Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1103-1108
ราชันเร้นลับ 1103 : คำใบ้
ไคลน์จำไม่ได้ว่าตนเคยคุยกับแฮงแมนเรื่องที่เส้นทางสุริยัน วายุ นักอ่าน ผู้ชม และคนเลี้ยงแกะสามารถสลับเปลี่ยนกันได้ไปหรือยัง หากต้องการจะนึกให้ออก เห็นทีต้องพึ่งพาการทำนายความฝันเพียงอย่างเดียว
แต่ในเมื่อแฮงแมนสงสัยในการวางตัวของโบสถ์วายุสลาตัน แปลว่ามีโอกาสสูงที่จะไม่เคยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันมาก่อน หรือเคยแล้วแต่อีกฝ่ายเชื่อมโยงข้อมูลไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ชายหนุ่มมองว่าตนควรประกาศจุดยืนของบรรดาโบสถ์หลักให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์ทราบโดยทั่วกัน จะได้หลีกเลี่ยงอันตรายในอนาคต
หลังจากถูกแฮงแมนจ้องมอง ไคลน์บังคับเดอะเวิร์ล เกอร์มัน สแปร์โรว์กล่าวเสียงต่ำเจือความไม่มั่นใจ
“วายุ สุริยัน นักอ่าน ผู้ชม และผู้วิงวอนความลับคือเส้นทางกลุ่มเดียวกัน… เช่นเดียวกันกับรัตติกาล เทพสงคราม มรณา… เส้นทางในกลุ่มเดียวกันมักจะไม่ลงรอยกัน แต่แน่นอน เรื่องนั้นไม่เสมอไป เพราะอย่างน้อยเจ็ดเทพจารีตก็จับมือเป็นพันธมิตรกัน”
เมื่อได้ยินคำตอบจากเดอะเวิร์ล แฮงแมน อัลเจอร์นึกถึงแผนการของอาดัมเป็นสิ่งแรก จากนั้นก็นึกทบทวนทัศนคติของโบสถ์วายุสลาตันและเริ่มกระจ่าง
ข้อมูลดังกล่าวทำให้มันมีความสุขและเกิดความรู้สึกเหนือกว่า ราวกับได้เห็นภาพรวมของสงครามก่อนใคร เป็นสิ่งที่แม้แต่สมาชิกเบื้องบนบางคนของโบสถ์ก็ยังไม่ทราบ
จัสติส ออเดรย์เริ่มเข้าใจความเงียบอันผิดธรรมชาติของอินทิส และยิ่งทวีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของลุนเบิร์ก มาซิล และเซกัล
นอกจากนั้นเธอยังได้ทราบว่า ตนสามารถย้ายไปดื่มโอสถ ผู้เจิดจรัส ผู้สังเวยภัยพิบัติ และลำดับสี่ ของเส้นทางนักอ่านได้
สำหรับลำดับสี่ของเส้นทางผู้วิงวอนความลับ หญิงสาวไม่เก็บมาคิดแม้แต่น้อย
แต่แน่นอน อันดับหนึ่งในใจยังคงเป็นจอมบงการ ออเดรย์ชื่นชอบธรรมชาติของเส้นทางผู้ชม แต่ขณะเดียวกันก็กังวลที่จะพัฒนาไปเป็นครึ่งเทพในเส้นทางดังกล่าว พฤติกรรมของเฮอร์วิน แรมบิสทำให้เธอเห็นตัวอย่างที่ไม่ดี และคุณสมบัติทุกการเอ่ยถึงจะถูกล่วงรู้ของอาดัมได้สร้างความหวาดระแวงให้เธอไม่น้อย จำเป็นต้องบำบัดจิตตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษา
เฮอร์มิท แคทลียาทราบข้อมูลเหล่านี้ดีอยู่แล้ว และยังรู้มากกว่าที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์เปิดเผย นั่นก็คือ เส้นทางผู้ส่องความลับกับนักปราชญ์อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เช่นเดียวกันกับเส้นทางผู้ตัดสินและนักกฎหมาย นักโทษและอาชญากร นักล่าและนักลอบสังหาร นักเพาะปลูกและนักปรุงยา
ขณะที่สมาชิกชุมนุมทาโรต์ขยายกรอบความคิด แฮงแมนกล่าวกับเดอะเวิร์ล
“ขอบคุณสำหรับคำตอบ”
มันไม่ได้เล่าในสิ่งที่ตัวเองกระจ่าง
อันที่จริง มีช่วงเวลาหนึ่งที่อัลเจอร์อยากจะออกจากโบสถ์วายุสลาตันและเปลี่ยนเส้นทาง เพราะนั่นคงอนาคตมากกว่าการรอโอกาสจากโบสถ์วายุสลาตันด้วยความหวังอันริบหรี่ แต่ในท้ายที่สุด มันปัดตกความคิดดังกล่าว เพราะหนึ่งในความฝันของมันคือการได้เป็นคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน จากนั้นก็ไต่เต้าไปเป็นคาร์ดินัลอันดับหนึ่ง เป็นเทวทูตผู้กุมอำนาจสูงสุดในฝ่ายทูตพิพากษาหรือไม่ก็ฝ่ายนักบวช
สำหรับตำแหน่งสันตะปาปา อัลเจอร์มิได้ปรารถนาแม้แต่น้อย เพราะนั่นจะเป็นการเข้าใกล้วายุสลาตันมากเกินไป
หากในท้ายที่สุด มันได้รับเลือกให้เป็นสันตะปาปาจริง อัลเจอร์สงสัยว่าตนคงถูกฟ้าผ่าจนกลายเป็นเนื้อบดทันทีที่นำมงกุฎมาสัมผัสศีรษะ
เมื่อพบว่าบทสนทนาของเดอะเวิร์ลและแฮงแมนจบลง เดอะมูน เอ็มลินถามด้วยความสงสัย
“เส้นทางนักปรุงยาใกล้เคียงกับเส้นทางใด?”
ด้วยความหยิ่งทะนงของเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด ย่อมไม่มีใครในตระกูลที่ต้องการเปลี่ยนเส้นทาง เพราะนั่นจะหมายถึงการสูญเสียตัวตนไปอย่างถาวร เอ็มลินจึงไม่เคยสนใจเรื่องนี้มาก่อน
“เส้นทางนักเพาะปลูกของโบสถ์พระแม่ธรณี” เฮอร์มิท แคทลียาตอบอย่างเป็นกันเอง
เส้นทางนักเพาะปลูก… ของโบสถ์พระแม่ธรณี… เดอะมูน เอ็มลินขมวดคิ้วคล้ายกับฉุกคิดบางสิ่ง
คราวนี้เป็นจัดจ์เมนต์ ซิลที่ถาม
“เส้นทางผู้ตัดสินใกล้เคียงเส้นทางใด”
“นักกฎหมาย” แคทลียาตอบห้วน
นักกฎหมาย… เส้นทางจักรพรรดิมืด… ถ้าอย่างนั้น หลังจากลำดับห้า เราสามารถสับเปลี่ยนไปยังลำดับ 4 ของเส้นทางจักรพรรดิมืดได้ ฟอร์สเคยเล่าว่ามิสเตอร์ฟูลมีไพ่เย้ยเทพของเส้นทางจักรพรรดิมืดซึ่งบรรจุความลับทั้งหมดของเส้นทางเอาไว้… ซิลเริ่มมองเห็นแสงแห่งความหวัง
ต้องไม่ลืมว่า เส้นทางผู้ตัดสินถูกผูกขาดจากถึงสองตระกูลราชวงศ์อย่างเข้มงวด แม้แต่กองทัพก็ยังมีสูตรโอสถแค่ลำดับล่างถึงกลาง หากต้องการเลื่อนลำดับให้สูงกว่าห้า จะต้องได้รับการอนุมัติจากราชวงศ์เท่านั้น เฉกเช่นที่ตำแหน่งนายพลของกองทัพต้องถูกแต่งตั้งโดยกษัตริย์หรือพระราชินี ในระหว่างพิธี สิ่งที่พวกมันจะได้รับคือโอสถและการอำนวยความสะดวก
สำหรับซิล นั่นหมายความว่าแทบจะหมดสิทธิ์ในการครอบครองสูตรโอสถหรือตะกอนพลังลำดับสี่ แห่งเส้นทางผู้ตัดสิน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าแนวป้องกันจะรัดกุมสักเพียงใด แต่ก็ต้องมีช่องโหว่เผยให้เห็น ครึ่งเทพของกองทัพล้วนทราบพิธีกรรม เพราะพวกมันเคยผ่านมาแล้ว และเนื่องจากเคยออกล่าสัตว์วิเศษกับราชวงศ์บ่อยครั้ง จึงพอจะตีกรอบวัตถุดิบหลักของโอสถให้แคบลงได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นการลองผิดลองถูกอยู่ดี และครึ่งเทพของกองทัพไม่มีทางเชี่ยวชาญวัตถุดิบ หากต้องการเลื่อนลำดับผ่านพวกมัน อันดับแรกที่ต้องทำคือสวดมนต์
แต่ในปัจจุบัน ซิลมองเห็นโอกาสใหม่ที่สดใส
ขณะเดียวกัน ออเดรย์เริ่มสรุปข้อมูลเส้นทางที่มิสเตอร์เวิร์ลและมาดามเฮอร์มิทเปิดเผย จากนั้นก็ตั้งคำถาม
“สำหรับเส้นทางนักโทษ อาชญากร นักล่า นักลอบสังหาร ผู้ส่องความลับ นักปราชญ์ และสัตว์ประหลาด เส้นทางใดอยู่กลุ่มเดียวกับใครบ้างหรือคะ?”
เดอะเวิร์ล เกอร์มัน สแปร์โรว์ชำเลืองไปทางเฮอร์มิทและตอบเสียงแหบพร่า
“นักโทษกับอาชญากร นักล่ากับนักลอบสังหาร นักปราชญ์และผู้ส่องความลับ”
ทั้งหมดคือข้อมูลที่ไคลน์สืบหามาได้ เส้นทางนักโทษและอาชญากรได้ยินมาจากบทสนทนาระหว่างวิญญาณมารเทวทูตสีชาดกับชารอน เส้นทางนักปราชญ์กับผู้ส่องความลับได้จากโรซายล์ และนักล่ากับนักลอบสังหารเกิดจากการรวบรวมข้อมูลในระยะหลังจนมั่นใจ
“แล้วสัตว์ประหลาดล่ะ? เหลือแค่เส้นทางเดียวแล้ว” เมจิกเชี่ยน ฟอร์สซึ่งนั่งฟังมาสักพัก อดไม่ได้ที่จะถาม
เมื่อแคทลียาเห็นว่าเกอร์มัน สแปร์โรว์ปิดปากเงียบ เธอไตร่ตรองสักพักก่อนจะพูด
“เส้นทางสัตว์ประหลาดไม่ถูกจำแนกให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับใคร พวกเขาต้องอยู่ตามลำพังเฉกเช่นชะตากรรม สำหรับเรื่องนี้ ฉันมั่นใจมาก… อย่าลืมว่ารากฐานของพลังพิเศษบนโลกเกิดจากความวุ่นวายและไม่เป็นระเบียบ”
แคทลียากล้ายืนยันเพราะว่า ในพิธีกรรมเลื่อนเป็นครึ่งเทพ เธอทำการวิเคราะห์เลือดของอสรพิษปรอทแห่งเส้นทางสัตว์ประหลาด
“อย่างนั้นหรือ…” ออเดรย์ค่อนข้างคาใจกับความไม่เข้าคู่ของเส้นทาง แต่สุดท้ายก็ปรับอารมณ์กลับมาเป็นปรกติ
หลังจากการแลกเปลี่ยนจบลง สมาชิกทุกคนหันมาทางเดอะซัน เดอร์ริค
เด็กหนุ่มไม่ลังเล รีบกล่าวเข้าประเด็น
“พวกเราออกเดินทางแล้ว ปัจจุบันเหลืออีกไม่ถึงครึ่งวันก็จะถึงหมู่บ้านยามบ่าย จากนั้นก็หยุดพักสักวันสองวันก่อนจะเริ่มสำรวจวังราชาคนยักษ์”
คำพูดของเดอะซันทำให้แฮงแมนและเฮอร์มิทรู้สึกว่าตำนานกำลังจะกลายเป็นจริง เมื่อเทียบกับซากสมรภูมิแห่งเทพแล้ว วังราชาคนยักษ์คือสัญลักษณ์อันโด่งดังที่มีการบันทึกไว้มากมาย
ด้านในจะซ่อนความลับใดไว้ และจะค้นพบสิ่งใดบ้าง!
