Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1109-1114

 ราชันเร้นลับ 1109 : อดทน

 

หลังจากทำนายเสร็จและกลับสู่โลกความจริง ไคลน์เดินไปที่ห้องด้านนอก มองพระจันทร์สีแดงท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรีผ่านหน้าต่าง พลางครุ่นคิดอย่างเงียบงันนานหลายสิบวินาที


บางที อาจยังมีโอกาสสำหรับย่อยโอสถ… มันพึมพำเงียบก่อนจะควานหาบางสิ่ง จากนั้นก็พาหุ่นเชิดทั้งสองหายตัวไปในเงามืด


เมื่ออยู่ในเบ็คลันด์ ชายหนุ่มไม่กล้าใช้กระโจนเพลิงเนื่องจากกลัวว่าจะถูกซาราธตระหนักถึง และการเผานกกระเรียนกระดาษของวิล อัสตินบ่อยครั้งไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก คนเราต้องมีความเกรงใจ แถมยังต้องคอยแวะไปที่บ้านนายแพทย์อลันเพื่อขอตัวใหม่ นั่นอาจทำให้ครอบครัวศัลยแพทย์ชื่อดังตกเป็นเป้าหมายของศัตรู


ผ่านไปไม่นาน ไคลน์ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังหอระฆังโกธิกในความฝัน จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ที่นี่คือระฆังประกาศิต ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันโด่งดังของกรุงเบ็คลันด์


ทันทีหลังจากนั้น มันและหุ่นเชิดทั้งสองต่างแยกย้ายกันไปหลบซ่อน


จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์เปลี่ยนหนูให้กลายเป็นหุ่นเชิดและบังคับให้วิ่งไปจนสุดทางด้วยความเร็วเต็มพิกัด จากนั้นก็อ้าปากเอ่ยพระนามเต็มอันสูงส่ง


“มหาเทพแห่งสงคราม สัญลักษณ์แห่งเหล็กและเลือด เจ้าแห่งความวุ่นวายและขัดแย้ง… แม่มดขาว คาร์เทอริน่าอยู่ในละแวกนี้”


ที่ต้องทำเช่นนี้ ในแง่หนึ่งก็เพื่อบรรลุข้อตกลงกับวิญญาณมารเทวทูตสีชาด แต่อีกแง่หนึ่งก็หวังให้ตัวตนที่เคยเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสูงดังกล่าววิ่งเข้าไปทดสอบกับดักซึ่งอาจรออยู่ นอกจากนั้น ไคลน์ยังฉงนกับเจตนาของเซารอน ไอน์ฮอร์น·เมดีซี จึงยังไม่แจ้งข่าวให้โบสถ์รัตติกาลหรือราชินีเงื่อนงำทราบทันที แต่จะคอยจับตามองสถานการณ์


ทันทีที่สวดวิงวอนจบ หนูสีเทาตัวกระตุกเล็กน้อยก่อนจะล้มลงอย่างเงียบงันข้างถังขยะ


มันสูญสิ้นชีวิตและถูกตัดขาดจากการเป็นหุ่นเชิดของไคลน์


นี่คือวิธีที่ไคลน์เลือกใช้เพื่อไม่ให้ถูกวิญญาณมารเทวทูตสีชาด ‘ล็อกเป้า’


หลังจากสละหุ่นเชิดหนูสีเทา ร่างต้นไคลน์ได้ออกจากย่าน ‘ระฆังประกาศิต’ พร้อมกับเอ็นยูนและโจนาส จากนั้นก็ให้หุ่นเชิด ‘ผู้ชนะ’ สวดวิงวอนถึงเทพสมุทร คาเวทูว่าในอีกหลายกิโลเมตรถัดมา


หลังจากสวดวิงวอนเสร็จ หนึ่งคนและสองหุ่นเชิดยังคงสร้างระยะห่างเพิ่มจากเดิมอีกพอสมควร


ถัดมา ไคลน์ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บของของบ้านหลังหนึ่ง เดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสายหมอกสีเทาและนั่งบนตำแหน่งเดอะฟูล


ชายหนุ่มกวักมือเรียกคทาเทพสมุทรเพื่อเปิดจอภาพ จากจุดแสงของเอ็นยูนและตรวจสอบสถานการณ์ในตำแหน่งเป้าหมาย


ขณะเดียวกัน ไคลน์กำลังถือกระดาษที่เปื้อนเลือดของพลเรือโทโรคภัย เทรซี่ในมืออีกข้าง


อาศัยสื่อกลางและการตีกรอบให้แคบลง ผนวกกับตาทิพย์ของมิติหมอก ไคลน์ใช้เวลาไม่นานก็พบแม่มดขาว คาร์เทอริน่าที่กำลังล่องหน


สตรีผมดำ ดวงตาสีฟ้า ใบหน้างดงามกระจ่างใส แต่งกายในชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์ กำลังเคลื่อนไหวราวกับขนนกไร้น้ำหนัก ล่องลอยไปตามถนนและตรอกซอกซอยอย่างนุ่มนวล แม้ตำรวจสายตาตรวจจะจ้องไปยังตำแหน่งของเธอ แต่พวกมันก็มองไม่เห็นอะไร


ถ้าไม่นับตาทิพย์จากมิติเหนือสายหมอก วิธีเดียวที่ไคลน์จะหาเธอพบคือการใช้เนตรด้ายวิญญาณ


หลังจากสูดลมหายใจเข้า ไคลน์อดทนรอจนกว่าวิญญาณมารเทวทูตสีชาดจะปรากฏตัว ขณะเดียวกันก็คอยจับตามองคาร์เทอริน่าที่กำลังมองหาบางสิ่ง


ชายหนุ่มสงสัยว่า เป้าหมายของแม่มดขาวอาจเป็นทริสซี่·ชีค


เมื่อเวลาผ่านไป ดวงจันทร์สีแดงบนท้องฟ้าเคลื่อนคล้อยทีละนิด คาร์เทอริน่าที่ค้นหารอบระฆังประกาศิตมาสักพักแต่ก็ยังคว้าน้ำเหลว เริ่มชักสีหน้าหงุดหงิดเจือความผิดหวัง คล้ายกับเตรียมออกจากที่นี่ทุกเมื่อ


แต่วิญญาณมารเทวทูตสีชาดก็ยังไม่ปรากฏกาย!


ทำไมกัน… หรือว่าเซารอน·ไอน์ฮอร์น เมดีซีโกหกเรา โดยที่เป้าหมายของมันไม่ใช่หัวแม่มดขาวตั้งแต่ต้น? ไม่น่าจะใช่… ไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้น เพราะนั่นหมายถึงการเสียโอกาสใช้งานเรา… หรือว่าวิญญาณมารเทวทูตสีชาดมาถึงที่เกิดเหตุแล้ว แต่ทำแบบเรา แค่คอยจับตามองโดยไม่โผล่หน้า รอให้เราและพวกพ้องปะทะกับคาร์เทอริน่าเสร็จ จากนั้นค่อยออกมาเก็บเกี่ยว? เราเองก็รอให้สองคนนั้นปะทะกันอย่างดุเดือดและออกไปเก็บเกี่ยวในตอนสุดท้ายเช่นกัน… ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์คาดเดาคลุมเครือ


มันเชื่อว่าวิญญาณมารเทวทูตสีชาดรอบคอบเหมือนกับตน ทำตัวเป็นชาวประมงที่คอยเก็บอวน ไม่ใช่อวนเสียเอง


ยุ่งยากชะมัด… เราคงต้องอดทนให้มากกว่าใคร… ไคลน์รำพันเงียบ คอยจับตามองสถานการณ์รอบระฆังประกาศิตผ่านจุดแสงการสวดวิงวอนด้วยความอดทน


กึก กึก กึก เข็มวินาทีตีเป็นจังหวะท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบ ส่งผลให้แม่มดขาวทวีความตึงเครียด


ทันใดนั้น เธอหันไปมองกระจกหน้าต่างของอาคารหลังหนึ่ง


ภายใต้ค่ำคืนที่มืดมิด กระจกใสกลายเป็นกระจกเงา สะท้อนทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า


ดวงตาสีฟ้าอันงดงามของคาร์เทอริน่าพลันสว่างวาบและดับลง ผิวกระจกหม่นหมองทันใด ราวกับด้านในมีห้วงมิติและสิ่งของจำนวนมากถูกซ่อนอยู่


ราวกับกระจกหน้าต่างกลายเป็นผ่านทางไปยังโลกอีกใบหนึ่ง!


หัวใจไคลน์เริ่มเต้นระรัว เมื่อวิเคราะห์จากพลังพิเศษเกี่ยวกับกระจกที่ทริสซี่เคยแสดง ชายหนุ่มสงสัยว่าคาร์เทอริน่ากำลังจะหนีไปด้วยความช่วยเหลือจากโลกในกระจก เป็นการยุติการออกล่าในค่ำคืนปัจจุบัน


เทวทูตสีชาดทนดูอยู่ได้ยังไง? ไคลน์ทวีความตึงเครียด ใจนึกอยากจะวางคทาเทพสมุทรลงและส่งตัวเองกลับโลกความจริง ดำเนินการขัดขวางมิให้แม่มดขาวหนีไป


แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก ไคลน์ตัดสินใจไม่เคลื่อนไหว


มันเชื่อว่าตนยังสามารถรอได้อีก เพราะถึงแม้คาร์เทอริน่าจะหนีออกไปได้ แต่ตราบใดที่เธอไม่สังเกตเห็นความผิดปรกติของเทรซี่ ไคลน์ก็ยังมีโอกาสสะกดรอยตาม โดยครั้งถัดไปจะติดต่อกระจกวิเศษ อาโรเดสเพื่อถามเกี่ยวกับพลังพิเศษสมบัติปิดผนึกที่อีกฝ่ายครอบครอง จากนั้นก็ขอความช่วยเหลือจากราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดต รวมถึงการยืมสมบัติปิดผนึกระดับหนึ่ง จากโบสถ์รัตติกาล เป็นการคว้าชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จก่อนที่จะเริ่มลงมือ


เราไม่จำเป็นต้องปิดบังเจตนา หากเดินทางไปยืมสมบัติปิดผนึกที่วิหารและอาร์ชบิชอปอนุญาต นั่นจะหมายความว่า ทัศนคติของเทพธิดาที่มีต่อจอร์จที่สามก็คือ: พระองค์ไม่ชอบให้จอร์จที่สามได้เป็นจักรพรรดิมืดสักเท่าไร แต่ก็ไม่คิดจะขัดขวางด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม หากมีใครสักคนต้องการทำแทน พระองค์ก็ยินดีจะช่วยสนับสนุน… ไคลน์ระงับความกระวนกระวายและจับตามองด้วยความผ่อนคลายมากขึ้น


ขณะเดียวกัน สีหน้าของแม่มดขาว คาร์เทอริน่ากลับเป็นปรกติแล้ว เธอลอยไปทางกระจกหน้าต่างและผ่านเข้าไปราวกับไม่มีร่างเนื้อ


โลกมายาภายในกระจกเริ่มซ้อนทับกันหลายชั้น ราวกับกำลังจะหายไป


ทันใดนั้น ไคลน์ซึ่งกำลังจับตามองด้วยตาทิพย์ คล้ายกับได้ยินเสียงร้องโหยหวนของสตรี


เป็นเสียงร้องที่ฟังดูเหมือนกับมาจากอีกมิติหนึ่ง อัดแน่นไปด้วยความกลัวและอารมณ์รุนแรง


สำหรับชาวเมืองในละแวกใกล้เคียง ไม่มีใครตื่นขึ้น ราวกับไม่มีใครได้ยิน


เสียงร้องของคาร์เทอริน่า? เกิดอะไรขึ้นกับเธอ… ดวงตาไคลน์ชะงักทันที ทันใดนั้น มันฉุกคิดถึงบางสิ่ง


ต้องไม่ลืมว่า วิญญาณมารเทวทูตสีชาดเองก็เป็น ‘วิญญาณมาร’ ที่มีพลัง ‘ผิวกระจกสั่นไหว’ สำหรับเคลื่อนที่ผ่านกระจก


กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับ ‘โลกในกระจก’ !


