Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1089-1094

 ราชันเร้นลับ 1089 : การตัดสินใจที่ยาก...

 

หลังจากนั่งลงครู่หนึ่ง ไคลน์ยกมือขึ้นลูบหน้าผาก ตามด้วยการลุกยืนและเดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าไปในสายหมอก


ชายหนุ่มเสกเกอร์มัน·สแปร์โรว์และทำทีสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล ส่งต่อข้อความไปยังเดนิสและเฮอร์มิท แคทลียาตามลำดับ


สำหรับรายแรก เป็นคำเตือนให้ระวังลัทธิเร้นลับ แม้ไคลน์ไม่คิดว่าซาราธจะจ้องเล่นงานเดนิสโดยตรง แต่ชายคนนี้มีจุดเชื่อมโยงกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ การตักเตือนไว้จึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย – ในฐานะจอมอาคมพิสดาร ไคลน์พอจะรู้จักอุปนิสัยของเส้นทางนักทำนายเป็นอย่างดี โดยเชื่อว่าบุคคลที่สามารถเลื่อนลำดับไปได้ไกลจะต้องมีความรอบคอบสูงมาก จริงอยู่ บางคนอาจพึ่งพาโชคจนถึงลำดับสูง แต่สำหรับเทวทูตลำดับ 1 อย่างซาราธ ความระวังตัวของชายคนนี้ย่อมไม่ธรรมดา


ในสถานการณ์ปัจจุบัน สำหรับเทวทูตซึ่งมีข้อมูลในมือพอสมควร เดนิสนั้นไม่ต่างอะไรกับ ‘เหยื่อล่อ’ ตัวใหญ่ ใหญ่เกินไปจนน่าสงสัยว่าจะเป็นกับดัก ซาราธจึงไม่บุ่มบ่ามเข้าหาเดนิส แต่จะส่งคนของลัทธิเร้นลับมาสืบข่าวไม่ทางตรงก็ทางอ้อม


ในทำนองเดียวกัน สารจากไคลน์ถึงแคทลียาก็มีเนื้อหาค่อนข้างคล้ายคลึง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งสำคัญคือการขอให้เธอช่วยติดต่อราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดตในทันที แจ้งว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ต้องการนัดพบโดยด่วน นอกจากนั้น ไคลน์ยังแจ้งพลเรือเอกดวงดาวว่า ชุมนุมทาโรต์ในสัปดาห์ถัดไปจะถูกเลื่อน จึงต้องการให้เธอตัดสินใจว่าจะซื้อสูตรโอสถของเส้นทาง ‘นักเพาะปลูก’ หรือไม่ ทั้งลำดับห้าดรูอิดและลำดับสี่ นักถลุงโลหะโบราณ



เขตตะวันตกของทะเลคลั่ง เกาะไซรอส


เดนิสซึ่งอยู่ระหว่างภารกิจรวบรวมเบาะแสของพลเรือโทโรคภัย กำลังอยู่ในท่าถือแก้วเบียร์สีทอง แต่ทันใดนั้น ใบหน้าของมันพลันเคร่งขรึม


“มีอะไร? นายเห็นหน้าใครบางคนจนหวนนึกถึงประสบการณ์ที่ยากจะอธิบายในอดีต?” แอนเดอร์สันเขย่าแก้วแลงติร้อนแรงที่กลั่นด้วยมอลต์ พลางหัวเราะในลำคอเพื่อเย้ยหยันเดนิสซึ่งมีสีหน้าแปลกไป


เดนิสจิบเบียร์ ก่อนจะใช้หลังมือเช็ดปากและกล่าวด้วยสีหน้าค่อนข้างดำมืด


“หลังจากนี้พวกเราต้องคอยระวังคนของลัทธิเร้นลับ…”


นับตั้งแต่รู้จักกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มันมักได้ยินประโยคที่คล้ายคลึงกันบ่อยครั้ง ส่งผลให้อากัปกิริยาตื่นตระหนกในช่วงต้น เหลือแค่สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย


มันสงสัยว่าสักวันหนึ่ง ตนอาจถูกหมายหัวจากทุกองค์กรบนโลก ยกเว้นเพียงองค์กรของเดอะฟูลแห่งเดียว


แอนเดอร์สันมองเดนิสหัวจรดเท้าสองสามรอบ จากนั้นก็หัวเราะ


“ในบางครั้ง เกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็เป็นนักล่ามากกว่าฉันเสียอีก… หืม… แปลว่านายเพิ่งติดต่อด้วยวิธีพิเศษสินะ ไม่จำเป็นต้องอัญเชิญผู้ส่งสาร”


ขณะเดนิสเตรียมโต้แย้ง ณประตูทางเข้าโรงแรม คนของอินทิสรีบพรวดเข้ามารายงานข้อความจากโทรเลข


“ฟุซัคโจมตีเบ็คลันด์ และอาณาจักรโลเอ็นได้ประกาศสงครามอย่างเป็นทางการแล้ว!”


ประกาศสงคราม? แอนเดอร์สันและเดนิสมองหน้ากัน อาศัยความพิเศษของเส้นทางตัวเอง พวกมันได้กลิ่นของสงครามใหญ่



ฟุซัคโจมตีเบ็คลันด์กับท่าเรือพริสต์ และนั่นทำให้โลเอ็นประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ… กองเรือหุ้มเกราะทั้งสามมิได้อยู่ในท่าเรือในเวลาดังกล่าว จึงไม่เกิดการสูญเสีย ปัจจุบันกำลังทยอยกลับไปยังชายฝั่งโลเอ็น… กองเรือของพลเรือเอกดวงดาวซึ่งแวะเกาะโอลาวี ทำการรวบรวมข้อมูลจำนวนมากจากโทรเลข


ขณะเธอกำลังคิดว่ากลุ่มโจรสลัดของตนควรทำตัวอย่างไร สายหมอกสีเทาไร้ขอบเขตพลันปรากฏขึ้นในการมองเห็นพร้อมกับคำพูดของเกอร์มันสแปร์โรว์


“จงระวังลัทธิเร้นลับ… รวมถึงซาราธ…” แคทลียาซึ่งถือเป็นชาวอินทิสในแง่หนึ่ง ให้ความสนใจกับประเด็นที่สำคัญน้อยที่สุดก่อน


ด้วยเหตุผลข้างต้น เธอจึงไม่คลางแคลงคำขอร้องของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่ต้องการพบราชินีอย่างเร่งด่วน โดยเชื่อว่านั่นคือผลสืบเนื่องจากประเด็นเกี่ยวกับลัทธิเร้นลับและซาราธ


ท้ายที่สุด หญิงสาวขยับริมฝีปากแผ่วเบาพลางกระซิบชื่อโอสถสองชนิด:


“ดรูอิด… นักถลุงโลหะโบราณ… นี่คงเป็นชื่อใหม่ เพราะชื่อเก่าคือ ‘นักถลุงมนุษย์’ …”


แคทลียาเดินไปยังหน้าต่างตามความเคยชินและก้มมองต่ำ ปัจจุบันแฟรงค์·ลีกับ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์กำลังเอนกายบนกราบเรือเพื่ออาบแดด สีหน้าของรายแรกกำลังผ่อนคลายและสุขสบายสุดขีด แต่ก็มีความฉงนเล็กๆ ในดวงตา ราวกับกำลังขบคิดปัญหาที่แก้ไม่ตก ส่วนรายหลังมีสีหน้าซีดเซียว ริมฝีปากสั่นเทาและมีเห็ดกระจัดกระจายบนเสื้อผ้า


ดรูอิด… นักถลุงโลหะโบราณ… เป็นอีกครั้งที่พลเรือเอกดวงดาว แคทลียาทวนทั้งสองชื่อ ภายในใจอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก


ผ่านไปราวสิบวินาที แคทลียาดันแว่นตาหนาเตอะบนดั้งจมูกพลางปลอบใจตัวเอง


มิสเตอร์ฟูลมิได้ห้ามปราบ… แปลว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่…


ด้วยความคิดดังกล่าว แสงดาวพลันสว่างวาบรอบตัวหญิงสาวพร้อมกับโปรยปรายออกไปนอกหน้าต่าง เกิดเป็นบันไดแห่งแสงพาดผ่านห้องกัปตันลงไปยังดาดฟ้าเรือ


แคทลียาเดินลงบันได ตรงไปยังทิศทางของแฟรงค์·ลีและชาฟฟ์


สองสามวินาทีถัดมา แคทลียาถาม


“แฟรงค์… ความฝันของคุณคือสิ่งใด”


แฟรงค์·ลีที่เพิ่งตระหนักว่ากัปตันมาหา รีบยันตัวลุกขึ้น


“ความฝัน?”


