Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1123-1126
ราชันเร้นลับ 1123 : หลังการสำรวจ
เหนือสายหมอกสีเทา หลังจากเห็นทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์เริ่มเดินทางกลับ และวังราชาคนยักษ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม ชายหนุ่มถอนหายใจยาวด้วยท่าทีอิดโรย
หลังจากรับชมถ่ายทอดสดนานเกือบสองชั่วโมง พลังวิญญาณของมันใกล้ถึงขีดจำกัด ทนได้อย่างมากไม่เกินสิบห้านาที
“การสำรวจคราวนี้ทำกำไรเหนือจินตนาการของเราไปมาก…เหมาะสมแล้วที่จะมอบสูตรโอสถอัศวินสีเงินให้เมืองเงินพิสุทธิ์” ไคลน์ลูบหน้าผากพร้อมกับใช้ความคิด “อา…ด้วยข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่เข้มข้น เราคงย่อยโอสถปราชญ์โบราณทันทีที่ดื่มเข้าไป…แต่ปัญหาคือ ปัจจุบันเรายังย่อยโอสถจอมเวทพิสดารไม่เสร็จ”
พิจารณาจากการตอบรับในช่วงที่ผ่านมา ข่าวลือเกี่ยวกับตำนานภูตผีช่วยได้มากทีเดียว…หากมิสเมจิกเชี่ยนเขียนนิยายเสร็จและตีพิมพ์เมื่อใด ใช้เวลาบ่มเพาะสักพักก็น่าจะสมบูรณ์…
แต่เธอเพิ่งเริ่มเขียนได้แค่ไม่กี่วัน ต้นฉบับจะเสร็จตอนไหน…
ทำไมเธอถึงไม่ทำงานหนักขึ้นอีกวันละสองสามชั่วโมง?
ครั้งหน้าที่ไปรับ เราจะกำชับเรื่องนี้…
ทันใดนั้น ไคลน์ฉุกคิดบางสิ่งได้ นั่นคือเรื่องที่มันยังค้างค่าตอบแทนของแอนเดอร์สันในภารกิจระบุตำแหน่งพลเรือโทโรคภัย
รอให้หมอนั่นช่วยเดนิสกลายเป็น ‘นักวางแผน’ ก่อนก็แล้วกัน…นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของสัญญา…พิธีกรรมเลื่อนลำดับของ ‘อัศวินเลือดเหล็ก’ นั้นไม่ซับซ้อน แต่ก็ไม่ง่ายเช่นกัน โดยเฉพาะกับ ‘นักล่า’ …ต้องใช้นักล่าที่เก่งกาจการยั่วยุและวางแผน สร้างทีมด้วยสมาชิกอย่างน้อยสามสิบคนและสร้างมิตรภาพร่วมกัน พัฒนาให้ทุกคนแข็งแกร่ง ร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เมื่อถึงระดับที่มองตาก็รู้ใจ ให้ดื่มโอสถเข้าไป…ยิ่งทีมแข็งแกร่งและมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากเท่าใด ประสิทธิภาพของพิธีกรรมก็ยิ่งยอดเยี่ยม…
เมื่อเห็นทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์เดินทางกลับอย่างปลอดภัยมาได้สักพักระยะ ไคลน์ตัดสินใจออกจากมิติเหนือสายหมอก ทิ้งตัวเองลงบนเตียงและหลับฝันดี
…
ในค่ายหมู่บ้านยามบ่าย หลังจากพักผ่อนฟื้นฟูร่างกาย ในที่สุดสีหน้าของเดอร์ริคก็กลับมามีกำลังวังชา ไม่ซีดเผือดอีกต่อไป
ขณะกำลังกินขนมปังหญ้าผิวดำ ร่างหนึ่งโผล่ขึ้นจากเงาด้านนอกประตูและกล่าวเสียงแผ่ว
“เดอร์ริค เจ้าเมืองเรียกพบ”
“ครับ” เดอร์ริคยืนขึ้นตามสัญชาตญาณ “ขอบคุณครับ”
มันเตรียมใจจะเข้าพบเจ้าเมืองและส่งมอบสูตรโอสถอัศวินสีเงินอยู่แล้ว
หลังจากผู้ส่งสารกลับเข้าไปในเงามืด เด็กหนุ่มเดินออกจากประตูห้องพักและตรงมายังลานกว้างภายในค่ายที่มีกองไฟสว่าง
เดอร์ริคเห็นสมาชิกที่ไม่ได้เข้าร่วมทีมสำรวจวังราชา จับกลุ่มสองสามคนและพูดคุยบางสิ่งด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ทุกคนได้ทราบแล้วว่า สามารถมองเห็นทะเลได้จากวังราชาคนยักษ์ นั่นแปลว่าทะเลต้องอยู่ไม่ไกล หากค้นพบเส้นทางที่ถูกต้องก็สามารถไปถึงได้ในเวลาอันสั้น
นี่คืออีกหนึ่งก้าวสำคัญในการต่อลมหายใจของเมืองเงินพิสุทธิ์ นับตั้งแต่การค้นพบคนนอกอย่างแจ็ค
ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ซึ่งถือครองเส้นทางที่ใช้พลังรุ่งอรุณเป็นหลัก ในที่สุดก็ได้เห็นแสงแห่งรุ่งอรุณของจริง
ความอดทนและการรอคอยอันยาวนาน ในที่สุดก็ผลิดอกออกผล
เดอร์ริคเข้าใจหัวอกของทุกคน เพราะมันก็เคยคิดแบบเดียวกัน ทว่า หลังจากได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ซากสมรภูมิเทพ’ ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เด็กหนุ่มตระหนักได้ทันทีว่าการเดินทางไปอีกฟากหนึ่งของทะเลไม่ใช่เรื่องง่าย
เหนือสิ่งอื่นใด การที่เทวทูตมืด ซาสเรียหลับใหลอยู่ในวังพำนักของราชาคนยักษ์และปิดกั้นเส้นทางสำคัญ คือปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกในปัจจุบัน
ได้แต่หวังว่ามิสเตอร์ฟูลจะอวยพร…อา…แม้แต่เด็กชายแจ็คก็ยังเข้ามาถึงซากปรักหักพังของวิหารได้ หมายความว่ายังมีเส้นทางเข้าออกอื่นนอกจากวังราชาคนยักษ์อยู่…เดอร์ริคแอบหวังเล็ก ๆ พลางเดินอ้อมกองไฟไปยังห้องเจ้าเมืองที่อยู่อีกฝั่ง
ทันใดนั้น มันเห็นใครบางคนกำลังนั่งเงียบใต้เงาก้อนหินใหญ่
เป็นชายวัยยี่สิบ สูงกว่าเดอร์ริคมาก ถือกำไลข้อมือสีทองที่ห้อยกระดิ่งเล็กสามใบ ดวงตากำลังเหม่อลอย
เดอร์ริคจำหน้าได้ เพราะอีกฝ่ายคือสามีของแอนเทียน่า โดโลเรส อัศวินรุ่งอรุณลำดับ 6
ในเมืองเงินพิสุทธิ์ ก่อนอายุสิบแปด ทุกคนสามารถมีความรักได้อย่างอิสระ แต่หากอายุถึงสิบแปดแล้วยังไม่ได้แต่งงาน จะถูกจัดแจงให้แต่งงานกับเพศตรงข้ามทันที เช่นเดียวกันกับพ่อหม้ายแม่หม้ายที่เป็นโสดเกินกว่าสามปี
นี่คือมาตรการสำหรับรักษาจำนวนประชากร แม้จะฟังดูขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน แต่สำหรับเมืองเงินพิสุทธิ์ที่ต้องดิ้นรนในความมืด พวกมันไม่มีทางเลือกมากนัก แถมวิธีนี้ยังช่วยให้ทุกคนมีเครือญาติที่ค่อนข้างใหญ่ ลดโอกาสตายโดยไม่ถูกญาติฆ่าจนกลายเป็นวิญญาณมาร
โดโลเรสและแอนเทียน่าเป็นเพื่อนบ้านบนถนนเส้นเดียวกัน รู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก มีความรู้สึกดี ๆ ให้กันเสมอ จนกระทั่งตกลงคบหากันหลังจากเข้าร่วมภารกิจลาดตระเวนในทีมเดียวกัน และในภายหลังได้พัฒนาไปเป็นสามีภรรยา
เนื่องจากเห็นว่าลูกยังเล็ก โคลิน·อีเลียดจึงทิ้งหนึ่งคนไว้ในค่าย และให้อีกหนึ่งคนเข้าร่วมทีมสำรวจวังราชาคนยักษ์
ในแง่หนึ่ง เดอร์ริคไม่มีปัญหากับการจัดทีมของเจ้าเมือง แต่อีกแง่หนึ่งก็รู้สึกเศร้าเมื่อได้เห็นท่าทีที่โดโลเรสแสดงออก ราวกับมองเห็นตัวเองเมื่อครั้งต้องฆ่าพ่อแม่กับมือ
นับตั้งแต่ออกเดินทางจนกระทั่งกลับถึงค่าย ระยะเวลาผ่านไปเพียงครึ่งวัน แต่สำหรับโดโลเรส ชีวิตของมันพลิกผันโดยสิ้นเชิง
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เดอร์ริคถอนสายตากลับและเดินต่อ ย่างก้าวหนักแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
พร้อมกันนั้น มันฉุกคิดถึงข่าวลือในอดีต:
คนเลี้ยงแกะโลเฟียร์เคยมีสามี แต่เสียชีวิตระหว่างภารกิจสำรวจ เดิมที เรื่องทำนองนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนและไม่ควรค่าแก่การรื้อฟื้น แต่สิ่งที่พิเศษออกไปก็คือ ทีมสำรวจซากปรักหักพังทุกคนที่กลับมาพร้อมกับเธอ ในภายหลังได้กลายเป็นบ้าทั้งหมด ส่งผลให้มีข่าวลือประหลาดแพร่กระจายภายในเมืองเงินพิสุทธิ์:
ระหว่างภารกิจสำรวจ อาวุโสโลเฟียร์กินสามีของเธอเข้าไป!
