางอย่างกับสัตว์วิญญาณ?
ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ชำเลืองมองสุนัขแห่งฟัลกริมทั้งสองตัวที่ยังนอนหมอบพลางกระดิกหางในความว่างเปล่า จากนั้นก็เหยียดแขนซ้ายออกไปจับเปลวไฟสีแดงสองดวงที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดเหนียว
ในวินาทีที่สัมผัสกับเปลวไฟ เสียงเพรียกและเสียงคำรามที่คุ้นเคยดังขึ้นในหัวไคลน์ บ้างแหลมเล็ก บ้างทุ้มต่ำ บ้างก็บ้าคลั่ง
พร้อมกันนั้น สายหมอกสีเทามายาปรากฏขึ้นในการมองเห็น
กลุ่มหมอกกระจายออกไปทั่วบริเวณ มองไม่เห็นขอบเขตที่แน่ชัด ด้านบนเป็นพระราชวังสูงตระหง่านที่ค่อนข้างคลุมเครือ
มันคุ้นเคยกับฉากเหล่านี้ เพราะทุกครั้งที่ส่งตัวเองเข้าสู่มิติเหนือสายหมอก ภาพที่คล้ายคลึงกันจะปรากฏขึ้นเสมอ
ในช่วงที่เริ่มเดินถอยหลังสี่ก้าวใหม่ ๆ ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วมากจนยากจะมองเห็นสภาพแวดล้อม แต่เมื่อมีลำดับสูงขึ้น การปรับตัวก็ดีขึ้น สามารถสังเกตเห็นสิ่งรอบตัวได้ง่ายขึ้น
แต่ในปัจจุบัน ไคลน์ไม่ได้เอ่ยนามของ ‘ราชันสวรรค์ไร้ขอบเขตประทานโชค’ และไม่ได้เดินถอยหลังสี่ก้าว
สถานการณ์ตรงหน้าทำให้ไคลน์ทวีความหวาดระแวง ทันใดนั้น มันเห็นเงารางกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหวภายในสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขต บ้างซ้อนทับกับสายหมอก บ้างก็แยกออกจากกัน ทุกร่างมีดวงตาเป็นเปลวไฟลุกไหม้ ร่างกายปกคลุมไปด้วยขนสั้นสีดำ – สุนัขแห่งฟัลกริม
สุนัขแห่งฟัลกริมสองตัวที่สูญเสียดวงตาตัวละข้าง เดินกลับเข้าไปรวมกลุ่มกับฝูง ผสมผสานกลายเป็นกลุ่มก้อนสีเข้มท่ามกลางหมอกสีเทา
เมื่อภาพนิมิตจบลง ไคลน์พบว่าตนกำลังล่องลอยท่ามกลางส่วนลึกของโลกวิญญาณ สุนัขแห่งฟัลกริมทั้งสองตัวหายไปแล้ว เหลือเพียงหุ่นเชิดทั้งสองและสัตว์วิญญาณหน้าตาประหลาดเตร็ดเตร่อยู่ห่างออกไป
“…” ไคลน์ก้มศีรษะลง จ้อง ‘ดวงตา’ และเลือดในมือตน สิ่งเหล่านี้คือเครื่องยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นความจริง มิใช่ภาพหลอน
สุนัขแห่งฟัลกริมมีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ผู้พิทักษ์แห่งปราสาทต้นกำเนิด’ …พวกมันอาศัยอยู่ในช่องว่างประวัติศาสตร์ของโลกวิญญาณ…เมื่อครู่เราเห็นพวกมันรวมกลุ่มกันท่ามกลางมิติหมอก…พิจารณาจากสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน ไคลน์ลองวิเคราะห์
บางที ปราสาทต้นกำเนิดอาจหมายถึงมิติลึกลับเหนือสายหมอก และหมายถึงบานประตูแห่งแสง…
หมอกสีเทาคือสัญลักษณ์แทน ‘ประวัติศาสตร์’ ของโลกวิญญาณ และภายในนั้นมีช่องว่าง…
ทุกครั้งที่เราเข้าไปในมิติลึกลับโดยผ่านสายหมอกสีเทา เราจะทิ้งร่องรอยไว้ที่นั่นเสมอ ส่งผลให้สุนัขแห่งฟัลกริมคุ้นเคยและมองเราเป็นเจ้าของปราสาทต้นกำเนิด ทันทีที่เห็นเราในโลกวิญญาณ พวกมันจึงมอบสิ่งที่เราต้องการเพื่อเอาอกเอาใจ?
วางแผนมาทั้งวัน สอบถามสภาพแวดล้อมมาเป็นอย่างดี ถึงขั้นนัดแนะกับผู้ช่วย…ลงเอยด้วยการโจมตีองครักษ์ของตัวเอง?
คิดถึงถึงตรงนี้ ไคลน์เกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย คล้ายกับมิสเตอร์ฟูลเหนือสายหมอกสีเทาพยายามเหยียดแขนออกไปช่วงชิงบางสิ่ง แต่กลับลงเอยด้วย มือดังกล่าวทุบเข้าใส่หน้าอกตัวเอง
ฟู่ว…ปราสาทต้นกำเนิด…แม้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่จะทำให้เราหวาดกลัวมากกว่าเดิม แต่อย่างน้อยก็ได้เข้าใจเจ้าของมิติหมอกมากขึ้น สำหรับบางเรื่อง ความไม่รู้นั้นน่ากลัวที่สุด…หลังจากยืนอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางส่วนลึกของโลกวิญญาณสักพัก ไคลน์ถอนหายใจออก เรียกหุ่นเชิดทั้งสองกลับมา
ชายหนุ่มคิดจะรอให้โอสถจอมเวทพิสดารถูกย่อยอย่างสมบูรณ์เสียก่อน จึงค่อยค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทต้นกำเนิดจากกระจกวิเศษ อาโรเดส และแหล่งข้อมูลอื่น เมื่อถึงตอนนั้น หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น มันจะได้รับมือด้วยพลังที่ถูกเลื่อนลำดับมา
…
เขตตะวันออก ภายในบ้านเช่าแบบสองห้องนอน
ฟอร์สกลับจากข้างนอกในสภาพใต้ตาหมองคล้ำ ในมือถือหนังสือพิมพ์และจดหมาย
“เป็นยังไงบ้าง?” ซิลที่เพิ่งกลับถึงบ้านเพื่อกินอาหารกลางวัน เอ่ยปากถาม
ฟอร์สอ้าปากหาวโดยใช้มือปิด
“ก็ดี…บรรณาธิการที่ฉันรู้จัก ค่อนข้างพึงพอใจกับเนื้อหาและสำนวนการเขียนนิยายเรื่องใหม่ เขาตัดสินใจจะตีพิมพ์ให้เร็วที่สุด…เธออาจไม่รู้ แต่ตำนานสยองขวัญของโรงพยาบาลในกรุงเบ็คลันด์ได้รับความนิยมอย่างมากในระยะหลัง นักเขียนนิยายขายดีจำนวนหนึ่งใช้เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจและเริ่มลงมือเขียนในสิ่งที่คล้ายกัน…ฉันไม่ใช่คนแรก!”
“…เป็นข่าวดีสินะ” ซิลครุ่นคิดสักพักก่อนจะพยักหน้าขึงขัง
เพราะนั่นจะหมายความว่า ฟอร์สที่เขียนเกี่ยวกับตำนานสยองขวัญของโรงพยาบาลในกรุงเบ็คลันด์ จะไม่เป็นที่สะดุดตามากเกินไป และไม่มีใครเพ่งเล็งนามปากกาใหม่ของเธอ
“เห็นด้วย” ฟอร์สวางหนังสือพิมพ์ลง ดึงจดหมายออกมาสามฉบับและพลิกอ่าน
ในไม่ช้า เธอได้พบกับคำตอบจากอาจารย์ของตน โดเรียน·เกรย์·อับราฮัม
สีหน้าฟอร์สแปรเปลี่ยนเป็นขึงขังทันที รีบฉีกซองจดหมาย คลี่กระดาษและกวาดสายตาอ่าน
“…เบนจามิน·อับราฮัมเป็นชาวอินทิส อาศัยอยู่ในยุคสมัยเดียวกับโรซายล์…นอกจากความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับและมรดกเพียงเล็กน้อย เขาไม่ได้ทิ้งสิ่งของที่มีค่าไว้มากนัก…ในภายหลัง เกือบทั้งหมดถูกทำลายด้วยฝีมือชุมนุมแสงเหนือ ผมจึงแทบไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้อง…”
มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะต้องผิดหวังแน่…ฟอร์สเม้มปาก เล่นกลเพื่อจุดไฟเผากระดาษจดหมายในมือจนไหม้เกรียม
จากนั้น เธอลงมือเขียนจดหมายตอบ เป็นการถามถึงข้อมูลเกี่ยวกับซากโบราณสถานของจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์
…
เบาะแสของเบนจามิน·อับราฮัมถูกทำลาย…เป็นความผิดของพวกเสียสติจากชุมนุมแสงเหนือ…ไคลน์ขึ้นมายังมิติหมอกเพื่อฟังคำสวดวิงวอนของมิสเมจิกเชี่ยน
นอกจากนั้น มันยังได้ทราบข่าวการตีพิมพ์ของตำนานสยองขวัญของโรงพยาบาลในกรุงเบ็คลันด์
กลับถึงโลกแห่งความจริง ขณะไคลน์เตรียมออกไปกินอาหารนอกบ้าน มันเห็นมิสผู้ส่งสารเดินออกจากความว่างเปล่าพร้อมกับถือสี่หัวทองตาแดง หนึ่งในนั้นกำลังงับจดหมาย
“จากใคร?” ไคลน์ถามด้วยความอยากรู้
ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ใช้อีกสามหัวตอบกลับ
“ไอ้งั่ง…” “ที่ถูก…” “ล่อลวง…”
ใครกันล่ะนั่น…ชายหนุ่มขมวดคิ้วขณะคลี่จดหมายอ่าน
“ผู้อยู่เบื้องหลังทุกสิ่งคือจอร์จที่สาม เป้าหมายคือการเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืด…คุณสนใจจะขัดขวางหรือไม่”
“ทริสซี่”
ทริสซี่? แม่มดรายนี้กล้าเขียนจดหมายถึงเราแล้ว? หายกลัวมิสผู้ส่งสารแล้วหรือ? จริงสิ…ท่านบอกว่าคนส่งคือ ‘ไอ้งั่งที่ถูกล่อลวง’ …ทริสซี่ล่อลวงให้ผู้ชายสักคนประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสารแทน ส่วนตัวเองก็รอติดต่อผ่านกระจกเงา? ฉลาดมาก…แถมยังสืบไปได้ไกลทีเดียว…ไม่กลัวว่าจะถูกจอร์จที่สามหรือเราฆ่าทิ้งบ้างหรือ? อา…คนที่ประกอบพิธีกรรมต้องเป็นผู้วิเศษ คนธรรมดาอัญเชิญผู้ส่งสารไม่ได้แน่ เพราะจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณในปริมาณหนึ่ง…ไคลน์ประหลาดใจในตอนต้น จากนั้นก็กระจ่าง
ถัดมา มันลองคาดเดาว่า เหตุใดทริสซี่จึงสงสัยว่าจอร์จที่สามต้องการเป็นจักรพรรดิมืด
ถ้าไม่มีความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับที่มากพอ และถ้าไม่รู้จักพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืดและประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง กระทั่งครึ่งเทพก็ยากจะเดาได้แม่นยำ…ไม่ได้ง่ายเหมือนที่วิญญาณมารเทวทูตสีชาดบอกเลยสักนิด!
ทริสซี่มีตัวช่วยคนอื่น? หรือพลังของแม่มดบรรพกาลในตัวเริ่มตื่นขึ้น ข้อมูลทางประวัติศาสตร์จำนวนมากจึงหลั่งไหลเข้ามาเพิ่มเติม? ไคลน์ขมวดคิ้ว พบว่าคำถามนี้ตอบได้ไม่ง่าย
หากมีโอกาส มันจะกำจัดแม่มดทริสซี่ทิ้งอย่างแน่นอน
หลังจากครุ่นคิดนานกว่าสิบวินาที ชายหนุ่มหยิบปากกาและกระดาษออกจากกระเป๋าเสื้อ เขียนตอบกลับไปว่า
“สนใจ…ว่าแต่เธอจะทำยังไง”
…
ในย่านสะพานเบ็คลันด์ ชายวันสามสิบเผยสีหน้าหวาดผวาสุดขีดขณะจ้องสตรีหัวขาด ไม่สิ ผีสี่หัวที่ปรากฏกายเบื้องหน้าและทิ้งจดหมายไว้
“ผู้ส่งสารของโลกเหนือธรรมชาติน่ากลัวแบบนี้กันหมดเลยหรือ?” หลังจากไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์จากไปเกือบห้านาที ชายคนเดิมสูดลมหายใจยาว ก้มหยิบจดหมายขึ้นมามอง
ระหว่างนั้น ดวงตาของมันเริ่มลุกโชนด้วยความยินดี เพราะตนกำลังจะได้พบกับสาวงามในฝันอีกครั้ง
ตามคำแนะนำ มันรอจนกระทั่งตกเย็น จึงค่อยนำวัตถุสีดำคล้ายแป้งเปียกออกมาทาบนกระจกเงาอย่างทั่วถึง
ผ่านไปไม่กี่วินาที ผิวกระจกมืดลง ประหนึ่งเชื่อมต่อกับโลกอีกใบ
เพียงพริบตา ภาพในกระจกกลายเป็นห้องที่แตกต่างจากสภาพแวดล้อมโดยสิ้นเชิง ใจกลางห้องมีหญิงสาวหน้าตาอ่อนหวานคนหนึ่งแต่งกายในเดรสสีดำเข้ม ไม่ใช่ใครนอกจากแม่มดทริสซี่
ชายผู้ประกอบพิธีกรรมเผยสีหน้าลามกพลางหรี่เสียงลงโดยไม่รู้ตัว
“อีกฝ่ายตอบว่าสนใจ”
ลักยิ้มบนแก้มทั้งสองข้างของทริสซี่เริ่มขยายใหญ่ ส่งผลให้ฉากภายในกระจกดูสดใสขึ้นเล็กน้อย
เธอขมวดคิ้วผ่อนคลายพลางกล่าว
“ฉันจะส่งจดหมายถึงคุณ ให้คุณส่งต่อไปหาเกอร์มัน·สแปร์โรว์…ห้ามเปิดอ่านเนื้อหาเด็ดขาด”
หลังจากได้ยินอีกฝ่ายรับปากโดยไม่ลังเล ทริสซี่ยื่นมือขวาออกมาเช็ดผิวกระจก เกิดแสงวารีสีดำกระเพื่อมและเลือนหาย
หญิงสาวหยิบปากกาและกระดาษขึ้นมาถือ ไตร่ตรองสักพักก่อนจะเขียน
“สุสานลับที่จำเป็นในพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืดของจอร์จที่สาม น่าจะเคยเป็นของจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์มาก่อน มีบางตัวตนที่ล่วงรู้ข้อมูลนี้ในเชิงลึก อาจช่วยให้พวกเราแทรกซึมเข้าไปได้อย่างราบรื่นระหว่างพิธีกรรม… ฉันมีวิธีติดต่อกับตัวตนดังกล่าว แต่ต้องรอให้เกิดพระจันทร์เต็มดวงครั้งถัดไปเสียก่อน สิ่งที่คุณต้องทำมีเพียง ช่วยรวบรวมเลือด เส้นผม เนื้อ หรือกระดูก จากลูกหลานของตระกูลอับราฮัม”
“ทริสซี่”
ราชันเร้นลับ 1128 : ผลลัพธ์
เขตตะวันออก บ้านเช่าแบบสองห้องนอน
ไคลน์ที่รับจดหมายตอบจากไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ ดึงเก้าอี้ออกมานั่งลง คลี่กระดาษอ่าน
เธอรู้ถึงการดำรงอยู่ของมิสเตอร์ประตู แถมยังรู้วิธีใช้สายเลือดอับราฮัมในการติดต่อกับท่าน…ทริสซี่สามารถทนฟังเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตูได้หรือ? ไม่กลัวจะเกิดภาวะคลุ้มคลั่ง? ดูเหมือนเธอจะมั่นใจมากว่าอีกฝ่ายเป็นใคร…ความรู้จากแม่มดบรรพกาล? แต่ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วทำไม ‘แม่มดขาว’ คาร์เทอริน่าถึงต้องตามล่าเธอ? ไคลน์อ่านเนื้อหาของจดหมาย ภายในใจผุดคำถามมากมาย
เนื่องจากสิ่งที่ทริสซี่เล่าอยู่ในขอบเขตที่ไคลน์เข้าใจ มันจึงเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก และแผนการที่เสนอมาก็ฟังดูเป็นไปได้มากทีเดียว
แต่แน่นอน แผนการนี้จะสำเร็จได้ต้องบรรลุเงื่อนไขสามข้อ หนึ่ง ต้องรู้จักพิธีกรรมที่ถูกต้อง สอง ต้องมีเลือดหรือวัสดุที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกตระกูลอับราฮัมเป็นสื่อกลาง และสาม ผู้ให้ต้องยินยอมแบกรับความเสี่ยง
จากทั้งสามประเด็น ไคลน์ไม่มีข้อมูลในข้อแรก และค่อนข้างเป็นกังวลกับข้อที่สาม หากเป็นไปได้ก็อยากใช้วิธีที่ปลอดภัยกว่านี้ ส่วนทริสซี่ ดูเหมือนเธอจะสนใจแค่ข้อที่สอง
สำหรับเรา การตามหาทายาทตระกูลอับราฮัมไม่ใช่เรื่องยาก สามารถติดต่อผ่านมิสเมจิกเชี่ยนโดยตรง แต่ถ้าต้องให้ใครมอบเลือด เนื้อ หรือกระดูกให้ทริสซี่ หมายความว่าคนคนนั้นมีความเสี่ยงที่จะถูกสาป…ไคลน์รู้จักเส้นทางแม่มดเป็นอย่างดี ทราบว่าพวกหล่อนชำนาญการสาปแช่งมากแค่ไหน
ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์พบทางออกที่ไม่ซับซ้อน นั่นคือการใช้เส้นผมหรือกระดูกของคนตาย
มันยังไม่ลืมว่า มิสเมจิกเชี่ยนเคยเล่าให้เดอะฟูลฟัง ถึงเรื่องที่เคยฝังศพสุภาพบุรุษที่ชื่อลอว์เรนซ์ ชายคนนั้นเป็นลูกหลานตระกูลอับราฮัมอย่างไม่ต้องสงสัย
หวังว่าเขาจะยังไม่ถูกเผา…แม้นี่จะถือเป็นเรื่องเสียมารยาทต่อศพ แต่การติดต่อกับมิสเตอร์ประตูก็มีความจำเป็นต่อการขจัดคำสาปของตระกูลอับราฮัม การใช้คนตายนั้นดีกว่าให้คนเป็นต้องมาเสี่ยง…เราต้องอ้างกับทริสซี่ว่า นี่เป็นเงื่อนไขที่ตระกูลอับราฮัมยื่น หากต้องการนำชิ้นส่วนไปประกอบพิธีกรรม…
อันดับแรก เราต้องยืนยันให้ได้ว่าทริสซี่แค่ต้องการพูดคุยกับมิสเตอร์ประตู ไม่ใช่ดึงท่านกลับสู่โลกแห่งความจริง… ท่านมีระดับตัวตนที่สูงส่ง คงเป็นการยากที่จะทำนายและได้รับคำตอบ…แต่จักรพรรดิโรซายล์เคยเล่าว่า พิธีกรรมในการพาตัวมิสเตอร์ประตูกลับมานั้นมีความซับซ้อนมาก มิอาจทำได้โดยการใช้ลูกหลานเพียงไม่กี่คน…อา…เราคงต้องฝากให้ราชินีเงื่อนงำกับชารอนช่วยตรวจสอบตลาดมืดของกรุงเบ็คลันด์ ดูว่ามีใครพยายามกว้านซื้อวัตถุดิบและคนไปบ้างไหม…ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย ตัดสินใจแวะไปหามิสเมจิกเชี่ยนเพื่อเร่งต้นฉบับ
…
เขตเหนือ ถนนเฟลป์
บนเก้าอี้ม้านั่งริมทางเท้า บุรุษหน้าเรียวหน้าผากกว้างคนหนึ่ง แต่งกายในเสื้อนอกสีดำและหมวกผ้าไหม จ้องไปทางต้นเมเปิ้ลอินทิสที่มีใบสีเหลืองด้วยสายตาเหม่อลอย
บนตาขวา มันสวมแว่นตาขาเดียวที่แกะสลักจากผลึกแก้ว ช่วยมอบบรรยากาศสง่างาม
ทันใดนั้น ชายชราคนหนึ่งซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังวิหารนักบุญแซมมวล พบความผิดปรกติในตัวชายหนุ่ม จึงหยุดและถามเสียงเบา
“พ่อหนุ่ม กังวลเรื่องอะไรอยู่หรือ? สูญเสียบางสิ่งไปในสงคราม?”
