Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1115-1122

 ราชันเร้นลับ 1115 : ภายในวัง

 

โครงกระดูกรูปร่างมนุษย์สองคน คนหนึ่งสูงไม่เกิน หนึ่งจุดเก้า เมตร อีกคนสูงไม่เกิน หนึ่งจุดแปด เมตร มองผิวเผินอาจดูธรรมดา แต่ฉากตรงหน้าสร้างแรงกระเพื่อมภายในจิตใจไคลน์บนสายหมอกอย่างรุนแรง


ในวินาทีนี้ ชายหนุ่มรู้สึกราวกับได้ย้อนไปเมื่อครั้งได้เห็น ‘รังไหม’ และบานประตูแห่งแสงครั้งแรก แต่อารมณ์แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย


นี่มัน…ไม่ใช่ศพของคนยักษ์ แต่เป็นมนุษย์…ราชาคนยักษ์เออเมียร์มีพ่อแม่เป็นมนุษย์? ดวงตาไคลน์พลันเบิกกว้าง ราวกับต้องการรับแสงเพิ่มขึ้นเพื่อให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน


แต่ไม่ว่าจะพยายามสำรวจตรวจสอบสักเพียงใด มันก็ไม่พบร่องรอยของคนยักษ์บนกระดูกสีเทาทั้งสอง


แขนขาเหมือนมนุษย์ แถมยังมีสองเบ้าตาบนกะโหลก ไม่มีทางเป็นคนยักษ์ในวัยเยาว์แน่!


หลังจากความเงียบปกคลุมสักพัก ไคลน์ลดมือข้างที่ถือคทาเทพสมุทรลงพร้อมกับผุดความคิดหนึ่ง


ถ้าไม่ได้เป็นพ่อแม่คนละสายเลือด…ก็ต้องแปลว่ามนุษย์คือต้นตระกูลของคนยักษ์…หรือว่าในยุคสมัยที่หนึ่งซึ่งวุ่นวายและบ้าคลั่ง มนุษย์บางคนผสานเข้ากับตะกอนพลังจนกลายเป็นคนยักษ์ที่โหดร้าย กระหายเลือด บ้าสืบพันธุ์ และไร้เหตุผล? โดยในภายหลัง ลูกหลานของคนเหล่านั้นสืบทอดลักษณะทางกายภาพของคนยักษ์จากรุ่นสู่รุ่น แต่ในทางกลับกัน ลูกหลานคนยักษ์ก็มีสติมากขึ้น กลายเป็นเพียงคนยักษ์ที่ป่าเถื่อนและกระหายเลือด…ในหมู่คนยักษ์เหล่านั้น เออเมียร์เป็นกลุ่มแรกที่กลายพันธุ์ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ท่านผู้นั้นกลายเป็นเทพบรรพกาลสำเร็จ? หรือว่านี่คือตำนานที่แท้จริงของพระผู้สร้างต้นกำเนิดเหมือนกัน?


หลังจากเปลี่ยนให้ข้อสันนิษฐานกลายเป็นทฤษฎี ไคลน์เริ่มผุดคำถามใหม่


ทำไมราชาคนยักษ์ถึงกำหนดให้ป่าเสื่อมโทรมกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามและไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตใดผ่านเข้าออก?


ท่านไม่อยากให้มีใครรู้ว่า แท้จริงแล้วมนุษย์คือต้นกำเนิดของคนยักษ์?


แต่ถ้าต้องการทำแบบนั้นจริง แค่เผากระดูกของพ่อแม่ก็สิ้นเรื่อง ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องยุ่งยากขนาดนี้…นอกจากนั้น ความรู้สึกที่ต้องการปกป้องอย่างแรงกล้านั่นมันอะไร?


แล้วใครเป็นคนเปิดฝาหลุมศพ? เทพสุริยันบรรพกาลผู้ฆ่าราชาคนยักษ์? เทพแห่งรุ่งอรุณ บาร์ดไฮเออร์? หรือเทพรับใช้ตนอื่นภายในวังราชาคนยักษ์?


นอกจากนั้น ถ้าบรรพบุรุษของคนยักษ์คือมนุษย์ แล้วเผ่าพันธุ์กึ่งมนุษย์อื่น ๆ อย่างเอลฟ์กับผีดูดเลือดล่ะ? แล้วบรรพบุรุษของมหามังกรคือกิ้งก่าหรือไง?


นี่คือสาเหตุที่ขั้วอำนาจเผ่าพันธุ์กึ่งมนุษย์ กับวางตัวเป็นอริเผ่าพันธุ์อื่นในช่วงต้นและกลางยุคสมัยที่สอง?


เนื่องจากขาดเบาะแสและข้อมูล ไคลน์จึงไม่กล้าฟันธง ทำได้เพียงสลัดความคิดฟุ้งซ่านและให้ความสนใจกับทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์


ในเวลาเดียวกัน นักล่าปีศาจ โคลินนำทางโลเฟียร์ เดอร์ริค และคนที่เหลือเดินไปยังหน้าป้ายหลุมศพ


พวกมันตกอยู่ในความเงียบงันที่ยากจะบรรยายเป็นเวลานาน


จนกระทั่งโจชัวผู้สวมถุงมือสีแดง ซักถามด้วยความลังเล


“นี่คือพ่อแม่ของราชาคนยักษ์?”


ในสายตาของเหล่า ‘อัศวินรุ่งอรุณ’ แห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ ศพทั้งสองมีส่วนสูงไม่เหมือนกับคนยักษ์ แถมยังเตี้ยกว่าพวกตนในช่วงโตเต็มวัย


หรือถ้าจะสมมติให้เป็นคนยักษ์วัยเยาว์ สัดส่วนของร่างกายและใบหน้าก็ยังไม่ถูกต้อง


คำถามของโจชัวดังก้อนกังวาน แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับ


ผ่านไปหลายวินาที นักล่าปีศาจโคลินกล่าวเชื่องช้า


“นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ต้องเก็บเป็นความลับ”


มันมิได้เล่าการคาดเดาและทฤษฎีของตน


“…หมายความว่า แท้จริงแล้วคนยักษ์เป็นมนุษย์ประเภทหนึ่งที่ผสานเข้ากับตะกอนพลัง?” แอนเทียน่าเจ้าของผมสีไวน์แดงกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด


บรรพบุรุษของคนยักษ์คือมนุษย์? เดอร์ริคตกตะลึงจนพูดไม่ออกไปสักพัก มันรู้สึกว่าความแตกต่างของทั้งสองเผ่าพันธุ์มีมากเกินไป


ท่ามกลางกระแสความคิด เด็กหนุ่มนึกถึงพวกพ้องที่เกิดคลุ้มคลั่ง โดยเฉพาะเส้นทางคนยักษ์ และเริ่มมองว่าทฤษฎีดังกล่าวมีโอกาสเป็นจริง


ผู้คลุ้มคลั่งส่วนมากมักมีร่างกายใหญ่โต ผิวหนังเป็นสีเทาอมน้ำเงิน หว่างคิ้วแยกออกจนเกิดเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่คล้ายกับจะดูดกลืนดวงตาทั้งสองข้างเข้าไป


“เป็นไปได้…” นักล่าปีศาจโคลินตอบกระชับ


สมาชิกทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์จมอยู่ในความเงียบอีกครั้ง


ท่ามกลางบรรยากาศดังกล่าว เดอร์ริคชำเลืองไปทางอาวุโสโลเฟียร์และพบว่า คนเลี้ยงแกะรายนี้ยังคงมีสีหน้าเงียบเฉย ไม่สับสนหรือครุ่นคิด


นักล่าปีศาจโคลินมองไปรอบตัวและกล่าว


“แบ่งกลุ่มทีมละสองสามคน แยกย้ายกันค้นหาเบาะแสเพิ่มเติมในบริเวณใกล้เคียง”


สมาชิกทีมสำรวจตื่นจากภวังค์และกลับมาได้สติ รีบตรวจสอบบริเวณใกล้เคียงอย่างระมัดระวังตามคำสั่ง


แต่น่าเสียดายที่ป่าเสื่อมโทรมแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากต้นไม้ ป้ายหิน และหลุมศพ


เดอร์ริคและฮาอิมรีบสับเปลี่ยนสมบัติปิดผนึกระหว่างกัน เพื่อมิให้ไม้กางเขนเจิดจรัสขับตะกอนพลังของเดอร์ริคออกจากร่าง


จากนั้น ทุกคนเดินตามนักล่าปีศาจโคลินออกจากป่าเสื่อมโทรม ข้ามหินก้อนมหึมาที่ยื่นออกจากกำแพงภูเขา จนกระทั่งพบปากถ้ำขนาดใหญ่ที่มีความสูงถึงสามสิบเมตร


ด้านนอกถ้ำมีแผ่นศิลาแตกกระจัดกระจาย วัชพืชงอกเงยปกคลุม


ท่ามกลางแสงสนธยาสีส้ม บรรยากาศที่นี่มอบความรู้สึกทรุดโทรมเหนือพรรณนา


เมื่อเข้าไปด้านในถ้ำ ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์ลัดเลาะไปตามผนังหินที่ผุกร่อนและเต็มไปด้วยภาพจิตรกรรม บนพื้นเป็นหญ้าแห้งสลับกรวดหยาบ ทุกคนทำการสำรวจอย่างระมัดระวัง


ทุกย่างก้าวมอบความรู้สึกประหนึ่งสัญญาณชีพทวีความอ่อนแอและค่อย ๆ เลือนหาย


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์ได้พบกับบานประตูสีเทาน้ำเงินที่เปิดค้างไว้


สองฝั่งของประตูเต็มไปด้วยเศษเหล็กสีดำกระจัดกระจาย คล้ายกับเคยเป็นชุดเกราะบางอย่าง


“เคยมีองครักษ์อยู่ที่นี่” นักล่าปีศาจโคลินกล่าวห้วน ๆ จากนั้นก็หยิบขวดยาออกมากระดกดื่ม


ดวงตาสีฟ้าอ่อนถูกฉาบด้วยแสงสีเหลืองในพริบตา รูม่านตาผุดสัญลักษณ์สีเขียวเข้มที่ซับซ้อน


หลังจากตรวจสอบประตูสีเทาน้ำเงินจนมั่นใจ มันพยักหน้าและเดินเข้าไปในห้องโถงมืด


ทุกคนเดินผ่านกรอบประตูเข้าไปด้วยความใจเย็น และเมื่อถึงด้านใน ราวกับห้องโถงแห่งนี้ถูกมือล่องหนดันจากข้างใต้ ห้องทั้งห้องถูกยกลอยขึ้นพร้อมกับเสียงเสียดสีดังกึกก้อง


สิบวินาทีถัดมา ห้องโถงหยุดความเคลื่อนไหว ด้านหน้าประตูกลายเป็นฉากพระราชวังอันงดงามที่ถูกค้ำจุนด้วยเสาหินเรียงราย ดูคล้ายกับเป็นเขตพักอาศัยของเหล่าองครักษ์


เดอร์ริคเหลียวซ้ายแลขวาตามจิตใต้สำนึก ดวงตากวาดไปทั่วห้องโถงจนพบกับจิตรกรรมฝาผนังสองภาพซึ่งมีกลิ่นอายความโบราณ


ตัวเอกของภาพแรกสวมชุดเกราะสีเงินเต็มอัตราศึก ร่างกายเปล่งแสง ดวงตาหนึ่งดวงส่องแสงรุ่งอรุณ ส่วนอีกภาพหนึ่ง ตัวเอกเป็นคนยักษ์เพศหญิงเจ้าของผมยาวสีน้ำตาลเข้ม สวมกระโปรงหนังยาวใต้เกราะหนัง มือข้างหนึ่งถือรวงข้าว อีกข้างถือผลไม้ รายล้อมด้วยทุ่งนา ทะเลสาบใส ต้นไม้ที่ผลิดอกออกผล และเห็ดสีสันสดใส


เทพแห่งรุ่งอรุณ บาร์ดไฮเออร์…เทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยว โอมีเบล่า…เดอร์ริคพยักหน้าอย่างมั่นใจ


เด็กหนุ่มถอนสายตากลับและพบว่า เจ้าเมืองกำลังเพ่งมองภาพจิตรกรรมของเทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมไม่แปรเปลี่ยน


ท่านเจ้าเมืองกำลังหวังให้เมืองเงินพิสุทธิ์ ‘เก็บเกี่ยว’ ได้อย่างอุดมสมบูรณ์? เดอร์ริคครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็ทำตามคำสั่งของคนเลี้ยงแกะ อาวุโสโลเฟียร์ รวมทีมกับสมาชิกคนอื่นเพื่อค้นหาสิ่งของล้ำค่าและทางลับที่อาจซ่อนอยู่


ราวเจ็ดแปดนาทีถัดมา ทุกคนกลับมารวมตัวและเดินตามเจ้าเมืองโคลิน·อีเลียดไปที่ประตูห้องโถง


โคลิน·อีเลียดเสียบดาบสองเล่มเข้าไปในช่องว่างระหว่างแผ่นหินด้านหน้า จากนั้นก็เหยียดแขนออกไปผลักบานประตูทั้งสองฝั่ง อาศัยการออกแรงเพียงครั้งเดียว บานประตูถูกเลื่อนเปิดพร้อมกับเสียงเสียดสี


แสงสีส้มอมแดงของยามเย็นส่องผ่านเข้ามาอย่างเงียบงัน ฉากของพระราชวังที่ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์เคยเห็นถูกฉายในดวงตาอีกครั้ง


เมื่อความยิ่งใหญ่อลังการ สง่างาม โอ่โถง และมหัศจรรย์ราวกับเรื่องเล่าในตำนานถูกฉายในระยะใกล้ บรรยากาศและอารมณ์ทุกชนิดก็ยิ่งทวีความเข้มข้นและน่าตื่นตะลึง ส่งผลให้ทุกคนกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ปล่อยจิตใจดำดิ่งไปกับทัศนียภาพตรงหน้า


ไคลน์เหนือสายหมอกสีเทาก็เช่นกัน


ที่นี่คือวังราชาคนยักษ์


ดินแดนทวยเทพที่แท้จริง


ราวสิบวินาทีถัดมา นักล่าปีศาจโคลินตั้งท่าดาบพร้อมกับหมุนตัวครึ่งรอบไปสนทนากับคนเลี้ยงแกะโลเฟียร์


“ตรวจสอบฝั่งซ้ายขวาให้ละเอียด ผมมองเห็นสถานการณ์ด้านนอกได้ไม่ชัดเจนนัก”


สัญลักษณ์สีเขียวเข้มในดวงตามันค่อย ๆ จางลง


โลเฟียร์อืมในลำคอพร้อมกับเดินไปข้างหน้าสองก้าวจนถึงประตู


ด้านนอกเป็นพื้นยกสูง สองฝั่งซ้ายขวาเป็นบันได ราวบันไดทำจากเสาหิน ปากประตูหันหน้าเข้าหาอาคารที่สูงที่สุดในแถบนี้ อาคารหลังดังกล่าวมีบานประตูสีเทาอมฟ้าขนาดมหึมา สลักลวดลายและสัญลักษณ์ลึกลับทั้งสองฝั่ง ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก


ทั้งทางเดิน บันได และสิ่งก่อสร้างชนิดอื่นล้วนเชื่อมโยงเข้ากับพระราชวังและหอคอยจนเกิดเป็นภาพที่งดงาม


ผมสีเงินอมเทาที่หยักศกตอนปลายของโลเฟียร์ลอยขึ้น ทันใดนั้น ก้อนหินบนพื้นที่กำลังอาบแสงสนธยา นูนขึ้นและก่อตัวกลายเป็นตุ๊กตาสีเทา


ตุ๊กตาดังกล่าวปราศจากพลังวิญญาณ มันก้าวไปทางซ้ายราวกับหุ่นกระบอกที่ถูกเชิด


มันเดินลงบันไดโดยอาศัยแสงสีส้มช่วยนำทาง


ทันใดนั้น ร่างของมันหยุดชะงักพร้อมกับมีแสงสีเงินระเบิดออกจากภายใน แปรสภาพกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย


คนเลี้ยงแกะโลเฟียร์มิได้ประหวั่น ทำแบบเดิมทุกประการ เสกตุ๊กตาขึ้นจากพื้นหินและสั่งให้เดินไปทางขวา


คราวนี้ตุ๊กตาเดินไปจนกระทั่งสุดทางบันไดและหยุดอยู่หน้าประตูวังด้านล่างโดยไม่เกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง


นักล่าปีศาจโคลินที่เฝ้ามองกระบวนการทั้งหมดอย่างใจเย็น กล่าวกับทุกคน


“พวกเราจะไปทางขวา แต่ห้ามประมาทเด็ดขาด”


แม้จะว่ามันจะไม่สัมผัสถึงอันตราย แต่การที่พลังพิเศษของตนมองไม่เห็นสถานการณ์ที่ชัดเจนก็บอกเป็นนัยว่า ภายในนั้นอาจมีปัญหาซุกซ่อน


ด้วยคำเตือนดังกล่าว สติของเดอร์ริคและคนที่เหลือต่างตึงเครียด ทุกคนจับกลุ่มสามคนและเดินลงไปเพื่อคอยระวังอันตรายให้กันและกัน


ระหว่างเดินลงไปตามบันไดสูง โจชัวผู้สวมถุงมือแดง ได้ยินเสียงฝีเท้าใครบางคนดังมาจากด้านหลัง


คล้ายกับมีคนคอยสะกดรอยตามอย่างเชื่องช้าและเงียบเชียบ


และถึงแม้จะเห็นอาวุโสโลเฟียร์เดินตามหลังมาในระยะที่ห่างออกไป แต่โจชัวก็มั่นใจว่าฝีเท้าไม่ได้มาจากหล่อน


โจชัวที่เย็นวาบไปถึงสันหลัง ตะโกนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


“ผมได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง”


โลเฟียร์รีบหันไปมอง จากนั้นก็เสกอัศวินสีเงินสูงห้าเมตรขึ้นตรงหน้าและจ้องไปทางแผ่นหลังโจชัวด้วยดวงตาสีแดงก่ำราวกับเปลวไฟ


สองสามวินาทีถัดมา อาวุโสคนเลี้ยงแกะ โลเฟียร์ ส่ายหน้า


“ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1116 : การจ้องมองที่คุ้นเคย

 

คำตอบของคนเลี้ยงแกะโลเฟียร์ยิ่งทำให้โจชัวทวีความประหวั่น มันรีบมองไปทางสมาชิกทีมสำรวจคนอื่น


“มีใครได้ยินเสียงฝีเท้าผิดปรกติบ้างไหม?”