ท่ามกลาง ‘ค่ำคืน’ ที่มีความถี่สายฟ้าต่ำ อากาศภายนอกค่อนข้างเย็น เดอร์ริคที่ตัวสั่นเทารีบสลัดความคิดฟุ้งซ่าน หันกลับมาสนใจทางเดินตรงหน้า
มันเร่งฝีเท้าจนกระทั่งถึงจุดหมายในเวลาไม่นาน ยกมือขึ้นมาเคาะประตู
“เข้ามา” โคลิน·อีเลียดกล่าวเสียงแผ่ว
เดอร์ริคเดินเข้าไป พบเจ้าเมืองแต่งกายในเสื้อลินินและเสื้อนอกสีเข้ม กำลังเช็ดดาบทั้งสองเล่มด้วยน้ำมัน
โคลิน·อีเลียดไม่หยุดมือ เพียงเงยหน้าขึ้นและกล่าวกับเดอร์ริคที่ประตู
“คุณมีความเห็นอย่างไรบ้างกับภารกิจสำรวจครั้งล่าสุด”
เจ้าเมืองอยากถามอะไรมิสเตอร์ฟูล? เดอร์ริคซึ่งได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจากแฮงแมน เกิดคำถามโดยสัญชาตญาณ
เมื่อมิอาจถอดรหัสความนัยแฝงของเจ้าเมือง เดอร์ริคตัดสินใจปิดประตูและตอบอย่างสุขุม
“อาจมีเส้นทางอื่นที่นำไปสู่ทะเล…วังราชาคนยักษ์อาจเป็นเส้นทางหลัก แต่ที่นั่นก็อันตรายเกินไป พวกเราต้องการข้อมูลเพิ่มเติม”
โคลิน·อีเลียดพยักหน้า
“ราชาเทวทูตสมคบคิดกับตัวตนระดับทวยเทพเพื่อ…ต่อต้านพระองค์? และความสำเร็จของพวกท่าน ส่งผลให้ดินแดนแห่งนี้ถูกทอดทิ้ง?”
แม้เดอร์ริคจะไม่เคยได้ยินคำอนุมานเช่นนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสรุปผล หลังจากได้ฟังข้อมูลมากมายภายในชุมนุมทาโรต์
“ครับ น่าจะเป็นแบบนั้น”
โคลินเงียบงัน กระทั่งมือที่เช็ดดาบก็ยังขยับช้าลง
ไม่กี่วินาทีถัดมา มันวางมือจากทุกสิ่งและเดินสองสามก้าวมาทางเด็กหนุ่ม
“เหล่าผู้สมคบคิดยังคงเคลื่อนไหวอยู่อีกฟากหนึ่งของทะเล?”
เดอร์ริคเงียบไปสักพัก
“ใช่ครับ…แต่ก็ไม่มากนัก”
โคลิน·อีเลียดพยักหน้า เป็นนัยว่าไม่มีอะไรจะถาม
เดอร์ริครีบพูด
“ท่านเจ้าเมือง ในตอนที่ผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนเสียชีวิต ผมได้รับสูตรโอสถที่ไม่สมบูรณ์ของอัศวินสีเงิน… ประกอบด้วยวัตถุดิบเสริมและพิธีกรรมสำหรับเลื่อนลำดับ”
เมื่อกล่าวจบ เดอร์ริคทราบทันทีว่าตนโกหกได้ห่วยแตก ไม่ว่าใครก็มองออก เพราะในเหตุการณ์ดังกล่าว มันเอาแต่ปิดตาสนิท
แต่มันก็คิดข้ออ้างที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ถ้าเป็นมิสเตอร์แฮงแมน เขาต้องคิดคำแก้ตัวได้ดีกว่านี้แน่…ขณะเดอร์ริคครุ่นคิด มันได้ยินเสียงเจ้าเมือง
“เยี่ยมมาก…มีอะไรบ้าง?”
“…” เดอร์ริคผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบอธิบายพิธีกรรมและวัตถุดิบเสริม
นักล่าปีศาจโคลินฟังอย่างเงียบงัน ตามด้วยถอนหายใจยาว
“ผลงานของคุณในคราวนี้…มหัศจรรย์มาก…เมืองเงินพิสุทธิ์จะมีอนาคตสดใสอย่างที่ไม่เคยเป็น ขีดจำกัดของพวกเราจะกลายเป็นลำดับสามไม่ใช่แค่ลำดับสี่อีกต่อไป…ภายในขอบเขตบางอย่าง ความเสี่ยงของภารกิจจะลดลงอย่างมาก”
เมื่อขีดจำกัดของเส้นทางกลายเป็นลำดับสามทำไมความเสี่ยงถึงลดลงแค่ในบางขอบเขต? แม้เดอร์ริคจะร่วมยินดี แต่มันก็ไม่เข้าใจคำพูดอีกฝ่าย
แต่มันทราบดี ตนยังไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องนั้น จึงเก็บความสงสัยไว้ปรึกษากับชุมนุมทาโรต์ในภายหลัง
เด็กหนุ่มกล่าวคำอำลาและหันหลังเปิดประตู
“เดอร์ริค…” โคลิน·อีเลียดเรียกหยุดไว้
เดอร์ริคมองกลับไปด้วยความฉงน และพบว่าสีหน้าของเจ้าเมืองค่อนข้างเคร่งขรึม
โคลินเงียบไปสักพักก่อนจะส่ายหน้า
“ระวังโลเฟียร์”
“ครับ ท่านเจ้าเมือง” เดอร์ริคตอบด้วยความจริงใจ
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตเหนือ
จากคฤหาสน์กวางมูส เฮเซลเดินทางกลับเข้าเมืองด้วยรถม้า เตรียมแวะไปยัง ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ เพื่อพบมิสออเดรย์และปรึกษาเกี่ยวกับการบริจาค ความช่วยเหลือ และเรื่องอื่น ๆ
หลังจากได้พบปะกันหลายหน เธอค่อนข้างประทับใจสตรีสูงศักดิ์รายนี้ รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีบรรยากาศผ่อนคลาย นอกจากนั้น อารมณ์แปลกประหลาดที่คอยก่อตัวภายในใจ มักจะบรรเทาลงทุกครั้งที่ได้พบกัน ความทรงจำที่เคยลืมเลือนก็ฟื้นกลับคืนมาทีละนิด
เราน่าจะเคยมีอาจารย์…เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น? เพียงแค่นึกถึง เราก็ตัวสั่นทันที…เฮเซลมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาเศร้าสร้อย
รถม้าของเธอกำลังแล่นผ่านถนนเบิร์คลุน
ทันใดนั้น ชายคนหนึ่งที่แต่งกายในชุดบุรุษไปรษณีย์ ขี่จักรยานตัดหน้ารถม้าด้วยท่าทีผ่อนคลาย
เฮเซลสำรวจอีกฝ่ายหัวจรดเท้าและพบกับแว่นตาขาเดียวที่ตาข้างขวา
ราชันเร้นลับ 1124 : ยกระดับพวกพ้อง
เฮเซลตาค้างทันที รู้สึกคล้ายกับภายในหัวมีบางสิ่งกำลังขยายออก พยายามฉีกทำลายบาเรียล่องหนและพรั่งพรูออกมา
เธอรีบมองไปทางอื่นตามสัญชาตญาณและขดตัวสั่น
จากนั้น หญิงสาวสัมผัสได้ว่า ภายในส่วนลึกของจิตใจมีแสงหนึ่งสว่างขึ้น ระเบิดออกพร้อมกับเศษเสี้ยวความทรงจำ
เธอจดจำได้ว่า มีเหตุการณ์ใดบ้างเกิดขึ้นในวันนั้น ยังไม่ลืมว่าบิดา มารดา สาวใช้ และคนใช้ชายต่างสวมแว่นตาขาเดียวหรือไม่ก็พยายามจับตาข้างขวา ความสยดสยองอันยากจะอธิบายผุดขึ้นอย่างคมชัดราวกับถูกสลักลงบนกระดูก
สีหน้าเฮเซลบิดเบี้ยวทันที ร่างกายห่อตัวประหนึ่งลูกบอล สั่นระริกอย่างมิอาจหักห้าม สาวใช้บนรถม้าต่างพากันผงะ รีบลุกขึ้นและเอื้อมมือเข้าหา พยายามพยุงให้คุณหนูของตนลุกขึ้นยืน
“ไม่!” เฮเซลที่ตัวสั่น ตะโกนด้วยเสียงที่เกือบจะแหลมเล็ก
สาวใช้ตกใจกลัวและยืนแข็งทื่อ ทำตัวไม่ถูกไปสักพัก
หลังจากตะโกน เฮเซลผ่อนคลายลงมาก รีบลุกขึ้นนั่งด้วยความเยือกเย็น มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างหวาดกลัว พบว่าบุรุษไปรษณีย์ที่สวมแว่นตาขาเดียวเลี้ยวจักรยานเข้าไปในถนนอีกเส้น มองเห็นเพียงแผ่นหลัง