‘นักชีววิทยา’ รายนี้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนจะตอบ


“ผมอยากศึกษาเกี่ยวกับดิน พืชผล และเทคนิคการผสมข้ามสายพันธุ์อย่างไร้ขีดจำกัด มนุษย์จะได้ไม่ต้องอดอาหาร ทุกคนจะเท่าเทียม สิ่งที่คนหนึ่งทำได้ อีกคนก็ต้องทำได้ สิ่งคนหนึ่งปลูกได้ อีกคนก็ต้องปลูกได้…”


ได้ยินเช่นนี้ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ด้านข้างพยุงตัวนั่งคุกเข่าอย่างเงียบงัน จากนั้นก็อ้าปากและอาเจียน


แฟรงค์·ลีมิได้แยแส


“การจะสร้างโลกแบบนั้น เราต้องมีอาหารและทรัพยากรที่เพียงพอ ผมจึงอยากสร้างสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดที่เอาตัวรอดได้ในทุกสภาพแวดล้อมและทุกเงื่อนไข… ฮุฮุ… แต่ทุกคนย่อมมีรสนิยมของตัวเอง ผมชอบปลา วัว และเห็ดเป็นพิเศษ…”


พลเรือเอกดวงดาว แคทลียายืนฟังคำตอบของแฟรงค์โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่ในระหว่างนั้น เธอดันแว่นตาหนาเตอะบนสันจมูกถึงสามครั้ง


หลังจากเงียบงันสักพัก แคทลียาถาม


“งานวิจัยล่าสุด… คุณอยู่ห่างอีกแค่ก้าวเดียวใช่ไหม”


“ใช่… ตอนนี้ขาดแค่แรงกระตุ้นจากพลังของดรูอิด… ถ้าผมยังหาสูตรโอสถไม่ได้ คงต้องให้ชาฟฟ์ช่วยสร้างสมบัติวิเศษจากตะกอนพลังของดรูอิดที่มีอยู่” แฟรงค์ตอบอย่างใจเย็น


“ไม่! ฉันจะไม่ช่วยนาย! ไอ้ปีศาจ!” ชาฟฟ์ที่คุกเข่าอาเจียนเงียบงัน เงยหน้าขึ้นพลางตะโกนด้วยสีหน้าเจือความกังวล


แคทลียายืนมองฉากตรงหน้าโดยไม่กล่าวคำใด ก่อนจะพลิกฝ่ามือพร้อมกับเสกเหรียญทองออกจากความว่างเปล่า


กิ๊ง!


เหรียญทองถูกดีดขึ้นฟ้าและตกลงบนฝ่ามือแคทลียา ด้านที่หงายขึ้นคือ ‘หัว’


“เกอร์มัน·สแปร์โรว์หาสูตรโอสถให้คุณได้แล้ว ราคาห้าพันปอนด์” แคทลียาเล่ารายละเอียด ราวกับต้องการแจ้งให้ชาฟฟ์ทราบว่า ใครคือ ‘คนร้าย’ ตัวจริงของเรื่องนี้


ดวงตาแฟรงค์·ลีพลันท่วมท้นไปด้วยความปีติ


“เขาเป็นคนดีมาก! เอ่อ… กัปตัน ตอนนี้ผมมีเงินเก็บแค่สามพันปอนด์ คุณช่วยออกอีกสองพันปอนด์ให้ก่อนได้ไหม”


เงินออมเกือบทั้งหมดของแฟรงค์ถูกใช้ไปกับตะกอนพลังดรูอิด ถึงขั้นต้องขายสมบัติบางชิ้น


แคทลียาเงียบงันอีกครั้ง จนกระทั่งสองสามวินาทีถัดมา เธอพยักหน้าตอบรับสายตาคาดหวังจากแฟรงค์


“ตกลง”



เขตเหนือ โรงพยาบาลในเครือโรงเรียนแพทย์เบ็คลันด์


ยูโดร่ากำลังนอนบนเตียงโรงพยาบาลด้วยสีหน้าว่างเปล่า ปราศจากความร่าเริงของหญิงสาว


เธอฟื้นจากอาการโคม่าแล้ว แต่ยังไม่ยอมลืมตา ทำเพียงแอบฟังหมอแจ้งกับพ่อแม่ว่า ขาขวาข้างที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีทางอากาศ คงกลับมาเป็นปรกติไม่ได้แล้ว ทางออกเดียวคือการตัดทิ้ง


นับแต่นั้นเป็นต้นมา เธอเอาแต่นอนนิ่งแม้จะมีผู้คนมากมายแวะเวียนมาเยี่ยม จากบรรดาแขกทั้งหมด มิสออเดรย์แห่ง ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ ซึ่งแต่เดิมมาเพื่อเยี่ยมนักเรียนในกองทุนเตียงข้างเคียง ตัดสินใจช่วยออกค่าพยาบาลหลังจากทราบเรื่องของเธอ – อธิการบดีของมหาวิทยาลัยอย่างพอร์ตแลนด์·โมมงต์เองก็สัญญาว่า จะทำขาเทียมรุ่นใหม่ที่ช่วยให้เธอใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปรกติ


แต่เหตุการณ์ดังกล่าวมิได้ขจัดความโศกเศร้าและสิ้นหวังในหัวใจยูโดร่า


เธอยังอายุไม่ถึงสิบแปด ยังไม่ทันได้เป็นสาวงาม ชีวิตของเธอก็สูญเสียขาที่ยาวสลวยซึ่งเคยเป็นความฝัน


ครอบครัวของยูโดร่ามิได้ร่ำรวย บิดาเป็นเจ้าของร้านขายของชำผู้ศรัทธาในวายุสลาตัน เป็นคนหยาบกระด้างและอารมณ์รุนแรง ไม่คิดจะใช้เหตุผลกับผู้หญิง มารดาของเธอทั้งขี้กลัวและร่างกายอ่อนแอ ต้องพึ่งพาเงินจากบิดาในการดำรงชีวิต หากไม่ใช่เพราะเป็นลูกคนเดียว ยูโดร่าคงไม่ถูกส่งเสียให้เล่าเรียน แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นการบังคับให้เข้าโรงเรียนเทคนิคเบ็คลันด์ซึ่งออกมาทำงานได้เร็ว


จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ยูโดร่าพรรณนาถึงความโชคดีที่โรงเรียนเทคนิคเบ็คลันด์ถูกบูรณะใหม่กลายเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเบ็คลันด์ รวมถึงเรื่องที่เธอสอบผ่านและกลายเป็นนักศึกษาเต็มตัว ส่งผลให้ยูโดร่ากลายเป็นหญิงสาวอารมณ์ดีที่มักส่งต่อความสุขให้ผู้คนด้วยบทกวี


ความฝันของยูโดร่าคือการเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเดิม แต่งงานกับสามีที่เธอรักและรักเธอ ระหว่างนั้นก็ใช้เวลากับบทกวีที่ชื่นชอบ พยายามตีพิมพ์ลงนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์


แต่ปัจจุบัน ทุกสิ่งถูกทำลายด้วยระเบิดที่ตกลงมาจากฟากฟ้า เป็นการบดขยี้อย่างโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ยูโดร่าดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าอย่างเงียบงัน ตามด้วยการปล่อยโฮแผ่วเบาราวกับเสียงร้องของลูกสัตว์


เสียงสะอื้นดังขึ้นสักพัก จนกระทั่งยูโดร่าเลิกผ้าห่มลงและเห็นเงารางยืนอยู่ข้างเตียง


ใบหน้ากว่าครึ่งของบุคคลดังกล่าวถูกปกคลุมไปด้วยเห็ด ส่วนอีกครึ่งเป็นหญ้า ในกำลังมือถือไม้เท้าสีไม้


“…” ยูโดร่าร้องไม่ออก หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุหน้าอกออกมา


เงารางดังกล่าวสัมผัสเธอด้วยปลายไม้เท้า


ทันใดนั้น หัวใจของยูโดร่าเริ่มกลับเป็นปรกติ ขาขวาเย็นเยียบอย่างผิดวิสัย ประสาทสัมผัสกลับคืนมาอย่างน่าประหลาด


เมื่อมองไปที่ข้างเตียงอีกครั้ง เงาดำได้อันตรธานหายไปจากจุดที่เคยอยู่


ท่ามกลางความงุนงง ยูโดร่าลองขยับขาขวาและพบว่าปราศจากความเจ็บปวด ประหนึ่งไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน


เธอดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้าอีกครั้ง


หลายสิบวินาทีถัดมา เสียงสะอื้นอันเปี่ยมไปด้วยความหวาดผวา ปีติยินดี และคลางแคลงดังขึ้นจากใต้ผ้าห่ม

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1091 : ถามตัวเอง

 

กรุงเบ็คลันด์ เขตตะวันออก ภายในบ้านเช่าคับแคบ


ไคลน์ซึ่งสวมเสื้อนอกค่อนข้างหนา ยืนอยู่ริมโต๊ะพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง ดื่มด่ำไปกับความก้าวหน้าในการย่อยโอสถจอมอาคมพิสดารที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง


เร็วมาก… ก้าวหน้ามากกว่าช่วงสามเดือนที่ผ่านมารวมกันด้วยซ้ำ… แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ หากไม่มีไม้เท้าแห่งชีวิต พลังในการรักษาของเรายังไม่สูงพอ คนไข้อาจหวาดกลัวจนทนพิษบาดแผลไม่ไหว ส่งผลให้มิอาจตระเวนไปตามโรงพยาบาลเพื่อสร้างเรื่องสยองขวัญ…


ในทำนองเดียวกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเกิดสงคราม เราคงไม่มีโอกาสได้เผชิญหน้ากับครึ่งเทพคนอื่น… ครึ่งเทพที่เรารู้จักทั้งหมดล้วนอาศัยอยู่ใน ‘ถิ่น’ ของตัวเอง หากต้องการบุกรุกเข้าไปเพื่อสร้างตำนานสยองขวัญ คงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเปลี่ยนให้ผู้บริสุทธิ์กลายเป็นหุ่นเชิด ต่อให้ไม่เหลือทางเลือกอื่น เราก็จะไม่ทำอย่างเด็ดขาด… ไคลน์ถอนหายใจพลางครุ่นคิด


จากนั้น มันย้ำคำหนึ่งภายในใจ


สงคราม…


ปัจจุบัน เขตตะวันออกค่อนข้างมืด มีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟถนนซึ่งอยู่ห่างออกไปไกล นานๆ ครั้งจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินถือตะเกียงตรวจตราบนถนน


หากเป็นเมื่อก่อน ตำรวจเหล่านี้จะขาดความกระตือรือร้น แต่สำหรับปัจจุบัน เนื่องจากอยู่ในภาวะสงคราม จึงต้องมีการตรวจตราอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้ประชาชนฝ่าฝืน ‘เคอร์ฟิว’


“สงคราม…” ไคลน์ทวนคำอีกครั้งด้วยเสียงแผ่ว ท่ามกลางความสับสนเล็กๆ ไคลน์เริ่มมองเห็นบทสรุปบางส่วนของสงคราม


ท้ายที่สุด จอร์จที่สามแห่งโลเอ็นจะเป็นอิสระจากพันธนาการ หมดห่วงว่าเจ็ดเทพจารีตจะพยายามยับยั้งตน สามารถดำเนินการประกอบพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืดได้อย่างชอบธรรม… หากมันอดทนต่อฤทธิ์โอสถได้ รวมไปถึงการรักษาสติสัมปชัญญะ จอร์จที่สามก็จะกลายเป็นลำดับ 0 จักรพรรดิมืดโดยสมบูรณ์…


ตระกูลไอน์ฮอร์นแห่งฟุซัคจะใช้ประโยชน์ความวุ่นวายของสงครามที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ส่งสมาชิกคนสำคัญออกไปทำศึกเพื่อย่อยโอสถและประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้ขุมพลังโดยรวมของตระกูลแข็งแกร่งขึ้นมาก…


สำหรับพี่ชายของอามุนด์ นี่คือโอกาสอันดีในการปรุงโอสถและก้าวขึ้นไปเป็น ‘นักสร้างฝัน’ ท่ามกลางกระแสเวลาแห่งยุคสมัย ทำให้โลกนี้มีเทพแท้จริงเพิ่มอีกหนึ่งตน…


ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ผุดคำถามขึ้นกะทันหัน


เรายอมรับบทสรุปแบบนี้ได้หรือ…


ยอมรับได้ไหม… ไคลน์อ้าปากและปิดกลับไปอย่างเชื่องช้า ภายในใจกำลัง ‘เห็น’ ภาพที่ไกลเกินกว่าขีดจำกัดของเวลาและมิติ


เป็นฉากของกรุงเบ็คลันด์ซึ่งท่วมท้นไปด้วยหมอกควันสีเหลืองอ่อนแซมด้วยสีดำเหล็ก หมอกดังกล่าวทั้งเข้มข้นและฉุนจมูกชวนให้สำลัก ทั้งเย็นเยียบและเปียกชื้น


ชายเร่ร่อนคนหนึ่ง ชีวิตของมันขยับเข้าใกล้ความตายเนื่องจากอาการป่วย ความหิว ความเจ็บปวด และหนาวเย็น ชายคนดังกล่าวพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยการใช้อาหารและรางวัลบางอย่างเป็นแรงผลักดันในการทำงาน ไม่เคยเกียจคร้านแม้แต่วินาทีเดียว จนกระทั่งได้พบกับแสงสว่างแห่งชีวิต มีเงินเพียงพอที่จะซื้อแฮมซึ่งใฝ่ฝันอยากกินมานาน


ม่ายสาวคนหนึ่ง เธอเป็นคนขยันขันแข็ง แต่เพื่อความอยู่รอดและเพื่อลูกสาวทั้งสอง เธอยอมละทิ้งศักดิ์ศรีและทำตัวปากร้าย สั่งสอนลูกสาวทั้งสองคนด้วยภาษาหยาบคาย น่าเสียดายที่อาการไขข้อทรุดลงทุกวันเนื่องจากต้องทำงานสภาพแวดล้อมที่ชื้นเกินไป จนกระทั่งหมอกควันอันเข้มข้นมาเยือนเมืองหลวง หลังคาที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันลมฝนได้ถล่มลงมา หล่นทับเธอและลูกสาวคนหนึ่งซึ่งเธอพยายามปกป้องไว้ในอ้อมแขน ส่งผลให้เสียชีวิตไปทั้งคู่


เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอรักการอ่าน เฝ้าฝันถึงอนาคตอันสดใส รักแม่และน้องสาวมาก อุทิศชีวิตให้กับการทำงานภายในห้องที่เต็มไปด้วยละอองน้ำเปียกชื้น โดยหวังว่าสักวันจะได้มีอนาคตที่สุขสบาย แต่หลังจากเหตุการณ์หมอกควัน อนาคตของเธอก็จบลง


เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมีโอกาสได้เล่าเรียนเพราะการเสียสละของแม่และพี่สาว เธอจึงตั้งใจเรียนหนักเพื่อทุกคน หลังจากเผชิญความทุกข์ยากมากมาย สิ่งดีๆ ก็เริ่มเข้ามาในชีวิต เธอหวังจะพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ปรารถนาให้แม่และพี่สาวได้ทำงานสบาย ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย หวังว่าครอบครัวเล็กๆ ที่มีสมาชิกสามคนจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่ในท้ายที่สุด ทุกสิ่งพังทลายลง ท่ามกลางหมอกควัน เธอถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง โดยหลังจากนี้ ไม่ว่าจะได้พานพบความสุขหรือความเจ็บปวด เธอไม่สามารถแบ่งปันกับใครได้อีก ชีวิตครอบครัวในฝันสูญหายไปตลอดกาล


สิ่งมีชีวิตมากมายทยอยล้มตายราวกับฟางข้าว จากครอบครัวหนึ่งไปถึงอีกครอบครัวหนึ่ง จากคนหนึ่งไปถึงอีกคนหนึ่ง เป็นความเจ็บปวดที่ถูกสลักลงในกระดูกซึ่งมิอาจลบเลือน


นักศึกษาคนหนึ่ง อนาคตสดใส แต่ร่างกายกลับเหลือเพียงครึ่งซีก ลำไส้กระจัดกระจาย


เด็กคนหนึ่ง เพิ่งกลับจากโรงเรียน แต่ต้องพบว่าตนสูญเสียพ่อแม่และกลายเป็นเด็กกำพร้า


คนธรรมดาจำนวนมากที่ล้มลงด้วยความเจ็บปวด ดิ้นรนกระเสือกกระสน ขวนขวายหาอนาคต แต่มิอาจต่อลมหายใจของตัวเองออกไป


เหล่าผู้สูญเสียกลุ่มใหญ่ที่ตระเวนไปทั่วสุสานอันเงียบเชียบ แต่ละคนร้องไห้หนักจนหมดสติไปสองสามหน


ผืนแผ่นดินที่ปกคลุมไปด้วยเลือด


อากาศที่ปกคลุมไปด้วยควันดินปืน


กระสุนปืนใหญ่ที่โหดร้ายและไร้หัวใจ


ชายผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด ฆาตกรตัวจริงที่ผลักดันให้เกิดสิ่งเหล่านี้ กำลังจะปีนป่ายบันไดแห่งซากศพขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ท่ามกลางแรงสนับสนุนจากคนรอบข้าง เตรียมสลัดคราบมนุษย์ออกไปโดยสมบูรณ์


เรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามได้หรือ?