เดอร์ริคที่ถือค้อนยักษ์ ‘เทพสายฟ้าคำราม’ และดาบยาว ทำหน้านึกสองสามวินาทีก่อนจะส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ ส่วนฮาอิมถือไม้กางเขนเจิดจรัสพลางชำเลืองสมบัติปิดผนึกที่ยังคงส่องแสง จากนั้นก็ตอบกลับ


“คุณอาจหูแว่วไปเอง”


“ไม่มีทาง ผมได้ยินชัดมาก” โจชัวถุงมือแดงขมวดคิ้วโต้แย้ง


ได้ยินเช่นนั้น นักล่าปีศาจโคลินที่เดินอยู่ด้านหน้าสุด หมุนตัวกลับมาและกล่าวเสียงเรียบ


“ฮาอิม แอนเทียน่าตรวจสอบอาการโจชัว”


“ครับ ท่านเจ้าเมือง” ฮาอิมเดินไปหาโจชัวและทาบไม้กางเขนเจิดจรัสที่ยังคงส่องแสงบริสุทธิ์ลงบนหน้าผากพวกพ้อง


สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง


ทันทีหลังจากนั้น แอนเทียน่า นักรบหญิงผมสีไวน์แดงเดินมายังด้านข้างโจชัวพร้อมกับยกมือซ้าย


เธอสวมสร้อยข้อมือสีทองซีด ประดับด้วยกระดิ่งเล็กสามใบซึ่งมีเกล็ดสีทองห้อยอยู่


กระดิ่งส่งเสียงก้องกังวาน ส่งผลให้โจชัวเริ่มสงบสติ ไม่ตึงเครียดและกระสับกระส่ายเหมือนในตอนแรก


“ไม่มีปัญหาค่ะ” แอนเทียน่าหันไปมองเจ้าเมือง โคลิน·อีเลียด


สัญลักษณ์ซับซ้อนสีเขียวเข้มปรากฏบนดวงตาทั้งสองข้างของโคลิน มันจ้องโจชัวสักพักก่อนจะพยักหน้า


“อาจไม่ใช่อาการหูแว่วก็จริง แต่หมั่นตรวจสอบความผิดปรกติของร่างกายตัวเองเอาไว้”


เมื่อพบว่าเจ้าเมืองยังคอยสนับสนุน โจชัวถอนหายใจแผ่ว


“ครับ”


ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์ยังคงเดินลงบันไดยักษ์ที่อาบแสงสนธยาทีละขั้นอย่างใจเย็น


ทันใดนั้น ทุกคนได้ยินเสียงคราง


เดอร์ริค·เบเกอร์เห็นจากหางตาว่า โจชัวกำลังยกมือขึ้นมาบีบคอตัวเอง


ในฐานะอัศวินรุ่งอรุณ พละกำลังของโจชัวจึงมหาศาล ทันทีที่เสียงครางเล็ดลอด มือของโจชัวก็หักกระดูกคอด้วยการบิดเพียงครั้งเดียว


โจชัวล้มลงด้วยสีหน้ามืดมนและบิดเบี้ยว ดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง


คนที่ฆ่ามันคือตัวมันเอง!


“…” แม้เดอร์ริคและคนที่เหลือจะตอบสนองได้ไม่ทันท่วงที แต่ประสบการณ์จากการฝึกหนักและการลาดตระเวนในความมืดส่งผลให้ทุกคนรีบตั้งท่าต่อสู้โดยสัญชาตญาณ เตรียมรับมือการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต


จากนั้น พวกมันได้ยินเสียงครางอีกครั้ง


คราวนี้มาจากคนเลี้ยงแกะ อาวุโสโลเฟียร์


กล้ามเนื้อใบหน้าของสตรีผมยาวรายนี้กำลังสั่นกระตุกและยุบพอง ราวกับมีอีกใบหน้าหนึ่งเตรียมงอกเงย


เธอคุกเข่าลงท่ามกลางขั้นบันไดยักษ์ สีหน้าเผยความเจ็บปวดเหนือพรรณนา


หญิงสาวยกมือขึ้นเชื่องช้า จากนั้นก็บีบคอตัวเองโดยที่มิอาจขัดขืน


ขณะโลเฟียร์เตรียมออกแรง ดาบสองเล่มที่ทาด้วยขี้ผึ้งสีเทาเงินพุ่งตัดฝ่ามือทั้งสองข้าง


น่าล่าปีศาจโคลินที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ตอบสนองได้ทันท่วงที


ร่างกายโลเฟียร์กระตุกรุนแรง ศีรษะก้มต่ำด้วยปากที่อ้ากว้าง จากนั้นก็คายเศษเนื้อและซากอวัยวะที่ไม่สมบูรณ์ออกมา


หญิงสาวสูดลมหายใจยาวคล้ายกับได้สติคืนมา จากนั้น เธอคลานไปข้างหน้าด้วยศอก กลืนเศษเนื้อและอวัยวะเปื้อนเลือดที่เพิ่งอาเจียนกลับเข้าไปด้วยท่าทางเคร่งขรึมและเปี่ยมศรัทธา


นักล่าปีศาจโคลินที่มีรอยแผลเป็นเก่าแก่หลายจุดบนใบหน้า เฝ้ามองเหตุการณ์อย่างเงียบงันโดยไม่เข้าไปห้าม


จนกระทั่งโลเฟียร์เงยหน้าขึ้น กล่าวเสียงเรียบด้วยดวงตาสีเทาซีดที่ค่อนข้างเหม่อลอย


“เป็นความเสื่อมทราม…ความเสื่อมทรามที่มีในตัวทุกคน”


“มีทางแก้ไหม?” โคลินถามหน้านิ่ง


โลเฟียร์พยักหน้าโดยไม่ลังเล


“มี”


ทันทีที่กล่าวจบ หญิงสาวนำมือขวามาจับนิ้วชี้ข้างซ้าย จากนั้นก็กระชากออกและนำใส่ปากเคี้ยว


“พระองค์ผู้รังสรรค์ทุกสรรพสิ่ง…พระองค์ผู้ปกครองอยู่ด้านหลังเงามืด…พระองค์ผู้เป็นรากฐานแห่งการเสื่อมทรามทั้งปวง”


พระนามเต็มของพระผู้สร้างแท้จริง…เปลือกตาเดอร์ริคกระตุกทันที ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่า บรรยากาศรอบตัวเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง


แสงสนธยาสีส้มทวีความเข้มข้น ใกล้เคียงกับสีของเลือด


เหนือสายหมอก สีหน้าของเดอะฟูล ไคลน์แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม


แม้ว่ามันจะมองไม่เห็นสิ่งใดด้วยตาทิพย์ แต่ก็สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า มีการจ้องมาจากระยะไกลจนขอบเขตการมองเห็นของตนแคบลง


นอกจากนั้น สายตาดังกล่าวยังมอบความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด


จะไม่คุ้นเคยได้ยังไง…หลังจากเดินทางข้ามโลก ครึ่งแรกของชีวิตเรามีโอกาสเข้าไปพัวพันกับท่านบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะตัวท่านเอง บุตรของท่าน ผู้ส่งสารของท่าน ภาชนะในการจุติของท่าน เสียงเพรียกของท่าน รวมถึงภาพจิตรกรรมที่เกี่ยวกับท่านอีกหลายชิ้น…ไคลน์มั่นใจว่าสายตาที่จ้องมองมายังทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์คือ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’


ด้วยความสัตย์จริง ในตอนที่โลเฟียร์เริ่มท่องพระนามเต็มของพระผู้สร้างแท้จริง ไคลน์อยากส่ง ‘พายุสายฟ้า’ ลงไปจัดการก่อนที่เธอจะสร้างปัญหา แต่ท้ายที่สุดก็กัดฟันอดทนไว้ เพราะมันไม่มั่นใจว่าตนสามารถฆ่าคนเลี้ยงแกะได้ในพริบตา – วิญญาณมารที่โลเฟียร์ต้อนแกะเข้ามาน่าจะมีลำดับสูงถึงสาม ถึงแม้จะตายไปนานแล้ว แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมก็ไม่น่าจะต่ำกว่าลำดับสี่ ส่งผลให้พายุสายฟ้าที่มีระดับเกือบเทวทูตของไคลน์ไม่รุนแรงพอที่จะปลิดชีพอีกฝ่าย


และถ้าเดอะฟูลมิอาจปลิดชีพโลเฟียร์ได้ง่ายดายนัก มุมมองของนักล่าปีศาจโคลินจะเปลี่ยนไปทันที


นอกจากนั้น ไคลน์เชื่อว่าโคลิน·อีเลียดมีความสุขที่ได้เห็นอาวุโสโลเฟียร์ท่องพระนามเต็มของพระผู้สร้างแท้จริง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจะช่วยถ่วงดุลอำนาจระหว่างเดอะฟูลกับอีกฝ่าย


พฤติกรรมเช่นนี้ถือเป็นการดูหมิ่นเทพอย่างร้ายแรง ง่ายต่อการให้สิ่งมีชีวิตลึกลับไม่พอใจ แต่โคลิน·อีเลียดก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก มันไม่สามารถเชื่อใจเดอะฟูลหรือพระผู้สร้างแท้จริงได้เต็มร้อย จำเป็นต้องถ่วงดุลอำนาจทั้งสองฝ่ายโดยที่ยอมให้ตัวเองยืนบนขอบหน้าผา


มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น เมืองเงินพิสุทธิ์จึงจะไม่ถูกบดขยี้อย่างย่อยยับเหมือนกับบรรดาเมืองใหญ่ที่กลายเป็นซากปรักหักพังในความมืดและปกคลุมไปด้วยฝุ่นแห่งประวัติศาสตร์


น่าเสียดาย ถ้าตอนนี้เรากำลังถือไม้กางเขนเจิดจรัส คงพยายามระดมพลังของมิติหมอกเต็มอัตราศึกเพื่อทำลายวิญญาณมารอัศวินสีเงินนั่น…มันแพ้ทางโดยธรรมชาติ…ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ทำได้เพียงยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น


ย้อนกลับไปในตอนแรก มันไม่พบความผิดปรกติในตัวโจชัวเลยสักนิด จนกระทั่งนักรบของเมืองเงินพิสุทธิ์ซึ่งสวมถุงมือแดงรายนี้หักคอตัวเอง ไคลน์ถึงจะเห็นว่าดวงวิญญาณของอีกฝ่ายทั้งดำมืดและหม่นหมอง


ดังคำของอาวุโสคนเลี้ยงแกะ ต้นตอของปัญหาคือความ ‘เสื่อมทราม’ ภายในจิตใจทุกคน ไม่ต่างอะไรกับการหลงระเริงจนเสียคนเพราะเงินทองและหญิงงาม เป็นเรื่องยากที่จะตรวจพบจากภายนอก


บันไดยักษ์แห่งนี้คงมีเศษเสี้ยวพลังเทพในขอบเขต ‘ความเสื่อมทราม’ ปะปนอยู่กับสภาพแวดล้อม เป็นเรื่องยากที่จะรับมือและตรวจสอบ…หุ่นกระบอกที่ใช้ทดลองในตอนแรกก็ไม่มีสติปัญญาและวิญญาณ จึงไม่ได้รับผลกระทบ…พิจารณาจากพระนามเต็มของพระผู้สร้างแท้จริง อีกฝ่ายคงถือครองพลังในขอบเขตความเสื่อมทราม ลำพังการจ้องมองก็มากพอจะขจัดปัดเป่าหรือบรรเทาลง…ไคลน์วิเคราะห์เหตุการณ์เบื้องต้น


ระหว่างนั้น มันอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม


พระผู้สร้างแท้จริงกำลังเฝ้ามองทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์เหมือนกับตน?


…ถ้าเป็นโลกเก่า เราจะเรียกสิ่งนี้ว่า ‘เพื่อนร่วมไลฟ์’ …ถ้าเราส่งของขวัญ อีกฝ่ายจะส่งของขวัญชิ้นที่ใหญ่กว่ามาเกทับไหม? ไคลน์ครุ่นคิดติดตลก เป็นการบรรเทาความเครียดที่เกิดจากสายตาของพระผู้สร้างแท้จริง


อีกฝ่ายคือเทพแท้จริง ไม่ว่าจะอาดัมหรืออามุนด์ก็มิอาจเทียบเคียงได้!


ในเวลาเดียวกัน คนเลี้ยงแกะโลเฟียร์ลุกขึ้นยืน นิ้วชี้ข้างซ้ายที่หายไปค่อย ๆ งอกกลับคืนมา


เธอมองไปทางเจ้าเมือง โคลิน·อีเลียด


“พวกเราจะไม่ได้รับอิทธิพลจากความเสื่อมทรามในละแวกนี้อีก”


กล่าวอีกนัยหนึ่ง บันไดยักษ์แห่งนี้จะปลอดอันตราย


ตามปรกติแล้ว ทีมสำรวจจะไม่แยแสศพของโจชัว เพราะไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าหรือถอยหลัง ทุกคนต้องเคลื่อนไหวอย่างฉับไว เพราะการอยู่ในพื้นที่อันตรายเป็นเวลานานอาจทำให้สมาชิกคนอื่นประสบอันตรายเพิ่มเติม แต่เนื่องจากอาวุโสโลเฟียร์ยืนกรานด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าต้นตอของปัญหาสลายไปแล้ว ทุกคนจึงกล้าที่จะหยุดพักและจัดการกับศพ


เดอร์ริควางดาบของฮาอิมลง เดินไปข้าง ๆ ศพของโจชัวและจ้องมองสักพัก ก่อนจะก้มหยิบถุงมือสีแดงของอีกฝ่ายขึ้นมาสวมในมือซ้าย


มันยังจำได้แม่น โจชัวมักจะโอ้อวดสมบัติวิเศษที่ค้นพบระหว่างภารกิจสำรวจชิ้นนี้ และยังจำได้ว่า ก่อนจะเดินทางออกจากค่ายในหมู่บ้านยามบ่าย โจชัวเล่าถึงการถูกบังคับให้แต่งงานหลังจบภารกิจสำรวจ แถมยังไม่เคยเห็นหน้าภรรยาแม้แต่ครั้งเดียว ทว่า ในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง เพื่อนร่วมทีมคนดังกล่าวกลับต้องกลายเป็นศพตัวเย็น


สำหรับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ เหตุการณ์เช่นนี้สามารถเกิดได้กับทุกคน จึงไม่มีใครร้องไห้สะอื้น มีเพียงมวลอารมณ์เข้มข้นที่ฝังเข้าไปในกระดูกและเลือด เป็นความหนักใจและเศร้าโศก


ทุกคนเฝ้ามองเดอร์ริคยกมือข้างซ้ายเล็งไปที่ศพโจชัว


เปลวไฟลุกท่วมร่างพวกพ้องที่คอยต่อสู้เคียงข้างกันมานาน


หลังจากฌาปนกิจเสร็จ นักล่าปีศาจโคลินเก็บตะกอนพลังที่ควบแน่น ส่วนคนที่เหลือต่างหยิบขี้เถ้าจำนวนหนึ่งใส่กระเป๋าเสื้อ


ท่ามกลางความเงียบ ทุกคนเดินลงบันไดไปจนถึงขั้นสุดท้าย พบว่าด้านหน้าเป็นพระราชวังสูงตระหง่านที่ฉาบไปด้วยแสงสนธยา ด้านหลังเป็นทางเดินและบันไดไปยังเขตอื่น


ประตูวังกำลังเปิดอ้า ด้านในมืดสนิท ไม่มีแสงใดส่องผ่าน


นักล่าปีศาจโคลินสำรวจอย่างระมัดระวังสักพัก


“เหมือนกับโลกภายนอก”


ความหมายของมันก็คือ ทุกคนต้องใช้สารพัดวิธีในการสร้างความสว่างและไม่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความมืด


ได้ยินเช่นนั้น ฮาอิมกระตุ้นพลังของไม้กางเขนเจิดจรัสจนแสงสว่างโอบล้อมร่างกายทีมสำรวจทุกคน ส่วนแอนเทียน่าจุดตะเกียงและถือไว้เป็นไฟสำรองในกรณีที่ไม้กางเขนเสื่อมฤทธิ์กะทันหัน


ทีมสำรวจเดินเข้าไปในวังและพบกับห้องโถงที่ดูเหมือนจะว่างเปล่า เสียงฝีเท้าดังไปไกล แต่ไม่สะท้อนกลับมา


ขณะย่างกราย เดอร์ริคพบว่าเปลือกตาของตนหนักอึ้ง เผชิญความง่วงนอนรุนแรง


ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงคำรามต่ำของเจ้าเมือง


“ห้ามหลับเด็ดขาด!”


เดอร์ริคสะดุ้งตื่นทันที สลัดความเหนื่อยล้าที่มิอาจลืมตา


ขณะเดียวกัน นักรบหญิงคนหนึ่งล้มลงบนพื้น คล้ายกับหมดสติกลางอากาศ


จากนั้น ร่างของเธออันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย


นักล่าปีศาจโคลินและคนเลี้ยงแกะโลเฟียร์มองหน้ากันสักพัก ก่อนจะส่ายศีรษะและนำทีมเดินไปต่อ


ระหว่างทาง ทุกคนทำร้ายตัวเองเป็นระยะ สร้างความเจ็บปวดเพื่อแลกกับการมีสติ


จนกระทั่ง หลังจากผ่านโดมทรงโค้ง พวกมันพบความมืดมิดที่ยากจะขจัดด้านหน้า


อาศัยแสงสว่างจากทีมสำรวจ ทุกคนพบว่าที่นี่คือห้องโถงซึ่งเต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนัง ตรงกลางห้องมีโต๊ะยาวสีแดงเข้ม รายล้อมด้วยเก้าอี้พนักสูงลวดลายซับซ้อน


นี่มัน…เดอร์ริคเกิดความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด


มันพบว่าฉากตรงหน้าค่อนข้างคล้ายคลึงบรรยากาศในชุมนุมทาโรต์!