แม้จะเคยติดตามเกอร์มัน·สแปร์โรว์เข้าไปในเมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิด ซึ่งมีศักดิ์ศรีทัดเทียมกับวังราชาคนยักษ์ แต่เดอะสตาร์กับมิสจัสติสก็ไม่ปิดบังความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับวังราชาคนยักษ์ของตน เพราะต้องไม่ลืมว่าการเดินทางของกรอซายที่มังกรจินตนาการขึ้น สูญเสียกระบวนการไปมากหลังจากหนังสือเปลี่ยนมือ นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็แทบไม่เหลือเบาะแสที่มีค่า เว้นเสียแต่ตัวอาคารและสถาปัตยกรรม มีเพียงเสาหินยักษ์ตั้งที่เรียงรายเท่านั้น จึงจะสร้างเสน่ห์ระดับเทวตำนานได้อย่างสมจริง
และเหนือสิ่งอื่นใด เดอะซัน เดอร์ริคเคยเล่าว่า เหล่าราชาเทวทูตต่างสมคบคิดแผนหักหลังภายในวังราชาคนยักษ์!
เดอะฟูล ไคลน์กำลังคิดเรื่องอื่น
เราต้องบอกให้เดอะซันน้อยสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลก่อนออกเดินทาง จากนั้นเราจะอาศัยดาวแดงตัวแทนเขาในการรับชมถ่ายทอดสดด้วยมุมมองที่กว้างไกล…
ด้วยวิธีดังกล่าว หากเกิดปัญหาขึ้นกับพวกเขา เราสามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงที แต่ปัญหาเดียวกันก็คือ มุมมองที่ได้จากการสวดวิงวอนจะอยู่ได้ไม่นานนัก…
ระยะเวลาของคำสวดวิงวอนไม่เกี่ยวกับปริมาณพลังวิญญาณ แต่เป็นเพราะการเชื่อมต่อนั้นหมดอายุและสลายไป สามารถคงไว้ได้นานที่สุดเพียงสี่สิบห้านาที… หรือควรบอกให้เดอะซันน้อยคอยสวดวิงวอนทุกๆ เวลาที่กำหนด? แต่แน่นอน ต้องไม่ทำในตอนที่กำลังต่อสู้ และห้ามให้คนใกล้ตัวล่วงรู้ความจริง…
ด้วยวิธีดังกล่าว พลังวิญญาณของเราจะทนได้นานสองชั่วโมง แตกต่างจากสมัยยังเป็นลำดับห้าโดยสิ้นเชิง แต่ส่วนหนึ่งคงมาจากการย่อยโอสถจอมเวทพิสดารได้ค่อนข้างคืบหน้า…
หลังจากไตร่ตรองสักพัก ไคลน์เลิกคุยกับตัวเองและบังคับให้เดอะเวิร์ลมอบคำใบ้แก่เดอะซัน
“ก่อนที่จะเริ่มสำรวจวังราชาคนยักษ์ คุณสามารถสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลเพื่อขอการอำนวยพร และระหว่างทางก็สวดวิงวอนได้เรื่อยๆ ตราบเท่าที่ต้องการ”
มิสเตอร์เวิร์ลนิสัยดีมาก… หลังจากเดอะซันขอบคุณจากก้นบึ้ง มันรีบหันศีรษะไปทางตำแหน่งประธานโต๊ะทองแดงยาว
ทันใดนั้น มันเห็นมิสเตอร์ฟูลที่รายล้อมด้วยสายหมอก พยักหน้ารับแผ่วเบา
ราชันเร้นลับ 1104 : ขัดแย้ง
ความเงียบปกคลุมสายหมอกสีเทาราวกับการชุมนุมเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
ไคลน์งอนิ้วเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาว เสกให้ไดอารีของโรซายล์ที่แคทลียาเพิ่งเขียนปรากฏอีกครั้ง
ท่ามกลางภาวะสงบนิ่งที่ยากอธิบาย ไคลน์จ้องย่อหน้าแรกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“27 กันยายน เราได้พบกับมิสอิทากาอีกครั้งและมีประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นแต่งดงามกับเธอ เป็นอย่างที่คิด เราชอบสตรีในวัยนี้มากกว่า ไม่ใช่เพียงเพราะคิดถึงช่วงชีวิตในวัยหนุ่ม แต่เป็นเพราะเราไม่เปลี่ยนไปเลยในช่วงที่ผ่านมา หึหึ”
…ฉันจริงจังกับไดอารีของนายมาก แต่กลับเขียนอะไรแบบนี้มาให้อ่าน? มุมปากไคลน์กระตุกขณะรำพันจิกกัดจักรพรรดิโรซายล์ที่ตนเคยเห็นแค่เพียงจากในรูป
มันสลัดความคิดฟุ้งซ่านพร้อมกับเริ่มขยับดวงตา
…
ชั้นใต้ดินของวิหารนักบุญแซมมวล ภายในห้องพัก
หลังจากเลียวนาร์ด·มิเชลลืมตาขึ้น มันไตร่ตรองสักพักก่อนจะพูดโดยหรี่เสียง
“ตาแก่… ดูเหมือนว่าซาราธจากลัทธิเร้นลับจะอยู่ในเบ็คลันด์”
ภายในใจ เสียงค่อนข้างชราดังขึ้นทันที
“อย่างที่คิด…”
ได้ยินคำตอบ เลียวนาร์ดถามกลับ
“ตาแก่ คุณรู้จักซาราธใช่ไหม? ผมจำได้ คุณเคยบอกว่าตระกูลซาราธและโซโรอาสเตอร์ต่างเป็นขุนนางใหญ่แห่งจักรวรรดิโซโลมอน”
ตามความเห็นของเลียวนาร์ด ในฐานะสหายเก่า ตาแก่กับซาราธจะต้องเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน แล้วจะไม่รู้จักได้อย่างไร?
พาลีส โซโรอาสเตอร์ ‘เฮอะ!’ ในลำคอ
“ซาราธที่ข้าคุ้นเคยน่าจะร่วงหล่นไปในสงครามสี่จักรพรรดิแล้ว เจ้านี่คงเป็นลูกหลาน หรือไม่ก็เด็กกว่านั้น… หึหึ ซาราธในช่วงเวลาดังกล่าวได้รับเบาะแสของตะกอนพลังลำดับ 1 ก้อนที่สองจากพระผู้สร้างแท้จริงมาแล้ว วางแผนจะไปตรวจสอบหลังจากสงครามจบลง หากทำสำเร็จ เจ้านั่นจะกลายเป็นราชาเทวทูตทันที แต่น่าเสียดาย… ซาราธในเวลานั้นต้องเผชิญหน้ากับตระกูลอันทีโกนัสซึ่งรู้จักกันในนาม ‘ฮาล์ฟฟูล’ นอกจากนั้นยังมีเบเทล·อับราฮัมเข้ามาเกี่ยวข้อง เจ้านั่นสามารถปรากฏตัวได้ทุกที่ทุกเวลา ว่ากันตามตรง หากเบเทล·อับราฮัมไม่ถูกขับไล่และผนึกโดยรัตติกาลกับวายุสลาตันตั้งแต่ต้นสงคราม เกรงว่าแม้แต่ข้าก็คงมิอาจอยู่รอดไปจนกระทั่งจบสงครามสี่จักรพรรดิ”
ฮาล์ฟฟูล… เปลือกตาเลียวนาร์ดกระตุกอย่างมิอาจหักห้าม อดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงตัวตนลึกลับเหนือสายหมอก
มันข่มสติและควบคุมความคิดของตัวเองให้ดำเนินไปในทิศทางอื่น
แม้แต่คำอธิบายของบุคคลใกล้ชิดในเวลานั้นก็ยังช่วยยืนยันว่า มิสเตอร์ประตูคือสุดยอดตัวตนในหมู่ราชาเทวทูต ขนาดเทพแท้จริงทั้งสองพระองค์ยังทำได้เพียงขับไล่และผนึกไว้ อา… แต่นั่นก็อาจเป็นไปได้ว่า มิสเตอร์ประตูเก่งกาจด้านการหลบหนีจนยากแก่การฆ่า… ภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียดของภาวะสงคราม ศัตรูตัวอันตรายควรถูกกีดกันออกจากสงครามให้เร็วที่สุดโดยไม่สนใจวิธีการ…
หึหึ เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต ตาแก่พลันกระสับกระส่ายและเล่าออกมามากมายในคราวเดียว…
ท่ามกลางกระแสความคิด เลียวนาร์ดพูดขึ้น
“ผมต้องอยู่ที่เบ็คลันด์เพราะคุณถูกใช้เป็นเหยื่อล่ออามุนด์?”
พาลีส·โซโรอาสเตอร์สลัดอารมณ์ด้านลบ
“ใครเป็นบอก? เจ้าไม่มีทางคิดได้เองแน่… แต่ช่างเถอะ การได้ทราบความจริงจากเครือข่ายข้อมูลก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายนัก”
ผมเก่งในเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่เข้าร่วมเหยี่ยวราตรีแล้ว! เลียวนาร์ดตอบในใจแบบไม่เปล่งเสียง
พาลีส·โซโรอาสเตอร์เล่าต่อ
“ข้าก็คิดแบบเดียวกัน… ขอสารภาพตามตรง ความสัมพันธ์ระหว่างอดีตเพื่อนร่วมงานของเจ้ากับรัตติกาลทำให้ข้าสับสนไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะพรแห่งการปกปิดในวันนั้นมอบความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ข้าเองก็คงไม่กล้าจินตนาการ… หึหึ ซาราธและข้าอยู่ที่เบ็คลันด์ ส่วนอามุนด์ก็กำลังจะตามมา… เกิดเป็นสามเหลี่ยมสมดุลที่สมบูรณ์”
หมายความว่ายังไง… พรแห่งการปกปิดในวันที่ใช้จัดการกับร่างโคลนอามุนด์เป็นพลังในขอบเขตรัตติกาล ไม่ใช่ของมิสเตอร์ฟูล? กำลังจะบอกว่ามิสเตอร์ฟูลร่วมมือกับเทพธิดา? หรือมีเบื้องบนของศาสนจักรคนใดศรัทธามิสเตอร์ฟูล? เลียวนาร์ดสับสนในจุดยืนตัวละครอย่างมาก
แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าพาลีส โซโรอาสเตอร์เองก็ประหลาดใจไม่น้อย มันตัดสินใจไม่ถามซักไซ้ประเด็นเดิม เพียงขมวดคิ้วและพึมพำ
“เทวทูตลำดับหนึ่ง สองตนกับอีกหนึ่งราชาเทวทูต… เบ็คลันด์จะไม่เกิดหายนะเอาหรือ?”
มันยังไม่ลืมว่า อามุนด์คือตัวตนสุดเลวร้ายที่สามารถฆ่าคนจำนวนมากได้อย่างเงียบเชียบ และชื่นชอบที่จะลิ้มรสประสบการณ์ของเหยื่อ
เมื่อพิจารณาจากจุดดังกล่าว ซาราธที่อยู่ในเส้นทางใกล้เคียงก็น่าจะมีพลังสุดน่าสะพรึงและสยองขวัญไม่ต่างกัน หากปะทะกับอามุนด์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากรุงเบ็คลันด์จะกลายเป็น ‘เมืองแห่งคนตาย’ หรือไม่ก็ ‘เมืองพิสดาร’ !
พาลีส·โซโรอาสเตอร์หัวเราะ
“สมดุลหมายถึงการที่ทุกคนขยับตัวไม่ได้ และนอกจากนั้น อามุนด์คงไม่ส่งร่างจริงมา อย่างมากก็เป็นร่างโคลนจำนวนมหาศาล… แม้ว่ารัตติกาลจะเสด็จลงมาไม่ได้ แต่ใช่ว่าวายุสลาตันจะไม่สามารถ”
“หมายความว่ายังไง?” เลียวนาร์ดสนใจคำสำคัญในประโยคของชายชรา
น้ำเสียงของพาลีส·โซโรอาสเตอร์แฝงความผ่อนคลายมากขึ้น
“ไม่ว่าจะเป็นเพราะสงครามหรือเหตุผลอื่น แต่รัตติกาลยังมิอาจแทรกแซงโลกความจริงได้อีกสักพักใหญ่ ไม่อย่างนั้นทางโบสถ์จะยอมเสี่ยงล่ออามุนด์เข้ามาถ่วงดุลอำนาจทำไม? พระองค์คงวางกับดักไว้แล้ว และเป็นกับดักที่สามารถจับกุมซาราธ หรือไม่ก็ทำให้นักทำนายขี้ขลาดนั่นเผ่นหนีหางจุกก้น”
“…มีอะไรเกิดขึ้นกับเทพธิดางั้นหรือ” เลียวนาร์ดกระวนกระวายใจทันที
เสียงค่อนข้างชราตอบ
“อาจไม่ใช่ในทางที่แย่เสมอไป… น่าจะเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ”
โดยไม่รอให้เลียวนาร์ดถาม พาลีส·โซโรอาสเตอร์ถอนหายใจพร้อมกับเล่าต่อ
“อามุนด์ถูกล่อมายังเบ็คลันด์เพราะข้า… แล้วซาราธล่ะ? แล้วข้าล่ะ?”