ยอมรับแผนการอันชั่วช้าของมันได้หรือ?


เรา… ยอมรับบทสรุปแบบนี้ได้จริงหรือ?


“ไม่… เราไม่ยอมรับ” ไคลน์ที่เงียบงันสักพัก กล่าวกับตัวเองเสียงแผ่ว


เสียงดังกล่าวสะท้อนอยู่ภายในห้อง ซ้อนทับอย่างต่อเนื่อง


“ไม่ เราไม่ยอมรับ!”


ท่ามกลางเสียงที่ดังสะเทือนในโสตประสาท มุมปากไคลน์ขดขึ้นเล็กน้อยพลางหัวเราะเยาะกับตัวเอง


“แม้แต่เจ็ดเทพจารีตยังยอมรับ แล้วนายเป็นใครถึงไม่ยอม?”


ไคลน์เงียบลงอีกครั้ง หายใจเข้าออกอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน จนกระทั่งพึมพำในลำคอ


“แม้ว่าเราคนเดียวจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่ก็ยังมีเรื่องที่พอจะทำได้”


บนโลกปัจจุบัน ใช่ว่าทุกสิ่งจะรับประกันความสำเร็จเสมอไป


มุมปากไคลน์ขดขึ้น ถอนสายตากลับและหมุนตัวเดินเข้าห้อง


แม้จะหนักแน่นในสิ่งที่ตัวเองต้องทำ แต่มันก็ไม่คิดบุ่มบ่ามลงมือ เพราะยังทราบดี ด้วยพลังและสถานภาพในปัจจุบัน ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใดและวางแผนได้รอบคอบสักแค่ไหน แต่คงเป็นเรื่องยากที่จะสร้างอิทธิพลก่อกวนจนแผนการของจอร์จที่สามประสบความล้มเหลว ผลลัพธ์มีเพียงการเอาชีวิตไปทิ้งโดยไม่สร้างสรรค์ประโยชน์ใดกลับมา


ยิ่งไปกว่านั้น หากการลงมือของไคลน์ส่งผลให้อาณาจักรโลเอ็นเกิดความโกลาหลในภาวะสงคราม นำไปสู่การบุกถล่มของกองทัพฟุซัค นั่นจะทำให้ผู้บริสุทธิ์ล้มตายไปมากกว่าโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันนับสิบนับร้อยเท่า


สิ่งที่เราทำได้คือการเตรียมตัว… ในแง่หนึ่ง ต้องพัฒนาตัวเอง และอีกแง่หนึ่ง ต้องเตรียมตัวสำหรับโอกาสที่จะมาถึง… ไคลน์พึมพำเงียบพร้อมกับนำวัตถุเหนียวข้นคล้ายแป้งเปียกสีดำป้ายลงบนกระจกเงา


นี่คือช่องทางสำหรับติดต่อแม่มดทริสซี่


ทว่า จนกระทั่งของเหลวเหนียวข้นสีดำ ‘ระเหย’ หายไปทั้งหมด กระจกก็ยังไม่มีการตอบสนอง


ไม่ตอบสนอง… หลังจากตกตะลึงกับผู้ส่งสารระดับเทวทูตของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ทริสซี่ก็ตัดสินใจเลิกติดต่อกับนักผจญภัยเสียสติ… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ เดินไปนั่งลงข้างเตียงนอน


กระแสความคิดของมันเปลี่ยนไปวิเคราะห์ว่า เหตุใดนิกายแม่มดถึงต้องช่วยกษัตริย์จอร์จที่สาม


…เหตุผลข้อแรก แม่มดต้องการโศกนาฏกรรมเพื่อย่อยโอสถและประกอบพิธีกรรม ข้อสอง จอร์จที่สามให้คำมั่นสัญญาบางอย่างกับพวกหล่อน? สัญญาแบบไหน? สัญญาว่าจะยอมรับให้นิกายแม่มดกลายเป็นศาสนาใหม่ที่ถูกต้องชอบธรรม? ไม่มีทาง เจ็ดเทพจารีตไม่มีวันยอม ต่อให้ลำดับ 0 อย่างจักรพรรดิมืด แม่มดบรรพกาล และพระผู้สร้างแท้จริงร่วมมือกัน ก็คงยากที่จะต่อกรกับพันธมิตรเจ็ดเทพจารีต ไม่สิ… หลังจากจบสงคราม เกรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ็ดเทพคงเกิดปัญหา…


ถ้าเป็นไปตามข้างต้น เจ็ดเทพจารีตก็ไม่ควรปล่อยให้จอร์จที่สามซึ่งร่วมมือกับนิกายแม่มด ได้เถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืด…


หรือคำมั่นสัญญาจะเป็นเรื่องอื่น? แต่เส้นทางแม่มดมีเทพแท้จริงอยู่แล้ว และสิ่งที่พระองค์ปรารถนาก็น่าจะมีไม่มาก… เส้นทางใกล้เคียง? หมายถึงเส้นทางนักบวชสีชาด? จอร์จที่สาม ไม่สิ… หรือว่า… พี่ชายอามุนด์ซึ่งนอกจากจะทราบความลับเกี่ยวกับสุสานจักรพรรดิมืดของจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์ บุตรแห่งพระผู้สร้างรายนี้ยังถือครองตะกอนพลังระดับเทวทูตหรือสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ของเส้นทางนักบวชสีชาด?


ในกรณีที่ลำดับ 0 ยังมีชีวิต ลำดับ 1 ของเส้นทางจะถูกว่างไว้… นี่อาจเป็นความหวังในการเลื่อนลำดับของสมาชิกเบื้องบนนิกายแม่มด… หืม… ไม่แน่ว่าแม่มดบรรพกาลอาจจะสนใจด้วยตัวเอง…


มีน้ำหนักมากพอที่จะโน้มน้าวให้นิกายแม่มดช่วยเหลือ… ดูเหมือนว่าการหาตัว ‘นักบุญขาว’ คาร์เทอริน่า จะมิใช่ด้วยเหตุผลทั่วไปเหมือนกับที่วิญญาณมารเทวทูตสีชาดเล่าให้ฟัง… ไม่สิ เจ้านั่นไม่ได้บอกอะไรเรา แค่ใช้สามัญสำนึกและจิตวิทยาในการชักนำ…


ภาพรวมของเหตุการณ์เริ่มชัดเจนขึ้นในสมองไคลน์ นักบุญขาว คาร์เทอริน่ากลายเป็นเป้าหมายถัดไปและจุดตั้งต้นของแผนการ แต่ก่อนอื่น ชายหนุ่มอยากฟังคำพยากรณ์ของราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดต อยากฟังจุดประสงค์ของเธอในเบ็คลันด์


หากได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมจากมุมมองอื่น บางทีอาจช่วยให้ตนมองเห็นโอกาส!