ทันใดนั้น กลุ่มไฟลุกโชนจากรอบทิศพร้อมกับเสียงพึมพำ


รอบห้องโถง เหนือเสาหินที่เรียงรายโดยมิได้ค้ำจุนหลังคาโดมสูง เปลวไฟสีแดงถูกจุดขึ้นทีละดวง มอบความสว่างในบรรยากาศพิสดาร


เสียงพึมพำเริ่มดังขึ้น ราวกับพวกมันถูกส่งมาจากดินแดนอันห่างไกล เปลี่ยนให้ห้องโถงมีชีวิตชีวาประหนึ่งงานเลี้ยง


รอบโต๊ะยาวสีแดงเข้ม ร่างมายาอันคลุมเครือของผู้คนปรากฏบนเก้าอี้พนักสูง รวมทั้งสิ้นสิบเอ็ดร่าง

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1117 : องค์กรที่แข็งแกร่...

 

ท่ามกลางไฟที่ลุกโชน เดอร์ริคและคนที่เหลือมองไปยังโต๊ะยาวสีแดงเข้มตามจิตใต้สำนึก และสิ่งแรกที่เห็นคือร่างที่อยู่ใกล้ที่สุด


ร่างดังกล่าวสวมชุดคลุมผ้าลินิน ผมยาวสีเงิน ใบหน้าคลุมเครือ แต่ก็ทำให้โคลิน โลเฟียร์ และเดอร์ริครู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก


ผ่านไปสักพัก คล้ายกับสายฟ้าผ่าเข้ากลางใจทุกคน ความทรงจำที่เคยเลือนรางสว่างขึ้น


เทวทูตโชคชะตา โอโรเลอุส!


ขณะรูม่านตาของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์กำลังเบิกกว้าง ร่างคลุมเครือทั้งหมดต่างหันมาจ้อง


ดวงตาที่เย็นชาหลายคู่โผล่ขึ้นมาในการมองเห็นทันที วงกลมอันลึกลับปรากฏขึ้นทีละหนึ่ง


ท่ามกลางอาการมึนงง เดอร์ริคเห็นอีกร่างหนึ่งด้านหน้า เป็นชายรูปงาม เจิดจ้าร่าเริง สวมเสื้อคลุมสีขาวโพลนและมีผมสั้นสีทอง


ด้วยบรรยากาศดังกล่าว คล้ายกับฉากหลังกำลังสว่างไสวผิดปรกติ ความรู้สึกอบอุ่นประหนึ่งแสงสว่างปกคลุมบริเวณโดยรอบ


เดอร์ริครู้สึกราวกับได้เห็น ‘กลางวัน’ ที่ถูกบันทึกไว้ในตำนาน หลงลืมไปว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหนและทำอะไร


ชายคนดังกล่าวก้าวออกมาข้างหน้า ร่างลวงตาและคลุมเครือทับซ้อนกับเดอร์ริค


จากนั้น เดอร์ริคเลือกนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งข้างโต๊ะยาวสีแดง


มันสวมรอยแทนบุรุษหน้าตาหล่อเหลาและสดใส กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกชุมนุมลับ


ขณะเดียวกัน เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ โคลิน·อีเลียดผู้มีผมสีเทาและรอยแผลเป็นเก่า มองเห็นร่างอันคลุมเครือและมายาอีกคนหนึ่ง


ร่างดังกล่าวสูงเจ็ดแปดเมตร สวมชุดเกราะสีเงินเต็มอัตราศึก บริเวณดวงตาส่องแสงคล้ายรุ่งอรุณ


มันยกดาบยาวในมือขึ้นและยื่นมาทางหน้าผากโคลินประหนึ่งคทา


นักล่าปีศาจโคลินพยายามขัดขืนในตอนต้น ก่อนจะสงบลงและปล่อยให้แสงสีส้มห่อหุ้มร่างกาย


จากนั้น มันผสานเข้ากับร่างคนยักษ์ดังกล่าว เดินไปข้างหน้าและนั่งลงบนเก้าอี้ในตำแหน่งที่สองจากทางขวามือ


คนเลี้ยงแกะโลเฟียร์สบตากับชายในชุดคลุมสีดำ ผมหยักศกสีเข้มประบ่า ดวงตาดูราวกับถูกเงาดำปกคลุม ใบหน้าพร่ามัวจนมองเห็นไม่ชัดเจน แต่สิ่งที่เธอสนใจกลับเป็นลวดลายสีเงินซับซ้อนและเครื่องประดับบนชุดคลุม


โลเฟียร์ตัวสั่นจนต้องก้มศีรษะ ปล่อยให้ชั้นปีกสีดำมายาแผ่ออกไปด้านหลังและห่อหุ้มตัวเอง


เธอกลายเป็นชายคนดังกล่าวและเดินไปทางโต๊ะยาวสีแดงเข้ม


บริเวณดังกล่าวมีเก้าอี้พนักสูงสองตัว โลเฟียร์เลือกนั่งฝั่งซ้าย


สมาชิกที่เหลือของทีมสำรวจต่างเผชิญเหตุการณ์ที่คล้ายคลึง แตกต่างบุคคลกันไป


หลังจากทุกคนนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะยาวสีแดง บรรยากาศรอบเก้าอี้ตำแหน่งประธานที่ว่างอยู่พลันมืดลง ร่างของสตรีผู้หนึ่งปรากฏขึ้นอย่างคลุมเครือคล้ายกับถูกหมอกบดบัง


ทันใดนั้น เสียงที่ฟังดูเหมือนเดิมทางข้ามเวลาจากสมัยโบราณ ก้องกังวานในหัว ‘ผู้ร่วมชุมนุม’


“…เรากำลังไถ่ตัวเองและรักษาสมดุลของโลกใบนี้…”


“…การแบ่งแยกและเบี่ยงเบนคือพื้นฐานที่สำคัญที่สุดอย่างไร้ข้อกังขา…”


“…สิ่งเหล่านี้ตรงกับแนวคิดของท่าน…”


“…ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราทุกคนล้วนมีความคิดและความปรารถนาอันดำมืด แต่นั่นคือเรื่องปรกติ…”


“…ความตายและเลือดคือชะตากรรมที่มิอาจเลี่ยง ในนามแห่งกุหลาบไถ่บาป…”


เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์เพ่งสมาธิฟังอย่างตั้งใจ รอไม่ไหวแล้วที่จะเก็บเกี่ยวข้อมูลจากเสียงดังกล่าวให้มากขึ้น


อย่างไรก็ตาม ทั้งภาพและเสียงกลับเอาแต่ฉายซ้ำ ราวกับมันถูกตัดมาจากการชุมนุมจริงเพียงไม่กี่วินาที


นี่คือวินาทีที่กุหลาบไถ่บาปก่อตั้งขึ้น? แต่วิญญาณมารเทวทูตสีชาดเคยบอกว่า กุหลาบไถ่บาปคือองค์กรลับสุดยอดที่ก่อตั้งโดยกลุ่มเทวทูตที่ถูกกัดกร่อน ดูเหมือนว่าความจริงจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น…อา…ในช่วงเวลาดังกล่าว คนพูดน่าจะไม่ใช่เมดีซี แต่เป็นเซารอนหรือไม่ก็ไอน์ฮอร์นที่ไม่รู้เรื่องของกุหลาบไถ่บาปมากนัก…ไคลน์พึมพำพลางหันไปมองทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์ที่เอาแต่กระทำเรื่องเดิมซ้ำ – เดินเข้าใกล้ นั่งลง ฟัง และเดินจากไปราวกับหุ่นเชิด


หลังจากไฟรอบห้องโถงถูกจุด ไคลน์ค้นพบความผิดปรกติด้วยตาทิพย์


มันเห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังเริ่มมีชีวิตชีวา พวกมันขยายตัวอย่างรวดเร็วจนซ้อนทับกับห้องโถง ส่งผลให้โต๊ะยาวสีแดงเข้ม เก้าอี้ และกระเบื้องปูพื้นที่เย็นเยียบมานานหลายพันปีกลับมาดูอบอุ่นอีกครั้ง ร่างของบุคคลที่มารวมตัวกันสามารถก้าวข้ามขอบเขตของเวลาและ ‘คืนชีพ’ กลับมายังตำแหน่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต


ร่างเหล่านี้คุ้นตาไคลน์อยู่หลายคน


ในหมู่พวกมันคือโอโรเลอุส


ราชาเทวทูตซึ่งยังคงเป็นสมาชิกกุหลาบไถ่บาปจวบจนปัจจุบันรายนี้ ดูมีชีวิตชีวามากที่สุดในบรรดาร่างมายา


เมื่อพิจารณาจากลักษณะการวนซ้ำของฉาก ไคลน์เริ่มสงสัยว่าจิตรกรรมฝาผนังถูกทิ้งไว้โดยฝีมือ ‘ผู้กลืนหาง’ โอโรเลอุส


ภายในซากปรักหักพังของวิหารก่อนหน้าก็เคยมีจิตรกรรมฝาผนังที่ท่านทิ้งไว้ เฉกเช่นที่ใดสักแห่งภายในซากสมรภูมิแห่งเทพ…ดังนั้น หากในวังราชาคนยักษ์มีบางสิ่งที่คล้ายคลึงกัน คงยากที่จะให้เชื่อว่าไม่ใช่ฝีมือของท่าน…ราชาเทวทูตตนนี้ชื่นชอบจิตรกรรมฝาผนังมากแค่ไหน? เล่นวาดพวกมันเอาไว้ในทุกแห่งที่ไป…ไคลน์อดไม่ได้ที่จะนินทาโอโรเลอุส


ร่างที่สองที่มันคุ้นเคยนั่งอยู่ถัดจากเทวทูตโชคชะตา โอโรเลอุส เป็นชายสวมชุดเกราะสีดำเปื้อนเลือด ผมสีแดงเพลิงราวกับไฟ ยังหนุ่มแน่นและหล่อเหลา


เหตุผลที่บุคคลดังกล่าวดูคุ้นเคย เพราะไคลน์เคยเห็นในความฝัน


นอกจากนั้น ‘ท่าน’ ยังนั่งในท่าที่โอหังกว่าใครเพื่อน ไม่เพียงจะเอนหลังพิงพนักสูง แต่ยังวางเท้าลงบนโต๊ะยาวสีแดงโดยไม่สนใจว่าคนอื่นเองก็เป็นตัวตนในระดับสูงทัดเทียมกัน


เทวทูตสีชาด เมดีซี!


นี่คือชุมนุมลับของเหล่าราชาเทวทูต? คนอื่นเป็นใครอีกบ้าง…ท่ามกลางกระแสความคิด ชายหนุ่มตัดสินใจช่วยให้ทีมสำรวจชาวเมืองเงินพิสุทธิ์หลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งชะตากรรมที่ไม่มีวันสิ้นสุด


สำหรับเรื่องนี้ มันมีประสบการณ์มากมาย


อา…สื่อกลางของการไหลเวียนคือห้องโถง แต่เราไม่จำเป็นต้องทำลายทิ้ง ตราบใดที่หยุดวัฏจักรแห่งชะตากรรมไว้ได้ชั่วคราว แสงสนธยาจากภายนอกก็จะแทรกซึมเข้ามาและขจัดความผิดปรกติ…ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในดินแดนทวยเทพ หากพิจารณาจากหลักการ อำนาจของมันน่าจะสูงกว่าพลังที่โอโรเลอุสเหลือทิ้งไว้…ไคลน์สำรวจและตัดสินใจรวดเร็ว


หลังจากโยนเหรียญทำนาย ชายหนุ่มแผ่พลังวิญญาณเข้าไปในดาวแดงตัวแทนเดอะซันทันที


ร่างวิญญาณของเดอร์ริค·เบเกอร์ทะลวงผ่านวัฏจักรแห่งชะตากรรมในทันที สร้างช่องว่างที่มองไม่เห็น


แสงสนธยาสีส้มด้านนอกวังพรั่งพรูเข้ามาจากหน้าต่างสูง มอบความสว่างไสวให้กับห้องโถง


โดยไม่ให้เดอะซันได้สติกลับมา ไคลน์ซึ่งกังวลว่าจะถูกล็อกเป้าโดยพระผู้สร้างแท้จริง รีบถอนตัวออกจากโลกความเป็นจริงทันที


เดอร์ริคได้สติจากภวังค์และพบว่าตนนั่งอยู่ข้างโต๊ะยาวสีแดงโดยไม่รู้ตัว


มันเงยหน้าขึ้นและได้พบกับเจ้าเมือง อาวุโสโลเฟียร์ ฮาอิม แอนเทียน่า และคนที่เหลือ ใบหน้าของทุกคนกำลังมึนงงและสับสน


นึกทบทวนประสบการณ์เมื่อครู่สักพัก เดอร์ริคตื่นตัวและกล่าวอย่างครุ่นคิด


“วัฏจักรแห่งชะตากรรม…”


“ถูกต้อง” โคลิน·อีเลียดที่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ พยักหน้าแผ่วเบาและยืนขึ้น


มันมองไปรอบตัว สายตาหยุดลงบนจิตรกรรมฝาผนังที่ใหญ่ที่สุด


ภาพดังกล่าวเป็นฉากของห้องโถงแห่งนี้ มีเสาหินแบบเดียวกัน รวมถึงโต๊ะยาวสีแดงเข้ม เก้าอี้พนักสูง และรูปแบบการจัดวางวัตถุ


บนเก้าอี้พนักสูงมีร่างของสิบเอ็ดบุคคล สองคนนั่งหัวโต๊ะฝั่งประธานและตรงกันข้าม ห้าคนอยู่ฝั่งซ้าย อีกสี่คนอยู่ฝั่งขวา


สายตาของทีมสำรวจหันไปตามเจ้าเมือง เพ่งพิจารณาเนื้อหาบนภาพวาด


ห้าบุคคลฝั่งซ้ายประกอบด้วยบุรุษผมสีเงิน ใบหน้าอ่อนโยน บุรุษผมแดงท่าทางเย่อหยิ่ง ชายชราที่สวมผ้าคลุมศีรษะจนเผยเพียงปาก รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า และเครา ชายวัยกลางคนมาดสง่างามในชุดเกราะสีดำ และบุรุษรูปงามในชุดคลุมสีขาว


สี่บุคคลฝั่งขวาประกอบด้วยมัมมี่ที่พันร่างกายด้วยผ้าและสวมชุดคลุมสีดำ ชายวัยกลางคนที่มีเอกลักษณ์ของชาวทวีปใต้ คนยักษ์ร่างใหญ่สวมเกราะสีเงิน และสตรีเลอโฉม สง่างาม และสูงศักดิ์


เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามประธานเป็นชายผมหยักศกสีดำ และบุคคลในตำแหน่งประธานใหญ่คือสตรีลึกลับที่ร่างกายปกคลุมไปด้วยหมอก


ทันใดนั้น ‘การ์เดียน’ คนหนึ่งยกมือขวาขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังชายสวมชุดคลุมสีขาวที่หล่อเหลาและสดใส


“ร่างของเขาเกิดจากการเรียงตัวกันของสัญลักษณ์ลึกลับ ความหมายของสัญลักษณ์เหล่านั้นก็คือ…”


“เทวทูตสีขาว โอซาคุส…”


ยังไม่ทันที่การ์เดียนคนดังกล่าวจะพูดจบประโยค เปลวไฟสีทองพลันลุกท่วมร่าง


มันกลายเป็นศพไหม้เกรียมทันที ดูราวกับจะป่นเป็นขี้เถ้าหากใครเผลอไปสัมผัสเข้า สายเกินกว่าจะให้โคลินและโลเฟียร์ช่วยชีวิต


“อย่าพยายามถอดความหมายของสัญลักษณ์ พวกมันอัดแน่นไปด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่” โคลินเตือนเสียงขรึม


เหนือสายมิติหมอก ไคลน์ครุ่นคิดในประเด็นอื่น


เทวทูตสีขาว โอซาคุส… ชื่อจริงของสุริยันเจิดจรัส?


ทั้งที่วังราชาคนยักษ์สามารถกีดขวางอิทธิพลได้ในระดับหนึ่ง แต่การเอ่ยชื่อจริงเป็นภาษาคนยักษ์ กลับยังกระตุ้นความสนใจของท่านพร้อมกับมอบทัณฑ์แห่งเทพ…


หลังจากไตร่ตรองสักพัก นักล่าปีศาจโคลินแทบดาบคู่ออกไปข้างหน้า สร้างบาเรียที่มองไม่เห็น


จากนั้น เจ้าเมืองเมืองเงินพิสุทธิ์ช่วยถอดรหัสสัญลักษณ์ที่ประกอบขึ้นเป็นร่างของบุคคลในภาพ แทนสมาชิกทุกคน


เรียงจากทางซ้ายสุด มันอ่านเชื่องช้าแต่หนักแน่น


“เทวทูตโชคชะตา โอโรเลอุส…”


“เทวทูตสงคราม เมดีซี…”


“เทวทูตปัญญา…เฮราเบอร์เก้น…”


ขณะกล่าวประโยคล่าสุด บาเรียล่องหนของโคลิน·อีเลียดที่สั่นไหวตลอดเวลากลับหยุดนิ่ง นั่นเพราะชื่อดังกล่าวไม่ใช่สิ่งแปลกหูสำหรับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์


ชื่อจริงของมังกรแห่งปัญญา!