“ฉ…ฉันแค่รู้สึกไม่ดีนิดหน่อย ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว” เฮเซลหันหน้ามาพูดกับสาวใช้อย่างยากลำบาก
เธอพบว่าตัวเองไม่ได้กลัวอย่างที่คิด คล้ายกับปรับตัวได้สักพักแล้ว สามารถยอมรับสถานการณ์ได้ดีกว่าในช่วงแรก
ไม่อย่างนั้นเราคงคลุ้มคลั่งไปแล้ว…แต่ทำไมเราถึงใช้คำว่า ‘คลุ้มคลั่ง’ …โชคดีที่เคยลืมความทรงจำเหล่านี้ไป ในตอนที่เห็นบุรุษไปรษณีย์ ต้องใช้เวลาเกือบสิบวินาทีจึงค่อยสติแตก ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงสังเกตเห็นความผิดปรกติ…ความคิดมากมายถาโถมเฮเซล อดไม่ได้ที่จะสั่นระริกแผ่วเบา
“คุณหนู ไปคลินิกไหมคะ?” สาวใช้รีบถาม
เฮเซลส่ายหน้าตามจิตใต้สำนึก กล่าวเสียงเรียบด้วยจิตใจที่ว่าวุ่น
“แวะไปที่ ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ ก่อน ฉันจำได้ว่าใกล้ ๆ ที่นั่นมีคลินิก”
“ค่ะ” สาวใช้หันไปบอกให้คนขับรถม้าเร่งความเร็ว
เฮเซลยังคงสูดลมหายใจยาว พยายามบรรเทาความเครียด ตื่นตระหนัก และหวาดกลัว
สิ่งเหล่านี้ส่งผลไม่มากก็น้อย คล้ายกับเฮเซลสงบลงโดยที่ไม่สติแตกคาที่
ในเวลาเดียวกัน บนหลังคารถม้า นกกระจอกซึ่งมาเกาะอยู่ได้สักพัก หรี่ตาลงและพูดภาษามนุษย์ที่เบาจนเกือบจะเงียบ
“เธอเข้าใจผิดบางอย่างเกี่ยวกับเรา…ดูเหมือนว่าจะเคยเผชิญหน้ากับ ‘เรา’ มาก่อน…หืม…อาศัยอยู่บนถนนเบิร์คลุน…ชักน่าสนใจแล้วสิ”
เพียงไม่นาน เมื่อรถม้าแล่นเข้าไปในถนนเฟลป์และเห็นตึก ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ อยู่ไม่ไกล เฮเซลพูดขึ้นทันที
“ไปวิหาร…แวะวิหารนักบุญแซมมวลก่อน! ฉันอยากสวดมนต์”
เธอต้องการเล่าให้บิชอปฟังว่า ‘วันนั้น’ ในอดีตเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง และวันนี้เธอได้พบเจอกับอะไร
ระหว่างช่องว่างของแผ่นไม้รถม้า มดสีดำขยับหนวดขวาและกระซิบเป็นภาษาคน
“มนุษย์สมัยนี้ไม่สร้างสรรค์เลยสักนิด เอะอะก็เข้าวิหาร…คราวหน้า เราจะขโมยวิหารทั้งหลัง”
ขณะกล่าว หนวดอีกเส้นของมดเริ่มขยับ
ทันใดนั้น เฮเซลลืมสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกไป รวมถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ลืมไปแล้วว่าเคยพบกับบุรุษไปรษณีย์สวมแว่นตาขาเดียว
นอกจากนั้น ดูเหมือนว่าทั้งสาวใช้และคนขับรถม้าต่างก็ลืมคำสั่งล่าสุดของเธอ
ในอาคารกองทุน ออเดรย์ทักทายเฮเซลและพาเพื่อนใหม่เข้าร่วมกิจกรรมช่วยเหลือทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสมรภูมิแนวหน้า
เนื่องจากเดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์เคยตักเตือนว่า ซาราธซึ่งเป็นผู้นำลัทธิเร้นลับ รวมถึงเทวทูตที่แข็งแกร่งตนอื่น กำลังซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่งภายในกรุงเบ็คลันด์ ออเดรย์จึงตัดสินใจละทิ้งการรักษาเฮเซลในระยะที่สาม ทำได้เพียงภาวนาให้ความทรงจำของเธอไม่ตื่นขึ้นมาจนเกิดเหตุไม่คาดฝัน
แผนการปัจจุบันก็คือ ชักชวนให้เฮเซลช่วยเหลือผู้คนด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมการกุศล อีกฝ่ายจะได้ร่าเริงและมีภูมิต้านทานทางจิต
…
ในเมืองที่โจรสลัดเป็นใหญ่ ฟอร์สดื่มไวน์ผลไม้ของท้องถิ่นที่ออกฤทธิ์แรงเป็นพิเศษ บันทึกประสบการณ์และสิ่งที่ได้พบเจอในชีวิตประจำวัน
ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณของเธอถูกกระตุ้น รีบหันไปมองด้านข้างตามสัญชาตญาณ
เธอเห็นเค้าโครงของมนุษย์ถูกวาดขึ้นจากความว่างเปล่า ก่อตัวเป็นร่างกายที่สมบูรณ์ในพริบตา ไม่ใช่ใครนอกจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เจ้าของใบหน้าเย็นชา แต่งกายด้วยหมวกทรงกึ่งสูงและเสื้อนอกสีดำ
ฟอร์สลุกพรวดพร้อมกับแก้วไวน์และปากกา กล่าวออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ทิวาสวัสดิ์…ม…มิสเตอร์สแปร์โรว์”
ขณะพูด เธอวางของในมือลงบนโต๊ะ
ไคลน์กดหมวกทรงกึ่งสูงเล็กน้อยพลางมองไปรอบตัว
“จะกลับหรือยัง”
ฟอร์สกลอกตาซ้ายขวาและตอบ
“กลับ”
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เธอทำการบันทึกเอกลักษณ์ของเมืองนี้ซึ่งมีจุดแตกต่างจากเมืองอื่น
ไคลน์ไม่สนทนายืดยาว ใช้คางชี้ไปยังสิ่งของบนโต๊ะ เป็นนัยให้มิสเมจิกเชี่ยนรีบเก็บกระเป๋า
ฟอร์สไม่มัวลังเล รีบจัดเรียงต้นฉบับราวกับว่านั่นคือคำสั่งเด็ดขาด
ขณะยืนดูอีกฝ่ายกำลังยุ่งวุ่นวาย ไคลน์ถามเสียงเย็น
“ตำนานสยองขวัญไปถึงไหนแล้ว”
ฟอร์สสั่นระริกแผ่วเบาก่อนจะรีบตอบ
“ใกล้แล้ว…อีกนิดเดียว”
ไคลน์พยักหน้าอ่อนโยน
“อีกนานแค่ไหน”
“หนึ่งสัปดาห์…ไม่สิ ห้าวัน ไม่เกินห้าวันแน่นอน” ฟอร์สรีบตอบ
ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงยืนรอจนกระทั่งฟอร์สเก็บต้นฉบับ ปากกา แก้วไวน์ที่มีของเหลวเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง และของที่ระลึกเสร็จเรียบร้อย มันขยับสองก้าวและเหยียดแขนจับไหล่อีกฝ่าย
เงารางสีดำจำนวนมากโผล่ขึ้นมาแหวกว่ายตรงหน้าอีกครั้ง ฟอร์สรู้สึกผ่อนคลายกว่าครั้งแรก ถึงขั้นคิดจะ ‘บันทึก’ การเดินทางครั้งนี้ด้วย
ไม่นานหลังจากนั้น เธอกลับถึงกรุงเบ็คลันด์ กลับถึงตรอกแคบที่เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทาง และได้ยินเสียงเดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์พูด
“พักผ่อนสองสามวันก่อนออกเดินทางรอบใหม่…พยายามซึมซับผลตอบกลับให้ดี และฝากถามอาจารย์ของเธอว่า มีข้อมูลเกี่ยวกับจักรพรรดิโลหิตทูดอร์บ้างไหม เน้นเรื่องโบราณสถานลับในสถานที่ต่าง ๆ”
“ตกลง” ฟอร์สรับปากและขอบคุณ
หลังจากแยกกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ฟอร์สกลับไปยังถนนเส้นหนึ่งในเขตตะวันออก กลับเข้าบ้านที่เช่าร่วมกับซิล
ซิลวางหนังสือพิมพ์ลง จ้องเพื่อนสนิทและพูด
“ได้ผลดีไหม?”