หรือว่าเซารอน·ไอน์ฮอร์น·เมดีซีจะซ่อนตัวอยู่ในกระจกบานดังกล่าวแต่แรก และรอให้แม่มดขาวกระโดดเข้าหากับดักด้วยตัวเอง? รูม่านตาไคลน์เบิกกว้างเล็กน้อย ขณะเดียวกัน เสียงร้องโหยหวนจากกระจกได้หยุดลง


กระจกบานดังกล่าวสูญเสียความพิเศษและกลับคืนสู่สภาพปรกติ


ถัดมาไม่กี่วินาที แสงสีแดงสดซึมออกจากขอบล่างของกระจกหน้าต่างบานดังกล่าว ก่อนจะควบแน่นกลายเป็นเลือดและไหลลงด้านล่าง


บนพื้นผิวของทุกจุดที่ของเหลวไหลผ่าน จะเกิดคราบสีเทาอ่อนปกคลุมสีเหลืองอ่อนดั้งเดิม จนดูคล้ายกับการฝังหินก้อนใหม่ลงไปแทน


แปะ แปะ แปะ


หยดของเหลวร่วงหล่นกระทบพื้นและกระจายออก สีของมันยังคงแดงสดราวกับเลือด งดงามราวกับดอกไม้


ได้เห็นฉากตรงหน้า กล้ามเนื้อใบหน้าไคลน์กระตุกแผ่วเบาทันที จำเป็นต้องใช้พลังตัวตลกเพื่อระงับการแสดงออก


จุดจบเช่นนี้ผิดไปจากความคาดหมายของมันพอสมควร


‘แม่มดยุพนิรันดร์’ ซึ่งมีชีวิตอยู่มานานกว่าพันปี นักบุญลำดับ 3 ที่ทรงพลังและมากประสบการณ์ กลับมิอาจดิ้นรนขัดขืนกับดักของวิญญาณมารเทวทูตสีชาดและตายไปอย่างแน่นิ่ง


ในทางกลับกัน ต่อให้ไคลน์นับรวมหุ่นเชิดสองตัวและสมบัติปิดผนึกที่ตนครอบครอง มันก็ยังด้อยกว่าคาร์เทอริน่าในเชิงความแข็งแกร่ง แถมนี่ยังเป็นเงื่อนไขที่มีการเตรียมตัวล่วงหน้าแล้ว


กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากมันเผชิญหน้ากับวิญญาณมารเทวทูตสีชาด จุดจบก็คงไม่ดีไปกว่าเธอสักเท่าไร มันทั้งอ่อนแอและตัวเล็ก ย่อมถูกกลืนหายไปกับคลื่นลูกใหญ่โดยไม่มีสิทธิ์ขัดขวางหรือหักเหเส้นทาง


นี่คือตัวตนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นราชาเทวทูต? แม้จะยังฟื้นฟูพลังกลับมาไม่เท่าเดิม แต่ก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนสิ้นหวัง… เมื่อเห็นเลือดที่ไหลซึมจากกระจกเริ่มเลือนหาย ไคลน์สูดลมหายใจยาวและส่งตัวเองกลับสู่โลกจริง


จากนั้น มันเปลี่ยนตำแหน่งกับหุ่นเชิดของผู้ชนะ เอ็นยูนและบังคับให้อีกฝ่ายเทเลพอร์ตไปยังกระจกหน้าต่าง


ในความเป็นจริง การสลับตำแหน่งของจอมอาคมพิสดารสามารถเลือกได้ว่าจะย้ายไปแค่ร่างกายหรือรวมถึงวัตถุนอกกาย แต่ไคลน์ในปัจจุบันยังทำได้ไม่ชำนาญนัก กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากต้องการหนีก็ต้องหนีพร้อมกันทั้งสามร่าง หรือถ้าสู้ก็ต้องสู้พร้อมกันหมด


ทันทีที่ผู้ชนะ เอ็นยูนซึ่งอยู่ในรูปลักษณ์เกอร์มัน·สแปร์โรว์ปรากฏกาย มันจ้องไปที่หน้าต่างพร้อมกับพึมพำเสียงต่ำ


“ผมทำตามสัญญาแล้ว”


ร่างหนึ่งโผล่ขึ้นบนผิวกระจกหน้าต่าง


เป็นชายสวมชุดคลุมสีดำแถบแดง ดึงผ้าขึ้นมาคลุมหัวอย่างหลวมๆ เผยให้เห็นผิวสีน้ำตาลเต่งตึง ใบหน้าคล้ายกับคนขาดเลือด ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘ผู้เฝ้าประตู’ ที่ถูกเซารอน·ไอน์ฮอร์น·เมดีซียึดร่าง


“ทำได้เยี่ยม” ชายคนดังกล่าวเดินออกจากหน้าต่างและกล่าวด้วยรอยยิ้ม


ได้ยินคำตอบ ไคลน์หยิบบางสิ่งออกจากกระเป๋า ขดมุมปากและกล่าวอย่างมีความสุข


“คุณเองก็ทำได้ไม่เลว”


กล่าวจบ ชายหนุ่มถอนหายใจพร้อมกับนำแว่นตาขาเดียวมาสวมที่ตาข้างซ้าย


รอยยิ้มของเซารอน·ไอน์ฮอร์น เมดีซีพลันแข็งทื่อ

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1110 : สื่อวิญญาณ

 

ทันใดนั้น ค่ำคืนอันเย็นเรียบทวีความร้อนระอุราวกับมีลาวาล่องหนเดือดพล่าน


แต่เพียงไม่นานก็กลับเป็นปรกติ


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดจ้องไคลน์หัวจรดเท้าสองสามหน ก่อนจะยิ้มให้ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


“ขอย้ำคำเดิม เจ้ามีพรสวรรค์ในการเป็นนักยั่วยุ… แม้แต่ซาราธในตอนที่ย่อยโอสถจอมเวทพิสดารก็ยังไม่กล้าแสร้งทำเป็นอามุนด์ต่อหน้าข้า”


น้ำเสียงของอีกฝ่ายปราศจากความโกรธ และไม่ได้อธิบายว่าทำไมซาราธถึงไม่กล้า แต่ขณะที่สายตาเทวทูตสีชาดกวาดขึ้นลง ไคลน์รู้สึกราวกับกำลังตกลงไปในธารน้ำแข็งที่เย็นเยียบ


นี่คือความรู้สึก ‘ที่ถูกส่งผ่าน’ จากหุ่นเชิดมายังร่างต้น แต่ถึงอย่างนั้น ท้ายทอยกับแผ่นหลังไคลน์ยังรู้สึกขนลุก


โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เซารอน·ไอน์ฮอร์น·เมดีซีอธิบาย ไคลน์เข้าใจความนัยแฝงของอีกฝ่ายได้ทันที


ใครก็ตามที่กล้าเล่นพิเรนทร์เช่นนี้ต่อหน้ามัน ชะตากรรมเดียวคือการได้รับบทลงโทษจากเลือดและเหล็ก!


เมื่อเห็นวิญญาณมารเทวทูตสีชาดตรงหน้ายับยั้งพฤติกรรมด้วยท่าทางอารมณ์ดี ไคลน์อดไม่ได้ที่จะรำพัน


หากไม่ใช่เพราะโอสถจอมเวทพิสดารของเราย่อยสำเร็จ ไปหลายระดับจากผลงานเมื่อครู่ เราคงเชื่อว่าจิตสังหารของหมอนี่แข็งแกร่งดุจดังเหล็กกล้าและน่าจะมีพลังทัดเทียมลำดับหนึ่ง… แต่จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ความสุขุมของเจ้านั่นเป็นเพียงหน้ากากที่ใช้ปกปิดความกลัวต่ออามุนด์… ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าพลังปัจจุบันของมันยังไม่สูงไปกว่าเทวทูตลำดับสอง…


เราเตรียมใจสละหุ่นเชิดไว้แล้ว เพื่อให้โอสถย่อยได้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเสี่ยงแค่ไหนก็ต้องยอม…


ถ้าเดนิสอยู่ที่นี่ด้วย แค่หมอนั่นตะโกนว่าไอ้ขี้ขลาด ใส่หน้าวิญญาณมารเทวทูตสีชาดสักสองครั้ง รับรองได้เลยว่าโอสถนักยั่วยุจะถูกย่อยเสร็จในพริบตา แต่คงต้องมอมเหล้าก่อนลงมือสักสี่ห้าขวด…


ไคลน์เลิกล้อเล่นกับเซารอน·ไอน์ฮอร์น·เมดีซี ถอดแว่นตาออกและยิ้ม


“ในสมัยจักรวรรดิโซโลมอน ซาราธน่าจะเป็นเทวทูตเรียบร้อยแล้ว ทำไมถึงยังต้องย่อยโอสถจอมเวทพิสดารอยู่อีก?”


“ข้ากำลังพูดถึงซาราธตัวน้อย” วิญญาณมารเทวทูตสีชาดตอบอย่างเป็นกันเอง


ข้อมูลนี้ตรงกับคำอธิบายของคุณปู่ในตัวเลียวนาร์ด… ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบาก่อนจะเปลี่ยนบทสนทนา


“จัดการแม่มดขาวไปหรือยัง?”


“คิดว่ายังไงล่ะ?” วิญญาณมารเทวทูตสีชาดยิ้ม “นอกจากนั้น ช่วยสุภาพกับเธอด้วย คาร์เทอริน่าเรียกตัวเองว่านักบุญขาว เราจึงไม่ควรเรียกเธอว่าแม่มดขาว”


สุภาพ… นักล่าพยายามเน้นย้ำความสุภาพกับเรา… ไคลน์นึกอยากจะกระตุกมุมปากเพื่อแสดงความอึดอัดภายในใจ แต่สุดท้ายก็ข่มสติและทำตัวสำรวม


ดูเหมือนว่าการยั่วยุ จะไม่ได้จำกัดเฉพาะการเย้ยหยันและด่าทอ เฮ้อ… เดนิสที่ทำได้แค่สบถอยู่คำเดียว คือความอัปยศของนักล่าโดยแท้จริง… ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูด


“ผมทำตามสัญญาแล้ว จะไม่จ่ายค่าแรงให้สักหน่อยหรือ”


“ค่าแรง?” วิญญาณมารเทวทูตสีชาดถามเชิงเย้ยหยัน


ไคลน์ไม่แยแสท่าทาง เพียงพึมพำประหนึ่งพูดกับตัวเอง


“ผมต้องการสื่อวิญญาณแม่มดขาวเพื่อถามบางสิ่งจากเธอ”


“นั่นคือค่าแรงของเจ้า?” เทวทูตสีชาดถามด้วยสีหน้าขบขัน


ไคลน์ผงกศีรษะ


“ถูกต้อง”


“ไม่มีปัญหา” เซารอน·ไอน์ฮอร์น เมดีซียกแขนขวาขึ้นจับบางสิ่งระหว่างคิ้ว จากนั้นก็กระชากร่างมายาที่พร่ามัวเล็กน้อยออกมา ไม่ใช่ใครนอกจากนักบุญขาว คาร์เทอริน่า


“ขอคุยส่วนตัวได้ไหม” ไคลน์มองไปรอบๆ ขณะถาม


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดอมยิ้ม


“ต้องจองห้องให้ด้วยไหม? ลองใช้สมองสักนิด ต้องให้เจ้าไม่อยากให้ข้าได้ยินคำถาม แต่ข้าก็สามารถเค้นข้อมูลจากวิญญาณคาร์เทอริน่าได้ในภายหลังอยู่ดี เว้นเสียแต่เจ้าจะไม่คืนวิญญาณกลับมา… หรือเจ้าเป็นเด็กน้อยบ้าพิธีกรรม?”


“…” ไคลน์บังคับหุ่นเชิดตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


“ผมมีวิธีทำให้เธอลืมคำถาม”


ประโยคเมื่อครู่กึ่งจริงกึ่งเท็จ ส่วนที่จริงก็คือ ไคลน์สามารถทำได้ด้วยตะกอนพลังจอมบงการของเฮอร์วิน แรมบิส แต่โอกาสสำเร็จค่อนข้างต่ำ แถมยังมีผลข้างเคียงรุนแรง ส่วนที่เท็จก็คือ ไคลน์ไม่คิดจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะนั่นจะหมายถึงการเปิดเผยความลับหลายเรื่อง จุดประสงค์ที่กล่าวประโยคเมื่อครู่ออกไป เพียงต้องการให้วิญญาณมารเทวทูตสีชาดระแวงว่า คำถามที่อีกฝ่ายเค้นจากคาร์เทอริน่าในภายหลัง อาจไม่ใช่สิ่งที่ไคลน์ถามจากเธอจริงๆ ส่งผลให้เซารอน ไอน์ฮอร์น เมดีซีไม่ปักใจเชื่อข้อมูลดังกล่าวเต็มร้อย วิธีนี้จะได้ผลอย่างมากกับคนที่มีความระแวงสูง


แต่แน่นอน ไคลน์ไม่มั่นใจว่าวิธีนี้จะประสบความสำเร็จ เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงเทวทูตสีชาดซึ่งเป็นจุดสูงสุดของ ‘นักวางแผน’


“ไม่เลว” หลังจากได้ฟังคำตอบไคลน์ วิญญาณมารเทวทูตสีชาดเลือนหายไปอยู่บนผิวกระจก


ไคลน์เหลือบมองคราบเลือดที่ควบแน่นกลายเป็นหินสีเทา จากนั้นก็พาร่างของแม่มดขาวที่ดูค่อนข้างหลอนออกจากบริเวณกระจก ตรงเข้าไปในตรอกมืดแห่งหนึ่ง


มันนำเทียนไข น้ำมันสกัด และผงสมุนไพรออกมาประกอบเป็นแท่นบูชา ตามด้วยการสวดวิงวอนถึงเทพธิดารัตติกาลโดยหวังจะสร้างพิธีกรรมสื่อวิญญาณที่สมบูรณ์


ชายหนุ่มฝึกฝนทักษะเหล่านี้จนเชี่ยวชาญมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเหยี่ยวราตรี


เมื่อพิธีกรรมเสร็จสิ้น พลังงานอันยิ่งใหญ่ น่าสะพรึง และลึกลับพลันร่วงหล่นลงมาจากสถานที่สูงลิบสุดจะพรรณนา เปลี่ยนให้สภาพแวดล้อมโดยรอบเงียบสงัด


ดวงตาไคลน์กลายเป็นสีเข้มกะทันหัน ราวกับภายในนั้นมีค่ำคืนอัดแน่นอยู่


มองมันเห็นหลายสิ่งรอบตัวได้มากขึ้น รวมถึงพายุแห่งจิตที่กำลังส่องแสงสลัว


หลังจากผ่านชั้นอุปสรรคเข้าไปอย่างง่ายดาย ไคลน์เผชิญหน้ากับร่างวิญญาณของแม่มดขาว


“ความร่วมมือระหว่างนิกายแม่มดกับจอร์จที่สามยุติลงแล้วใช่ไหม” ไคลน์ไม่ได้แยแสคำตอบสักเท่าไร เพียงถามเพื่อเริ่มต้นบทสนทนาจากอ่อนไปแข็ง


สีหน้าที่หมองคล้ำและสับสนของคาร์เทอริน่าเลือนหายไป ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มและการพยักหน้า


“ใช่”


“แล้วทำไมคุณถึงยังอยู่ในเบ็คลันด์” ไคลน์ถามต่อยอด


คาร์เทอริน่าตอบด้วยท่าทีเคร่งขรึม


“ล่าทริสซี่ เธอขโมยสมบัติปิดผนึกที่สำคัญไป”