ในภายหลัง มังกรแห่งปัญญารายนี้กลายเป็นเทวทูตเคียงข้างพระผู้สร้าง? ความสงสัยในทำนองเดียวกันเกิดกับทีมสำรวจทุกคน แต่สำหรับไคลน์ มันค้นพบความแปลกประหลาดในแง่มุมอื่น


ตำนานเมืองเงินพิสุทธิ์มีการบันทึกชื่อเฮราเบอร์เก้นเอาไว้ แถมภาษาถิ่นก็ยังเป็นภาษาคนยักษ์ที่สามารถกระตุ้นพลังธรรมชาติ


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตลอดสองสามพันปีที่ผ่านมา มีชาวเมืองเงินพิสุทธิ์จำนวนไม่น้อยเคยท่องและเขียนชื่อ ‘เฮราเบอร์เก้น’ ทว่า เทพปัญญาความรู้รายนี้กลับไม่ตอบสนองด้วยทัณฑ์สวรรค์ ไม่เพียงเท่านั้น โบสถ์ความรู้เองก็ยังหาดินแดนเทพทอดทิ้งไม่พบ


ในเวลาเดียวกัน โคลินสงบสติและอ่านต่อ


“เทวทูตวายุ เลโอเดโร…”


“เทวทูตสีขาว โอซาคุส…”


“เทวทูตมืด ซาสเรีย…”


“เทพธิดารัตติกาล อมานีซิส…”


“เทพสงคราม บาร์ดไฮเออร์…”


“พระแม่ธรณี โอมีเบล่า…”


“เทพแห่งวิญญาณมรณะ ซาลินเจอร์…”


“เทพแห่งสัตว์วิญญาณ ทอซน่า…”


แม้ว่าไคลน์พอจะเดาได้อยู่แล้ว แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง


กุหลาบไถ่บาปในอดีตทรงพลังจนน่าสะพรึง!


จากเจ็ดเทพจารีตในปัจจุบัน มีถึงหกตนที่เข้าร่วม แถมยังรวมถึงเทพแห่งวิญญาณมรณะ เทพแห่งสัตว์วิญญาณ และราชาเทวทูตอีกสามตน


สิ่งนี้ทำให้ไคลน์ฉุกคิดถึงสิ่งที่วิญญาณมารเทวทูตสีชาดเคยกล่าวไว้


“กุหลาบไถ่บาปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการถือกำเนิดของพระผู้สร้างแท้จริง มีหลายบุคคลที่เจ้าคาดไม่ถึงว่าครั้งหนึ่งเองก็เคยเป็นสมาชิกของกุหลาบไถ่บาป แต่ปัจจุบันได้แยกตัวออกไป…”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1118 : ความกลัวของไคลน์

 

ในอดีต กุหลาบไถ่บาปคือพันธมิตรที่เกิดจากการรวมตัวของเหล่าทวยเทพ…แต่องค์กรเดียวกัน ภายใต้อิทธิพลของเทพสุริยันบรรพกาล พวกท่านกลับต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แอบชุมนุมกันภายในวังสนธยา…เทพสุริยันบรรพกาลในอดีตแข็งแกร่งมากเพียงใดกัน…ไคลน์พ่นลมหายใจอย่างมิอาจควบคุม ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัว


ชายหนุ่มย้อนมองดูชุมนุมทาโรต์และพบว่า เมื่อเทียบกับกุหลาบไถ่บาป ชุมนุมของตนไม่ต่างอะไรกับเด็กเล่นขายของ ต่อให้นับตัวช่วยที่ทรงพลังอย่างวิล·อัสติน พาลีส·โซโรอาสเตอร์ อะซิก·อายเกส และไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ แต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับกุหลาบไถ่บาปในยุครุ่งเรือง


ไม่สิ ต่อให้นับกุหลาบไถ่บาปในยุคปัจจุบัน พวกมันก็ยังเหนือกว่าชุมนุมทาโรต์หลายขุม เพราะผู้นำและประธานการชุมนุมยังเป็นเพียงนักบุญลำดับสี่…ไคลน์จิกกัดตัวเองอย่างมีสมาธิ หันเหความสนใจไปยังทั้งสิบเอ็ดบุคคล


หากพิจารณาจากรูปลักษณ์ ฉายา และชื่อจริง เราสามารถยืนยันได้ว่าเทวทูตวายุ เทวทูตปัญญา และเทวทูตสีขาว ปัจจุบันคือเทพวายุสลาตัน เทพปัญญาความรู้ และเทพสุริยันเจิดจรัส…พวกท่านทรยศเทพสุริยันบรรพกาลและ ‘แบ่ง’ ร่างของเทพที่ตนเคยรับใช้…เทพสงครามและพระแม่ธรณีคือผู้ที่เหลือรอดมาจากวังราชาคนยักษ์…คนหนึ่งเป็นบุตรชายคนโต ส่วนอีกคนเป็นภรรยา มีความสัมพันธ์เป็นแม่ลูกกัน…ด้วยเหตุนี้ การที่อาณาจักรเฟเนพ็อตไม่ยอมประกาศสงครามกับโลเอ็นเพื่อช่วยจักรวรรดิฟุซัค จึงค่อนข้างแปลก…และน่าสนใจ…


นอกจากนั้น ยืนยันได้แล้วว่าเทพธิดาคืออดีตเทพรับใช้ของราชาหมาป่าอสูรทำลายล้าง เทพธิดาแห่งเคราะห์กรรม อมานีซิส…ไม่เพียงพระองค์จะได้ครอบครองอำนาจในขอบเขตรัตติกาลและเถลิงบัลลังก์ลำดับศูนย์สำเร็จ แต่ยังกำจัดทายาทของเฟรเกียจนราบคาบ ผนึกเหล่าเทวทูตตระกูลอันทีโกนัสในแคว้นรัตติกาล แถมยังใช้ร่างของมารดาแห่งผืนนภาเป็นภาชนะในการเสด็จลงมาเยือน…เด็ดขาดมาก…


ในฐานะข้ารับใช้แห่งรัตติกาล ไคลน์เงยหน้าขึ้นและมองไปรอบ ๆ โดยไม่รู้ตัว ด้วยกังวลว่าความคิดของตนจะเผลอรั่วไหลออกสู่โลกภายนอก


หลังจากเข้าไปในหมู่บ้านสายหมอกและเรียนรู้ว่าตระกูลอันทีโกนัสกับมารดาแห่งผืนนภาเป็นลูกหลานเทพบรรพกาลเฟรเกีย ไคลน์พอจะคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของเทพธิดารัตติกาลได้อย่างคลุมเครือ เพราะท้ายที่สุด เมืองเงินพิสุทธิ์ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า ราชาหมาป่าอสูรทำลายล้างถือครองอำนาจในครอบเขตรัตติกาลและมีความสามารถพิสดารมากมาย


เมื่อผนวกกับเรื่องที่ตระกูลอันทีโกนัสถือครองเส้นทางนักทำนาย และมารดาแห่งผืนนภาถือครองเส้นทางรัตติกาล ไคลน์เดาว่าราชาหมาป่าอสูรทำลายล้าง เฟรเกีย น่าจะเกิดจากการรวมกันของตะกอนพลังในสองเส้นทางที่ไม่ใกล้ชิดกัน ส่งผลให้เทพบรรพกาลตนนี้เสียสติอย่างหนักจนแทบจะไร้เหตุผล จุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียวคือการทำลายและกัดกร่อนทุกสรรพสิ่ง


ดังนั้น ชายหนุ่มจึงสันนิษฐานว่าเทพธิดารัตติกาลอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชาหมาป่าอสูรทำลายล้าง เพราะจากข้อมูลที่ได้รับในบันทึกการเดินทางของกรอซาย เทพรับใช้ทั้งสองของเฟรเกียได้หายตัวไปหลังจากร่วงหล่น ตนหนึ่งไปเข้ากับต้นตระกูลฟีนิกซ์ ชื่อจริงตรงกับเทพมรณาแห่งยุคสมัยที่สี่ บิดาของมิสเตอร์อะซิก เป็นเหตุให้ไคลน์เชื่อมโยงเทพธิดาแห่งเคราะห์กรรม อมานีซิส เข้ากับเทพธิดารัตติกาล


อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยความเป็นข้ารับใช้แห่งรัตติกาล มันจึงไม่อยากวิเคราะห์ลงไปลึกมากนัก รีบเปลี่ยนประเด็นไปทางอื่น


ในตอนที่ได้เห็นชื่อจริงของรัตติกาล ไคลน์ไม่ตกตะลึง แต่เป็นความโล่งใจ เพราะในที่สุดปริศนาก็ไขกระจ่าง นอกจากนั้นยังเพิ่มความยำเกรงในตัวอีกฝ่าย


เป็นเพราะพระองค์ไม่อยากให้เทพบรรพกาลอย่างเฟรเกียคืนชีพ จึงควบคุมเส้นทางนักทำนายอย่างเข้มงวด และป้องกันมิให้ผู้วิเศษที่ไม่ใช่คนของพระองค์เลื่อนลำดับไปได้ไกล?


ใช่แล้ว ในหมู่บ้านยามบ่าย นักบวชผีในเมืองได้พยายามเอ่ยนามใครบางคนที่ ‘ล่อลวง’ เทวทูตมืด ซาสเรีย หัตถ์ซ้ายของพระผู้สร้างและผู้มีอำนาจอันดับสองในดินแดนทวยเทพ แต่นามดังกล่าวไม่ถูกเอ่ยออกมาราวกับถูกลบไปแล้ว…นั่นไม่ใช่อำนาจในขอบเขต ‘ปกปิด’ หรอกหรือ?


หากไม่ใช่สถานที่พิเศษอย่างวังราชาคนยักษ์ เกรงว่าการเอ่ยคำว่า ‘เทพธิดารัตติกาล’ และ ‘อมานีซิส’ พร้อมกันคงเป็นไปไม่ได้ ชื่อดังกล่าวจะถูกลบเลือนหายไป…


กุหลาบไถ่บาปมีประธานสองคน หนึ่งคือเทวทูตมืด ซาสเรีย และอีกหนึ่งคือเทพธิดา…


นอกจากสถานที่ชุมนุม จุดอื่นล้วนอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งการปกปิด…


กล่าวอีกนัยหนึ่ง เทพธิดาคือตัวการเบื้องหลังการร่วงหล่นของเทพสุริยันบรรพกาล เริ่มต้นมหาภัยพิบัติ และสิ้นสุดยุคสมัยที่สาม…


เมื่อเทียบกับพระองค์ ไม่ว่าจะอาดัมหรืออามุนด์ต่างก็ยังห่างไกล…


เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเทพแท้จริงอย่างพระองค์จึงตกหลุมพรางของอาดัมจนไม่สามารถแทรกแซงโลกความจริง?


ถึงจะรู้ว่าเป็นกับดัก แต่พระองค์ก็เดินเข้าไปด้วยความเต็มใจ เพราะทราบว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง? มีหรือที่เทพธิดาผู้กุมความลับสำคัญ และเป็นหัวหอกที่ทำให้พระผู้สร้างแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ร่วงหล่น จะเข้าไปในกับดักโดยไม่เตรียมตัวล่วงหน้า?


นอกจากนั้น ประโยคที่ว่า ‘สิ่งเหล่านี้ตรงกับแนวคิดของท่าน’ หมายความว่าอย่างไร ‘ท่าน’ คือใคร?


อา…การได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ลับเหล่านี้เป็นจำนวนมาก เราจะย่อยโอสถปราชญ์โบราณทันทีที่ดื่มเข้าไปเลยไหม?


คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ยกมือขวาขึ้น ลูบหน้าผากและบังคับสติให้คิดเรื่องอื่น


นักบวชผีนั่นระเบิดตัวเองขณะกล่าวถึงราชาเทวทูตคนที่สี่…เพราะว่านอกจากสามราชาเทวทูต ที่เหลือล้วนเป็นเทพแท้จริงทั้งหมด?


แต่ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์มักจะเอ่ยชื่อบาร์ดไฮเออร์และเฮราเบอร์เก้นบ่อยครั้ง ทำไมถึงไม่เกิดความผิดปรกติกับพวกเขา?


จุดใดที่แตกต่าง?


ราชาเทวทูตที่แข็งแกร่งที่สุด หัตถ์ซ้ายของพระผู้สร้าง ซาสเรีย เหตุใดตัวตนที่ทรงพลังเช่นนี้ถึงหายไปกับแม่น้ำสายยาวแห่งประวัติศาสตร์? อา…หรือว่าท่านกลายเป็นหนึ่งในเทพมารยุคปัจจุบันอย่างพระผู้สร้างแท้จริง ด้านมืดเอกภพ หรือมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย?


ด้านนอกห้องโถงชุมนุมลับมีเศษเสี้ยวพลังความเสื่อมทราม นั่นคือสิ่งที่ท่านเหลือทิ้งไว้?


จริงสิ…การกำเนิดของ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ เกี่ยวข้องของกับกุหลาบไถ่บาป…เช่นนั้นแล้ว พระผู้สร้างแท้จริงจะมีท่าทีตอบสนองเช่นไรเมื่อได้เห็นจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้?


ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์มองไปทางอาวุโสคนเลี้ยงแกะ โลเฟียร์


สตรีผู้นี้กำลังทำหน้าครุ่นคิด คล้ายกับไม่รู้จักชื่อที่ถูกเอ่ยออกมามากนัก รู้จักเป็นเพียงบางคน เช่นเทวทูตโชคชะตา โอโรเลอุส


เธอกลายเป็นสาวกของพระผู้สร้างแท้จริงเนื่องจากได้เห็นภาพจิตรกรรมที่โอโรเลอุสเหลือทิ้งไว้


เดอร์ริค ‘แอบ’ เหล่ไปทางอาวุโสโลเฟียร์ แต่ก็ไม่พบความผิดปรกติทางสีหน้าของอีกฝ่าย


ในฐานะ ‘เดอะซัน’ แห่งชุมนุมทาโรต์ เดอร์ริครู้จักโลกภายนอกดีที่สุดในหมู่ทีมสำรวจ และเคยได้ยินเกี่ยวกับราชาเทวทูตมานานแล้ว จึงเชื่อว่าราชาเทวทูตทั้งสามน่าจะกลายเป็นเทพแท้จริงในภายหลัง ปัจจุบัน เดอร์ริคแทบไม่ออกอาการตื่นตระหนก มีเพียงสับสนเล็กน้อยและตกใจกับระดับความยิ่งใหญ่ของกุหลาบไถ่บาป


องค์กรลับดังกล่าวทรงพลังกว่าที่มันคิดไว้มาก!


ไม่แปลกใจว่าทำไมพระองค์ถึงร่วงหล่น…เมื่อเข้าใจบางสิ่ง หัวใจเดอร์ริคเริ่มหนักอึ้ง


ขณะเดียวกัน สายตาของเด็กหนุ่มชำเลืองไปเห็นใบหน้าอันซีดเซียวและบิดเบี้ยวของเจ้าเมือง อีกฝ่ายเอาแต่พึมพำบางสิ่ง


“เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…”


…ตั้งแต่จำความได้ ท่านเจ้าเมืองไม่เคยสูญเสียความเยือกเย็นขนาดนี้…การชุมนุมของกุหลาบไถ่บาปทำให้เขาเชื่อมโยงกับความจริงที่ว่า พระองค์อาจร่วงหล่นไปแล้วและคงไม่หวนกลับมา? จึงทำใจยอมรับไม่ได้? แต่ท่านเจ้าเมืองน่าจะรู้เรื่องนี้จากเราได้สักแล้ว…ขณะเดอร์ริคตั้งคำถาม มันพบว่าสีหน้าของเจ้าเมืองเริ่มกลับเป็นปรกติ มีเพียงริมฝีปากที่ยังเม้มแน่น


สำหรับสมาชิกคนอื่น คำพูดของนักบวชผีในหมู่บ้านยามบ่ายพลันย้อนกลับมาในความคิด


“ข้าแต่พระองค์ ข้าขอสารภาพว่า…ได้ทำการล่อลวงซาสเรียสมคบคิดกับเหล่าราชาในวังสนธยา…”


“…ข้าค้นพบความจริงในตอนที่สายเกินไป แผ่นดินกำลังจะเต็มไปด้วยความเสื่อมทราม นองเลือด เน่าเปื่อย ฆ่าฟัน กัดกร่อน และเงามืด…”


“มหาภัยพิบัติกำลังจะเริ่มขึ้นที่นี่!”


ฮาอิมที่ถือไม้กางเขนเจิดจรัส ใช้เวลาสักพักกว่าจะสงบสติลงและกล่าวออกมา


“ที่นี่คือวังสนธยา…และคนเหล่านี้คือราชาเทวทูตกับเทพรับใช้จากยุคสมัยที่สอง? พวกท่านสมคบคิดกันสร้างมหาภัยพิบัติ ทำให้พระองค์ต้องทอดทิ้งดินแดน?”