“ค่อนข้างดี คราวนี้ได้ไปเมืองที่โจรสลัดเป็นใหญ่…” ยังไม่ทันพูดจบ ฟอร์สเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย “ขอบุหรี่กับกาแฟหน่อย”
“ทำไม? ที่นั่นไม่มีหรือ” ซิลถามด้วยสีหน้ามึนงง
ฟอร์สรีบเดินเข้าไปในห้อง นั่งลงบนโต๊ะทำงาน กางต้นฉบับออก หยิบปากกาและกล่าวโดยไม่มองหน้าเพื่อนสนิท
“เพื่อนิยายเล่มใหม่! อย่าลืมชงกาแฟที่คนกินได้ให้ฉันด้วย!”
ซิลที่เดินตามเข้าไปในห้องนอน เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว เธออ้าปากค้างโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
…
ณ จุดอื่นของเขตตะวันออก ในบ้านเช่าที่มีเค้าโครงคล้ายคลึงกัน
เนื่องจากซาราธอยู่ในเบ็คลันด์ อามุนด์สามารถถูก ‘ล่อลวง’ ได้ทุกเมื่อ แถมตอนนี้ก็ยังไม่ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงของวิญญาณมารเทวทูตสีชาด ขณะเดียวกัน ไคลน์ยังตั้งใจจะยับยั้งพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืดของจอร์จที่สาม ในแง่หนึ่ง มันพยายามย่อยโอสถจอมเวทพิสดารอย่างสุดความสามารถ และในอีกแง่หนึ่ง มันกำลังเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ชายหนุ่มคลี่กระดาษจดหมายออกและเขียน
“เรียนมิสเตอร์อะซิก…”
“ช่วงนี้ผมมีโอกาสได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์โบราณมากมาย ผมเชื่อว่าคุณต้องสนใจมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่เลือกประกอบอาชีพอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์หลังจากสูญเสียความทรงจำ”
“ประวัติศาสตร์ดังกล่าวถูกปกปิดและไม่สะดวกที่จะเล่าผ่านจดหมาย ไว้คุณตื่นเมื่อไร ผมจะเล่าให้ฟังกับตัว”
“นอกจากนั้น ผมสามารถสร้างยันต์ ‘วันวานอีกครั้ง’ ทันทีที่ใช้งาน คุณจะย้อนกลับไปค้นหาตัวตนในอดีตผ่านช่องว่างประวัติศาสตร์และหยิบยืมพลังมาใช้งาน”
“สำหรับคุณ การยืมพลังคงไม่ใช่สาระสำคัญ แต่เป็นการรื้อฟื้นความทรงจำจากตัวตนในอดีตได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาหลายสิบปีหลังจากคืนชีพ ผมคิดว่าคุณน่าจะชอบ…”
“ผมแนบยันต์สองแผ่นไปพร้อมกับจดหมาย ถ้าคุณตื่นเมื่อไรให้ลองทดสอบใช้งานดู”
“ตอนนี้ผมอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่วุ่นวาย หากคุณต้องการมาหา อย่าลืมตรวจสอบล่วงหน้าจนมั่นใจว่าปลอดภัย”
“…ผมจะพยายามยับยั้งไม่ให้จอร์จที่สามกลายเป็นจักรพรรดิมืด แต่โอกาสสำเร็จมีต่ำมาก…”
“สุดท้ายนี้ ผมขอให้คุณพบเจอแต่สิ่งดี ๆ ขอให้ลืมตาตื่นขึ้นโดยเร็ว…ไคลน์·โมเร็ตติ ศิษย์ของคุณตลอดไป”
หลังจากพับกระดาษจดหมาย ไคลน์บรรจุยันต์วันวานอีกครั้งสองแผ่นเข้าไปในซอง
จากนั้น มันนำนกหวีดทองแดงของอะซิกออกมาเป่า
ผู้ส่งสารกระดูกยักษ์โผล่ออกจากความว่างเปล่า ในสภาพศีรษะอยู่ต่ำกว่า มันรับจดหมายไปจากมือไคลน์
ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย มองดูผู้ส่งสารกระดูกสลายตัวและเลือนหายไป
จัดการทั้งหมดเสร็จ มันนำสองนิ้วคีบนกกระเรียนกระดาษที่วิล·อัสตินพับออกจากกระเป๋าสตางค์ เขียนด้วยดินสอ
“ผมมีคำถาม”
มันวางนกกระเรียนไว้ใต้หมอนและนอนทับ หลับไปด้วยการเข้าฌาน
ในส่วนลึกของยอดหอคอยแหลมสีดำ ไคลน์ได้พบวิล·อัสตินในรถเข็นเด็กสีดำที่ห่อด้วยผ้าไหมเงิน
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูด มันถามเข้าประเด็น
“คุณพอจะทราบไหมว่า ผมสามารถสอบถามวิธีปรองดองกับ ‘เอกลักษณ์’ ได้จากใคร? และต้องจ่ายเท่าไร?”
แต่ถ้ามันแพงนักก็ลืมไปเสีย…ไคลน์เสริมในใจ
วิล·อัสตินที่กำลังดูดนิ้วโป้ง เผยสีหน้าตกตะลึงก่อนจะพูด
“เจ้าต้องการช่วยข้าหาวิธีปรองดองกับลูกเต๋าความน่าจะเป็น?”