“เป็นสมบัติปิดผนึกประเภทใด” ไคลน์พลันนึกถึงแหวนที่แม่มดทริสซี่เคยสวม แหวนซึ่งตกแต่งด้วยอัญมณีสีฟ้า


แม่มดขาว คาร์เทอริน่ายังคงตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“เกี่ยวข้องกับการปลุกพลังท่านบรรพกาล นอกจากความสำคัญในฐานะสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ สิ่งนั้นไม่มีพลังพิเศษอื่น”


เกี่ยวกับแม่มดบรรพกาลจริงๆ ด้วย… ก็ถึงกับลงทุนเปลี่ยนชื่อทริสซี่เป็นทริสซี่ ชีคนี่นะ… ไคลน์มิได้เปิดเผยว่าตนทราบชื่อจริงของแม่มดบรรพกาล เพียงเปลี่ยนไปถามประเด็นอื่น


“คุณทราบไหมว่า สุสานอีกแปดแห่งของจอร์จที่สามอยู่ที่ไหนบ้าง”


คาร์เทอริน่าขมวดคิ้ว ตอบด้วยสีหน้าขอความเห็นใจ


“กระจายตัวอยู่หลายแห่ง มีทั้งทางตะวันตกเฉียงใต้ของเบ็คลันด์ แคว้นอาโฮว่า แคว้นเชสเตอร์ตะวันออก…”


ในตอนแรก แม่มดขาวเอ่ยเพียงสถานที่ตั้งกว้างๆ ของสุสานทั้งแปด แต่หลังจากนั้นก็ลงลึกรายละเอียดเพิ่มเติม


“สุสานทั้งแปดแห่งได้รับการปรับปรุงใหม่เมื่อนานมาแล้ว ปัจจุบัน ช่องทางสำหรับเทเลพอร์ตถูกปิดตายชั่วคราว ต่อให้มีคาถาที่เกี่ยวข้องก็มิอาจผ่านเข้าไป และแทบไม่มีทางหาพบจากโลกภายนอก… ยกเว้นสองเทวทูตแห่งราชวงศ์และเจ้าชายโกรฟกับดัชเชสจอร์จิน่า รวมถึงตัวจอร์จที่สามเอง คนอื่นหมดสิทธิ์เข้าไปด้วยประการทั้งปวง…”


ข้อมูลบางส่วนตรงกับตำแหน่งที่โจนาส โคลเกอร์ชอบไปล่าสัตว์ และนั่นสอดคล้องกับการคาดเดาของเรา… แปลว่าแม่มดขาวไม่ได้โกหก… ไว้ค่อยกลับไปยืนยันบนมิติเหนือสายหมอกอีกครั้ง…


ถ้าเป็นแบบที่เธอว่ามา สถานการณ์คงยุ่งยากยิ่งกว่าเก่า… ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชายโกรฟหรือดัชเชสจอร์จิน่า ทั้งสองพระองค์ล้วนถูกคุ้มครองโดยเทวทูตจำนวนหนึ่ง…


สิ่งที่ยากที่สุดคือวิธีเข้าไปในโบราณสถาน หากเข้าไปได้ ขั้นตอนหลังจากนั้นก็คงไม่อันตรายนัก เพราะในปัจจุบัน สงครามกำลังปะทุ ราชวงศ์ต้องส่งครึ่งเทพออกไปรบกับฟุซัค กำลังพลถึงจำกัด ไม่มีทางที่โบราณสถานทุกแห่งจะถูกคุ้มกันโดยนักบุญ รวมถึงการมีเทวทูตคอยคุมเชิงอีกที… ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์เปลี่ยนคำถาม


“ราชวงศ์มีเทวทูตสองตน?”


“ถ้านับตามจริงก็ไม่ใช่ เพราะตัวจอร์จที่สามเองก็น่าจะเป็นหนึ่งในเทวทูตเช่นกัน” แม่มดขาว คาร์เทอริน่าตอบอย่างซื่อตรง “เทวทูตตนแรกคือผู้ก่อตั้งอาณาจักรโลเอ็นซึ่งรอดชีวิตมาจากยุคสมัยที่สี่ผู้ปกป้อง วิลเลียมที่หนึ่ง ท่านเป็นลำดับ 1 แห่งเส้นทางผู้ตัดสิน ‘หัตถ์ประกาศิต’ ส่วนเทวทูตอีกหนึ่งตนคืออดีตดยุคแห่งนันวีลล์ ดริงก์·ออกัสตัส ท่านเป็นลำดับ 2 แห่งเส้นทางผู้ตัดสินผู้สร้างสมดุล… สำหรับจำนวนสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ในราชวงศ์ ฉันไม่ทราบ”


ผู้ก่อตั้งที่ใบหน้าถูกพิมพ์ลงบนธนบัตรสิบปอนด์ยังมีชีวิตอยู่? เป็นอีกครั้งที่ได้เข้าถึงประวัติศาสตร์อันมืดมิด… คิดถึงตรงนี้ ไคลน์พยักหน้าและถามต่อไป


“ทำไมคุณถึงต้องร่วมมือกับจอร์จที่สาม”


“เพื่อแลกกับตะกอนพลังผู้พิชิต… ปัจจุบันอยู่ในมือพวกเราแล้ว” สีหน้าของคาร์เทอริน่าเริ่มเผยความกระวนกระวาย


ผู้พิชิตคือชื่อของโอสถลำดับหนึ่ง เส้นทางนักบวชสีชาด!


“สิ่งนั้นจะถูกยกให้แม่มดบรรพกาลหรือบุคคลระดับสูงในนิกาย?” ไคลน์ถามหลังจากไตร่ตรอง “ในนิกายแม่มดมีสมาชิกระดับสูงอยู่กี่คน”


“ตะกอนพลังจะถูกสังเวยให้กับท่านบรรพกาล แต่ก่อนหน้านั้นต้องนำสมบัติปิดผนึกที่ทริสซี่ช่วงชิงไปกลับมาให้ได้… ปัจจุบันจึงถูกเก็บไว้กับนักบุญดำ… สมาชิกระดับสูงของพวกเราจะใช้สีเป็นฉายา…” คาร์เทอริน่าตอบตามความจริง


หลังจากถามจนพอใจ ไคลน์หยุดพิธีกรรมสื่อวิญญาณและเก็บกวาดแท่นบูชา จากนั้นก็พาวิญญาณแม่มดขาวกลับมาที่กระจกหน้าต่าง


ส่วนตัวมันกลับมาด้วยพลังท่องเที่ยว ร่างกายเลือนหายและมาโผล่ใกล้กับหุ่นเชิดทั้งสอง


เมื่อยืนยันว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์กลับไปแล้ว สีหน้าสับสนและล่องลอยของคาร์เทอริน่าถูกสลัดทิ้งทันที แทนที่ด้วยความมีชีวิตชีวา


เธอเข้าไปในกระจกสีหม่นอีกครั้ง


ไม่กี่วินาทีถัดมา เซารอน·ไอน์ฮอร์น เมดีซีซึ่งแต่งกายในผ้าคลุมสีดำแถบแดง เดินออกจากกระจกหน้าต่างพร้อมกับแม่มดขาว แต่คราวนี้ฝ่ายหลังกลับมีกายเนื้อคมชัด ปราศจากสัญญาณความตายโดยสิ้นเชิง!


“ความหมายของเจ้าคือ หมอนั่นถามเกี่ยวกับที่ตั้งสุสานลับแปดแห่งที่เหลือของจอร์จที่สาม… โดยที่พลังสื่อวิญญาณมาจากรัตติกาล?” วิญญาณมารเทวทูตสีชาดจับคางพลางหันไปถามคาร์เทอริน่า


แม่มดขาวพยักหน้าแผ่วเบา


“ถูกต้อง”


“หืม…” วิญญาณมารเทวทูตสีชาดเผยรอยยิ้ม “เจ้านั่นไม่ต้องการให้จอร์จที่สามได้เป็นจักรพรรดิมืดสินะ”


คาร์เทอริน่ากลอกตาและยิ้มเล็กน้อย


“แต่โอกาสสำเร็จช่างริบหรี่… ไม่ว่าเขาจะเลื่อนลำดับได้เร็วสักเพียงใด มีผู้ช่วยมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางต่อต้านกองกำลังผสมของราชวงศ์ กองทัพ และองค์กรลับนั่นได้… ไม่สิ ลำพังราชวงศ์ออกัสตัสก็เพียงพอแล้ว จากระดับปัจจุบันของเขา แค่จะทำให้สั่นคลอนยังไม่ได้เลย… เว้นเสียแต่รัตติกาลจะลงมือด้วยตัวเอง”


กล่าวถึงตรงนี้ แม่มดขาวถามอย่างเป็นกันเอง


“ฉันแปลกใจมาก ทำไมคุณถึงไม่ฆ่าฉันทันทีหลังจากถือครองความได้เปรียบขนาดนั้น”


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดชำเลืองด้วยหางตาพลางยกมุมปากขึ้น


“เจ้าคิดจริงหรือ… ว่าตัวเองสำคัญพอที่จะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของข้า”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1111 : เซียนโปเกอร์

 

ได้ยินคำตอบจากวิญญาณมารเทวทูตสีชาด ใบหน้าแม่มดขาว คาร์เทอริน่าชะงักไปเล็กน้อย


เซารอน ไอน์ฮอร์น เมดีซีหัวเราะและกล่าวต่อ


“เจ้าคงเป็นได้ครึ่งเทพในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่สินะ… ตอนนี้ก็ผ่านมากว่าพันปีแล้ว แต่กลับยังไม่ได้เป็นเทวทูต ไม่รู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถบ้างหรือ? เทียบกับชายคนเมื่อครู่ที่เคยพึ่งพาอะซิก·อายเกสเพื่อเผชิญหน้ากับเจ้า ตอนนั้นมันยังอ่อนแอราวกับนกเพิ่งฟักไข่ แต่ผ่านไปเพียงไม่ถึงครึ่งปีก็กลายเป็นลำดับสี่สำเร็จ ความแข็งแกร่งเป็นรองเจ้าไม่มาก… ไม่คิดบ้างหรือว่าระยะเวลากว่าพันปีต้องผ่านไปอย่างสูญเปล่า… ถ้าสุนัขมีอายุสักพักปีเหมือนเจ้าบ้าง มันอาจถูกผลักไสจนข้ามผ่านบานประตูแห่งเทวทูตสำเร็จก็ได้… ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ขณะที่ภายในใจกำลังอิจฉาหมอนั่น เจ้าเกิดความปรารถนาที่บิดเบี้ยวและต้องการหลับนอนกับมันเพื่อพิสูจน์ตัวเอง… พวกแม่มดช่างน่าขัน ในแง่หนึ่ง เจ้าต้องคอยเน้นย้ำว่าตัวเองเป็นผู้ชายเพื่อไม่ให้สูญเสียตัวตนและคลุ้มคลั่ง แต่อีกแง่หนึ่งก็ต้องหมั่นแสดงเสน่ห์ของสตรีและสัมผัสความสุขสุดยอดจากความรักอันแรงกล้า… ในทางกลับกัน นักล่าอย่างพวกข้าไม่ต้องเผชิญปัญหาดังกล่าว ไม่ว่าจะเพศเดิมจะเป็นเช่นไร สิ่งเดียวที่ต้องทำคือสงคราม สงคราม และสงคราม! บรรพกาลช่างเป็นแม่มดที่บิดเบี้ยว แค่ให้สตรีเดินบนเส้นทางแม่มดก็พอแล้ว เหตุใดถึงต้องส่งต่อความเจ็บปวดและทุกข์ระทมให้บุรุษรุ่นแล้วรุ่นเล่า? จุดประสงค์มีแค่การแก้แค้นโชคชะตาอันผิดเพี้ยนของตัวเองใช่ไหม?”


ทุกคำพูดของวิญญาณมารเทวทูตสีชาดเป็นราวกับศรแหลมคมที่ทิ่มแทงหัวใจแม่มดขาว ส่งผลให้ใบหน้าอันงดงามของเธอสั่นกระตุกแผ่วเบา เส้นผมยาวสลวยก็ดูเหมือนจะหนาขึ้นจากปรกติ


เซารอน·ไอน์ฮอร์น·เมดีซีชำเลืองคาร์เทอริน่า จากนั้นก็หัวเราะ


“เจ้าคงไม่จะไม่คลุ้มคลั่งเพราะคำพูดของข้าใช่ไหม? คิดถึงจังเลย ความรู้สึกแบบนี้”


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดเว้นวรรค


“เจ้ากลับไปได้ หากต้องการให้ช่วยก็แค่เอ่ยนามเต็มของข้า และแน่นอน ถ้าจำเป็นจริงๆ ข้าจะไปหาด้วยตัวเอง”


อากัปกิริยาของแม่มดขาวเริ่มกลับเป็นปรกติ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามด้วยสีหน้าผิดคาด


“จะปล่อยฉันกลับไปทั้งอย่างนี้หรือ?”