โคลิน·อีเลียดชักดาบสองเล่มออกมาด้านหน้า หมุนตัวครึ่งหนึ่งและพูด


“น่าจะใช่”


“หากพวกเราสืบจนพบต้นตอของปัญหาในตอนนั้น เราอาจมีโอกาสทำให้พระองค์พึงพอใจและหันกลับมาเหลียวแลดินแดนแห่งนี้อีกครั้ง?” ได้ยินคำตอบจากเจ้าเมือง แอนเทียน่าถามด้วยความกังวล


ในเวลาเดียวกัน คล้ายกับเดอร์ริคมองเห็นร่องรอยความเศร้าในสายตาของเจ้าเมือง จากนั้นก็ได้ยินอีกฝ่ายอืมในลำคอ


“อาจจะ”


“ถ้าอย่างนั้นก็มาสำรวจกันต่อเถอะ!” สมาชิกคนอื่นเรียกร้องด้วยสายตาที่ลุกโชน


ท่ามกลางความทุกข์ทรมานนานกว่าสองสามพันปี นี่คือความหวังที่ใกล้เคียงที่สุดของเมืองเงินพิสุทธิ์ ไม่มีใครยอมปล่อยให้หลุดมือ ต่อให้ต้องแลกกับชีวิตของตนก็ตาม


โคลิน·อีเลียดมองไปรอบตัวอย่างเชื่องช้าและกล่าว


“อย่าลืมหลักในการสำรวจ พวกเราไม่ควรบุ่มบ่าม…ในเมื่อยืนยันแล้วว่าที่นี่มีเบาะแสที่ช่วยให้พวกเรารอด การจะกลับมาสำรวจเป็นครั้งที่สอง สาม หรือมากกว่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก”


ได้ยินคำพูดดังกล่าว ทีมสำรวจคนอื่นเริ่มสงบลง ก่อนจะขานรับทีละคน


“ครับ ท่านเจ้าเมือง”


ภายใต้คำสั่งของนักล่าปีศาจโคลิน ทีมสำรวจแบ่งออกเป็นทีมย่อยสองถึงสามคน แยกย้ายกันค้นหาเบาะแสภายในห้องโถง แต่ก็ไม่พบสิ่งมีค่าใดนอกจากภาพจิตรกรรมฝาผนัง


แต่แน่นอน คำว่า ‘ไม่มีค่า’ ไม่ได้แปลว่าพวกมันไม่พิเศษ ที่นี่เป็นถึงดินแดนแห่งทวยเทพ ไม่ว่าจะโต๊ะ เก้าอี้ คบเพลิง หรือเสาหินล้วนเต็มไปด้วยความพิเศษหากนำออกไปยังโลกความจริง และความพิเศษดังกล่าวจะคงอยู่เป็นเวลานาน แต่สำหรับทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์ พวกมันไม่สะดวกที่จะแบกออกไป จึงไม่มีคุณค่าในสายตา


สำหรับภาพจิตรกรรมฝาผนังอื่น พวกมันเป็นเพียงภาพของห้องโถงจากมุมด้านข้าง เมื่อนำมารวมกันจะกลายเป็นภาพสามมิติ


หลังจากเสร็จสิ้นการค้นหา เดอร์ริคและคนที่เหลือกลับมารวมตัวกันและเดินตามเจ้าเมืองไปยังทางออกด้านหลังห้องโถง


ตรงนี้มีประตูสีเทาอมฟ้าหนึ่งบาน


โคลิน·อีเลียดสำรวจบานประตูที่สูงกว่าสิบเมตรอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็พูดขึ้น


“ด้านนอกมีองครักษ์ที่แข็งแกร่ง”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1119 : โดยไม่ต้องนัดแนะ

 

ได้ยินคำพูดเจ้าเมือง อาวุโสคนเลี้ยงแกะ โลเฟียร์ ตั้งคำถามทันที


“เหมือนกับอัศวินสีเงินสองตนจากทางเข้าวังด้านหน้าใช่ไหม? ที่มันจะไม่โจมตีหากเราไม่เข้าไปในระยะ”


โคลิน·อีเลียดพยักหน้า


“ใช่…ในตอนนี้ล่ะนะ”


ทีมสำรวจอยู่ใกล้ทางออกมาก แต่องครักษ์ด้านนอกกลับยังไม่มีท่าทีตอบสนอง


แปลว่าอีกฝ่ายไม่มีสติปัญญาหรือวิญญาณ และอาจทำงานโดยการถูกกระตุ้น


โดยไม่รอให้สมาชิกคนอื่นพูด นักล่าปีศาจโคลินกล่าวต่อ


“ใหญ่…หนัก…”


หลังจากได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์จับกลุ่มกันโดยไม่ต้องรอคำสั่ง ทีมหนึ่งอยู่ห่างจากทางออก แต่หันหน้าเข้าหาประตู คุ้มกันโดยอาวุโสโลเฟียร์ มีหน้าที่เป็นเหยื่อล่อองครักษ์ อีกทีมหนึ่งรับน้ำมันศักดิ์สิทธิ์บางชนิดมาจากเจ้าเมืองและทาลงบนพื้นใกล้กับประตู ส่วนฮาอิมผู้ถือไม้กางเขนเจิดจรัส และนักล่าปีศาจโคลินคอยหลบอยู่สองฝั่งข้างบานประตูโดยใช้เสาหินเป็นกำบัง


จากนั้น โคลิน·อีเลียดชักดาบออกจากหลังหนึ่งเล่มพร้อมกับหยิบขวดโลหะใบเล็กขึ้นมากระดกดื่ม


ออร่าของมันเลือนรางลงอย่างรวดเร็ว ไม่เด่นชัดเหมือนในตอนแรก หากไม่เพ่งมองอย่างตั้งใจก็ยากจะตระหนักว่ามีตัวตนอยู่ตรงนี้


นี่คือหนึ่งในแผนการ ฮาอิมไม่อำพราง ส่วนนักล่าปีศาจอำพราง


ผ่านไปราวสิบวินาที อาวุโสโลเฟียร์เหยียดแขนขวาออกมาจับอากาศอันว่างเปล่า


ผมสีเทาเงินของเธอถูกย้อมกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม


สายลมดังโหยหวนพร้อมกับการเปิดออกของบานประตูสีเทาอมฟ้า


ทันทีหลังจากนั้น เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้น ห้องโถงทั้งหลังสั่นไหว


คนยักษ์ที่ถือง้าวและสวมเกราะเหล็กปรี่เข้ามาในห้องโถง


ส่วนที่ไม่ถูกเกราะปกปิดปราศจากเลือดเนื้อ ราวกับพวกมันถูกสร้างจากโลหะ ด้านหลังหน้ากากสีดำมีแสงสีแดงสว่าง


หากไม่ได้กำลังขยับเขยื้อน เอาแต่ยืนนิ่ง คงไม่ต่างอะไรกับรูปปั้น


ตึง! ตึง! ตึง!


ห้องโถงสั่นสะเทือนรุนแรงยิ่งกว่าเก่า ทันใดนั้น รูปปั้นคนยักษ์ทำการขว้างง้าวในมือ เกิดเป็นพายุเฮอร์ริเคนพุ่งมาทางเดอร์ริคและคนอื่นที่กำลังหันหน้าเข้าหาประตู


เปรี้ยง!


ง้าวพุ่งชนบาเรียล่องหนจนเกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมมายา


ด้านหน้าคนเลี้ยงแกะโลเฟียร์ ร่างมายาที่สวมเกราะสีเงินปรากฏขึ้นโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว ร่างดังกล่าวแทงดาบใหญ่ในมือลงไปบนพื้น


ตึง! ตึง! ตึง!


รูปปั้นคนยักษ์ยังไม่หยุดวิ่งเข้ามาในห้องโถง


ทันใดนั้น เสียงแหลมเล็กดังจากใต้ฝ่าเท้าพวกมันจนร่างกายขนาดมหึมาเซไปด้านหลัง


มันเหยียบลงบนจุดที่มีการทาน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ไว้


เมื่อรูปปั้นยักษ์ล้มลง แสงสีแดงในดวงตาพลันสว่างไสว พลังที่มองไม่เห็นบางชนิดช่วยดึงร่างของมันกลับขึ้นมาใหม่


ทันใดนั้น แสงสว่างอันเจิดจ้าพุ่งออกจากไม้กางเขนเจิดจรัส ตรงเข้าใส่ดวงตาเพียงหนึ่งเดียวของคนยักษ์อย่างแม่นยำ


แสงสีแดงเข้มจางลงทันที


นักล่าปีศาจโคลินกระโจนไปในอากาศพร้อมกับถือดาบหนึ่งเล่มด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็พุ่งลงประหนึ่งอินทรีโฉบใส่เหยื่อ


แสงแห่งรุ่งอรุณควบแน่นเคลือบดาบยาวจนมันดูใหญ่เป็นพิเศษ ความยาวโดยรวมมากกว่าส่วนสูงของโคลินเสียอีก


ท่ามกลางเสียง ‘ฉึก’ ดาบที่สว่างไสวแทงทะลุช่องว่างระหว่างชุดเกราะของคนยักษ์ เสียบเข้าไปในดวงตาอย่างแม่นยำ


แสงแห่งรุ่งอรุณพรั่งพรูเข้าไปในร่างกายของมัน


ขณะมือกำด้ามดาบ โคลิน·อีเลียดออกแรงแทงให้ลึกกว่าเดิม จนกระทั่งรูปปั้นยักษ์ล้มลง มันชักดาบกลับและกระโจนไปทางด้านข้าง


รูปปั้นยักษ์นอนแผ่แน่นิ่งหน้าประตู เสียงแตกดังขึ้นจากอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งร่างกายของมันหยุดนิ่ง


นักล่าปีศาจโคลินไม่หันกลับไปมอง เพียงจ้องออกไปนอกประตูและกล่าวหลังจากครุ่นคิดสองสามวินาที


“ตอนนี้ยังไม่มีองครักษ์ตนอื่น เราสามารถสำรวจรูปปั้นนั่นได้”


เดอร์ริคและคนที่เหลือเข้ามาล้อมรูปปั้นทันที รีบค้นตัวอย่างชำนาญ


เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ที่ได้เห็นขั้นตอนทั้งหมด อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความแข็งแกร่งและความสามัคคีของทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์


จากการสังเกตของชายหนุ่ม รูปปั้นยักษ์ตนนี้ทำมาจากโลหะนิรนาม พื้นผิวถูกหุ้มด้วยชุดเกราะซึ่งมีพลังป้องกันเหนือจินตนาการ สามารถรับการโจมตีส่วนใหญ่ได้สบาย ถือเป็นคู่ต่อสู้ที่จัดการได้ยาก


นอกจากนั้น รูปปั้นยักษ์ยังไม่มี ‘วิญญาณ’ กล่าวคือ ไม่สามารถจัดการมันได้ด้วยพลังในขอบเขตที่เกี่ยวข้อง เช่น ‘ควบคุมด้วยวิญญาณ’ ‘สะกดจิต’ ‘โรคประสาท’ และ ‘ฝันร้าย’ ไม่ต่างอะไรกับป้อมปราการเดินดิน ไคลน์อดไม่ได้ที่จะตั้งข้อสังเกตว่า นี่อาจเป็นผลงานของเทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยว


ไคลน์เชื่อว่า หากเปลี่ยนเป็นตัวเอง เมื่อพลังที่เป็นแก่นสำคัญของจอมเวทพิสดารกลายเป็นหมัน หนทางเดียวคือการพึ่งพาพลังของหุ่นเชิดทั้งสองตัว การต่อสู้จะลงเอยเช่นไรคงมิอาจคาดเดา


พลัง ‘บิดเบือน’ กับ ‘โกลาหล’ ของเคาต์แห่งการเสื่อมถอยอาจช่วยเราได้มาก แต่คงจัดการได้ไม่เร็วเท่ากับทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์…อา…ทีมผู้วิเศษที่เชี่ยวชาญจะสร้างผลลัพธ์ออกมาเป็น ‘หนึ่งบวกหนึ่งมากกว่าสอง’ …นอกจากนั้น จังหวะและความมั่นใจในตัวเองของเจ้าเมืองก็เป็นกุญแจสำคัญ…ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบาด้วยความชื่นชม


หากนี่เป็นการถ่ายทอดสดของโลกเก่า ชายหนุ่มคงอดไม่ได้ที่จะส่งของขวัญเป็นกำลังใจ


แต่มันก็ทำได้แค่คิด


หลังจากนำของมีค่าออกจากรูปปั้นยักษ์ ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์เดินตรงไปตามทางเดินด้านนอกจนกระทั่งมาถึงอีกหนึ่งห้องโถง


ในทำนองเดียวกัน พวกมันเคลื่อนที่ไปตามจุดต่าง ๆ ระหว่างวัง หอคอย และทางเดินอีกหลายแห่งโดยหวังว่าจะพบเบาะแสเพิ่มเติม รวมถึงทางเข้าทะเลที่ ‘คนนอก’ อย่างแจ็คเล่าให้ฟัง


ไม่ว่าพวกมันจะเชื่อคำพูดของเด็กชายหรือไม่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคาดหวังถึงทะเลสีครามด้านหลังวังราชาคนยักษ์ คาดหวังว่าอีกฟากฝั่งของทะเลมีอาณาจักรที่เต็มไปด้วยมนุษย์ ปราศจากสัตว์ประหลาดในความมืด มีดวงอาทิตย์ขึ้นและตก สายฟ้าจะโผล่ออกมาเฉพาะตอนที่ฝนโปรย ผู้คนอิ่มหนำสำราญไปกับอาหาร


ระหว่างนี้ ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์เผชิญหน้ากับศัตรูไม่มากนัก เกือบทั้งหมดเป็นรูปปั้นที่กลับมามีชีวิต บางส่วนเป็นวิญญาณมารที่เกิดจากการผสานระหว่างจิตตกค้างและออร่าสนธยา โดยรายหลังถูกขจัดอย่างง่ายดายด้วยไม้กางเขนเจิดจรัส


“ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร…” เดอะฟูล ไคลน์บนมิติหมอกพยักหน้าแผ่วเบา ไม่แสดงความประหลาดใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า


เพราะหลังจากราชาคนยักษ์ร่วงหล่น สถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นดินแดนในการปกครองของเทพสุริยันบรรพกาล ไม่น่าจะมีสมบัติหรือคนยักษ์ที่แข็งแกร่งหลงเหลือ…โดยเฉพาะเมื่อเหล่าราชาเทวทูตใช้เป็นสถานที่สมคบคิด ปัญหากวนใจย่อมต้องถูกเก็บกวาดเป็นธรรมดา…แต่หลังจากเทพสุริยันบรรพกาลถูก ‘กิน’ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าใครคือเจ้าของวังสนธยา…หรือบางทีอาจถูกทิ้งร้างไว้เฉย ๆ …


สรุปโดยสั้น ทีมสำรวจไม่น่าจะได้พบกับศัตรูในระดับครึ่งเทพหรือสมบัติวิเศษที่ทรงพลัง…อา…แต่ถ้าไม่มีไม้กางเขนเจิดจรัส วิญญาณมารเหล่านั้นก็รับมือได้ไม่ง่ายเช่นกัน ยากที่จะสำรวจไปข้างหน้าหากปราศจากเทวทูตมานำทีม หรือไม่ก็ต้องนำสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ออกปฏิบัติการ…


เมื่อไม้กางเขนเจิดจรัสกลับมาอยู่กับเดอร์ริค ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์ขยับเข้าใกล้อาคารที่สูงที่สุดในวังราชาคนยักษ์


แสงสนธยาที่นี่เข้มข้นมาก ราวกับมาจากวังดังกล่าว


“ถ้าออกจากห้องโถงนี้ไป พวกเราน่าจะถึงส่วนข้างของสถานที่พำนักราชาคนยักษ์” น่าล่าปีศาจโคลินสำรวจทิศก่อนจะเหยียดนิ้วไปด้านหน้า


คนเลี้ยงแกะโลเฟียร์ผงกศีรษะรับ ใบหน้าเผยเศษเสี้ยวความหวัง


หัวใจเดอร์ริคดังระรัวราวกับมิอาจควบคุมความตื่นเต้น ต้องเดือดร้อนแอนเทียน่าช่วยใช้ปลอบโยนเพื่อทำให้กลับมาเป็นปรกติ


หลังจากทุกคนปรับอารมณ์เสร็จ ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เดินเข้าไปในห้องโถงด้านหน้าและได้พบกับวัตถุคล้ายภาพวาดสีน้ำมันถูกแขวนบนผนังทั้งสองฝั่ง


‘ภาพวาดสีน้ำมัน’ เหล่านี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับคนยักษ์ที่แตกต่างออกไป บ้างถือขลุ่ยกระดูก บ้างถือกระดิ่งลม และบ้างถือพิณประหลาดเจ็ดสายที่เหมาะกับความสูง


หลังจากสมาชิกทีมสำรวจมาถึง คนยักษ์ในภาพวาดสีน้ำมันมีชีวิตขึ้นมากะทันหัน พวกมันเริ่มบรรเลงเครื่องดนตรีจนเกิดเป็นท่วงทำนองอันไพเราะ


แสงสนธยาในห้องโถงสว่างขึ้นเล็กน้อย อาหารจำนวนมากปรากฏขึ้นบนโต๊ะยาวที่วางเรียงราย ทุกจานเปล่งประกายและเย้ายวนใจอย่างยิ่ง


ไก่ย่าง…ห่านย่าง…ปลาทาน้ำผึ้ง…นี่คืองานเลี้ยงของวังราชาคนยักษ์? แต่ขนาดของไก่ ห่าน แพะ และปลาไม่ใหญ่ไปหน่อยหรือ…เป็นฝีมือของเทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยว? เพียงชำเลือง ไคลน์ยืนยันได้ว่าอาหารทั้งหมดเป็นภาพลวงตา เพราะวังราชาคนยักษ์ไม่น่าจะมีวัตถุดิบประกอบอาหารหลงเหลืออยู่ รวมถึงไม่มีคนที่สามารถ ‘จินตนาการ’ หรือสร้างพวกมันให้สมจริง


“นี่คือ…อาหารปรกติ?” ฮาอิมที่กำลังถือเทพสายฟ้าคำราม จ้องไปทางโต๊ะยาวตัวหนึ่ง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง


“คงใช่…” เดอร์ริคสูดกลิ่นและอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย


นอกจากหญ้าผิวดำ พวกมันไม่เคยเห็นอาหารทั่วไปมาก่อน เนื้อที่เกิดจากการย่างศพสัตว์ประหลาดจะมอบสีสันที่แตกต่างกัน แต่รสชาติห่วยแตกเหมือนกันหมด แถมยังเป็นพิษกับร่างกาย


นักล่าปีศาจโคลินจ้องสักพักก่อนจะถอนหายใจ


“พวกมันเป็นของปลอม อย่าแม้แต่จะสัมผัส ไม่อย่างนั้นอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน”


นอกจากโลเฟียร์ ทีมสำรวจทุกคนถอนสายตาอย่างยากลำบาก จากนั้นก็เดินตามเจ้าเมืองไปจนกระทั่งออกจากห้องโถง


หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด โคลิน·อีเลียดปักดาบลงในดินและผลักประตูหนักให้เปิดออก


ช่องว่างขยายใหญ่ขึ้น แสงสีส้มเข้มข้นลอดผ่านจากด้านนอก


ยิ่งช่องว่างขยายใหญ่ ภาพของพระราชวังสูงตระหง่านก็ยิ่งแจ่มชัด


จากนั้น ทุกคนในทีมสำรวจได้ยินเสียงบางสิ่งถูกปะทะ


โคลินชักดาบยาวออกมาสยบความตึงเครียดภายในใจสมาชิกทีม


ตามด้วยการชักดาบอีกหนึ่งเล่มและเดินออกจากห้องโถงอย่างไม่รีบร้อน เดอร์ริคและคนที่เหลือตามหลังไปด้วยความระมัดระวัง


ทันทีที่ร่างกายอาบแสงสนธยาโดยสมบูรณ์ พวกมันมองไปทางซ้ายโดยพร้อมเพรียง และพบกับราวกั้นที่ทำจากเสาหิน


เหนือราวกั้นออกไปไกลมีเมฆสีส้มแดงที่ลอยตัวบนท้องฟ้าอย่างอ่อนโยน ท่ามกลางทุ่งกว้างสีน้ำเงินเข้มอันไร้ขอบเขต เสียงปะทะของบางสิ่งดังขึ้นตลอดเวลา


โดยไม่ต้องกล่าวคำใด สมาชิกทีมสำรวจทุกคนต่างนึกถึงสิ่งที่บันทึกไว้ในหนังสือและคำอธิบายของเด็กชายแจ็ค คำคำหนึ่งผุดขึ้นในหัวทันที


“ทะเล”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1120 : ผู้ไล่ล่าแห่งวังราชา

 

ฉากสีน้ำเงินเข้มอันไร้ขอบเขตของทะเลที่กระเพื่อมแผ่วเบาคล้ายกับภายในนั้นเต็มไปด้วยชีวิตมากมาย กำลังปรากฏสู่สายตาทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์ ไม่ใช่เพียงการรับรู้จากตำนานในหนังสือหรือถ้อยคำจากคนนอก


แม้ว่าจะอยู่ใกล้มาก แต่รู้สึกราวกับสัมผัสได้


แอนเทียน่าเจ้าของผมสีไวน์แดงยืนมองด้วยท่าทีเหม่อลอย เธอเปิดปากราวกับต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่ท้ายที่สุดก็พูดได้เพียง


“ทะเล…”


ทันทีที่กล่าวจบ รอยแยกสีเงินผุดขึ้นกึ่งกลางหน้าผากของเธอ


รอยแยกแตกเป็นทางยาวอย่างรวดเร็ว แบ่งร่างแอนเทียน่าออกเป็นสองซีกซ้ายขวา เลือดสีสว่างและอบอุ่นพรั่งพรูออกจากรอยแตก สาดกระจายเต็มใบหน้าเดอร์ริค


วินาทีถัดมา เส้นแสงสีเงินจำนวนมากส่องออกจากร่างแอนเทียน่า หั่นร่างของหญิงสาวให้กลายเป็นเศษเนื้อ


ใบหน้าที่เปี่ยมความหวังและโหยหา แตกละเอียดราวกับจิ๊กซอว์และโปรยปรายลงบนพื้น


โคลิน·อีเลียดตอบสนองเมื่อสาย เหวี่ยงดาบยาวเล่มหนึ่งในแนวนอน อีกเล่มในแนวเฉียง ราวกับกำลังฟาดฟันศัตรูล่องหน


เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!