“ซาราธก็คงถูกล่อมาเพราะคุณเหมือนกัน ส่วนคุณอยู่ที่เบ็คลันด์ก็เพราะผม…” เลียวนาร์ดครุ่นคิดก่อนจะมอบคำตอบ
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่เบ็คลันด์” ซาราธถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
เลียวนาร์ดตอบทันที
“ศาสนจักรสั่งให้อยู่… ตัวผมไม่มีทางเข้าไปพัวพันกับกฎการดึงดูดของพลังพิเศษอยู่แล้ว”
“ไม่เสมอไป” พาลีสทำเสียงขรึม “มีหลายครั้งที่กฎการดึงดูดของพลังพิเศษเกิดขึ้นในจุดที่อยู่นอกเหนือการรับรู้ของเจ้า เป็นอิทธิพลในเชิงชะตากรรม ยกตัวอย่างเช่น ขณะกำลังนั่งรถไฟ เจ้ารู้สึกอย่างกะทันหันว่าวิวทิวทัศน์ระหว่างทางช่างงดงาม จึงตัดสินใจลงที่สถานีดังกล่าวและดื่มด่ำไปกับบรรยากาศในเมืองเล็ก แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะในละแวกใกล้เคียงมีตะกอนพลังหรือสมบัติวิเศษในเส้นทางเดียวกันอยู่”
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง ยังมีสิ่งอื่นที่คอยดึงดูดคุณกับซาราธให้อยู่ในเบ็คลันด์ และเนื่องจากชะตากรรมของคุณ ผมจึงได้รับผลกระทบด้วยการถูกทางศาสนจักรสั่งให้ประจำการในเบ็คลันด์?” เลียวนาร์ดที่เริ่มกระจ่าง ถามเพื่อขอคำยืนยัน
พาลีส·โซโรอาสเตอร์ถอนหายใจเชื่องช้า
“อย่ามองข้ามความเป็นไปได้ดังกล่าว”
…
เหนือมิติหมอก ไคลน์พลิกหน้ากระดาษไดอารีแสนมีค่า
“21 พฤศจิกายน เป็นเพราะเราเตรียมตัวอย่างบ้าคลั่งมาตั้งแต่ต้น จึงได้ครอบครองสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ที่น่าสะพรึงและวุ่นวายเร็วกว่าที่คิดไว้มาก”
“หลังจากนั้น เมื่อผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากซึ่งได้รับความช่วยเหลือบางส่วนจากภายนอก เราเปลี่ยนมันกลับไปเป็นตะกอนพลังบริสุทธิ์ของลำดับ 1 ได้สำเร็จ”
“ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า พิธีกรรมจะเสร็จสมบูรณ์ เราจะเลื่อนเป็นลำดับ 1 จักรพรรดิความรู้แห่งเส้นทางผู้ส่องความลับ”
“26 พฤศจิกายน แดดอ่อน อากาศเย็น”
“พิธีกรรมผ่านไปด้วยความราบรื่น เราย่อยมันได้อย่างสมบูรณ์ หลักยึดเหนี่ยวเองก็มั่นคงมาก ไม่มีสถานการณ์ที่ยากลำบากเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว”
“เนื่องจากเรากลายเป็นเทวทูตลำดับหนึ่ง จักรพรรดิความรู้ แบร์นาแดตจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับปราชญ์เร้นลับอีกต่อไป สามารถทำตามคติพจน์ ‘ทำทุกสิ่งที่อยากทำ แต่ต้องไม่เดือดร้อนใคร’ ได้อย่างอิสระ!”
“ขณะเดียวกัน การเป็นเทวทูตลำดับหนึ่ง ก็ยังหมายถึง เราสามารถทนต่อการจ้องมองและมลพิษจากอวกาศ ถึงเวลาแล้วที่จะไปสำรวจพระจันทร์สีแดงเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ที่นั่น”
“ไม่ว่ามิสเตอร์ประตูจะโกหกหรือไม่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พระจันทร์สีแดงคือต้นตอของปัญหาทั้งหมด หากเราต้องการเป็นเทพแท้จริง มีแต่ต้องหาคำตอบให้พบเท่านั้น”
“อีกสามวันข้างหน้า เราจะเหยียบพื้นดวงจันทร์!”
“อาจเป็นก้าวเล็กๆ ของเรา แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ! ฮะฮะ! คำนี้ไม่ได้คิดเองนะ”
อ่านถึงตรงนี้ ไคลน์หวนนึกถึงไดอารีหน้าที่สุดโต่งและอัดแน่นด้วยอารมณ์ และยิ่งทวีความเชื่อว่า ไดอารีหน้าดังกล่าวถูกเขียนขึ้นหลังจากมหาจักรพรรดิไปเหยียบดวงจันทร์มาแล้ว
วางไดอารีลง ไคลน์ตัดสินใจใช้พลังทำนายฝันเพื่อนึกทบทวนไดอารีทุกหน้าที่ตนเคยอ่านมาตลอดหนึ่งปีกว่า จากนั้นก็ทำการเปรียบเทียบก่อนและหลัง พยายามค้นหาเบาะแสที่ทำให้โรซายล์กลายเป็นบ้าในบั้นปลาย
เพียงไม่นาน มันเห็นแถวของตัวอักษรในความฝัน เป็นไดอารีที่เชื่อกันว่า นี่คือหน้าสุดท้ายที่จักรพรรดิเขียน
“ฉันคงมอบคำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงไม่ได้ เพราะไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเจ็ดเทพและเทพมารมาก่อน เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับข้อมูลลับที่ซ่อนอยู่ในศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองขององค์กรลับโบราณ แต่น่าเสียดายที่ฉันทำได้แค่เดาว่า คงมีเนื้อหาบางส่วนถูกซ่อนไว้”
ในไดอารีหน้าดังกล่าว จักรพรรดิกล่าวเตือน ‘สหาย’ อย่างใจเย็นให้คอยระวังดวงจันทร์
ภาพความฝันแตกสลาย ไคลน์ตื่นขึ้นด้วยดวงตาเจือความหวาดผวา
มันยังจดจำได้แม่นยำ ก่อนหน้านั้นนานมาแล้ว จักรพรรดิโรซายล์เคย ‘มั่นใจ’ ว่าศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองมีเนื้อหาบางส่วนถูกซ่อนไว้
“19 กรกฎาคม คืนจันทราโลหิต”
“คำตอบของมิสเตอร์ประตูช่วยยืนยันหนึ่งเรื่อง ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองที่เราเห็น นั่นยังไม่ใช่เนื้อหาที่สมบูรณ์!”
ได้ยังไง… จักรพรรดิลืม? ในเรื่องสำคัญแบบนี้เนี่ยนะ? ภาวะอารมณ์สุดโต่งไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับความจำเสื่อม… แล้วทำไมถึง… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะรำพัน ภายในใจรู้สึกหน่วงจนยากจะอธิบาย
มหาจักรพรรดิโรซายล์ซึ่งเขียนไดอารีหน้าสุดท้าย หรือประโยคสุดท้ายนั่น คล้ายกับเป็นคนละคน
ราชันเร้นลับ 1105 : ไดอารีสำคัญ
เหนือสายหมอกสีเทาที่ไม่สั่นไหว ไคลน์นั่งนิ่งบนเก้าอี้ประธานโต๊ะทองแดงยาวเก่าแก่ ดูคล้ายกับรูปปั้นหินที่ดำรงอยู่มานานนับแสนปี
จากการค้นพบล่าสุด มันสัมผัสถึงความหวาดกลัวที่สุมอยู่ในอก สัมผัสถึงความเย็นเยียบที่แผ่ซ่านจากท้ายทอยไปยังทุกจุดของร่างกาย ปลายนิ้วสั่นระริกเล็กน้อยแต่ชัดเจน
เป็นความรู้สึกราวกับได้เห็นเพื่อนสนิทเปลี่ยนเป็นคนอื่นภายในช่วงเวลาสั้นๆ ประหนึ่งถูกใครบางคนสวมรอยแทน
แน่นอน มีตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนกว่านั้นอยู่ สมมติให้เลียวนาร์ด มิเชลแวะมาที่บ้านไคลน์เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์ แต่ระหว่างกำลังพูดคุย อีกฝ่ายกลับหยิบแว่นตาขาเดียวขึ้นมาสวมบนตาขวา
หรือจะเป็นเพราะว่า ในตอนที่จักรพรรดิเหยียบลงบนดวงจันทร์สีแดง เขาได้รับมลพิษโดยไม่รู้ตัว แต่หลังจากนั้นกลับยังใช้ชีวิตประจำวันไปตามปรกติ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขานึกทบทวนอดีตจากไดอารี เริ่มวิเคราะห์ตัวเอง พูดคุยกับตัวเองจนกระทั่งตระหนักถึงสัญญาณบางอย่าง? หรือจะไม่ใช่มลพิษ แต่เป็นการสะกดจิตของอาดัม? แต่ในเวลาดังกล่าว โรซายล์อยู่ในลำดับหนึ่งเรียบร้อยแล้ว… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะก้มมองตัวเองและสมมติให้ภายในร่างกายมีอีกหนึ่งคนซ่อนอยู่ เป็นคนที่ไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง และบางทีก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียก ‘คน’ ได้ไหม
น่ากลัวฉิบ… ไคลน์ผ่อนลมหายใจลง หันเหความสนใจกลับไปที่ไดอารีจักรพรรดิโรซายล์
เพียงไม่นาน มันได้กับสิ่งที่ควรค่าแก่การใส่ใจ
“28 กรกฎาคม เป็นอีกครั้งที่เราเข้าร่วมชุมนุมขององค์กรลับโบราณ”
“จากบทสนทนาเรื่อยเปื่อยกับสมาชิก เราสังเกตเห็นปัญหา”
“เราเลื่อนลำดับเร็วเกินไปจนขาดประสบการณ์อย่างนั้นหรือ? ทำไมถึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน?”
“ยกตัวอย่างเช่น การกัดกร่อนจากอวกาศและใต้ดิน เราเพิ่งเคยได้ยินครั้งนี้ครั้งแรก!”
“หึหึ เราไม่มีทางทราบเลยว่าในบรรดาคนเหล่านี้ มีใครบ้างที่เป็น ‘ท่าน’ เกือบทั้งหมดไม่ต้องการเปิดเผยลำดับพลัง”
“อาศัยจังหวะที่สมาชิกอื่นกำลังพูดคุย เราหันไปกระซิบคุยกับมิสเตอร์เฮอร์มิสด้านข้าง หวังให้เขาช่วยเล่าเรื่องการกัดกร่อนจากอวกาศและใต้ดินมากกว่านี้”
“เฮอร์มิสระบุว่า ด้วยลำดับปัจจุบันของเรา นี่เป็นความรู้ที่ยังไม่ควรไปแตะต้อง ลำพังความเข้าใจก็มากพอจะทำให้เราถูกกัดกร่อน!”