เช้าวันถัดมา แคทลียาถ่ายทอดคำพูดของแบร์นาแดต


“วันนี้เวลาเที่ยงตรงถึงเที่ยงครึ่ง ภัตตาคารเซอเรนโซ่ โรงละครทองคำ”


นั่นคือชื่อของห้องส่วนตัว


ไคลน์ซึ่งมาถึงตอน 11.55 น. ตบตาพนักงานด้วยภาพลวงตาและเดินมาถึงหน้าห้องเป้าหมายอย่างราบรื่น รอยคอยด้วยความอดทน


ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มหยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝา


ไคลน์เก็บนาฬิกาพกกลับทันที นับในใจอย่างเงียบงันราวสิบครั้ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นเคาะประตู ‘โรงละครทองคำ’


ปัจจุบัน หุ่นเชิดโจนาสกำลังนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามภัตตาคาร อ่านหนังสือพิมพ์อย่างสบายใจ ขณะที่เอ็นยูนกำลังปะปนอยู่กับกลุ่มนักศึกษา คอยแจกใบปลิวส่งเสริมภาพลักษณ์อันชั่วร้ายของฟุซัค แน่นอนว่าทั้งสามจะสลับตำแหน่งเป็นระยะ ไม่ให้ใครเดาถูกว่าร่างต้นอยู่ตรงไหน


“เชิญ” เสียงแบร์นาแดตดังมาจากในห้อง


ยอดเยี่ยมมาก… ทั้งที่เราตรวจไม่พบว่ามีใครอยู่ข้างใน และไม่มีใครแอบลอบเข้าไป… ถ้าไม่พึ่งพาเนตรด้ายวิญญาณก็ยากที่จะหาเจอสินะ… ไคลน์พึมพำพลางบิดกลอนและผลักเข้าไป


สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาคือพื้นห้องสีทองอร่าม ขนาดกว้างขวาง ถัดมาจึงเป็นสตรีผมสีเกาลัดที่นั่งในตำแหน่งประธานของโต๊ะอาหาร

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1092 : พวกบ้า

 

แบร์นาแดตกำลังนั่งเงียบงัน แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวสไตล์อินทิสสำหรับสตรี ผมสีเกาลัดพาดบ่าอย่างเป็นธรรมชาติ คิ้วโก้งโค้งได้รูปทรงสมบูรณ์แบบ มอบความรู้สึก ‘สาวมั่น’ จากโลกเก่า คล้ายกับสตรีที่ไต่เต้าจนถึงตำแหน่งระดับสูงได้ด้วยลำแข้งตัวเอง


รสนิยมของจักรพรรดิส่งผลกับราชินีเงื่อนงำไม่น้อย… แต่ก็ถูกจำกัดไว้ด้วยสภาพแวดล้อมจนยากจะแสดงออกมาได้ทั้งหมด… ไคลน์ถอดหมวกพร้อมกับเลื่อนลงมาทาบหน้าอก โค้งศีรษะคำนับเล็กน้อยและดึงเก้าอี้ออกมานั่งด้วยท่าทีผ่อนคลาย


ดวงตาสีฟ้าซึ่งดูคล้ายกับน้ำทะเลของแบร์นาแดต กวาดไปรอบตัว ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลและสงบนิ่ง


“ทำไมคราวนี้ถึงนัดพบอย่างกะทันหันนัก”


เธอเป็นผู้หยั่งรู้ไม่ใช่หรือ? ไม่ได้รับวิวรณ์หรือไง? ไคลน์ตอบในใจตามอารมณ์ ทันใดนั้นก็ฉุกคิดได้ว่าตนโอหังเกินไป


คงเป็นเพราะเราคุยกับวิญญาณมารเทวทูตสีชาดเป็นเวลานาน… ด้วยบุคลิกและลำดับของเจ้านั่น เป็นธรรมดาที่คู่สนทนาจะได้รับอิทธิพลบางอย่างกลับมา และหากมันปรารถนา ก็คงกัดกร่อนอีกฝ่ายได้ในทันที… ไคลน์รีบตรวจสอบตัวเองพร้อมกับประเมินอย่างคร่าว


ชายหนุ่มไตร่ตรองสักพักก่อนจะถาม


“คุณสะสางงานที่เบ็คลันด์เสร็จหรือยัง”


แบร์นาแดตส่ายหน้า


“ยัง… เรียกว่าล้มเหลวก็ได้”


“หือ…” ไคลน์เล่นเสียงแทนความประหลาดใจ


แบร์นาแดตชำเลืองชายหนุ่มพลางตอบเชื่องช้า


“โอสถลำดับ 2 ของเส้นทางผู้ส่องความลับมีชื่อแปลกๆ ว่า ‘ผู้ทรงปัญญา’ หากต้องการเลื่อนเป็นลำดับดังกล่าว คุณต้องป้องกันภัยพิบัติซึ่งเกี่ยวข้องกับพลังเหนือธรรมชาติในลำดับสูงให้สำเร็จ”


ผู้ทรงปัญญา… ที่มาของปราชญ์เร้นลับสินะ… ไคลน์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเตรียมถามกลับ แต่ทันใดนั้น ราชินีเงื่อนงำเล่าต่อ


“ฉันเล็งเห็นว่าโอกาสดังกล่าวจะเกิดขึ้นในกรุงเบ็คลันด์ จึงแวะมาเตรียมการล่วงหน้าที่นี่หลายปี โดยในระยะหลังตั้งใจรอเป็นพิเศษ… น่าเสียดายที่คำพยากรณ์แจ้งว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ส่งผลให้ปลายปีที่แล้วไม่ได้อยู่ที่เบ็คลันด์จนพลาดการป้องกันโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน… ก่อนสงครามจะเริ่ม ฉันพยายามอย่างหนักในการทำบางสิ่ง และประสบความสำเร็จในบางอย่าง แต่กลับต้องผิดคาด ฟุซัคเปิดฉากโจมตีเบ็คลันด์ตรงๆ จนภัยพิบัติปะทุขึ้น”


นี่คือสาเหตุที่บอกว่าล้มเหลวสินะ… ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้


“ผมไม่คิดว่าฝ่ายที่เปิดศึกจะเป็นฟุซัค”


ขณะกล่าว ไคลน์ตัดพ้อเล็กน้อยหลังจากประเมินว่าพิธีกรรมเลื่อนลำดับของราชินีเงื่อนงำนั้นไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก ขึ้นอยู่กับดวงเป็นหลัก


ต้องไม่ลืมว่า ในตอนที่ยังไม่ได้เป็นครึ่งเทพ ไคลน์ประสบความสำเร็จในการป้องกันมิให้พระผู้สร้างแท้จริง ‘เสด็จเยือน’ ถึงสองครั้ง เป็นส่วนสำคัญในการช่วยปกป้องทิงเก็นและเบ็คลันด์ เรียกได้ว่าบรรลุพิธีกรรมของ ‘ผู้ทรงปัญญา’ อย่างง่ายดาย แต่ภายใต้สถานการณ์ปรกติ การป้องกันภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งเกิดขึ้นไม่บ่อยและต้องใช้ความแข็งแกร่งในระดับสูง


เฉกเช่นสถานการณ์ปัจจุบัน พี่ชายอามุนด์วางแผนมานานนับพันปีหรืออาจถึงสองพันปี ต่อให้จอร์จที่สามเกิดปัญหา แต่สงครามก็ต้องปะทุขึ้นอย่างมิอาจเลี่ยง เนื่องจากปัญหาสำคัญอย่าง ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางมรณาคือปมที่ไม่มีวันแก้ได้


นั่นทำให้ไคลน์สงสัยว่า ชะตาชีวิตของมิสเตอร์อะซิกบนทวีปเหนือ อาจถูกกำหนดโดยพี่ชายอามุนด์มาตั้งแต่ต้น ไม่อย่างนั้น ทั้งที่ปราศจากหน้ากากแปลงโฉม เหตุใดชายผู้สูญเสียความทรงจำถึงหลบหนีจากเงื้อมมือของโบสถ์หลักมาได้ตลอด?


เหนือสิ่งอื่นใด ในช่วงชีวิตปัจจุบัน มิสเตอร์อะซิกกลับใช้ชื่อจริงของตัวเองด้วยเหตุผลบางประการ!


และแม้จะเป็นเช่นนั้น กลับไม่มีฝ่ายใดเลยที่ฉุกคิดได้และทำการสืบสวนเขา!


ทั้งหมดเป็นแผนของคุณหรือ? พี่ชายอามุนด์… คิดถึงตรงนี้ แผลใจของไคลน์เริ่มกำเริบ ร่างกายสั่นระริกอย่างมิอาจหักห้าม


ชายหนุ่มสูดลมหายใจยาว จ้องหน้าราชินีเงื่อนงำและพูดเสริม


“สงครามในปัจจุบันเกี่ยวข้องกับบุตรแห่งพระผู้สร้าง ราชาเทวทูต และเทพแท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะยับยั้งได้”


จากความรู้และประสบการณ์ของแบร์นาแดต สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังจากได้ยินประโยคดังกล่าว ก่อนจะทวนคำสำคัญด้วยเสียงแผ่วเบา


“บุตรแห่งพระผู้สร้าง… ราชาเทวทูต… เทพแท้จริง…”


เธอไม่ประหลาดใจมากนัก คล้ายกับพอจะเห็นเค้าลางมาตั้งแต่ต้น แต่นั่นก็ยังหมายความว่า ต่อให้เป็น ‘ผู้หยั่งรู้’ ก็ยังมองไม่เห็น ‘บทละคร’ ของพี่ชายอามุนด์ได้ชัดเจน


หลังจากทวนคำ แบร์นาแดตเงียบงันสองสามวินาที กล่าวกึ่งถอนหายใจกับตัวเอง


“แบบนี้นี่เอง…”