มันสงสัยว่า ชายคนนี้คงสูญเสียญาติ คนรัก หรือเพื่อนสนิทไปในการโจมตีทางอากาศ หรือไม่ก็ศึกแนวหน้าที่ยังคงดุเดือด จึงมานั่งริมถนนด้วยสายตาเหม่อลอย
ชายหนุ่มยกมือขึ้นจับแว่น ถอนหายใจพลางส่ายหน้า
“ผมแค่กำลังคิดเกี่ยวกับปัญหาที่ซับซ้อน”
“เป็นนักปรัชญาหรือ?” ชายชราผงะในตอนต้น ก่อนจะโพล่งขึ้น
“เปล่า…ผมแค่ชอบตั้งคำถามเชิงปรัชญา เช่น ตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ไหน และกำลังจะไปไหน” ชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยนก่อนจะกลับไปทำหน้าครุ่นคิด พึมพำบางสิ่งออกจากปากเป็นระยะ
เมื่อชายชราพบว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ยากจะหยั่งถึง จึงส่ายหน้าและเดินจากไปอย่างไม่รีบร้อน ท่ามกลางการจ้องมองจากสุนัขข้างถนน นกกระจอกบนต้นไม้ มดดิน และจุลินทรีย์ในอากาศ
ชายคนเดิมยังคงไม่หันหน้าหนี ขณะใบหน้าสีเหลืองร่วงหล่นจนสะท้อนลงบนผิวแว่นตาขาเดียว มันพึมพำกับตัวเอง
“ยึดร่าง…” “ไม่ยึดร่าง…” “ยึดร่าง…” “ไม่ยึดร่าง…”
“เฝ้ามองเหยื่อ…” “กินเหยื่อ…” “เฝ้ามองเหยื่อ…” “กินเหยื่อ…”
…
เมื่อได้รับเส้นผมของศพลอว์เรนซ์จากมิสเมจิกเชี่ยน และตำนานสยองขวัญในโรงพยาบาลเบ็คลันด์เริ่มถูกตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ทัสซอค ไคลน์รอคอยอย่างอดทน ขณะเดียวกันก็รับปากมิสเมจิกเชี่ยนว่าจะพาไปยังสถานที่ใหม่เพื่อให้เธอบันทึกทิวทัศน์และวัฒนธรรม
เพียงพริบตา สัปดาห์ใหม่ก็มาถึง ไคลน์รับประทานอาหารกลางวันและเตรียมงีบสั้น ๆ เพื่อรอเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ตอนบ่ายสามโมงตรง
ทันใดนั้น ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เจ้าของสีหัวทองตาแดงเดินออกจากส่วนลึกของความว่างเปล่า ปากข้างหนึ่งงับถุงผ้าลินิน
“จากใคร?” ไคลน์เกิดลางสังหรณ์ประหลาดและยากอธิบาย ไม่กล้าเอื้อมไปหยิบพัสดุที่มิสผู้ส่งสารถือ
สามศีรษะของไรเน็ตต์กล่าวเรียงกัน
“รา…” “ชา…” “เห็ด…”
“ที่…” “เปลี่ยนไป…” “โดยสิ้นเชิง…”
มาเป็นประโยค…เราพอจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น…ไคลน์เผยรอยยิ้มพร้อมกับเหยียดแขนออกไปรับพัสดุ
ทันทีที่เปิดถุง มันได้พบกับปีศาจ ไม่สิ เห็ดหลากหลายชนิด
บางดอกมีสีขาวล้วน คล้ายกับจะพ่นน้ำนมออกมาได้ด้วยการบีบแผ่วเบา บางดอกมีสีดำ ทรงอ้วนป้อม มีเส้นใยสีเลือด บางดอกมีรูปดาวสีทองบนผิว หมวกเห็ดใหญ่เท่าฝ่ามือ
กระทั่งปัจจุบัน เห็ดเหล่านี้ยังคงยุบพองเล็กน้อย ราวกับต้องการแพร่พันธุ์เส้นใยและสปอร์
ไคลน์กลืนน้ำลาย หยิบจดหมายท่ามกลางกองเห็ด คลี่ออกมาอ่าน
“ถึงเพื่อนรักของฉัน เกอร์มัน”
“ในที่สุดฉันก็ทำตามความต้องการของนายสำเร็จ สามารถสร้างเห็ดที่เติบโตท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มืดสนิทและแร้นแค้น พวกมันจะเติบโตและขยายพันธุ์ด้วยการกลืนกินเลือดเนื้อของสัตว์ประหลาด ไม่มีเงื่อนไขอื่นให้วุ่นวาย…”
“ลูกหลานของพวกมันแบ่งได้เป็นสองประเภท หนึ่งคือเห็ดที่สะสมพิษและไม่สามารถกินได้ แต่นำมาใช้เป็นแหล่งสารพิษได้ และสองคือเห็ดที่สามารถกินได้ แต่ต้องนำไปปรุงให้สุกด้วยการต้ม นึ่ง หรือทอด ไม่อย่างนั้นมันจะเติบโตในร่างกายโดยใช้เลือดเนื้อเป็นแหล่งอาหาร…”
“เมื่อพิจารณาถึงความจำเจ ฉันตัดสินใจสร้างเห็ดขึ้นมาสิบเอ็ดรสชาติ บางชนิดชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำนมและสามารถดื่มได้เลย บ้างชนิดรสชาติเหมือนเนื้อวัว สามารถทอดได้โดยไม่ต้องใช้น้ำมัน บางชนิดเหมือนเนื้อปลา แต่ไม่มีก้าง แนะนำให้ย่างหรือต้ม…”
“ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากนาย หากฉันไม่ได้เลื่อนลำดับเป็นดรูอิด คงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองสามปี หรืออาจนานนับสิบปีในการแก้ปัญหาที่พบระหว่างการวิจัย…”
“ถ้านายมีไอเดียใหม่ ๆ ที่เหมาะสมกับฉัน ได้โปรดแบ่งปันโดยไม่ต้องเกรงใจ…จากแฟรงค์·ลี เพื่อนตลอดกาลของนาย”
ในท่าถือกระดาษจดหมาย ไคลน์ยืนนิ่งเป็นเวลานาน จนกระทั่งเงยหน้าขึ้นและพบว่ามิสผู้ส่งสารยังรออยู่
“…” ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เดินไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ หยิบปากกาและกระดาษขึ้นมาเขียน
“…ฉันดีใจที่นายทำสำเร็จ เห็ดเหล่านี้ช่วยได้มากทีเดียว โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาภาวะขาดแคลนอาหารในบางพื้นที่…”
“…ตอนนี้ฉันกำลังยุ่งกับบางเรื่อง จึงยังไม่มีไอเดียใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ…”
“…จากเพื่อนของนาย เกอร์มัน·สแปร์โรว์…”
หลังจากพับกระดาษ ไคลน์จ้องมิสผู้ส่งสารและลังเลสักพัก
“สภาพของแฟรงค์·ลีเป็นยังไงบ้าง”
หัวของไรเน็ตต์ที่ไม่ได้พูดในตอนแรก เปิดปากขึ้นก่อน
“ตื่นเต้น..”
อีกสามหัวเสริมเรียงกัน
“กระฉับกระเฉง…” “มีความสุข…” “พึงพอใจ…”
จากนั้น สี่หัวพูดเรียงกัน
“ไม่กลัวการ…” “ถูกโยนจน…” “หัวฝังดิน…” “อีกแล้ว…”
“ทำไม?” ไคลน์ถามตามความเคยชิน
สีหัวทองตาแดงของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์พูดเรียงกัน
“เจ้านั่น…” “สามารถ…” “สกัด…” “ออกซิเจน…”
“และ…” “สารอาหาร…” “ออกจาก…” “ดิน…”
แฟรงค์พัฒนาขึ้นมากหลังจากกลายเป็นดรูอิด…ไคลน์ไม่รู้ว่าตนควรดีใจกับ ‘เพื่อน’ คนนี้ หรือควรไว้อาลัยให้ลูกเรือ ‘อนาคตกาล’ ล่วงหน้าดี
หลังจากเฝ้ามองมิสผู้ส่งสารจากไป ไคลน์เข้าฌานเพื่อบังคับตัวเองให้หลับ จากนั้นก็ตื่นตอนบ่ายสองครึ่งเพื่อเตรียมจัดชุมนุมทาโรต์ประจำสัปดาห์
บ่ายสามโมงตรง แสงสีแดงเข้มส่องสว่างท่ามกลางวังโบราณเหนือสายหมอก ควบแน่นกลายเป็นร่างของแต่ละคน
จัสติส ออเดรย์ ลุกขึ้นยืนทันที จับชายกระโปรงมายาพลางก้มศีรษะลงบนโต๊ะทองแดงยาว
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล~”
ในฐานะนักจิตบำบัดมากประสบการณ์ เธอเชี่ยวชาญการควบคุมอารมณ์ นอกจากนั้น สัปดาห์ที่ผ่านมาก็ไม่ได้เจอเรื่องที่ชวนให้หดหู่สักเท่าไร ส่วนใหญ่เป็นการรับบริจาค ติดต่อบริษัทยา และจัดสรรเจ้าหน้าที่อาสาสมัครทางการแพทย์
อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับสมัยอดีต ความกระฉับกระเฉงและร่าเริงของเธอลดลงไปมาก
เดอะฟูล ไคลน์ พยักหน้าแผ่วเบา ตอบรับคำทักทายของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ ก่อนจะหันไปมองเฮอร์มิท
มันยังติดข้างกับสตรีผู้นี้อยู่อีกแปดคำถาม
เฮอร์มิท แคทลียาก้มศีรษะลงและกล่าวด้วยท่าทีที่สำรวม
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ครั้งนี้มีอีกสองคำถาม”
หลังจากได้รับอนุญาต เธอกล่าวต่อ
“คำถามแรก นรกในปัจจุบันมีสภาพเป็นอย่างไร”
ข้อสงสัยแรกของราชินีเงื่อนงำก็คือ สุสานของจักรพรรดิอาจซ่อนอยู่ในนรก? สอดคล้องกับไอเดียของจักรพรรดิในตอนแรก สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน…น่าเสียดายที่ในนรกไม่มี ‘พลเมือง’ สำหรับปกครองและใช้แรงงาน…เดอะฟูล ไคลน์ กล่าวกับตัวเองในใจสองสามประโยค ตามด้วยตอบเสียงเรียบ
“นรกในปัจจุบันคือดินแดนที่แม้แต่ปีศาจส่วนใหญ่ก็มิอาจดำรงชีวิต”
ราชันเร้นลับ 1129 : แรงกดดัน
นรกในปัจจุบันคือดินแดนที่แม้แต่ปีศาจส่วนใหญ่ก็ยังมิอาจดำรงชีวิต? ได้ยินคำตอบจากมิสเตอร์ฟูล แคทลียาและคนที่เหลืออดไม่ได้ที่จะเกิดความตะลึง
ในเชิงศาสตร์เร้นลับ นรกคือสถานที่ซึ่งถูกขนานนามให้เป็นแหล่งของความเลวทรามและโกลาหล เป็นที่อยู่อาศัยของปีศาจ แต่กลับกลายเป็นว่า ในปัจจุบัน แม้แต่ ‘คนท้องถิ่น’ ก็ยังมิอาจดำรงชีวิตอยู่ที่นั่นได้!
เป็นเพราะสภาพแวดล้อมของนรกเลวร้ายลง ปีศาจจึงอาศัยอยู่ไม่ได้ หรือเป็นเพราะความเลวทรามและโกลาหลถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นจนไม่เหมาะแก่การดำรงชีวิตของปีศาจ? แฮงแมน อัลเจอร์ ตั้งสมมติฐานขึ้นมาสองข้อ แต่ไม่มั่นใจว่าข้อไหนถูก
เฮอร์มิท แคทลียา มีความคิดคล้ายคลึงกัน ถึงเธอจะไม่เข้าใจว่าทำไมราชินีถึงเลือกคำถามนี้ แต่พิจารณาจากคำตอบ มิสเตอร์ฟูลกำลังสื่อเป็นนัยว่ามีความไม่ปรกติเกิดขึ้นที่นั่น บางทีอาจช่วยขจัดข้อสงสัยที่ราชินีอยากทราบ
สำหรับจัสติส ออเดรย์ เธอฉุกคิดถึง ‘นักพยากรณ์’ ครึ่งเทพแห่งโบสถ์ปัญญาความรู้ที่เกือบคลุ้มคลั่ง อีกฝ่ายเคยกล่าวไว้ว่า วันสิ้นโลกจะมาถึงในปี หนึ่งพันสามร้อยหกสิบแปด แห่งยุคสมัยที่ห้า นี่คือข้อเท็จจริงที่ผู้วิเศษส่วนใหญ่เคยได้ยิน และแม้แต่ทวยเทพก็ยืนยันเช่นนั้น
ปัจจุบันคือปีหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบ เหลือเพียงสิบแปดปีจากวันสิ้นโลก… ส่งผลให้นรกเผยสัญญาณความเลวทรามและโกลาหลยิ่งกว่าเดิม ไม่ได้เป็นแค่สถานที่เชิงสัญลักษณ์เหมือนในอดีต? ออเดรย์พอจะคาดเดาได้ ภายในใจเริ่มกระสับกระส่าย
เดิมที เนื่องจากไม่เคยมีเค้าลางของวันสิ้นโลกปรากฏให้เห็น หญิงสาวจึงไม่ใส่ใจมากนัก ความสนใจส่วนใหญ่มุ่งไปยังสงครามตรงหน้า รวมถึงผู้คนที่กำลังล้มตาย ได้รับบาดเจ็บ และทุกข์ทรมาน แต่เมื่อได้ยินคำตอบ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในนรกทำให้หญิงสาวเกิดความกลัวจากก้นบึ้งซึ่งยากจะอธิบาย อยากเร่งมือย่อยโอสถเพื่อครอบครองตะกอนพลังที่เฮอร์วิน·แรมบิสเหลือทิ้งไว้และกลายเป็นครึ่งเทพ
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น เธอจึงจะแทรกแซงและต่อกรกับสถานการณ์ที่ตัวเองไม่ปรารถนาจะให้เกิด
มิสเตอร์เวิร์ล ได้โปรดมอบหมายงานให้ฉันอีก…จัสติส ออเดรย์ สวดวิงวอนภายในใจพร้อมกับใช้พลังปลอบโยนเพื่อสงบสติ
สมาชิกคนอื่นอย่างเดอะสตาร์ เลียวนาร์ด เมจิกเชี่ยน ฟอร์ส และจัดจ์เมนต์ ซิล เคยนึกสงสัยว่า นรกมีจริงหรือไม่ เพราะหลังจากยุคสมัยที่สอง นรกก็ไม่ปรากฏสู่สายตาสาธารณชนอีกเลย ปีศาจในชีวิตจริงส่วนมากมักมาจากนิกายบูชาโลหิต แม้แต่ปีศาจระดับสูงและตัวตนลึกลับที่พิธีกรรมส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปหา ก็ล้วนเป็นเบื้องบนของนิกายบูชาโลหิตทั้งสิ้น
จริงอยู่ เทพมารอย่าง ‘ด้านมืดเอกภพ’ มักถูกเรียกว่าร่างจุติของนรก แต่ก็แทบไม่มีความเคลื่อนไหว หากไม่ใช่เพราะด้านมืดเอกภาพคอยตอบสนองต่อพิธีกรรมเป็นครั้งคราว และแสดงอำนาจในขอบเขตปีศาจ คนส่วนใหญ่คงคิดว่าด้านมืดของเอกภพเป็นแค่ตำนานเล่าขาน เหมือนกับราชาคนยักษ์เออเมียร์
อย่างไรก็ดี ข้อมูลลับของโบสถ์รัตติกาลที่เลียวนาร์ดมีสิทธิ์เข้าถึง ระบุว่ามีโอกาสที่ด้านมืดของเอกภพจะเป็นการสวมรอยจากเทพมารหรือตัวตนลึกลับบางตน
เดอะซัน เดอร์ริค ไม่ประหลาดใจมากนัก เพราะในดินแดนที่ห่างออกไปจากเมืองเงินพิสุทธิ์ ลึกเข้าไปในความมืดมิดอันไร้ขอบเขต มีปีศาจจำนวนไม่น้อยที่อาละวาดอย่างบ้าคลั่ง ไม่เว้นกระทั่งปีศาจระดับครึ่งเทพ ไม่ต่างอะไรกับนิยามของคำว่านรกที่ทุกคนเข้าใจ
หากไม่ใช่เพราะการดำรงอยู่ของวังราชาคนยักษ์ซึ่งเป็นสถานที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์อาจตั้งข้อสงสัยว่า บางทีพวกตนคงถูกทอดทิ้งและโยนลงมาในนรก
ท่ามกลางกระแสความคิดมากมายของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ เฮอร์มิท แคทลียาระงับความสงสัยและถามคำถามถัดไป
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ คำถามที่สองก็คือ พฤติกรรมในช่วงบั้นปลายของจักรพรรดิโรซายล์ ได้รับอิทธิพลมาจากปัจจัยภายนอกที่ไม่จำเป็นใช่หรือไม่”
คำถามดังกล่าวทำให้ไคลน์หวนนึกถึงเนื้อหาที่น่าขนลุกและขัดแย้งกันเองในไดอารีช่วงบั้นปลายของโรซายล์ ถึงกับต้องถอนหายใจยาว
เดอะฟูลส่ายศีรษะ
ไม่ใช่? พฤติกรรมเหล่านั้นเป็นเจตจำนงของตัวจักรพรรดิเอง…ขณะเฮอร์มิท แคทลียากำลังผิดหวังและอึดอัด เธอได้ยินเสียงเดอะฟูลถอนหายใจด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่อิทธิพลจากภายนอก แต่เป็นการกัดกร่อน…แม้แต่เราก็ตรวจพบได้ไม่ง่าย”
การกัดกร่อน…จักรพรรดิโรซายล์ถูกกัดกร่อนในช่วงบั้นปลาย? แต่ตอนนั้นท่านเป็นถึงเทวทูตเดินดิน ยังถูกกัดกร่อนได้อีกหรือ? เป็นฝีมือของเทพแท้จริง หรือการกัดกร่อนจากใต้ดินที่แม้แต่เทพบรรพกาลยังขยาด? จัสติส ออเดรย์ออกอาการตกตะลึง เมื่อผนวกกับความรู้ในหัว เธอพอจะคาดเดาบางสิ่ง
แฮงแมน อัลเจอร์และสมาชิกคนอื่นของชุมนุมทาโรต์ต่างก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับโรซายล์ในช่วงบั้นปลาย บางคนตั้งคำถามกับจุดประสงค์ที่จักรพรรดิโรซายล์สร้างไพ่เย้ยเทพขึ้นมา
ขณะเดียวกัน พวกมันเริ่มตระหนักว่า จุดประสงค์ในการรวบรวมไพ่เย้ยเทพของมิสเตอร์ฟูล อาจยิ่งใหญ่กว่าที่พวกตนเคยเข้าใจ
ในเกมที่เกี่ยวพันกับชะตากรรมของโลกทั้งใบ มีเพียงตัวตนที่ยิ่งใหญ่อย่างมิสเตอร์ฟูลเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติเป็น ‘ผู้เล่น’ ส่วนเราเป็นได้แค่ไพ่หรือชิปสักแผ่น…ราชาเทวทูตกับเทวทูตลำดับหนึ่ง เองก็น่าจะได้สิทธิ์เข้าร่วม…แฮงแมน อัลเจอร์ ถอนหายใจเงียบ อันที่จริง มันเองก็ปรารถนาจะเป็น ‘ผู้เล่น’ คนหนึ่งเหมือนกัน
เรื่องราวในบั้นปลายชีวิตของจักรพรรดิโรซายล์ พลิกผันจากทรราชกลายเป็นเทพมาร? หนังสือที่เนื้อหาในช่วงแรกเริ่มด้วยความโรแมนติก สร้างแรงบันดาลใจ เปี่ยมไปด้วยความรัก การผจญภัย การทุ่มเท และความเน่าเฟะทางการเมืองและชนชั้นสูงของอินทิส สุดท้ายกลับลงเอยด้วยเรื่องสยองขวัญ? แม้แต่เราก็ไม่กล้าแต่งนิยายแบบนี้! ถ้าเป็นเรา คงเขียนให้ตอบจบลงเอยด้วยความเศร้าอันเนื่องมาจากถูกคนรักหักหลัง หรือไม่ก็เป็นการผิดคำมั่นสัญญา…เมจิกเชี่ยน ฟอร์ส อดไม่ได้ที่จะปล่อยให้ความคิดล่องลอย ในใจนึกอยากจับปากกาขึ้นมาเขียนชีวประวัติของจักรพรรดิโรซายล์มหาราช
แต่แน่นอน ในท้องตลาดมีชีวประวัติของจักรพรรดิโรซายล์อยู่ไม่น้อย และบางเล่มมีเนื้อหาต้องห้าม
ถูกกัดกร่อน…เพราะถูกกัดกร่อนนี่เอง…เฮอร์มิท แคทลียา เกิดความเศร้าโศกสักพัก
เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะอย่างน้อยจักรพรรดิก็มิได้เปลี่ยนจากวีรบุรุษเป็นมังกรชั่วตามที่ตำนานเขียนไว้ ท่านยังคงเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การยกย่อง สิ่งเดียวที่น่าเศร้าก็คือ ความจริงเบื้องหลังยังไม่ถูกเปิดเผยจวบจนปัจจุบัน
เมื่อสงบสติลง แคทลียานึกทบทวนถึงการถูกกัดกร่อน และยิ่งครุ่นคิดมากเท่าไร เธอก็ยิ่งตื่นตระหนกมากเท่านั้น
เธอเชื่อว่าตนรู้จักจักรพรรดิโรซายล์ดีกว่าใครในบรรดาสมาชิกชุมนุมทาโรต์ และทราบว่าอีกฝ่ายอยู่ลำดับใดในช่างบั้นปลาย – แน่นอนว่ามิสเตอร์ฟูลมีศักดิ์เป็นประธานและสักขีพยาน ไม่ใช่สมาชิก
แม้แต่เทวทูตลำดับหนึ่ง อย่างท่านก็ยังถูกกัดกร่อนอย่างเงียบเชียบ ทั้งตัวท่านและคนใกล้ชิด ไม่มีใครเอะใจกับเรื่องนี้เลย!