“น่ากลัวขนาดนั้นเชียว? จะสักแค่ไหนกัน? เราได้แต่นึกสงสัย”
“ชายชราบอกกับเราว่า ไม่จำเป็นต้องสนใจการกัดกร่อนจากใต้ดินมากนัก เพราะพวกมันจะหายไปเองตามกาลเวลา… ย้อนกลับไปในอดีตเมื่อนานมาแล้ว สมัยที่เทพบรรพกาลยังโลดแล่นอยู่บนโลก สิ่งมีชีวิตทรงพลังพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่กลับกลายเป็นว่า สถานการณ์แย่ลงจนเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง ในภายหลัง พวกมันตัดสินใจล้มเลิกแผนการ เปลี่ยนไปใช้วิธีผนึกและเฝ้าระวังแทน”
“นับแต่นั้นเป็นต้นมา แม้จะยังมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์โดยรวมก็ถือว่ามั่นคง จวบจนปัจจุบัน ต่อให้ไม่มีผนึกหรือไม่มีคนคอยเฝ้า แต่ตราบใดที่ไม่เข้าใกล้มากเกินไป การกัดกร่อนก็จะไม่เกิดขึ้น”
“เรื่องดังกล่าวทำให้เราประหลาดใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่า ปัญหาจบลงได้เองโดยไม่ต้องถึงมือตัวเอกแห่งยุคสมัยคนนี้”
“ชายชราเฮอร์มิสกลับมาพูดเรื่องอวกาศอีกครั้ง ระบุว่าสถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน น่าสนใจ และอันตรายกว่าที่เราจินตนาการ เขาเน้นย้ำว่าแม้แต่เทวทูตลำดับ 1 และ 2 ก็ยังเข้าใจสถานการณ์ของอวกาศได้ไม่ดีพอ มีแค่ความรู้เพียงผิวเผิน ไม่ทราบว่านอกจากอันตราย บนอวกาศยังมีอีกหลายสิ่งซ่อนอยู่ หากไม่ใช่เพราะเฮอร์มิสเคยพบกับตัวตนที่สามารถท่องอวกาศได้ตามใจชอบ และได้ฟังเรื่องราวมาจากอีกฝ่าย ท่านก็คงนำมาเล่าให้เราฟังไม่ได้เช่นกัน”
“เรานึกสงสัย จึงถามออกไปว่าใครคือผู้ที่สามารถท่องอวกาศได้ตามใจชอบ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังคำตอบสักเท่าไร”
“ชายชราเฮอร์มิสไม่ปิดบัง เขาบอกว่าอีกฝ่ายคือมิสเตอร์ประตูเบเทล อับราฮัม”
“มิสเตอร์ประตู… เราแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก และถามเกี่ยวกับระดับของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติ”
“เฮอร์มิสมิได้ตอบตรงๆ เพียงกล่าวว่าในยุคสมัยที่สี่ แม้แต่เทวทูตก็ยังไม่ถูกเรียกว่า ‘ท่าน’ อย่างเปิดเผยนัก บุคคลที่สามารถถูกเรียกนำหน้าว่าท่านได้มีเพียงแค่หยิบมือ หนึ่งในนั้นคือมิสเตอร์ประตู ซึ่งที่เหลือล้วนเป็นเทพแท้จริงอย่างรัตติกาล วายุสลาตัน ธรณี”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า… ความแข็งแกร่งของมิสเตอร์ประตูอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดา”
การกัดกร่อนจากใต้ดินจะหายไปเองตามกาลเวลา? กระจกวิเศษอาโรเดสเคยบอกว่า หมอกสีเทาทำให้เจ้านั่นคิดถึงใต้ดิน… แถมยังหวังให้เราสำรวจใต้ดินหลังจากทวงคืนบัลลังก์เทพสำเร็จแล้ว แต่ลูก้า บรูว์สเตอร์ยืนกรานว่ายิ่งมีลำดับสูง อันตรายจากใต้ดินก็ยิ่งรุนแรง… ไคลน์ใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะทองแดงยาว เริ่มสับสนข้อมูลเกี่ยวกับใต้ดิน
แต่หนึ่งสิ่งที่ตรงกันก็คือ ไม่ว่าจะเป็นคำอธิบายของเฮอร์มิส สภาพของปราสาทร้าง และท่าทีของเทพธิดารัตติกาล ทั้งหมดล้วนบ่งชี้ว่าการกัดกร่อนจากใต้ดินจะเลือนหายไปตามกาลเวลา และวิธีรับมือที่ดีที่สุดคือการปล่อยทิ้งไว้
ฟู่ว… ถ้าอย่างนั้นก็เลิกกังวลเกี่ยวกับใต้ดินไปก่อน… คำพูดเฮอร์มิสตรงกับสถานการณ์ของประตูทองแดงในเมืองเลฟซิด มังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวลเคยลองแก้ปัญหาจากใต้ดินแล้ว แต่ก็ต้องล้มเหลวและเกิดเป็นความกลัวกับบาดแผลทางใจ… สำหรับปัจจุบัน อันตรายร้ายแรงที่สุดมาจากอวกาศ และลำดับของเรายังไม่สูงพอที่จะทำความเข้าใจข้อมูล… ไคลน์พึมพำกับตัวเองเสียวแผ่วก่อนจะพลิกหน้าไดอารีในมือ
อ่านไปได้ไม่กี่หน้า ไคลน์จ้องมองประโยคหนึ่ง
“31 ธันวาคม วันสิ้นปี และวันที่ดีที่สุดสำหรับการตัดสินใจเริ่มต้นใหม่”
“ตอนนี้เราตัดสินใจได้แล้วว่าจะสร้างสุสานทั้งแปดแห่งที่ไหน แต่แห่งสุดท้ายยังนึกไม่ออก”
“ต้องลึกลับยิ่งกว่าทั้งแปดแห่งก่อนหน้า ไม่อย่างนั้นก็ไร้ความหมาย”
“หลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานาน เรานึกถึงสถานที่หนึ่ง เป็นเกาะไร้ชื่อที่กริมม์ถูกฝัง”
“แน่นอน นรกเองก็เป็นหนึ่งในตัวเลือก เพียงแต่ว่า เราไม่พบปีศาจที่มีชีวิตในละแวกดังกล่าว มิอาจทำให้เชื่องและเปลี่ยนให้เป็นคนของเรา เลิกคิดเรื่องการสั่งให้สร้างสุสานไปได้เลย… มนุษย์ธรรมดายิ่งแล้วใหญ่ การเอาชีวิตรอดที่นั่นเป็นเรื่องยาก แม้แต่ผู้วิเศษที่แข็งแกร่งบางคนก็ยังมิอาจต้านทานการกัดกร่อนจากธรรมชาติของนรก”
“ลงเอยด้วย สภาพแวดล้อมของเกาะไร้ชื่อดังกล่าวดูเหมาะสมมากที่สุด”
“หึหึ… บรรดา ‘องค์ชายวิปลาส’ ในยุคสมัยที่สี่ยังเข้าใจคำว่า ‘ประชาชน’ ได้ไม่ดีพอ ตัวตนที่เรียกว่า ‘จักรพรรดิ’ ไม่จำเป็นต้องปกครองเฉพาะมนุษย์และสิ่งมีชีวิตกึ่งมนุษย์เท่านั้น แต่รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตทุกชนิด!”
“บนเกาะไร้ชื่อนั่นมีสัตว์วิเศษอยู่มาก พวกมันศรัทธาเราและติดตามเรา สามารถใช้เป็นแรงงานสำหรับสร้างสุสานได้”
“เขียนถึงตรงนี้ทำเอานึกถึงประสบการณ์เก่าสมัยอดีต เป็นตอนที่เราฝันถึงกริมม์และตัดสินใจย้อนกลับไปที่เกาะไร้ชื่อพร้อมกับเอ็ดเวิร์ด เบนจามิน และลูกน้องคนอื่น ภาพแรกที่ได้เห็นก็คือ เหล่าสัตว์วิเศษกำลังรวมตัวกันประกอบพิธีกรรม และกริมม์ที่ตายไปแล้วก็อยู่ในนั้นด้วย”
“เราตกใจมากในตอนนั้น ความกลัวที่ห่างหายไปนานปกคลุมจิตใจอย่างท่วมท้น ทุกสิ่งดูพิสดารไปเสียหมด”
“โชคร้าย เราต้องเสียวิลเลียมและโพลีในการสำรวจรอบดังกล่าว มีเพียงเอ็ดเวิร์ดและเบนจามินที่รอด หากไม่ใช่เพราะว่าเราแข็งแกร่งขึ้นมากและสามารถควบคุมสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ได้อย่างชำนาญ เกรงว่าทุกคนคงถูกฝังอยู่ที่นั่นพร้อมกัน”
“ไม่น่าเชื่อว่าความแข็งแกร่งของสัตว์วิเศษบนเกาะจะได้รับอิทธิพลมาจากอวกาศ และใครก็ตามที่ตายเพราะการกัดกร่อนจากอวกาศ จะถูกส่งคืนกลับไปยังต้นกำเนิด”
“โชคดีที่พลังจากอวกาศส่งอิทธิพลต่อโลกความจริงไม่มากนัก เราแก้ปัญหาสำเร็จและเปลี่ยนเกาะแห่งนั้นให้กลายเป็นฐานทัพลับ”
“เอาล่ะ ได้เวลาใช้งานมันแล้ว!”
หลังจากอ่านจบ ไคลน์มิได้ดีใจที่ตนเดาตำแหน่งของสุสานสุดท้ายถูก แต่กำลังขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ
ในแง่หนึ่ง มันเพิ่งรู้ว่าการกัดกร่อนจากอวกาศอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ และอีกแง่หนึ่ง ไคลน์รู้สึกว่าเกาะไร้ชื่อมิได้เป็นความลับขนาดนั้น เพราะนอกจากตัวโรซายล์ ยังมีมนุษย์อีกสองคนคือเอ็ดเวิร์ดและเบนจามิน ไม่สอดคล้องกับความ ‘ลับสุดยอด’ ที่โรซายล์ต้องการ
เป็นเพราะเอ็ดเวิร์ดกับเบนจามินเสียชีวิตตามธรรมชาติก่อนหน้านั้นแล้ว ความลับจึงไม่ถูกเปิดเผย? หรือเป็นเพราะโรซายล์สั่งให้ลูกน้องทั้งสองอยู่ที่เกาะไร้ชื่อไปตลอดกาล เพื่อแก้ปัญหาการถูกสื่อวิญญาณจากคนนอก? แต่แน่นอน ถ้าโรซายล์มีสมบัติปิดผนึกในขอบเขตของจิตใจ ก็คงไม่พลาดที่จะลบความทรงจำลูกน้อง… ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะพลิกอ่านไดอารีต่อ พยายามมองหาพิกัดของเกาะไร้ชื่อ
น่าเสียดาย แม้จะอ่านจนจบก็ยังไม่พบพิกัดที่ต้องการ แต่มีไดอารีหน้าหนึ่งเขียนอธิบายเกี่ยวกับความคิดในช่วงบั้นปลายของโรซายล์
“27 ธันวาคม เรากระสับกระส่ายตลอดเวลา เพราะมิอาจทราบได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป”
“เราไม่ต้องการความช่วยเหลืออีกแล้ว ขอแค่พวกเขารักษาความเป็นกลางเอาไว้ก็พอ”
“เรานำพาตัวเองเข้ามาอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่สุด สิ่งนี้เกิดจากความกล้าหาญและอับจนหนทางในเวลาเดียวกัน”
“ในบางครั้งเราก็สับสนตัวเอง ตอนนั้นคิดอะไรอยู่ถึงได้ย่างกรายเข้ามาในสถานการณ์เช่นนี้ทีละก้าว?”
“ถึงแม้จะสุดโต่งเกินไป แต่ก็เป็นสิ่งเดียวที่เราสามารถทำได้”
“เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว กังวลไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะไม่เพียงจะส่งผลต่อสภาพจิตใจ แต่ยังทำให้ความหวังอันเลือนรางยิ่งริบหรี่”
“หลังจากมาไกลขนาดนี้ ก็มีแต่ต้องมุ่งหน้าต่อไปจนกว่าจะได้พบกับแสงสว่าง”
“หึหึ… ความหวังทั้งหมดของเราสามารถสรุปได้ในประโยคเดียว”
“หมาจนตรอกมันจะดุร้ายที่สุด!”
ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า จักรพรรดิเลือกวิธีตายและคืนชีพเพื่อขจัดการมลพิษทางจิตและอาการเสียสติ… เป็นวิธีที่บ้ามาก เหมือนกับการวัดดวงเกมรัสเซียนรูเล็ตด้วยลูกกระสุนนัดเต็มโม่ โดยหวังให้กระสุนขัดลำกล้องไปเอง… ถ้าไม่ใช่คนที่มีความคิดสุดโต่งหรือหลุดกรอบมากๆ คงไม่มีทางวางแผนแบบนี้ได้… ไคลน์เอนหลังพิงพนัก นั่งเงียบงันภายในวังเป็นเวลานาน
เมื่อความคิดที่กระจัดกระจายทยอยกลับมารวมกัน ชายหนุ่มมองหาวิธีเดินทางไปที่เกาะไร้ชื่อ
ถ้าจำไม่ผิด เบนจามินซึ่งเคยไปเกาะไร้ชื่อกับจักรพรรดิ คือคนของตระกูลอับราฮัม… เราถามเรื่องนี้จากมิสเมจิกเชี่ยนได้… จริงสิ อีกเดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องแจ้งผ่านเดอะฟูล…
ทายาทของเอ็ดเวิร์ด วิลเลียม โพลี และคนที่เหลือ… คงต้องให้ราชินีเงื่อนงำสืบแทน นั่นคงเหมาะสมกว่า…
หลังจากวางแผนเสร็จ ไคลน์มองไปรอบตัว ถอนหายใจยาวพร้อมกับเลือนหายไปจากสายหมอกสีเทา
ราชันเร้นลับ 1106 : มีปฏิสัมพันธ์
กลับถึงโลกความจริง ไคลน์รีบหยิบปากกาและกระดาษขึ้นมาเขียน
“สืบหาเกาะไร้ชื่อที่พรากชีวิตกริมม์ วิลเลียม และโพลี ลองเริ่มต้นจากทายาทของเอ็ดเวิร์ด เบนจามิน อับราฮัม และผู้เสียชีวิตทั้งสามคน”
นี่คือจดหมายที่เขียนถึงราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดต ไคลน์จึงไม่เขียนอธิบายเหตุผล เพราะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจความหมาย
หลังจากพับกระดาษ ไคลน์สุ่มหยิบเทียนไขมาหนึ่งเล่มและเริ่มพิธีกรรม
เมื่อเตรียมการเสร็จ มันวางกระดาษจนหมายไว้บนแท่นบูชา เดินถอยหลังสองก้าว สวดเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“ตัวข้า! ขออัญเชิญในนามของข้า สิ่งมีชีวิตล่องหนซึ่งพเนจรท่ามกลางดินแดนเบื้องบน… วิญญาณพิสดารที่เป็นมิตรกับมนุษย์… ผู้ส่งสารที่เป็นของแบร์นาแดต กุสตาฟแต่เพียงผู้เดียว…”
ทันทีที่สิ้นเสียง สัมผัสวิญญาณของไคลน์ถูกกระตุ้นทันที จึงรีบเปิดเนตรวิญญาณตามจิตใต้สำนึก
แต่มันกลับไม่เห็นอะไรเลย
ทันใดนั้น ชายหนุ่มพบว่าจดหมายบนแท่นบูชาได้หายไปแล้ว
ผู้ส่งสารของราชินีเงื่อนงำพิเศษมาก… คราวหน้าคงต้องลองเปลี่ยนเป็นเนตรด้ายวิญญาณ… ไคลน์ผงะเล็กน้อยในตอนต้น ก่อนจะถอนหายใจยาวด้วยอารมณ์ซับซ้อน
…
ตกเย็น ท่ามกลางแสงสว่างจากโคมไฟถนน รถม้าคันหนึ่งแล่นตรงไปยังทางแยกระหว่างย่านสะพานเบ็คลันด์กับเขตตะวันออก จากนั้นก็จอดข้างทาง
ฟอร์สซึ่งแต่งกายด้วยเดรสยาวและผ้าคลุมสีดำ จ่ายเงินค่าโดยสารจำนวนสามซูลและลงจากรถม้า จากนั้นก็เดินไปตามเงามืดของถนน เตรียมอ้อมไกลเพื่อสลัดให้หลุดจากผู้แอบสะกดรอยตามในจินตนาการ
หลังจากจบชุมนุมทาโรต์ครั้งล่าสุด เธอขจัดความเกียจคร้านและเก็บกระเป๋าเพื่อออกไปเยี่ยมอดีตอาจารย์ เพื่อนร่วมห้อง และเพื่อนร่วมงาน
สำหรับเหตุผลหรือข้ออ้าง นั่นไม่จำเป็น ในสถานการณ์เช่นนี้ เป็นเรื่องปรกติที่จะแวะไปเยี่ยมคนรู้จักซึ่งได้รับผลกระทบจากการโจมตีทางอากาศ
ส่วนคำถามที่ว่าทำไมไม่มาเยี่ยมตั้งแต่สัปดาห์ก่อน นั่นเพราะในสายตาคนทั่วไป กรุงเบ็คลันด์ยังคงตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด อาจมีการโจมตีระลอกใหม่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ จึงไม่มีใครอยากออกจากบ้าน
เดิมที ฟอร์สเตรียมซักซ้อมบทสนทนาเพื่อชักนำหัวข้อไปสู่ตำนานภูตผีตามโรงพยาบาล แต่ใครจะไปคิดว่าการเตรียมตัวดังกล่าวสูญเปล่าโดยสิ้นเชิง เพราะไม่ว่าจะอดีตอาจารย์ อดีตเพื่อนร่วมงาน หรืออดีตเพื่อนร่วมรุ่น ทุกคนล้วนเป็นฝ่ายชวนคุยเกี่ยวกับตำนานภูตผีด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออาศัยอยู่แถวไหน แต่ตำนานภูตผีของโรงพยาบาลใหญ่ก็จะถูกเล่าไปในทำนองเดียวกัน ประหนึ่งภาพหลอนดังกล่าวเคยเกิดขึ้นจริง
ไม่สิ ฟอร์สเชื่อว่านี่ไม่ภาพหลอน จึงเริ่มกังวลว่าประสบการณ์สยองขวัญดังกล่าวจะเกิดขึ้นกับตัวเองในคืนนี้
เราไม่ต้องแต่งเติมเพิ่มเลย… รวมทั้งเรื่องที่คนไข้ได้รับการรักษาอย่างมหัศจรรย์และบางแผลทางใจถูกเยียวยา… นอกจากนั้น ฉากและสถานที่ล้วนเป็นของจริงที่ผู้คนต่างคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นกรุงเบ็คลันด์หรือโรงพยาบาลใหญ่ ทุกสิ่งลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบ… เราสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของหนังสือขายดีเล่มถัดไป สิ่งเดียวที่ต้องกังวลก็คือ เราไม่มั่นใจว่าจะเขียนนิยายแนวนี้ออกมาได้ดีไหม…
อึก… ปัญหาเดียวก็คือ นิยายเล่มนี้ยังขาดอารมณ์… หรือควรให้คนไข้สาวจุมพิตอย่างเร่าร้อนลงบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยเห็ดและวัชพืช? นั่นมันออกจะ… ขณะย่างกราย ฟอร์สไตร่ตรองหลายสิ่งในโหมดความคิดสร้างสรรค์
ทันใดนั้น การมองเห็นของหญิงสาวพร่ามัวเล็กน้อย ร่างหนึ่งโผล่ขึ้นจากเงาดำในจุดที่โคมไฟถนนส่องไม่ถึง
ร่างดังกล่าวสวมเสื้อกันลมสีดำและหมวกทรงกึ่งสูง ใบหน้าผอมเพรียวชัดลึก มอบบรรยากาศเคร่งขรึม หากไม่นับเรื่องที่ยังขาดแว่นตากรอบทองบนดั้งจมูก รูปลักษณ์ที่เหลือล้วนบ่งชี้ว่าเป็นนักผจญภัยเสียสติแห่งห้าห้วงสมุทร เกอร์มัน·สแปร์โรว์
แม้ฟอร์สจะทราบดีว่า เกอร์มัน สแปร์โรว์ไม่ได้มาล่าตน แต่หญิงสาวก็ยังอดไม่ได้ที่จะประหม่า ราวกับกำลังเผชิญหน้าอาจารย์เข้มงวดสมัยเรียน
“ส…สายัณห์สวัสดิ์” หญิงสาวลดความเร็วลง แต่ยังคงเดินเข้าไปทักทาย
ไคลน์พยักหน้าโดยไม่กล่าวคำใด เพียงดินเข้าไปในตรอกเงียบด้านข้างซึ่งปราศจากแสงสว่างเนื่องจากโคมไฟชำรุด
มองเข้าไปในตรอกมืด ฟอร์สเองก็มิได้กล่าวคำใด ก้มหน้าลงและเดินตามเกอร์มัน สแปร์โรว์เข้าไปอย่างไม่รีบร้อน
เมื่อถึงส่วนลึกของตรอก ไคลน์มองไปรอบตัวและกล่าวเสียงต่ำ
“ถามอาจารย์ของเธอว่ารู้จักเบนจามิน·อับราฮัมไหม ถ้าเข้ารู้จัก ผมต้องการข้อมูลทั้งหมด รวมถึงคำพูดและรูปภาพที่อีกฝ่ายทิ้งไว้”
“ต… ตกลง” ฟอร์สประหม่าเล็กน้อย เพราะเธอกำลังรอให้เกอร์มัน สแปร์โรว์เทเลพอร์ตไปยังตำแหน่งอื่น คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะฝากฝังงานกะทันหัน จึงตอบสนองแทบไม่ทัน
หญิงสาวมิได้ถามถึงเหตุผล เพียงรีบพยักหน้าขานรับราวกับไม่ว่าจะเป็นงานแบบไหนก็ทำให้
จากนั้น หญิงสาวสูดลมหายใจยาว รอให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินเข้ามาจับไหล่และเริ่มการเทเลพอร์ต
แต่หลังจากผ่านไปหลายวินาที ยังคงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ฟอร์สเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ พบว่ามิสเตอร์เวิร์ลยังคงยืนนิ่งและจ้องหน้าตน
ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงอันแผ่วเบาของอีกฝ่าย
“เขียนสิ… จดหมายน่ะ”
เขียน… ฟอร์สไม่ถามถึงเหตุผล เพียงตอบตามสัญชาตญาณ
“ฉ…ฉันไม่ได้นำกระดาษ ปากกา ซองจดหมาย หรือตราประทับมา”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ทั้งสี่อย่างถูกโยนมาตรงหน้า
“…” ฟอร์สรับเครื่องเขียนอย่างลนลานและเดินออกจากตรอกไปสามสี่ก้าว รีบเขียนจดหมายถึงอาจารย์ของตน โดเรียน·เกรย์·อับราฮัมโดยอาศัยแสงสว่างจากโคมไฟถนนและผนัง
ไคลน์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง รอคอยอย่างอดทน ไม่เผยท่าทีเร่งรัด
อันที่จริง มันแอบจับตามองมิสเมจิกเชี่ยนมานานแล้ว เพียงแต่ไม่โผล่หน้าออกมา
อาศัยที่อยู่ที่ฟอร์สเคยแจ้ง มันแอบจับตามองนับตั้งแต่อีกฝ่ายออกจากบ่ายในตอนบ่าย กระทำโดยการให้หุ่นเชิดสวดวิงวอนถึงเทพสมุทร คาเวทูว่าอย่างต่อเนื่องโดยที่ร่างต้นอยู่บนมิติหมอก ใช้จุดแสงของผู้สวดวิงวอนเป็นจุดตั้งต้นสำหรับตรวจสอบสถานการณ์รอบตัวเมจิกเชี่ยน
ด้วยความช่วยเหลือจากตาทิพย์ ไคลน์ยืนยันได้ว่าซาราธมิได้กำลังจับตามองมิสเมจิกเชี่ยน การติดต่อจะไม่มีอันตราย
หลังจากทราบว่าเมจิกเชี่ยนเคยอยู่ใกล้กับหุ่นเชิดของซาราธมาแล้ว มีหรือที่ไคลน์จะวางใจและพาเธอท่องเที่ยวอย่างสบายใจ?
แต่สำหรับตอนนี้ มันมั่นใจแล้วว่า ซาราธในช่วงเวลาดังกล่าวกำลังสนใจสมบัติปิดผนึกของตระกูลอับราฮัม หรือไม่ก็นักบุญเร้นลับ โบทิส โดยมิได้แยแสผู้วิเศษลำดับ 6 ตัวเล็กๆ แม้แต่น้อย ความจริงที่ว่าเธอคือสาวกของเดอะฟูลยังไม่ถูกเปิดเผย
ไม่กี่วินาทีถัดมา ฟอร์สเขียนจดหมายเสร็จและใช้สมุนไพรเหนียวที่พกติดตัวแทนกาว ปิดผนึกซองและติดตราไปรษณียากร
“ให้นำไปใส่ตู้ไปรษณีย์ใช่ไหม?” ฟอร์สก้มมองกระดาษจดหมายซึ่งมีชื่อจริงและที่อยู่ของอาจารย์เขียนไว้ ก่อนจะซักถามด้วยความลังเล
เธอเชื่อว่าตนควรทำเรื่องนี้เอง เพราะการปล่อยให้เกอร์มัน สแปร์โรว์ทำแทนคงไม่ใช่เรื่องดี อาจารย์ของเธออาจได้รับอันตราย
แต่แน่นอน หากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ยืนกรานที่จะทำ เธอก็ไม่มีทางเลือก
ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา
“กลับมาที่นี่หลังจากหย่อนเสร็จแล้ว”
ฟู่ว… ฟอร์สถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก รีบหันหลังกลับและวิ่งไปตามถนนจนกระทั่งพบตู้ไปรษณีย์
หลังจากจัดการทั้งหมดเสร็จและกลับมาถึงตรอกมืด เธอไม่รอให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์พูด แต่รีบคืนปากกา กระดาษ ตราไปรษณียากรที่ยังเหลืออีกสองดวง จากนั้นก็ชิงกล่าว
“ใช้แค่ดวงเดียว”
ไคลน์ชำเลืองมิสเมจิกเชี่ยนด้วยหางตา รับปากกาและตราไปรษณียากรพร้อมกับกล่าว
“แปลว่าอาจารย์ของคุณอาศัยอยู่ห่างจากเบ็คลันด์ไม่เกินหนึ่งร้อยกิโลเมตร”
“…” สีหน้าฟอร์สพลันแข็งทื่อ
ท่าทีแบบนั้นมันอะไรกัน? ฉันรู้แม้กระทั่งว่า อาจารย์ของเธออยู่ที่ท่าเรือพริสต์ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะยังไม่ย้ายไปไหน… ส่วนเหตุผลที่เธอได้รับตราไปรษณียากรสามดวง แน่นอน นั่นเพราะฉันจงใจ… ไคลน์พึมพำเงียบ เดินไม่กี่ก้าวจนกระทั่งประชิดตัวมิสเมจิกเชี่ยน
ชายหนุ่มเหยียดแขนซ้ายที่สวมถุงมือสีใสออกไปคว้าไหล่สตรีฝั่งตรงข้าม
เมจิกเชี่ยน ฟอร์สก้มหน้าลงตามสัญชาตญาณ
ทันใดนั้น สีสันรอบตัวทวีความฉูดฉาด ซ้อนทับหลายชั้น นอกจากนั้นยังมีเงารางจำนวนมากที่ยากจะอธิบาย
เมื่อทัศนวิสัยกลับเป็นโทนสีปรกติ ฟอร์สเงยหน้าขึ้นราวกับร่างกายขยับไปตามเงื่อนไข ตามด้วยการกล่าวขอบคุณ
ทว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้หายตัวไปแล้ว!