ไคลน์เปลี่ยนท่านั่ง สมองเริ่มประมวลผล


“อันที่จริง สงครามในปัจจุบันยังมีโอกาสสำหรับคุณ… ในอนาคตจะเกิดภัยพิบัติอีกมาก หลายเหตุการณ์มีต้นตอมาจากการปะทะระหว่างกองทัพเทวทูต ผมคิดว่าคุณคงยับยั้งได้สักครั้งหากพึ่งพาพลังสมบัติปิดผนึกระดับ 0… แต่แน่นอน ต้องเลือกจังหวะและวิธีการให้ดี”


แบร์นาแดตพยักหน้าแผ่วเบา เห็นพ้องกับคำกล่าวของไคลน์ ขณะเดียวกันก็ไม่ปฏิเสธว่าเธอมีสมบัติปิดผนึกระดับ 0อย่างน้อยหนึ่งชิ้น


แน่นอน ในฐานะลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของ ‘ตัวเอก’ ในยุคก่อนอย่างจักรพรรดิโรซายล์ คงเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อหากบิดาของเธอจะไม่ยกสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ให้สักชิ้นสองชิ้น


และเหนือสิ่งอื่นใด แบร์นาแดตเตรียมประกอบพิธีกรรมเลื่อนขั้นเป็น ‘ผู้ทรงปัญญา’ เรียบร้อยแล้ว หมายความว่าต้องมีตะกอนพลังของลำดับ 2 เส้นทางผู้ส่องความลับอยู่กับตัว ในแง่หนึ่ง วัตถุดังกล่าวมีระดับเทียบเท่าสมบัติปิดผนึกระดับ 0


หลังจากยอมรับโดยนัย น้ำเสียงอันนุ่มนวลแต่เฉยเมยของราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดตเปลี่ยนไปเล็กน้อย


“แต่ฉันไม่ชอบสงคราม แม้มันจะมอบโอกาสให้ก็ตาม… ฉันเคยเกลียดเขามาก เคยไม่เข้าใจทุกสิ่งที่เขาทำจนเลิกเรียกเขาว่าพ่ออยู่หลายปี นั่นเป็นเพราะเขาเอาแต่ขวางกระแสแห่งยุคสมัยจนทำให้คนบริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน ทั้งหมดเพียงเพื่อจะเลื่อนเป็นจักรพรรดิมืดในช่วงบั้นปลาย… ฉันรับไม่ได้ที่พ่อซึ่งเป็นเหมือนฮีโร่มาตลอด ต้องกลายเป็นทรราชเสียสติ… แต่ปัจจุบัน พิจารณาจากคำตอบของบุคคลที่อยู่เบื้องหลังคุณ รวมถึงการสอบสวนของตัวเอง ฉันพอจะเข้าใจสถานการณ์ของเขาขึ้นมาบ้าง… เข้าใจว่าเขาต้องทุกข์ทรมานจากความสิ้นหวัง ความเจ็บปวด และความโดดเดี่ยว เข้าใจว่าเขาเป็นเหมือนกับคนกำลังจมน้ำ เพียงดิ้นรนเอาตัวรอดไปตามสัญชาตญาณ”


“…” ไคลน์ถอนหายใจห่อเหี่ยว ยากจะสงบอารมณ์ของตน


บนโลกปัจจุบัน มีเพียงสองคนเท่านั้นที่รู้จัก ‘ฮวงเทา’ โรซายล์·กุสตาฟได้ดีกว่าใคร และทั้งสองกำลังนั่งอยู่ที่นี่


แต่แน่นอน อารมณ์ห่อเหี่ยวมิได้ปิดกั้นประสาทสัมผัสของไคลน์ มันยังคงตระหนักว่า ราชินีเงื่อนงำอยู่ในอารมณ์ที่แตกต่างจากปรกติ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการพบกันครั้งก่อนซึ่งเธอแทบไม่เล่าสิ่งใด ไม่เคยเปิดใจของตัวเอง ต่างฝ่ายต่างแสดงความโศกเศร้าแผ่วเบาอย่างมีมารยาท


ไตร่ตรองสักพัก ไคลน์แสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็น เพียงถามต่อไป


“เขาเริ่มเปลี่ยนไปตอนไหน? คุณคิดว่าสิ่งใดเป็นจุดเปลี่ยน หรือสิ่งใดควรค่าให้จดจำ”


ดวงตาสีฟ้าของราชินีเงื่อนงำสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับถูกดึงเข้าไปในความทรงจำอันยาวนาน


ผ่านไปสักพัก เธอกล่าวเชื่องช้า


“ก่อนที่จะเปลี่ยนไปได้ไม่นาน เขาพูดกับฉันด้วยความภูมิใจว่า: ลูกอยากรู้ไหมว่าบนดวงจันทร์และดาวเคราะห์ดวงอื่นมีสิ่งใดอยู่? ในอนาคต พวกเราอาจได้เดินทางท่ามกลางทะเลแห่งดวงดาว”


ทะเลแห่งดวงดาว… สิ่งที่อยู่บนดวงจันทร์และดาวเคราะห์ดวงอื่น… ไคลน์นึกทบทวนคำพูดของราชินีเงื่อนงำ ทันใดนั้นก็ฉุกคิด ‘บางเรื่อง’ พร้อมกับคำสำคัญบางคำ


คำสำคัญก็คือ:


อวกาศ!


และเรื่องที่ว่าก็คือ:


มิสเตอร์ประตูเคยบอกกับจักรพรรดิโรซายล์ว่า หากเมื่อใดที่มีเวลาและพลังมากพอ ให้ขึ้นไปสำรวจดวงจันทร์ เพราะนั่นจะช่วยไขปริศนาที่คาใจได้กระจ่าง


ท้ายที่สุด จักรพรรดิไปเหยียบดวงจันทร์? ไดอารีที่เปี่ยมไปด้วยความบ้าคลั่งหน้านั้น (ตอนที่ 715) ถูกเขียนขึ้นหลังจากการสำรวจ? นั่นทำให้บุคลิกของเขาเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นคนอารมณ์รุนแรงและสุดโต่ง? ไคลน์นึกทบทวนเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง และภายใต้การจ้องมองจากราชินีเงื่อนงำ มันกล่าวด้วยสีหน้าขบคิด


“ด้วยระดับของคุณ คงทราบดีว่าอวกาศเต็มไปด้วยมลพิษ”


แบร์นาแดตพยักหน้าโดยไม่ถามซักไซ้ คล้ายกับมั่นใจว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็คงไม่รู้มากกว่าตน สิ่งที่เธอทราบมีเพียง หากไม่ใช่เทวทูต ผู้วิเศษทั่วไปหมดสิทธิ์ตรวจจับอันตรายและต้านทานมลพิษจากอวกาศ


หลังจากเงียบงันราวสิบวินาที ไคลน์ชักนำบทสนทนาเข้าสู่ประเด็นหลักของการนัดพบ


“หนึ่งในเหตุผลที่สงครามปะทุขึ้นก็คือ กษัตริย์จอร์จที่สามแห่งโลเอ็นค้นพบสุสานลับทั้งเก้าแห่งที่จักรพรรดิโลหิตสร้างไว้ จึงเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนไปยังลำดับ 0 เส้นทางจักรพรรดิมืดแทน… นั่นคือจุดเริ่มต้นของการยกเลิกพระราชบัญญัติเมล็ดพันธุ์…”


ไคลน์ไม่แยแสว่าราชินีเงื่อนงำจะเข้าใจหรือไม่ ยังคงเล่าไปตามจังหวะของตัวเอง อธิบายเสริมเพียงเล็กน้อย และปิดท้ายด้วยประโยคที่ว่า


“จักรพรรดิมืดมีพลังในการคืนชีพ แต่หากจักรพรรดิมืดคนใหม่ปรากฏตัว จักรพรรดิมืดองค์เก่าจะร่วงหล่นโดยสมบูรณ์”


องค์เก่าหมายถึงจักรพรรดิโรซายล์ซึ่งอาจเลื่อนลำดับสำเร็จ แต่ถูกลอบสังหารหลังจากนั้น


ในบางครั้ง ไคลน์สงสัยว่าโรซายล์จงใจปล่อยให้นักลอบสังหารปลิดชีพตนอย่างง่ายดาย เพราะด้วยวิธีดังกล่าว เมื่อคืนชีพอีกครั้งในดินแดนดารา โรซายล์จะเลือกดูดซับตะกอนพลังของลำดับ 1 เส้นทางจักรพรรดิมืดทั้งสามก้อน รวมไปถึง ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทาง แต่จะไม่ดูดซับตะกอนพลังของเส้นทางอื่นอย่าง ‘จักรพรรดิความรู้’ หรือ ‘ผู้บรรลุความลับ’ เพราะต้องการเปลี่ยนให้ตัวเองบริสุทธิ์ผุดผ่องเพื่อขจัดอาการเสียสติ


นั่นคือขั้นตอนในการฟื้นคืนจากความตาย แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า โรซายล์ถูกฆ่าหลังหรือระหว่างพิธีกรรมเลื่อนเป็นลำดับ 0 เท่านั้น ต้องไม่ใช่ก่อนพิธีเริ่ม


ราชินีเงื่อนงำตั้งใจฟังจนจบก่อนจะกล่าวเชื่องช้า


“คุณต้องการหยุดจอร์จที่สาม?”


