Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1095-1098

 ราชันเร้นลับ 1095 : สวมบทเป็นตัวเอง

 

“นายสงสัยว่ากองเรือของพลเรือโทโรคภัยซ่อนอยู่บนเกาะแห่งนั้น?” ได้ยินคำพูดเดนิส แอนเดอร์สันถามครุ่นคิด


เดนิสตอบอย่างตื่นเต้น


“มีโอกาสเป็นไปได้มากทีเดียว! กาฬมรณะหายไปหลังจากหักเลี้ยวทางทิศตะวันตกจากเกาะไซรอสไม่ใช่หรือ?”


แอนเดอร์สันขดมุมปากหัวเราะ


“ถ้าที่อยู่ของพลเรือโทโรคภัยถูกนายหาพบง่ายดายเช่นนี้ เธอจะเสียเวลาซ่อนตัวไปทำไม? เกาะที่นายสามารถหาพบ นั่นคงไม่ใช่เกาะลับ”


“นายคิดจะพูดอะไรกันแน่!” เดนิสรู้สึกเหมือนถูกเย้ยหยัน


แอนเดอร์สันผายมือและยักไหล่


“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น แค่ลองใช้สมองวิเคราะห์ดู… เกาะดังกล่าวน่าจะมีอยู่จริง แต่ไม่ได้ลึกลับขนาดนั้น… อาจเป็นเกาะที่หลายคนรู้จักดีอยู่แล้ว หรือไม่ก็มีคงจงใจปล่อยข่าว… ถ้าเป็นอย่างแรก เทรซี่คงไม่ใช้เป็นที่ซ่อนตัว แต่ถ้าเป็นอย่างหลังก็น่าสนใจว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว”


เดนิสฉุนเฉียวเล็กน้อยในตอนต้น ก่อนจะคิดตามแอนเดอร์สันและเริ่มวิเคราะห์


“เป็นกับดักของโจรสลัดหรือไม่ก็นักผจญภัย? แต่เกาะที่มีทรัพยากรน้อยแบบนั้นจะดึงดูดให้ใครไปสำรวจได้? หรือว่าคนปล่อยข่าวจะไม่ใช่ใครนอกจากพลเรือโทโรคภัยเอง? เพื่อดูว่าใครกำลังสืบสวนหาแหล่งกบดานของเธอ?”


แอนเดอร์สันยิ้ม


“ถูกต้อง… หลังจากได้ฉันเป็นอาจารย์ นายก็พัฒนาขึ้นมาก ไม่อย่างนั้นฉันคงสงสัยว่า ต่อให้ดื่มโอสถนักวางแผนเข้าไป แต่สติปัญญาของนายก็คงไม่เพิ่มขึ้น ทำได้แค่ภาวนาให้ศัตรูโง่พอๆ กับตัวเองและเอาชนะด้วยประสบการณ์… สำหรับประโยคเมื่อครู่ ฉันไม่ใช่คนพูด แต่เป็นจักรพรรดิโรซายล์”


ในระยะหลัง แอนเดอร์สันช่วยเดนิสรวบรวมวัตถุดิบหลักและเสริมสำหรับโอสถนักวางแผนจนครบถ้วน ปัจจุบันเหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายก่อนจะลงมือเลื่อนลำดับ


“นายเป็นอาจารย์ของฉันตั้งแต่ตอนไหน…” เดนิสพึมพำ


แอนเดอร์สันเพิกเฉย เพียงพูดกับตัวเองแผ่วเบา


“หากเป็นข่าวลือที่พลเรือโทโรคภัยจงใจปล่อย เกาะลับดังกล่าวก็คงเป็นกับดัก… อาจไม่มีอะไรเลยนอกจากกระจกสำหรับจับตามองเรือและคนที่เข้าไปใกล้… หรือไม่ก็ ที่นั่นเป็นรังลับของนิกายแม่มดที่เกอร์มัน สแปร์โรว์เคยพูดถึง”


“แล้วพวกเราควรทำยังไงต่อ?” เดนิสถามตามความเคยชิน


แอนเดอร์สันหัวเราะในลำคอ


“เรื่องง่ายๆ แค่นี้คิดเองไม่เป็นหรือ? พวกเราจะเริ่มสืบจากคนที่นำข่าวมาบอกนาย จากนั้นก็จะสืบแบบย้อนกลับจนพบเบาะแสเพิ่มเติม”


นั่นสินะ… ในตอนแรก เดนิสอยากพยักหน้าเห็นด้วย แต่ถ้อยคำที่ถูกพ่นออกจากปากกลับเป็น ‘เฮ่อะ!’


ช่วงเช้าตรู่ของวันใหม่ บนชั้นสองของบ่อนการพนัน


บัสต์ เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาล อ้าปากหาวพลางเดินเข้าไปในห้อง


ขณะเตรียมจุดเทียนไขโดยอาศัยแสงจากดวงจันทร์ด้านนอกหน้าต่าง มันเห็นเปลวไฟสีขาวลุกโชนขึ้นตรงหน้า แสงจากเปลวไฟสว่างจ้าจนมันตาบอดไปชั่วขณะ


หัวใจบัสต์เต้นระรัวทันที รีบกระโจนไปทางด้านข้างและม้วนตัวกลิ้ง


หลังจากกลิ้งครบสองตลบ การเคลื่อนไหวของบัสต์ชะงักกะทันหัน ราวกับถูกคำสาปกลายเป็นหิน


นั่นเพราะลำคอของมันรู้สึกเจ็บแปลบและเย็นเยียบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หากขยับไปข้างหน้าอีกก้าวเดียว เลือดสีแดงคงได้สาดขึ้นไปจนถึงหลังคา


“นายต้องการอะไร” เมื่อสายตาของบัสต์กลับเป็นปรกติ มันเห็นชายผมทองคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างพลางใช้มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง ส่วนอีกข้างกำลังถือมีดสีดำ ด้านหน้าเป็นชายสวมเสื้อคลุมสีดำ คลุมศีรษะปกปิดมิดชิด


เดนิสไม่ตอบคำถามบัสต์ เพียงหันไปมองแอนเดอร์สันด้วยสีหน้าประหลาดใจเบาบาง


“ทำไมนายถึงไม่ปลอมตัว?”


“ถ้าปลอมตัว… เหยื่อจะเกลียดชังถูกคนได้ยังไง?” แอนเดอร์สันตอบเสียงเรียบ


“…” เดนิสพ่นลมหายใจ “โชคดีที่ฉันไม่มีนิสัยแย่ๆ แบบนาย”


“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง” แอนเดอร์สันยิ้ม “ทุกคนบนเกาะไซรอสรู้ว่าฉันอยู่กับใครในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา”


“แม่เย็*!” เดนิสสบถ


บัสต์ซึ่งถูกแอนเดอร์สันใช้มือจ่อคอ ไม่กล้าขยับเขยื้อนร่างกาย ทำเพียงตั้งใจฟังบทสนทนาพลางคิดในใจว่า นี่ตนกำลังดูละครตลกในกรุงทรีอาร์หรืออย่างไร?


พวกมันมาหาเราด้วยเหตุผลใดกันแน่… พ่อค้าข่าวกำลังสับสน


ทันใดนั้น แอนเดอร์สันถอนสายตากลับ จ้องบัสต์และกล่าว


“ใครเป็นคนบอกนาย เกี่ยวกับเกาะลับทางตะวันตกเฉียงใต้จากเส้นทางเดือนเรือหลัก”


คล้ายกับบัสต์ฉุกคิดบางสิ่ง มันหันไปทางเดนิสและแผดเสียง


“เป็นนายนี่เอง!”


ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ข้อมูลดังกล่าวถูกขายให้กับลูกค้าเพียงรายเดียวเท่านั้น!


…ถูกเปิดโปงเร็วขนาดนี้เชียว? เดนิสตอบพูดไม่ออกไปสักพัก


แอนเดอร์สันกดมีดสีดำในมือลึกกว่าเดิม ส่งผลให้ความเจ็บปวดจากคมมีดชัดเจนขึ้น


“ตอบคำถามมาก็พอ”


บัสต์รู้สึกราวกับวิญญาณตนใกล้หลุดลอยเต็มที จึงรีบตอบอย่างลนลาน


“พ…พลเรือโทโรคภัย!”