นี่มันยิ่งกว่าสยองขวัญ…เฮอร์มิท แคทลียา สูดลมหายใจเข้าออกเชื่องช้าเพื่อปรับอารมณ์
จากนั้น เธอก้มศีรษะไปทางตำแหน่งประธานโต๊ะทองแดงยาว
“ขอบคุณสำหรับคำตอบ มิสเตอร์ฟูลที่เคารพ”
…ฉันเองก็ต้องขอบใจที่เธอไม่ถามอะไรนอกเหนือความรู้…เดอะฟูล ไคลน์ จิกกัดตัวเอง เอนหลังพิงเก้าอี้พลางพยักหน้ารับแผ่วเบา
“เชิญ”
เฉกเช่นคราวก่อน สมาชิกชุมนุมทาโรต์ส่วนใหญ่เพิ่งเลื่อนลำดับ หรือไม่ก็กำลังย่อยโอสถ ไม่มีใครต้องการค้าขายไปสักระยะ หลังจากมองหน้ากันอยู่นาน ทุกคนตัดสินใจเข้าสู่ช่วงแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระทันที
แต่อันที่จริง เดอะมูน เอ็มลิน เป็นข้อยกเว้น มันต้องการจ้างใครสักคนมาช่วยประกันตัว หรือไม่ก็ช่วยแหกคุกออกจากชั้นใต้ดินของวิหารนักบุญแซมมวล ถูกต้อง มันยังคงถูก ‘คุมขังเชิงคุ้มครอง’ หลังประตูยานิสมาจนถึงทุกวันนี้ ห้องติดกันคือบิชอปยูทรอฟสกี้ และตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่มีเหยี่ยวราตรีเข้ามาสอบปากคำแม้แต่คนเดียว
หากไม่ใช่เพราะเวรยามที่คอยเฝ้าประตูยานิสคอยส่งน้ำส่งอาหารทุกวัน เอ็มลินคงคิดว่าตนและหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ถูกขังลืมไปแล้ว
บรรยากาศที่โดดเดี่ยวและมืดมิดไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่อากาศซึ่งค่อนข้างหนาว แถมยังไม่มีตุ๊กตา ไม่มีหนังสือพิมพ์ ไม่มีหนังสือ ไม่มีเอกสารทางประวัติศาสตร์ เป็นชีวิตที่ไม่มีความหมายเลยสักนิด…ไม่เพียงเท่านั้น เหยี่ยวราตรียังให้ดื่มแต่เลือดวัว รสชาติห่วยบรม แถมยังไม่ดีต่อร่างกาย เรากำลังอ่อนแอลงเรื่อย ๆ …เอ็มลินพะงาบปาก แต่สุดท้ายก็พูดไม่ออก เพราะเรื่องราวฟังดูน่าอับอายเกินไป ตัวมันเป็นคนชักชวนให้มีการ ‘คุมขังเชิงคุ้มครอง’ บิชอปยูทรอฟสกี้เอง แต่กลับลงเอยด้วยการติดร่างแห
หวังว่าหมอนั่นจะไม่ลืมเราและหาโอกาสช่วยออกไป…เอ็มลินชำเลืองไปทางเดอะสตาร์ เลียวนาร์ด แต่มิได้กล่าวคำใด
เลียวนาร์ดยังคงรักษาอาการ ไม่ตอบสนองต่อสายตาของเดอะมูน
มันเองก็จนปัญญาจะช่วยเหลือ เพราะในตอนแรก เลียวนาร์ดคือตัวตั้งตัวตีที่เสนอแผน ‘คุมขังเชิงคุ้มครอง’ แก่อาร์ชบิชอป ไม่เพียงเท่านั้น เอ็มลิน·ไวท์ยังเป็นถึงแวมไพร์ไวเคาต์ เทียบเท่ากับผู้วิเศษลำดับห้า เป็นขีปนาวุธเดินได้ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ แถมยังศรัทธาพระแม่ธรณี ไม่มีเหตุผลให้ต้องปล่อยตัวในเร็ววัน
คงต้องรอให้เครือญาติผีดูดเลือดเริ่มทักท้วงผ่านช่องทางอื่นเสียก่อน เราจึงจะมีโอกาสลงมือ…เดอะสตาร์ เลียวนาร์ด ตัดสินใจเตรียมขอ ‘สนทนาส่วนตัว’ กับเอ็มลิน หวังช่วยกันคิดหาวิธีทำให้เบื้องบนของผีดูดเลือดเคลื่อนไหวและติดต่อกับโบสถ์รัตติกาล
พฤติกรรมดังกล่าวถูกพบเห็นโดยจัสติส ออเดรย์ เธอนึกถึงคำถามของเดอะมูนในการชุมนุมล่าสุดและสงสัยว่า อาจมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับแผนการ ‘คุมขังเชิงคุ้มครอง’ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงนัก
เราเคยได้ยินว่า นักบวชจากวิหารฤดูเก็บเกี่ยวช่วยเหลือผู้คนไว้มากมายในโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ ขอให้ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับเขา…ออเดรย์พยักหน้าแผ่วเบาพลางหันไปจ้องเดอะซันน้อย
สมาชิกคนอื่นของชุมนุมทาโรต์ต่างก็หันมาสนใจเดอะซัน เดอร์ริค เช่นกัน
ทุกคนทราบว่า เมืองเงินพิสุทธิ์มีแผนจะสำรวจวังราชาคนยักษ์เมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนนี้ผลลัพธ์จึงน่าจะออกมาแล้ว
เดอะซัน เดอร์ริค เหยียดหลังตั้งตรง ชำเลืองแฮงแมนเล็กน้อยก่อนจะกล่าวอย่างใจเย็น
“ภารกิจสำรวจวังราชาคนยักษ์รอบแรกจบลงแล้ว…เสียชีวิตสาม สูญหายหนึ่ง รอดชีวิตกลับมาห้าคน…ในตอนแรก พวกเราตรงไปยังทางเข้าด้านหน้าของวังราชาคนยักษ์และได้พบกับ ‘อัศวินสีเงิน’ สองตนกำลังทำหน้าที่คุ้มกันโดยไม่ทราบเจตนา… อัศวินสีเงินคือชื่อโอสถลำดับสาม ของเส้นทางคนยักษ์…”
ราชันเร้นลับ 1130 : ข้อมูลถาโถม
มีครึ่งเทพลำดับสาม สองตนเป็นยามเฝ้าประตูหน้า…สมแล้วที่เป็นวังราชาคนยักษ์ อาณาจักรของเทพบรรพกาล… สมาชิกชุมนุมทาโรต์ต่างคิดในสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ส่วนเดอะซัน เดอร์ริค ยังคงเล่าต่อไป
มันเองก็เคยตกตะลึงอย่างมากเมื่อทราบว่ายามประตูหน้าเป็นถึง ‘อัศวินสีเงิน’ สองตน แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นกลับทำให้เรื่องดังกล่าวฟังดูธรรมดา เมื่อนำมาเล่าในภายหลังจึงแทบไม่รู้สึกอะไร
“…อาศัยข้อมูลที่มิสเตอร์เวิร์ลแบ่งปัน พวกเราอ้อมไปทางด้านหลังวังด้วยเส้นทางที่ค่อนข้างเป็นความลับ…สัตว์ประหลาดระหว่างทางส่วนใหญ่เป็นวิญญาณอาฆาตที่แพ้ทางไม้กางเขนเจิดจรัส…”
“หลังจากมาถึงป่าเสื่อมโทรม พวกเราทำการสำรวจจนกระทั่งพบวิญญาณมารตนหนึ่ง มันก่อตัวขึ้นจากเศษเสี้ยวเจตจำนงของราชาคนยักษ์และพลังในดินแดนทวยเทพ วิญญาณมารดังกล่าวพยายามปกป้องสุสานของพ่อและแม่ราชาคนยักษ์” เดอะซัน เดอร์ริค เล่าประสบการณ์การเดินทางอย่างชำนาญ ส่งผลให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์อย่างจัสติสและแฮงแมน รีบสลัดความคิดออกจากอัศวินสีเงินและกลับมาฟังอย่างตั้งใจ
พวกมันสนใจความลับภายในป่าเสื่อมโทรม เนื่องจากต้องการทราบว่า ราชาคนยักษ์ซุกซ่อนสิ่งใดจากสายตาราชินีและลูกหลาน
นึกทบทวนฉากที่เกิดขึ้น เดอร์ริคเว้นวรรคเล็กน้อยก่อนจะเล่าต่อ
“หลังจากชำระล้างวิญญาณมารสำเร็จ พวกเรามาถึงสุสานของพ่อแม่ราชาคนยักษ์ ด้านบนมีป้ายหินบ่งบอกเจ้าของหลุมศพ ฝาหลุมและโลงถูกเปิดออกโดยใครบางคนอยู่ก่อนแล้ว ด้านในเป็นศพของมนุษย์สองคน…”
ศพมนุษย์? มีศพมนุษย์ถูกฝังอยู่ในสุสานของพ่อแม่ราชาคนยักษ์? พ่อกับแม่ทูนหัว? ไม่สิ สมัยก่อนยังไม่มีประเพณีแบบนี้…ในฐานะครึ่งเทพที่เชี่ยวชาญข้อมูลในเชิงศาสตร์เร้นลับ ความคิดแรกของแคทลียาก็คือ ศพทั้งสองมีตัวตนที่แท้จริงเป็นอย่างอื่น
ทันทีหลังจากนั้น เธอฉุกคิดถึงบางสิ่งที่ราชินีเคยเล่าให้ฟัง เป็นคำถามที่จักรพรรดิโรซายล์ชอบพูดกับตัวเองขณะยังมีชีวิตอยู่
เหตุใดคนยักษ์ เอลฟ์ และแวมไพร์จึงถูกเรียกว่าครึ่งมนุษย์ หรือกึ่งมนุษย์ในเอกสารโบราณทางประวัติศาสตร์?
ทำไมถึงไม่เรียกมนุษย์ว่า ครึ่งยักษ์ ครึ่งเอลฟ์ ครึ่งแวมไพร์?
หรือว่าความจริงแล้ว พวกมันมีต้นกำเนิดมาจากมนุษย์ทั้งหมด? คนยักษ์ เอลฟ์ และแวมไพร์ คือการกลายพันธุ์ที่เกิดจากตะกอนพลัง และคุณสมบัติดังกล่าวได้ถูกส่งต่อมายังทายาท? เฮอร์มิท แคทลียา พยายามควบคุมอารมณ์ ไตร่ตรองถึงเหตุผลที่เป็นไปได้
ขณะเดียวกัน หญิงสาวสัมผัสได้ว่า โอสถของเธอจะถูกย่อยไปอีกหลายระดับหลังจากกลับสู่โลกแห่งความจริงในคราวนี้
นั่นเพราะว่าลำดับสี่ ของเส้นทางผู้ส่องความลับคือ ‘ปราชญ์พิศวง’ และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความลับเกี่ยวกับต้นกำเนิดที่แท้จริงของคนยักษ์และเผ่าพันธุ์กึ่งมนุษย์อื่น ๆ ในอดีต คือข้อมูลที่มีมูลค่ามหาศาล แม้กระทั่งในหมู่ครึ่งเทพ ก็มีน้อยคนนักที่จะทราบ!
พ่อแม่ของราชาคนยักษ์คือมนุษย์? น่าจะของปลอม…แฮงแมน อัลเจอร์ สงสัยว่าอาจมีใครบางคนจงใจสร้างหลักฐานปลอม
แต่เมื่อลองคิดดูใหม่ การจะปลอมแปลงสถานที่เกิดเหตุ ไม่เพียงต้องเตรียมโครงกระดูกมนุษย์ แต่ยังต้องเตรียมโลงศพที่มีขนาดพอดีกับตัวมนุษย์ไว้ด้วย อัลเจอร์จึงเริ่มมองว่า ไม่น่าจะมีใครยอมเสียเวลาทำแบบนี้ เพราะการปลอมแปลงแทบไม่ส่งผลใดกับโลกความจริง
การจะเข้าไปในวังราชาคนยักษ์และสยบวิญญาณมารที่แข็งแกร่งได้ บุคคลดังกล่าวต้องมีระดับนักบุญเป็นอย่างน้อย และนั่นเลยวัยที่จะกลั่นแกล้งใครเพียงเพื่อความสนุก!
หรือจะเป็นเรื่องจริง…บรรพบุรุษของกึ่งมนุษย์ ล้วนเป็นมนุษย์ทั้งหมด? เอลฟ์ก็ด้วย? เนื่องจากเคยเห็นหลายสิ่งที่น่าตกตะลึงภายในชุมนุมทาโรต์มาไม่น้อย ผนวกกับความศรัทธาทางศาสนาถดถอยลงหลังจากเห็นภาพจิตรกรรมบนเกาะโบราณ แฮงแมน อัลเจอร์ มิได้ระเบิดอารมณ์ที่รุนแรงออกมา เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาจับเส้นผมสีน้ำเงินเข้มของตน
มิสเตอร์แฮงแมนนำตัวเองเข้าไปเชื่อมโยงกับเหตุการณ์? อา…กลับกลายเป็นว่า พ่อแม่ของราชาคนยักษ์คือมนุษย์… ตำนานพระผู้สร้างส่วนใหญ่ที่แพร่หลายในปัจจุบันล้วนเป็นเรื่องแต่งโดยฝีมือชนรุ่นหลัง แต่ก็สอดแทรกการเปรียบเทียบเชิงสัญลักษณ์ไว้บางส่วน…มิสเตอร์มูนมิอาจทำใจยอมรับกับเรื่องนี้…ดูเหมือนว่ามิสเตอร์เวิร์ลจะทราบมานานแล้ว…อาศัยพลังปลอบโยน ออเดรย์สามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าใคร จึงมีเวลาสังเกตพฤติกรรมคนรอบข้าง
ขณะเดียวกัน คนที่กระสับกระส่ายมากที่สุดคือเดอะมูน ในหัวของมันเต็มไปด้วยคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ และ ‘ไม่มีทาง’
ถ้าบรรพบุรุษของคนยักษ์คือมนุษย์ แล้วผีดูดเลือดล่ะ? พวกเราเป็นเพียงสัตว์ประหลาดที่เกิดจากตะกอนพลัง? เป็นไปไม่ได้! มีหลักฐานชัดเจนว่าพวกเราถูกสร้างโดยท่านบรรพบุรุษ พระองค์ถือครองพลังในขอบเขต ‘ชีวิต’ และ ‘สร้าง’ แตกต่างจากเทพป่าเถื่อนที่รู้จักเพียงการต่อสู้อย่างราชาเอลฟ์กับคนยักษ์! ความคิดของเอ็มลินกำลังผันผวน ศักดิ์ศรีของมันกำลังถูกระคายเคือง
สัญชาตญาณ ความเป็นเหตุเป็นผล และสมองของมันกำลังบอกว่า เดอะซัน เดอร์ริคไม่มีแรงจูงใจให้ต้องโกหก และมีโอกาสต่ำมากที่จะเป็นฝีมือการจัดฉากของเทพตนอื่น เอ็มลินจึงเลือกที่จะดึงเผ่าพันธุ์เอลฟ์และคนยักษ์ให้ต่ำลง มองว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงสาขาหนึ่งของมนุษย์
เดอะสตาร์ เลียวนาร์ด เมจิกเชี่ยน ฟอร์ส และจัดจ์เมนต์ ซิล ต่างปรับสภาพจิตใจกับเรื่องที่เดอะซันเล่าให้ฟังอย่างรวดเร็ว สำหรับพวกมัน ไม่ว่าบรรพบุรุษของคนยักษ์จะเป็นยักษ์ เป็นมนุษย์ หรือเป็นลิงบาบูนขนหยิก นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตจะขึ้นอยู่กับตะกอนพลังในร่างกายอยู่แล้ว เรื่องนี้มิได้เปลี่ยนแปลงความจริงของโลกปัจจุบัน
เดอร์ริคสงบจิตใจลง กล่าวต่อไปท่ามกลางความเงียบที่ชวนให้อึดอัด
“หลังออกจากป่าเสื่อมโทรม พวกเราเข้าไปในวังราชาคนยักษ์ผ่านอุโมงค์รกร้าง…”
“…ระหว่างทาง พวกเราเผชิญหน้ากับพลังในขอบเขต ‘ความเสื่อมทราม’ และ ‘การปกปิด’ จำเป็นต้องตอบสนองอย่างถูกต้องจึงจะผ่านไปได้…”
“…ในวังหลังหนึ่งมีภาพจิตรกรรมที่บรรจุพลัง ‘วัฏจักรแห่งชะตากรรม’ เอาไว้ พวกเราได้รับอิทธิพลจากมันและกลายเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการชุมนุมลับ ต้องเผชิญเหตุการณ์วนซ้ำหลายรอบ…เหตุการณ์ดังกล่าวคือช่วงเวลาที่กุหลาบไถ่บาปถูกก่อตั้งขึ้น…”
เล่าถึงตรงนี้ เดอร์ริคมองไปรอบตัวและพบว่าสมาชิกทุกคนสลัดความคิดก่อนหน้าทิ้งไปจนหมด ปัจจุบันกำลังสนใจฟังข้อมูลขององค์กรลับที่มีนามว่ากุหลาบไถ่บาป
ทุกคนทราบว่านี่คือองค์กรลับและเก่าแก่ที่ศรัทธาในพระผู้สร้างแท้จริง เป็นต้นกำเนิดของชุมนุมแสงเหนือ สมาชิกที่สำคัญประกอบด้วยราชาเทวทูตโอโรเลอุส เมดีซี และซาสเรีย
เดอร์ริคถอนสายตากลับ หายใจแผ่วเบา
“สองบุคคลที่เป็นประธานของกุหลาบไถ่บาปคือเทวทูตมืด ซาสเรีย และเทพธิดารัตติกาล อมานีซิส…”
อะ…? จัสติส ออเดรย์ เดอะสตาร์ เลียวนาร์ด จัดจ์เมนต์ ซิล ต่างพากันไม่เชื่อหู
พวกมันคือสาวกของรัตติกาล จึงคาดไม่ถึงว่าเทพธิดาจะเคยเป็นสมาชิกของกุหลาบไถ่บาป แถมยังมีตำแหน่งเป็นถึงประธานการชุมนุม
คล้ายกับกำลังพูดว่า เทพธิดารัตติกาลคือสมาชิกชุมนุมทาโรต์!