แสงสีเงินส่องประกาย เสียงโลหะกระทบกันดังกึกก้อง แสงแห่งรุ่งอรุณที่ห่อหุ้มร่างกายโคลิน·อีเลียดเริ่มแตกกระจัดกระจายไปทุกทิศ


พร้อมกันนั้น อัศวินมายาด้านหลังคนเลี้ยงแกะโลเฟียร์ ก้าวไปข้างหน้าและแทงดาบยักษ์มายาปักลงบนพื้น


เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! รอบตัวชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ บางสิ่งพยายามทำลายบาเรียล่องหน คล้ายกับแมลงที่ดิ้นรนอย่างสิ้นหวังภายในอำพัน


เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!


แสงสีเงินเส้นใหญ่ บางครั้งก็เส้นบาง ปรากฏขึ้นรอบตัวทุกคนอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับบาเรียผู้พิทักษ์ที่กำลังปกป้องทีมสำรวจพร้อมจะพังลงในทุกเมื่อ แต่ทั้งโคลินและโลเฟียร์ก็ยังหาศัตรูไม่พบ


ขณะเดอะฟูล ไคลน์บนมิติหมอกเตรียมช่วยบอกใบ้ เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ฉุกคิดบางสิ่งได้และนำดาบทั้งสองเล่มมาไขว้กันด้านหน้า


เคร้ง!


แสงสีเงินเส้นหนาฟาดลงมายังกึ่งกลางดาบทั้งสองเล่ม ส่งผลให้ข้อเท้าของนักล่าปีศาจโคลินจมลึกลงไปในพื้นหิน


มันอาศัยจังหวะดังกล่าวคำราม


“เขตแดนเจิดจรัส!”


ได้ยินคำสั่งของเจ้าเมือง เดอร์ริคไม่ลังเลที่จะนำหนามบนไม้กางเขนแทงใส่นิ้ว


ทันทีที่เลือดไหลซึม แสงสว่างอันเจิดจ้าและบริสุทธิ์แผ่ขยายออกไปทุกทิศจนปกคลุมทุกซอกมุมของที่ว่างระหว่างอาคารสองหลัง


บริเวณดังกล่าวปราศจากเงาโดยสิ้นเชิง ไม่มีที่ให้หลบซ่อน แสงสว่างคือผู้มีอำนาจสูงสุดในละแวกนี้


ร่างกายขนาดมหึมาถูกวาดขึ้นด้านข้างวังราชาคนยักษ์ ‘มัน’ สวมเกราะสีเงินเต็มอัตราศึก สูงเกือบห้าเมตร แต่ด้านหลังเกราะหมวกไม่ใช่จุดแสงสีแดงหรือสีส้ม หากแต่เป็นดวงตาแนวตั้งหนึ่งดวง


นี่คือคนยักษ์ คนยักษ์ที่ยังมีชีวิต


มันทำการโจมตีทั้งที่ทีมสำรวจยังไม่ได้เข้าไปในเขตคุ้มครอง ตีความได้ว่ามันมีสติปัญญา


เกราะแขนของยักษ์ตนนี้แตกต่างจากอัศวินเกราะเงินตนอื่น มันมีลวดลายพิเศษ ตำแหน่งแรกอยู่ด้านขวา สีแดงเลือด ลวดลายวนรอบข้อมือ ตำแหน่งที่สองอยู่ด้านซ้าย เป็นจุดสีดำกระจายตัว


อัศวินยักษ์ยกดาบใหญ่ในมือขึ้นมาชี้ทีมสำรวจ กล่าวด้วยเสียงกึกก้อง


“กล้าดียังไงถึงบุกรุกวังราชาและรบกวนการหลับใหลของท่านลอร์ดซาสเรีย!”


ซาสเรีย? เทวทูตมืด ซาสเรีย? เดอะฟูล ไคลน์บนมิติสายหมอก เกิดความตกตะลึงจนต้องนั่งตัวตรง


อดีตหัตถ์ซ้ายแห่งเทพ ผู้ปกครองอันดับสองของดินแดนทวยเทพ ผู้นำแห่งราชาเทวทูต และหนึ่งในสองผู้นำของกุหลาบไถ่บาป แท้จริงแล้วท่านไม่ได้หายไปกับแม่น้ำสายยาวแห่งประวัติศาสตร์ แต่หลับใหลอยู่ในส่วนลึกของวังราชาคนยักษ์? ทำไมถึงเลือกจะหลับใหล? ความคิดมากมายแล่นเข้ามาในหัวไคลน์ โดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มชำเลืองไปทางวังที่อัศวินยักษ์คอยคุ้มกัน


อาคารดังกล่าวทั้งสูงและอลังการที่สุดในวังราชาคนยักษ์ คล้ายกับแสงสนธยาก่อตัวกลายเป็นชั้นวัตถุและปกคลุมพื้นผิวเอาไว้ มอบความรู้สึกหม่นหมองอย่างชัดเจนประหนึ่งยามสนธยาใกล้สิ้นสุดลง แทนที่ด้วยค่ำคืนอันเป็นนิรันดร์


ฝั่งหนึ่งเป็นยอดแหลม อีกฝั่งหนึ่งเป็นยอดหอคอย ทางเข้าหลักเป็นบานประตูคู่สีเทาน้ำเงิน สูงกว่าสิบเมตร เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ เครื่องหมาย และลวดลายสมมาตรที่ลึกลับและเป็นระเบียบ


บนบานประตูฝั่งซ้ายสูงจากพื้นสามถึงสี่เมตร มีช่องว่างสีดำขนาดใหญ่ประหนึ่งกำปั้นมนุษย์โตเต็มวัย


ได้เห็นฉากดังกล่าว ไคลน์หวนนึกถึงภาพที่เคยเห็นจากการทำนายฝันเมื่อครั้งอดีต โดยสื่อกลางที่ใช้ทำนายในคราวนั้นคือกุญแจคนยักษ์ซึ่งยืมมาจากพลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า


นั่นคือกุญแจสำหรับเปิดประตูวังราชาคนยักษ์? ไคลน์เหยียดแขนออกไป พยายามใช้ตาทิพย์เพื่อมองเข้าไปในตัวตึก


น่าเสียดายที่ล้มเหลว กุญแจเหล็กสีดำขนาดเท่าพิณลอยมาตกอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม


ขณะเดียวกัน นักล่าปีศาจโคลินที่เห็นว่าอัศวินยักษ์ยังไม่โจมตีเข้ามา ตัดสินใจเปิดปากพูด


“ท่านคือผู้ไล่ล่าแห่งวังราชา?”


ดาบใหญ่ในมืออัศวินยักษ์มิได้ทำการฟาดฟัน มันชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเสียงทุ้ม


“แม้จะผ่านไปนาน แต่กลับยังมีคนจำจดผู้ไล่ล่าแห่งวังราชาได้…ถูกต้อง ข้าคือหัวหน้าผู้ไล่ล่าทั้งปวง ผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอน ในภายหลังคอยติดตามรับใช้ท่านลอร์ดซาสเรีย…ในอดีตเคยล่ามังกรที่แข็งแกร่ง เอลฟ์ ปีศาจ หมาป่าอสูร และฟีนิกซ์…ในวันนี้ พวกเจ้าได้รับเกียรติให้ตายภายใต้คมดาบของข้า”


ผู้พิฆาตแสงรายนี้มิได้ลดท่าทีคุกคามลง ร่างกายเอนไปด้านหลังเล็กน้อย สองมือจับดาบยาวแน่นกระชับ จากนั้นก็ปรี่เข้าหาทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์ด้วยบรรยากาศประหนึ่งอุกกาบาตทางเรียบ


เนื่องด้วยอำนาจแห่งไม้กางเขนเจิดจรัส มันมิอาจซ่อนตัวได้อีกต่อไป


ขณะที่ทีมสำรวจคำนวณว่าดาบใหญ่ของอัศวินยักษ์จะพุ่งมาถึงในอีกหนึ่งวินาที เมิร์สกอร์กอนชะงักฝีเท้าพร้อมกับสับดาบลงล่วงหน้า


โคลิน·อีเลียดซึ่งมิได้อยู่ในวงแหวนบาเรียของโลเฟียร์เหมือนคนอื่น เมื่อสัมผัสถึงภัยคุกคาม มันรีบกระโดดไปด้านข้างโดยไม่ลังเล


บึ้ม!


ในจุดที่มันเคยยืน เส้นแสงสีเงินอันแหลมคมปรากฏขึ้นพร้อมกับทำลายทุกสิ่งจากภายในสู่ภายนอก


เป็นการโจมตีที่แปลกประหลาด คล้ายกับเกิดขึ้นจากความว่างเปล่า


ขณะเดียวกัน ร่างกายโคลิน·อีเลียดซึ่งกำลังย่อตัวลงบนพื้นเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง เสื้อผ้าฉีกขาดเนื่องจากกล้ามเนื้อที่ขยายใหญ่


เพียงพริบตา นักล่าปีศาจแปลงร่างกลายเป็นคนยักษ์ตัวสีเทาอมน้ำเงิน สูงสี่เมตร กึ่งกลางหน้าผากมีรอยแยกสีเข้ม ทุกส่วนของร่างกายแผ่กลิ่นอายความน่าเกรงขามและความลึกลับอันไร้จุดสิ้นสุด รวมถึงพลังวิญญาณที่แปลกประหลาด


หากผู้วิเศษลำดับต่ำกว่าสี่ได้เห็นฉากนี้ จิตใจจะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก สมองปวดแปลบประหนึ่งถูกเหล็กเสียบกวน ร่างวิญญาณถูกกัดกร่อนและปนเปื้อน หากมิอาจทนต่อความเจ็บปวด ชะตากรรมคือภาวะคลุ้มคลั่งและเสียสติ หรือเลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือตายคาที่


ร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์ของครึ่งเทพ


เดิมที โคลิน·อีเลียดไม่ต้องการใช้ร่างสัตว์ในตำนาน เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของแสงสนธยา แต่ปัจจุบัน มันพบว่าหากเป็นภายในเขตแดนเจิดจรัส อิทธิพลด้านความเสื่อมโทรมจะบรรเทาลงมาก


สองมือถือดาบยาวสองเล่มที่ขยายใหญ่ขึ้นจากผลของแสงรุ่งอรุณ โคลินต่อสู้อย่างดุเดือดกับผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนภายในเขตแดนที่แสงสว่างเป็นใหญ่เหนือเงา


เคร้ง เคร้ง!


ดาบสามเล่มของคนยักษ์สองตนปะทะกันและแยกจากอยู่หลายยก แม้โคลิน·อีเลียดจะตกเป็นรอง แต่ยังสามารถต้านทานการโจมตีจากหัวหน้าผู้ไล่ล่าแห่งวังราชา


ในบางครั้งที่มันสัมผัสถึงอันตราย โคลินไม่ลังเลที่ม้วนตัวกลิ้งเพื่อเปลี่ยนทิศทาง


โดยหลังจากนั้นเพียงอึดใจเดียว จุดที่มันเคยยืนจะถูกฟันด้วยเส้นแสงสีเงินและเกิดเป็นความพินาศจากภายใน


เดอร์ริคปิดตาสนิท แต่ก็ยังรักษาเขตแดนเจิดจรัสโดยไม่สนใจเลือดที่ไหลรินจากปลายนิ้ว ส่วนฮาอิมและอัศวินรุ่งอรุณอีกหนึ่งคนเองก็ไม่กล้าลืมตาขึ้น ทำได้เพียงคอยช่วยเหลือคนเลี้ยงแกะ โลเฟียร์ พาทีมสำรวจเคลื่อนตัวทีละนิดไปทางวังใกล้ ๆ โดยไม่ออกจากบาเรียคุ้มครอง


หากไม่มีความช่วยเหลือจากวิญญาณมารอัศวินเกราะเงิน ทุกคนคงถูกสับเป็นเศษเนื้อท่ามกลาง ‘พายุแสง’ ที่พัดกวาดไปทั่วสนามรบ


ลำพังผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนเพียงคนเดียว ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์ต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับชนิดที่มิอาจตอบโต้กลับไป


สมแล้วที่เป็นหัวหน้าผู้ไล่ล่าแห่งวังราชา คงแข็งแกร่งที่สุดหากไม่นับเทพรับใช้…เมื่อเทียบกับนักล่าปีศาจ อัศวินสีเงินมีพลังพิเศษที่หลากหลายและน่ากลัวกว่ามาก…เดอะฟูล ไคลน์ บนมิติหมอกเสกคทาเทพสมุทรมาถือและเฝ้ามองเหตุการณ์อย่างไม่ประมาท


มันค้นพบจุดแข็งของผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนอย่างรวดเร็ว


ประการแรก พลังป้องกันตัวในรูปแบบชุดเกราะสีเงินเต็มอัตราศึก ประการที่สอง สามารถซ่อนตัวจากแสงสว่างและปกปิดจิตสังหาร ประการที่สาม ‘ดาบรุ่งอรุณ’ ที่ควบแน่นเป็นเวลานานจนสามารถใช้งานได้แทนดาบจริง คมกริบ แถมยังมีพลังชำระล้าง ประการที่สี่ สามารถสร้าง ‘เส้นดาบสีเงิน’ ซึ่งโจมตีระยะไกล ข้ามสิ่งกีดขวางได้เกือบทุกชนิด โจมตีใส่เป้าหมายได้โดยไม่ต้องเคลื่อนที่ แถมการก่อตัวของ ‘เส้นดาบสีเงิน’ ก็ยังแทบจะไร้ร่องรอย ยากจะคาดเดาล่วงหน้า…


สรุปโดยสั้น อัศวินสีเงินคือนักบุญที่แข็งแกร่งอย่างมากในการประจันหน้า หากไม่ใช่เพราะเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์มีประสบการณ์สูง สัญชาตญาณเฉียบแหลม และชำนาญการควบคุมร่างสัตว์ในตำนาน เขาคงตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติไปแล้ว เนื่องด้วยอีกฝ่ายเป็นผู้วิเศษเส้นทางเดียวกันที่มีลำดับสูงกว่า…ถ้าเปลี่ยนเป็นเราคงโดนตัดหัวไปนานแล้ว แต่แน่นอน เราจะไม่ดวลกับผู้ไล่ล่าแห่งวังราชาซึ่งหน้า…


พิจารณาจากสถานการณ์ เนื่องจากวิญญาณมารต้องคอยปกป้องโลเฟียร์ หมดสิทธิ์เข้าไปช่วยต่อสู้แน่นอน…ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์ไม่มีโอกาสได้รับชัยชนะแม้แต่น้อย…พวกเขากำลังล่าถอยอย่างใจเย็น ชาญฉลาดมาก…ถ้าเห็นท่าไม่ดี เดอะฟูลคงต้องส่งสายฟ้าลงไปสนับสนุน…แต่พระผู้สร้างแท้จริงอาจเฝ้ามองฉากนี้อยู่…‘พายุสายฟ้า’ ของเราไม่รุนแรงพอที่จะปิดฉากเมิร์สกอร์กอนในพริบตา…ท่ามกลางกระแสความคิดที่พรั่งพรู ไคลน์พลันตระหนักถึงความผิดปรกติ


นั่นก็คือ เหตุใดเมิร์สกอร์กอนซึ่งไม่ใช่เทวทูต ถึงมีอายุยืนยาวนับตั้งแต่ปลายยุคสมัยที่สองจวบจนปัจจุบัน? ชายคนนั้นไม่ใช่แม่มด แวมไพร์ หรืออมรณาสักหน่อย!