“เธอบอกเมื่อไร แล้วทำไมถึงบอก” แอนเดอร์สันถามต่อไปด้วยเสียงสงบ


“คืนก่อนที่กาฬมรณะจะออกจากเกาะไซรอส!” บัสต์รีบตอบด้วยกังวลว่าจะตายเพราะเสียเลือดมากเกินไป “ฉันไม่ได้ถามถึงเหตุผล เพราะในตอนนั้นมัวแต่เพลิดเพลินไปความงามของเธอ… สมแล้วที่เป็น ‘สาวน้อยโรคภัย’ แห่งห้าห้วงสมุทร…”


แม้จะผ่านมาหลายวัน และแม้จะอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานสุดขีด แต่บัสต์ก็ยังอดไม่ได้ที่จะชมเชยในความงาม


“พลังเสน่ห์ของแม่มด?” แอนเดอร์สันพึมพำเงียบ จากนั้นก็ถามต่อ “นายติดต่อเธอได้ไหม”


“ไม่” บัสต์รีบส่ายหน้า “เธอแค่บอกให้ฉันจดบันทึกเกี่ยวกับทุกคนที่ถามถึง และค่อยรายงานหลังจากเธอกลับมาที่เกาะไซรอสอีกครั้ง… หากใครซื้อข้อมูลดังกล่าวและต้องการออกจากเกาะ ให้ปล่อยไปโดยไม่ต้องขัดขวาง”


“แบบนี้นี่เอง… สมเหตุสมผล” แอนเดอร์สันพยักหน้าพร้อมกับดึงมีดกลับ “บนเกาะนั่นมีกับดักไหม?”


“ฉันไม่รู้” บัสต์ตอบเถรตรง


แอนเดอร์สันไม่กล่าวคำใดต่อ เพียงล้วงเงินจากตัวบัสต์และภายในห้อง จากนั้นก็ใช้มีดสีดำชี้หน้า


“ใจจริงฉันอยากเชือดนายทิ้ง แต่ถ้าทำแบบนั้น… คนตายคงเกลียดฉันไม่ได้… จงมีชีวิตอยู่ต่อไปและคอยสาปแช่งฉันวันละหลายรอบ”


มันหันหลังกลับ เดินไปยืนข้างเดนิสและกระโดดออกจากหน้าต่างในเวลาไล่เลี่ย อันตรธานหายไปในค่ำคืนอันมืดมิด


บัสต์จับมือที่ชุ่มเลือด พยุงตัวยืนด้วยท่าทางสั่นกลัว ก่อนจะวิ่งไปที่หน้าต่างเพื่อยืนยันว่าคนทั้งสองกลับไปแล้ว


“โชคดีที่เจอพวกไม่สมประกอบ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่รอดแน่…” มันปิดหน้าต่างสนิท ลงกลอนประตูไม้ ตรวจสอบทุกมุมห้องอย่างระมัดระวัง และท้ายที่สุด บัสต์นั่งลงพลางกระดกแลงติร้อนแรงครึ่งขวด


ถัดมา บัสต์ทรุดตัวลงบนเตียงด้วยความเมามาย จากนั้นก็ผล็อยหลับ


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จากวินาทีเป็นนาที จนกระทั่งตีสามของอีกวัน


ทันใดนั้น บัสต์พลิกตัวขึ้นมานั่ง ดวงตากระจ่างใสและเปี่ยมด้วยกำลังวังชา ปราศจากอาการเมาสุราโดยสิ้นเชิง


มันใช้มีดสั้นงัดพื้นไม้ใจกลางห้อง หยิบลูกบอลกระดาษขนาดเท่าหัวแม่โป่งขึ้นมาถือ


หลังจากบรรจงคลี่ก้อนกระดาษ ชั้นในสุดคือของเหลวเหนียวข้นสีดำ


บัสต์แบ่งออกมาหนึ่งส่วนสี่ เดินไปที่กระจกเงาในห้องและเตรียมป้ายแป้งเปียกสีดำลงไป


ทันใดนั้น มันเห็นร่างของคนสองคนสะท้อนอยู่บนผิวกระจก คนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตขาว เสื้อกั๊กสีดำ มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง อีกข้างถือมีดสีดำ ส่วนอีกคนสวมเสื้อคลุมสีดำ ศีรษะถูกคลุมไว้มิดชิด


“…” ขณะรูม่านตาบัสต์กำลังเบิกกว้าง เดนิสชกเข้าที่ท้ายทอยจนบัสต์แทบหมดสติ


ความทรงจำสุดท้ายคือเสียงที่เจือความเย้ยหยัน:


“หมอนี่ไม่ทำให้เราผิดหวังจริงๆ”


จัดการกับบัสต์เสร็จ เดนิสก้มหยิบวัตถุคล้ายแป้งเปียกที่ตกพื้นพลางหัวเราะเยาะ


“หมอนี่เชื่อจริงๆ ว่านายไม่ฆ่ามันเพราะอยากให้คอยเกลียดไปตลอดชีวิต”


บทสนทนาก่อนหน้าเป็นละครที่มันกับแอนเดอร์สันซักซ้อมล่วงหน้า เพื่อให้การไว้ชีวิตของแอนเดอร์สันสมเหตุสมผล


“นั่นแปลว่านายแสดงให้ดี” แอนเดอร์สันยิ้ม “การสวมบทเป็นตัวเองคงง่ายมากเลยสินะ”


“แม่เย็*!” เดนิสสบถหัวเสีย


จากนั้น มันถอนหายใจ


“คิดไม่ถึงว่าเจ้านั่นจะอดทนมาก รอจนผ่านเที่ยงคืนค่อยลงมือ… แต่เราอดทนมากกว่า”


“หากนักล่าต้องการจับเหยื่อ ความอดทนคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ บางครั้งต้องรอนานถึงสามวัน” แอนเดอร์สันตอบเสียงเรียบ


สำหรับพวกมันทั้งสอง เทคนิคในการสอบสวนแทบเป็นศูนย์ ไม่ว่าจะเป็นนักล่า นักยั่วยุ นักวางเพลิง หรือยมทูต ไม่มีโอสถใดเชี่ยวชาญการสื่อวิญญาณหรือสะกดจิต หากไม่ข่มขู่ทางกายภาพ วิธีเค้นข้อมูลเดียวคือการวางแผนอย่างใจเย็น


ประโยคนี้ฟังดูเข้าท่า… ในอนาคต เราต้องเก็บไว้สั่งสอนศิษย์… เดนิสจ้องวัตถุคล้ายแป้งเปียกสีดำในมือ


“ดูเหมือนว่า วิธีใช้งานคือการนำไปป้ายลงบนผิวกระจก… เจ้านี่จะช่วยให้ติดต่อกับพลเรือโทโรคภัยได้จริงหรือ?”


“ก็คงทำนองนั้น… แต่ติดต่อเธอแล้วได้อะไร? นายจะชวนมากินอาหารเช้าบนเกาะไซรอสหรือ?” แอนเดอร์สันหัวเราะ


เดนิสทราบดี ตนและแอนเดอร์สันไม่มีพลังสำหรับโน้มน้าวบุคคลอีกฟากหนึ่งของกระจก แต่ในเมื่อเป็นภารกิจที่เกอร์มัน สแปร์โรว์มอบหมาย มันอยากทำอะไรมากกว่านี้


เดนิสขมวดคิ้ว


“พวกเราควรทำยังไงต่อ?”


“แน่นอน ติดต่อเกอร์มัน สแปร์โรว์และให้เขาจัดการส่วนที่เหลือด้วยตัวเอง… ชายคนเต็มไปด้วยปริศนา แถมยังเก่งกาจหลายด้าน คงมีวิธีแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ” แอนเดอร์สันกล่าวพลางส่ายหน้า “ต้องไม่ลืมว่า งานของเรามีแค่การสืบหาแหล่งกบดานของพลเรือโทโรคภัย และตอนนี้ก็ทำสำเร็จแล้ว”


เดนิสอืมในลำคอ ก่อนจะนำเทียนไขและอุปกรณ์ประกอบพิธีกรรมออกมาวาง


“นายคิดจะทำอะไร?” แอนเดอร์สันถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ


เดนิสก้มหน้าจัดแท่นบูชาโดยไม่หันกลับไปมอง


“อัญเชิญผู้ส่งสารของเกอร์มัน สแปร์โรว์”


“…” แอนเดอร์สันเงียบไปสองสามวินาที ก่อนจะกล่าว “ขอตัวไปสูบบุหรี่ข้างนอก”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1096 : ร่วมมือ

 

หลังเที่ยงคืน ทั่วทั้งเบ็คลันด์ยังค่อนข้างมืดและเงียบ มีเพียงแสงไฟตามริมถนน


ไคลน์ในชุดนอนกำลังนั่งบนขอบเตียง จ้องหน้ามิสผู้ส่งสารสี่หัว ลูบหน้าผากถามอย่างอิดโรย


“จากใคร?”


ทำไมโลกถึงไม่ยอมให้ตนได้หลับสบาย?