ไคลน์พยักหน้าเคร่งขรึม
“ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ พวกเราก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด”
ทันทีที่พูดจบ วิล·อัสตินหลั่งน้ำตาอาบแก้ม
ทารกอวบอ้วนใช้มือทุบข้างรถเข็น ส่งเสียงสะอื้น
“เปล่าประโยชน์…สายเกินไปแล้ว…ข้าเพิ่งเริ่มต้นใหม่ ต้องใช้เวลาอีกยี่สิบสองปีกว่าจะปรองดองกับเอกลักษณ์ได้… ทำไมถึงไม่รีบบอก? ทำไมข้าถึงโชคร้ายแบบนี้…คงเป็นเพราะไอ้งูโง่โอโรเลอุสนั่นที่กินความโชคดีของข้าไปเกือบหมด…”
ราชันเร้นลับ 1125 : โอกาส
เมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของวิล·อัสติน ไคลน์ทำตัวไม่ถูก จึงไม่แสดงสีหน้าใด
จนกระทั่งทารกที่ถูกห่อด้วยผ้าไหมเงินสงบลง ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงงุนงง
“ต่อให้พูดไปก่อนหน้านี้ก็คงไม่มีประโยชน์ ในตอนที่เราพบกัน คุณ ‘เริ่มต้นใหม่’ ไปแล้ว”
“ไม่เหมือนกัน ตอนนั้นข้ายังเป็นวิล·อัสติน ยังไม่มีนามสกุลว่าคริส และผ่านการเริ่มต้นใหม่มานานแล้ว” ทารกอวบอ้วนกล่าวทั้งน้ำตา “แม้ตอนนั้นจะยังเด็ก อีกหลายปีกว่าจะโตเต็มวัย แต่ตราบใดที่พร้อมรับความเสี่ยง โอกาสสำเร็จในการปรองดองก็ยังมี โดยเฉพาะเมื่อผนวกกับโชคชะตาที่ข้าสั่งสมมา ปัญหาดังกล่าวมีโอกาสผ่านพ้นไปได้…แต่ปัจจุบัน ความแตกต่างมีมากเกินไป หมดหนทางแก้ไขแล้ว”
ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ไตร่ตรองก่อนจะกล่าว
“ทำไมไม่ลองให้เทวทูตเส้นทางนักจารกรรมขโมยเวลาชีวิตคุณไป? บางทีคุณอาจจะโตเร็วขึ้น”
วิล·อัสตินที่ยังคงสะอื้น ส่ายหน้าและพูด
“เปล่าประโยชน์…เจ้าพวกนั้นขโมย ‘วัยเด็ก’ และ ‘วัยรุ่น’ ของข้าไปไม่ได้ อย่างมากก็แค่ลดอายุขัยลง…หากใช้วิธีดังกล่าว วิล·อัสติน·คริสจะเสียชีวิตทันที…กลายเป็นเด็กที่เกิดในเดือนมิถุนายนปีหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบและตายในเดือนตุลาคมหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบ…แก่ตายด้วยวัยเพียงสี่เดือน…”
“แต่ผมเคยเห็นการเร่งอายุจากการขโมยช่วงชีวิต” ไคลน์กำลังหมายถึงสิ่งที่ตนเห็นในสุสานของอามุนด์
ทารกอวบอ้วนส่ายหน้า
“ผิดแล้ว นั่นเป็นแค่ผลลัพธ์เชิงสัญลักษณ์ หากนำมาใช้กับข้า ร่างกายทารกจะมีผมหงอกและเต็มไปด้วยริ้วรอย มิได้เจริญเติบโต…คนเดียวที่สามารถขโมย ‘วัยเด็ก’ และ ‘วัยรุ่น’ ของข้าได้อย่างแม่นยำคืออามุนด์ และต้องเป็นอามุนด์ร่างหลักเท่านั้น…”
ถึงตรงนี้ ทารกที่ห่อหุ้มด้วยผ้าไหมสีเงินและไคลน์ต่างก็ปิดปากเงียบเป็นเวลานาน ไม่มีใครกล่าวคำใด
หากเผชิญหน้ากับอามุนด์ร่างหลัก เกรงว่าสิ่งที่ถูกขโมยจะไม่ใช่แค่ ‘วัยเด็ก’ และ ‘วัยรุ่น’
ผ่านไปสักพัก ไคลน์ถอนหายใจยาวและกล่าวโดยไม่ปิดบัง
“งั้นผมคงต้องยอมแพ้เรื่องนั้นไปก่อน…แต่ก็ยังอยากทราบวิธีปรองดองกับเอกลักษณ์อยู่ดี ถ้าในอนาคตมีโอกาสจะได้ไม่ทำผิดพลาด อาจเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์เข้าสักวัน…”
วิล·อัสตินวางมือที่เปียกน้ำตาลง
“ไม่ต้องไปถามใครที่ไหนหรอก ข้ารู้วิธีมานานแล้ว เพียงแต่ทำไม่ได้…คิดว่าข้าเป็นประธานใหญ่ของโรงเรียนชีวิตได้เพราะอะไร?”
“…” ไคลน์ถามด้วยความประหลาดใจและสงสัย “ทำไมถึงปรองดองไม่ได้?”
วิล·อัสตินดึงผ้าห่มผืนเล็กในรถเข็นและพูด
“มีสามวิธีในการปรองดองกับเอกลักษณ์ ประการแรก เกิดมาพร้อมกับเอกลักษณ์ นั่นจะหมายถึงการเป็นเอกลักษณ์ที่มีความเป็นมนุษย์ ประการที่สอง ทำให้มันมีสัญญาณชีพในระดับหนึ่ง จากนั้นผสานเข้ากับร่างกายโดยใช้พลังของพระผู้สร้างในการข่มเอกลักษณ์เอาไว้ วิธีนี้จะใช้เวลาปรับตัวและสร้างสมดุลนานมาก ประการที่สาม นำเอกลักษณ์มาปรุงเป็นโอสถที่ไม่สมบูรณ์ จากนั้นก็ดื่มระหว่างพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์เทพฉบับรวบรัด…วิธีแรกเป็นไปไม่ได้ พี่น้องคู่นั้นจึงน่าอิจฉามาก…วิธีที่สองก็ทำไม่ได้เช่นกัน เพราะเทพสุริยันบรรพกาลร่วงหล่นไปนานแล้ว…วิธีที่สามคือหนทางเดียวที่เป็นไปได้ แต่สำหรับลำดับหนึ่ง เส้นทางโชคชะตา ข้าทำได้เพียงรอให้วาสนานำพา”
สำหรับวิธีแรก จักรพรรดิโรซายล์เคยเขียนไว้ในไดอารี เป็นวิธีที่มิสเตอร์ประตูเล่าให้ฟัง…สำหรับวิธีที่สอง หมายความว่าเทพสุริยันบรรพกาลเชี่ยวชาญพลังในหลายขอบเขต? ท่านมีระดับสูงกว่าเทพแท้จริงในปัจจุบันอยู่ครึ่งขั้น? หรือหนึ่งขั้นเต็ม? ระดับเดียวกับพระผู้สร้างต้นกำเนิด? ไตร่ตรองสักพัก ไคลน์ถามกลับด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“วาสนานำพาหมายความว่ายังไง? เกี่ยวอะไรกับการที่ผมถามเรื่องนี้เร็วหรือช้า?”
ใบหน้าทารกอ้วนของวิล·อัสตินเผยความเหนื่อยหน่าย
“พิธีกรรมเถลิงบัลลังก์เทพของเส้นทางโชคชะตาเป็นได้ทั้งง่ายที่สุด…และยากที่สุด…ตราบใดที่พวกเราพบจังหวะที่เหมาะสมท่ามกลางกระแสแห่งชะตากรรม การดื่มโอสถในช่วงเวลาดังกล่าวจะช่วยให้เถลิงบัลลังก์เทพสำเร็จ…ปัญหาก็คือ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะค้นหากระแสแห่งชะตากรรมดังกล่าว พวกเราไม่สามารถทำนายถามได้ แม้แต่ช่วงเวลาที่แน่ชัดก็ไม่ทราบ ไม่สามารถล็อกเป้าได้ด้วยประการทั้งปวง ทำได้เพียงตัดความเป็นไปได้ที่ไม่ใช่ออกไปและค้นหาอย่างอดทน ข้าเริ่มต้นใหม่มาแล้วหลายครั้ง ใช้เวลาไปไม่น้อย แต่ก็ยังมองหากระแสแห่งชะตากรรมไม่พบ…”
กล่าวถึงตรงนี้ ทารกอ้วนหลั่งน้ำตาอีกครั้ง
ฟังดูเหมือนง่าย แต่ความจริงแล้วทำได้เพียงพึ่งพาโชคชะตาและความสามารถในการ ‘มองหา’ …ไคลน์ถอนหายใจยาว ถามด้วยน้ำเสียงค่อนข้างมั่นใจ
“ในตอนที่ผมบอกว่าจะช่วยให้คุณปรองดองกับเอกลักษณ์ คุณมองเห็น ‘โอกาส’ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตอย่างคลุมเครือ?”