หากไม่ใช่เพราะทุกคนทราบดีว่าเดอะซันน้อยเป็นคนแบบไหน และมั่นใจว่าไม่ได้โกหก คงเกิดคำถามกับความน่าเชื่อถือของข้อมูล แต่ปัจจุบัน พวกมันทำได้เพียงปิดปากเงียบ ไม่กล้าคิดลึกลงไป
แฮงแมน อัลเจอร์ หันร่างกายไปหาเดอะซันโดยไม่รู้ตัว จากนั้น มันได้ยินเด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ผู้เข้าร่วมประกอบด้วย: เทวทูตสีขาว โอซาคุส เทวทูตวายุ เลโอเดโร…”
เปลือกตาอัลเจอร์กระตุกหนัก แต่มันไม่กล้าคิดลึกไปกว่าเดิม
“…เทพสงคราม บาร์ดไฮเออร์ พระแม่ธรณี โอมีเบล่า…”
เอ็มลินที่กำลังเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เหยียดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว ถ้อยคำหนึ่งดังกังวานในใจ: เทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยว ราชินีคนยักษ์ โอมีเบล่า
“เทพแห่งวิญญาณมรณะ ซาลินเจอร์ เทพแห่งสัตว์วิญญาณ ทอซน่า…”
เสียงของเดอะซัน เดอร์ริค ดังกึกก้องท่ามกลางวังโบราณที่งดงาม เฮอร์มิท แคทลียา เมจิกเชี่ยน ฟอร์ส และสมาชิกคนอื่นต่างมองหน้ากันโดยไม่มีใครกล่าวคำใด คล้ายกับว่าหากใครพยายามทำความเข้าใจลึกลงไป คนผู้นั้นจะถูกทัณฑ์แห่งเทพเล่นงาน
ทันทีที่เดอร์ริคเล่าจบ บรรยากาศเงียบเชียบเข้าปกคลุมการชุมนุม เป็นความเงียบที่ชวนให้อึดอัด
ในที่สุด เฮอร์มิท แคทลียา ถอนหายใจยาว
“กุหลาบไถ่บาปแข็งแกร่งจนน่าสะพรึง…ก่อนหน้านี้ ฉันจินตนาการไม่ออกว่าพวกท่านเหล่านั้นจะเคยเป็นสมาชิก…”
สิ้นเสียงแคทลียา เดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์ กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“องค์กรดังกล่าวถูกจัดตั้งเฉพาะกิจเพื่อต่อกรกับเทพสุริยันบรรพกาล ในภายหลัง เหลือเพียงเทวทูตไม่กี่ตนเท่านั้นที่ยังเป็นสมาชิกอยู่”
ได้ยินคำพูดดังกล่าว ออเดรย์และสมาชิกคนอื่นต่างถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ สายตาจดจ้องไปยังตำแหน่งหัวโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณโดยไม่รู้ตัว เฝ้ามองร่างที่ถูกม่านหมอกสีเทาบดบัง คล้ายกับรอฟังการพิจารณาคดีจากศาล
เดอะฟูล ไคลน์ ที่เดาได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ในทำนองนี้ ไม่ตอบสนองกลับไปในทันที เพียงผงกศีรษะแผ่วเบาและถอนหายใจ
“นี่คือสาเหตุที่พระผู้สร้างเสื่อมทรามถือกำเนิด”
เป็นความจริง…ทั้งหมดเป็นความจริง…มิสเตอร์ฟูลเคยเตือนทุกคนแล้วว่า กุหลาบไถ่บาปไม่ใช่องค์กรธรรมดา… พระองค์คือตัวตนใดในอดีตกาล? อยู่ฝ่ายใดและตำแหน่งใด? คำถามมากมายผุดขึ้นในใจสมาชิกชุมนุมทาโรต์
เดอะซัน เดอร์ริค มองหน้าทุกคนและยืนยันว่าไม่มีใครจะพูดต่อ จึงเล่าเหตุการณ์หลังจากนั้น
“…ด้านนอกวังพำนักของราชาคนยักษ์ พวกเราได้พบกับหัวหน้าผู้ไล่ล่าแห่งวังราชา ผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอน…เขากล่าวว่า เทวทูตมืด ซาสเรีย กำลังหลับใหลอยู่ภายในวังดังกล่าว…”
เมื่อเทียบกับความลับของกุหลาบไถ่บาป ข่าวคราวการหลับใหลของเทวทูตมืดแทบไม่สร้างความแตกตื่นให้กับสมาชิกชุมนุมทาโรต์ มีเพียงความอยากรู้อยากเห็นแค่เล็กน้อย
แต่แน่นอน ในฐานะปราชญ์พิศวง แคทลียาหวังว่าเดอะซันน้อยจะเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมอีกสักนิด
“หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับ มิสเตอร์ฟูลมอบสูตรโอสถอัศวินสีเงินให้ทีมสำรวจของเรา” ในส่วนสุดท้าย เดอร์ริคเล่าสรุปอย่างจริงใจ
จัสติส ออเดรย์ และคนที่เหลือยังคงหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่ตื่นตระหนกและไม่กล้าคิดลึกมากเกินไป ด้วยเกรงว่านั่นอาจเป็นการดูหมิ่นเทพ จึงไม่มีใครตอบสนองไปสักพัก จนกระทั่งแฮงแมน อัลเจอร์ ทำหน้าครุ่นคิดและกล่าว
“ถ้าในเมื่อพระผู้สร้างแท้จริงเกิดจากกุหลาบไถ่บาป ท่านก็น่าจะรู้จักวังราชาคนยักษ์เป็นอย่างดีไม่ใช่หรือ…แล้วทำไมคนเลี้ยงแกะ อาวุโสโลเฟียร์คนนั้นถึงทำเหมือนกับไม่รู้เรื่องอะไรเลย?”
ราชันเร้นลับ 1131 : การจ้างงานที่พูดออกไปไม่ได้
ฉันก็สงสัยเรื่องนี้เหมือนกัน…เดอะฟูล ไคลน์ บนเก้าอี้ในตำแหน่งประธาน ทวนคำถามของมิสเตอร์แฮงแมนในใจ
เดอะสตาร์ เลียวนาร์ด ไตร่ตรองสักพักก่อนจะพยายามหาเหตุผล
“แม้ว่าพระผู้สร้างแท้จริงจะถือกำเนิดจากกุหลาบไถ่บาป แต่ก็ไม่ได้แปลว่าท่านจะรู้จักทุกซอกมุมของกุหลาบไถ่บาป…บางที ท่านเองก็คงอยากทราบความจริงไม่ต่างกัน”
ทันทีที่สิ้นเสียง จัสติส ออเดรย์ คัดค้านทันที
“เทวทูตโชคชะตา โอโรเลอุส ซึ่งเป็นผู้วาดจิตรกรรมฝาผนัง ยังคงเป็นหนึ่งในสมาชิกของกุหลาบไถ่บาปรุ่นปัจจุบัน และคอยติดตามรับใช้พระผู้สร้างแท้จริงอยู่ไม่ห่าง หากท่านต้องการทราบสิ่งใด แค่ถามไปตรง ๆ พอแล้ว”
“บางที เป้าหมายของพระผู้สร้างแท้จริงคงเป็นการยืนยันสถานะของเทวทูตมืด ซาสเรีย ซึ่งหลับใหลอยู่ภายใน…เรื่องนี้เดาได้จากท่าทีที่ต้องการเข้าไปสำรวจอย่างแรงกล้าของคนเลี้ยงแกะโลเฟียร์” แคทลียาแสดงความเห็นของตน
“ผมก็คิดแบบนี้” แฮงแมน อัลเจอร์ หันไปทางเดอะซัน เดอร์ริค และกล่าว “แต่แน่นอน อย่าเพิ่งตัดความเป็นไปได้ของมิสเตอร์สตาร์ออกไป บางที เทวทูตโชคชะตาอาจอยู่ในสภาวะไม่ปรกติ เช่นการสูญเสียความทรงจำ และจำเป็นต้องพึ่งพาภาพจิตรกรรมเพื่อค้นหาอดีต…แม้จะมีความเป็นไปได้ต่ำ แต่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส…เราไม่มีข้อมูลหรือปัญหาของเทวทูตตนดังกล่าว”
ขณะพูด อัลเจอร์ชำเลืองมาทางมิสเตอร์ฟูล ราวกับต้องการคำยืนยันหรือคำใบ้ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีการตอบสนอง
ใช่ว่าไคลน์จะไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มีมากเกินไปจนกลั่นกรองไม่หมด
ผู้กลืนหาง โอโรเลอุสจะเติบโตขึ้นเคียงข้างพระผู้สร้างแท้จริงทุกครั้งที่ ‘เริ่มต้นใหม่’ เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของอีกฝ่าย…หลังจากพึมพำในใจ ไคลน์ยืนยันว่าไม่มีใครกล่าวคำใดต่อ จึงบังคับเดอะเวิร์ลมองไปทางเดอะซันและพูด
“เมื่อไม่นานมานี้ ผมทำการรวบรวมเห็นจำนวนหนึ่งซึ่งสามารถเติบโตและขยายพันธุ์ได้ในความมืดด้วยการกินเลือดเนื้อของสัตว์ประหลาด ไม่แน่ใจว่าเมืองเงินพิสุทธิ์สนใจไหม?”
เห็ดที่กินเลือดเนื้อของสัตว์ประหลาด? จัดจ์เมนต์ ซิล และคนที่เหลือต่างพากันประหลาดใจ พวกมันสงสัยว่ามีเห็ดแบบนั้นอยู่จริงหรือ
อย่างที่คิด ยังมีอีกหลายสิ่งในโลกที่เราไม่รู้…เป็นสิ่งที่นักบันทึกต้องจดลงไป…เมจิกเชี่ยน ฟอร์ส ถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อน
ดวงตาของเฮอร์มิท แคทลียา มืดลงกะทันหัน เธอเอาแต่นั่งนิ่ง ไม่พูดไม่จา ไม่ขยับเขยื้อนร่างกายประหนึ่งรูปปั้นหิน
เดอะซัน เดอร์ริค เผยอาการตื่นเต้น ความคิดมากมายแล่นผ่านสมอง ก่อนจะโพล่งถาม
“เห็ดพวกนั้นโจมตีสัตว์ประหลาดได้ไหม?”
หากทำได้ พวกมันจะเป็นได้ทั้งอาหารและแนวป้องกันชั้นนอกของเมืองเงินพิสุทธิ์
เราเคยคิดว่าเดอะซันน้อยจะกลัวเห็ด…กลับกลายเป็นว่า เขายิ่งเรียกร้องมากกว่าเดิม…มุมปากของเดอะเวิร์ลกระตุกเล็กน้อย
“ไม่ได้…ถ้าเห็ดสามารถโจมตีสัตว์ประหลาด พวกคุณก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”
เดอะซัน เดอร์ริค เขินอายเล็กน้อย รีบพยักหน้ารับ
“เข้าใจแล้วครับมิสเตอร์เวิร์ล”
ไคลน์บังคับให้ภาพจำลองของเดอะเวิร์ลอธิบายเพิ่มเติม
“เห็ดบางชนิดสามารถนำไปขูดเป็นแป้ง บางชนิดสามารถผลิตนมสด บางชนิดมีไขมันเทียบเท่าเนื้อวัว และบางชนิดมีรสคล้ายปลา แต่ไม่มีก้าง…ยกเว้นเห็ดนมที่สามารถดื่มได้โดยตรง เห็นชนิดอื่นต้องผ่านความร้อนเช่นการนึ่ง ต้ม ทอด หรือคั่ว ไม่อย่างนั้นเห็ดจะดูดซับเลือดเนื้อของคนที่กินเข้าไป เปลี่ยนคนเป็นให้กลายเป็นสวนเพาะเห็ด…”
สมาชิกของชุมนุมทาโรต์อย่างจัสติส ออเดรย์ แฮงแมน อัลเจอร์ ที่เคยตั้งใจฟังประหนึ่งนั่งฟังนิยาย ยิ่งเดอะเวิร์ลพรั่งพรูข้อมูลมากเข้า แต่ละคนก็ยิ่งปิดปากเงียบไปโดยไม่รู้ตัว
มีเพียงเฮอร์มิท แคทลียา เท่านั้นที่เปลือกตากระตุก เธอตัดสินใจว่าจะไป ‘คุย’ กับแฟรงค์เมื่อกลับสู่โลกความจริง
เธอกังวลเป็นอย่างยิ่งว่า ในอนาคต หากกลุ่มโจรสลัดดวงดาวมีการลงคะแนนในเรื่องใด ผู้ที่ลงคะแนนจะไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเห็ด
ขณะเดียวกัน เดอะซัน เดอร์ริค ที่ตั้งใจฟัง มิอาจเก็บซ่อนความคาดหวังและสงสัย
“มิสเตอร์เวิร์ล แป้งคืออะไร? เหมือนกับผงหญ้าผิวดำไหม? แล้วนมคืออะไร? เนื้อ? ปลา?”
อันที่จริง เด็กหนุ่มเคยเห็นปลามาแล้ว แต่ไม่รู้ว่านั่นคือปลา ในเขตบึงทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเงินพิสุทธิ์ มีสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายปลาประหลาดเป็นจำนวนมาก บางตัวมีก้อนเนื้อเกาะตามผิวหนัง บางตัวมีฟันงอกตามดวงตาและอวัยวะอื่น บางตัวศีรษะแยกออกจากกัน เผยให้เห็นเนื้อสมองสีขาวด้านใน ใช้สำหรับล่อสัตว์ชนิดอื่น
…ไม่ว่าเห็ดจะพิสดารมากเพียงใด แต่ก็ฟังดูน่าสนใจสำหรับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์…ก่อนจะคิดถึงปัญหาที่เกิดจากเห็ด ให้มีเห็ดจริง ๆ เสียก่อนค่อยมาถกเถียงกัน…หลังจากได้ยินคำถาม เดอะฟูล ไคลน์ ถอนหายใจยาว บังคับเดอะเวิร์ลหันหน้าไปหาจัสติส ออเดรย์
การต้องอธิบายอย่างละเอียดว่าแป้ง นม เนื้อวัว และปลาคืออะไร ไม่สอดคล้องกับบุคลิกของเดอะเวิร์ลแม้แต่น้อย
ในฐานะผู้ชมมากประสบการณ์และจิตแพทย์ส่วนตัวของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ จัสติส ออเดรย์ เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการให้เธอทำอะไร
“นมคือของเหลวที่วัวใช้ในการเลี้ยงลูกหลานของมัน…”
เธอเชื่อว่าเดอะซันน้อยคงเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะอย่างไรก็ดี เมืองเงินพิสุทธิ์ย่อมต้องมีหญิงตั้งครรภ์และทารก
เมื่อเห็นเดอะซัน เดอร์ริค พยักหน้ารับเป็นนัยว่าเข้าใจ เธอกล่าวต่อ
“นมคือเครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยสารอาหาร ช่วยให้คุณตัวสูงและมีสุขภาพแข็งแรง…”
ออเดรย์พูดไม่จบ เนื่องจากชำเลืองไปเห็นร่างกายที่แข็งแกร่งบึกบึนของเดอะซันน้อย
หลังจากฟังมิสจัสติสอธิบายนิยามเบื้องต้นจบ เดอร์ริคมองไปทางเดอะเวิร์ลด้วยสายตาขอบคุณ
“ขอบคุณมากครับ มิสเตอร์เวิร์ล นี่คือสิ่งที่เมืองเงินพิสุทธิ์กำลังต้องการ…หลังจากกลับไป ผมจะรีบแจ้งให้ท่านเจ้าเมืองทราบ รับประกันได้เลยว่าเขาต้องดีใจแน่…คุณต้องการแลกเปลี่ยนกับสิ่งใด?”
เดอะฟูล ไคลน์ ลังเลสักพักก่อนจะบังคับให้เดอะเวิร์ลพูด
“สูตรโอสถของนักถลุงโลหะโบราณ”
ไม่ได้! เฮอร์มิท แคทลียา ต้องการคัดค้านสุดกำลัง แต่ท้ายที่สุดก็ต้องข่มสติ
เธอแอบชำเลืองไปทางมิสเตอร์ฟูล เมื่อเห็นว่าตัวตนผู้ยิ่งใหญ่รายนี้ไม่มีการตอบสนอง หญิงสาวผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย
“ครับ” เดอร์ริคขานรับอย่างมีความสุข
หลังจากบทสนทนาจบลง เดอะสตาร์ เลียวนาร์ด ขอพูดคุยส่วนตัวกับเดอะมูน เอ็มลิน
“ข้าจะถูกปล่อยตัวตอนไหน” เอ็มลินถามทันทีที่ประสาทสัมผัสของสมาชิกคนอื่นถูกปิดกั้น
เดอะสตาร์ เลียวนาร์ด ยังคงรักษามาดขรึม
“นั่นอยู่นอกเหนืออำนาจการตัดสินใจของผม…ข้อเสนอแนะก็คือ วานให้ใครสักคนไปแจ้งกับเบื้องบนของผีดูดเลือด กำชับให้พวกเขาวางแผนช่วยคุณออกไป”
พ่อหนุ่มสองคนนี้เกิดอุบัติเหตุระหว่างดำเนินแผน ‘คุมขังเชิงคุ้มครอง’ ที่น่าจะไม่มีอะไรซับซ้อน? เดอะฟูล ไคลน์ ซึ่งกำลังทำหน้าที่ผู้ชม พยายามกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ
สีหน้าเอ็มลินเริ่มหม่นหมอง ผ่านไปสองสามวินาที มันพูดขึ้น
“เบื้องบนของผีดูดเลือดจะช่วยอะไรได้จริงหรือ?”
“เทพธิดาคือสตรีสีชาด พระองค์รักและเอ็นดูพวกคุณที่อยู่ในขอบเขต ‘จันทรา’ อย่างมาก แม้ว่าจะไม่ได้รับศรัทธากลับคืนมาก็ตาม” เดอะสตาร์ เลียวนาร์ด กล่าวอย่างเป็นกันเอง
คำอธิบายที่แท้จริงในใจของมันก็คือ: ตระกูลผีดูดเลือดเป็นเผ่าพันธุ์โบราณ ดำรงตนมานานหลายพันปี ย่อมมีสายสัมพันธ์กับโบสถ์หลักไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยที่ราชินีผีดูดเลือดยังเป็นภรรยาของ ‘จักรพรรดิรัตติกาล’ ในช่วงเวลาดังกล่าว หนึ่งในขั้วอำนาจที่สนับสนุนจักรพรรดิรัตติกาลคือโบสถ์รัตติกาล
เดอะมูน เอ็มลิน ไตร่ตรองสักพักก่อนจะพยักหน้า
“ข้าจะฝากฝังให้เดอะเวิร์ลช่วยจัดการ…”
นี่คือบุคคลที่ไว้ใจได้ที่สุดเท่าที่มันนึกออก
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียง เอ็มลินกับเลียวนาร์ดโพล่งขึ้นมาพร้อมกัน
“ไม่ได้!”
“เจ้าเองก็คิดเช่นนั้น?” เดอะมูน เอ็มลิน ชำเลืองด้วยหางตา
เดอะสตาร์ เลียวนาร์ดถอนหายใจ
“มันแน่นอนอยู่แล้ว…งานแบบนี้เล็กน้อยเกินไปสำหรับเขา”
เดอะมูน เอ็มลิน ยิ้มเยาะ
“ข้ามีคำถาม ทำไมเจ้าถึงแนะนำให้ข้าหาทางแจ้งข่าวกับเบื้องบน? ข้าถูกคุมขังในวิหารของรัตติกาลมาหลายวัน เบื้องบนของผีดูดเลือดน่าจะพบความผิดปรกติแล้ว เพียงแต่พวกเขายังไม่อยากลงมือช่วย รอดูว่าจะมีใครพยายามช่วยข้าไหม และใครบ้างที่เป็นพวกพ้องของข้า”
เดอะสตาร์ เลียวนาร์ด มองไปทางอื่น
“ก็อาจจะเป็นแบบนั้น…คุณถึงควรถูกขังอยู่หลังประตูยานิสไปอีกสักสองสามวัน บางทีเมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาอาจหมดความอดทนและตัดสินใจลงมือช่วย”
“…” เดอะมูน เอ็มลิน ตอบสนองไม่ถูกไปสักพัก
หลังจากการสื่อสารส่วนตัวระหว่างหนึ่งมนุษย์หนึ่งผีดูดเลือดจบลง เดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์มองไปทางเมจิกเชี่ยน ฟอร์ส และกล่าว
“อย่าลืมแจ้งสถานที่และเวลานัดพบให้ผมทราบ เมื่อชุมนุมจบลง ผมจะไปหาคุณและพาไปยังสถานที่ใหม่”
“ตกลง” ฟอร์สรีบขออนุญาตมิสเตอร์ฟูลเพื่อเขียนสถานที่และเวลานัดพบลงบนกระดาษหนัง
หลังจากส่งกระดาษ หญิงสาวลังเลสักพัก
“มิสเตอร์เวิร์ล มีอะไรที่ฉันต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษไหม?”
“ทำตัวให้อุ่น” เดอะเวิร์ลตอบห้วน
ทำตัวให้อุ่น… เมจิกเชี่ยน ฟอร์ส มึนงงไปสักพัก ไม่เข้าใจความนัยของอีกฝ่าย
หลังจากอ่านกระดาษหนัง เดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์มองไปรอบตัวและพูด
“ทุกคนที่อยู่ในเบ็คลันด์ กรุณาสำรวจความผิดปรกติที่เกิดขึ้นรอบตัวให้ดี”
ประการแรก ซาราธมีแนวโน้มที่จะ ‘ล่อ’ อามุนด์ออกมาสำเร็จ ประการที่สอง แม่มดทริสซี่อาจประกอบพิธีกรรมช่วยเหลือมิสเตอร์ประตู และประการที่สาม ไม่มีใครรู้ว่าจอร์จที่สามจะเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืดตอนไหน
“ตกลง” จัสติส ออเดรย์ และสมาชิกที่เหลือในเบ็คลันด์ทยอยพยักหน้ารับ พลางไตร่ตรองถึงชีวิตประจำวันในระยะหลัง แต่ก็ไม่มีใครพบความผิดปรกติ
หลังจากสนทนาไปได้สักพัก สมาชิกคนอื่นขอให้มิสจัสติสช่วยสะกดจิตเพื่อให้ลืมความทรงจำบางส่วน จากนั้น ชุมนุมทาโรต์ประจำสัปดาห์ถึงคราวยุติลง ร่างมายาของผู้คนทยอยเลือนหายไป เหลือเพียงไคลน์ในตำแหน่งของเดอะฟูล
นั่งเงียบงันอยู่ราวสิบนาที เมื่อไตร่ตรองบางปัญหาเสร็จ ไคลน์ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริงและเทเลพอร์ตไปยังจุดนัดพบ รอพามิสเมจิกเชี่ยนออกไปท่องเที่ยวโลกกว้าง
ย่างเข้าฤดูหนาว ท้องฟ้าในยามบ่ายสี่โมงของกรุงเบ็คลันด์ค่อนข้างมืดครึ้ม ก้อนเมฆสีเทาจับกลุ่ม และเนื่องจากมีการควบคุมทรัพยากรในภาวะสงคราม โคมไฟถนนที่ใช้พลังงานแก๊สจึงยังไม่ถูกเปิด
ราชันเร้นลับ 1132 : เปลี่ยนบรรยากาศ
ในตรอกมืดที่ไม่ค่อยมีใครผ่านไปมา บรรยากาศเริ่มมืดมน สายลมหนาวพัดผ่าน แม้จะไม่ได้รุนแรงเหมือนกับใบมีดที่กรีดเฉือนหน้าผู้คน แต่ก็คล้ายกับแฝงไว้ด้วยเวทมนตร์ พวกมันค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในเสื้อผ้าทีละนิด
ไคลน์ซึ่งอยู่ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ยกมือขึ้นมากดหมวกทรงสูงเหนือศีรษะเมื่อเห็นมิสเมจิกเชี่ยนเดินเข้ามาในตรอกด้วยความระมัดระวัง อีกฝ่ายแต่งกายด้วยผ้าพันคอสีเข้มและเสื้อนอกขนสัตว์หนา ถือกระเป๋าที่ดูท่าจะหนัก
ในอาณาจักรโลเอ็นซึ่งได้รับอิทธิพลจากโบสถ์รัตติกาล เสื้อผ้าจำนวนหนึ่งที่มักสงวนไว้ให้เพศชายใส่ จะมีรูปแบบเฉพาะของสตรีด้วยเช่นกัน แตกต่างจากอินทิสที่สตรีชนชั้นสูงมักนั่งหันข้างห้อยขาด้วยอานม้าแบบพิเศษ แต่โลเอ็นจะมีชุดขี่ม้าสำหรับสตรีโดยเฉพาะ
ไคลน์ดึงมือซ้ายที่สวมยุบพองหิวโหยออกจากกระเป๋ากางเกง เหยียดนิ้วทั้งห้าพร้อมกับพูด
“ต้นฉบับเสร็จหรือยัง?”