และเมื่อพิจารณาจากความมีสติและพลังที่ใช้ในการต่อสู้ ตะกอนพลังของเมิร์สกอร์กอนมิได้ถูกผสานเข้ากับเส้นทางอื่น

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1121 : จุดอ่อน

 

เนื่องจากผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอน มิได้อายุยืนจากตะกอนพลัง ไคลน์จึงมองหาปัจจัยภายนอก


ผลจากสมบัติวิเศษ? ไม่สิ หมอนั่นไม่ได้พกสมบัติแม้แต่ชิ้นเดียว รอบตัวก็ไม่มี จุดเดียวที่ยังไม่ได้ตรวจสอบคือวังพำนักของราชาคนยักษ์ แต่นั่นเป็นสถานที่หลับใหลของเทวทูตมืด ซาสเรีย และตอนนี้กุญแจอยู่กับเรา เมิร์สกอร์กอนไม่น่าจะเข้าไปได้…


แล้วใครหยิบกุญแจของวังราชาคนยักษ์ออกมาในตอนที่ซาสเรียหลับ? ไม่ชั่วร้ายไปหน่อยหรือ? แต่แน่นอน ดินแดนทวยเทพที่ปราศจากอำนาจแห่งเทพแท้จริง ไม่มีทางขังราชาเทวทูตไว้ในตึกได้…หรือว่ากุญแจดอกนี้ถูกขนมายังทวีปเหนือนานแล้วผ่านกลุ่มผู้อพยพ ซาสเรียจึงเลือกวังสนธยาเป็นสถานที่หลับใหลเพราะคิดว่าคงไม่มีใครเปิดได้ เว้นเสียแต่ตัวตนเพียงไม่กี่คน?


หรือการที่กุญแจถูกส่งผ่านพลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า จนมาถึงมือเรา เป็นเจตนาลับ ๆ ของเทพปัญญาความรู้ จุดประสงค์เพื่อต้องการทราบสถานะปัจจุบันของซาสเรีย?


ถ้าไม่ใช่ผลจากสมบัติวิเศษแล้วยังจะเป็นอะไรได้? เทวทูตเส้นทางนักจารกรรมมอบอายุขัยที่ขโมยมาให้เมิร์สกอร์กอน? สมมติให้อายุขัยที่ถูกขโมยสามารถมอบให้คนอื่นได้จริง แต่ผู้ลงมือก็ต้องเป็นระดับเทวทูตหรือไม่ก็สมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ แต่ไม่มีของอย่างว่าอยู่ในละแวกใกล้เคียง…หรืออายุขัยของเมิร์สกอร์กอนถูกเพิ่มขึ้นหลายพันปีตั้งแต่ปลายยุคสมัยที่สอง? คนที่ทำได้น่าจะมีอามุนด์เท่านั้น…แต่อามุนด์ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องช่วยเทวทูตมืด ซาสเรีย สักหน่อย…


นอกจากนั้น ร่างจริงของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ น่าจะเตร็ดเตร่อยู่ในดินแดนเทพทอดทิ้ง หากมีเทวทูตหรือสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ อยู่แถวนี้จริง ก็น่าจะกลายเป็นอาหารของท่านนานแล้ว…


วัฏจักรแห่งชะตากรรม? หลังจากที่ผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนตายไป ชายคนนั้นคืนชีพกลับมาใหม่ในตอนที่ยังปกป้องซาสเรีย? อา…ถ้าเมิร์สกอร์กอนในปัจจุบันคือวัยชรา ก็อนุมานได้ว่าเวลาผ่านมานานแล้ว…และเนื่องจากช่วงเวลาของ ‘วัฏจักร’ กินเวลานานหลายร้อยปี ส่งผลให้วัฏจักรยังไม่ครบรอบ เราจึงมองไม่เห็นความผิดปรกติจากบนมิติหมอก…


คิดถึงตรงนี้ ไคลน์รีบกวาดสายตามองหาเบาะแสของเทวทูตโชคชะตา โอโรเลอุส


ทว่า มันไม่พบสิ่งที่เข้าข่าย


ไคลน์ถอนสายตากลับ เฝ้ามองเมิร์สกอร์กอนต่อสู้กับโคลิน·อีเลียดและวิญญาณมารอัศวินสีเงินอย่างดุเดือด


ด้ายวิญญาณปรกติ แปลว่าไม่ใช่หุ่นเชิดแน่นอน…จากตาทิพย์ สถานะของเขาปรกติ แปลว่าไม่ใช่ภาพฉายประวัติศาสตร์ที่ถูกอัญเชิญ…


ภายในวังราชาคนยักษ์ กระแสเวลาจะไหลช้ากว่าปรกติ? หรือไม่ก็มีพลังในการหยุดอายุขัย? ตัดข้อแรกทิ้งไปได้เลย หากกระแสเวลาไหลช้ากว่าปรกติ ตัวเราที่เป็นคนนอกจะต้องเอะใจ…ข้อหลังเป็นไปได้…หรือว่าอายุขัยจะหยุดนิ่งท่ามกลางแสงสนธยา?


แต่ปัญหาก็คือ เทพบรรพกาลอย่างราชาคนยักษ์ร่วงหล่นไปแล้ว เทพสงครามในรุ่นต่อมาอย่างบาร์ดไฮเออร์ที่ถือครองอำนาจในขอบเขต ‘รุ่งอรุณ’ และ ‘สนธยา’ ได้ย้ายดินแดนทวยเทพไปไว้ในโลกดารา วังราชาคนยักษ์แห่งนี้จึงไม่ควรหลงเหลืออิทธิพลที่ทรงพลังขนาดนั้น…ไคลน์เค้นสมองนึกถึงสารพัดวิธียืดอายุขัย แต่ก็ไม่มีสิ่งใดสอดคล้องกับสถานการณ์ของหัวหน้าผู้ไล่ล่าวังราชา


มันไม่มีทางเลือกนอกจากมองในมุมอื่น


ศาสตร์ลับที่มาพร้อมผลเสียร้ายแรง?


หากใช่ ต้นตอของปัญหาก็ต้องมาจากด้านในอาคารที่เป็นวังพำนักของราชาคนยักษ์ ไม่อย่างนั้น ขอบเขตการคุ้มครองของเมิร์สกอร์กอนคงกว้างกว่านี้ ไม่รอจนกระทั่งทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์เดินมาถึงหน้าวัง…


ในวังราชาคนยักษ์ยังมีอีกหนึ่งตัวตนที่ถือครองอำนาจในขอบเขต ‘ชีวิต’ นั่นคืออดีตเทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยว ปัจจุบันเป็นพระแม่ธรณี ราชินีคนยักษ์ โอมีเบล่า…


ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์หันไปจ้องรูปปั้นขนาดใหญ่ด้านนอกตึกวัง


รูปปั้นเหล่านี้แทบไม่แตกต่างจากที่ทีมสำรวจพบเจอระหว่างทาง อาจใหญ่กว่าเพียงเล็กน้อย


จากการตรวจสอบอย่างละเอียดของไคลน์ มันเริ่มพบความผิดปรกติ รูปปั้นยักษ์ทั้งหมดมีออร่าของ ‘ชีวิต’ และเจือปนพลังวิญญาณในปริมาณที่น้อยมาก แต่ภายใต้หมวกเหล็กกลับไม่มีแสงสว่างสีแดงอย่างที่ควร


หรือว่า…ผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนใช้ศาสตร์ลับบางชนิดเพื่อผูกดวงวิญญาณของตนไว้กับรูปปั้นที่มีออร่าชีวิต ส่งผลให้อายุขัยยืนยาว แต่แลกมากับการที่ไม่สามารถออกไปไหนได้…ทฤษฎีนี้คล้ายกับการดำรงอยู่ของวิญญาณมาร…แปลว่าเมิร์สกอร์กอนไม่สามารถเผยร่างสัตว์ในตำนาน…ไคลน์ตัดสินใจโยนเหรียญทำนาย


เมื่อคำตอบออกมาเป็น ‘ใช่’ ชายหนุ่มยกคทาเทพสมุทรและเตรียมเตือนเดอะซันน้อยผ่านแสงการสวดวิงวอน


ทันใดนั้นเอง นักล่าปีศาจโคลินที่เพิ่งหลบการโจมตีแรกของเมิร์สกอร์กอนสำเร็จ ตัดสินใจกลิ้งอ้อมศัตรูและวิ่งไปทางวังพำนักราชาคนยักษ์จากฝั่งด้านข้าง


ดวงตาของมันจ้องมองไปทางรูปปั้นยักษ์!


ท่ามกลางศึกที่ดุเดือด แม้จะเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์จะตกเป็นรองตลอดเวลา แต่ก็ไม่ละทิ้งความช่างสังเกต และไม่หยุดเค้นสมองวิเคราะห์


มันเองก็สงสัยว่า เหตุใดหัวหน้าผู้ไล่ล่าแห่งวังราชาจึงมีชีวิตอยู่ได้นานหลายพันปี ถัดจากนั้นก็เอะใจเรื่องที่รูปปั้นยักษ์ด้านนอกวังไม่ยอมช่วยเมิร์สกอร์กอนต่อสู้กับผู้บุกรุก จนกระทั่งผุดข้อสันนิษฐานบางอย่างขึ้นในใจ


มันเองก็ไม่ทราบหลักการเบื้องหลังที่แน่ชัด ไม่ทราบว่าเป็นพลังประเภทใดและอยู่ในขอบเขตไหน แต่จากประสบการณ์การสำรวจอย่างยาวนาน และจากสัญชาตญาณของนักล่าปีศาจที่ถูกขัดเกลา มันเชื่อว่ารูปปั้นยักษ์เหล่านี้คือต้นตอของปัญหา!


กึก กึก กึก!


ในท่าถือดาบสองเล่ม โคลิน·อีเลียดวิ่งเต็มฝีเท้า แต่มิได้มุ่งหน้าเป็นเส้นตรง บ้างเฉียงซ้าย และบ้างเฉียงขวา


ได้เห็นฉากตรงหน้า ผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนแผดเสียงคำราม ดาบใหญ่ขนาดมหึมาถูกฟันด้วยสองมือ คมดาบสับลงด้านหน้าอย่างรวดเร็ว


ท่าทีตอบสนองของมันคือเครื่องยืนยันว่าโคลินคิดถูก


บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม


นักล่าปีศาจโคลินกระโจนไปยังทิศทางหนึ่งกะทันหัน ต่อด้วยการม้วนตัวกลิ้ง และในตำแหน่งเดิมของมัน เส้นดาบสีเงินปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าเป็นรูปทรง ‘งูยาว’ ส่งผลให้พื้นหินของวังราชาคนยักษ์ที่แข็งแรงมั่นคง สั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับมีรอยแยกเป็นทางยาว


ตึง! ผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนก้าวเท้าไปด้านหน้าและโน้มตัวลง ด้วยร่างกายที่สูงกว่าห้าเมตร มันเสียบดาบใหญ่ปักลงบนพื้น


วาบ!


เกิดแรงสั่นสะเทือนแผ่ออกไปทุกทิศ เสาหินแตกออกและตกลงไปยังทุ่งเมฆสีส้มที่ไร้ก้นบึ้ง พื้นดินระหว่างอาหารสองหลังเกิดระเบิดอย่างต่อเนื่องลึกลงไปหลายชั้น เศษหินนับไม่ถ้วนปลิวกระจัดกระจาย


อย่างไรก็ตาม นักล่าปีศาจโคลินได้กระโดดหลบล่วงหน้า ด้วยร่างที่ค้างกลางอากาศ มันไขว้ดาบทั้งสองเล่มเข้าหากันและสร้างบาเรียล่องหนคอยปกป้องเศษหินที่พุ่งเข้าใส่ประหนึ่งฝนธนู


ทันใดนั้น เมิร์สกอร์กอนงอเข่าและโน้มตัวไปด้านหลัง จากนั้นก็ดีดตัวเองลอยขึ้นมาในอากาศประหนึ่งดาวตกกลับด้าน ย่นระยะห่างระหว่างนักล่าปีศาจในพริบตา


ระหว่างทาง ดาบใหญ่สีเงินของมันทำการฟันกวาดจากล่างขึ้นบน


ขณะเห็นว่านักล่าปีศาจโคลินหมดสิทธิ์หลบ ทันใดนั้น แสงสว่างเส้นหนึ่งพุ่งใส่ดาบใหญ่ของเมิร์สกอร์กอนอย่างรวดเร็วและแม่นยำ


ฉวยโอกาสดังกล่าว โคลิน·อีเลียดร่อนลงถึงพื้นพร้อมกับกลิ้งตัวหนึ่งตลบ ขยับเข้าใกล้รูปปั้นยักษ์


ในเวลาเดียวกัน จากการชำเลืองด้วยหางตา โคลินเห็นอัศวินมายาสีเงินของโลเฟียร์เปลี่ยนดาบใหญ่ให้เป็นธนูยักษ์ที่ฉาบด้วยแสงรุ่งอรุณ คอยกระหน่ำยิงลูกศรใส่เมิร์สกอร์กอนอย่างต่อเนื่อง


ดวงตาเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่หลังเกราะหมวกของผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอน ถูกย้อมให้เป็นสีแดงเข้ม มันเลิกสนใจอาการบาดเจ็บจากลูกธนูแห่งแสงที่กระหน่ำยิง เพียงปล่อยให้การโจมตีดังกล่าวปะทะใส่ร่างจนเกิดเสียงโลหะกระทบ


มันเอาแต่พุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับแกว่งดาบใหญ่ สร้างเส้นดาบสีเงินจากความว่างเปล่าเพื่อไล่กดดันนักล่าปีศาจโคลิน ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำลายรูปปั้นยักษ์


ทันใดนั้น กลุ่มลูกธนูที่สว่างไสวพุ่งผ่านเมิร์สกอร์กอน เสียบใส่ช่องว่างระหว่างกะบังหมวกเหล็กของรูปปั้นยักษ์ตัวหนึ่ง


เป็นฝีมือของวิญญาณมารที่คนเลี้ยงแกะโลเฟียร์ปล่อยออกมากินหญ้า


นักล่าปีศาจโคลินเป็นเหยื่อล่อ ผู้โจมตีตัวจริงคืออัศวินมายาเกราะเงิน


ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว! กลุ่มลูกศรแสงถูกระดมยิงอีกครั้ง แต่หนนี้ถูกปัดป้องโดยเมิร์สกอร์กอนทั้งหมด


ทว่า นักล่าปีศาจโคลินหาตำแหน่งเหมาะเจาะให้กับตัวเองสำเร็จ ทำการเหวี่ยงดาบสองเล่มที่เคลือบแสงรุ่งอรุณใส่รูปปั้นยักษ์ที่เหลืออยู่


มวลแสงส่องสว่างพร้อมกับสร้าง ‘พายุ’ ปกคลุมทั่วบริเวณ


ท่ามกลางเสียงแตกหัก รูปปั้นยักษ์ล้มลงทีละหนึ่ง เฉกเช่นออร่าแห่งชีวิตของผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนที่เริ่มสลายตัว


หัวหน้าผู้ไล่ล่าแห่งวังราชาแผดเสียงคำราม


“มาตายไปด้วยกัน!”


ดาบใหญ่สีเงินในมือเมิร์สกอร์กอนระเบิดออกและแปรเปลี่ยนเป็นประกายแสงจำนวนมาก จากนั้น ประกายแสงดังกล่าวรวมตัวกันพร้อมกับหมุนวนเป็นพายุ พัดกวาดทุกสรรพสิ่งรอบตัว


วิญญาณมารอัศวินเกราะเงินและนักล่าปีศาจโคลินทำการปักดาบลงพื้นพร้อมกันเพื่อสร้างบาเรียล่องหน


ประกายแสงระยิบระยับกระจายไปทั่วพื้นที่ระหว่างอาคารทั้งสองหลัง บดขยี้บานประตูสีเทาน้ำเงินและเสาหินด้านหลังเดอร์ริคกับคนที่เหลือจนแหลกละเอียด แต่เมื่อประกายแสงเดียวกันพัดเข้าไปในวังพำนักของราชาคนยักษ์ กลับไม่มีความเสียหายใดเกิดขึ้นเลย


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ขณะเดอร์ริคเชื่อว่าบาเรียล่องหนกำลังจะถูกพายุแสงทำลาย แสงรุ่งอรุณรอบตัวกลับดับลงกะทันหัน


ท่ามกลางซากปรักหักพัง เกราะสีเงินของผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนค่อย ๆ เลือนหายไป เผยให้เห็นร่างกายสีเทาอมฟ้าในชุดผ้าลินิน


ไม่ห่างออกไปมีเป็นร่างที่ชุ่มเลือดของนักล่าปีศาจโคลิน เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์รายนี้เปลี่ยนจากร่างสัตว์ในตำนานกลับเป็นมนุษย์แล้ว แต่ลมหายใจและอาการค่อนข้างปรกติ แค่อ่อนเพลียเล็กน้อย


เมิร์สกอร์กอนคุกเข่าลงหนึ่งข้างจนเกิดเสียงกระแทก เนื้อหนังของมันเหี่ยวย่นอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเน่าเปื่อยและเริ่ม ‘ระเหย’


ท่ามกลางแสงสีส้ม คล้ายกับมันได้เห็นวังราชาคนยักษ์กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง เหล่าคนยักษ์เดินขวักไขว่ บ้างเล่นพิณ ขลุ่ยกระดูก และจับคู่ดวลกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน ชีวิตผ่านไปอย่างมีรสชาติ ราชาของพวกตนคอยนั่งบนบัลลังก์สูงและเฝ้ามองทุกสิ่งด้วยความน่าเกรงขาม


หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว สิ่งเหล่านี้เลือนหายไป มันจึงเลือกที่จะติดตามรับใช้เทวทูตมืด ซาสเรีย


เมิร์สกอร์กอนยิ้มพร้อมกับพึมพำเสียงแผ่ว


“ราชา…”


ผู้ไล่ล่าแห่งวังราชาก้มหน้าลงด้วยร่างกายที่ระเหยโดยสมบูรณ์ เหลือเพียงโครงกระดูกสีขาวขนาดใหญ่และจุดแสงสีเงินซึ่งกำลังควบแน่น