สามหัวทองตาแดงในมือไรเน็ตต์ ไทน์เคอร์ตอบเรียงกัน


“คนรับใช้…” “ไร้สมอง…” “ของเจ้า…”


เดนิส… หมอนั่นเคยสวดวิงวอนตอนกลางดึก และนี่เพิ่งส่งจดหมายหลังเที่ยงคืน… ไคลน์สูดลมหายใจยาวและพ่นออก จากนั้นก็รับจดหมาย


หลังจากคลี่ออก สีหน้าชายหนุ่มทวีความจริงจัง เพราะเดนิสและแอนเดอร์สันค้นพบแหล่งกบดานของพลเรือโทโรคภัย เทรซี่ ในจังหวะไม่ค่อยดีนัก


จากการอนุมานของไคลน์ ในอีกไม่ช้าแม่มดขาวคาร์เทอริน่าและพลเรือโทโจรสลัดจะได้รับอิสรภาพ นั่นจะทำให้พวกเธอเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยมากขึ้น แต่ปัจจุบัน นักล่าทั้งสองได้เล่นงานสายข่าวของเทรซี่ อีกทั้งยังได้รับอุปกรณ์ติดต่อ ไคลน์เกรงว่าหากเทรซี่รู้เข้าจะแตกตื่นและรีบหนีไป


แน่นอน ไคลน์สามารถขอให้ราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดตช่วยเหลือในการล็อกตำแหน่งของพลเรือโทโรคภัยผ่านกระจกเงา แต่ปัญหาคือ ชายหนุ่มสงสัยว่าปลายทางอาจเป็นป้อมปราการสำคัญของนิกายแม่มด หรืออาจเป็นถึงศูนย์บัญชาการใหญ่ที่เก็บรักษาสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ดังนั้นต่อให้ล็อกตำแหน่งเทรซี่ได้ แต่ไคลน์ก็ไม่กล้าเทเลพอร์ตไปจับกุมตัวอยู่ดี นอกจากนั้น การล็อกตำแหน่งอาจทำให้อีกฝ่ายไหวตัวทันและเตรียมตัวรับมือ


แต่ถ้าเราไม่ใช้โอกาสนี้เพื่อติดต่อเธอ ไม่ว่าบัสต์จะอยู่หรือตาย อีกฝ่ายจะพบความผิดปรกติหลังจากรุ่งสาง และนั่นทำให้เทรซี่เพิ่มความหวาดระแวง


ให้ตายสิ… แต่ก็โทษพวกเขาไม่ได้ แอนเดอร์สันกับเดนิสไม่เข้าใจสถานการณ์ดีพอ ไม่ล่วงรู้ข่าวคราวความเปลี่ยนแปลงในอาณาจักรโลเอ็น… ไตร่ตรองสักพัก ไคลน์พูดกับมิสผู้ส่งสาร


“ช่วยรอสักครู่ ผมจะเขียนตอบ”


เดิมที มันคิดจะเทเลพอร์ตไปหาโดยตรงและกำชับแผนงานอย่างละเอียด แต่หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มเลือกจะเขียนจดหมาย


แม้ว่าไคลน์จะมั่นใจว่าซาราธคงไม่ยุ่งกับเหยื่อที่ดูเหมือนกับดักอย่างเดนิส แต่ชายหนุ่มตัดสินใจไม่ประมาท เพราะการที่ซาราธไม่ลงมือ ไม่ได้แปลว่าคนของลัทธิเร้นลับจะไม่ทำอะไร องค์กรลับขนาดใหญ่แบบนี้ต้องมีครึ่งเทพระดับนักบุญไม่น้อย หากต้องเข้าไปพัวพันคงได้เกิดปัญหาใหญ่


“ตกลง” ศีรษะของไรเน็ตต์ ไทน์เคอร์ที่ยังไม่ได้พูด ตอบสนองพร้อมกับพยักหน้า


ไคลน์ลุกออกจากเตียง เดินออกจากห้องนอน หยิบปากกาและกระดาษมาเขียนอย่างเรียบง่าย


“หาวิธีทำให้บัสต์หมดสติจนถึงช่วงเช้า…”


“จากนั้น รีบออกจากห้องทันที หนีไปให้ไกล ในห้องมีอันตรายร้ายแรงซุกซ่อนอยู่”


“รอจนถึงเช้า คอยจับตามองบัสต์อีกครั้ง แต่คราวนี้อย่าไปรบกวน”


อันตรายที่ไคลน์เอ่ยถึงนั้นกึ่งจริงกึ่งเท็จ จุดประสงค์หลักมีแค่การทำให้แอนเดอร์สันกับเดนิสออกห่างจากจุดเกิดเหตุ


ไคลน์วางปากกาลงและอ่านทวน จากนั้นก็พับกระดาษจดหมายส่งให้ไรเน็ตต์ ไทน์เคอร์ที่เดินตามออกมา



ตีสามสิบนาที เกาะไซรอส ณ ทะเลคลั่ง ห้องนอนบัสต์


เดนิสเพิ่งเก็บกวาดแท่นบูชาเสร็จ ทันใดนั้น มันเห็นผู้ส่งสารสี่หัวที่น่าสะพรึงย้อนกลับมาหา


เกอร์มัน·สแปร์โรว์ยังไม่มาด้วยตัวเอง… เดนิสเหยียดแขนออกไปรับคำตอบด้วยสีหน้าประหลาดใจ ตามด้วยการยื่นเหรียญทองให้ผู้ส่งสาร


รอจนกระทั่งสตรีสี่หัวในเดรสสีดำซับซ้อนเลือนหายไป เดนิสคลี่กระดาษจดหมายออกและกวาดตาอ่าน


ม…มีอันตราย! ดวงตาเดนิสพลันเบิกกว้าง รีบวิ่งไปที่หน้าประตูราวกับถูกไฟคลอกร่าง


เมื่อพ้นกรอบประตู มันเห็นแอนเดอร์สันที่กำลังยืนพิงกำแพงโถงทางเดิน คาบบุหรี่แต่ไม่จุด เดนิสรีบโพล่ง


“เร็วเข้า ที่นี่มีอันตราย!”


“…เกอร์มันสแปร์โรว์พูดแบบนั้นหรือ” แอนเดอร์สันผงะเล็กน้อย ก่อนจะถามหลังจากครุ่นคิด


“ใช่… นายรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ได้ค้นพบเอง?” เดนิสถามตามความเคยชิน


“นายน่ะหรือ? หึหึ” แอนเดอร์สันหัวเราะในลำคอ ถามกลับผ่อนคลาย “แล้วเขาบอกอะไรอีก?”


“นายไม่กังวลเลยหรือ? เกอร์มันสแปร์โรว์ไม่เคยผิดพลาดในเรื่องแบบนี้” สติเดนิสไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว


แอนเดอร์สันเงียบไปสักพัก


“ผู้ส่งสารของเขาแม่นยำยิ่งกว่า… อย่างน้อยในช่วงสองสามนาทีก่อนและหลังเธอจะมาและกลับไป ที่นั่นจะยังปลอดภัย”


เพราะถ้าในห้องมีอันตรายอยู่จริง มันคงหดหัวกลับไปหลังจากได้เห็นผู้ส่งสาร


“…” เดิมที เดนิสอยากโต้แย้ง แต่ด้วยเหตุผลบางประการ มันยอมจำนนตามสัญชาตญาณ


มันเปลี่ยนประเด็น


“เกอร์มันสแปร์โรว์ยังกล่าวด้วยว่า หาวิธีทำให้บัสต์หมดสติจนถึงเช้า ส่วนพวกเราค่อยกลับมาจับตามองในช่วงรุ่งสางโดยห้ามเผยตัว”


“…” แอนเดอร์สันขมวดคิ้ว “เขาคิดจะทำอะไร? หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น รอบตัวบัสต์จะไม่อันตราย?”


ยังไม่ทันที่เดนิสจะได้ตอบโต้ นักล่าอันดับหนึ่งแห่งทะเลหมอกหันหลังกลับและเดินเข้าไปในห้อง ล้วงหยิบขวดโลหะที่พกติดตัวตลอดเวลา เปิดฝาและนำไปจ่อจมูกบัสต์


“เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ” แอนเดอร์สันมองไปรอบๆ อย่างเปิดเผย ก่อนจะเดินนำเดนิสออกจากห้องของบัสต์



เบ็คลันด์ เขตราชินี ในคฤหาสน์สุดหรูของเอิร์ลฮอลล์


7.25 น. ในตอนเช้า ออเดรย์ตื่นจากภวังค์ฝัน


เธอฝันถึงสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขต ฝันถึงเกอร์มันสแปร์โรว์ไหว้วานให้เธอช่วยสะกดจิตใครบางคน ให้อีกฝ่ายหลงลืมทุกสิ่งในช่วงเวลาหกชั่วโมงที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องที่มีคนเคยซื้อข้อมูลเกี่ยวกับเกาะลับ


นี่คืองานที่เราต้องทำเพื่อสะสมคะแนนผลงานสำหรับแลกสูตรโอสจอมบงการและตะกอนพลัง… นอกจากนั้น มิสเตอร์เวิร์ลยังระบุว่า เขาจะช่วยบริจาคเงินอีกเจ็ดพันปอนด์สำหรับรับมือภาวะสงคราม… ออเดรย์ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อลุกขึ้นจากเตียง รีบสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินอมเขียวทับเสื้อนอนสีขาว