ฟอร์สมองไปรอบตัวด้วยสีหน้ามึนงงสุดขีด พบว่าตนกำลังอยู่ที่ใดสักแห่งซึ่งปลอดคน ประตูด้านหน้ามีเสียงเอะอะและกลิ่นหอมของไวน์
เธอรีบดึงผ้าขึ้นมาคลุมหัวด้วยความกลัวต่างถิ่น จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไปและพบกับผู้ชายจำนวนมากที่แต่งกายในชุดโจรสลัด
เกือบทั้งหมดพกมีดไว้ตรงเอว แต่ไม่พกปืน ส่วนใหญ่ดื่มเหล้าและกำลังถกเถียงกันว่า กองเรือรบของฟุซัคหรือโลเอ็นที่แข็งแกร่งกว่ากัน ในหมู่บุรุษยังมีสตรีเลอโฉมปะปนอยู่หลายคน บางคนกำลังเต้นรำดุจดังผีเสื้อ
ฟอร์สแต่งกายในเดรสกระโปรงยาวตามแบบฉบับเบ็คลันด์ สวมเสื้อคลุมสีเข้ม ผมสีน้ำตาลหยักศกตอนปลาย บรรยากาศค่อนข้างภูมิฐาน แต่กลับมีนิสัยขี้กลัว เปรียบดังลูกแกะที่หลุดเข้ามาในฝูงหมาป่า ด้วยภาพลักษณ์ที่ขัดแย้งกับสภาพแวดล้อมอย่างชัดเจน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน
เธอไม่คุ้นเคยกับภาษาที่คนรอบตัวใช้ คล้ายกับเป็นแขนงหนึ่งของสาขาที่เธอถนัด เพียงแต่ต้องใช้เวลาปรับตัวสักพัก
เรากำลังอยู่ที่ไหน ทำอะไร และพวกเขาเป็นใคร… ท่ามกลางความฉงนของฟอร์ส ชายร่างใหญ่แหวกเข้ามาหาและพูดกับเธอเป็นภาษาโลเอ็นตะกุกตะกัก
“สิบซูล… หนึ่งคืน!”
ฟอร์สแฝงตัวอยู่ในแวดวงผู้วิเศษหลายแห่ง แม้จะยังไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่เธอมั่นใจว่าตนกำลังเผชิญสถานการณ์แบบใดอยู่ ทันใดนั้น แสงในดวงตาหญิงสาวเริ่มควบแน่นในจุดเดียวอย่างผิดธรรมชาติ
บรรยากาศน่าเกรงขามแผ่ซ่านออกจากร่างกายหญิงสาว ส่งผลให้คนรอบข้างเบื้องหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว
นี่คืออำนาจของโอสถผู้พิพากษาเป็นลำดับที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ
…
ทะเลคลั่ง เกาะไซรอส
เดนิสซ่อนตัวในเงามืด คอยจับตามองพ่อค้าข่าว บัสต์ด้วยความรอบคอบและตั้งใจ
ราชันเร้นลับ 1107 : ผ่อนคลาย
ในฐานะนักล่าผู้เป็นเจ้าของผ้าคลุมเงาเดนิสมักซ่อนตัวและสะกดรอยได้ดี ต้องไม่ลืมว่าเมื่อก่อนเคยช่วยเกอร์มัน·สแปร์โรว์จัดการกับเหล็กกล้าแม็ควิตี้ แต่ปัจจุบัน เนื่องจากเป้าหมายแทบไม่มีความเคลื่นไหว มันจึงรู้สึกเบื่อหน่ายและหวังให้แอนเดอร์สันมาเปลี่ยนกะโดยเร็ว
ชีวิตแบบนี้จะจบลงตอนไหน? ได้โปรด พลเรือโทโรคภัยช่วยปรากฏตัวออกมาสักที… ไม่สิ ยังไม่ใช่ตอนนี้ ต้องรอให้แอนเดอร์สันกลับมาก่อน… ขณะเดนิสรำพัน มันรีบยุติคำภาวนา
มันกังวลว่านายพลโจรสลัดอย่างเทรซี่จะสังเกตเห็นการซ่อนตัวในเงามืดของตน เพราะไม่มีความกล้าและฝีมือมากพอที่จะปะทะกับอีกฝ่าย
แต่แน่นอน หากมันสวมถุงมือ ปัญหาด้านความกล้าก็จะหมดไป
ตราบใดที่ตัดสินใจได้หุนหันพลันแล่นมากพอ ความกลัวและขี้ขลาดก็จะตามไม่ทัน!
“นายดูเครียดๆ นะ” ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูเดนิส
เดนิสผงะพร้อมกับกระโดดออกจากเงามืด เปลวไฟสีส้มก่อตัวบนฝ่ามืออย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน มันรีบมองไปทางต้นเสียงและพบแอนเดอร์สันกำลังซ่อนตัวในพุ่มไม้ด้านข้าง บนศีรษะมีกิ่งไม้และใบสีเขียวประดับ เรียกได้ว่ากลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม
“…แม่เย็*!” เดนิสเองไม่ก็ทราบว่ามันสบถใส่แอนเดอร์สันหรือตัวเอง จากนั้นก็ระบาย “นายมาตั้งแต่ตอนไหน?”
“สองนาทีที่แล้ว” แอนเดอร์สันตอบพลางยิ้ม “ซ่อนตัวได้ไม่เลว ตอนแรกฉันหานายไม่พบ เลยตัดสินใจมาหาในจุดที่คิดว่านายน่าจะอยู่และถามหยั่งเชิงดู”
เดนิสไม่รู้ว่าตนควรภูมิใจหรือสาปแช่งอีกฝ่ายดี มันถามกลับไปด้วยสีหน้าซับซ้อน
“หมายความว่าถ้าฉันรักษาความเยือกเย็นไว้ได้ นายจะมองไม่เห็น?”
“ทางทฤษฎีก็ใช่” แอนเดอร์สันยิ้มหน้านิ่ง “แต่ในฐานะนักล่ามากประสบการณ์ ฉันมีวิธีมากมายในการค้นหา”
ขณะเดนิสเตรียมถามว่ามีวิธีใดบ้าง ทันใดนั้นมันเห็นบัสต์ในห้องดับเทียนไขและเตรียมเข้านอน
ผ่านไปหลายสิบวินาที ท่ามกลางความมืด ร่างอันเลือนรางของพ่อค้าข่าว บัสต์ โผล่ตรงหน้าต่างพร้อมกับกระโจนออกมาด้วยเสียงเงียบ เท้าสัมผัสกับพื้นด้านนอกในจุดที่แสงส่องไม่ถึง
บริเวณดังกล่าวคือจุดที่เดนิสกำลังซ่อนตัว และมันเกือบถูกเป้าหมายเหยียบหน้าในสภาพกลมกลืนกับเงามืด
บัสต์เดินตามแนวเงามืดไปจนถึงทะเล
“…แม่เย็*!” เดนิสโผล่ออกมาอีกครั้งในมุมอับสายตาด้านหลังบัสต์ ตามด้วยการยกนิ้วกลาง
แอนเดอร์สันเองก็ออกจากพุ่มไม้เล็กด้านข้าง ดึงกิ่งไม้และใบไม้บนหัวพร้อมกับยิ้มให้เดนิส
“ดูเหมือนว่าคืนนี้จะได้ผลลัพธ์”
เดนิสชำเลืองนักล่าอันดับหนึ่งแห่งทะเลหมอกพลางพยักหน้า
“หวังว่าจะเป็นพลเรือโทโรคภัย”
มันจับไหล่แอนเดอร์สันและพาเดินสะกดรอยพ่อค้าข่าวตามแนวเงาดำ รักษาระยะห่างที่เหมาะสม
“ก็ไม่โง่นี่…” แอนเดอร์สันยิ้มหลังจากจับตามองสักพัก
เดนิส ‘หึหึ’ ในลำคอโดยไม่เปล่งเสียง
หากไม่ได้สวมถุงมือ มันทราบดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามัวถากถางกันเอง!
สิบห้านาทีถัดมา บัสต์เดินมาถึงทะเลและหยุดยืนบนชายหาด จ้องมองไปยังมหาสมุทรสีน้ำเงินเข้มท่ามกลางแสงจันทร์สีแดง
โดยไม่ต้องรอนาน เค้าโครงขนาดใหญ่ถูกวาดขึ้นจากส่วนลึกของทะเล จนกระทั่งภาพเรือใบสีดำธงขาวปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
บนธงเรือเป็นภาพของกะโหลกศีรษะที่เบ้าตาสองข้างลุกโชนไปด้วยเปลวไฟสีฟ้าอ่อน
กาฬมรณะ!
เรือธงของพลเรือโทโรคภัย เทรซี่ กาฬมรณะ!
เดนิสตื่นเต้นทันที หากไม่ใช่เพราะกำลังผสานกับเงา รูม่านตาของมันคงเบิกกว้างเพื่อรับแสงให้ได้มากขึ้น จะได้เก็บรายละเอียดของเรือโจรสลัดตรงหน้าอย่างชัดเจน
มันแอบย่อยเข้าไปใกล้ตามความเคยชิน ด้วยต้องการยืนยันว่าบนเรือมีพลเรือโทโรคภัย เทรซี่ โดยสารมาด้วย
เรือใบลำใหญ่แล่นเข้ามาใกล้ทุกขณะ สองนักล่าในเงามืดเริ่มเห็นลูกเรือที่กำลังวิ่งวุ่นบนดาดฟ้า
แถวนี้มีท่าเรือให้จอด? หรือจะให้บัสต์จะส่งเรือเล็กมารับบัสต์ขึ้นไป? ขณะเดนิสครุ่นคิด มันได้ยินเสียงทุ้มของแอนเดอร์สัน
“รีบไปจากที่นี่”
เห…? เดนิสมีคุณสมบัติที่ดีอยู่หนึ่งข้อ นั่นคือการเชื่อฟังคำสั่งของผู้มีอำนาจอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะต่อหน้าเอ็ดวิน่าเอ็ดเวิร์ดหรือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มันไม่เคยเสียเวลาโต้แย้งคำสั่ง ไม่ว่าจะเต็มไปด้วยคำถามมากเพียงใดก็ตาม ตอนนี้ก็เช่นกัน มันสลัดความเห็นส่วนตัวและรีบเผ่นออกจากชายหาดอย่างเงียบเชียบ
เมื่อมองไม่เห็นกาฬมรณะ และได้ยินเพียงเสียงคลื่นทะเลเบาบาง เดนิสออกจากเงามืด โผล่ตัวในป่าพร้อมกับตั้งคำถาม
“เรายังไม่ทันได้เห็นว่าพลเรือเอกโรคภัยอยู่บนเรือไหม”
แอนเดอร์สันจ้องเดนิสหัวจรดเท้าพลางหัวเราะ
“อย่าได้ดูแคลนผู้วิเศษคนดังในทะเลที่รอดชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน นายพลโจรสลัดทุกคนคือเป้าหมายที่ต้องรับมือด้วยความรอบคอบเป็นพิเศษ”
เดนิสโต้แย้งโดยไม่รู้ตัว
“พลเรือเอกโลหิต เซนอล พลเรือเอกขุมนรก ลูเธอร์ไวล์…”
ชื่อเหล่านี้คือพลเรือเอกที่ถูกเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ‘เก็บ’ อย่างง่ายดาย
“…” แอนเดอร์สันมิอาจหาคำมาโต้แย้งได้เป็นเวลานาน จนกระทั่งฉุกคิดบางสิ่งและกล่าว “ดังนั้น เมื่ออีกฝ่ายคือพลเรือโทโรคภัยที่เคยถูกเกอร์มัน·สแปร์โรว์ลอบสังหารแต่รอดมาได้ ก็ยิ่งต้องรอบคอบเป็นพิเศษไม่ใช่หรือ?”