“ใช่” ไคลน์พยักหน้าเยือกเย็น


“เพราะเหตุใด” แบร์นาแดตถามโดยไม่เปลี่ยนน้ำเสียง


มุมปากไคลน์ยกขึ้น ยิ้มและกล่าว


“เหตุผลไร้สาระที่ไม่ควรค่าแก่การอธิบาย”


ดวงตาแบร์นาแดตจ้องบนใบหน้าชายหนุ่มสักพัก


“แค่นั้นก็เพียงพอ… แม้แต่ฉันก็ยังหวังในสิ่งที่แทบจะไม่มีโอกาสสำเร็จ… พวกเราจะร่วมมือกันเพื่อหยุดจอร์จที่สาม”


เป็นพวกบ้าเหมือนกันสินะ… ไคลน์ถอนหายใจเงียบและกล่าว


“ผมจะบอกวิธีอัญเชิญผู้ส่งสาร”


“ตกลง” แบร์นาแดตเหยียดมือขวาทาบลงบนโต๊ะ


ปากกาซึ่งวางอยู่ด้านข้างพลันลอยขึ้นราวกับมีภูตล่องหนคอยขยับ ก่อนที่จะถูกตวัดอย่างอิสระและราบรื่นบนกระดาษ


“นี่คือวิธีอัญเชิญผู้ส่งสารของฉัน” แบร์นาแดตกล่าวอย่างใจเย็น

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1093 : เทวทูตของเดอะฟูล

 

พลังของราชินีเงื่อนงำช่างอัศจรรย์… เหมือนกับในเทพนิยาย… ไคลน์ชำเลืองปากกาที่เขียนเอง ก่อนจะหยิบปากกาและกระดาษจากกระเป๋าของตนออกมาเขียนพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสาร รวมถึงเน้นย้ำว่าการส่งจดหมายทุกครั้งต้องจ่ายค่าจ้างหนึ่งเหรียญทอง


ทันทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มยื่นกระดาษให้แบร์นาแดต ตามด้วยการหยิบกระดาษของอีกฝ่ายขึ้นมากวาดสายตาอ่าน


“สิ่งมีชีวิตล่องหนซึ่งพเนจรท่ามกลางดินแดนเบื้องบน… วิญญาณพิสดารที่เป็นมิตรกับมนุษย์… ผู้ส่งสารที่เป็นของแบร์นาแดตกุสตาฟแต่เพียงผู้เดียว…”


มีบางจุดแตกต่างจากคาถาทั่วไป แต่แก่นสำคัญยังคงเดิม… อา… ราชินีเงื่อนงำคงจงใจปรับแต่งเล็กน้อย ไม่ให้คนอื่นทดสอบอัญเชิญผู้ส่งสารเพื่อแกะรอยพิกัดแบบย้อนกลับจากสายสัมพันธ์… แต่สำหรับเราคงไม่ต้องกังวล มิสผู้ส่งสารเป็นถึงเทวทูต มีแต่จะไปข่มขู่ผู้อื่น ไม่ใช่ฝ่ายถูกกระทำ หรือต่อให้เผชิญหน้ากับซาราธ ก็คงป้องกันตัวเองได้ในระดับหนึ่ง สามารถการหลบหนีได้ง่ายดาย… ไคลน์พึมพำสองสามคำ ตามด้วยการสะบัดฝ่ามือข้างที่ถือกระดาษ จุดเพลิงสีแดงฉาน


เฝ้ามองกระดาษกลายเป็นเถ้าท่านในเปลวไฟ ราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดตถามอย่างไร้อารมณ์


“เกี่ยวกับแผนการขัดขวางจอร์จที่สาม คุณมีความเห็นอย่างไร”


ไคลน์ที่เตรียมคำตอบไว้แล้ว จงใจกล่าวเชื่องช้า


“อันดับแรก ต้องไม่ประมาท ห้ามเสี่ยงเกินจำเป็น และไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์”


หากไม่ใช่เพราะราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดตเพิ่งพูดออกมาว่าเธอเกลียดสงครามและการเบียดเบียนผู้บริสุทธิ์ ไคลน์คงไม่จงใจกล่าวออกไป เพราะนั่นจะเป็นการเผยจุดอ่อนตัวเอง มันจะเลือกใช้คำพูดที่อ้อมค้อมและนุ่มนวลมากกว่าเดิม


ได้ยินประโยคดังกล่าว แบร์นาแดตพยักหน้าแผ่วเบา เป็นนัยเห็นด้วย


“พวกเรามีสามทางเลือก หนึ่ง ทำลายพิธีกรรมของจอร์จที่สามในช่วงเวลาสำคัญ ส่งผลให้การเลื่อนลำดับล้มเหลว สอง พยายามลอบสังหารล่วงหน้าเพื่อไม่ให้จอร์จที่สามได้มีโอกาสประกอบพิธีกรรม” ไคลน์จงใจเล่าแค่สองวิธี และเริ่มวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของสองวิธีแรก “การลอบสังหารเป็นตัวเลือกที่มีโอกาสสำเร็จต่ำมาก จอร์จที่สามซึ่งเตรียมตัวจะเป็นจักรพรรดิมืด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอยู่ในลำดับหนึ่งเป็นศัตรูที่พวกเราไม่มีปัญญาจะกำจัด… หรือถ้าจอร์จที่สามยังไม่ใช่ลำดับหนึ่งแต่ก็คงสวมบทบาทเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ทันทีที่เดิมโอสถลำดับหนึ่งเข้าไป ตัวยาจะถูกย่อยอย่างสมบูรณ์ทันที พร้อมสำหรับการก้าวไปเป็นเทพ… แต่แน่นอน ต่อให้สมมติฐานที่เป็นไปได้ยากเช่นนี้ดันตรงกับความจริง จอร์จที่สามก็ยังเป็นถึงผู้วิเศษลำดัสอง… ตระกูลออกัสตัสของท่านมีสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ไว้ในครอบครองไม่น้อย อีกทั้งยังมีเทวทูตจำนวนมากคอยอารักขา โอกาสลอบสังหารสำเร็จเกือบเป็นศูนย์”


ถึงตรงนี้ ไคลน์เปลี่ยนสรรพนามของจอร์จที่สามจาก ‘เขา’ เป็น ‘ท่าน’


แบร์นาแดตที่ฟังอย่างตั้งใจ ไตร่ตรองสักพักราวกับกำลังเรียบเรียง


“ตราบใดที่สภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย การลอบสังหารเทวทูตลำดับสองยังพอมีโอกาสสำเร็จ ทว่า ไม่คุณก็ฉันต้องล้มตายไปสักคน หรือไม่ก็ทั้งสอง”


ความหมายโดยนัยก็คือ เธอครอบครองสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ที่ทรงพลัง อัศจรรย์ และน่าสะพรึง แต่หากต้องการใช้งานอย่างเต็มที่ จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนด้วยราคาแพง


ถ้าเธอพูดแบบนั้น ตัวเลือกที่สองก็มีโอกาสสำเร็จอยู่ไม่น้อย นั่นเพราะเราโกหกในตอนแรก… หากเราทุ่มเททุกสิ่งที่มี นั่นจะหมายถึงการได้รับความช่วยเหลือจากวิล·อัสติน พาลีส·โซโรอาสเตอร์ และมิสผู้ส่งสาร โดยทุกคนจะใช้ยันต์วันวานอีกครั้งเพื่อฟื้นคืนพลังชั่วคราว… แต่ปัญหาคือ ต่อให้แผนการสำเร็จ เราอาจต้องเสียใครบางคนไป และไม่รู้ว่าผลลัพธ์หลังจากนั้นจะเป็นเช่นไร สถานการณ์โลกจะดำเนินไปในทิศทางไหน และต้องไม่ลืมว่า การต่อสู้อาจไปกระตุ้นความสนใจของราชาเทวทูตอย่างอามุนด์และโอโรเลอุส…