เธอประกอบพิธีกรรมทันทีตามคำขอของเกอร์มันสแปร์โรว์ ตามด้วยการสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลเพื่อขอรับมอบสิ่งของ


เพียงไม่นาน บานประตูมายาก่อตัวเป็นรูปทรงก่อนจะเปิดออก วัตถุสามชิ้นลอยลงมาบนแท่นบูชา


หนึ่งคือถุงมือหนังมนุษย์แผ่นบาง สองคือกระดาษคำแนะนำสีขาว และสามคือ ปึกธนบัตรที่ไม่มีสายรัด


นี่คือยุบพองหิวโหย? ออเดรย์สำรวจแท่นบูชาเล็กน้อย จากนั้นก็ขอบคุณมิสเตอร์ฟูล


ถัดมา เธอสวมถุงมือและปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อกระตุ้นวิญญาณนักท่องเที่ยว


ทันทีที่ถุงมือกลายเป็นสีใส เทวทูตปีกเพลิงสิบสองคู่พลันปรากฏกายเบื้องหน้า


นี่คืออ้อมกอดเทวทูตที่มิสเตอร์เวิร์ลขอให้เรา? มีพลังแทรกแซงการทำนายถึงและคำพยากรณ์ เพื่อให้แน่ใจว่าตัวตนที่แท้จริงของเราจะไม่ถูกเปิดเผย? ออเดรย์ลืมตาขึ้น เปลี่ยนคำลวงให้กลายเป็นหน้ากากเงินและนำมาสวมบนใบหน้า


จากนั้น หญิงสาวทำการเทเลพอร์ตไปยังพิกัดโลกวิญญาณที่เกอร์มันสแปร์โรว์ระบุไว้


ระหว่างทาง ทัศนียภาพที่แปลกตาแต่งดงาม รวมถึงสัตว์วิญญาณหลากหลายชนิด สร้างความประทับใจให้ออเดรย์อย่างลึกซึ้ง แต่เพียงไม่นานเธอก็ถึงปลายทางโดยที่ไม่มีเวลาดื่มด่ำมากนัก ฉากรอบตัวที่ดูคล้ายภาพสีน้ำมันและริ้วแสงซ้อนทับเลือนหาย สีสันกลับเป็นปรกติ ด้านนอกยังคงมืดสนิท


รู้สึกเหมือนกับเมื่อครั้งที่ได้เข้าสู่โลกเหนือธรรมชาติครั้งแรก… ออเดรย์วิเคราะห์สภาพจิตใจตัวเอง ก่อนจะหันไปสนใจภารกิจภายในห้อง


ชายคนหนึ่งกำลังนอนหมดสติ ประตูกายปัญญาค่อนข้างอ่อนแอ หมายความว่าเป็นคนประเภทที่หลงเสน่ห์ได้ง่าย ต่อให้อีกฝ่ายไม่ได้ใช้พลังพิเศษ


การสะกดจิตไม่ใช่เรื่องยากสำหรับออเดรย์ แต่เพื่อจะย่อยโอสถปัจจุบัน เธอตัดสินใจสะกดจิตผ่านความฝัน


บัสต์ที่ยังนอนไม่ได้สติ เริ่มฝันถึงบางสิ่ง มันได้พบกับสตรีเลอโฉมผู้หนึ่ง บัสต์มองว่าเธองดงามที่สุดในโลก เป็นความงามอันสมบูรณ์แบบระดับเดียวกับพลเรือโทโรคภัย เทรซี่


บัสต์ไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง วิ่งไปมาบนทุ่งกว้าง เนินเขา และยอดเขา แม้จะคว้าเธอไว้ไม่ได้ แต่มันก็หลงลืมทุกสิ่งที่เคยสำคัญ


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ มันตื่นในสภาพอิดโรยพลางตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน: มันเสียเงินก้อนหนึ่งจนอารมณ์เสีย จากนั้นก็ดื่มแลงติร้อนแรงขวดเล็กจนเมาหลับ ท้ายทอยยังคงปวดแปลบเล็กน้อย


ท้ายทอยไปกระแทกอะไรเข้า… บัสต์ใช้มือลูบในตำแหน่งที่ปวด ก่อนจะเดินเข้าไปนอนต่อบนเตียง


สำหรับออเดรย์ที่ทำการสะกดจิตอย่างแนบเนียนและนุ่มนวลด้วยพลังนักท่องฝัน ช่วยเก็บกวาดที่เกิดเหตุตามคำแนะนำของเกอร์มันสแปร์โรว์และกลับไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยที่น่าสงสัย


นี่คือความยอดเยี่ยมของผู้ชมมากประสบการณ์


ถัดมา หญิงสาวเทเลพอร์ตกลับเบ็คลันด์และสังเวยยุบพองหิวโหยคืนมิสเตอร์ฟูล


ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างแนบเนียน โดยที่แม้แต่ผู้วิเศษจากโบสถ์รัตติกาลซึ่งรับหน้าที่ดูแลตระกูลฮอลล์ไม่พบความผิดปรกติ


หลังจากจัดการกับร่องรอยทั้งหมด ออเดรย์สั่นกระดิ่งเพื่อเรียกสาวใช้ด้านนอก


“คุณหนู มีข่าวจากกองทุนการกุศล” สาวใช้ส่วนตัว แอนนี่ กล่าวกับออเดรย์พลางส่งสัญญาณให้สาวใช้คนอื่นแยกย้ายไปทำงาน


“ข่าวอะไร?” ออเดรย์อ่านภาษากายของแอนนี่และพบว่าอีกฝ่ายกำลังฉงน ทึ่ง เหลือเชื่อ ตื่นเต้น และอยากรู้อยากเห็น


แอนนี่ตอบกลับทันที


“มิสยูโดร่าที่ทางแพทย์บอกว่าจำเป็นต้องตัดขา ตอนนี้ขาของเธอหายเป็นปรกติแล้ว ราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นปาฏิหาริย์ทางการแพทย์!”


ออเดรย์เองก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน ในใจพอจะเดาได้อย่างคลุมเครือ แต่เธอยังไม่มั่นใจเพราะไม่มีหลักฐานมากพอ


“นอกจากนั้น ผู้ป่วยหนักในวอร์ดคนไข้ล้วนหายเป็นปรกติทุกคน!” แอนนี่ที่เริ่มตื่นเต้นเกินเหตุ พยายามลดเสียงลง “ดิฉันได้ยินมาว่า… ในโรงพยาบาลตอนกลางคืนจะมีวิญญาณเร่ร่อนที่ใบหน้าครึ่งหนึ่งเป็นเห็ด และอีกครึ่งเป็นวัชพืช คอยกัดกินโรคภัยไข้เจ็บ แผลใจ และความโศกเศร้า… ดิฉันเองก็ไม่ทราบว่าจริงหรือเท็จ แต่ฟังดูน่ากลัวมาก”


“เห็ด… วัชพืช…” ออเดรย์ทวนคำด้วยสีหน้ามึนงง

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1097 : กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

เมื่อเห็นว่าคุณหนูของตนสนใจตำนานภูตผี แอนนี่ชำเลืองสาวใช้คนอื่นที่กำลังเตรียมน้ำอุ่น หวี และสิ่งของอื่นๆ ก่อนจะพูดต่อ


“แพทย์และพยาบาลต้องการเชิญบิชอปจากวิหารมาทำพิธีมิสซา แต่ผู้ป่วยที่เหลือคัดค้านอย่างหนักเพราะต้องการจะพบภูตผีตนดังกล่าว พวกเขาเรียกมันว่า ‘เทวทูตตัวตลก’ โดยอธิบายว่า หน้าตาอาจน่ากลัวเหมือนกับตัวตลก แต่ความจริงแล้วคือเทวทูตที่ช่วยให้พ้นจากความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน”


“เป็นชื่อที่น่าสนใจ…” ออเดรย์ถอนหายใจพลางยิ้ม


หากเป็นเมื่อก่อน ออเดรย์คงตื่นเต้นมากและพยายามไปโรงพยาบาลด้วย ‘ท่องฝัน’ เพื่อค้นหาความลับของเทวทูตตัวตลก แต่ภาวะสงครามทำให้เธอหดหู่ ไม่มีอารมณ์ที่จะตรวจสอบ เพราะมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าให้สนใจ


อันที่จริง หากไม่ใช่เพราะออเดรย์ได้เห็นการโจมตีทางอากาศและผู้บาดเจ็บด้วยตาตัวเอง เธอคงจะยังรู้สึกว่าเบ็คลันด์เป็นเมืองที่น่าอยู่และสงบสุขในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา


นั่นเพราะหลังจากการโจมตีทางอากาศหนแรก กองเรือเหาะของอาณาจักรโลเอ็นได้เข้าสู่สงครามเต็มตัว แถมเมืองชายฝั่งยังยกระดับการป้องกันทางอากาศ ส่งผลให้เบ็คลันด์ไม่ถูกโจมตีอีกเลย ในปัจจุบัน การปะทะระหว่างฟุซัคโลเอ็นส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสามจุดเป็นหลัก หนึ่ง แนวเทือกเขาอมานด้าในแคว้นเหมันต์ สอง เขตอุตสาหกรรมหนักของแคว้นเลียบทะเล และสาม ตามแนวท่าเรือชายฝั่งทะเลโซเนีย สถานการณ์ภาพรวมอยู่ในภาวะ ‘แน่นิ่ง’ ไม่มีใครได้เปรียบเหนือใคร ถึงจะมีผู้บาดเจ็บล้มตาย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกรุงเบ็คลันด์มากนัก มีเพียงราคาสินค้าบางชนิดที่ปรับสูงขึ้นตามหน้าหนังสือพิมพ์ เรียกได้ว่ากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง


แต่ออเดรย์ไม่คิดว่าสถานการณ์สงบสุขอย่างที่ตาเห็น บิดากับพี่ชายของเธอยุ่งมาก กลับบ้านดึกบ่อยครั้ง บางวันก็เชิญขุนนาง สมาชิกสภาและคณะนักบวชมาประชุมส่วนตัวที่บ้าน และด้วยความช่วยเหลือจากโบสถ์รัตติกาลกับองค์กรการกุศล ออเดรย์ได้ทราบจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหนักจากศึกแนวหน้าในเขตเทือกเขาอมานด้าและท่าเรือพริสต์ อีกทั้งยังได้เห็นภาพถ่ายของฉากสงคราม ส่งผลให้เธอพยายามระดมทุน พยายามประสานงานกับบริษัทยารายใหญ่และโรงพยาบาล โดยหวังจะช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุด


ใครจะไปคิดว่า ไม่เพียงนักผจญภัยเสียสติชื่อดังคนนั้นจะอนุญาตให้นำอาหารส่วนเกินของคฤหาสน์มาบริจาคได้ แต่ยังบริจาคเงินสดส่วนตัวอีกเจ็ดพันปอนด์… ออเดรย์ถอนหายใจแผ่วพลางปล่อยให้สาวใช้ช่วยแต่งตัว



ย่านทิศใต้ของสะพาน ถนนกุหลาบ


เอ็มลิน·ไวท์บริจาคธนบัตรสิบปอนด์ให้องค์กรระดมทุนเพื่อการกุศล จากนั้นก็กดหมวกทรงสูง เดินขึ้นบันได และเข้าไปในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว


ปัจจุบันไม่มีสาวกเข้ามาในวิหาร แต่หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ ลูกครึ่งคนยักษ์ ยังคงนั่งอยู่แถวหน้าสุดพร้อมกับสวดวิงวอนอย่างเคร่งขรึม


เอ็มลินไม่รีบร้อนเปลี่ยนชุดนักบวช เพียงนั่งลงข้างนักบวชยักษ์และทำท่าคล้ายกับต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่หลังจากขยับปาก มันเปลี่ยนใจและทำเพียงพ่นลมหายใจ


“คงเป็นเพราะคุณมีรูปลักษณ์เหมือนกับชาวฟุซัค สาวกจึงไม่กล้าเข้ามา” เอ็มลินจ้องแท่นบูชาและกล่าวโดยไม่หันไปมอง


บิชอปยูทรอฟสกี้วางมือลง ลืมตาขึ้น


“ผมเข้าใจพวกเขา”


“ความเข้าใจจะไปมีประโยชน์อะไร? ถ้าสงครามทวีความรุนแรงและมีทหารเสียชีวิตมากขึ้น บางที สาวกเหล่านั้นอาจบุกเข้ามาในวิหารเพื่อวางเพลิงและแขวนคอคุณ” เอ็มลินยังคงจ้องตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิต


หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ส่ายหน้าเล็กน้อย


“พวกเขาไม่ทำแน่ ทุกคนศรัทธาในพระแม่อย่างจริงใจ พวกเขาไม่มีทางเผาวิหาร อย่างมากที่สุดก็แค่ขับไล่ผม บางที อาจมีคนยอมเข้าใจถ้าผมอธิบายว่าตัวเองสละสัญชาติฟุซัคไปแล้ว”


เอ็มลินส่ายหน้าและกล่าวโดยไม่ขยับดวงตา


“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเฟเนพ็อตเข้าร่วมสงครามและเปิดฉากโจมตีอ่าวเดซีย์? คุณจะทำยังไงถ้าโบสถ์พระแม่ธรณีเรียกร้องให้นักบวชทุกคนเป็นศัตรูกับโลเอ็น? …คุณจะฟังคำสั่งของศาสนจักรและทรยศสาวกที่นี่ หรือแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยังคงเทศนาเกี่ยวกับคุณค่าของชีวิตและการเก็บเกี่ยวเหมือนเดิม? หรือว่าคุณจะเปลี่ยนให้เหล่าสาวกเป็นศัตรูกับเพื่อนร่วมชาติ เป็นศัตรูกับแผ่นดินแม่ และใช้การหลั่งเลือดเป็นข้อพิสูจน์ในศรัทธาต่อพระแม่?”


บิชอปยูทรอฟสกี้จ้องไปยังตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตและไม่กล่าวคำใดเป็นเวลานาน


เอ็มลินเองก็ไม่ถามต่อ สงบนิ่งสำรวมเหมือนกับนักบวช


วิหารฤดูเก็บเกี่ยวเงียบสนิทโดยสิ้นเชิง



บนเกาะอาณานิคม อัลเจอร์·วิลสันซึ่งไม่มีโอกาสกลับไปที่เกาะปาซู รวมถึงไม่ได้ออกจากโทสะสีครามเนื่องจากยึดถือความปลอดภัยเป็นหลัก ทำเพียงส่งลูกเรือขึ้นฝั่งไปสืบหาข้อมูล


“กัปตัน ยังไม่มีข่าวระดมพลพวกเรา” ลูกเรือที่มีกลิ่นเหล้าหึ่ง รายงานผลการสืบสวนตลอดทั้งวันให้อัลเจอร์


อัลเจอร์โบกมือส่งสัญญาณบอกให้ลูกเรือออกไป จากนั้นก็ขมวดคิ้วพลางพึมพำ


ดูเหมือนว่าทางศาสนจักรจะไม่สนใจสงครามสักเท่าไร…


เท่าที่อัลเจอร์ทราบ สงครามในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะลุกลามเป็นวงกว้าง ในฐานะเจ้าบ้านซึ่งถูกรุกราน โบสถ์วายุสลาตันควรระดมพลอย่างเร่งด่วนเพื่อตอบโต้ศัตรู ไม่เว้นแม้แต่การเรียกรวม ‘กัปตัน’ ที่กระจายตัวอยู่ตามท้องทะเลเพื่อแจกจ่ายภารกิจ แต่ปัจจุบัน เกาะปาซูกลับยังไม่มีคำสั่งใดออกมา


นี่ไม่ได้หมายความว่าโบสถ์วายุสลาตันทำตัวหย่อนยาน กองทัพของศาสนจักรที่กระจายตัวบนแผ่นดินโลเอ็นกำลังทำหน้าที่อย่างแข็งขัน ส่วนหนึ่งเป็นกำลังสำคัญในการวางระบบป้องกันภัยทางอากาศตามหัวเมืองใหญ่และชายฝั่ง นอกจากนั้น ครึ่งเทพจำนวนมากของศาสนจักรยังถูกส่งออกไปรบในแนวหน้าเพื่อต้านทานการรุกรานของฟุซัค เพียงแต่อัลเจอร์รู้สึกว่าเบื้องบนยังไม่ได้ ‘เอาจริง’ มากนัก


เป็นเพราะนี่ยังแค่ช่วงเริ่มต้นสงคราม ศาสนจักรต้องการถนอมกำลังพลไว้ในช่วงเวลาวิกฤติ? อัลเจอร์สลัดความคาใจและตัดสินใจรอข้อมูลเพิ่ม


ตกเย็น ลูกเรืออีกกลุ่มกลับมารายงานข่าว แต่ไม่ใช่ข่าวเกี่ยวกับสงคราม


“กัปตัน ดูเหมือนว่าบนเกาะแห่งนี้จะมีสัตว์ประหลาดซ่อนอยู่ โจรสลัดหลายคนบอกว่า หลังจากที่ดื่มหนักและออกไปฉี่ พวกเขาต่างพบเจอเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว… บางคนถูกแท่งไม้กระแทกอย่างแรง บางคนได้เห็นกับตาว่ามีผลไม้งอกออกจากร่างกาย ด้านในเป็นเลือดเนื้อ บางคนเห็นภูตผีร่างกายผอมบางที่มีใบหน้าเป็นรวงข้าวสาลี” ลูกเรือที่ค่อนข้างมีสติ บรรยายข่าวลือที่ได้ยินมา