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1122 : ความเห็นของเดอะฟูล

 

เหนือสายหมอกสีเทา เมื่อเห็นผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนแก่ชราอย่างรวดเร็วและสลายไปจนเหลือเพียงกระดูก ไคลน์หวนนึกถึงโมเบธ เซียธาส รอนเซล และสโนวมันในตอนที่ออกจาก ‘การเดินทางของกรอซาย’


ในตอนนั้น ไคลน์ช่วยทุกคนไว้ไม่ทัน ปัจจุบันก็เช่นกัน เนื่องจากหัวหน้าผู้ไล่ล่าแห่งวังราชาไม่เคยท่องพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของเดอะฟูล ส่งผลให้ไคลน์จนปัญญาจะดึงเข้าสู่มิติหมอก


อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับสมัยก่อน ไคลน์ซึ่งถือคทาเทพสมุทรและมีอำนาจในการส่งพลังผ่าน ‘จุดแสงวิงวอน’ สามารถทำอะไรได้มากกว่าเดิมพอสมควร


มันรีบผสานเป็นหนึ่งเดียวกับไพ่จักรพรรดิมืด ระดมพลังของมิติหมอกและใช้เทวทูตกระดาษเป็นภาชนะบรรจุคำพูดของตน จากนั้นก็อาศัยดาวแดงเป็นประตูสู่โลกความจริง เล็งส่งเทวทูตกระดาษไปยังร่างวิญญาณของผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอน


นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในกรณีที่ไคลน์ไม่ต้องการสูญเสียความน่าเกรงขามของเดอะฟูล แม้ว่าพระผู้สร้างแท้จริงจะเฝ้ามองอยู่ก็ตาม


ขณะสติของเมิร์สกอร์กอนกำลังเลือนรางสุดขีด เทวทูตปีกดำหลายชั้นปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า


ร่างวิญญาณของมันเริ่มสลายตัวช้าลง ตามด้วยเสียงที่น่าเกรงขามและสง่างามดังกังวาน


“พิธีกรรมและวัตถุดิบเสริมของโอสถอัศวินสีเงินมีอะไรบ้าง”


“ซาสเรียหลับใหลอยู่ในวังพำนักของราชาคนยักษ์จริงหรือ”


เมิร์สกอร์กอนตอบด้วยสีหน้าเหม่อลอย


“พิธีเลื่อนลำดับอัศวินที่ข้าเห็นจากศิลาเย้ยเทพ…จัดเตรียมแท่นบูชาที่ซับซ้อน วางซากสิ่งมีชีวิตทรงพลังหกศพที่ล่าด้วยตัวเองลงในตำแหน่งที่ถูกต้อง จากนั้นก็รับพรจากเทพ…”


“วัตถุดิบเสริมก็คือ…”


“ข้าไม่แน่ใจ…ประตูบานดังกล่าวไม่เคยเปิดออกนับตั้งแต่ท่านลอร์ดซาสเรียเข้าไป…”


ขณะตอบ ร่างวิญญาณของเมิร์สกอร์กอนสลายไปอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง จนกระทั่งมันมิอาจกล่าวคำใดได้อีก แปรสภาพกลายเป็นแสงสว่างและหลอมรวมเข้ากับ ‘แสงสนธยา’ ของราชาคนยักษ์


บทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นภายใน ‘จิต’ จึงไม่มีใครได้ยิน


โชคดีที่เรารอบคอบ ไม่ได้ถามเมิร์สกอร์กอนเกี่ยวกับวัตถุดิบหลักของโอสถอัศวินสีเงิน เพราะตะกอนพลังสามารถทดแทนได้ทุกสิ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ยินคำตอบของคำถามที่สอง…เดอะฟูล ไคลน์ ผ่อนคลายเล็กน้อยพร้อมกับชมตัวเอง


มันสลัดความคิดและหันมาสนใจสิ่งที่เมิร์สกอร์กอนเพิ่งพูดจบ


พรจากเทพ? พิธีกรรมเลื่อนลำดับของอัศวินสีเงินยากเกินไปไหม นี่แค่ลำดับสามเองนะ…แต่ถ้าพิจารณาจากสภาพแวดล้อม เมิร์สกอร์กอนเป็นตัวตนทรงพลังที่รอดชีวิตมาจากยุคสมัยที่สอง ในช่วงนั้นมักเรียกขานเทวทูตว่า ‘เทพรับใช้’ และจัดหมวดหมู่ให้อยู่กลุ่มเดียวกับทวยเทพ กล่าวคือ พรจากเทวทูตก็น่าจะเพียงพอ อา…แต่เราต้องทำนายยืนยันอีกครั้ง… แน่นอน ต่อให้พรจากเทวทูตใช้ได้ แต่เราก็ยังไม่พร้อมอยู่ดี…ในเมืองเงินพิสุทธิ์น่าจะมีสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์อยู่ หากมันมีสัญญาณชีพและสามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ล่ะก็…


จัดเตรียมแท่นบูชาที่ซับซ้อน…ซากสิ่งมีชีวิตทรงพลังซึ่งล่ามาด้วยตัวเองจำนวนหกศพ…หมายถึงสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพขึ้นไป? เป็นเงื่อนไขที่ยากมากสำหรับผู้วิเศษนอกดินแดนเทพทอดทิ้ง ตัวตนระดับครึ่งเทพล้วนสังกัดองค์กรและได้รับความคุ้มครอง…ดูเหมือนว่าโบสถ์เทพสงครามจะเลื่อนลำดับด้วยพิธีกรรมแบบอื่นซึ่งมีแก่นแท้ใกล้เคียงกัน…นี่คือความแตกต่างระหว่างศิลาเย้ยเทพแผ่นแรกกับแผ่นที่สอง?


แต่สำหรับเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์รุ่นปัจจุบัน เขาคงเคยจัดการสัตว์ประหลาดไปแล้วไม่ต่ำกว่าหกตน…เงื่อนไขนี้ไม่น่าจะยาก…


จากข้อมูลปัจจุบัน ไคลน์สามารถยืนยันได้ว่า ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองปรากฏขึ้นหลังจากเทพสุริยันบรรพกาลร่วงหล่น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ศิลาเย้ยเทพที่ผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนกำลังพูดถึง คือศิลาเย้ยเทพแผ่นแรก


มันเขียนวัตถุดิบเสริมและพิธีกรรมเลื่อนลำดับที่ตีความเองลงบนกระดาษหนังสัตว์ จากนั้นก็ใช้ลูกตุ้มทำนายยืนยัน ผลลัพธ์ยืนยันว่าไม่ผิด


ชายหนุ่มส่งข้อความดังกล่าวเข้าไปในดาวแดงตัวแทนเดอะซัน


ของขวัญจากมิสเตอร์ฟูล…จัดการเสร็จ ไคลน์ยิ้มจิกกัดตัวเองก่อนจะหันมาสนใจคำตอบที่สองของเมิร์สกอร์กอน


อีกฝ่ายไม่ได้บอกว่าซาสเรียกำลังหลับใหลอยู่จริง เพียงยืนยันว่าประตูไม่ถูกเปิดออกแม้แต่ครั้งเดียวหลังจากเทวทูตมืดเข้าไป


สิ่งเดียวที่ไม่ถูกเปิดคือประตู


การที่เทพปัญญาความรู้มอบกุญแจคนยักษ์ให้เรา และอาดัมมอบไม้กางเขนเจิดจรัสให้เรา เป็นเพราะพวกท่านต้องการยืนยันสถานการณ์ปัจจุบันของเทวทูตมืด? ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์รู้สึกโชคดีเล็กน้อยที่พระผู้สร้างแท้จริงมิได้ให้ความสนใจมากนัก เพราะหากอีกฝ่ายส่งจิตเข้ามาสนทนากับวิญญาณเมิร์สกอร์กอนเหมือนที่ตนทำ คงได้เผชิญหน้ากับเทวทูตกระดาษ


บรรยากาศคงกระอักกระอ่วนน่าดู


ในเวลาเดียวกัน เดอร์ริคลืมตาขึ้นด้วยใบหน้าซีดเผือด มันเสียเลือดมากเกินไปเพราะต้องพึ่งพาพลังของไม้กางเขนเป็นเวลานาน


มันเหลียวซ้ายแลขวา วางไม้กางเขนเจิดจรัสไว้ด้านหน้าพร้อมกับขอบคุณมิสเตอร์ฟูลจากก้นบึ้ง


พร้อมกันนั้น ฮาอิมวางค้อนเทพสายฟ้าคำรามลง รวมถึงอาวุธของตัวเอง ตามด้วยการถอดกระเป๋าหนังที่สะพายอยู่ ควานหาเสื้อผ้าและโยนให้เจ้าเมือง


สำหรับทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์ ตราบใดที่เสื้อผ้าและชุดเกราะไม่ใช่สมบัติวิเศษ การต่อสู้ย่อมนำมาซึ่งความเสียหายทางเครื่องแต่งกาย ส่งผลให้ต้องพกเสื้อผ้าชุดใหม่ติดตัวตลอดเวลา


สำหรับพวกมัน หน้าที่หลักของเสื้อผ้าไม่ใช่การปกปิดความอับอาย แต่เป็นพื้นที่สำหรับพกพาวัสดุ ยาวิเศษ และยันต์


โคลิน·อีเลียดมองไปรอบตัวด้วยความระมัดระวัง เมื่อไม่พบอันตรายเพิ่มเติมจึงทำการสวมเสื้อผ้า จากนั้นก็มองหาขวดโลหะที่หล่นลงพื้นระหว่างการต่อสู้ หยิบมันขึ้นมาเปิดฝากระดกดื่ม


ใบหน้าของมันกลายเป็นสีเขียวคล้ำ คล้ายกับถูกพิษเล่นงาน แต่บาดแผลและความเสื่อมโทรมที่เกิดกับร่างกายเริ่มฟื้นฟูกลับเป็นปรกติ


สำหรับโลเฟียร์ เธอมิอาจปล่อยแกะออกมากินหญ้าได้นานกว่านี้ อัศวินมายาเกราะเงินจึงกลับเข้าไปในตัว


เมื่อตะกอนพลังของเมิร์สกอร์กอนควบแน่นเป็นก้อนกลมคล้ายหัวใจหรือดวงอาทิตย์สีเงินย่อส่วน นักล่าปีศาจโคลินก้มเก็บเข้าไปในกระเป๋า พร้อมกับนั้น อาวุโสโลเฟียร์มองไปยังวังพำนักของราชาคนยักษ์ด้วยดวงตาสีเทาอ่อนและกล่าว


“ท่านเจ้าเมือง เส้นทางออกสู่ทะเลน่าจะซ่อนอยู่ภายในนั้น”


โลเฟียร์เว้นวรรคสองสามวินาทีก่อนจะเสริม


“บางที…อาจมีหนทางช่วยให้พวกเราไปถึงอีกฟากหนึ่งของทะเลในพริบตา”


โคลินส่ายหน้าขณะเฝ้ามองเดอร์ริค ฮาอิม และคนที่เหลือ เก็บกวาดสนามรบ หยิบสมบัติ และจัดการศพของแอนเทียน่า


“ด้านในมีเทวทูตมืดหลับใหลอยู่ ท่านอาจเป็นถึงราชาเทวทูต พวกเราไม่มีวันเอาชนะได้ด้วยพลังในปัจจุบัน การเผชิญหน้ากับท่านไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก…ก่อนอื่น พวกเราต้องกลับไปบอกกับทุกคนว่าได้เห็นอะไรบ้าง รวมถึงทะเล จากนั้นก็เตรียมตัวสำรวจวังพำนักของราชาคนยักษ์”


ผมสีเทาสว่างของโลเฟียร์ขยับเล็กน้อย สีหน้าแววตาค่อนข้างหม่นหมอง


“แต่พวกเราไม่มีข้อมูลด้านในเลย…มิอาจเตรียมตัวได้อย่าเหมาะสม”


กล่าวจบ เธอเงียบไปหลายวินาทีก่อนจะพูดต่อ


“ฉันมีข้อเสนอ…ท่านเจ้าเมือง เดอร์ริค ฮาอิม และคนที่เหลือกลับไปก่อน ส่วนฉันจะหาทางเข้าไปในวังและรวบรวมข้อมูลที่มีประโยชน์…ฉันสามารถกลมกลืนไปกับเงา คงไม่ทำให้เทวทูตมืดตื่นขึ้น…แต่ถ้าฉันไม่ได้กลับไป แปลว่าอันตรายด้านในร้ายแรงเกินกว่าที่พวกเราจะรับมือไหว”


ขณะพูดว่าตนอาจต้องตาย สีหน้าโลเฟียร์มิได้แปรเปลี่ยน ประหนึ่งเตรียมใจกับเรื่องนี้มานานแล้ว


นักล่าปีศาจโคลินฟังจนจบ จากนั้นก็จ้องหน้าหญิงสาว


“ไม่ได้…พวกเราแบกรับความเสี่ยงไม่ไหว…ถ้าคุณทำพลาดและปลุกให้เทวทูตมืดตื่นขึ้น ท่านอาจออกจากวังราชาคนยักษ์และโจมตีเมืองเงินพิสุทธิ์ นั่นจะหมายถึงจุดจบของทุกคน”


โดยไม่รอคำตอบจากโลเฟียร์ โคลินหันหน้าไปทางสมาชิกอีกสามคน


“เดอร์ริค คุณมีความเห็นอย่างไร”


ความคิดเห็นของเรา? เดอร์ริคมึนงงทันที เกือบจะโพล่งถามกลับ


ฮาอิมและอัศวินรุ่งอรุณอีกหนึ่งคนพลันประหลาดใจทันที เพราะหลังจากที่สองสภาอาวุโสคิดเห็นไม่ตรงกัน พวกท่านกลับเลือกจะขอความเห็นจากเดอร์ริค!


หรือว่าเจ้าเมืองคิดจะปลุกปั้นเดอร์ริคเป็นผู้นำสภาหกอาวุโสรุ่นถัดไป? พวกมันอดไม่ได้ที่จะคิดไปในทางนี้


…เขากำลังขอความเห็นจากเรา? เหนือสายหมอกสีเทา เดอะฟูล ไคลน์ขมวดคิ้ว


สมองเริ่มประมวลผลด้วยความเร็วสูง


เราควรแสดงความเห็นอย่างไร?


หากพวกเขาเปิดประตูและปลุกซาสเรียขึ้นมา เราคงช่วยอะไรไม่ได้เลย ทางรอดเดียวของพวกเขาคือการสวดวิงวอนถึงพระผู้สร้างแท้จริง!


ควรรอให้เราตรวจสอบสถานการณ์เบื้องต้นของเทวทูตมืดจากเทวทูตสีชาดและตัวตนอื่นเสียก่อน จากนั้นค่อยเปิดประตูก็ยังไม่สาย…สำหรับเรื่องนี้ คงไม่จำเป็นต้องถามความเห็นจากอาดัมและเทพปัญญาความรู้กระมัง…


ไม่ว่าจะมองมุมใด การตัดสินใจอย่างรอบคอบและไม่ประมาทคือตัวเลือกที่ดีที่สุด…


ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์กล่าวเสียงขรึม


“กลับ”


มันบรรจุภาพดังกล่าวเข้าไปในดาวแดงตัวแทนเดอะซัน


เดอร์ริคผงะสองสามวินาที ก่อนจะตอบคำถามเจ้าเมืองอย่างใจเย็น


“ผมคิดว่าพวกควรถอนตัวและกลับมาอีกครั้งเมื่อพร้อม”


โคลิน·อีเลียดพยักหน้าและหันไปหาโลเฟียร์


“ผมตัดสินใจแล้ว”


โลเฟียร์เงียบไปสักพัก


“ไม่คัดค้าน”


เธอมิได้กล่าวคำใด เพียงช่วยเดอร์ริคกับคนที่เหลือทำเครื่องหมายแจ้งเตือน


เนื่องจากแอนเทียน่าและคนอื่น ๆ ไม่ได้ตายด้วยฝีมือญาติร่วมสายเลือด จึงมีโอกาสเกิดความผิดปรกติในบริเวณที่เสียชีวิต ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์จำเป็นต้องทำเครื่องหมายแจ้งเตือนให้คนที่มาทีหลังระวังตัว แต่เนื่องจากวังราชาคนยักษ์ห่างไกลจากเมืองเงินพิสุทธิ์ค่อนข้างมาก ยากที่จะมีใครหลงเข้ามาโดยปราศจากข้อมูล จึงไม่ต้องกังวลกับปัญหามากนัก


ขณะทุกคนกำลังยุ่ง โลเฟียร์เงยหน้าพูดกับเดอร์ริคและฮาอิม


“ที่นี่คือวังราชาคนยักษ์ ไม่น่าจะมีความผิดปรกติเกินขึ้น”


เธอไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงเฝ้ามองซากแอนเทียน่าถูกเผาจนเกรียม ก่อนจะหยิบผงเถ้าถ่านของคนตายใส่กระเป๋าหนัง


หลังจากเก็บกวาดเสร็จ ทีมสำรวจค้นพบทางเดินใหม่ แต่ปลายทางคือความผิดหวัง


จากนั้น ภายใต้การนำของเจ้าเมืองโคลิน ทุกคนย้อนกลับทางเดิม


เมื่อผ่านอาคารที่ปราศจากประตู ซึ่งภายในมีภาพวาดสีน้ำมันและวงดนตรี เดอร์ริคอดไม่ได้ที่จะหันไปทางซากรั้วกั้นต้นใหญ่ มองดูเมฆสีส้มที่ลอยอยู่บนฟ้าไกลออกไป ฉากหลังเป็นทะเลสีครามที่มีคลื่นซัดสาด


เฝ้ามองสักพัก มันถอนสายตากลับและพบว่าดวงตาสีฟ้าอ่อนของเจ้าเมืองกำลังมองไปยังทิศทางเดียวกัน


โคลินหันหน้ากลับและกล่าวเสียงขรึม


“ไปกันเถอะ”


จากนั้น มันเดินตรงไปอย่างมั่นคงโดยไม่หันหลังกลับมามอง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)