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะ


“ทำไมล่ะ? อยากหลับนอนกับข้า? ถ้าเราว่างตรงกัน นั่นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ช่วงนี้ข้ามีเรื่องสำคัญต้องทำอีกมาก… ไม่ต้องรีบร้อน ในเมื่อเจ้าเอ่ยนามเต็มของข้าและมอบเลือดให้ข้าแล้ว ทางนี้สามารถเฝ้ามองเจ้าได้ตลอดเวลาและอาจส่งอิทธิพลได้บางอย่าง… ลืมไปแล้วหรือว่าเทวทูตกับนักบุญมีความแตกต่างกันในเชิงคุณภาพ? ตัวตนที่ทรงพลังโดยแท้จริงนั้นมีอำนาจมากกว่าที่เจ้าคิด… หึหึ เว้นเสียแต่เจ้าจะสวดวิงวอนถึงบรรพกาลโดยตรงและได้รับการตอบสนอง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีวิธีสลัดหลุดจากสายตาข้า… ตามปรกติแล้ว เทวทูตสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ แต่นั่นเฉพาะกรณีที่เอ่ยนามเต็มเพียงอย่างเดียว… หากไม่เชื่อ ข้าสามารถหาเทวทูตมาช่วยเจ้าทดสอบได้”


แม่มดขาว คาร์เทอริน่ายืนฟังด้วยสีหน้าหม่นหมอง ก่อนจะยิ้มและกล่าว


“นับแต่นี้ไป ฉันจะทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ลอร์ดเมดีซี”


คิ้วของเซารอน·ไอน์ฮอร์น·เมดีซีพลันกระตุก


“ยังดื้ออยู่สินะ… ข้ารู้ดีว่าเจ้าจะทำตัวยังไงในตอนที่ได้เจอเกอร์มัน สแปร์โรว์ แต่นั่นก็ไม่ใช่กงการอะไรของทางนี้… อ๊ะ จริงสิ… เจ้าควรรีบไปตรวจสอบชะตากรรมของเหล่าทายาทดูนะ ไม่สงสัยบ้างหรือว่าทำไมถึงถูกเกอร์มัน สแปร์โรว์พบตัวได้ง่ายนัก?”


แม่มดขาวหน้าซีดในตอนต้น ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นหน้าขรึมพลางผงกศีรษะ


“เข้าใจแล้วค่ะ”


กล่าวจบ เธอก้าวถอยหลังและเดินเข้าไปในกระจกหน้าต่าง ปลายทางของโลกกระจกมายาถูกกำหนดทันที


เมื่อเห็นแม่มดขาวจากไป ปากเปื้อนเลือดผุดขึ้นที่แก้มซ้ายวิญญาณมารเทวทูตสีชาดพร้อมกับเปล่งเสียง


“หล่อนแสดงละครเก่งมาก แสร้งทำเป็นควบคุมอารมณ์ไม่เก่ง กระสับกระส่ายเล็กน้อยและทำตัวซื่อบื้อ ราวกับอ่านเจตนาได้ไม่ยาก”


“ใช่แล้ว ด้วยวิธีดังกล่าว มีโอกาสสูงที่เราจะดูแคลนเธอและไม่ระวังตัว” ปากเปื้อนเลือดบนแก้มขวาอ้าปากพูด


“หึหึ… พวกแม่มดล้วนเจ้าเล่ห์ แต่ข้าไม่เคยประมาทเหยื่ออยู่แล้ว” วิญญาณมารเทวทูตสีชาดพูดด้วยปากหลัก “หล่อนต้องการให้ข้าประมาทและดูแคลน แต่นั่นจะไม่เกิดขึ้น”


ปากบนแก้มซ้ายตอบโต้


“แล้วทำไมถึงถูกอลิสต้า ทูดอร์จับตัวเอาได้?”


“นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าสองคนต่างหาก” บุคลิกที่เป็นของเมดีซีทำหน้าบึ้งและกล่าว “และเรื่องนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะข้าประมาท”


ปากเปื้อนเลือดฝั่งขวาพ่นลมหายใจ


“รู้สึกอย่างไรกับการได้ตกเป็นเหยื่อเสียเอง? ท่านมหาเทพแห่งสงคราม เทวทูตสีชาดผู้ใกล้ชิดกับพระผู้สร้าง”


“ก็ไม่เลว” ใบหน้าเมดีซีหม่นหมองเล็กน้อย แต่น้ำเสียงคล้ายกับแฝงความพึงพอใจ


บุคลิกของเซารอนบนแก้มซ้ายพูด


“เจ้าชอบใช้วิธีข่มขวัญด้วยคำลวงเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ย้อนกลับไปในตอนนั้น อลิสต้าอ่านคำลวงของเจ้าออกและฉวยโอกาสจากมัน… และเมื่อครู่ เป็นอีกครั้งเจ้าข่มขวัญคาร์เทอริน่าด้วยคำลวง โดยที่ในความเป็นจริง เจ้าทำได้แค่แผ่ออร่าเจือจาง ได้แค่อาศัยการวางกับดักและดักจู่โจมทีเผลอเพื่อสร้างความเสียหายที่น่าสะพรึง แต่กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอที่จะปิดฉากหล่อนได้ในพริบตา เจ้าจึงต้องแสร้งทำเป็นฟื้นฟูพลังกลับมาถึงลำดับหนึ่ง แล้ว หลอกเธอให้เอ่ยนามเต็มและมอบเลือด”


เมดีซียกมุมปาก


“การข่มขวัญคืออีกหนึ่งในแนวทางการเล่นโปเกอร์ และมันก็ได้ผลดีไม่ใช่หรือ?”


กล่าวถึงตรงนี้ เทวทูตสีชาดหัวเราะในลำคอ


“ยิ่งไปกว่านั้น การข่มขวัญของข้ามิใช่คำลวงไปเสียทั้งหมด สิ่งที่ข้าชื่นชอบที่สุดคือการผสมคำลวงเข้ากับความจริง รอให้พวกโง่ที่คิดว่าอ่านข้าออกหลงเข้ามาติดกับดัก เหมือนกับพวกเจ้าสองคนยังไงล่ะ…. โง่เหมือนกันไม่มีผิด”


“แต่เจ้าเป็นคนแรกที่ตาย!” รอยปริบนแก้มทั้งสองข้างพูดพร้อมกัน


เมดีซีโต้แย้งโดยไม่สะทกสะท้าน


“นั่นแสดงว่าข้าแข็งแกร่งที่สุด ถูกประเมินค่าไว้สูงที่สุด!”


กล่าวจบ บุคลิกทั้งสามของวิญญาณมารเทวทูตสีชาดเงียบไปพร้อมกัน จนกระทั่งผ่านไปไม่กี่วินาที ปากของไอน์ฮอร์นเปิดออก


“เกอร์มัน สแปร์โรว์ใกล้ชิดกับรัตติกาลมากกว่าที่ข้าคิด… ตอนนี้คงล่วงรู้ถึงสภาพที่แท้จริงของคาร์เทอริน่าแล้ว”


เมดีซีหัวเราะ


“นั่นไม่สำคัญ เพราะเดิมทีเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ท่านอนุญาตโดยนัยอยู่แล้ว… หลังจากโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันจบลง ผู้เข้าร่วมปฏิบัติการล้วนหายไปเกือบหมด เหลือเพียงแม่มดชื่อทริสซี่ที่ยังอยู่ นั่นก็เพียงพอที่จะระบุความผิดปรกติแล้วไม่ใช่หรือ?”


บุคลิกของเซารอนและไอน์ฮอร์นไม่กล่าวคำใดต่อ เพียงปิดปากสนิทและปล่อยให้บาดแผลสมานตัว


ร่างของวิญญาณมารเทวทูตสีชาดหายเข้าไปอยู่บนผิวกระจก ก่อนจะหายไปจากย่านระฆังประกาศิตอย่างไร้ร่องรอย



เหนือสายหมอกสีเทา ภายในพระราชวังโบราณ


ไคลน์จ้องจี้บุษราคัมที่กำลังหมุนตามเข็มนาฬิกา พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบสนอง


มันใช้เทคนิคทำนายด้วยลูกตุ้มวิญญาณเพื่อยืนยันคำตอบของคาร์เทอริน่าทีละข้อ และสรุปได้ว่าทั้งหมดมีความจริงแฝงไว้มากพอ


ทันทีหลังจากนั้น อาศัยสุสานลับอีกแปดแห่งที่ได้เรียนรู้เพิ่มเติม มันตัดสินใจทำนายฝันจนได้เห็นภาพที่เกี่ยวข้องในลักษณะพร่ามัว


ฉากดังกล่าวช่วยให้ไคลน์ยืนยันได้ว่า สุสานเหล่านี้มิอาจเข้าได้ด้วยวิธีการปรกติ กระทั่งการทำนายบนมิติหมอกที่ไม่ถูกรบกวนก็ยังมิอาจระบุพิกัดได้ชัดเจน


ยุ่งยากชะมัด… นอกจากนั้น อาการของแม่มดขาวขณะถูกสื่อวิญญาณก็ยังผิดปรกติ แตกต่างจากโจนาส·โคลเกอร์และเฮอร์วิน แรมบิสพอสมควร คล้ายกับว่าคาร์เทอริน่ามีอารมณ์ร่วมมากกว่า เต็มใจตอบมากกว่า… นี่คือความพิเศษของแม่มด หรือเพราะปัจจัยอื่น? ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์กวักมือเสกเศษกระดาษที่เปื้อนเลือดพลเรือโทโรคภัย จากนั้นก็เขียนประโยคทำนายให้สอดคล้องและใช้เทคนิคทำนายฝัน


ท่ามกลางโลกสีเทา ไคลน์เห็นเทรซี่ซึ่งเป็นอิสระจากใยแมงมุมของตัวเอง มองออกไปนอกหน้าต่าง


ด้านนอกค่อนข้างมืดและมีพายุมายา ยากจะคาดเดาว่าเป็นที่ใด


เทรซี่หลุดออกไปได้แล้ว… แต่ใบหน้าปราศจากความเศร้า มีเพียงความโกรธและสับสนเล็กน้อย… ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกคู่นี้ต้องย่ำแย่ขนาดไหนกัน? ไม่สิ หรือว่า… ขณะไคลน์ฉุกคิดบางสิ่ง มันเห็นเพลงสีดำแผดเผาความฝันจนละลายและแตกกระจายเป็นเศษกระจก


มันลืมตาขึ้นและยืนยันได้ว่า ตอนนี้ตนมิอาจใช้เลือดของเทรซี่เพื่อทำนายระบุตำแหน่งได้อีกแล้ว เป็นเทคนิคการตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างเลือดและเจ้าของด้วยพลังระดับครึ่งเทพ


หรือว่าแม่มดขาวยังไม่ตาย? จริงสิ… ในตอนที่วิญญาณมารเทวทูตสีชาดตอบคำถามเรา เจ้านั่นไม่ได้ตอบตรงๆ แต่เป็นการย้อนถามอย่างยียวน… นี่เราสื่อวิญญาณกับวิญญาณคนเป็น? ไคลน์ผงะในตอนต้น ก่อนจะรีบทำนายยืนยันและพบว่า แม่มดขาว คาร์เทอริน่ายังมีชีวิตอยู่


ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า เป้าหมายของวิญญาณมารเทวทูตสีชาดไม่ใช่แม่มดขาว… นอกจากนั้น เมื่อผนวกกับความก้าวหน้าในการย่อยโอสถของเรา วิญญาณมารเทวทูตสีชาดอาจจะอ่อนแอกว่าที่เราคิด มีโอกาสที่ยังฟื้นฟูพลังกลับไปไม่ถึงลำดับสอง… ถ้าอย่างนั้น แม่มดขาวก็ไม่น่าจะพ่ายแพ้เร็วนัก หรือว่ามันหลอกล่อเธอด้วยวิธีอื่น? ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป


หลังจากครุ่นคิดเป็นเวลานานแต่ก็ยังคว้าน้ำเหลว ไคลน์ตัดสินใจพับเก็บไว้ก่อนชั่วคราว เพราะอย่างน้อยก็ได้ข้อมูลที่ต้องการจากคาร์เทอริน่ามาแล้ว


ชายหนุ่มวางกระดาษที่เปื้อนเลือดพลเรือโทโรคภัยลงพลางหัวเราะ


ตัดการเชื่อมต่อระหว่างเลือดและเจ้าของ ส่งผลให้มิอาจใช้เป็นสื่อกลางในการทำนาย…


ถ้าอย่างนั้น การป้ายเลือดลงบนปก การเดินทางของกรอซายยังใช้ได้อยู่ไหม?


หลังจากขบคิดสักพัก ไคลน์ตัดสินใจยังไม่ลอง เพราะยังไม่มีความจำเป็นในปัจจุบัน


ความสนใจของมันแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว กลายมาเป็นประเด็นที่ว่า ตนจะเข้าไปในสุสานอีกแปดแห่งของจอร์จที่สามได้ยังไง


กรอบความคิดแบบธรรมดาคงไม่ได้ผล เพราะถ้าเราคิดได้ เทวทูตอย่างจอร์จที่สามก็ต้องคิดได้…


ถ้าไม่ใช่เพราะทวยเทพอนุญาตโดยนัย กลยุทธ์ตีแผ่ความจริงด้วยใบปลิวอาจจะใช้ได้ผล…


เทเลพอร์ตแบบกำหนดพิกัด… โบราณสถานของทูดอร์… หรือว่า…


ไตร่ตรองอยู่สักพัก หัวใจไคลน์เริ่มเต้นแรงเนื่องจากมันพบข้อสันนิษฐานใหม่

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1112 : บันทึกการเดินทาง

 

ท่ามกลางพระราชวังอันงดงามเหนือสายหมอก ไคลน์เหยียดมือขวา เคาะโต๊ะทองแดงยาวพลางพึมพำ


ในราชวงศ์ทูดอร์ ตระกูลใหญ่ทั้งห้าประกอบด้วยอามุนด์ อับราฮัม อันทีโกนัส เจคอป และทามาร่า… และหนึ่งในกลุ่มที่ช่วยให้อลิสต้า·ทูดอร์ขึ้นเป็นจักรพรรดิโลหิตคือราชาเทวทูตอย่างอาดัม อามุนด์ และอับราฮัม…


เราสามารถอนุมานได้ไหมว่า ในจักรวรรดิร่วมทูดอร์ ทรันซอสต์ การปกครองในตอนนั้นเป็นแบบกงสุลแฝด และอีกฝั่งหนึ่งของบัลลังก์เคียงข้างอลิสต้า·ทูดอร์คืออามุนด์และอาดัม?