ตำนานภูตผี… อัลเจอร์ที่ไม่มีเจตนาจะสืบหาความจริง เพียงพยักหน้าและเตือนเสียงขรึม


“คืนนี้ไม่ต้องออกไปไหน”



หลังจากที่ตำนานภูตผีเริ่มแพร่กระจายไปตามกรุงเบ็คลันด์และท่าเรือพริสต์ ไคลน์ไม่แวะไปที่โรงพยาบาลอีกเลย ด้วยเกรงว่าอาจต้องเผชิญหน้ากับหุ่นเชิดของซาราธ


อาศัยพลังจากยุบพองหิวโหยและพลังท่องเที่ยว ชายหนุ่มขยายขอบเขตการสร้างตำนานสยองขวัญออกไปในทะเลโซเนีย บ้างก็ในทะเลหมอก บ้างลุนเบิร์ก บ้างเฟเนพ็อต รวมถึงไบลัมตะวันออกและตะวันตก ตามหุบเขา แม่น้ำ ที่ราบสูง โดยจะไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว บางแห่งแวะซ้ำสองสามหน บางแห่งก็ไม่เคยไปเหยียบแม้แต่หนเดียว


ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว ไคลน์เกิดความรู้สึกสุดประหลาดที่ยากอธิบาย คล้ายกับมีหนวดรยางค์ล่องหนเหยียดยาวออกจากความมืด พยายามควานหาตำแหน่งของตน หรือพยายามคาดเดาพฤติกรรมของตนล่วงหน้า บรรยากาศเป็นไปอย่างเงียบเชียบและเย็นเยียบ หากสัมผัสกับหนวดเหล่านั้นเข้า ไม่มีใครจินตนาการจุดจบออก


ไคลน์ทราบดี นี่คงเป็นผลมาจาก ‘การค้นหา’ ของซาราธ ทางออกที่ดีที่สุดคือ หยุดพฤติกรรมทั้งหมดชั่วคราวและรอคอยอย่างอดทน แต่ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนควรย่อยโอสถให้เสร็จโดยเร็ว จึงอาศัยพลังของมิติหมอกในการอำนวยความสะดวก หลังจากสุ่มเลือกปลายทาง มันจะทำนายยืนยันอันตรายและใช้เทวทูตกระดาษเพื่อแทรกแซง


ปัจจุบัน หลังจากโอสถย่อยไปได้มาก ไคลน์เทเลพอร์ตไปยังเมืองคูคัวทางภาคเหนือของไบลัมตะวันตก


ที่เมืองนี้ มันเคยฆ่าอินซ์·แซงวิลล์เพื่อล้างแค้นให้ตัวเองและกัปตัน


ทันทีที่ร่างกายโผล่ขึ้นบนจัตุรัสขนนกขาว ชายหนุ่มสังเกตเห็นความผิดปรกติ


คฤหาสน์ของนายพลเมซันเญสตรงหน้าเงียบเชียบเกินไป เงียบจนชวนให้หนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง


เมซันเญสคือนายพลท้องถิ่นที่เคยซื้ออาวุธจากดอน·ดันเตส เป็นผู้วิเศษเส้นทางมรณา เบื้องหลังมีโบสถ์ปัญญาความรู้คอยสนับสนุน


เกิดอะไรขึ้น? ไคลน์ขมวดคิ้วพร้อมกับลังเลว่า ตนควรเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์หรือไม่ เพราะเมซันเญสคือ ‘คู่ค้า’ ที่ดีของตน


ยิ่งไปกว่านั้น หากได้เผชิญหน้ากับศัตรูที่พอจะมีฝีมือสักนิด นั่นจะเป็นโอกาสอันดีสำหรับสวมบทบาทและย่อยโอสถ หลังจากไคลน์สำรวจตัวเองอย่างถี่ถ้วน มันประเมินว่าหากได้สร้างตำนานสยองขวัญกับครึ่งเทพอีกสักสองสามเรื่อง โอสถจอมเวทพิสดารก็จะถูกย่อยอย่างสมบูรณ์


แต่แน่นอน พื้นฐานคือความปลอดภัย เราไม่ควรประมาท… ไคลน์หยิบเหรียญทองออกมาดีดพร้อมกับเปลี่ยนหุ่นเชิดโจนาส·โคลเกอร์ให้เป็นดอน·ดันเตส


ผลการทำนายระบุว่าไม่มีอันตราย


แปลกมาก… ไคลน์ไม่ลดความระแวงลง รีบเปลี่ยนร่างกายให้เลือนรางจนกระทั่งกลายเป็นเงาดำ ซ่อนตัวในเงามืดยามค่ำคืน ขณะเดียวกันก็บังคับหุ่นเชิดโจนาส·โคลเกอร์ในร่างดอน·ดันเตสให้เดินเข้าไปในคฤหาสน์เมซันเญส


นี่คือพลัง ‘ซ่อนในเงา’ จากยุบพองหิวโหย


สำหรับหุ่นเชิดอีกตัวหนึ่งอย่างเอ็นยูน ไคลน์นำไปไว้ในจุดที่ห่างจากตนเกือบหนึ่งกิโลเมตร นอกจากนั้นยังมี ‘หนู’ ตัวหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากเอ็นยูนไปอีกเกือบหนึ่งกิโลเมตร แต่มิอาจขยับเขยื้อนร่างกาย


เพียงไม่นาน ดอน·ดันเตสมาถึงประตูทางเข้าอาคารหลักพร้อมกับเปิดเนตรด้ายวิญญาณ


กลุ่มด้ายมายาที่มันเห็น กำลัง ‘งอกเงย’ ในลักษณะพัวพันและยุ่งเหยิง มองผิวเผินอาจดูเหมือนมาจากหลากหลายสิ่งมีชีวิต แต่ทั้งหมดกลับมีออร่าคล้ายคลึงกัน


ที่นี่ไม่มีด้ายวิญญาณปรกติแม้แต่เส้นเดียว


ดอน·ดันเตสเงียบไปสักพัก ก่อนจะยื่นมือขวาออก ผลักประตูหน้าที่เปิดอยู่


ฉากด้านในแตกต่างจากความทรงจำของไคลน์ ไม่ว่าจะเป็นเสาหินที่หุ้มทองคำเปลว รูปปั้นทองที่เคยวางติดผนัง และบันไดหรูหรา ทั้งหมดถูกขยำและนำมาวางบนพื้นจนดูเหมือนตัวเม่นที่มีหนามแหลมสีทอง นอกจากนั้นยังมีเสาหินแหลมและเศษกระจกที่แตกกระจัดกระจาย


นอกจากสิ่งที่กล่าวไปข้างต้น ยังมีชั้นหนังสือมายาตั้งอยู่ใจกลางห้องโถง ตามจุดต่างๆ บนชั้นหนังสือมี ‘แอ่งน้ำ’ สีดำซ่อนอยู่ประปราย บางครั้งจะขยายใหญ่และเปิดออกเหมือนกับดวงตา


เมื่อประตูหน้าของอาคารถูกผลัก แอ่งน้ำสีดำซึ่งดูเหมือนกับเงา ประหนึ่งมีชีวิตชีวาขึ้นมา ทั้งหมดส่งเสียงแบบเดียวกัน


“เป็นคุณนี่เอง! คำทำนายของผมถูกต้อง คุณคือคนที่จะช่วยแก้ปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออกให้ผม!”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1098 : ทำงานแลกคะแนน

 

เมื่อได้ยินคำพูดของแอ่งน้ำสีดำ ใบหน้าหนึ่งผุดขึ้นในหัวไคลน์


ชายชราในชุดคลุมสีขาวซีด แซมด้วยแถบด้ายทองเหลือง ผมสีขาวโพลน หวีอย่างประณีต ดวงตาสีเทาเขียวน่าประทับใจ


ชายคนดังกล่าวอ้างตัวว่าเป็นนักบวชแห่งโบสถ์ปัญญาความรู้ รับผิดชอบเขตไบลัมตะวันตก มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเมซันเญส


ย้อนกลับไปในตอนนั้น มันต้องการพบดอนดันเตสด้วยเหตุผลที่ว่า ในอนาคตตนจะเผชิญปัญหายุ่งยาก และคนที่ตนพบปะในช่วงเวลาดังกล่าวคือผู้ที่ช่วยแก้ปัญหา


ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก


“ลูก้าบรูว์สเตอร์?”