เดนิสครุ่นคิดสักพักและพบว่าคำพูดแอนเดอร์สันค่อนข้างสมเหตุสมผล แต่ขณะกำลังจะกล่าวบางสิ่ง มันคันคอและไอออกมา
หลังจากไออยู่นาน คอของมันเริ่มบวมและเจ็บ แถมยังมีกลิ่นสนิม
“เห็นไหม… บอกแล้วให้ระวัง” แอนเดอร์สันกำหมัดป้องปากไอเล็กน้อย แต่ไม่รุนแรงเท่าเดนิส “เทรซี่คงซ่อนตัวอยู่ภายในเรือและคอยแพร่กระจายโรค เมื่อมีใครเข้าไปใกล้ อีกฝ่ายจะติดเชื้อและถูกบังคับให้เผยตัว อา… พิจารณาจากรัศมีของพลัง เธอน่าจะย่อยโอสถลำดับห้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว รอโอกาสที่จะเลื่อนเป็นลำดับ 4”
“แล้วทำไมถึงเดาว่ายังเป็นแค่ลำดับห้าไม่ใช่สี่?” อาการของเดนิสบรรเทาลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากอยู่ห่างกับแหล่งโรค
“ถ้าเธอเป็นลำดับสี่ ตอนนี้นายน่าจะถูกจับขึ้นกาฬมรณะเรียบร้อยแล้ว หรือไม่ก็กำลังทุกข์ทรมานใกล้ตาย” แอนเดอร์สันหมุนตัวครึ่งรอบ หันหน้าไปทางทะเลที่มองไม่เห็น “เมื่อครู่ การปล่อยโรคของเทรซี่อาศัยเทคนิคช่วยเล็กน้อย เป็นการเน้นปล่อยโรคเฉพาะด้านหน้าเรือโดยไม่สนใจอีกสามทิศที่เหลือ จากนั้นก็อาศัยลมทะเลพัดโรคเข้าฝั่ง”
กล่าวถึงตรงนี้ แอนเดอร์สันปรบมือแผ่วเบาพร้อมกับยิ้ม
“ประสบการณ์เมื่อครู่คือเครื่องยืนยันแล้วว่าพลเรือโทโรคภัยอยู่บนเรือ… นายแจ้งข่าวให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้เลย”
“…” เดนิสไม่ลังเลอีกต่อไป รีบประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสาร ส่วนแอนเดอร์สันรีบเดินออกมาโดยใช้ข้ออ้าง ‘ช่วยป้องกันเหตุร้าย’
…
ตีสาม เขตตะวันออกของเบ็คลันด์ สภาพแวดล้อมมืดมิด มีเพียงแสงจากดวงจันทร์และดวงดาว
ไคลน์แต่งกายด้วยชุดนอนผ้าฝ้ายและหมวกคลุมหัว นั่งลงบนเตียงพร้อมกับรับจดหมายจากไรเน็ตต์ ไทน์เคอร์โดยไม่ถาม
หลังจากเปิดอ่าน มันลุกขึ้นอย่างสุขุม หยิบปากกาในกระเป๋าเสื้อออกมาเขียนด้านหลังกระดาษจดหมาย
“กลับไปที่เมืองท่าและรอคำสั่งถัดไป”
หลังจากเฝ้ามองผู้ส่งสารเดินเข้าไปในโลกวิญญาณ ไคลน์สวมเสื้อเชิ้ต เสื้อกั๊ก และเสื้อกันลมสีดำอย่างไม่รีบร้อน
จากนั้น ชายหนุ่มเดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้ามิติเหนือสายหมอกและใช้จี้บุษราคัมทำนายระดับอันตรายของปฏิบัติการ ทว่า มันกลับไม่ได้รับคำตอบ
โดยปราศจากความลังเล ไคลน์ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง เดินมายืนหน้ากระจกเงาและหยิบหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูงขึ้นมาสวม
ในห้องด้านนอก หุ่นเชิดโจนาส โคลเกอร์และเอ็นยูนลืมตาขึ้นบนเตียงสองชั้น
…
บนกาฬมรณะ ภายในห้องว่างแห่งหนึ่ง ร่างของมนุษย์ถูกวาดขึ้นอย่างรวดเร็ว เส้นผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล ใบหน้าเย็นชา โครงหน้าชัดลึก เหมือนกับเกอร์มัน สแปร์โรว์ทุกประการ
ท่ามกลางแสงจันทร์สีแดงสลัว ไคลน์กวาดสายตาไปรอบตัว เมื่อพบเก้าอี้ตัวหนึ่ง มันเดินไปนั่งและเชยชมทัศนียภาพของทะเลยามค่ำคืนด้านนอกหน้าต่าง
ภายในห้องกัปตันที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งชั้น พลเรือโทโรคภัย เทรซี่ซึ่งแต่งกายในเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขายาวสีเบจ มองบัสต์เดินออกจากห้องด้วยสายตารังเกียจ ตามด้วยการจัดปกเสื้อและทำหน้าขรึม
เธอได้ทราบว่า เดนิสและแอนเดอร์สัน นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด กำลังพักอยู่บนเกาะไซรอสโดยไม่ทราบจุดประสงค์
พวกมันเกี่ยวข้องกับเกอร์มัน สแปร์โรว์… หมอนั่นยังคิดจะตามล่าเราอยู่? เทรซี่หรี่ตาลงและเดินไปยังริมหน้าต่าง เตรียมออกคำสั่งให้ลูกเรือบนดาดฟ้าหักหัวเรือแล่นกลับทะเล
ทันใดนั้น ความคิดของเธอเริ่มเฉื่อยชา ประหนึ่งกำลังตื่นระหว่างฝัน แต่กลับมิอาจขยับร่างกายไม่ว่าจะดิ้นรนสักเพียงใด
ท่าไม่ดีแล้ว… เทรซี่รีบเสกเปลวไฟสีดำ หมายเผาทำลายอิทธิพลจากภายนอก
ทว่า เปลวไฟ ‘ลุกโชน’ ได้ราบรื่นได้แค่ช่วงแรก ก่อนจะร่วงกราวลงบนพื้นประหนึ่งกลีบดอกไม้เหี่ยวเฉา
ความสิ้นหวังกำลังกัดกินจิตใจเทรซี่อย่างหนัก ความคิดของเธอเชื่องช้าลงทุกวินาที
ด้วยความสิ้นหวัง เทรซี่สร้างผลึกน้ำแข็งสีใสห่อหุ้มผิวกาย หวังเป็นอิสระจากด้ายล่องหนและปกป้องตัวเองด้วยกำบังหนาหลายชั้น
ขณะเดียวกัน ประตูห้องกัปตันเปิดออกพร้อมกับเสียงไม้เสียดสี เกอร์มัน สแปร์โรว์แต่งกายด้วยหมวกผ้าไหมและเสื้อกันลมย่างกรายเข้ามา
ทันทีหลังจากนั้น มันปิดประตูอย่างสุภาพ
ท่ามกลางเสียงปิดสนิท ห้องกัปตันเงียบจนผิดวิสัย เสียงคลื่นทะเลเลือนหายไป ราวกับที่นี่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
ไม่เพียงเท่านั้น คล้ายกับใยแมงมุมล่องหนที่พันรอบร่างกายเทรซี่เข้าใจคำสั่งผิด พวกมันรัดร่างพลเรือโทโรคภัยแน่นจนมิอาจกระดุกกระดิกหรือใช้พลังพิเศษ
พลังบิดเบือน!
ความคิดเทรซี่กลับคืนมา สมองไม่เฉื่อยชาเหมือนในตอนแรก
“นายต้องการอะไร?” เธอจ้องหน้าเกอร์มัน สแปร์โรว์ที่ย่างสามขุมเข้ามาอย่างองอาจ
สิ่งที่เธอไม่เข้าใจก็คือ ทั้งที่ตนหมดสิทธิ์ต่อต้านโดยสิ้นเชิงแล้ว เหตุใดอีกฝ่ายถึงยกเลิกการเข้าควบคุมด้ายวิญญาณ
ไคลน์ทำเช่นนี้เพราะสงสัยว่า พลเรือโทโรคภัยกับแม่มดขาวน่าจะมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดอย่างใกล้ชิด หากลงมือฆ่าเทรซี่ เกรงว่าครึ่งเทพที่ถนัดพลังสาปแช่งจะไหวตัวทันและหลบหนีไป
ท่ามกลางเสียงฝีเท้า กึก กึก กึก ไคลน์หยุดลงตรงหน้าแม่มด
ราชันเร้นลับ 1108 : ครอบครัวที่ยุ่งเหยิง
เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่ตอบ หัวใจเทรซี่พลันดำดิ่ง ราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง
ทันทีที่พลเรือโทโรคภัยเผยสีหน้าสิ้นหวัง ไคลน์หยิบเศษกระดาษออกจากกระเป๋าเสื้อและสะบัดข้อมือ ดีดไปด้านหน้าประหนึ่งไพ่
ท่ามกลางเสียงแหวกอากาศ เศษกระดาษแข็งตัวราวกับโลหะ ตัดผ่านใยแม่มุมล่องหน ผ่านผลึกน้ำแข็งสีใส และผ่านต้นแขนซ้ายของเทรซี่จนเลือดสดสาดกระเซ็น
กระดาษถูกย้อมกลายเป็นสีแดง พุ่งผ่านเทรซี่ไปทางด้านหลังและวกกลับมาหามือไคลน์
“…” เทรซี่เข้าใจว่ากระดาษแผ่นดังกล่าวจะตัดคอตน แต่กลับต้องผิดคาด เพราะท้ายที่สุดเฉือนโดนแค่ต้นแขน เธอจึงมึนงงไปพักใหญ่ จนกระทั่งเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์พับกระดาษหลายทบและวางลงบนกล่องบุหรี่เล็ก เทรซี่ตัดสินใจเปิดปากพูด “เป้าหมายที่แท้จริงของนายคือคาร์เทอริน่าสินะ”
ไคลน์เก็บกล่องบุหรี่โลหะกลับเข้าไปในกระเป๋าโดยไม่ตอบ แต่เป็นฝ่ายตั้งคำถาม
“เป็นทายาทของเธอหรือ”
ได้ยินคำพูดดังกล่าว เทรซี่ซึ่งถูกขังอยู่ในผลึกน้ำแข็งและใยแมงมุม ระเบิดเสียงหัวเราะ
“ไม่ใช่แค่ทายาท แต่ฉันเป็นลูกของเธอ”
ลูก… ลูกสาว… ไคลน์รู้ลึกโล่งใจที่ตนไม่ได้ฆ่าเทรซี่ส่งเดช ไม่อย่างนั้นอาจทำให้แม่มดขาวตระหนักถึงความผิดปรกติ ขณะเดียวกันก็พยายามวิเคราะห์ตามสามัญสำนึกว่า คาร์เทอริน่าเป็นพ่อหรือเป็นแม่ ‘สาวน้อยโรคภัย’ เทรซี่กันแน่
หากคาร์เทอริน่าเคยเป็นชาย เธอก็มีสิทธิ์เป็นพ่อของเทรซี่ แต่ปัญหาคือ เธอเป็นครึ่งเทพลำดับ 4 มาตั้งแต่ช่วงปลายยุคสมัยที่สี่ ‘ยุคสมัยแห่งความไร้ชีวิตชีวา’ ในทางกลับกัน สำหรับเส้นทางนักลอบสังหาร โอสถที่เปลี่ยนเพศคือลำดับ 7 แม่มด…
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าคาร์เทอริน่าเป็นพ่อของเทรซี่ นายพลโจรสลัดผู้นี้ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันสามร้อยปี แต่ผู้วิเศษลำดับ 5 ไม่มีทางอายุยืนยาวขนาดนั้น แม้แต่ลำดับ 4 ส่วนใหญ่ และลำดับ 3 บางคนก็ยังทำไม่ได้!
ถ้าอย่างนั้น คำตอบก็มีเพียงหนึ่งเดียว คาร์เทอริน่าเป็นคนคลอดเทรซี่ออกมา และน่าจะเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงยี่สิบสามสิบปีที่แล้ว… แม่ที่มีอายุมากกว่าหนึ่งพันสามร้อยปี… ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย ถามหยั่งเชิงโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“หล่อนเป็นแม่ของเธอ?”