ถ้าเป็นแบบนั้น จักรพรรดิโลหิต อลิสต้า ทูดอร์ ก็ไม่มีแผนจะย้ายเส้นทางมาตั้งแต่ต้น สุสานลับถูกแอบสร้างขึ้นโดยขอความช่วยเหลือจากหนึ่งในตระกูลเหล่านี้ อามุนด์ อับราฮัม และอันทีโกนัส… สำหรับเบเทล อับราฮัม เขาคือมิสเตอร์ประตูเข้าใจเส้นทางผู้ฝึกหัดอย่างถ่องแท้ หากเป็นพลังในด้านเทเลพอร์ต อาจยอดเยี่ยมกว่าเทพแท้จริงบางตนด้วยซ้ำ…


หรือว่าอุปกรณ์เทเลพอร์ตแบบกำหนดพิกัดในโบราณสถานทูดอร์จะถูกสร้างขึ้นโดยเบเทล·อับราฮัม?


มีโอกาสเป็นไปได้มากทีเดียว!


อา… และมีเพียงบุคคลที่ยิ่งใหญ่อย่างมิสเตอร์ประตูเท่านั้นจึงจะเข้าออกสุสานลับได้ตามใจชอบ เพราะแม้แต่การทำนายบนมิติหมอกของเราก็ยังไม่ช่วยให้ทราบพิกัดที่แม่นยำ กับเทวทูตตนอื่นก็คงเทเลพอร์ตเข้าไปตรงๆ ได้ไม่ง่ายนัก…


ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์เริ่มเชื่อว่าแนวคิดของตนใกล้เคียงกับความเป็นจริง


ชักสงสัยแล้วว่า มิสเตอร์ประตูจะทิ้งข้อมูลเกี่ยวกับพิกัดของสุสานหรือวิธีผ่านเข้าออกไว้บางไหม? คงต้องรบกวนให้มิสเมจิกเชี่ยนช่วยถามอาจารย์ของเธออีกครั้ง


เฮ้อ… เราเองก็หวังให้มิสเมจิกเชี่ยนกลายเป็นนักท่องเที่ยวโดยเร็ว เพราะเมื่อถึงตอนนั้น เธอก็ไม่จำเป็นต้องรอเขียนจดหมายถามตอบกับอาจารย์ สามารถเทเลพอร์ตไปหาได้โดยตรง… จริงอยู่ที่ตอนนี้ก็สามารถทำได้ด้วยการบันทึกท่องเที่ยวไว้เป็นจำนวนมาก แต่นั่นจะทำให้อาจารย์เกิดความสงสัยและหวาดกลัว ยิ่งสร้างปัญหาบานปลาย…


หากตระกูลอับราฮัมไม่มีบันทึกพิกัดเอาไว้ เราควรลองติดต่อกับมิสเตอร์ประตูโดยตรงดีไหม? ไม่เพียงจะยุ่งยาก แต่ยังอันตรายมาก… เหนือสิ่งอื่นใด มิสเมจิกเชี่ยนยังไม่ใช่ลำดับห้าด้วยซ้ำ ลำพังการได้ยินให้ชัดยังทำไม่ได้ นับประสาอะไรกับสนทนาตอบโต้… จะเปลี่ยนให้เธอเป็นหุ่นเชิดและฟังแทนผ่านการรับรู้ก็ไม่ได้… ย้อนกลับไปในตอนแรก สมัยที่เพิ่งดึงมิสเมจิกเชี่ยนขึ้นมาบนมิติหมอก ไคลน์เคยคิดอย่างจริงจังว่าหาทางติดต่อกับมิสเตอร์ประตูผ่านเธอ แต่ในภายหลัง เมื่อได้ศึกษาโลกผู้วิเศษมากขึ้น เข้าใจแก่นแท้มากขึ้น มันก็หวาดกลัวจนไม่กล้าลองเสี่ยง


ยิ่งไปกว่านั้น ระดับปัจจุบันของตนก็ยังไม่ปลอดภัยพอที่จะติดต่อกับอีกฝ่าย


ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ถอนหายใจเล็กน้อยพร้อมกับรำพันคำ


“อดทน…”



กลางทะเล บนเกาะที่มีโจรสลัดชุกชุม


ฟอร์สยกแก้วขึ้นมาจิบของเหลวสีใสด้วยความคาดหวัง


จากนั้น ใบหน้าของเธอพลันยู่ยี่ราวกับกำลังลิ้มรสในสิ่งที่กลืนได้ยากลำบาก


“ให้ตายสิ แลงติร้อนแรงที่นี่รสชาติห่วยชะมัด ทำไมพวกเขาถึงได้ดื่มกันอย่างมีความสุขนัก?” ฟอร์สวางแก้วเหล้าลง ยกมือขวาขึ้นมาปิดปากพลางพึมพำเสียงต่ำ “นอกจากความแรงของเหล้าก็ไม่มีข้อดีอื่นอีกแล้ว… จริงสิ… มันถูกมาก!”


หลังจากจิบน้ำเย็นจากแก้วอีกใบ ฟอร์สหยิบปากกาขึ้นมาเขียนลงบนสมุดบันทึกสภาพทรุดโทรม


“โจรสลัดที่นี่ขอแค่เป็นเหล้าแรงแต่ราคาถูก ที่เหลือจะยังไงก็ได้… สำหรับพวกเขา ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการได้เมาหัวราน้ำ… เพื่อนโจรสลัดสามคนของเราบอกว่า พวกเขาเป็นคนสร้างเมืองท่าแห่งนี้ขึ้นมากับมือ… ในตอนแรก พวกเขาแล่นเรือมาจอดที่นี่โดยบังเอิญเพื่อซ่อนสมบัติที่ขโมยมา แต่หลังจากนั้นก็เริ่มตั้งรกรากและครอบครัว ในเวลาถัดมา บรรดาคนล้มละลาย นักผจญภัย และคนหนีภาษีได้ย้ายมาอยู่อาศัยและตั้งรกรากเพิ่มเติม บางคนถางป่าเพื่อสร้างบ้าน จนกระทั่งตลาดการค้าถูกสร้างขึ้น นับแต่นั้น พ่อค้าในทะเลก็เริ่มรุมตอมเหมือนกับฉลามที่ได้กลิ่นเลือด”


เขียนถึงตรงนี้ ฟอร์สเงยหน้าขึ้นและมองไปยังโจรสลัดทั้งสามที่ขดตัวอยู่ตรงมุมห้อง


“ยังมีอะไรที่ไม่ได้เล่าอีกไหม?”


โจรสลัดร่างยักษ์ทั้งสามต่างพากันตัวสั่น ร้องไห้และสะอื้น


“ไม่มีแล้ว… หมดแล้วจริงๆ”


คงต้องสารภาพตามตรงว่า เราคิดไม่ผิดที่เลียนแบบบุคลิกของมิสเตอร์เวิร์ลเพื่อรับมือกับโจรสลัด… ฟอร์สถอนหายใจพลางส่ายหน้า จากนั้นก็ก้มศีรษะเขียนต่อ


“บรรยากาศของที่นี่ค่อนข้างเสรี หากได้เห็นบุรุษที่ถูกใจ สตรีสามารถเดินเข้าไปเสนอราคาได้ ในทำนองเดียวกัน ผู้ชายก็สามารถทำกับผู้ชาย และผู้หญิงก็สามารถทำกับผู้หญิง… จากคำบอกเล่าของเพื่อนโจรสลัดทั้งสาม ระหว่างที่พวกเขากำลังลอยอยู่กลางทะเล อารมณ์เบื่อหน่ายคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ และนั่นเป็นจุดกำเนิดการลองทำพฤติกรรมต้องห้าม สำหรับประเด็นนี้ พวกเขาต่างเล่าออกมาอย่างเถรตรง ลงลึกในประสบการณ์ตัวเองอย่างละเอียด…”


“นอกจากนั้น พวกเขายังเล่าในสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึง แท้จริงแล้ว โจรสลัดเป็นพวกสนับสนุนประชาธิปไตยและความเท่าเทียม”


“สิ่งนี้ทำลายมโนภาพเก่าของฉันโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อลองไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้พูดว่าโจรสลัดแสวงหาคุณธรรมความถูกต้อง”


“คำอธิบายของเพื่อนโจรสลัดทั้งสามก็คือ ประชาธิปไตยเกิดจากสามเหตุผลสำคัญ ข้อแรก บุคคลที่ถืออาวุธมีอำนาจไม่มากพอ ข้อที่สอง บุคคลที่ถืออาวุธมักทำตัวกร่าง และข้อที่สาม เรือลำใหญ่จำเป็นต้องใช้กำลังคนมาก… เมื่อนำปัจจัยเหล่านี้มารวมกัน จึงเกิดเป็นประชาธิปไตยอย่างเรียบง่ายในหมู่โจรสลัด และเคยมีกัปตันหลายคนถูกขับไล่หรือฆ่าทิ้งจากเสียงส่วนใหญ่ของลูกเรือมาแล้ว”


“ฉันเชื่อว่าถ้ากัปตันมีพลังอำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดกว่านี้ กลุ่มโจรสลัดจะมีสังคมและวัฒนธรรมอีกแบบหนึ่งอย่างแน่นอน”


ถึงตรงนี้ ฟอร์สเงยหน้าขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่าง ใต้ท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาว เธอเห็นอาคารที่สร้างจากไม้และหินเรียงรายรอบตลาด ในบางคราวเธอได้เห็นเด็กหลายคนในเสื้อผ้าตัวเก่าวิ่งเล่นไปมา


ท่ามกลางบรรยากาศที่ทรงพลัง ฟอร์สเขียนอีกครั้ง


“ที่นี่ไม่มีการวางแผนเมืองแม้แต่น้อย ทุกคนสร้างบ้านและขยายขอบเขตตามใจชอบ ส่งผลให้มีถนนหลายเส้นแคบจนผ่านเข้าไปได้ทีละคน แถมแสงแดดก็ยังส่องไม่ถึง…”


“ความคิดแรกในหัวฉันก็คือ เมื่อเกิดอัคคีภัย สถานการณ์ต้องเลวร้ายเหนือจินตนาการแน่ กรุงเบ็คลันด์เคยมีโศกนาฏกรรมที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นมาก่อน อย่างไรก็ตาม เพื่อนโจรสลัดทั้งสามได้บอกกับฉันว่า เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล เพราะเกาะแห่งนี้ทั้งชื้นและมีฝนตกชุก แถมผู้ที่มีพลังประหลาดก็ไม่คิดจะปกปิดตัวเอง…”


“สถานที่แห่งนี้ไม่ได้รับอิทธิพลจากสงคราม ถึงจะวุ่นวายสักเล็กน้อย แต่ผู้คนก็อยู่กันอย่างสงบสุข”


“นอกจากนั้น สิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวที่สุดไม่ใช่ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร นาสต์ หรือตำนานสยองขวัญเรื่องใดบนทะเล หากแต่เป็นนักผจญภัยเสียสติ เกอร์มัน สแปร์โรว์ โจรสลัดต่างตักเตือนกันเองว่าไม่ควรดื่มจนดึกดื่น ไม่ควรออกไปเดินตอนกลางคืนหรือเข้าตรอกมืด ไม่อย่างนั้นอาจหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา ผู้คนต่างลือกันว่า ฆาตกรคือสุภาพบุรุษคนดังกล่าว…”


“นี่คือการล่าในรูปแบบหนึ่งอย่างนั้นหรือ”


ขณะเขียน สีหน้าของฟอร์สทวีความเคร่งขรึม เธอรีบดึงกระดาษแผ่นใหม่ออกมาและเสริมเนื้อหาลงไป


“…ณ ค่ำคืนที่สายลมเย็นเยียบพัดผ่านโรงพยาบาล และเป็นคืนที่ความมืดมิดรอบโรงพยาบาลเข้มข้นกว่าจุดอื่น…”


“…ไม่มีใครทราบว่า เหตุใดคนไข้สาวในวอร์ดเดี่ยวถึงบอกให้ญาตินำเห็ดและวัชพืชมาให้ และไม่มีใครทราบว่าสุดท้ายแล้ว พวกมันหายไปไหน เพราะไม่มีร่องรอยของการปรุงอาหารในวอร์ด และข้างนอกก็ไม่มีร่องรอยการนำออกไปทิ้ง พยาบาลหลายคนต่างอดสงสัยไม่ได้ว่า คนไข้ของตนแอบกินเห็ดและวัชพืชดิบเข้าไป…”



ภายในหมู่บ้านยามบ่ายที่แบ่งออกเป็นชั้นบน กลาง และล่าง ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์สร้างค่ายในตำแหน่งที่ติดกับภูเขา


เดอร์ริค เบเกอร์ประสานมือไว้ใต้ปากและสวดวิงวอนเสียงต่ำ


“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”


หลังจากสวดจบ เด็กหนุ่มลุกขึ้น หยิบไม้กางเขนทองแดงที่เต็มไปด้วยหนามแหลม เดิมไปยังกองไฟด้านนอก


เนื่องจากไม้กางเขนเจิดจรัสไม่ญาติดีกับสมบัติวิเศษชิ้นอื่น ค้อนยักษ์ของเด็กหนุ่มซึ่งมีชื่อว่าเทพสายฟ้าคำรามจึงมักถูกฝากให้โจชัวหรือไม่ก็ฮาอิมช่วยถือแทน


ขณะที่ทีมสำรวจกำลังรวมตัว ไคลน์ซึ่งอยู่ที่กรุงเบ็คลันด์ ส่งตัวเองเข้ามาในมิติหมอก ชายหนุ่มเสกคทาเทพสมุทรและอาศัยความช่วยเหลือจากดาวแดงที่กำลังยุบพอง จ้องมองทัศนียภาพของหมู่บ้านยามบ่ายสักพักก่อนจะขยายขอบเขตการมองเห็นไปยังวังราชาคนยักษ์


หากไม่มีคทาเทพสมุทรช่วยขยายคำสวดวิงวอน ไคลน์คงมองเห็นได้ไม่กว้างขนาดนี้ถ้าต้องพึ่งพาแค่ดาวแดงเพียงอย่างเดียว


เมื่อจอภาพเปลี่ยนมุมมอง ไคลน์เริ่มเห็นแสงสนธยาที่งดงาม


ณ จุดที่แสงสนธยาถูกแช่แข็ง มีอาคาร หอคอย และวังจำนวนมากเรียงรายภายในรั้วกำแพงสูงตระหง่าน ฉากตรงหน้าเปี่ยมไปด้วยความงดงามตระการตาราวกับปาฏิหาริย์ในตำนานเทพนิยาย ทั้งหมดคล้ายกับถูกแช่แข็งให้หยุดนิ่ง


วังราชาคนยักษ์!