ฟอร์สพลันสัมผัสถึงลมหนาวที่พัดปะทะลำคอ กล่าวเสียงสั่น
“เพียงพอสำหรับตีพิมพ์สองสัปดาห์…ส่งผลให้บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไปแล้ว”
โดยไม่รอให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ถามเพิ่มเติม เธอรีบเสริม
“ฉันนำปากกา หมึก และกระดาษไปด้วย”
ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา เดินไปสองก้าว นำฝ่ามือคว้าไหล่มิสเมจิกเชี่ยน
พร้อมกันนั้น ฟอร์สตั้งสมาธิ สร้างภาพมายาของหนังสือภายในดวงตา
สภาพแวดล้อมรอบตัวเธอเข้มข้นขึ้น ฉูดฉาดขึ้น สีแดงยิ่งแดงก่ำ สีดำยิ่งดำมืด สีน้ำตาลยิ่งคมชัด ซ้อนทับกันหลายชั้น ประหนึ่งกำลังเห็นภาพหลอนจากการเสพยา
ฟอร์สซึ่งเคยชินกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เริ่ม ‘บันทึก’ การเดินทางลงไปอย่างไม่ยากเย็น พลางสังเกตวิวทิวทัศน์ระหว่างการท่องเที่ยวอย่างละเอียด จดจำลักษณะของสัตว์วิญญาณที่แปลกประหลาดจนขึ้นใจ
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ การมองเห็นของเธอพลันมืดลง ผิวกายสัมผัสถึงความหนาวเย็นที่เธอไม่เคยพบเจอ ร่างกายสั่นระริกอย่างมิอาจหักห้าม
ฟอร์สใช้มายากลเพื่อทำให้สภาพแวดล้อมสว่าง มองไปรอบตัวจนกระทั่งพบว่าเธออยู่ในบ้านไม้ และเกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้จากไปแล้ว
ที่นี่ที่ไหน…ฟอร์สมองไปทางหน้าต่าง พบว่ามีบางสิ่งปกคลุมอยู่จนแสงสว่างมิอาจส่องผ่าน
ฉากดังกล่าวทำให้เธองงงวย จึงตัดสินใจเดินไปที่ประตู เหยียดมือขวาออกและดึงประตูกลับ
ท่ามกลางเสียงเสียดสีของไม้ เธอเห็นหิมะกองสูงจนขวางทางออกโดยสมบูรณ์
“…” ฟอร์สตกตะลึง คำเตือนของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ดังก้องภายในใจ
“ทำตัวให้อุ่นเข้าไว้…”
ภายในหนึ่งถึงสองนาทีหลังจากนั้น ไคลน์เดินทางอ้อมทะเลเพื่อทำให้ยุบพองหิวโหยสงบลงด้วยเหยื่อที่คัดเลือกเป็นอย่างดี จากนั้นก็กลับบ้านเช่าในกรุงเบ็คลันด์ รอให้ราชินีเงื่อนงำและชารอนรายงานความผิดปรกติ
อันที่จริง ตามนิสัยของไคลน์ มันมักจะออกไปสืบข่าวด้วยตัวเองอีกทางหนึ่ง เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าทริสซี่ไม่คิดจะช่วยมิสเตอร์ประตูออกมา ทว่า เมื่อพิจารณาเรื่องที่ซาราธยังอยู่ในกรุงเบ็คลันด์ ชายหนุ่มตัดสินใจพับแผนการออกไปเตร็ดเตร่นอกบ้านทิ้ง
ภายใต้อิทธิพลของกฎการดึงดูดระหว่างตะกอนพลัง ไคลน์เชื่อว่าหากตนออกไปเตร็ดเตร่ตามถนนในกรุงเบ็คลันด์ ในไม่ช้าก็เร็วจะได้พบกับซาราธหรือแม้กระทั่งอามุนด์
เฮ้อ…ทั้งที่คิดเราวิธีปลอมตัวอย่างแนบเนียนไว้แล้ว แค่ซื้อจักรยานและเครื่องแบบบุรุษไปรษณีย์ เตรียมขี่ตระเวนไปตามย่านต่าง ๆ ของเมืองหลวง…ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปรกติแน่นอน…ไคลน์จิบ ‘ยางไม้กอลลั่ม’ เหล้าที่ซื้อมาจากทะเล เอนหลังพิงเก้าอี้ สั่งให้หุ่นเชิดเอ็นยูนและโจนาสบีบนวดไหล่และขา
…
ดินแดนเทพทอดทิ้ง ในค่ายหมู่บ้านยามบ่าย
ทันทีที่เดอร์ริค·เบเกอร์ลืมตา มันลุกขึ้นยืน เปิดประตู เดินอ้อมกองไฟตรงไปยังห้องพักของเจ้าเมือง
เด็กหนุ่มระงับความตื่นเต้น สูดลมหายใจยาว ยกมือขึ้นเคาะประตูไม้แผ่นหนา
“เชิญเข้ามา” เสียงทุ้มลึกของโคลิน·อีเลียดดังขึ้น
เดอร์ริคบิดที่จับ ผลักประตูเข้าไปและเดินตาม เมื่อเห็นนักล่าปีศาจเจ้าของผมสีเทายุ่งเหยิงและรอยแผลเป็นเก่า เด็กหนุ่มโพล่งขึ้น
“ท่านเจ้าเมือง ผมพบเห็ดแปลก ๆ ที่กินได้!”
โคลิน·อีเลียดเงียบไปสักพัก กล่าวเชื่องช้า
“เห็ด?”
เมื่อเห็นความฉงนจากสีหน้าเจ้าเมือง เดอร์ริคหวนนึกถึงเห็ดที่เคยพบเจอในอดีต
เห็ดภายในวิหารร้างของพระผู้สร้างเสื่อมทราม สีของมันทั้งสดใสและชวนให้เจริญอาหาร แต่อัดแน่นไปด้วยอันตรายอย่างไร้ข้อกังขา
เด็กหนุ่มสงบสติลง พยักหน้าพลางอืมในลำคอ
“ครับ…เห็ด…เห็ดหลากหลายสายพันธุ์ สามารถกินเลือดเนื้อของสัตว์ประหลาดเพื่อเจริญเติบโตและขยายพันธุ์…”
เดอร์ริคอธิบายรายละเอียดของเห็ดอย่างตั้งใจ รวมถึงเล่าว่านม เนื้อวัว ปลา และแป้งคืออะไร
ในตอนสุดท้าย เด็กหนุ่มเน้นย้ำว่าต้องทำให้เห็ดสุกก่อนกินเท่านั้น และต้องระวังประเภทที่มีพิษ
โคลิน·อีเลียดฟังอย่างเงียบงันโดยปราศจากอารมณ์ ไตร่ตรองสักพักและพูด
“พวกมันมีอันตรายยังไงบ้าง…หรือต้องใส่ใจเรื่องใดเป็นพิเศษ?”
“อึก…” ใบหน้าเดอร์ริคแดงระเรื่อ “ผมขอกลับไปศึกษาดูใหม่”
กล่าวจบ โดยไม่รอให้เจ้าเมืองตอบสนอง มันหันหลังเปิดประตูและวิ่งออกไป
กลับถึงห้อง เด็กหนุ่มสูดลมหายใจยาว นั่งลงและสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล ฝากคำถามไปถึงเดอะเวิร์ล
เหนือหมอกสีเทา ไคลน์นั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล เคาะนิ้วบนที่วางแขนพลางพึมพำ
“ยังมีอันตรายใดอีกบ้าง…”
แม้ว่าจินตนาการ ความกระฉับกระเฉง และความคิดสร้างสรรค์ของแฟรงค์จะทำให้เรากลัวนิดหน่อย…แต่ถึงยังไงหมอนั่นก็เป็นแค่ผู้วิเศษลำดับห้า เห็ดของแฟรงค์จะอันตรายสักแค่ไหนเชียว? เมืองเงินพิสุทธิ์ที่ดิ้นรนท่ามกลางความมืดมานานหลายปี น่าจะจัดการกับอันตรายที่เกิดจากเห็นได้ไม่ยาก…
การกลายพันธุ์อันน่าสยดสยองบนอนาคตกาลขณะแล่นไปบนน่านน้ำซากสมรภูมิแห่งเทพ ทั้งการมีน้ำนมไหลออกมาจากเรือและโจรสลัดหัวแตงโม นั่นเกิดจากอิทธิพลของออร่าพระแม่ธรณีที่ยังหลงเหลือ คนร้ายตัวจริงคือเทพ ใช่แฟรงค์สักหน่อย…
เดี๋ยวนะ…ถ้าดินแดนเทพทอดทิ้งเกี่ยวพันกับการล่มสลายของเทพสุริยันบรรพกาลและกุหลาบไถ่บาป ออร่าที่ยังหลงเหลือจากสงครามอาจไม่ได้มีเพียง ‘รัตติกาล’ ‘ปกปิด’ ‘เสื่อมทราม’ และ ‘วายุ’ แต่ยังรวมถึง ‘สุริยัน’ และ ‘ธรณี’ …
นี่มัน…
ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก เสกเดอะเวิร์ลขึ้นมาสวดวิงวอน:
“…หากสัมผัสกับออร่าของทวยเทพในขอบเขตธรณี เห็ดเหล่านั้นอาจเกิดการกลายพันธุ์ที่ยากจะคาดเดา…”
หลังจากได้รับคำตอบ เดอร์ริครีบร้อนออกจากห้อง วิ่งไปจนถึงประตูห้องเจ้าเมือง
ในคราวนี้ ประตูเปิดออกโดยไม่ต้องเคาะ
เดอร์ริคหันกลับไปมองพวกพ้องที่ยืนข้างกองไฟเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าห้องและปิดประตูไม้
“ออร่าของทวยเทพในขอบเขตธรณี อาจทำให้เห็ดเกิดการกลายพันธุ์ที่ยากจะคาดเดา” เด็กหนุ่มเล่าในสิ่งที่รู้ออกไป โดยไม่อธิบายว่าตนได้รับข้อมูลมายังไง
นักล่าปีศาจโคลินยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า ทวนคำด้วยเสียงต่ำ
“พลังทวยเทพในขอบเขตธรณี…”
หลังจากสิ้นเสียง มันเงียบไปนานกว่าสิบวินาทีก่อนจะพูด
“เมื่อกลับถึงเมือง พวกเราจะวางแผนเพาะปลูกมันและวิจัย…ราคาเท่าไร?”
เดอร์ริครีบตอบ
“สูตรโอสถนักถลุงโลหะโบราณ”
โคลินพยักหน้าเชื่องช้า
“สิ่งนี้ต้องผ่านความยินยอมจากหกสภาอาวุโส ไว้กลับถึงเมืองเมื่อไร ผมจะรีบประชุมเรื่องนี้ทันที”
ทีมสำรวจของพวกมันมีแผนจะกลับเมืองเงินพิสุทธิ์ในอีกสองวันข้างหน้า เนื่องจากต้องให้เวลาผู้ที่รอดชีวิตจากการสำรวจ หรือผู้ที่สูญเสียคนสำคัญ ปรับสภาพจิตใจให้กลับเป็นปรกติ นอกจากนั้นอาหารก็ยังมีจำกัด พื้นที่รอบค่ายมิอาจปลูกหญ้าผิวดำ แหล่งอาหารเสริมหาสามารถได้จากการฆ่าสัตว์ประหลาดเท่านั้น ทีมสำรวจจึงมีอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญก็คือ คอยหมุนเวียนกันขนส่งอาหาร
“ครับ ท่านเจ้าเมือง” เดอร์ริคไม่รีบร้อน
มันคุ้นเคยกับขั้นตอนเหล่านี้เป็นอย่างดี
เมื่อเด็กหนุ่มเดินออกจากห้อง โคลินเดินมาที่หน้าต่างและมองไปยังกองไฟกลางค่าย
เปลวไฟกำลังลุกไหม้อย่างเงียบงัน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิด แสงสลัวซึ่งช่วยมอบความสว่างไปทั่วค่าย กำลังย่างแวมไพร์ซึ่งร่างกายปกคลุมไปด้วยหนองจนดูน่าขยะแขยง
…
ไม่กี่วันถัดมา ไคลน์ได้รับจดหมายตอบกลับจากราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดต แพทริค·เบรนแห่งนิกายวิญญาณ และชารอน ยืนยันว่าในกรุงเบ็คลันด์ไม่มีการกว้านซื้อวัตถุดิบในลักษณะผิดปรกติในช่วงที่ผ่านมา
พิจารณาจากสิ่งที่เห็น สำหรับคราวนี้ แม่มดทริสซี่ตั้งใจจะแค่คุยกับมิสเตอร์ประตูเฉย ๆ …อาจเป็นการติดต่อกันครั้งแรกของพวกเขา…แต่ไม่ว่ายังไง เราก็ต้องตักเตือนเธอล่วงหน้า แต่ต้องกระชับที่สุด เพราะยิ่งพูดมากเท่าไรก็ยิ่งมีโอกาสผิดพลาด และเราไม่สามารถเผยไพ่ตายของตัวเอง…ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก ควานหาเส้นผมของคนตายที่มิสเมจิกเชี่ยนรวบรวมมาให้ คลี่กระดาษออกและเขียน
“…นี่คือสิ่งที่คุณต้องการ เส้นผมจากลูกหลานของตระกูลอับราฮัม…ผู้จัดหามีคำถามฝากมาด้วย…พวกเขาอยากทราบว่า ตระกูลอับราฮัมต้องทำอย่างไรจึงจะขจัดคำสาปได้…”
“…สุดท้ายนี้ ผมขอเตือนว่าคุณห้ามประมาทมิสเตอร์ประตู”
ไคลน์พับกระดาษจดหมาย สอดมัดเส้นผมเข้าไป หยิบฮาร์โมนิก้านักผจญภัยขึ้นมาเป่า
ท่ามกลางความเงียบงัน ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เดินออกจากความว่างเปล่าพร้อมกับสี่หัวที่ดูงดงาม
“ส่งให้กับไอ้งั่งที่ถูกล่อลวง…” ไคลน์กล่าวขณะยื่นจดหมาย
เมื่อสิ้นเสียง มันชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบถาม
“คุณยังระบุตำแหน่งของเขาได้ไหม”
“ได้…” หนึ่งในสี่หัวตอบคำถาม ตามด้วยงับจดหมาย
ไคลน์หรี่ตาลงทันที
ราชันเร้นลับ 1133 : สวดวิงวอน
ในย่านสะพานเบ็คลันด์ อาศัยข้อมูลจากมิสผู้ส่งสาร ไคลน์มองเห็นชายที่ถูกทริสซี่ล่อลองให้ช่วยส่งจดหมายแทน
อย่างไรก็ตาม ไคลน์ไม่ได้ตามเข้าไปในบ้าน ไม่เข้าใกล้เป้าหมาย เพียงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันลมสีดำและเดินต่อไป
ท่ามกลางแสงไฟจากตะเกียงแก๊ส มันเดินมาถึงทางแยกและเลี้ยวไปยังถนนเส้นอื่น
ระหว่างนั้น หนูตัวหนึ่งซึ่งกำลังขโมยอาหารในอาคารเกิดตัวกระตุก
มันทิ้งก้อนชีสในมือทันที เดินกลับไปตามทางที่เคย ‘ผ่านประจำ’ และเข้าใกล้พื้นที่เป้าหมาย
จากนั้น หนูเปิดปากขึ้นในมุมอับ เปล่งเสียงภาษามนุษย์
“ข้ารับใช้แห่งท้องทะเลและโลกวิญญาณ ผู้พิทักษ์แห่งหมู่เกาะรอสต์ ผู้ปกครองมวลหมู่สัตว์ทะเล เจ้าแห่งสึนามิและลมพายุ คาเวทูว่าผู้ยิ่งใหญ่…”
ทันทีที่เสียงของหนูตัวดังกล่าวเงียบลง ไคลน์ซึ่งเลี้ยวเข้าไปในถนนเส้นอื่น อันตรธานหายไป เหลือเพียงร่องรอยของสะเก็ดไฟกลางอากาศ
มันใช้กระโจนเพลิง ทว่า ปลายทางไม่ใช่สถานที่เปิดโล่ง แต่เป็นภายในห้องพักโรงแรมที่ให้หุ่นเชิดแอบมาจองไว้ล่วงหน้า จึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกซาราธตระหนักถึงหรือเกิดเหตุไม่คาดฝัน เพราะระยะทางสั้นมาก แถมปลายทางยังชัดเจนและปลอดภัย
ภายในห้อง ไคลน์เดินถอยหลังสี่ก้าวโดยมีหุ่นเชิดเอ็นยูนยืนมอง ส่งตัวเองเข้าสู่มิติหมอก
เมื่อกลับมานั่งบนเก้าอี้ประธานโต๊ะทองแดงยาว ไคลน์เสกคทาเทพสมุทร อาศัยจุดแสงแห่งการสวดวิงวอน มองผ่านไปยังโลกความจริงด้วยตาทิพย์ คอยสังเกตพฤติกรรมของเป้าหมาย – ชายผู้ถูกแม่มดทริสซี่ล่อลวงให้ส่งข่าว
ผ่านไปไม่กี่นาที ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ปรากฏตัวในห้องเช่าตามที่นัดหมาย หยิบเหรียญทองและซองจดหมายที่ถูกวางไว้บนโต๊ะ
ชายคนเดิมสั่นกลัวอีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดก็เอาชนะความกลัว หยิบจดหมายขึ้นมาและกะน้ำหนัก
สิบห้านาทีถัดมา มันหยิบวัตถุที่คล้ายกับก้อนแป้งเปียกสีดำออกมาป้ายลงบนผิวกระจกอย่างทั่วถึง
เพียงพริบตา มันได้พบกับสตรีในฝันของตนภายในกระจกเงา จึงรีบรายงาน
“นักผจญภัยเสียสติเพิ่งส่งจดหมายมา คล้ายกับมีบางสิ่งแนบมาด้วย ตามคำสั่งของคุณ ผมไม่ได้แกะออกมาดู”
ขณะเดียวกัน ฉากที่ไคลน์เห็นบนมิติหมอกค่อนข้างประหลาด
ในการมองเห็นของชายหนุ่ม ภาพบนผิวกระจกนั้นพร่ามัว ใกล้เคียงกับความมืดมิด ดูลวงตาและไม่สมจริง ผิวกระจกเชื่อมต่อกับสิ่งคล้ายคลึงกันภายในห้องจนเกิดเป็น ‘ใยแมงมุม’ ที่ซับซ้อนและมายา ถักสานและเชื่อมต่อเข้ากับ ‘โลก’ ที่ดูพิสดารใบหนึ่ง
ไคลน์ที่อาศัยตาทิพย์ของมิติหมอก พอจะมองเห็นเค้าโครงภาพรวมอย่างเลือนราง แต่มิอาจจำแนกรายละเอียด ไม่แน่ใจว่าโลกใบดังกล่าวมีตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวซ่อนอยู่หรือไม่
ในเชิงศาสตร์เร้นลับ กระจกมักเป็นตัวแทนของการนำไปสู่ ‘อาณาจักรอื่น’ โดยมากมักเป็นสถานที่สยองขวัญ…นี่คงเป็น ‘โลกในกระจก’ …พลังพิเศษของเราอยู่นอกเหนือขอบเขตดังกล่าวโดยสิ้นเชิง…ไม่สิ หากมีใครสักคนสวดวิงวอนถึงเราด้วยพิธีกรรมกระจกวิเศษทำนาย นั่นจะช่วยให้กระจกเงาเชื่อมต่อมาถึงเรา…มาถึงมิติหมอกแห่งนี้…
กล่าวคือ ‘โลกในกระจก’ ไม่ใช่โลกแห่งความจริง แต่ใกล้เคียงกับ ‘บานประตูร่วม’ ที่เชื่อมต่อกระจกทุกบานเข้ากับอาณาจักรที่แตกต่างกัน หากหลงทางภายในนั้น กว่าจะรู้ตัวอีกทีอาจไปโผล่ที่นรก หรือไม่ก็อวกาศ…แต่แน่นอน ครึ่งเทพในขอบเขตดังกล่าวสามารถสร้าง ‘โลกของภาพสะท้อน’ และเข้าไปซ่อนตัวได้…
บานประตูร่วม…หมายความว่านอกจากแม่มดและวิญญาณอาฆาต ผู้วิเศษลำดับสูงของเส้นทางผู้ฝึกหัดก็พลังที่คล้ายคลึงกัน? หรือคำว่า ‘ลึกลับ’ ในชื่อ ‘จอมเวทลึกลับ’ จะเป็นตัวแทนของ ‘โลกในกระจก’ …เป็นไปได้ โลกในกระจกสามารถสื่อถึงความลึกลับได้เช่นกัน…ภายใต้สถานการณ์ปรกติ ต่อให้มีตาทิพย์ของมิติหมอก แต่เราก็จะไม่มีทางเห็น ‘โลกในกระจก’ โดยตรง เว้นเสียแต่จะมีใครบางคนช่วยกระตุ้น…ไคลน์พยักหน้าไตร่ตรอง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแม่มดทริสซี่ตอบกลับอย่างอ่อนหวาน
“โยนจดหมายเข้ามาในกระจก”
“โยนเข้าไปได้ด้วยหรือ…” ในฐานะผู้วิเศษลำดับต่ำ ชายคนนี้ไม่เคยสัมผัสประสบการณ์มหัศจรรย์มาก่อน จึงลังเลสักพัก ก่อนจะลองกดจดหมายลงบนกระจก
บนผิวกระจก ความมืดแผ่ขยายออกมาในลักษณะคลื่นน้ำกระเพื่อม
ชายคนดังกล่าวสัมผัสได้ถึงความหนักแน่นจากฝ่ามือ จดหมายเริ่มทะลุผ่านผิวกระจกอย่างน่าอัศจรรย์ หลุดเข้าไปในมิติมายา
ทันทีหลังจากนั้น คล้ายกับจดหมายถูกดูดด้วยกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ ค่อย ๆ ไหลไปยังห้องที่ทริสซี่อาศัยอยู่
เหนือมิติหมอก ไคลน์ยกคทาเทพสมุทรขึ้น จดจ่ออยู่กับการแกะรอยจดหมาย พยายามระบุพิกัดของแม่มด
ทันใดนั้น ในทัศนวิสัย ‘ตาทิพย์’ ของชายหนุ่ม โลกในกระจกที่มืดมิดและลุ่มลึก เกิดความผันผวนอย่างหนักจนทุกสิ่งพร่ามัว
เมื่อความผันผวนสงบลง ไคลน์ถูกตัดขาดจากจดหมายและแม่มดทริสซี่
ออร่าของแม่มดบรรพกาลอาจช่วยขัดขวางการจ้องมองในลักษณะนี้…ไคลน์เงียบไปสักพักก่อนจะถอนหายใจยาว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมไคลน์ถึงไม่กล้าผสมเส้นผมของตัวเองเข้ากับเส้นผมของศพเพื่อเกาะรอย เพราะชะตากรรมของจนอาจจบลงด้วยการถูกสาปหรือไม่ก็ตายคาที่
ในความกังวลของไคลน์ การตายคาที่ไม่ใช่จุดจบที่เลวร้ายนัก เพราะตราบใดที่ศพไม่ถูกทำลายไปด้วย มันมีโอกาสที่จะคืนชีพกลับมาใหม่ แต่ปัญหาก็คือ นั่นจะทำให้ทริสซี่ไหวตัวทันและหนีไป เป็นการสิ้นเปลืองโอกาสคืนชีพอันมีค่าไปอย่างเปล่าประโยชน์
ไคลน์ซึ่งพ่ายแพ้ในยกนี้ รีบส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริงและออกจากย่านสะพานเบ็คลันด์
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ไคลน์ซึ่งมีใบหน้าธรรมดา เดินทางไปยังวิหารนักบุญแซมมวลด้วยรถม้า
แผนของมันก็คือ ท่องพระนามเต็มอันทรงเกียรติของเทพธิดารัตติกาลเพื่อแจ้งว่า แม่มดทริสเตรียมจะทำสิ่งใดขณะพระจันทร์เต็มดวงครั้งถัดไป อย่างน้อยก็ควรมีเทพแท้จริงสักตนคอยเฝ้ามองเบ็คลันด์ในช่วงเวลาที่เผชิญความเสี่ยง
ต้องไม่ลืมว่า ผู้ที่เคยเนรเทศและผนึกมิสเตอร์ประตู ไม่ใช่ใครนอกจากเทพธิดารัตติกาล พระองค์ย่อมต้องชำนาญกลอุบายของอีกฝ่าย
ในทำนองเดียวกัน ไคลน์ไม่คิดออกหน้าด้วยตัวเอง เพราะมันเข้าใจพลังของตัวเองเป็นอย่างดี
ในเมื่อแก้ปัญหาเองไม่ได้ ก็ต้องให้คนที่แก้ได้มาทำแทน!
ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมถึงไม่ท่องพระนามเต็มของเทพธิดาจากที่บ้าน เหตุใดต้องถ่อไปถึงวิหารนักบุญแซมมวล นั่นเพราะไคลน์อยากตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงบนถนนเบิร์คลุนและข้างเคียง เผื่อว่าจะสังเกตเห็นร่องรอยการมาเยือนของอามุนด์
เฮเซลและครอบครัวต่างก็เคยเผชิญหน้ากับอามุนด์มาก่อน แถมตัวเธอก็ยังอยู่บนเส้นทางนักจารกรรม ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือตะกอนพลังดึงดูด ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอคือกลุ่มเสี่ยงที่จะได้เผชิญหน้ากับอามุนด์ระลอกใหม่ ไคลน์ไม่กล้าประมาทกับเรื่องนี้ และเตือนตัวเองให้หมั่นตรวจสอบบ่อยครั้ง
ในทำนองเดียวกัน เนื่องจากมิสจัสติสเป็นจิตแพทย์ที่ช่วยรักษาอาการป่วยของเฮเซล หากอีกฝ่ายถูกอามุนด์จับได้ เธอก็จะติดร่างแหไปด้วย ไคลน์จึงต้องคอยระวังเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้สตรีผู้สูงศักดิ์รายนี้ตกอยู่ในอันตราย และคอยตรวจสอบความผิดปรกติของมิสจัสติสผ่านดาวแดงเป็นครั้งคราว แต่แน่นอน มันหลีกเลี่ยงที่จะ ‘แอบดู’ ในเวลาที่ไม่เหมาะสม
ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ซึ่งเข้าใกล้ถนนเฟลป์ ลงจากรถม้าล่วงหน้าและสั่งให้หุ่นเชิดเอ็นยูนไปซ่อนตัวเพื่อท่องพระนามเต็มอันมีเกียรติของเทพสมุทร
ร่างต้นทำการสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดโจนาส จากนั้นก็เดินถอยหลังสี่ก้าวภายในมิติ ‘ที่ถูกบิดเบือน’ เพื่อส่งตัวเองไปยังเหนือสายหมอก
ถัดมา อาศัยความช่วยเหลือจากคทาเทพสมุทร ชายหนุ่มขยายวิสัยทัศน์ของตาทิพย์และตรวจสอบสถานการณ์รอบถนนเบิร์คลุนกับถนนเฟลป์อย่างละเอียด
เฮเซลยังไม่ถูกกาฝากยึดร่าง…มิสจัสติสก็เช่นกัน…สาวใช้ สัตว์เลี้ยง บอดี้การ์ด หรือแม้กระทั่งชาวเมืองและพนักงานของกองทุน ทุกคนยังปลอดภัย…ไม่มีร่องรอยของอามุนด์ในละแวกใกล้เคียง…ไคลน์ถอนหายใจยาว ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง
จากนั้น มันเดินไปยังวิหารนักบุญแซมมวล ผ่านประตูหน้าเข้าไปในโถงสวดมนต์หลักที่มืดและเงียบสงบ
ท่องพระนามเต็มอันทรงเกียรติของเทพธิดารัตติกาลจบ มันเปล่งเสียงต่ำและอธิบายอย่างกระชับ
“…แม่มดทริสซี่ได้รับเส้นผมของทายาทตระกูลอับราฮัม เธอวางแผนติดต่อกับตัวตนลึกลับในคืนจันทร์เต็มดวง ปัจจุบันยังไม่ทราบจุดประสงค์ที่แน่ชัด…”
นั่งนิ่งสักพัก เมื่อยืนยันว่าเทพธิดาไม่ตอบสนอง และอาร์ชบิชอปไม่ปรากฏตัว ไคลน์สวมหมวกผ้าไหม เดินออกจากวิหารอย่างไม่รีบร้อน
ตกกลางคืน ชายหนุ่มย้ายสถานที่ เปลี่ยนหนูให้เป็นหุ่นเชิดและเอ่ยพระนามเต็มอันทรงเกียรติของอีกหนึ่งตัวตนลึกลับ
“มหาเทพแห่งสงคราม สัญลักษณ์แห่งเหล็กและเลือด เจ้าแห่งความวุ่นวายและขัดแย้ง ข้าต้องการพบท่าน…”
เฉกเช่นคราวก่อน หนูตายทันทีที่สวดวิงวอนเสร็จ และไคลน์ถอยออกห่างจากพื้นที่
มันต้องการพบเทวทูตสีชาดเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับมิสเตอร์ประตูและเทวทูตมืด ซาสเรีย
หลังจากรอคอยไม่กี่นาที ไคลน์อาศัยความช่วยเหลือจากหุ่นเชิดหนูอีกหนึ่งตัว มองเห็นว่ามีเปลวไฟพวยพุ่งออกจากศพหนูตัวแรก
เปลวไฟเรียงตัวเป็นประโยคสั้นกระชับบนพื้นดิน:
“แต่ข้าไม่อยากพบเจ้า”
“…” กล้ามเนื้อใบหน้าไคลน์กระตุกแผ่วเบา
ครุ่นคิดสักพัก มันยอมแพ้และออกจากจุดเกิดเหตุ
ผ่านไปหลายสิบวินาที เปลวไฟสีขาวที่เหลือเรียงตัวเป็นคำใหม่:
“…คุกเข่าขอร้องข้าสิ”
แต่ตอนนี้ไคลน์ไม่อยู่แล้ว
ณ บ้านหลังหนึ่งภายในกรุงเบ็คลันด์ เซารอน·ไอน์ฮอร์น·เมดีซีที่มีใบหน้าซีดเซียว ลุกขึ้นจากโซฟาในสภาพแต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีแดงสลับดำ
มันขมวดคิ้วเล็กน้อย พึมพำกับตัวเอง:
“ใครมันบังอาจมารบกวน…”
…
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เบ็คลันด์เข้าสู่คืนพระจันทร์เต็มดวง
ภายในห้องที่อาบด้วยแสงจันทร์สีแดงเข้ม แม่มดทริสซี่ยืนอยู่หน้าแท่นบูชา กำลังรายล้อมด้วยวัตถุดิบสำหรับประกอบพิธีกรรม ไม่ว่าจะเป็นทับทิม ไพลิน มรกต เพชร ไข่มุก และไพฑูรย์
หลังจากเสร็จสิ้นการเตรียมตัวที่วุ่นวาย หญิงสาวจุดไฟเผาเส้นผมในมือ โยนลงในหม้อ
เมื่อเปลวไฟเริ่มกลายเป็นสีดำ ทริสซี่เดินถอยหลังสองก้าว สวดวิงวอนอย่างเคร่งขรึมเป็นภาษาคนยักษ์
“มหาประตูแห่งหมื่นประตู…”
“ผู้นำทางแห่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว…”
“กุญแจแห่งโลกเร้นลับทั้งปวง…”
ราชันเร้นลับ 1134 : มิสเตอร์ประตู
หลังจากทริสซี่สวดวิงวอน อัญมณีรอบตัวหญิงสาวส่งเสียงปริแตก พวกมันแหลกเป็นผงและลอยขึ้น
ผงสีแดง น้ำเงิน เขียว และแสงสีสว่างระยิบระยับ บรรจบกันกลายเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกราก หลั่งไหลเข้าไปในแสงเทียนบนแท่นบูชา
พร้อมกันนั้น เส้นผมที่ไหม้เกรียมในหม้อต้มเริ่มลอยขึ้นมาผสมโรง
เปลวไฟขยายตัว ถักสานเรียงร้อยเข้าด้วยกัน ทวีความมืดมิด ดูคล้ายกับประตูมายาที่นำไปสู่โลกอื่น
ทริสซี่สัมผัสได้ทันทีว่า อุณหภูมิโดยรอบลดลงกะทันหัน คล้ายกับมีอันตรายนับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกจากเปลวไฟ
คำหนึ่งแล่นเข้าในหัวของเธอ เป็นคำเตือนจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์
“ห้ามประมาทมิสเตอร์ประตู”
สมแล้วที่มีผู้ส่งสารในระดับนั้น…ความเข้าใจเกี่ยวกับมิสเตอร์ประตู และความเข้าใจในแผนการของเรา อาจลึกซึ้งและแม่นยำกว่าที่เราคิด…ทริสซี่สูดลมหายใจแผ่ว รอคอยความคืบหน้าอย่างอดทน
เพียงพริบตา เธอรู้สึกว่าห้อง ‘แคบ’ ลงมาก หลายจุดถูกปกคลุมด้วยเงาดำ คล้ายกับมีสัตว์ประหลาดและสิ่งมีชีวิตแสนอันตรายซุกซ่อนอยู่
แสงไฟจากเทียนไขที่หรี่ลงจนสลัว แปรเปลี่ยนเป็นวังวนขนาดมหึมา
เมื่อวังวนเริ่มหมุน เสียงที่พร่ามัวแต่แหลมลึกดังมาจากด้านใน
“…ชีค?”
ทันทีที่ได้ยินเสียง เส้นเลือดบนหน้าผากทริสซี่พลันปูดโปน เจ็บปวดราวกับถูกเข็มหมุดจำนวนมากเจาะเข้าไปในศีรษะและคนกวน
ผมสีดำของเธอลอยขึ้นโดยปราศจากสายลม แต่ละเส้นหนาขึ้น ผิวหน้าเริ่มโปร่งใส หลอดเลือดใบหน้าทยอยปูดโปนจนดูคล้ายกับใยแมงมุม
หลังจากใช้ความพยายามอย่างหนัก ในที่สุดทริสซี่ก็ควบคุมสติได้ จากนั้น เธอได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ อานุภาพของเสียงรุนแรงมากพอที่จะทำให้ผู้วิเศษส่วนมากคลุ้มคลั่งคาที่
“เป็นข้ารับใช้ของชีคสินะ…เมื่อก่อนเราเคยดูศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองด้วยกัน…และในภายหลังสามารถทะลวงผ่านมาถึงลำดับหนึ่ง…คนที่ยังรอดชีวิตจนถึงตอนนี้…คงเหลือแค่ ‘ช่างฝีมือ’ ‘ชีค’ และข้า…”
ทริสซี่ไม่แยแสคำตัดพ้อของมิสเตอร์ประตู กล่าวด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
“เรียนมิสเตอร์ประตูที่เคารพ ฉันมีเรื่องอยากถาม”
“ว่ามา…ช่วงเวลาอันยาวนานที่ต้องหลงทางท่ามกลางความมืดและพายุช่างน่าเบื่อ…หายากนักที่จะมีคนคุยด้วย…” เสียงอันน่าสะพรึงกลัวตอบกลับผ่านวังวนที่หมุนรอบตัวเองอย่างเชื่องช้า เนื้อเสียงแทบไม่แปรเปลี่ยน
กล้ามเนื้อใบหน้าทริสซี่กระตุกสองสามหนอย่างมิอาจหักห้าม เธอยังไม่สามารถปรับตัวให้คุ้นชินกับเสียงเพรียกของตัวตนที่ทัดเทียมเทพมาร
เธอเว้นวรรคสองสามวินาทีก่อนจะกล่าว
“…ฉันอยากทราบว่า มีวิธีการพิเศษแบบใดบ้างที่ช่วยให้เข้าไปในสุสานลับทั้งเก้าแห่งของจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์ ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อเตรียมประกอบพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืด”
ผ่านไปสักพัก เสียงมิสเตอร์ประตูดังออกจากความว่างเปล่าอันไร้ก้นบึ้ง
“แบบนี้นี่เอง…ไม่ยาก…ข้าจะมอบสัญลักษณ์ให้…เพียงเจ้ารวบรวมเลือดของผู้วิเศษจากเส้นทางต่าง ๆ และนำมาผสมเข้าด้วยกัน…เมื่อไปถึงด้านหน้าสุสาน ให้ใช้พลังวิญญาณวาดสัญลักษณ์ด้วยเลือดดังกล่าว…เส้นทางลับสำหรับเข้าไปด้านในจะเปิดออก…”
ขณะที่ตัวตนลึกลับกำลังพูด ประกายไฟลอยออกจากวังวนความมืด เรียงตัวกันเป็นสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนกลางอากาศ
ดูคล้ายกับประตูที่เรียกจากบานใหญ่ไปเล็ก ซ้อนทับกันอย่างไม่เป็นระเบียบ
ทริสซี่กัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดที่กำลังฉีกทำลายวิญญาณ พยายามจดจำสัญลักษณ์ จากนั้นก็ถามเพื่อยืนยัน
“ต้องรวบรวมเลือดจากยี่สิบสองเส้นทางผู้วิเศษ? ขอแค่เส้นทางละคน ไม่ต้องสนใจลำดับ? แต่ละเส้นทางต้องใช้เลือดมากแค่ไหน?”
มิสเตอร์ประตูยังตอบด้วยน้ำเสียงแบบเดิม
“ใช่แล้ว…ไม่ต้องมาก…เท่าหลอดแก้วใบเล็ก…แค่พอให้วาดสัญลักษณ์ได้จนจบ…”
แม้ทริสซี่จะมีใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด แต่เธออดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มกว้างหลังจากได้ฟังข้อมูลสำคัญ
เมื่อรวมสีหน้าทั้งหมดเข้าด้วยกัน มันดูแปลกประหลาดราวกับเธอกำลังเสียสติ
หลังจากบรรลุจุดประสงค์หลัก ทริสซี่ตัดสินใจถามอีกหนึ่งข้อเพื่อรักษาน้ำใจเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ทั้งสองฝ่ายจะได้ร่วมมือกันต่อไปในอนาคต
“ตระกูลอับราฮัมต้องการทราบวิธีขจัดคำสาปโบราณที่พวกเขากำลังเผชิญ”
วังวนอันมืดมิดเงียบไปหลายวินาที ก่อนจะถอนหายใจยาวและกล่าว
“ประกอบพิธีกรรมด้วยการใช้ครึ่งเทพของเส้นทางนักทำนาย ผู้ฝึกหัด และนักจารกรรมอย่างละหนึ่งคนเป็นเครื่องสังเวย…เมื่อข้าหลบหนีออกจากพายุและทะลวงผ่านความมืดสำเร็จ…คำสาปจะถูกขจัดอย่างหมดจด…”
ทริสซี่มิได้แยแสคำสาปของตระกูลอับราฮัม ทันทีที่ฟังคำตอบจบ ร่างกายของเธอทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงรีบกล่าวขอบคุณมิสเตอร์ประตูและยุติพิธีกรรม
สำหรับมิสเตอร์ประตู มันมิได้พยายามคุกคาม โน้มน้าว หรือกัดกร่อนเธอ
เมื่อวังวนอันมืดมิดของเปลวเทียนสลายตัว พิธีกรรมสิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์ ทริสซี่เข้าฌานเพื่อสงบสติ และต้องใช้เวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมงในการขจัดอิทธิพลจากคำพูดของมิสเตอร์ประตู
จัดการทั้งหมดเสร็จ ทริสซี่หยิบกระดาษและปากกา วาดสัญลักษณ์ที่มิสเตอร์ประตูมอบให้ เขียนอธิบายคำตอบทั้งสองข้ออย่างละเอียด
เธอทราบดี ตนกำลังถูกนักบุญขาว คาร์เทอริน่าตามล่าตัว และดูเหมือนจะมีนักล่าที่เก่งกาจคอยหนุนหลังอีกทอดหนึ่ง เป็นการยากที่จะออกไปรวบรวมเลือดของผู้วิเศษทั้งยี่สิบสองเส้นทาง ดังนั้น ทางออกเดียวจึงเป็นการฝากฝังให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ทำแทน
นอกจากนั้นเธอยังชื่อว่า ต่อให้จอร์จที่สามมั่นใจในความปลอดภัยของสุสานลับและไม่ส่งคนไปคุ้มกันมากนัก แต่ภายในก็คงมีระดับการป้องกันที่ไม่ธรรมดา ไม่ใช่สิ่งที่ผู้วิเศษลำดับสี่ เพียงคนเดียวจะบุกฝ่าเข้าไปทำลายในพริบตา และเมื่อการต่อสู้ยืดเยื้อจนกำลังเสริมมาถึง แผนการของเธอก็ยิ่งเข้าใกล้ความล้มเหลว
แต่ในทางกลับกัน หากเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ซึ่งมีผู้ส่งสารเป็นถึงเทวทูต องค์กรที่อยู่เบื้องหลังชายคนนั้นย่อมไม่ธรรมดา สามารถทำลายสุสานในช่วงเวลาวิกฤติจนพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืดล้มเหลว
ในเมื่อทำเองไม่ได้ ก็ต้องไปขอให้คนที่ทำได้ช่วยเหลือ!