ทารกอวบอ้วนร้องไห้หนักกว่าเก่า
“ถึงข้าจะยังไม่มั่นใจ…แต่ก็เกิดลางสังหรณ์บางอย่าง…”
…แบบนี้นี่เอง ในตอนที่วิล·อัสตินตัดสินใจเข้าหาเรา นอกจากจะหวังเกี่ยวกับยันต์วันวานอีกครั้ง ยังหวังจะได้พบ ‘วาสนา’ ด้วย? โลภชะมัด…ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว…”
“เจ้าช่วยข้าด้วยการมอบยันต์นั่นมาให้อีกหลาย ๆ แผ่น!” วิล·อัสตินพยักหน้าหนักแน่น
“ตกลง” ไคลน์ตอบโดยไม่ลังเล จากนั้นก็เสริม “คุณเองก็ต้องพับนกกระเรียนกระดาษให้ผมอีกหลายตัวเหมือนกัน”
กล่าวจบ ทั้งไคลน์และทารกที่ถูกห่อด้วยผ้าไหมสีเงิน ต่างเงียบงันเป็นเวลานาน
…
ภายในบ้านเช่า ไคลน์ที่ตื่นจากความฝัน ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปที่ห้องด้านนอก หยิบปากกาและกระดาษ เขียนถึงเลียวนาร์ด
“…ผมได้รับยันต์ลำดับสูงของเส้นทางนักทำนายมาจำนวนหนึ่ง มีคุณสมบัติช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถยืมพลังจากตัวเองในอดีต…”
ไคลน์ไม่ได้ถามว่าเพื่อนรักนักกวีต้องการมันหรือไม่ คล้ายกับเป็นประโยคบอกเล่าเรียบง่าย
หลังจากพับกระดาษจดหมาย มันหยิบเหรียญทองและยันต์เพชรทรงสี่เหลี่ยมออกมาถือ เป่าฮาร์โมนิก้านักผจญภัย
ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ที่แต่งกายในเดรสซับซ้อนสีเข้ม เดินออกจากความว่างเปล่าพร้อมกับสี่หัวที่มีผมสีทองตาสีแดง ดวงตาทุกคู่จับจ้องมาทางยันต์วันวานอีกครั้งอย่างพร้อมเพรียง
สี่หัวขยับปากพูดเรียงกัน
“คราวนี้…” “จะให้ข้า…” “จัดการ…” “กับใคร…”
ตรงไปตรงมาดี…ไคลน์ถอนหายใจพลางยิ้ม
“ยังไม่ยืนยัน…ในอนาคต ผมมีแผนจะทำลายพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์เทพของจอร์จที่สาม อาจต้องยืมความช่วยเหลือจากคุณในช่วงเวลาวิกฤติ”
สี่เศียรผมทองตาแดงของไรเน็ตต์ตอบกลับเรียงกัน
“ฟัง…” “ดู…” “อันตราย…” “มาก…”
“ต้องจ่าย…” “มากกว่า…” “เดิม…”
“จ่ายด้วยยันต์แบบนี้?” หน้าผากไคลน์กระตุกทันที ราวกับหวนนึกถึงความเจ็บปวดขณะฉีกกระชากดวงวิญญาณตัวเอง
“สามแผ่น…” ศีรษะสุดท้ายของไรเน็ตต์ที่ไม่ได้พูดประโยคล่าสุด เปล่งเสียงเย็นเยียบ
“…” ไคลน์ฝืนยิ้ม
“ตกลง…แต่ต้องใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์”
ประการแรก มันเพิ่งแบ่งหนอนวิญญาณออกมาเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างยันต์วันวานอีกครั้ง ส่งผลให้ร่างกายใกล้ถึงขีดจำกัด จำเป็นต้องพักผ่อนอีกสักระยะ ประการที่สอง มันคาดการณ์ว่าในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า เมื่อนิยายเล่มใหม่ของมิสเมจิกเชี่ยนถูกวางขาย โอสถจอมเวทพิสดารจะย่อยเสร็จสมบูรณ์และถึงเวลาเลื่อนเป็นปราชญ์โบราณ หากทำสำเร็จ อาจมีวิธีสร้างยันต์วันวานอีกครั้งที่ง่ายกว่าเดิม หรือเจ็บตัวน้อยกว่า
หัวทั้งสี่ของไรเน็ตต์ขยับขึ้นลงโดยอาศัยการดึงผม สื่อว่าไม่มีปัญหา
ไคลน์ชี้ไปทางจดหมายและเหรียญทอง
“ส่งลงในกล่องจดหมายของบ้านเลขที่เจ็ด ถนนพินสเตอร์”
มันทำนายดวงชะตาล่วงหน้าและพบว่าเลียวนาร์ดไม่ได้อยู่ที่บ้าน ดูเหมือนกำลังเดินทางไปที่ย่านทิศใต้ของสะพาน
หนึ่งในศีรษะของไรเน็ตต์ขยับ ทั้งจดหมาย เหรียญทอง และยันต์วันวานอีกครั้งถูกดูดเข้าไปในปากของเธอ
หลังจากเฝ้ามองมิสผู้ส่งสารเดินเข้าไปในความว่างเปล่าและอันตรธานหายไปจากห้องเช่า ไคลน์ไตร่ตรองสิบวินาทีก่อนจะประกอบพิธีกรรมสังเวยและรับมอบ
ในเมื่อโอสถจอมเวทพิสดารใกล้ถูกย่อยสมบูรณ์ มันจำเป็นต้องเตรียมหาวัตถุดิบสำหรับปราชญ์โบราณไว้ล่วงหน้า
จากบรรดาทั้งหมด หัวใจที่ผุกร่อนและผลึกขนน้ำแข็งของหมาป่าอสูรแห่งสายหมอก น่าจะหาได้จากเทพธิดารัตติกาล
และถ้ามีหัวใจที่ผุกร่อนของหมาป่าอสูรแห่งสายหมอก ชายหนุ่มสามารถเดินทางไปยังโลกวิญญาณเพื่อ ‘ล่อ’ ให้สุนัขแห่งฟัลกริมปรากฏตัว
หลังจากวุ่นวายอยู่สักพัก ไคลน์ประกอบแท่นบูชาเสร็จ ถอยหลังสองก้าวและตรวจสอบสภาพแวดล้อม
แท่นบูชาค่อนข้างสะอาด…ยิ่งเมื่อมีผนึกจากกำแพงวิญญาณ ก็เพียงพอแล้วสำหรับใช้ประกอบพิธีกรรม…แต่ในระยะหลัง เราไม่ได้สร้างผลงานหรือสังเวยสิ่งของมีค่าให้พระองค์เลย แล้วจะใช้เหตุผลใดในการขอของรางวัล? เล่าแผนการในอนาคตให้ฟังพร้อมกับขอกู้ล่วงหน้า? แบบนั้นจะเป็นการหมิ่นเกียรติพระองค์มากไปไหม? คงต้องลองสังเวยสิ่งที่พอจะมีค่า หากเทพธิดายินดีรับไว้ พระองค์คงมอบรางวัลแลกเปลี่ยน…
ของมีค่า…นึกถึงตรงนี้ ไคลน์จินตนาการภาพกองขยะบนมิติหมอก
เดิมที มันคิดจะนำสิ่งของที่ขายไม่ออกและไร้ประโยชน์ในปัจจุบันอย่างขวดพิษชีวภาพ ตะกอนพลังนักสอบสวน ตะกอนพลังคนบ้า ออร่าของผู้ละเมอ เลือดของนักล่าพันหน้า ดวงตาการ์กอยล์หกปีก ผงละอองของหัวขโมยโลกวิญญาณ และอีกมาก มามัดรวมกันและสังเวยให้เทพธิดารัตติกาล เพื่อแลกกับวัตถุดิบโอสถปราชญ์โบราณ แต่มันเกรงว่านั่นอาจทำให้เทพธิดาดูเหมือนโรงรับซื้อขยะ จึงล้มเลิกความคิดดังกล่าว
ต้องเป็นสิ่งที่มีค่าพอ ๆ กัน…‘การเดินทางของกรอซาย’ คงไม่ได้…หนังสือเล่มนี้ซ่อนความลับไว้มากมาย อาจมีบทบาทสำคัญในอนาคต…อา จริงสิ ครั้งถัดไปที่ทีมสำรวจของเดอะซันน้อยเข้าไปในวังราชาคนยักษ์ เราอาจพิจารณาส่งมอบเถ้ากระดูกของกรอซายไปให้ฝัง…สำหรับการสำรวจครั้งที่ผ่านมา เราไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะไปได้ไกลแค่ไหน คิดว่าอาจเข้าไม่ถึงวังราชาคนยักษ์ของจริงด้วยซ้ำ จึงไม่ได้มอบเถ้ากระดูกไว้ล่วงหน้า…
คทาเทพสมุทร? นั่นยิ่งสำคัญกว่าเดิม ไม่ใช่แค่เป็นสมบัติปิดผนึกที่ทรงพลังที่สุดของเรา แต่ยังเกี่ยวข้องกับสาวกเทพสมุทร ตอนนี้พวกเขาทำหน้าที่เป็นหลักยึดเหนี่ยวให้เรา หากเมื่อใดที่เรามีหลักยึดเหนี่ยวแหล่งอื่น บางทีอาจพิจารณามอบให้มิสเตอร์แฮงแมน…
ตะกอนพลังของเฮอร์วิน·แรมบิส? ไม่ได้ เรารับปากกับมิสจัสติสไว้แล้ว…หลังจากไตร่ตรอง ไคลน์พบว่าตนเหลือตัวเลือกไม่มากนัก เช่นไม้เท้าแห่งชีวิต ยันต์เพลิงสุริยัน ยันต์โจรปล้นดวง ยันต์วันวานอีกครั้ง และยันต์คุมวิญญาณ
อย่างหลัง ๆ ล้วนเป็นของที่ใช้แล้วทิ้ง แม้จะนำทั้งหมดมารวมกัน แต่มูลค่าไม่มีทางทัดเทียมวัตถุดิบหลักของโอสถลำดับสาม…และเหนือสิ่งอื่นใด หากพลัง ‘ย้ายบาดแผล’ ของเราถูกยกระดับ ไม้เท้าแห่งชีวิตก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป…หลังจากลังเลสักพัก ไคลน์ตัดสินใจได้