“ใช่… ผมเอง คุณยังจำได้!” ตามจุดต่างๆ บนชั้นหนังสือมายา แอ่งเงาดำเหลวรีบขานตอบ


แค่คราวนี้เสียงพูดมิได้สอดประสาน แต่เป็นการดังเหลื่อมกันและก้องกังวานไม่รู้จบ ไคลน์ซึ่งอยู่เบื้องหลังหุ่นเชิดจึงเกิดอาการหูอื้อพร้อมกับวิงเวียนศีรษะ


เสียงของเขาไม่ปรกติ เจ้าของเสียงเสี่ยงต่อภาวะคลุ้มคลั่งหรือไม่ก็ถูกกัดกร่อนทางจิต… ลำพังการมีอยู่ของชั้นหนังสือมายาคือเครื่องพิสูจน์… ขณะกระแสความคิดมากมายแล่นเข้ามาในหัวไคลน์ มันได้ยินเสียงเงาสีดำที่บ้างขดตัว บ้างยืดออก:


“ต้องขออภัยด้วย ผมตื่นเต้นเกินไป ยากจะควบคุมตัวเอง”


ไคลน์ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืดนอกคฤหาสน์ บังคับให้หุ่นเชิดโจนาส·โคลเกอร์พูด


“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้?”


เงาดำถอนหายใจพร้อมเพรียง:


“ผู้ตัดสินแห่งกองทัพเฟเนพ็อต เบลลาคอส และอาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์พระแม่ธรณี ร่วมมือกันบุกโจมตีที่นี่โดยมีเป้าหมายหลักคือผม… ผมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเผยร่างสัตว์ในตำนานเพื่อให้พวกเขาล่าถอยชั่วคราว… ถ้าคุณมาที่นี่โดยไม่สังเกตเห็นสิ่งใด แปลว่าคุณคงเดินทางด้วยพลังเทเลพอร์ต… คุณเองก็เป็นครึ่งเทพ คงทราบว่าเมื่อเผยร่างสัตว์ในตำนาน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลับไปเป็นปรกติ… ในตอนนั้น ผมมีแนวโน้มที่จะเสียสติและใกล้คลุ้มคลั่ง แต่โชคดีที่เคยเป็น ‘ผู้ชี้นำศาสตร์ลับ’ มาก่อน จึงมีลูกไม้พิสดารแต่เปี่ยมประสิทธิภาพ ในช่วงเวลาวิกฤติ ผมผนึกตัวเองสำเร็จและตกอยู่ในสภาพปัจจุบัน… เฮ้อ… ภาวะเช่นนี้คงอยู่ได้ไม่นาน ความบ้าคลั่งยังคงกัดเซาะจิตใจอย่างต่อเนื่อง ผมติดต่อกับท่านพระคุณเจ้าไปแล้ว อีกไม่นานจะมีกำลังเสริมส่งมา แต่ผมไม่มั่นใจว่าตัวเองจะอดทนจนถึงตอนนั้นไหม… ผมได้แต่นึกสงสัยว่า เหตุการณ์ปัจจุบันจะใช่ ‘สถานการณ์ที่ยากลำบาก’ ซึ่งเคยตัวเองทำนายเอาไว้หรือไม่ และกังวลว่าบุคคลที่จะช่วยแก้ปัญหา จะปรากฏตัวขึ้นไหม… โชคดีที่คุณมา นั่นคือข้อพิสูจน์ว่าคำทำนายของผมแม่นยำและตีความได้อย่างไร้ที่ติ สภาพจิตใจของผมจึงดีขึ้นมาก…”


เป็นครึ่งเทพที่หมกมุ่นกับการทำนายความสำเร็จสินะ… ถ้าเราหันหลังกลับ จิตใจของเขาจะแตกสลายและคลุ้มคลั่งทันที… ไคลน์เริ่มไตร่ตรองข้อมูลที่ลูก้า·บรูว์สเตอร์มอบให้


กองทัพเฟเนพ็อตและโบสถ์พระแม่ธรณีกำลังเคลื่อนไหว!


ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดโจนาส·โคลเกอร์หยิบเหรียญทอง ดีดขึ้นฟ้าและเหยียดแขนออกไปรับ


ตามความเข้าใจของชายหนุ่ม นักบวชของเจ็ดโบสถ์หลักจะยอมสละชีวิตเพื่อรักษาความมั่นคงของกฎระเบียบ รวมถึงการปกป้องเหล่าสาวก จากมุมมองดังกล่าว แปลว่าลูก้าบรูว์สเตอร์นั้นไม่ใช่ปีศาจหรือมารร้าย


เนื่องด้วยความประทับใจที่มีต่อพลเรือโทธารน้ำแข็งและนักสืบไอเซนการ์ด·สแตนธอน ไคลน์จึงไม่รังเกียจโบสถ์ปัญญาความรู้ และถ้าไม่นับเรื่องที่ชอบดูถูกคนโง่และคนไม่ชอบเรียนหนังสือ พฤติกรรมด้านอื่นของโบสถ์นับว่าค่อนข้างดี


นั่นคงเป็นสาเหตุที่พวกเขามิอาจพัฒนาและหรือเติบโตได้มากนัก ทำได้แค่แฝงตัวอยู่กับอาณาจักรเล็กไม่กี่แห่ง… ไคลน์ไม่มองผลการโยนเหรียญ เพียงรำพันในใจสองสามคำก่อนจะถาม


“แล้วผมจะช่วยคุณได้ยังไง?”


“…” เงาดำซึ่งมีท่าทีกระวนกระวาย เงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะตอบ “ผมเองก็ไม่ทราบ…”


ไคลน์จ้องมองแอ่งเงาดำ แอ่งเงาดำจ้องมองไคลน์ และต่างคนต่างเงียบงันเป็นเวลานาน


ถ้าอย่างนั้น ทำไมนายไม่ลองมาเป็นหุ่นเชิดของฉันล่ะ? ผ่านไปเกือบสิบวินาที ไคลน์รำพันจิกกัดในใจ


ท่ามกลางกระแสความคิด ชายหนุ่มเริ่มคิดเกี่ยวกับวิธีช่วยให้ลูก้าบรูว์สเตอร์กลับจากร่างสัตว์ในตำนาน


ว่ากันตามตรง นอกจากความประทับใจที่มีต่อโบสถ์ปัญญาความรู้และลูก้าบรูว์สเตอร์แล้ว อีกหนึ่งเหตุผลที่ไคลน์อยากช่วยก็คือ มันเดาว่าตนจะได้รับการตอบแทนอย่างมากจากอีกฝ่าย


อันดับแรกใน การเดินทางของกรอซายมีร่องรอยของเทพปัญญาความรู้หลงเหลืออยู่ และเนื่องจากไคลน์ยังไม่ทราบเจตนาที่แท้จริงของเทพตนดังกล่าว การทำดีต่ออีกฝ่ายก่อน ก็อาจช่วยให้ได้รับสิ่งที่ดีตอบแทนกลับมา ประเด็นที่สอง ถ้าโรซายล์ฟื้นคืนชีพสำเร็จ ทัศนคติของเทพปัญญาความรู้คือสิ่งที่สำคัญมาก


พิจารณาจากน้ำเสียงและท่าทีของวิญญาณมารเทวทูตสีชาด ไคลน์พอจะเดาได้เบื้องต้นว่า เมื่อเทียบกับยุคสมัยที่สี่ ทัศนคติของเจ็ดเทพจารีตที่มีต่อจักรพรรดิมืดเปลี่ยนแปลงไปมาก การตอบสนองไม่รุนแรงและเกรี้ยวกราดเหมือนเมื่อก่อน มีแนวโน้มที่จะยอมรับมากขึ้น แม้จะไม่ใช่คนที่พวกท่านเลือกไว้ในใจ


ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว หากจักรพรรดิโรซายล์คืนชีพ มีเพียงสองคนที่จะคัดค้านคือสุริยันเจิดจรัสและจักรกลไอน้ำ เพราะย้อนกลับในตอนที่โรซายล์ร่วงหล่น เทพทั้งสองน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย


อย่างไรก็ตาม การต่อต้านคงไม่รุนแรงมากนัก ตราบใดที่โรซายล์ไม่เสียสติและขจัดมลพิษในดวงวิญญาณได้หมดจด เทพทั้งสองก็พร้อมจะยอมรับ เนื่องจากไม่ได้เป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ


สำหรับความบาดหมางดั้งเดิม เมื่อพิจารณาจากมุมมองของเทพ นั่นไม่ใช่ปัญหาที่ร้ายแรงถึงขนาดยอมกันไม่ได้ แต่แน่นอน ทั้งหมดเป็นแค่การคาดเดาของไคลน์ด้วยมุมมองทางประวัติศาสตร์และศาสตร์เร้นลับ เพราะต้องไม่ลืมว่า ในยุคเริ่มต้นของจักรวรรดิโซโลมอน นอกจากเทพจักรกลไอน้ำซึ่งยังไม่ถือกำเนิด หกเทพจารีตต่างเคยเป็นศัตรูกันมาก่อน สร้างความบาดหมางต่อกันไม่น้อย ท้ายที่สุดต้องดึง ‘จักรพรรดิมืด’ มาช่วยสมานความสัมพันธ์ ส่งผลให้จับมือกันอย่างเหนียวแน่นจวบจนปัจจุบัน


แม้แต่เทพในเส้นทางใกล้เคียงก็ยังปรองดองได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้น ขอเพียงโรซายล์คืนชีพสำเร็จ ความบาดหมางในอดีตกับสุริยันเจิดจรัสและจักรกลไอน้ำก็มีสิทธิ์ที่จะบรรเทาลง