หลังจากโยนจดหมายลงตู้ไปรษณีย์ในละแวกใกล้เคียง ทริสซี่ซึ่งมีผมสีดำ สวมเสื้อนอกสีดำ เดินไปตามถนนอันเปล่าเปลี่ยว เย็นเยียบ และมืดสลัว ดวงตาจ้องมองแสงไฟจากโคมตะเกียงพลางหัวเราะในลำคอ
“เพียงเพื่อสนองต่ออารมณ์เล็กน้อย…ฉันยอมลงทุนมาไกลถึงขนาดนี้…นายโชคดีมากเลยนะ…อย่างน้อยฉันก็ล้างแค้นให้…แต่ในทางกลับกัน ถ้าฉันตายไปคงไม่มีใครจดจำฉันได้ ยกเว้นคนที่เคียดแค้นฉัน…”
…
หลังจากได้รับจดหมายของทริสซี่ผ่านมิสผู้ส่งสาร ไคลน์นั่งลงบนเก้าอี้และนั่งอ่านทวนซ้ำหลายรอบ
ก่อนที่จะส่งตัวเองเข้าสู่มิติหมอกเพื่อทำนายยืนยันว่าคำตอบของมิสเตอร์ประตูนั้นถูกต้อง ชายหนุ่มนั่งตรึกตรองว่าตนจะหาเลือดของผู้วิเศษทั้งยี่สิบสองเส้นทางได้จากที่ไหนจึงจะเร็วที่สุด
สัญลักษณ์ที่มิสเตอร์ประตูมอบให้ มีความใกล้เคียงกับสัญลักษณ์ด้านหลังเก้าอี้มิสเมจิกเชี่ยนมาก…เส้นทางนักทำนายใช้เลือดของเราได้…เส้นทางผู้ฝึกหัดใช้เลือดของมิสเมจิกเชี่ยน และตอนที่แวะไปขอก็จะถือโอกาสกดดันต้นฉบับไปในตัว…เส้นทางนักจารกรรมมีสามทางเลือก เปลี่ยนยุงให้เป็นหุ่นเชิดและบินไปกัดเฮเซล ขอจากผู้ช่วยรองกัปตันของเอ็ดวิน่าที่มีฉายาหูกระต่ายบุปผาโดยตรง ขอจากปู่ของเลียวนาร์ดโดยตรง…
เส้นทางผู้ชม มิสจัสติส…เส้นทางผู้ขับขาน เดอะซันน้อย…เส้นทางพายุ มิสเตอร์แฮงแมน…เส้นทางนักอ่าน พลเรือโทธารน้ำแข็งหรือไม่ก็ครึ่งเทพที่ชื่อลูก้า…เส้นทางผู้วิงวอนความลับ…ขอจากผู้ช่วยกัปตันของมาดามเฮอร์มิท ‘ผู้ไร้เลือด’ ฮีธ·ดอยล์…
เส้นทางผู้เก็บซากศพ แพทริค·เบรนแห่งนิกายวิญญาณ…เส้นทางผู้ไร้หลับ นักกวีเพื่อนรัก…เส้นทางนักรบ ใครก็ได้ในเมืองเงินพิสุทธิ์ หรือไม่ก็หลวงพ่อยูทรอฟสกี้…
นักเพาะปลูก แฟรงค์…นักปรุงยา เอ็มลิน…
ผู้ตัดสิน มิสซิล…นักกฎหมาย หุ่นเชิดโจนาส…
นักล่า เดนิสหรือไม่ก็แอนเดอร์สัน…แม่มด ใช้ของทริสซี่…
นักโทษ ใช้ของชารอนหรือไม่ก็มาริค…อาชญากร…ตอนนี้ยังนึกไม่ออก…
ผู้ส่องความลับ มาดามเฮอร์มิท…นักปราชญ์ ผู้ช่วยในการวิจัยของแฟรงค์…
สัตว์ประหลาด หุ่นเชิดเอ็นยูน…
เท่าที่นึกออก ส่วนใหญ่สามารถรวบรวมได้ในเวลาอันสั้น และทุกคนก็เชื่อใจเราพอสมควร ไม่กลัวว่าเราจะนำเลือดพวกเขาไปสาปแช่ง…สำหรับทริสซี่ หล่อนเป็นแม่มด คงมีวิธีตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างเลือดกับร่างต้น…เหลือแค่ ‘ปีศาจ’ เท่านั้นที่ยังหายาก…แม้จะเคยเผชิญหน้ากับปีศาจมาบ้าง แต่ถ้าไม่ตายก็หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย ปัจจุบันยังไม่มีตัวเลือกในใจ…
คงต้องถามเมืองเงินพิสุทธิ์ของเดอะซันน้อยว่า มีเลือดปีศาจเก็บไว้ในคลังบ้างไหม พวกเขาน่าจะเคยล่าปีศาจไม่มากก็น้อย…
ถ้าไม่มีประเด็นให้ฉุกคิด ไคลน์เองก็คงไม่ทราบว่า ผ่านไปเพียงไม่ถึงสองปีหลังจากเดินทางข้ามโลก มันสามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่ค่อนข้างลึกซึ้งกับผู้วิเศษเกือบครบทุกเส้นทาง
ชายหนุ่มรวบรวมความคิดที่กำลังฟุ้งซ่าน ไตร่ตรองเกี่ยวกับพิธีกรรมสำหรับช่วยเหลือมิสเตอร์ประตู
สังเวยครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรม ผู้ฝึกหัด และนักทำนายอย่างละคน…ทั้งสามเส้นทางสามารถสับเปลี่ยนกันได้… หรือมิสเตอร์ประตูคิดจะนำทั้งสามเส้นทางมารวมกันชั่วคราว และใช้วิธีการที่ชาญฉลาดบางอย่างเพื่อเปิดเส้นทางหนี?
…ครึ่งเทพทั้งสามเส้นทางไม่ใช่เป้าหมายที่จะจับกุมได้ง่ายนัก กระทั่งตระกูลอับราฮัมในยุครุ่งเรืองก็อาจทำไม่สำเร็จ จึงไม่ต้องพูดถึงสมัยที่ผู้วิเศษลำดับสูงล้มตายไปเพราะคำสาปและสงครามสี่จักรพรรดิ…ฟังดูสิ้นหวังมาก…
หากมิสเตอร์ประตูอดทนและให้เวลาลูกหลานได้พัฒนาตัวเอง ก็ใช้ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว แต่ทำไมเขาถึงใจร้อนและเอาแต่ส่งเสียงเพรียกจนทำลายลูกหลานที่มีอนาคตไปทีละคน?
หรือว่าเสียสติไปแล้ว? คนบ้าที่พูดจาเหมือนคนปรกติ?
ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก เผากระดาษจดหมาย ส่งตัวเองเข้าไปในมิติหมอกเพื่อทำนายถามสองประเด็น
ผลลัพธ์การทำนายก็คือ วิธีลอบเข้าไปในสุสานเป็นของจริง และพิธีกรรมช่วยเหลือมิสเตอร์ประตูก็ถูกต้องเช่นกัน
จ้องมองลูกตุ้มวิญญาณในมือ ไคลน์นั่งนิ่งบนเก้าอี้พนักสูงเป็นเวลานาน
ผ่านไปอีกหลายนาที มันกำจี้บุษราคัมในมือซ้ายแน่นพลางพึมพำกับตัวเอง:
ตอนนี้แค่ต้องรอให้โอสถจอมเวทพิสดารถูกย่อยอย่างสมบูรณ์…จากนั้นก็ภาวนาให้จอร์จที่สามประกอบพิธีกรรม…
ราชันเร้นลับ 1135 : หอมหวน
ทะเลโซเนีย เกาะปาซู
ในที่สุด โทสะสีครามซึ่งถูกเรียกให้เข้าพบ แล่นมาถึงสำนักงานใหญ่ของโบสถ์วายุสลาตันและจอดเทียบท่า
อัลเจอร์ถอดผ้าที่พันรอบศีรษะออก กระโดดลงจากกราบเรือ ลงจอดบนท่าเรือโดยอาศัยสายลม
โอสถ ‘ข้ารับใช้วายุ’ ขวดใหม่ที่ดื่มเข้าไปถูกย่อยหมดนานแล้ว แต่ที่อัลเจอร์ยังทำแบบนี้เพราะต้องการกลมกลืนไปกับกัปตันเรือคนอื่นของศาสนจักร
ประสบการณ์ตลอดหลายปีได้สอนอัลเจอร์ว่า ไม่ควรทำตัวโดดเด่นเกินหน้าเกินตาคนรอบข้าง โดยเฉพาะเมื่อตัวเองซ่อนความลับไว้มากมาย!
“ฮะฮะ! อัลเจอร์! ระงับความใจร้อนของนายหน่อย!” ชายที่รออยู่บนท่าเรือทักทายด้วยรอยยิ้ม
ชายคนนี้มีผมสีเหลืองอ่อน สวมเสื้อคลุมปักลวดลายสายฟ้า มันคืออดีตคู่หูของอัลเจอร์ ในภายหลัง คนหนึ่งเลือกเป็นกัปตันเรือผีสิงและผจญภัยไปในทะเล ส่วนอีกคนเลือกเป็นนักบวช
อัลเจอร์ยิ้ม ยกกำปั้นขวากระแทกอกซ้าย
“ขอพายุจงสถิตกับคุณ”
“ขอพายุจงสถิตกับคุณ” ชายผมเหลืองขานตอบด้วยท่าทางแบบเดียวกันพลางฉีกยิ้ม
มันหรี่เสียงลง:
“นายชำนาญโอสถข้ารับใช้วายุแล้ว?”
“ใช่…ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร แค่รักษาสถานะลอยตัวตลอดเวลา ใช้ลมในการเคลื่อนที่ไปยังจุดต่าง ๆ เป็นครั้งคราวเพื่อให้คุ้นเคยได้เร็ว ฉันส่งโทรเลขไปแจ้งเรื่องนี้ให้เบื้องบนทราบแล้ว” อัลเจอร์ยักคิ้ว เชิงว่าภาคภูมิใจมาก
ชายผมเหลืองเหลียวซ้ายแลขวา กล่าวด้วยระดับเสียงเท่าคราวก่อน
“เข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงเรียกนายกลับ…ฉันได้ยินว่าเป็นเพราะสงครามที่ยืดเยื้อ ทางเราจึงขาดแคลนกำลังคน สภาคาร์ดินัลจึงตัดสินใจรวบรวมกลุ่ม ‘ข้ารับใช้วายุ’ มาเลื่อนเป็นลำดับห้าโดยเร็ว นายคือหนึ่งในนั้น…น่าอิจฉาชะมัด ฉันเพิ่งได้เป็นข้ารับใช้วายุ จึงหมดสิทธิ์เข้าร่วม…”
รวบรวมกลุ่ม ‘ข้ารับใช้วายุ’ มาเพื่อเลื่อนลำดับโดยเร็ว…อัลเจอร์·วิลสันไม่ประหลาดใจกับเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะมันทราบดีว่าสงครามครั้งใหญ่กำลังจะเกิด ในหัวมีเพียงคำคำเดียว
เบี้ยที่ใช้แล้วทิ้ง!
อันที่จริง ลำพังผลงานการรายงานข่าวของท่าเรือแบนชี อัลเจอร์ที่เป็นเพียง ‘นักเดินเรือ’ ในช่วงเวลาดังกล่าว สามารถใช้คะแนนผลงานเพื่อเลื่อนลำดับก้าวกระโดดไปจนถึง ‘ผู้ขับขานสมุทร’ ได้ไม่ยาก และไม่เพียงเท่านั้น ในภายหลังมันยังทำงานหนัก สร้างผลงานมากมาย แต่กลับยังติดแหง็กอยู่แค่ลำดับหก ข้ารับใช้วายุเป็นเวลานาน ต้องต่อคิวเพื่อรอประกอบพิธีกรรมเลื่อนเป็นลำดับห้า ผู้ขับขานสมุทร
แต่ในปัจจุบัน โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย มันกลับถูกเรียกตัวมาเข้าคิวเลื่อนลำดับ และในไม่ช้าก็จะกลายเป็นสมาชิกระดับค่อนข้างสูงของศาสนจักร จึงอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม
จริงอยู่ เมื่อสงครามใหญ่ปะทุขึ้น คำสั่งที่คอย ‘กดหัว’ สมาชิกแบบเราจะคลายความเข้มงวด…แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเอาชีวิตให้รอดจากความโหดร้ายของสงคราม หากไม่รอด สิทธิพิเศษที่ได้รับก็ไร้ความหมาย…ท่ามกลางกระแสความคิด อัลเจอร์หันมาถามด้วยความประหลาดใจ
“ไซแอน ที่พูดมาเป็นความจริงหรือ?”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน…แต่นั่นคือสิ่งที่ฉันได้ยินมา นายลองไปดูเองเถอะ ถ้ามีโอกาสได้เป็นอาวุโสหรือพระคาร์ดินัล อย่าลืมพวกเราเชียวนะ!” ชายผมสีเหลืองเจ้าของชื่อไซแอน เหยียดแขนออกไปตบบ่าอัลเจอร์
อัลเจอร์เดินตรงไปด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอน”
…
เมืองเงินพิสุทธิ์ หลังจากที่ทีมสำรวจกลับมาเล่าว่า มีทะเลอยู่อีกฟากหนึ่งของวังราชาคนยักษ์ ชาวเมืองทุกคนต่างพากันตื่นเต้น
หลังจากรอคอยสองวัน ในที่สุดเดอร์ริค·เบเกอร์ก็ได้รับแจ้งจากหกสภาอาวุโสว่า สูตรโอสถนักถลุงโลหะโบราณผ่านการอนุมัติแล้ว
กล่าวคือ เหล่าเบื้องบนของเมืองเงินพิสุทธิ์ตกลงที่จะซื้อเห็ดเหล่านั้น
พิธีกรรมเลื่อนลำดับ…ต้องเจียระไนศิลาแห่งชีวิตด้วยตัวเอง…ศิลาแห่งชีวิตคืออะไร? ไม่คำอธิบายเขียนไว้…เดอร์ริคอ่านข้อมูลที่เขียนไว้ในกระดาษ เตรียมประกอบพิธีกรรมโดยไม่คิดมาก
ตามความเห็นของมัน มิสเตอร์ฟูลย่อมทราบว่าศิลาแห่งชีวิตคืออะไร ตนจึงไม่ต้องกังวลกับปัญหาของมิสเตอร์เวิร์ล
หลังจากเตรียมแท่นบูชาเสร็จ เด็กหนุ่มหยิบหลอดโลหะสองหลอดที่บรรจุเลือดของตนและ ‘อัศวินรุ่งอรุณ’ แห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ออกมาถือ
อัศวินรุ่งอรุณคนดังกล่าวค่อนข้างมีอายุ ร่างกายของมันมิอาจทนต่อการกัดกร่อนจากสารพิษในอาหารที่สะสมมานาน อนาคตของมันค่อนข้าง ชัดเจน อีกไม่นานก็จะดำเนินไปถึงจุดจบของชีวิต เมื่อสองวันก่อนจึงตัดสินใจบอกหลานสาวแทงดาบเพื่อปลิดชีพ
เดอร์ริคได้รับการยินยอมจากเจ้าเมืองให้หาโอกาสเก็บเลือดของผู้ตาย
สำหรับเลือดของปีศาจที่มิสเตอร์เวิร์ลต้องการ ในคลังของเมืองเงินพิสุทธิ์ไม่มีเก็บไว้ แต่เจ้าเมืองโคลินรับปากว่า หากเห็ดดังกล่าวทำให้ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์พึงพอใจ มันจะตั้งทีมล่าและออกเดินทางไปจุดที่มีปีศาจชุกชุม
หลังจากวางท่อโลหะสองหลอดและกระดาษหนังสัตว์ลงบนแท่นบูชา เดอร์ริคก้าวถอยหลัง หันหน้าเข้าหาเทียนไขที่ถูกจุด เริ่มประกอบพิธีกรรมสังเวยและรับมอบ
เมื่อผ่านขั้นตอนอันวุ่นวาย ประตูมายาซึ่งเกิดจากเปลวไฟเทียนไขและวัสดุวิญญาณได้เปิดออก สิ่งของบนแท่นบูชาถูกดูดหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงแสงอันเจิดจ้า
เมื่อแสงจางลง เห็ดที่มีรูปร่างแตกต่างกันปรากฏสู่สายตาเดอร์ริค
สำหรับคำถามที่ว่า ‘รูปลักษณ์’ ของเห็ดผิดไปจากปกติหรือไม่ เดอร์ริคมิได้ใส่ใจนัก เพราะตลอดชีวิตของมันเคยเห็นเห็ดแค่ครั้งเดียว และไม่ทราบว่าเห็ดดังกล่าวปกติหรือไม่ เรียกได้ว่าขาดแคลนแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ
เมื่อนึกทบทวนคำอธิบายของมิสเตอร์เวิร์ล เดอร์ริคจัดหมวดหมู่ของเห็ดและแยกเก็บใส่กระเป๋า
ทันทีหลังจากนั้น มันมิอาจเก็บซ่อนความตื่นเต้น รีบหยิบไม้กางเขนเจิดจรัสและเตรียมมุ่งหน้าไปยังยอดหอคอย
ทว่า ทันทีที่ฝ่ามือสัมผัสกับไม้กางเขนทองแดงอมเขียว ความแสบร้อนและซาบซ่านพลันแล่นไปทั่วร่าง ขณะเดียวกันก็มีจุดแสงส่องจากไม้กางเขนไปทางเห็ด
“พวกมันคือสิ่งชั่วร้ายที่จำเป็นต้องถูกชำระล้าง…” เดอร์ริคออกอาการสับสน แต่ในที่สุดก็เลือกจะเชื่อใจเดอะเวิร์ล
มันนำไม้กางเขนเจิดจรัสไปซ่อน ถือค้อนเทพสายฟ้าคำรามและตรงไปยังยอดหอคอยเพื่อพบเจ้าเมืองโคลิน
“นี่คือเห็ดที่เคยเล่าให้ฟัง?” ขณะถาม นักล่าปีศาจโคลินอาศัยดวงตาที่มีสัญลักษณ์สีเขียวซับซ้อน จ้องไปทางกลุ่มเห็ดซึ่งประกอบด้วยเห็ดสีขาวล้วน หรือไม่ก็เห็นที่มีลักษณ์คล้ายเนื้อ
“ครับ…” เดอร์ริคเริ่มการแนะนำ
โคลินกลับเป็นปกติ กล่าวหลังจากเงียบไปหลายวินาที
“พวกมันมีกลิ่นอายของมลทินและความชั่วร้าย แต่ก็น้อยจนอยู่ในระดับที่รับไหว…คุณสมบัติดังกล่าวอาจหายไปหลังจากได้กินเลือดเนื้อของสัตว์ประหลาด”
มันเว้นวรรค
“ลองทดสอบความสามารถในการสืบพันธุ์ดูก่อน”
กล่าวจบ ทีมงานของเมืองเงินพิสุทธิ์ซึ่งเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว นำซากศพสัตว์ประหลาดจำนวนหนึ่งเข้าไปในห้องทำงานเจ้าเมือง จากนั้นก็โปรยเห็ดชนิดต่าง ๆ ลงไป
ทันทีที่เห็ดสัมผัสกับเลือดเนื้อ พวกมันทำการงอกรากและแทรกซึมลงไปในศพ
ผ่านไปราวยี่สิบวินาที เห็ดเริ่มพองตัวและขยายขนาดอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับปล่อยสปอร์
เพียงพริบตาเดียว ซากของสัตว์ประหลาดเต็มไปด้วยเห็ด
ทว่า เห็ดชุดแรกยังไม่หยุดเติบโต ความสูงของลำต้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด เห็ดบางดอกสูงยิ่งกว่าเดอร์ริค·เบเกอร์เสียอีก พวกมันเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มด้วยท่าทีของ ‘ผู้เหนือกว่า’
…มิสเตอร์เวิร์ลไม่ได้บอกว่าพวกมันจะใหญ่ขนาดนี้…แถมอัตราการทวีคูณและความเร็วในการเจริญเติบโตก็ยังสูงจนน่าตกตะลึง…เดอร์ริคจ้องด้วยสายตาเหม่อลอย แต่ไม่คิดว่านี่เป็นปัญหา
โคลิน·อีเลียดยังไม่เปลี่ยนสีหน้า รอจนกระทั่งซากสัตว์ประหลาดเหลือเพียงโครงกระดูก มันมองไปรอบ ๆ และพูด
“ยอดเยี่ยมกว่าที่คิดไว้…ต่อไป…ใครจะลองทดสอบกิน?”