ไคลน์พยายามขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น แต่กลับต้องพบว่า ตนมิอาจมองเห็นสถานการณ์ด้านหลังแสงสนธยาได้ชัดเจน


สมแล้วที่เป็นอาณาจักรของเทพบรรพกาล แตกต่างจากบางแห่งที่ถูกทิ้งร้างหรือไม่ก็ต้องหลบซ่อน… ไม่แปลกใจว่าทำไมเหล่าราชาเทวทูตถึงเลือกวังแห่งนี้เป็นสถานที่ชุมนุมลับ… ได้แต่หวังว่าการสวดวิงวอนของเดอะซันน้อยหลังจากเข้าไปในวังราชาคนยักษ์ จะช่วยให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนกว่านี้… ไคลน์พยักหน้าไตร่ตรอง


ขณะเดียวกัน มันแบ่งความสนใจบางส่วนไปยังคนเลี้ยงแกะ อาวุโสโลเฟียร์และพบว่าสตรีคนดังกล่าวแอบสวมชุดเกราะมายาสีเงินตลอดเวลา


นี่คงเป็นวิญญาณมารที่เธอต้อนเข้ามาในตัว… ตอนนี้เรายังมองไม่เห็นเจตนาแอบแฝงของพระผู้สร้างแท้จริง… ไคลน์ถอนหายใจแผ่วเบา อดทนรอความคืบหน้าอย่างใจเย็น


หลังจากนั้นไม่นาน ภายใต้การนำของเจ้าเมืองโคลิน อีเลียด ทีมสำรวจเก้าคนที่มีเดอร์ริค·เบเกอร์เข้าร่วม เดินทางออกจากค่ายพักในหมู่บ้านยามบ่าย ตรงไปตามถนนหินสีเทาจนกระทั่งถึงยอดเขา


เนื่องจากลำดับต่ำที่สุดคือหกและส่วนใหญ่อยู่บนเส้นทางนักรบ ทีมสำรวจจึงเคลื่อนตัวได้ไวมาก หลังจากกำจัดกลุ่มสัตว์ประหลาดที่เป็นยักษ์เน่าเปื่อยเพียงสองสามระลอก ในที่สุดพวกมันก็มาถึงจุดที่มีแสงสนธยาปกคลุม ฉากความงดงามอลังการตรงหน้าทำให้ทุกคนอึ้งจนพูดไม่ออกเป็นเวลานาน


นี่คือครั้งแรกที่พวกมันได้พบกับสถานที่ซึ่งปราศจากสายฟ้า แสงสว่างเกิดจากแสงธรรมชาติเพียงอย่างเดียว!


นักล่าปีศาจโคลินหรี่ตาลง หยิบขวดโลหะออกมากระดกดื่มของเหลวด้านใน


หลังจากวิวัฒนาการมาหลายชั่วอายุคน ร่างกายของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ก็ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมอันมืดมิดซึ่งมีเพียงแสงจากฟ้าผ่า จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ร่างกายต่อต้านสภาพแวดล้อมซึ่งมีแสงสนธยาถูกแช่แข็ง


ความหวังและความกลัวก่อตัวในใจพร้อมๆ กัน


หลังจากดื่มยาที่เตรียมไว้และปรับสภาพจิตใจ โคลิน อีเลียและคนเลี้ยงแกะโลเฟียร์เดินนำทีมสำรวจเข้าไปยังเขตแรกสุดของแสงสนธยา


ยังไม่ทันที่เดอร์ริคจะสัมผัสถึงสิ่งใด สายตาพลันเหลือบไปเห็นเปลือกนอกของไม้กางเขนเจิดจรัสกำลังหลุดร่วง เผยให้เห็นร่างจริงซึ่งเป็นมวลแสงสว่างเข้มข้น


อย่างไรก็ตาม แสงที่เปล่งออกจากไม้กางเขนกลับมิได้ขาวบริสุทธิ์ แต่ถูกย้อมด้วยสีแดงอมส้มของยามสนธยา


ทันทีหลังจากนั้น เดอร์ริคสัมผัสถึงความรู้สึกดำดิ่ง ราวกับเป็นช่วงเวลาที่เหน็ดเหนื่อยที่สุดของวัน ซึ่งพร้อมแล้วสำหรับคืนที่กำลังจะมาถึง

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1113 : ผู้คุ้มกันที่ทรงพลัง

 

อาคารสูงตระหง่านเรียงรายอย่างเงียบงันท่ามกลางแสงสนธยา ทุกสิ่งสงบนิ่งราวกับเป็นเพียงภาพเขียนสีน้ำมัน


ท่ามกลางสภาพแวดล้อมดังกล่าว เดอร์ริค เบเกอร์ตึงเครียดยิ่งกว่าการสำรวจครั้งใด เส้นขนบนแผ่นหลังกำลังลุกชูชัน


หลังจากเข้าไปในดินแดนซึ่งถูกปกคลุมด้วยแสงสนธยา ทีมสำรวจทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำอย่างโคลิน·อีเลียดและอาวุโสโลเฟียร์ ต่างเผยความอ่อนเพลียและอิดโรยโดยไม่ปกปิด บางคนคล้ายกับกำลังจะถึงจุดจบของชีวิต เพราะยิ่งก้าวเดินตรงไป ไม่ว่าจะตามถนนหรือผ่านอาคาร ฝูงคนยักษ์เน่าเปื่อยก็ยิ่งทวีจำนวนและความแข็งแกร่ง


เมื่อมีฝ่ายหนึ่งอ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่องและฝ่ายหนึ่งตรงกันข้าม การไปก้าวข้างหน้าก็เป็นเรื่องยาก หลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือดหลายยก ในที่สุดทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์ก็ฝ่าด่าน ‘แนวป้องกัน’ ของสัตว์ประหลาดและมาถึงเขตที่เงียบสงบ ปราศจากสุ้มเสียง เงียบเชียบเสียจนหนังศีรษะกระตุกแผ่วเบา


เพื่อแก้ไขสถานการณ์ นักล่าอสูรโคลินตัดสินใจทำลายความเงียบด้วยคำเตือน


“สิ่งนี้หมายความว่า เราเข้าสู่วังราชาคนยักษ์เต็มตัวแล้ว และกำลังเข้าใกล้เขตหลัก ระดับอันตรายมีแต่จะยิ่งเพิ่มขึ้น ไม่มีลดลง”


ได้ยินคำพูดดังกล่าว สมาชิกทีมสำรวจบางคนพลันสั่นสะท้านท่ามกลางแสงสนธยา ตามความเห็นของพวกมัน แม้ว่าเขตก่อนหน้านี้จะน่ากลัวจนแทบก้าวขาไม่ออก แต่หากจำกัดสัตว์ประหลาดกลุ่มหนึ่งได้จนหมด นั่นจะหมายถึงการมีเวลาพักหายใจ แถมยังได้เก็บเกี่ยวตะกอนพลัง วัตถุดิบวิเศษ และสูตรโอสถอีกจำนวนมาก หรือกล่าวได้ว่า การสำรวจในคราวนี้กำไรแล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าไปลึกกว่าเดิม สิ่งสำคัญที่สุดในปัจจุบันคือการหาจุดสร้างค่ายเพื่อเตรียมพักแรมและสำรวจให้ลึกขึ้นในครั้งถัดไป


เมื่อเผชิญคำแนะนำดังกล่าว โคลิน อีเลียดไม่โต้เถียง เพียงแต่เน้นย้ำให้ทุกคนรับทราบตรงกันว่า จุดประสงค์ของภารกิจสำรวจคราวนี้คือการค้นคว้าข้อมูลของวังราชาคนยักษ์ให้ได้มากที่สุด และกลับไปวางแผนสำหรับการสำรวจในอนาคต


จากนั้น มันบอกให้สมาชิกทีมที่ชื่อแอนเทียน่าทำการ ‘ปลอบโยน’ ผู้ที่กำลังสั่นสะท้าน


เนื่องจากอาวุโสโลเฟียร์เองก็สนับสนุนแนวคิดของเจ้าเมือง สมาชิกทีมสำรวจบางกลุ่มจึงรีบปรับทัศนคติและยอมติดตามไปแต่โดยดี


ผ่านไปสักพัก พวกมันได้พบบันไดหินขนาดใหญ่ซึ่งมีโทนหลักเป็นสีเทาอ่อน สีส้มสว่างแซม มอบความงดงามและเงียบงัน


บันไดแต่ละขั้นสูงใหญ่มโหฬาร หากเป็นมนุษย์ปรกติ การก้าวเดินคงทำได้ยากลำบาก แต่โชคดีที่โลเฟียร์ซึ่งสูงน้อยที่สุดในทีมสำรวจ ก็ยังสูงถึงหนึ่งเมตรเก้าเซนติเมตรและสามารถใช้พลังลม


เหนือขั้นบันไดขนาดมหึมาเป็นขอบกำแพงเมืองที่สูงจนต้องแหงนหน้ามองถึงจะเห็น มีรอยไหม้และความเสียหายอยู่ประปราย ในบางจุดมีลูกธนูยักษ์ที่ใหญ่เท่าต้นไม้ ยาวหลายเมตร ปักลึกเข้าไปในกำแพงจนพังถล่ม


ใจกลางกำแพงเมืองเป็นบานประตูคู่สูงหลายสิบเมตร สีหลักเป็นเทาอ่อนและน้ำเงินเข้ม มีหมุดสีทองถูกตอกฝังอยู่ตามขอบ และยังมีองครักษ์สองตนซึ่งมอบความรู้สึกข่มขวัญข่มรุนแรงเพียงแค่จ้องมอง


พวกมันสูงราวห้าถึงหกเมตร สวมชุดเกราะเต็มอัตราศึกสีเงินที่ดูงดงามและทนทาน ตนหนึ่งถือดาบใหญ่ อีกตนถือขวานยักษ์ในท่าสับลงพื้น ด้านหลังหมวกเล็กที่ปกปิดใบหน้ามีแสงสีส้มสว่างขึ้นหนึ่งจุด ราวกับว่านั่นคือดวงตา


“อัศวินสีเงิน…” นักล่าปีศาจโคลินรีบขยับมือขวาแทงดาบไปทางด้านข้างขนานกับพื้น เป็นสัญญาณบอกให้สมาชิกทุกคนหยุด


ถัดมา มันเคลือบดาบสองเล่มที่ถืออยู่ด้วยน้ำยาต่างชนิด


อัศวินสีเงิน… เปลือกตาเดอร์ริคกระตุกแผ่วเบา หัวใจกำลังเต้นระรัว


ในระยะหลัง เด็กหนุ่มเพิ่งมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลลับบางชนิดที่แม้แต่สมาชิกระดับสูงก็ยังต้องจากปากเจ้าเมืองโดยตรง และทราบว่าลำดับสามของเส้นทางคนยักษ์มีชื่อว่าอัศวินสีเงิน แต่น่าเสียดายที่เมืองเงินพิสุทธิ์ยังไม่มีสูตรโอสถที่ถูกต้อง แม้จะมีตะกอนพลังพร้อมแล้วก็ตาม


สิ่งที่ทำให้เดอร์ริคตกตะลึงมากที่สุดก็คือ การที่องครักษ์เฝ้าประตูเขตหลักในวังราชาคนยักษ์เป็นถึงผู้วิเศษลำดับ 3 และนั่นคือลำดับที่สูงกว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองเงินพิสุทธิ์!