ราชันเร้นลับ 1126 : คาดไม่ถึง
หลังจากนำไม้เท้าที่ดูธรรมดาออกจากมิติหมอกมายังโลกความจริง ไคลน์เริ่มประกอบพิธีกรรมทันที
มันจุดเทียน เผาน้ำมันสกัดและผงสมุนไพรที่เกี่ยวข้อง ถอยหลังสองก้าว ท่องพระนามเต็มอันทรงเกียรติของเทพธิดาอย่างชำนาญและกล่าว
“ข้าขอสังเวยไม้เท้าแห่งชีวิตอันนี้ และปรารถนาจะได้รับการอวยพรจากพระองค์”
มันไม่ได้เอ่ยถึงหัวใจที่ผุกร่อนและผลึกขนน้ำแข็งของหมาป่าอสูรแห่งสายหมอกตรง ๆ เพราะนั่นจะเหมือนกับการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม ไม่ใช่การสังเวยให้เทพและรอรับการอวยพร
แม้จุดอื่นของพิธีกรรมจะไม่ต้องเคร่งครัดมากนัก แต่ประเด็นด้านทัศนคติคือเรื่องสำคัญที่ไคลน์ให้ความสนใจ
ทันทีที่สิ้นเสียง แสงเทียนไขสองจากสามเล่มขยายใหญ่และซ้อนทับกัน ก่อตัวเป็นรูปทรงประตูมายาสีดำ
ประตูเปิดออกเชื่องช้า สายลมล่องหนพัดออกมา
สายลมดังกล่าวยกไม้เท้าแห่งชีวิตให้ลอยขึ้นและพัดเข้าไปในช่องว่างระหว่างบานประตูมายา อันตรธานหายท่ามกลางฉากที่ดูคล้ายอวกาศ คล้ายกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ทันทีหลังจากนั้น แสงสีขาวสว่างขึ้น วัตถุสองชิ้นพุ่งทะลุผ่านบาเรียล่องหนและตกลงบนแท่นบูชาโดยปราศจากเสียง
ชิ้นหนึ่งเป็นหัวใจประหลาดที่รายล้อมด้วยหมอกสีขาว อีกชิ้นหนึ่งเป็นผลึกขนน้ำแข็งที่นำพามาซึ่งอากาศเย็นเยียบ
ไคลน์เกิดความยินดีเป็นล้นพ้น รีบก้มศีรษะขอบคุณเทพธิดาสำหรับของขวัญ
เมื่อมันเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ประตูมายาสีดำปิดตัวลงและจางหายอย่างรวดเร็ว สภาพแวดล้อมรอบแท่นบูชากลับเป็นปรกติ
ฟู่ว…สำเร็จ…ไคลน์ถอนหายใจยาว เดินไปข้างหน้าสองก้าว หยิบหัวใจที่ผุกร่อนและผลึกขนน้ำแข็งของหมาป่าอสูรแห่งสายหมอก
พร้อมกันนั้น เมื่อจิตใจผ่อนคลายลง มันอดไม่ได้ที่จะผุดความคิดซึ่งห้ามพูดออกไป
ถ้ารู้ว่าจะราบรื่นแบบนี้ เราไม่น่าสังเวยไม้เท้าแห่งชีวิต…
แค่มัดรวมเศษขยะกองใหญ่ส่งให้พระองค์ก็น่าจะเพียงพอ…
บางที เราอาจไม่ต้องสังเวยอะไรเลยก็ได้…พิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ค่อนข้างแน่ชัดว่าพระองค์สนับสนุนให้เราเป็นปราชญ์โบราณ…
แต่แน่นอน หากไม่สังเวยอะไรไปแลกเปลี่ยน เราจะติดค้างหนี้กับพระองค์มากมาย และอาจต้องใช้คืนด้วยราคาแสนแพงในอนาคต…ดีแล้วที่ยอมสังเวยไม้เท้าแห่งชีวิตเพื่อความสบายใจของตัวเอง…
อา…ดูเหมือนว่าถ้าเรายังไม่ได้เป็นเทวทูตลำดับสอง พระองค์จะคอยดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่ไม่มีใครเดาได้ว่า หลังจากนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดบ้าง…
ไคลน์สลัดความคิดฟุ้งซ่าน สิ้นสุดพิธีกรรมและเก็บกวาดแท่นบูชา
จากนั้น ชายหนุ่มเริ่มวางแผนจัดการกับ ‘สุนัขแห่งฟัลกริม ผู้พิทักษ์ปราสาทต้นกำเนิด’
นักมายากลจะไม่แสดงกลโดยไม่เตรียมตัวล่วงหน้า
…
ย่านทิศใต้ของสะพาน ถนนกุหลาบ
เลียวนาร์ดเปลี่ยนเป็นเครื่องแบบตำรวจสีขาวดำ แต่ยังคงสวม ‘ถุงมือแดง’ และนำทีมของตนรวมถึงตำรวจจริง เดินทางไปยังวิหารของพระแม่ธรณีเพียงแห่งเดียวในกรุงเบ็คลันด์
อินทรธนูที่มันสวม ตรงกับตำแหน่งสารวัตรใหญ่ แต่ในความเป็นจริง ด้วยระดับของหัวหน้าทีมถุงมือแดง เลียวนาร์ดจะมีตำแหน่งในทางตำรวจเท่ากับผู้กำกับการ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับดังกล่าวมักไม่ลงพื้นที่ด้วยตัวเอง การสวมอินทรธนูตามความจริงอาจสร้างความสงสัยให้คนรอบข้าง
เลียวนาร์ดกวาดสายตาผ่านประตูและพบว่า วิหารแห่งนี้ค่อนข้างร้าง มีเพียงสองคนด้านใน คนหนึ่งเป็นบิชอปชาวฟุซัคที่นั่งสวดมนต์ในแถวหน้าสุดอย่างเคร่งขรึมราวกับขุนเขา อีกคนเป็นนักบวชสวมเสื้อคลุมสีน้ำตาล ผมสีดำ ตาสีแดง ใบหน้าหล่อเหลา กำลังทำความสะอาดพื้น
เอ็มลิน·ไวท์…เลียวนาร์ดพยักหน้าแผ่วเบา เดินไปตามทางเพื่อเข้าใกล้บิชอปยูทรอฟสกี้
มันกระแอมสองหน ส่งผลให้บิชอปลูกครึ่งคนยักษ์ลืมตาขึ้นมามอง
“ผมเป็นสารวัตรของกรมตำรวจเบ็คลันด์” เลียวนาร์ดแสดงบัตรประจำตัวและพูดต่อ “ทางเราอยากเชิญคุณไปที่สถานีเพื่อสอบสวน”
หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ลุกขึ้นอย่างไม่รีบร้อน ถามเสียงสงบนิ่ง
“เรื่องอะไรหรือ”
“ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงแจ้งเข้ามาว่า คุณมีพฤติกรรมไม่ปรกติ อาจเป็นสายลับของเฟเนพ็อตหรือฟุซัค” เลียวนาร์ดเล่าเหตุผลที่เตรียมไว้
ขณะเดียวกัน มันเตรียมพร้อมที่จะกระชากบิชอปยูทรอฟสกี้เข้าสู่ความฝัน และถ้าหากข้ารับใช้รายนี้ขัดขืน มันก็ไม่ลังเลที่จะใช้กำลังเข้าควบคุมตัว
ด้วยการแบ่งทีมของถุงมือแดง ตราบใดที่ไม่ได้เผชิญหน้ากับครึ่งเทพตัวจริง โอกาสพ่ายแพ้ศัตรูเพียงคนเดียวนั้นต่ำมาก ต่อให้อีกฝ่ายเป็นข้ารับใช้ที่ถือครองสมบัติศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่เลียวนาร์ดจะออกปฏิบัติการ มันทำเรื่องเบิกสมบัติปิดผนึกระดับ 1 กับทางโบสถ์ ส่งผลให้ภารกิจถูกเลื่อนออกมานานจนกระทั่งปัจจุบัน
หลวงพ่อยูทรอฟสกี้เงียบไปสองสามวินาที ชำเลืองไปทางเอ็มลิน·ไวท์ที่ยืนข้างเชิงเทียน
สีหน้าที่ซับซ้อนของเอ็มลินพลันแข็งทื่อ มันอ้าปาก แต่มิได้กล่าวคำใดออกมา
หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ถอนสายตากลับพลางพยักหน้า
“ตกลง”
…ยอมร่วมมือแต่โดยดี? เราเคยคิดว่าจะเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้น ถึงกับต้องเตรียมการมากมายเพื่อไม่ให้มีใครโดนลูกหลง…เลียวนาร์ดผงะเล็กน้อย ยิ้มและกล่าว
“ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ”
หากเกิดการต่อสู้ที่ทำให้ข้ารับใช้ของพระแม่ธรณีบาดเจ็บ เลียวนาร์ดเชื่อว่า สถานการณ์ที่ตึงเครียดอยู่แล้วจะทวีความเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
จากประวัติศาสตร์ที่เรียนรู้ผ่าน ‘การเดินทางของกรอซาย’ จากความลับที่ได้ฟังจากชุมนุมทาโรต์ และจากคำบอกเล่าของพาลีส มันได้ทราบว่าความสัมพันธ์ระหว่างโบสถ์พระแม่ธรณีและโบสถ์รัตติกาลเปรียบดังกิ่งไม้แห้ง แค่เกิดประกายไฟเพียงเล็กน้อยก็มากพอจะทำให้สถานการณ์ลุกลามใหญ่โต หากเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น หนังสือประวัติศาสตร์ในอนาคตคงบันทึกเหตุการณ์ในวันนี้ของเลียวนาร์ดลงไป
สงครามที่พัฒนาจากความขัดแย้งในท้องถิ่นไปสู่อาณาจักร!