สีหน้าเทรซี่เริ่มบิดเบี้ยว
“เปล่า… เป็นแม่ผู้ให้กำเนิด”
ขณะไคลน์กำลังจะถามว่าต่างกันตรงไหน เทรซี่กล่าวจิกกัดตัวเอง
“ตอนนี้แม่ของฉันเป็นคนอื่น… คนที่เคยเป็นพ่อ”
ครอบครัวของพวกแม่มดนี่น่าปวดหัวฉิบ… แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลให้เธอต้องนำหายนะมาสู่โลก… ไคลน์อาศัยพลังตัวตลกเพื่อควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้า ขณะเดียวกันก็ยังคงจ้อง ‘สาวน้อยโรคภัย’ ต่อไป
เทรซี่ซึ่งตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง เริ่มปลงและถอนหายใจยาว ชิงหัวเราะเยาะตัวเองก่อนที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะได้กล่าวคำใด
“บางที ทุกสิ่งมันอาจจะผิดเพี้ยนมาตั้งแต่ตอนที่ฉันเกิด”
“พ่อแม่ที่ผิดเพี้ยน ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ผิดเพี้ยน และนิกายที่ผิดเพี้ยน ทุกสิ่งหล่อหลอมตัวฉัน ขณะเดียวกันก็กัดกร่อนฉัน… ตอนอายุแปดขวบ ฉันพบว่าพ่อที่ตัวเองยกย่องมาตลอดกลายเป็นผู้หญิง… ร่างกายพ่ออ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง แต่กลับบริหารเสน่ห์เก่งขึ้นทุกวัน… ในภายหลังพ่อได้คบหากับเพื่อนชายและคลอดน้องชายออกมา… นายพอจะจินตนาการความรู้สึกออกไหม? เมื่อฉันตัดสินใจหนีออกจากบ้านและผจญภัยในทะเล ผ่านการทำงานหนักนานหลายปี ในที่สุดสภาพจิตใจของฉันก็กลับเป็นปรกติ เข้าสังคมได้เหมือนคนทั่วไป และเริ่มมีความฝันเป็นของตัวเอง… แต่ทันใดนั้น โอสถก็เปลี่ยนให้ฉันเป็นผู้หญิง… ฮะฮะ! ผู้หญิงล่ะ…”
ไคลน์ที่ฟังอย่างเงียบงัน กล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“กระตุ้นคนเก่งเหมือนกันนี่”
“…” เทรซี่อ้าปากค้าง ก่อนจะถอนหายใจและยิ้มขื่นขม “ฉันยอมรับว่าฉันพยายามกระตุ้นความเห็นอกเห็นใจของนาย… ไม่ว่าใครก็อยากมีชีวิตรอดทั้งนั้น จริงไหม? แต่ว่า… ฉันไม่ได้โกหกนะ ที่เล่ามาคือประสบการณ์ชีวิตจริงๆ”
หญิงสาวเว้นวรรค หยุดทำสีหน้าโศกเศร้าและเจ็บปวด
“ก่อนที่จะถูกฆ่า… ฉันอยากถามคำถามง่ายๆ ที่นายน่าจะตอบได้”
“ว่ามา” ไคลน์จ้องหน้าแม่มดฝั่งตรงข้าม
เทรซี่ลังเลสักพัก ก่อนจะถามออกมาในที่สุด
“เอลเลนรู้เรื่องที่นายจะมาลอบสังหารฉันเมื่อคราวก่อนไหม”
ไคลน์เงียบไปครู่หนึ่ง
“เธอไม่รู้ว่าฉันจะทำอะไร”
ใบหน้าเทรซี่มีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย
“เป็นความจริงหรือ?”
แต่ไม่เปิดโอกาสให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์พูด เทรซี่กล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน
“ก่อนจะตาย ฉันขอร้องนายสักเรื่องได้ไหม… ถ้าได้พบเอลเลนอีก ช่วยบอกเธอว่าฉันรู้สึกผิดกับสิ่งที่ผ่านมา แต่ไม่เสียใจที่ได้ทำลงไป”
กล่าวจบ เทรซี่พยายามส่ายหน้า แต่ก็ถูกพันธนาการด้วยผลึกน้ำแข็งและใยแมงมุมล่องหน ผลลัพธ์จึงล้มเหลว
เธอพูดประชดตัวเอง
“เปลี่ยนใจแล้ว นายไม่จำเป็นต้องบอก… รีบลงมือเถอะ”
กล่าวจบ เทรซี่หลับตาลง
ผ่านไปหลายวินาที หญิงสาวไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างที่คาดหวัง แต่กลับได้ยินเสียงทุ้มลึกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แทน
“พูดตามฉัน ไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวนฉัน”
“…” เทรซี่ประหลาดใจมาก ภายในใจเต็มไปด้วยความสับสน ถึงขั้นแสดงออกทางสีหน้า
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเตรียมใจตายไว้แล้ว เรื่องเล็กน้อยแบบนี้จึงไม่ใช่ปัญหา เธอเปิดปากตะโกนออกไปโดยไม่คิดมาก
“ไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวนฉัน”
ทันทีที่กล่าวจบ เสียงแบบเดียวกันก้องกังวานไปทั่วกาฬมรณะ
ไม่มีโจรสลัดคนใดตั้งคำถาม ราวกับคำสั่งประหลาดเช่นนี้คือสิ่งที่ยอมรับได้ เพียงก้มหน้าทำงานของตัวเองและพยายามเลี่ยงห้องกัปตัน
กัปตันบอกว่าห้ามรบกวน ดังนั้น พวกมันห้ามเข้าใกล้ด้วยประการทั้งปวง!
ขณะเดียวกัน เทรซี่เห็นเกอร์มัน สแปร์โรว์ถอดหมวกทรงกึ่งสูง นำลงมาทาบหน้าอกและโค้งศีรษะประหนึ่งเตรียมอำลา
จากนั้น เธอรู้สึกราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง บรรยากาศรอบตัวเงียบงันสุดขีด แม้แต่นักผจญภัยเสียสติก็ไม่อยู่แล้ว
เธอได้รับสภาพแวดล้อมไม่ถูกรบกวนตามที่พูด
นี่คือพลังขยายและบิดเบือนของเส้นทางนักกฎหมาย!
น้ำแข็งบนลำตัวเทรซี่เริ่มละลาย แต่ใยแมงมุมล่องหนกลับยังพันธนาการแน่นหนา กีดกันมิให้เธอกระดุกกระดิก กระทั่งการเปลี่ยนจุดศูนย์ถ่วงร่างกายก็ยังทำไม่ได้
สิ่งเดียวที่เทรซี่ทำได้คือการยืนแน่นิ่งราวกับหุ่นขี้ผึ้ง
“หมอนั่นไม่ฆ่าเรา…” เทรซี่มองตรงด้วยสายตาเหม่อลอย ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งเกิด
เธอไม่คิดว่าเกอร์มัน สแปร์โรว์จะไว้ชีวิตเพราะสงสาร ต้องไม่ลืมว่า นักผจญภัยเสียสติรายนี้ฆ่าโจรสลัดไปมาก และทุกครั้งก็ไม่เคยลังเล แม้เทรซี่จะมั่นใจว่าตนมิได้ชั่วร้ายเหมือนกับแม่มดปรกติ แต่ในฐานะโจรสลัด มีหรือที่จะไม่เคยทำเรื่องผิดกฎหมาย ทั้งค้ามนุษย์และปล้นเรือโดยสาร เธอเคยทำมาหมดแล้ว
ในทำนองเดียวกัน เทรซี่ไม่คิดว่าเกอร์มัน สแปร์โรว์จะหลงเสน่ห์ตน เพราะดวงตาอีกฝ่ายเปี่ยมไปด้วยความเย็นชาราวกับจ้องมองคนตาย
“ต้องมีเหตุผลอื่นแน่…” เทรซี่เปลี่ยนมุมมองความคิด ลองเชื่อมโยงกับสิ่งที่เธออาจมีส่วนเกี่ยวข้อง จากนั้นก็วิเคราะห์ “เรากับท่านแม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอย่างใกล้ชิด และแม่มดที่เก่งกาจมักถนัดเวทคำสาป หากเราตาย ท่านแม่จะรู้ทันทีว่ามีปัญหาเกิดขึ้นและไหวตัวทัน ส่งผลให้แผนการถัดไปของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ล้มเหลว… ดูเหมือนว่า ไม่สำคัญว่าแผนการขั้นถัดไปของนักผจญภัยเสียสติจะสำเร็จหรือไม่ แต่มีโอกาสที่เขาจะย้อนกลับมาฆ่าเรา… หากต้องการมีชีวิตรอด เราต้องช่วยตัวเองให้ได้เท่านั้น”
เดิมที เทรซี่มิได้สนิทสนมกับคาร์เทอริน่าผู้เป็นแม่บังเกิดเกล้ามากนัก เพราะ ‘แม่มดยุพนิรันดร์’ รายนี้มีชีวิตอยู่มานาน ส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่กับชายหนุ่มอายุน้อยเพื่อรักษาสภาพจิตใจที่อ่อนเยาว์ การคลอดลูกแต่ละครั้งจึงแทบไม่ตื่นเต้น มีเพียงนานๆ ทีที่จะรู้สึกพิเศษกับลูกคนใหม่
ทว่า เมื่อเทรซี่โตขึ้น คาร์เทอริน่าเริ่มมองว่าเทรซี่เหมือนตนในอดีต จึงคอยให้ความช่วยเหลือมากเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม เทรซี่ไม่ต้องการความรักแบบนั้น ความรักที่ทำให้เธอสูญเสียเพศเดิมและต้องเผชิญความเจ็บปวด
“ฮะฮะ… ทั้งที่เราเกลียดเธอและมักจะโวยวายใส่ แต่ลึกๆ ในใจกลับยังพึ่งพาโดยไม่รู้ตัว แอบหวังว่าเธอจะเคารพความคิดของเรามากขึ้น… และหวังว่าเธอจะหนีจากเงื้อมมือเกอร์มัน·สแปร์โรว์พ้น…” เทรซี่เริ่มดิ้นรนอีกครั้ง พยายามทำให้ตัวเองหลุดจากสภาวะถูกจองจำ
ในแง่หนึ่ง เธอต้องการช่วยเหลือตัวเอง แต่ในอีกแง่หนึ่ง เธอต้องการแจ้งข่าวให้คาร์เทอริน่าทราบโดยเร็ว จะได้คอยระวังเกอร์มัน สแปร์โรว์
แน่นอน เทรซี่ยังคงคลางแคลงว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ซึ่งน่าจะเพิ่งเป็นลำดับ 4 ได้หมาดๆ จะเอาชนะแม่มดยุพนิรันดร์ที่รอดชีวิตมาจากยุคสมัยที่สี่ได้เชียวหรือ อย่างไรก็ตาม เทรซี่ยังไม่ลืมว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์มีสุดยอดตัวช่วยอย่าง ‘กงสุลมรณะ’ ที่แม้แต่มารดาของเธอยังหวาดกลัว!
ตุ้บ!
ในที่สุดเทรซี่ก็ล้มลงบนพื้น เธอพยายามเกลือกกลิ้งไปที่โต๊ะทำงาน แต่ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใด ร่างกายก็ไม่ยอมขยับ
สิ่งที่เธอกำลังต่อสู้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวเธอเองที่ถูกบิดเบือนและขยาย!
…
เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์บนเก้าอี้เดอะฟูล วางกระดาษที่เปื้อนเลือดพลเรือโทโรคภัยลงบนโต๊ะ
ทันทีหลังจากนั้น มันเสกปากกาและกระดาษ ตามด้วยการเขียนคำทำนาย
“ตำแหน่งปัจจุบันของคาร์เทอริน่า มารดาของพลเรือโทโรคภัย เทรซี่”
วางปากกาลง ไคลน์ถือกระดาษสองแผ่นไว้ในมือสองข้าง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางท่องประโยคที่เพิ่งเขียนด้วยเสียงแผ่ว
เมื่อครบเจ็ดหน มันส่งตัวเองเข้าสู่ดินแดนความฝันและได้เห็นหอระฆังสไตล์โกธิกสูงเด่นตระหง่านท่ามกลางโลกสีเทา
ข้างหอระฆัง คาร์เทอริน่าที่แต่งกายด้วยชุดคลุมสีขาวศักดิ์สิทธิ์ ยืนอยู่ในเงามืดที่ฉายซ้อนทับจากอาคารหลายหลัง กิริยาท่าทางเป็นไปอย่างสง่างาม เธอกำลังมองไปรอบตัวคล้ายกับค้นหาบางสิ่ง ท้องฟ้าด้านบนมีพระจันทร์สีแดงลอยสูง เป็นตำแหน่งเดียวกันกับที่ไคลน์เคยทำนายถึงคาร์เทอริน่ามาก่อน
สิ่งนี้หมายความว่า แม่มดขาว คาร์เทอริน่ายังคงอยู่ในเบ็คลันด์ เขตตะวันตก และกำลังไล่ตามเป้าหมายบางอย่าง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น