เดอร์ริคเสนอตัวโดยไม่ลังเล
“ท่านเจ้าเมือง ผมเอง”
มันคือคนที่ ‘แนะนำ’ เห็ดเหล่านี้ให้กับเมืองเงินพิสุทธิ์ จึงต้องทดสอบความปลอดภัยด้วยตัวเอง
โคลิน·อีเลียดพยักหน้าแผ่วเบา
“ตกลง”
มันหันไปพูดกับทีมงานของตน
“เรียกอาวุโสโลเฟียร์มาที่นี่เพื่อเตรียมรับมือกับเหตุไม่คาดฝัน”
ในฐานะผู้วิเศษที่มีพลังในขอบเขตเลือดเนื้อ โลเฟียร์สามารถแก้ไขความผิดปกติที่เกิดกับร่างกายมนุษย์ได้เกือบทั้งหมด
แต่แน่นอน เหยื่อจะรอดชีวิตหรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ทุกคนยืนรอสักพัก จนกระทั่งคนเลี้ยงแกะโลเฟียร์ที่แต่งกายในชุดคลุมสีม่วงเข้มเดินเข้ามา
ทันทีที่ผ่านกรอบประตู ดวงตาสีเทาซีดของหญิงสาวหรี่ลง หันไปจ้องกลุ่มเห็ดซึ่งกำลังยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของห้อง
จ้องมองอยู่สักพัก โลเฟียร์หันไปทางโคลินและพยักหน้า เป็นนัยว่าพร้อมที่จะช่วยเหลือ
เดอร์ริค·เบเกอร์ไม่ลังเลอีกต่อไป เลือกเห็ดที่มีสีดำเป็นส่วนใหญ่ มีเนื้อสีแดงและลวดลายไขมันแทรกตรงกลาง สูงราวครึ่งหนึ่งของตัวเอง เด็กหนุ่มทำการฉีกเห็ดออกจากซากกระดูก จุดไฟก่อกองไฟและเริ่มย่าง
กลิ่นที่ราวกับสามารถซึมเข้าไปในท้องของทุกคน บรรจงลอยโชยด้วยความหอมหวน เป็นกลิ่นที่ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ลูกกระเดือกของทุกคนขยับขึ้นลงขณะกลืนน้ำลายอย่างมิอาจหักห้าม
ยิ่งกองไฟส่งเสียง ‘ฉ่า’ จากน้ำมัน กลิ่นหอมหวนก็ยิ่งทวีความทรงพลัง
อาการเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับทุกคน พวกมันค่อนข้างคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะเป็นการตอบสนองแบบเดียวกับเมื่อครั้งที่กลับจากภารกิจสำรวจและได้กินหญ้าผิวดำซึ่งห่างหายไปนาน
เมื่อเสียง ‘ฉ่า’ ดังชัดเจนขึ้นและถี่ขึ้น เปลวไฟยิ่งลุกโชนร้อนแรง พวกมันรู้สึกราวกับมีมือยื่นออกจากท้องตัวเอง หวังคว้าอาหารนั่นกลับมากิน
โดยไม่รู้ตัว ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์คนอื่นที่อยู่ภายในหอคอย เดินตามกลิ่นหอมหวนจนกระทั่งมารวมกันหน้าประตูห้อง
เดอร์ริคใช้พลังใจอย่างมากในการควบคุมความอยากอาหาร กลั้นใจไม่ชิมรสชาติของเห็ดก่อนสุก จนกระทั่งเนื้อสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมน้ำตาล เดอร์ริคดึงเห็ดออกจากกองไฟและสูดลมหายใจ
ในวินาทีนี้ สายตาทุกคู่จดจ้องมาทางเด็กหนุ่ม ไม่เว้นแม้แต่โคลินและโลเฟียร์
ด้วยความศรัทธาที่มีต่อเดอะเวิร์ลและมิสเตอร์ฟูล เดอร์ริคไม่มัวลีลา รีบก้มหน้าลงและกัดเห็ดคำใหญ่
“อะ…” มันส่งเสียงคล้ายกับลิ้นถูกลวก ก่อนจะเริ่มเคี้ยวและกลืนลงคอ
เมื่อเห็ดหายไปกว่าครึ่ง เดอร์ริคเงยหน้าขึ้น กล่าวด้วยปากมันเยิ้ม
“เป็นรสชาติที่แปลก…มาก…หยุดไม่ได้…ผมหยุดกินไม่ได้…”
โคลิน·อีเลียดสำรวจเดอร์ริคหัวจรดเท้าสักพัก หันหน้าไปทางคนเลี้ยงแกะโลเฟียร์
โลเฟียร์ส่ายหน้าแผ่วเบา
“ไม่ผิดปกติ”
คนรอบข้างต่างส่งเสียงเชียร์พร้อมกับกรูเข้าไปล้อมหน้าล้อมหลังเดอร์ริค บ้างขอแบ่งเห็ดที่กำลังกิน บ้างถามถึงเห็ดชนิดอื่น
ได้เห็นฉากตรงหน้า นักล่าปีศาจโคลินเผยสีหน้าผ่อนคลาย บรรจงหลับตาลงและเชิดคาง
มันสูดลมหายใจยาว ดื่มด่ำไปกับกลิ่นหอมหวนที่ปกคลุมห้อง
…
เมืองเงินพิสุทธิ์กำลังจัดงานเทศกาลเห็ด? ฟังดูพิลึกหูฉิบ…แล้วศิลาแห่งชีวิตคืออะไร? อา…คนของโบสถ์พระแม่ธรณีน่าจะทราบ แฟรงค์ก็คงไม่ใช่ข้อยกเว้น…เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ฟังรายงานล่าสุดจากเดอะซันน้อย คลี่แผ่นหนังที่เพิ่งมีโอกาสได้อ่านอย่างละเอียด
สาเหตุที่มันรีบกลับสู่โลกความจริงหลังจบพิธีกรรมสังเวยและรับมอบ เป็นเพราะนิยายตำนานสยองขวัญในของโรงพยาบาลในกรุงเบ็คลันด์ซึ่งถูกตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์มาหลายสัปดาห์ กำลังดำเนินถึงจุดเข้มข้น ส่งผลให้โอสถถูกย่อยอย่างรวดเร็ว
และในปัจจุบัน กระบวนการดังกล่าวจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ
มันพร้อมแล้วที่จะเลื่อนลำดับเป็น ‘ปราชญ์โบราณ’
ราชันเร้นลับ 1136 : ข่าวลือจากยุคโบราณ
ไคลน์วางสูตรโอสถ ‘นักถลุงโลหะโบราณ’ ในมือลง หันไปจ้องหลอดบรรจุเลือดสองหลอดที่เดอะซันน้อยสังเวยมาให้
จากนั้น มันกวักมือเรียกไหเคลือบเงาที่ห่อหุ้มด้วยกระดาษคนหลายชั้น
นี่คือเลือดของผู้วิเศษจากแหล่งต่าง ๆ ที่รวบรวมมาได้ ไหเก็บเลือดถูกวางไว้บนมิติหมอกและผนึกด้วยเทวทูตกระดาษหลายชั้น ป้องกันมิให้ออร่าของสายหมอกไหลซึมเข้าไปปะปน รวมถึงตัดขาดการเชื่อมต่อกับเจ้าของเลือด เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขณะวาดสัญลักษณ์เปิดประตู
สำหรับไคลน์ มันไม่กลัวอันตรายที่อาจเกิดกับตัวเอง เพราะยังมีพลังในการคืนชีพอีกอย่างน้อยอีกหนึ่งครั้ง แต่ถ้าการนำเลือดไปใช้จะทำให้ผู้เสียสละต้องแบกรับความเสี่ยง มันขอไม่ทำดีกว่า
เมื่อแกะผนึกกระดาษออกและเทเลือดในหลอดทั้งสองลงไป ไคลน์เสกแท่งแก้วออกมาคนให้เข้ากันสองสามครั้ง
ทันทีหลังจากนั้น มันใช้เทวทูตกระดาษผนึกไหกลับไปใหม่
ตอนนี้ก็เหลือแค่เส้นทางนักโทษ ปีศาจ และแม่มด…หลังจากเสร็จพิธีกรรม เราจะไปขอเลือดจากชารอนด้วยตัวเอง สำหรับเรื่องแบบนี้ คงเป็นการดีกว่าหากจะเผชิญหน้าโดยตรง การเขียนจดหมายค่อนข้างหยาบคายไปสักนิด…มีเพียงมิสเมจิกเชี่ยนเท่านั้นที่ค่อนข้างพิเศษ เธอชอบที่จะติดต่อด้วยการเขียนจดหมายมากกว่าพบเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตัวจริง…หึหึ ช่วงนี้เธอถึงกับอ้างว่าน้ำหมึกกลายเป็นน้ำแข็ง ส่งผลให้เขียนต้นฉบับได้ล่าช้า…คิดว่าฉันโง่หรือ? เธอเล่นกลจุดไฟได้! โชคดีที่โอสถของเราถูกย่อยสมบูรณ์แล้ว ไม่จำเป็นต้องเร่งนิยายอีก…ไคลน์พึมพำเงียบ โยนไหเคลือบเงาที่ห่อด้วยกระดาษคนเข้าไปในกองขยะ
หลังออกจากมิติหมอก ชายหนุ่มไม่คิดจะเลื่อนลำดับเป็นปราชญ์โบราณทันที แต่หยิบปากกากับกระดาษออกมาวาดสัญลักษณ์ของการส่องความลับและการปกปิด
นี่สิ่งมันที่วางแผนจะทำก่อนดื่มโอสถ – ถามกระจกวิเศษ อาโรเดส เกี่ยวกับข้อมูลของปราสาทต้นกำเนิด
เมื่อสัญลักษณ์ถูกวาดเสร็จ ภายในห้องที่มีบรรยากาศสลัวอยู่แล้ว ยิ่งทวีความมืดมิด ราวกับมีกลุ่มเมฆเคลื่อนตัวมาบดบังดวงอาทิตย์
ผ่านไปสิบวินาที บนกระจกบานใหญ่ซึ่งมีรอยแตกร้าว เกิดคลื่นน้ำกระเพื่อมบนพื้นผิว ตัวอักษรสีเงินถูกเขียนทีละหนึ่ง
“นายท่านผู้เป็นนิรันดร์ ยิ่งใหญ่ และสูงส่ง อาโรเดส ทาสรับใช้ที่ต่ำต้อย เปี่ยมศรัทธา และซื่อสัตย์ของท่าน มาหาท่านตามที่ต้องการแล้ว”
“ข…ข้ายังเป็นทาสรับใช้ที่นายท่านไว้ใจที่สุด ใกล้ชิดที่สุด และชื่นชอบที่สุดอยู่ไหม?”
คำถามนี้…เราเข้าใจความตื่นตระหนกและกังวลของเจ้ากระจกวิเศษ…รู้สึกว่าตำแหน่งของตัวเองไม่ปลอดภัย? ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิดเจือความขบขัน
“ใช่”
อันที่จริง นายไม่เคยเป็น…ฉันแค่พูดปลอบใจ…ไคลน์รำพันติดตลก
บนผิวกระจก คลื่นน้ำสว่างขึ้น ตัวอักษรสีเงินถูกย้อมกลายเป็นสีทอง
พวกมันดีดดิ้นสักพักจนกลายเป็นประโยคใหม่
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ท่านมีคำถามต้องการทดสอบข้าใช่ไหม?”
“ใช่” ไคลน์แอบเกร็ง “เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับปราสาทต้นกำเนิดบ้าง”
อาโรเดสเงียบไปสักพักก่อนขยับตัวอักษรสีทองซีด
“ข้าไม่มีข้อมูลมากนัก แต่เคยฟังข่าวลือที่สอดคล้องกัน: ในช่วงต้นยุคสมัยที่สอง เทพบรรพกาลเชื่อว่าพระผู้สร้างต้นกำเนิดได้ทิ้งบางสิ่งไว้เบื้องหลัง อาจเป็นอาณาจักรที่เกิดจากส่วนหนึ่งของร่างกายพระองค์ หรือสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น และปราสาทต้นกำเนิดคือหนึ่งในนั้น”
“นี่คือชื่อที่ราชาหมาป่าอสูร เฟรเกีย ตั้งให้ นอกจากนั้นยังตั้งสมญานามให้กับสุนัขแห่งฟัลกริมว่า ผู้พิทักษ์แห่งปราสาทต้นกำเนิด อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่มีชีวิตอยู่จวบจนร่วงหล่น เฟรเกียก็ไม่เคยเข้าไปในปราสาทต้นกำเนิดสำเร็จ หลายฝ่ายจึงชื่อว่า ปราสาทต้นกำเนิดไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงสัญลักษณ์เชิงนามธรรม”
มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระผู้สร้างต้นกำเนิด? ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก
“หนึ่งในนั้น…มีสถานที่หรือสิ่งที่คล้ายกับปราสาทต้นกำเนิดอยู่กี่แห่ง?”
“แปด…ข้อมูลดังกล่าวถูกบันทึกไว้ในศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยได้อ่าน” บนผิวกระจก ถ้อยคำใหม่ปรากฏขึ้นทีละบรรทัด แต่สีทองซีดได้กลับไปเป็นสีเงินตามเดิม “เทพบรรพกาลตั้งข้อสังเกตว่า การกัดกร่อนจากใต้ดินอาจมาจากสถานที่ซึ่งคล้ายกับปราสาทต้นกำเนิด ชื่อของมันคือ ‘ทะเลแห่งความโกลาหล’ และลือกันว่ามีเบาะแสของ ‘แม่น้ำอันธการนิรันดร์’ ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของเมืองวิญญาณ กัลเดรอน นี่เป็นข้อมูลจากต้นตระกูลฟีนิกซ์ เกรจารี โดยตรง ส่วนชื่ออื่นข้าเคยได้ยินมาบ้าง แต่ก็ไม่ครบถ้วน ประกอบด้วย ‘โลกเงามืด’ ‘ดินแดนรกร้างแห่งความรู้’ และ ‘รังมารดา’ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับดวงจันทร์”
แปดแห่ง…ทะเลแห่งความโกลาหล แม่น้ำอันธการนิรันดร์ ดินแดนรกร้างแห่งความรู้ โลกเงามืด…รังมารดาซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับดวงจันทร์…ชื่อนี้ฟังดูอันตรายมาก…อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับมารดาพฤกษาแห่งกรงกระหาย…ไคลน์ทบทวนข้อมูลที่อาโรเดสเล่าโดยเชื่อว่าตนน่าจะจับใจความบางสิ่งได้ แต่ท้ายที่สุดมันกลับไม่เข้าใจอะไรเลย เนื่องจากมีเบาะแสไม่มากพอที่จะเชื่อมต่อ
เมื่อตระหนักว่าอาโรเดสเคยได้ฟังเพียงข่าวลือ ปราศจากรายละเอียดที่แน่ชัด ไคลน์สลัดความคิดฟุ้งซ่านพร้อมกับเผยรอยยิ้ม
“เท่าที่ฟังดู เจ้าอาจมาจากทะเลแห่งความโกลาหล…”
“นั่นไม่สำคัญอีกต่อไป สิ่งสำคัญก็คือ ปัจจุบันข้าเป็นทาสรับใช้ที่ซื่อสัตย์ ถ่อมตน และเชื่อฟังของท่านแต่เพียงผู้เดียว” กระจกวิเศษ อาโรเดส เขียนข้อความรวดเดียวจบ
เชื่อฟัง…ดูการเลือกใช้คำ…ไคลน์จิกกัดในใจ
“ต้นกำเนิดของเทวทูตมืด ซาสเรีย คืออะไร?”
บนผิวกระจก คำพูดสีเงินเรียกตัวทีละหนึ่ง
“ข้ามองไม่เห็น แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวมีตำนานเล่าขานว่า เมื่อเทพสุริยันบรรพกาลถือกำเนิด แสงสว่างและความมืดถูกรวมเป็นหนึ่ง พระองค์อ้างว่าพระผู้สร้างต้องรอบรู้และไม่มีข้อบกพร่อง…ในภายหลัง พระองค์ทำการแยกความมืดในร่างกายออกมา และสร้างเทวทูตตนแรกโดยการผสานด้านมืดเข้ากับกระดูกซี่โครงหนึ่งท่อน ชื่อของเทวทูตตนดังกล่าวคือ เทวทูตมืด ซาสเรีย”
ซี่โครง…หืม…ดูเหมือนว่าเทพสุริยันบรรพกาลจะเป็นคนแต่งเรื่องนี้ขึ้นและเผยแพร่ด้วยตัวเอง…พี่ชายอามุนด์ ว่าที่ภรรยาของนายกลายเป็นเทวทูตมืดไปแล้ว! ไคลน์ประหลาดใจในตอนต้น ก่อนจะผุดความคิดพิสดารมากมาย
เมื่อสติเริ่มสงบลง ชายหนุ่มวิเคราะห์ความจริงเบื้องหลังตำนาน:
การแพร่กระจายตำนานดังกล่าวจะทำให้เหล่าสาวกต่างพากันเชื่อว่า เทวทูตมืด ซาสเรีย เป็น ‘ด้านมืด’ ของเทพสุริยันบรรพกาล ส่งผลให้ถูกเทิดทูนในลักษณะเดียวกับพระองค์…แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่คัดค้านตำนานนี้… ประกอบกับเรื่องที่เทวทูตมืดดำรงตำแหน่งหมายเลขสองของดินแดนทวยเทพและหัตถ์ซ้ายของพระองค์มาตลอด แปลว่าตำนานดังกล่าวอาจเป็นเรื่องจริง…
โดยหลังจากนั้น…ด้านมืดของเทพสุริยันบรรพกาลสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูภายนอก ล่อลวงเหล่าราชาเทวทูตและลอบสังหารร่างต้น?
เรื่องนี้อธิบายได้ว่า เหตุใดโอโรเลอุสและเมดีซีถึงเข้าร่วมกุหลาบไถ่บาป เพราะพวกท่านแค่เชื่อฟังคำสั่งของ ‘พระองค์’ …
จากมุมมองดังกล่าว ตำแหน่งของเทวทูตมืด ซาสเรีย ในดินแดนทวยเทพของสุริยันบรรพกาล เปรียบเสมือนเดอะเวิร์ลแห่งชุมนุมทาโรต์…
โชคดีที่เดอะเวิร์ลเป็นแค่หุ่นเชิดจำลอง ไม่มีวิญญาณและความคิดเป็นของตัวเอง…
คิดถึงตรงนี้ ไคลน์รู้สึกคล้ายกับเหงื่อแตก มันพบว่าตนโชคดีมากที่อยู่บนเส้นทางนักทำนาย ไม่ใช่เส้นทางอื่น
จากข้อมูลข้างต้น มันเริ่มเดาได้ว่าเหตุใดเทวทูตมืด ซาสเรีย ถึงตัดสินใจหลับใหลอยู่ในวังราชาคนยักษ์
บางที…อาจเกี่ยวข้องกับการร่วงหล่นของเทพสุริยันบรรพกาล…
ด้วยเหตุนี้ พี่ชายอามุนด์ มังกรแห่งปัญญา และพระผู้สร้างแท้จริง จึงต้องการยืนยันสถานะปัจจุบันของเทวทูตมืด ซาสเรีย…
แต่เรายังมีคำถาม…จากทั้งยี่สิบสองเส้นทางผู้วิเศษ ราชาเทวทูตและหัตถ์ซ้ายของพระผู้สร้าง อยู่บนเส้นทางใด?
นักจารกรรมมีอามุนด์ ผู้ฝึกหัดมีมิสเตอร์ประตู…ส่วนผู้ชม นักอ่าน นักขับขาน ลูกเรือ ผู้วิงวอนความลับ นักรบ ผู้ไร้หลับ นักเพาะปลูก นักปราชญ์ สัตว์ประหลาด นักลอบสังหาร นักล่า และผู้ตัดสินล้วนเป็นไปไม่ได้…ผู้เก็บซากศพก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะในยุคสมัยที่สี่มีเทพมรณาซึ่งเป็นลำดับศูนย์ ของเส้นทาง ย่อมไม่มีลำดับหนึ่ง เว้นเสียแต่เทวทูตมืดจะถอยไปเป็นลำดับ สอง…เหตุผลเดียวกันสามารถใช้ได้กับเส้นทางนักทำนายและนักกฎหมาย…อาจยืนยันได้แล้วว่า เทวทูตมืดในปัจจุบัน ไม่ใช่ราชาเทวทูตอีกต่อไป…
แต่อาจเป็นเส้นทางผู้ส่องความลับ จันทรา หรือปีศาจก็ได้เช่นกัน…เพราะบางที ปราชญ์เร้นลับ ดวงจันทร์บรรพกาล และด้านมืดเอกภพ อาจเป็นหนึ่งใน ‘ร่างอวตาร’ ของเทวทูตมืด…รวมไปถึงมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย…
เส้นทางนักโทษก็เป็นไปได้เช่นกัน เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่า เส้นทางดังกล่าวเคยมีเทพแท้จริงถือกำเนิดขึ้นมาก่อน บางที ‘เทพผู้ถูกล่าม’ อาจไม่เคยก้าวไปถึงระดับราชาเทวทูตด้วยซ้ำ…
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก หันไปพูดกับกระจกวิเศษ อาโรเดส
“ตาเจ้าถาม”
บนกระจกที่เต็มไปด้วยรอยร้าว ตัวอักษรสีเงินบิดเข้าหากันและเรียงเป็นประโยคใหม่
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้าขอเดาได้ไหมว่าท่านจะถามสิ่งใดต่อ?”
“…” ไคลน์พยักหน้า
“ได้สิ”
“ท่านต้องการถามเกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของซาสเรีย และคำตอบของข้าคือ ไม่ทราบ…ข้ามองไม่เห็น” อักษรสีเงินปิดท้ายหน้ายิ้ม
“ไม่เลว” ไคลน์ชมเชย “วันนี้พอแค่นี้ก่อน ไว้ข้าจะเรียกหาเจ้าใหม่”
“ขอรับ นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ อาโรเดส ทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่าน พร้อมตอบสนองคำเรียกหาของนายท่านทุกเมื่อ!” บนผิวกระจก หน้ายิ้มท้ายประโยคถูกเปลี่ยนเป็นอุ้งเท้าแมวที่กำลังโบกมือ
เมื่อกระจกกลับเป็นปรกติ ไคลน์หยิบปากกาและกระดาษ จดสิ่งที่มันเพิ่งเรียนรู้
นี่คือหนึ่งในเอกสารที่เตรียมใช้ประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับ ‘ปราชญ์โบราณ’
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา มันลงมือเขียนเอกสารทางประวัติศาสตร์มากมาย
จากนั้น ไคลน์ทำการเทเลพอร์ตไปยังทวีปใต้พร้อมกับหุ่นเชิดทั้งสองและเอกสารในมือ
มันไม่กล้าเลื่อนลำดับในเบ็คลันด์ เพราะถ้าทำเช่นนั้น ซาราธและอามุนด์จะสัมผัสได้ถึงความผิดปรกติ และพุ่งตรงมาหาโดยไม่รีรอแน่นอน!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น