นี่แค่เขตประตูทางเข้า หากสำรวจลึกเข้าไป ไม่มีใครจินตนาการออกว่าจะต้องเจอกับอะไร


หลังจากตื่นตระหนก เดอร์ริคเริ่มเกิดความคาดหวังบางอย่าง


บางทีถ้าเป็นวังราชาคนยักษ์แห่งนี้ ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์อาจค้นพบสูตรโอสถเส้นทางคนยักษ์ในลำดับสูงกว่าสี่


และนั่นจะช่วยให้เจ้าเมืองกลายเป็นอัศวินสีเงิน ส่งผลให้ความแข็งแกร่งโดยรวมของเมืองเงินพิสุทธิ์สูงขึ้นมาก การสำรวจวังราชาคนยักษ์ในอนาคตก็จะง่ายขึ้น นำมาซึ่งสูตรโอสถและวัตถุดิบเพิ่มขึ้น จนกระทั่งทีมสำเร็จแข็งแกร่งพอที่จะสำรวจในส่วนลึกสุด และได้เก็บเกี่ยววัตถุดิบที่ดีที่สุดมาใช้ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวเมือง


เดอร์ริคชำเลืองซ้ายขวาโดยไม่รู้ตัว และพบว่าโจชัว ฮาอิม แอนเทียน่า และสมาชิกคนอื่นต่างเผยภาษากายแบบเดียวกับตน แม้จะหวาดกลัวและกังวล แต่ขณะเดียวกันก็มองเห็นแสงแห่งความหวัง


ในเวลาเดียวกัน คนเลี้ยงแกะ อาวุโสโลเฟียร์เดินไปข้างหน้าสองข้าว หยุดยืนข้างโคลิน·อีเลียดและแหงนมองบานประตูสีเทาน้ำเงิน รวมถึงอัศวินสีเงินสองตนซึ่งยังยืนยันไม่ได้ว่ามีเจตนาอย่างไร


“ถ้ามีแค่ตัวเดียว พวกเราอาจล่าสำเร็จ”


ความหมายของเธอก็คือ ในเมื่อตอนนี้มีอัศวินสีเงินถึงสองตน ต่อให้ทีมสำรวจทุ่มเททุกสิ่งที่มีก็คงมิอาจโค่นศัตรูลงได้ เพราะแม้เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์จะควบคุมร่างสัตว์ในตำนานได้อย่างอิสระและสูสีกับลำดับสามแต่ถ้าพิจารณาจากสภาพแวดล้อม เกรงว่าผลลัพธ์อาจแตกต่างออกไป ม่านแสงสนธยาของที่นี่มีพลังในการกัดกร่อนแผ่วเบา สิ่งที่เคยทนได้ อาจทนไม่ได้หากต้องต่อสู้ภายใต้แสงดังกล่าว


โคลิน อีเลียดพยักหน้ารับ มองสลับไปมาระหว่างโลเฟียร์และเดอร์ริค ก่อนจะถอนสายตากลับและพูด


“ในสถานการณ์ปัจจุบัน ตราบใดที่เราไม่เข้าใกล้ประตู องครักษ์ทั้งสองก็จะไม่โจมตีเข้ามา”


“ลองล่ออัศวินสีเงินตัวหนึ่งออกไป จากนั้นก็แยกกันจัดการไหมคะ?” นักรบสาวนามว่าแอนเทียน่าเสนอแนะ


เธอมีผมสีไวน์แดงยาวประบ่า ใบหน้าอาจไม่เลอโฉม แต่เมื่อรวมกับองค์ประกอบอื่นจะช่วยมอบบรรยากาศที่สดใส


หน้าที่หลักของเธอในทีมสำรวจก็คือ คอยรักษาอาการทางจิตของพวกพ้องด้วยสมบัติปิดผนึกในมือ ขณะเดียวกันก็คอยรับมือศัตรูที่มีพลังในขอบเขตจิตใจ


แผนการที่แอนเทียน่าคิดไว้ก็คือ เธอกับสมาชิกที่เหลือจะช่วยกันล่ออัศวินสีเงินออกไปหนึ่งตน อาศัยภูมิประเทศและความสามัคคีในการถ่วงเวลาให้นานที่สุด ส่วนเจ้าเมืองกับอาวุโสโลเฟียร์ก็ร่วมมือกันจัดการกับอีกหนึ่งตนที่เหลือ จากนั้นก็มาสมทบกัน


นี่คือพิชัยสงครามพื้นฐานที่ถูกบรรจุในบทเรียนของเมืองเงินพิสุทธิ์


“ถึงจะเป็นอัศวินสีเงินแค่ตนเดียวก็ยังอันตรายมากอยู่ดี และไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่า อัศวินสีเงินที่พวกคุณล่อออกไปจะไม่เผยร่างสัตว์ในตำนาน” นักล่าปีศาจโคลินปัดตกแผนของแอนเทียน่าอย่างสุขุม


ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ ลำพังพลังของอัศวินสีเงินก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ขอเพียงอัศวินสีเงินเผยร่างสัตว์ในตำนาน สมาชิกเกือบทั้งหมดของทีมสำรวจก็จะมิอาจจ้องมองได้โดยตรง ไม่อย่างนั้นจะถูกกัดกร่อน และนั่นจะทำให้หมดสิทธิ์รับมือโดยสิ้นเชิง


โดยไม่ปล่อยให้สมาชิกคนอื่นในทีมได้กล่าวคำใด โคลิน อีเลียดถอนสายตากลับและพูด


“พวกเราจะไปทางอื่น… ก่อนหน้านี้ เดอร์ริคค้นพบบันทึกในโลกอีกฟากหนึ่งของหมู่บ้านยามบ่าย เป็นบันทึกเกี่ยวกับเส้นทางลับสำหรับอ้อมเข้าไปในเขตหลักของวังราชาคนยักษ์”


สายตาของอาวุโสโลเฟียร์หันมาทางเดอร์ริคทันที มอบบรรยากาศสงบนิ่งและเย็นชา แต่ไม่มากไปกว่านั้น


เดอร์ริคยกไม้กางเขนเจิดจรัสขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกันก็ข่มใจมิให้มือสั่น


“ตกลง” โลเฟียร์เห็นพ้องกับข้อเสนอของโคลิน


ลงเอยด้วย ทีมสำรวจออกจากบันไดหินยักษ์และเดินไปทางซ้าย


เพียงไม่นาน พวกมันได้พบกับเส้นทางขรุขระ ฝั่งขวามือเป็นหน้าผาสูง ฝั่งซ้ายเป็นเหวไร้ก้นที่มีปุยเมฆสีขาวบดบัง ฉาบด้วยแสงสนธยาเจือจาง


แน่นอน เส้นทางนี้อาจดูแคบสำหรับคนยักษ์ แต่กว้างมากสำหรับทีมสำรวจ


ขณะกำลังย่างกราย เดอร์ริคและคนที่เหลือถูกกระตุ้นสัมผัสวิญญาณโดยพร้อมเพรียง จึงรีบหันไปทางด้านข้าง


ณ ริมขอบหน้าผาฝั่งซ้ายมือ ท่อนแขนสีน้ำเงินอมเทาจำนวนมหาศาลยื่นออกจากเมฆสีขาวอมส้ม


หากทั้งหมดนี่คือคนยักษ์ ต่อให้อยู่แค่ลำดับเจ็ดหรือหก แต่ด้วยปริมาณขนาดนี้ การบดขยี้ทีมสำรวจก็ไม่ใช่เรื่องยาก


ขณะโคลิน อีเลียดเตรียมเหวี่ยงดาบยาวในมือ ทันใดนั้นเดอร์ริคสัมผัสถึงบางสิ่งได้ จึงรีบยกไม้กางเขนเจิดจรัสในมือให้สูงขึ้นจากปรกติ พร้อมกับกดนิ้วลงบนแหนมจนเลือดสีแดงไหลออกมา


แสงยามเย็นซึ่งกำลังเปล่งออกจากไม้กางเขน พลันแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีขาวโพลนจนดูเหมือนกับเที่ยงวัน กลุ่มแสงแผ่ขยายไปจนถึงหน้าผาและปกคลุมร่างของคนยักษ์สีเทาน้ำเงินที่พยายามจะปืนขึ้น


คนยักษ์เหล่านี้ชะงักงันกะทันหัน ร่างกายเริ่มเลือนรางและสลายไปในที่สุด


พวกมันไม่ใช่คนยักษ์ตัวจริง แต่เป็นวิญญาณภูตผีที่หลงเหลือจากความตายอันน่าสังเวชของคนยักษ์เหล่านั้น ไม้กางเขนเจิดจรัสจึงสามารถชำระล้าง


วัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังในขอบเขตสุริยันย่อมเป็นของแสลงสำหรับวิญญาณอาฆาต ภูตผี และวิญญาณมาร


หลังจากจัดการกับฝูงสัตว์ประหลาดอย่างง่ายดาย ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์เริ่มเดินหน้าต่อไปด้วยความระมัดระวัง จนกระทั่งพ้นเขตภูเขาและหน้าผา เข้าสู่เขตของผืนป่าสีเทา


ภายในป่าเต็มไปด้วยต้นไม้สูงหลายสิบเมตรที่ท่าทางแข็ง แต่เปลือกไม้ลอกออกจนหมด ลำต้นเน่าตาย กิ่งและใบเหี่ยวเฉา มอบความรู้สึกหดหู่แก่สภาพแวดล้อม


กิ่งและใบเหล่านี้น่าจะเคยถักสานกันในอากาศและสร้างร่มเงาขนาดมหึมา บดบังแสงสนธยามิให้สาดส่องถึงพื้น แต่ปัจจุบัน เนื่องจากต้นไม้ล้มตายไปจนหมด แสงสีส้มแดงยามสนธยาจึงปกคลุมทั่วทุกจุดจนมองเห็นด้วยตาเปล่า


“ที่นี่คือป่าเสื่อมโทรมซึ่งเป็นจุดฝังศพบรรพบุรุษคนยักษ์… เป็นสุสานของพ่อและแม่ของราชาคนยักษ์” เดอร์ริคมองตรงพลางคำนวณว่าตนจะถือไม้กางเขนเจิดจรัสได้อีกนานแค่ไหน ขณะเดียวกันก็อธิบายประวัติของสถานที่กับเจ้าเมืองและสมาชิกในทีม


โคลิน อีเลียดจ้องเข้าไปในป่าสักพัก:


“ที่นี่ถูกทำลายไปแล้ว แม้จะมีอันตรายตกค้าง แต่ก็คงไม่มาก พวกเราสามารถลองสำรวจ”


“ครับ ท่านเจ้าเมือง” เดอร์ริคตอบสนองโดยไม่คัดค้าน “ไม้กางเขนของผมมีอำนาจมากในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ผมขอเป็นคนนำทาง”


มันยังไม่ลืม มิสเตอร์เวิร์ลเคยเตือนว่าภายในป่าเสื่อมโทรมอาจมีการกัดกร่อนหลงเหลืออยู่ และไม้กางเขนเจิดจรัสคืออุปกรณ์ที่ช่วยตรวจจับการกัดกร่อนได้ดีที่สุด


โคลินผมสีเทาพยักหน้ารับแผ่วเบา


“ระวังตัวด้วย”


เดอร์ริคสูดลมหายใจเงียบ ก่อนจะเดินนำเข้าไปในป่าเสื่อมโทรม


ระหว่างนั้น ฉวยโอกาสจากการอยู่ในตำแหน่งหน้าสุด มันแอบพึมพำพระนามเต็มของเดอะฟูล


หลังจากที่เคยถูกบดบังโดยแสงสนธยาจนมองไม่เห็นสิ่งใด ไคลน์ซึ่งตัดสินใจออฟไลน์และรอคอยอย่างอดทน ในที่สุดก็ได้เห็นสถานการณ์รอบตัวเดอะซันน้อยอย่างชัดเจน แต่ก็มิอาจขยายทัศนวิสัยให้กว้างได้มากนัก

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1114 : จิตตกค้าง

 

ภายในป่าซึ่งควรจะสลัวและเสื่อมโทรม กลับถูกปกคลุมไปด้วยแสงสนธยาสีส้มอมแดง ความเข้มข้นที่ลุกโชนราวกับเปลวไฟ มอบบรรยากาศสุกสว่างประหนึ่งมิอาจย้อนกลับ


เดอร์ริค·เบเกอร์ในท่าถือไม้กางเขนเจิดจรัส กำลังแผ่แสงบริสุทธิ์ออกจากร่างพร้อมกับเดินไปตรงไปอย่างเชื่องช้า ด้านหลังเฉียงซ้ายมีโคลิน·อีเลียดตามมาไม่ห่าง มือถือดาบยาวในท่าพร้อมฟัน ด้านหลังเฉียงขวาเป็นฮาอิมที่ช่วยถือค้อนยักษ์ เทพสายฟ้าคำรามเด็กหนุ่มลูกครึ่งคนยักษ์สูงสองเมตรกว่ารายนี้เตรียมสับเปลี่ยนสมบัติปิดผนึกกับเดอร์ริคทุกเมื่อ


ความสว่างของไม้กางเขนเจิดจรัสไม่ร้อนแรงเท่าที่ควร ราวกับดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าซึ่งเหลือเพียงแสงเรืองรอง


แต่แน่นอน ไม่มีใครในเมืองเงินพิสุทธิ์เคยเห็นฉากแบบนี้มาก่อน ทำได้แค่จินตนาการจากคำอธิบายในเอกสารโบราณ เฉกเช่นแสงสนธยาที่เพิ่งมีโอกาสได้เห็นวันนี้เป็นวันแรก


ฟ้าว!


ยิ่งทีมสำรวจตรงเข้าไปลึก เสียงสายลมก็เริ่มดังขึ้นในป่าเสื่อมโทรมซึ่งเคยเงียบสงบราวกับกาลเวลาหยุดนิ่ง


ทว่า เดอร์ริคและคนอื่นๆ กลับมิอาจสัมผัสถึงแรงลม


ฟ้าว!