แต่แน่นอน จากอุปนิสัยของโรซายล์ ชายคนนั้นต้องหาทางเอาคืนแน่ ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น… ขอเพียงโรซายล์คืนชีพโดยไม่เสียสติและไม่กลายเป็นพวกสุดโต่ง เขาจะอ่านสถานการณ์ออกและเรียนรู้ที่จะรอโอกาสอย่างอดทน…


ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ไคลน์เชื่อว่าผู้ที่สามารถยับยั้งการคัดค้านของสุริยันเจิดจรัสและจักรกลไอน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือวายุสลาตันและปัญญาความรู้ซึ่งอยู่บนเส้นทางใกล้เคียง


อย่างไรก็ตาม เกรงว่าการกัดกร่อนจากอวกาศจะขจัดออกไปได้ไม่ง่ายนัก โรซายล์ที่คืนชีพอาจกลายเป็นเทพมารเต็มตัว… แต่ประเด็นดังกล่าวไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ในอนาคต เมื่อเราเข้าใจสถานการณ์ดีพอ มีข้อมูลมากพอ ถึงตอนนั้นค่อยตัดสินใจอย่างละเอียดว่าจะทำยังไงกับโรซายล์ ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็แค่ยกเลิกแผนการคืนชีพ เรื่องนี้ทำได้ง่ายอยู่แล้ว… มนุษย์ไม่ควรหวาดระแวงกับทุกสิ่งที่มีโอกาสเกิดปัญหา ไม่อย่างนั้นก็ไม่เป็นอันทำอะไร ลำพังการยืนกลืนน้ำลายก็ทำให้เทพมารลงมาจุติได้…


ในทำนองเดียวกัน สำหรับคำถามที่ว่า จะมีเทพตนใดคัดค้านการคืนชีพของโรซายล์บ้าง และคัดค้านรุนแรงมากแค่ไหน เรายังต้องรอข้อมูลประกอบในอนาคต จากนั้นค่อยตัดสินใจเลือกทางออกที่ทุกฝ่ายพึงพอใจ… สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน หากต้องการยับยั้งจอร์จที่สาม แผนการทำลายพิธีกรรมในช่วงเวลาวิกฤตินั้นหวังผลได้มากที่สุด… ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์มองไปยังแอ่งเงาดำและกล่าวเชื่องช้า


“คุณทนได้อีกนานแค่ไหน?”


ลูก้าบรูว์สเตอร์ตรวจสอบสถานการณ์ก่อนจะตอบ


“เจ็ด… เจ็ดนาที”


คิดว่าจะเล่นมุก เจ็ด หก ห้า สี่ สาม เสียอีก… ไคลน์รำพันจิกกัด


“ผมจะพานักจิตบำบัดมาหา”


กล่าวจบ มันออกจากเงาดำในจุดที่ห่างจากคฤหาสน์เมซันเญสหลายร้อยเมตร ประกอบพิธีกรรมสังเวย ส่งยุบพองหิวโหยเข้าไปในมิติหมอก


จัดการเสร็จ ไคลน์นั่งลงบนเก้าอี้เดอะฟูล เสกเกอร์มันสแปร์โรว์และสวดวิงวอนเรียบง่าย


ปัจจุบันเป็นเวลาใกล้รุ่งสาง แต่ออเดรย์ที่ยุ่งอยู่กับงานการกุศลทั้งคืนยังไม่ได้นอน


รักษาครึ่งเทพที่มีภาวะเสี่ยงคลุ้มคลั่ง… เราจะได้รับคะแนนผลงานเป็นจำนวนมาก… ออเดรย์วางปากกาหมึกซึมในมือลง สวมเสื้อคลุมสีขาวที่มีลวดลายสีทอง


เฉกเช่นภารกิจก่อนหน้า เธอประกอบพิธีกรรมรับมอบเพื่อรับยุบพองหิวโหยและสวม ‘คำลวง’ ในรูปลักษณ์หน้ากาก และภายใต้ความคุ้มครองจากอ้อมกอดเทวทูต หญิงสาวเทเลพอร์ตไปยังคฤหาสน์เมซันเญสในไบลัมตะวันตกตามพิกัดที่เกอร์มันสแปร์โรว์ส่งมา


ข้อแตกต่างระหว่างคราวก่อนก็คือ เมื่อทราบว่าจะเผชิญหน้ากับครึ่งเทพ ออเดรย์ใช้คำลวงปรับเปลี่ยนสัดส่วนร่างกาย ออร่า และรูปลักษณ์ภายใต้หน้ากากเล็กน้อย


เพียงไม่นาน หญิงสาวได้พบกับเดอะเวิร์ลในร่างดอน·ดันเตส


“สำหรับครึ่งเทพตนดังกล่าว ปัจจุบันเขากลายเป็นแอ่งของหลวงสีดำ พยายามอย่าติดต่อกับกายปัญญาโดยตรง เพราะนั่นจะทำให้คุณได้รับภาวะเสี่ยงคลุ้มคลั่ง… หากพลังในปัจจุบันของคุณยังรักษาเขาไม่ได้ ผมจะให้ยืมตะกอนพลัง” ไคลน์มอบคำเตือน


ออเดรย์มิได้ขานตอบว่าเข้าใจแล้ว เธอมีความเป็นมืออาชีพสูงมากและทำเพียงฟังอย่างตั้งใจ


“ดิฉันจะลองดูก่อน”


เธอขยับเสื้อคลุมและเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว จากนั้นก็จ้องชั้นหนังสือมายาที่มีแอ่งของเหลวสีดำ


“โชคดีที่เขายังไม่คลุ้มคลั่งโดยสมบูรณ์” หลังจากตรวจสอบสองสามวินาที ออเดรย์กล่าวอย่างสุขุม


พร้อมกันกับคำพูดเปี่ยมความหมาย สายลม ‘ปลอบโยน’ ล่องหนพัดผ่านไปทางชั้นหนังสือ


แอ่งของเหลวสีดำยุบพองด้วยความถี่ต่ำลง คล้ายกับเริ่มบรรเทาความกังวล


ออเดรย์ใช้ปลอบโยนอีกสองสามหน จนกระทั่งสภาพจิตใจของลูก้าบรูว์สเตอร์กลับมามั่นคง เริ่มเปิดใจและให้ความร่วมมือกับออเดรย์


หญิงสาวใช้โอกาสดังกล่าวเพื่อเปิดประตูกายปัญญาของครึ่งเทพ แบ่งใช้ ‘ปลอบโยน’ หลายครั้งเพื่อขจัดการกัดกร่อน จากนั้นก็ใช้ ‘การชี้นำทางจิต’ เพื่อโน้มน้าวให้ลูก้าบรูว์สเตอร์เชื่อว่า หลังจากนี้ทุกสิ่งจะผ่านไปอย่างราบรื่น เพื่อให้อีกฝ่ายมีจิตใจเข้มแข็งพอสำหรับการสยบร่างสัตว์ในตำนานและกลับเป็นมนุษย์


เหตุผลที่ออเดรย์ต้องแบ่ง ‘ปลอบโยน’ ออกเป็นหลายครั้ง เพราะเผื่อไว้ในกรณีที่ว่า หากการกัดกร่อนทางจิตของลูก้าแว้งกลับมาเล่นงานตน ออเดรย์จะได้รีบถอยและรักษาตัวเองก่อน


ท้ายที่สุด หญิงสาวรักษาจนหายขาดพร้อมกับฝังการชี้นำ จากนั้นก็ก้าวถอยหลัง


“ท่านกลับไปเป็นมนุษย์ได้แล้ว”


ทันทีที่สิ้นเสียง ชั้นหนังสือมายาในห้องโถงพลันอันตรธานหาย แอ่งของเหลวสีดำไหลมารวมกันราวกับมีชีวิต บรรจงก่อตัวเป็นรูปร่างมนุษย์


สีดำเลือนหายไปในพริบตา เปลี่ยนกลับเป็นสีสันของลูก้าบรูว์สเตอร์ ครึ่งเทพเส้นทางนักอ่านถอนหายใจพร้อมกับยิ้ม


“ขอบคุณมาก… ในตอนที่ผมเห็นลำดับห้าของเส้นทางผู้ชมมาถึง นึกว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นตะกอนพลังสำหรับสลับเส้นทางเสียแล้ว…”


ชายชราคนนี้พูดจาตรงไปตรงมาดี… ตรงจนเราตอบสนองไม่ถูก… ไคลน์หันไปมองจัสติส ออเดรย์ และพบว่าหญิงสาวกำลังปิดตาสนิท


เชี่ย… ไคลน์รีบหันไปพูดกับลูก้าบรูว์สเตอร์


“ลืมเรื่องนั้นไปก่อน… สิ่งที่คุณควรกังวลในตอนนี้คือเสื้อผ้า”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)