เลียวนาร์ด·มิเชลคือผู้ที่จุดถังดินระเบิดแห่งศาสนา!
ฟู่ว…เมื่อเห็นหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ไม่ขัดขืน ยอมจำนนต่อการ ‘คุมขังแบบคุ้มครอง’ แต่โดยดี เอ็มลิน·ไวท์ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก มันรู้สึกพึงพอใจกับผลงานของตนในชุมนุมทาโรต์
ขณะเดียวกัน ซินดี้ หนึ่งในทีมถุงมือแดง ชำเลืองไปทางเอ็มลินที่ดูไม่เหมือนผู้ชายนักเนื่องจากถูกอาบด้วยแสงจันทร์สีนวล หรี่เสียงและพูด
“หัว…เอ่อ…นายคะ…ยังมีนักบวชอีกหนึ่งคน ให้พาตัวไปด้วยไหม? จากนั้นก็ปิดวิหารฤดูเก็บเกี่ยวชั่วคราวเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน”
“…” เอ็มลิน
“…” เลียวนาร์ด
หลังจากไตร่ตรองหลายวินาที เลียวนาร์ดเปิดปากพูด
“ถ้าคดีสายลับเกี่ยวข้องกับเฟเนพ็อตจริง เขาเองก็น่าสงสัย จำเป็นต้องพากลับไปสอบสวนด้วย”
เอ็มลินตะลึงงัน ตอบสนองไม่ถูกไปสักพัก
…
เขตตะวันออก บ้านเช่าแบบสองห้องนอน
ฟอร์สลูบดวงตาที่หมองคล้ำ หยิบกาแฟรสขมแก้วสุดท้ายขึ้นมากระดก ลุกขึ้นยืนและเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกไปข้างนอก
“เขียนเสร็จแล้ว?” ซิลที่กำลังเพลิดเพลินไปกับอาหารเช้า ถามอย่างงุนงง
เพิ่งผ่านมาแค่วันครึ่งเท่านั้น!
ฟอร์สส่ายหน้า สูดลมหายใจยาว
“ยัง…แต่เขียนส่วนแรกเสร็จแล้ว พร้อมส่งให้บรรณาธิการไปอ่านตรวจสอบ…ว่าจะทำเป็นนิยายตอน จะได้ไม่ต้องรอส่งรวดเดียว”
ซิลครุ่นคิดสักพัก
“เป็นแนวคิดที่ดี เธอจะได้ไม่เครียดมากเกินไป”
ฟอร์สทำหน้าบิดเบี้ยว หลับตาลงและกล่าว
“หวังว่าจะเป็นแบบนั้น…”
…
ในบ้านเช่าอีกหนึ่งหลังที่อยู่ห่างออกไปหลายถนน หลังจากยุ่งวุ่นวายสักพัก ไคลน์ซึ่งวางแผนเสร็จแล้ว กระตุ้นยุบพองหิวโหยในมือซ้ายและเปลี่ยนให้ร่างกายโปร่งใส เดินทางเข้าสู่โลกวิญญาณทันที
หลังจากแหงนมองริ้วแสงเจ็ดสีที่ลอยอยู่เบื้องบน ไคลน์ปล่อยแขนหุ่นเชิดทั้งสอง หยิบกล่องออกมาพร้อมกับสลายกำแพงวิญญาณที่ห่อหุ้ม ปล่อยให้ออร่าของหมาป่าอสูรแห่งสายหมอกแพร่กระจายออกไป
จากนั้น มันจับหุ่นเชิดเอ็นยูน และเอ็นยูนจับหุ่นเชิดโจนาส ทั้งสามเคลื่อนที่เข้าไปในส่วนลึกของโลกวิญญาณด้วยความเร็วสูง
ระหว่างทาง สัตว์ประหลาดพิสดารของโลกวิญญาณเคลื่อนที่ผ่านสองฝั่งซ้ายขวา คล้ายกับภาพวาดสีน้ำมันที่บรรยายเกี่ยวกับนรก
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ลางสังหรณ์ของไคลน์ถูกกระตุ้น ฉากหนึ่งปรากฏขึ้นในใจอย่างรวดเร็ว
เป็นภาพของร่างอันผอมเพรียวที่อยู่ท่ามกลางแสงสีแดง ดำ ขาว และน้ำเงินซ้อนทับหลายชั้น
เค้าโครงภายนอกเหมือนกับหมาล่าเนื้อ ขนสั้นสีดำ เบ้าตาทั้งสองข้างถูกเติมเต็มด้วยเปลวไฟลุกโชน มุมปากยาวไปถึงท้ายทอย แม้จะอยู่ในร่างมายา แต่กลับมอบความรู้สึกไม่ต่างจากของจริง
สุนัขแห่งฟัลกริม!
ไคลน์ตัดสินใจหันหลังเพื่อเผชิญหน้ากับมัน
ชายหนุ่มปล่อยมือจากหุ่นเชิดทั้งสอง ปล่อยพวกมันล่องลอยไปที่อื่น
ผ่านไปไม่นาน สุนัขแห่งฟัลกริมปรากฏตัว
ดวงตาเปลวไฟทั้งสองข้างที่ไม่มีรูปทรงชัดเจน จดจ้องมาทางไคลน์พร้อมกับมอบบรรยากาศอันน่าสะพรึง
ทันทีหลังจากนั้น ร่างของอีกฝ่ายทวีความลวงตาจนกระทั่งหายไป ราวกับเป็นเพียงภาพฉายของประวัติศาสตร์
…หนีไปแล้ว? ไคลน์เกิดความประหลาดใจ แต่ก็ยังคงระวังการโจมตีที่อาจมีขึ้นภายหลัง
สิบวินาทีถัดมา ในตำแหน่งเดิม ร่างสองร่างปรากฏกาย ลำตัวปกคลุมด้วยขนสั้นสีดำ เบ้าตามีไฟลุกไหม้ มุมปากยาวไปถึงท้ายทอย
แต่ในเบ้าตาของสุนัขทั้งสองตัวกลับเหลือเปลวไฟเพียงตัวละหนึ่งดวง แถมยังเป็นคนละข้าง ส่วนเปลวไฟที่หายไปได้ตกลงมาอยู่หน้ากรงเล็บของพวกมันแทน
ก่อนที่ไคลน์จะได้ตอบโต้ สุนัขแห่งฟัลกริมหมอบลงท่ามกลางความว่างเปล่าพร้อมกับกระดิกหาง
กระดิกหาง
“…” ไคลน์อ้าปากค้าง ได้แต่สงสัยว่าตนกำลังฝันไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น