เสียงสายลมรุนแรงขึ้นทุกขณะ สั่นคลอนจิตวิญญาณทุกคนอย่างหนักหน่วง เดอร์ริคอดไม่ได้ที่จะเย็นวาบไปถึงท้ายทอย เส้นขนลุกตั้งชัน ร่างกายและจิตใจเกิดความหนาวสั่น


หากเป็นในยามปรกติ สัญชาตญาณของมนุษย์จะสั่งให้ย่อคอและยกแขนขึ้นมาปกป้องท้ายทอย ตามด้วยการก็เหลียวซ้ายแลขวาเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ แต่เดอร์ริคมิได้ทำเช่นนั้นเพราะกำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมสุดพิเศษ การขยับมือหรือหันหน้าส่งเดชอาจทำให้ตอบสนองต่ออันตรายได้ไม่ทันท่วงที นอกจากนั้นด้านหลังมันยังมีเจ้าเมืองและพวกพ้องอีกมาก เดอร์ริคเชื่ออย่างสนิทใจว่า ทุกคนกำลังฝากชีวิตไว้กับตน


เสียงบางสิ่งแหวกอากาศดังขึ้น ใบมีดสีเงินที่มีอสรพิษสายฟ้าพันรอบพุ่งผ่านลำคอเดอร์ริค เสียบใส่ร่างที่พร่ามัวจนระเหยภายใต้แสงสนธยา


ขณะเดียวกัน ไม้กางเขนเจิดจรัสออกอาการหงุดหงิด รีบสลัดคราบความหม่นหมองและแผ่แสงบริสุทธิ์อีกครั้ง


สภาพแวดล้อมกลายเป็นสีขาวสว่างเจิดจ้า เงาดำจำนวนมากที่มีรูปร่างไม่ชัดเจนโผล่ขึ้นจากความว่างเปล่าทีละหนึ่ง ก่อนจะสลายไปภายใต้อำนาจแห่งแสงบริสุทธิ์


เมื่อทุกสิ่งจบลง เดอร์ริคมองตรงพลางตั้งคำถาม


“พวกมันคือตัวอะไร? ไม่เหมือนกับวิญญาณอาฆาต ภูตผี หรือวิญญาณมาร…”


นักล่าปีศาจโคลินมองไปรอบตัวและตอบเชื่องช้า


“เป็นออร่าที่ยังหลงเหลือ… ดูเหมือนว่าจะทำปฏิกิริยากับพลังสนธยาจนกลายพันธุ์”


ไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดแบบนี้มาก่อน… เดอร์ริคกำไม้กางเขนเจิดจรัสแน่น ขยับนิ้วที่ไม่ได้เสียบกับหนามให้กระชับกว่าเดิม


อาศัยไม้กางเขนเจิดจรัสที่มีพลังเฉพาะทาง ทีมสำรวจเคลื่อนที่ข้างหน้าอย่างราบรื่น เพียงไม่นานก็มาถึงส่วนลึกของป่าเสื่อมโทรมที่สามารถมองเห็นหน้าผาและเมฆสีส้มจากระยะไกลผ่านแนวต้นไม้


ความเสื่อมโทรมในบริเวณนี้ไม่ร้ายแรงเท่ากับด้านนอก กิ่งไม้และใบบางส่วนยังยื่นไปในกลางอากาศ ช่วยบดบังแสงสนธยาและสร้างสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างมืด


หลังจากเดินสำรวจป่าเขตดังกล่าวอย่างระมัดระวัง ดวงตาเดอร์ริคพลันไหววูบพร้อมเห็นป้ายหลุมศพสีเทาตั้งอยู่สองแผ่น


ยังไม่ทันจะได้ตรวจสอบอย่างละเอียด แสงสนธยาที่ส่องลอดผ่านช่องว่างกิ่งไม้และใบไม้ เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะพิสดาร พวกมันถักสานตัวเองและควบแน่นกลายเป็นร่างหนึ่งซึ่งมีความสูงเกือบสิบเมตร


ร่างดังกล่าวขาดความคมชัด แผ่บรรยากาศเก่าแก่และลึกลับเหนือจินตนาการ ราวกับเป็นภาพฉายจากตำนานเทพนิยาย


ผิวหนังสีเทาอมฟ้า สวมชุดเกราะสีเทาสว่างที่เปื้อนบางสิ่งคล้ายเลือด บนใบหน้ามีจุดแสงสีส้มคล้ายพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า หากพิจารณาจากตำแหน่ง แสงดังกล่าวน่าจะเป็นดวงตา ลำพังการมีตัวตนของสิ่งนี้ก็มากพอจะทำให้ห้วงมิติและต้นไม้โดยรอบบิดเบี้ยว ส่งผลให้ทุกสรรพสิ่งรอบตัวเผชิญภาวะเสื่อมถอยอย่างมิอาจขัดขืน


ได้เห็นฉากตรงหน้า ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจทุกคนอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่มีคำอธิบาย


ราชาคนยักษ์ เทพบรรพกาลเออเมียร์!


ผิวหนังของทีมสำรวจอย่างโจชัว ฮาอิม และแอนเทียน่าพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาอมฟ้า ผิวหนังบริเวณหว่างคิ้วเริ่มยุบพองและดีดดิ้น ประหนึ่งว่ามีสัตว์ประหลาดซ่อนตัวอยู่ใต้ผิวหนังและพยายามเจาะออกมา


เพียงพริบตา พวกมันทุกคนเข้าสู่ภาวะเสี่ยงคลุ้มคลั่ง


ทั้งที่ไม่ได้เห็นร่างสัตว์ในตำนาน แต่ลำพังการมีตัวตนของร่างปริศนาก็มากพอจะกระตุ้นให้คนเหล่านี้ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติ


เดอร์ริค·เบเกอร์ค่อนข้างปลอดภัยเนื่องจากถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่างจากไม้กางเขนเจิดจรัส แสงดังกล่าวมอบความรู้สึกอบอุ่นและช่วยให้ต้านทานการเสื่อมถอยได้ชั่วคราว


ในเวลาเดียวกัน โคลิน·อีเลียดทำการโน้มตัวไปด้านหน้า สองมือถือดาบสองเล่มที่เคลือบน้ำมัน จากนั้นก็พุ่งเข้าหาร่างปริศนาที่น่าสะพรึงด้วยความเร็วประหนึ่งพายุเฮอร์ริเคน


อย่างไรก็ตาม นักล่าปีศาจรายนี้มีได้พุ่งเข้าหาเป็นเส้นตรง มันอาศัยจังหวะเท้าสุดพิสดารเพื่อเข้าใกล้เป้าหมายในลักษณะฟันปลา


ร่างกายขนาดมหึมาที่ยืนเด่นสง่า ทำเพียงจ้องมองทุกคนด้วยดวงตาแสงสนธยาอย่างไร้อารมณ์ ประหนึ่งเทวรูปแกะสลักที่วิจิตรงดงาม


ทันใดนั้น แสงสว่างบนใบหน้าของมันไหววูบ


เป็นการก้มตัวลงเพื่อกระแทกหมัดลงบนพื้นอย่างแรง


เปรี้ยง!


ผืนแผ่นดินสั่นสะเทือนหนักหน่วงพร้อมกับเกิดรอยแยก ส่งผลให้เดอร์ริคและคนที่เหลือสูญเสียสมดุลร่างกาย ซวนเซราวกับจะเสียหลักล้ม


อย่างไรก็ตาม นักล่าปีศาจโคลินได้กระโดดขึ้นไปในอากาศก่อนแล้ว ลำตัวลอยจากพื้นกว่าสิบเมตร ก่อนจะสับดาบสองเล่มในมือสองข้างลงด้วยท่วงท่าองอาจสง่างาม


ในเวลาเดียวกัน ร่างที่คล้ายกับหลุดออกมาจากตำนาน ดึงดาบยักษ์มายาที่สร้างจากแสงสนธยาออกจากรอยแยกบนพื้น ตามด้วยการฟาดไปข้างหน้าเต็มแรง


เพียงพริบตา พายุแสงสีส้มก่อตัวขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมกับกลืนกินเดอร์ริคและคนที่เหลือ


หลังจากแสงสีส้มจากพายุแผ่ขยายออกไปทุกทิศ ต้นไม้พลันเหี่ยวเฉา ดินกลายเป็นทรายร่วน ทุกสรรพสิ่งเผชิญภาวะเสื่อมถอยอย่างเท่าเทียม


เปรี้ยง!


พายุที่ก่อตัวจากแสงสนธยาปะทะกับบางสิ่งที่คล้ายกำแพงล่องหน ส่งผลให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


อาวุโสโลเฟียร์โผล่มาอยู่ด้านข้างเดอร์ริคตั้งแต่ตอนไหนไม่มีใครทราบ เธอเสกอัศวินมายาร่างยักษ์ที่สวมเกาะสีเงินขึ้นตรงหน้าเด็กหนุ่ม


ร่างดังกล่าวมีดวงตาสีแดงก่ำราวกับเลือด มันคุกเข่าลงหนึ่งข้างพร้อมกับปักดาบมายาลงไปในพื้น เกิดเป็นกำแพงล่องหนสุดแข็งแกร่ง


เปรี้ยง!


ในเวลาเดียวกัน ดาบยาวสองเล่มของนักล่าปีศาจโคลิน ฟันกระทบกับผิวกายของร่างมหึมาที่สูงกว่าสิบเมตรซึ่งมีกลิ่นอายเทพบรรพกาลเจือจาง เกิดเป็นประกายไฟจำนวนมาก


ท่ามกลางประกายดาบสีเงินที่ส่องวิบวับอย่างต่อเนื่อง ร่างขนาดมหึมาแทบไม่ได้รับความเสียหาย มีเพียงคราบเลือดบนชุดเกราะสีเงินที่ดูเหมือนจะจางลงกว่าในตอนแรก


อาศัยแรงดีดจากพื้น โคลินกระโจนขึ้นอีกครั้งและหมุนตัวกลางอากาศเพื่อโจมตี


ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม มันไม่กล้าเผยร่างสัตว์ในตำนาน ด้วยเกรงว่าอาจย้อนกลับไปเป็นปรกติไม่ได้


เมื่อเห็นว่าตัวตนจากในตำนานกำลังถูกตรึงไว้ เดอร์ริครีบฟื้นตัวจากความโกลาหลพร้อมกับกดนิ้วลงบนหนาม แผดเผาศัตรูด้วยไม้กางเขนเจิดจรัส


เลือดของมันหยดลงบนไม้กางเขนพร้อมกับความเจ็บปวด จากนั้น แสงสีขาวโพลนพวยพุ่งออกไปทุกทิศ จนกระทั่งปกคลุมร่างที่สวมชุดเกราะสีเงินเปื้อนเลือดซึ่งมีดวงตาคล้ายกับพระอาทิตย์อัสดง


ท่ามกลางแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์ เคร่งขรึม และบริสุทธิ์ ร่างขนาดมหึมาชะงักงันในตำแหน่ง ประหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตามธรรมชาติที่แพ้ทางเต็มประตู ชุดเกราะสีเงินสว่างซึ่งสะท้อนกับแสงสนธยาเริ่มละลาย


ฉวยโอกาสดังกล่าว อัศวินเกราะเงินซึ่งเป็นวิญญาณมารของคนเลี้ยงแกะ โลเฟียร์ดึงดาบมายาที่ปักพื้นขึ้น จากนั้นก็พุ่งเข้าไปฟันศัตรู


น่าล่าปีศาจโคลินสับดาบยาวทั้งสองเล่มจากบนลงล่าง สร้างแสงสว่างคล้ายรุ่นอรุณปกคลุมศีรษะของตัวตนโบราณอย่างท่วมท้น


โดยไม่มัวรีรอ โจชัว ฮาอิม และคนที่เหลือต่างประเคนท่าไม้ตายของตนเข้าใส่ร่างกายขนาดมหึมา


ผ่านไปสามยก ร่างมายาที่คล้ายกับเดินทางข้ามเวลามาจากอดีต ในที่สุดก็เริ่มสลายตัวและกระจัดกระจายกลายเป็นละอองสีส้มลุกไหม้


นักล่าปีศาจโคลินร่อนลงพื้น เฝ้ามองเห็นการณ์พลางพึมพำ


“น่าจะเป็นจิตตกค้างของราชาคนยักษ์ที่ต้องการปกป้องที่นี่ เมื่อผสานเข้ากับสภาพแวดล้อม จิตดังกล่าวกลายพันธุ์และมีตัวตนขึ้นมาในลักษณะคล้ายวิญญาณมาร… ที่นี่ซ่อนความลับแบบไหนไว้กันแน่…”


ได้ยินคำพูดเจ้าเมือง สายตาทุกคู่มองไปยังเส้นทางที่ร่างมายาอันน่าสะพรึงพยายามยืนขวาง บรรยากาศเป็นไปอย่างตึงเครียด


โชคดีที่เป็นวิญญาณมาร เราสามารถสยบได้ด้วยไม้กางเขนเจิดจรัส… ขนาดว่านี่เป็นแค่เศษเสี้ยวจิตตกค้าง แทบเทียบไม่ได้กับร่างต้น แต่แม้จะผ่านมาหลายพันปีกลับยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้… เทพบรรพกาลตัวจริงจะทรงพลังขนาดไหนกัน… อา… ทำไมจิตตกค้างที่ต้องการปกป้องที่นี่ถึงได้รุนแรงนัก เพราะเป็นสุสานของพ่อแม่? เดอร์ริคถอนหายใจโล่งอก ขณะเดียวก็เกิดความสงสัยและอยากรู้อยากเห็น จึงเดินตามเจ้าเมืองและคนที่เหลือไปยังป้ายหลุมศพทั้งสองแผ่น


ฟู่ว… ไม่ต้องถึงมือเรา… ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม้กางเขนเจิดจรัสมีประโยชน์มากในวังราชาคนยักษ์… มีประโยชน์เสียจน… อดคิดไม่ได้ว่านี่อาจเป็นความต้องการของอาดัม… เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลายพร้อมกับลดคทาเทพสมุทรในมือลง


มันหันเหความสนใจไปยังตำแหน่งที่ราชาคนยักษ์พยายามปกป้องแม้จะผ่านไปกว่าพันปี


สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจก็คือ ป้ายหลุมศพเก่าแก่สองแผ่นที่สลักคำว่าพ่อและแม่เป็นภาษาคนยักษ์


ภาษายักษ์มีอำนาจในการกระตุ้นพลังธรรมชาติ ใครก็ตามที่ได้เห็นเป็นต้องเกิดความรู้สึกโศกเศร้า เจ็บปวด และโหยหา ซึมซับอิทธิพลทางจิตเข้าไปโดยไม่รู้ตัวจนสภาพจิตใจอ่อนเพลีย


ด้านหลังป้ายหินเป็นหลุมฝังศพ มีร่องรอยการถูกทำลาย เผยให้เห็นโลงศพสีเข้มสองโลงด้านล่าง


ราวกับมีใครบางคนรื้อหลุมศพเพียงเพื่อยืนยันบางสิ่ง ส่งผลให้โครงกระดูกสีเทาทั้งสองที่นอนในโลง ต้องอาบแสงสนธยาซึ่งส่องลอดผ่านกิ่งไม้และใบไม้ลงมา


โครงกระดูกทั้งสองมีเค้าโครงเป็นมนุษย์ สูงไม่เกินหนึ่งเมตรเก้าเซนติเมตรเมตร ส่วนอีกคนก็สูงไม่เกินหนึ่งเมตรแปดเซนติเมตรเมตร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)