คงจะดีไม่น้อยถ้ามิสเตอร์อะซิกลืมตาตื่น เพราะเมื่อผนึกกำลังราชินีเงื่อนงำ สมบัติปิดผนึกระดับศูนย์และเทวทูตจำนวนสี่ตนเข้าด้วยกัน ต่อให้ศัตรูคือลำดับหนึ่งก็ยังมีโอกาสสำเร็จ แต่แน่นอน โอกาสล้มเหลวยังคงสูงอยู่ดี คงได้ไม่คุ้มเสี่ยง… ไคลน์เริ่มหวั่นไหวหลังจากทราบว่าสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ของราชินีเงื่อนงำมีพลังเหนือจินตนาการ แต่ท้ายที่สุด มันปัดตกประเด็นดังกล่าว


ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มไม่อยากร่วมมือด้วย หรือเพราะไม่เชื่อใจราชินีเงื่อนงำ แต่วิลอัสตินและพาลีส· ซโรอาสเตอร์ต่างอยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก หากแผนการล้มเหลวจนทำให้พวกเขาถูกตามล่า นั่นอาจหมายถึงการร่วงหล่น เป็นพัฒนาการที่ไคลน์ไม่อยากเห็น


ชายหนุ่มตอบคลุมเครือ


“หากตัวเลือกเหลือแค่การลอบสังหาร ผมสามารถขอความช่วยเหลือจากเทวทูตได้อย่างน้อยสองตน”


สองตนที่ว่าหมายถึง กงสุลมรณะ’อะซิกอายเกสและ อสรพิษปรอทวิล อัสตินซึ่งแบร์นาแดตน่าจะเดาได้จากเลือดของสัตว์ในตำนาน


แบร์นาแดตเผยอาการตะลึงแผ่วเบา


“เป็นความประสงค์ของท่านผู้นั้นหรือ”


หากไม่ได้รับความยินยอมจากเดอะฟูล ลำพังข้ารับใช้คงไม่มีอำนาจเคลื่อนพลเทวทูต


“ท่านไม่คัดค้าน” ไคลน์ตอบตามความจริง


ดวงตาสีฟ้าของราชินีเงื่อนงำมืดลงกะทันหัน ไม่กล่าวสิ่งใดอีก ทำเพียงพยักหน้าเชื่องช้า


ไคลน์นำบทสนทนากลับเข้าประเด็น


“หากเลือกวิธีทำลายพิธีกรรม ผิวเผินอาจฟังดูง่าย แต่ยากในการปฏิบัติจริง เพราะเราต้องลงมือในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ไม่อย่างนั้นการเถลิงบัลลังก์ของจอร์จที่สามก็แค่เลื่อนเวลาออกไป… ท่านได้รับอนุญาตโดยปริยายจากทวยเทพแล้ว ต่อให้สุสานถูกทำลายก็ไม่ต้องกังวล สามารถสร้างใหม่ภายในเวลาอันสั้น… แต่ถ้าทำลายพิธีกรรมในจังหวะสำคัญ จอร์จที่สามจะเลื่อนลำดับล้มเหลวและกลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดเสียสติ เหล่าทวยเทพคงไม่ปล่อยให้สิ่งมีชีวิตดังกล่าวเดินเตร็ดเตร่บนโลก จอร์จที่สามจะถูกกำจัด… แต่ปัญหาก็คือ อีกฝ่ายมีราชาเทวทูตคอยมอบคำแนะนำและให้ความช่วยเหลือ จอร์จที่สามคงไม่เปิดช่องโหว่ง่ายนัก ขณะประกอบพิธีกรรมคงมีการยกระดับความปลอดภัยจนถึงขีดสุด โอกาสล้มเหลวมีสูงมาก อาจเป็นรองแค่แผนลอบสังหาร… สำหรับวิธีดังกล่าว เราต้องรวบรวมข้อมูลโดยเร็ว และค้นหาสถานที่ลงมือให้พบ… ไม่ว่าจะเป็นวิธีที่หนึ่งหรือสอง โอกาสสำเร็จจะเพิ่มขึ้นมากหากคุณเลื่อนเป็นลำดับสองผู้ทรงปัญญา”


แบร์นาแดตพยักหน้าแผ่วเบา เป็นนัยว่าเข้าใจ


เธอกล่าวต่อ


“แล้ววิธีที่สาม?”


ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะเล่า


“ย้อนกลับไปในอดีต หากพิธีกรรมเลื่อนเป็นลำดับศูนย์ของจักรพรรดิโรซายล์ประสบความสำเร็จ นั่นแปลว่าพระองค์ยังมีโอกาสคืนชีพ ขอเพียงเราพบเบาะแสที่พระองค์ทิ้งไว้และช่วยคืนชีพก่อนจอร์จที่สามจะเถลิงบัลลังก์ แผนการของจอร์จที่สามก็จะล้มเหลวอย่างมิอาจเลี่ยง”


มันเรียนรู้จากแบร์นาแดตว่า ไม่ควรเรียกโรซายล์ว่าท่านไม่อย่างนั้นตัวตนอาจรั่วไหล


ดวงตาราชินีเงื่อนงำสว่างวาบก่อนจะกลับมามืดมิดและสงวนกิริยา


ริมฝีปากของเธอขยับแผ่วเบา


“ฉันจะส่งไดอารีที่เหลือให้แคทลียา”


ไคลน์ไม่สานต่อหัวข้อเดิม ทำเพียงยิ้ม


“อันที่จริง ยังมีตัวเลือกที่สี่”


แบร์นาแดตขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ปิดบังความสงสัย


“นั่นคือการไม่ทำอะไรเลย เฝ้ามองจอร์จที่สามพยายามเลื่อนลำดับเป็นเทพ และแช่งให้ท่านล้มเหลว” ไคลน์หัวเราะจิกกัดตัวเอง “ยิ่งเป็นผู้วิเศษลำดับสูง โอกาสล้มเหลวก็ยิ่งมาก”


ประโยคดังกล่าวมีความจริงแฝงอยู่ เพราะต่อให้พี่ชายอามุนด์เขียนบทเพื่อกรุยทางสู่ความสำเร็จ และต่อให้จอร์จที่สามย่อยโอสถได้อย่างสมบูรณ์ แต่โอกาสในการเลื่อนลำดับเป็นเทพสำเร็จก็ไม่สูงไปกว่าห้าในสิบ


แน่นอน ไคลน์จงใจติดตลกมากกว่า


ราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดตยังไม่ตอบสนอง เพียงจ้องหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์นานหลายวินาที


“ฉันสัมผัสได้ว่า คุณแตกต่างไปจากการพบกันครั้งก่อน”


“เป็นคำแนะนำจากจิตแพทย์ส่วนตัว” ไคลน์ยิ้ม บอกเป็นนัยว่าตนคือผู้ป่วยทางจิต


แบร์นาแดตไม่เวิ่นเว้อ ถอนสายตากลับมามองปากกาบนโต๊ะ


“ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะแยกกันรวบรวมข้อมูลและแลกเปลี่ยนทางจดหมาย”


กล่าวจบ เธอเว้นวรรคครู่หนึ่ง กล่าวต่อโดยไม่ขยับดวงตา


“อันที่จริง ฉันเคยสงสัยว่าเขาอาจคืนชีพสำเร็จแล้ว แต่ยังคงพยายามรื้อฟื้นความทรงจำและอดีต ฉันเองก็ไม่รู้รายละเอียดของขั้นตอนการคืนชีพจักรพรรดิมืดมากนัก… บางทีก็สงสัยว่า ในท้ายที่สุดแล้ว เขาเลือกที่จะเป็นจักรพรรดิมืดจริงหรือ…”


เสียงของแบร์นาแดตแผ่วลงทีละนิด แฝงอารมณ์ที่ยากจะพรรณนา


เมื่อได้ยิน ไคลน์เข้าใจทันทีว่าราชินีเงื่อนงำกำลังคิดและหวังสิ่งใด


เธอสงสัยว่าเดอะฟูลคือโรซายล์ที่ฟื้นคืนชีพ สงสัยว่ามหาจักรพรรดิแห่งอินทิสหลอกลวงคนทั้งโลกโดยการย้ายไปยังเส้นทางอื่นที่ไม่ใช่จักรพรรดิมืด และปัจจุบันกำลังรวบรวมไดอารี ไพ่เย้ยเทพ เพื่อเรียกความทรงจำของตนกลับมา


น่าเสียดาย ฉันเป็นแค่ลุงโจวเพื่อนข้างห้อง… ไคลน์อยากรำพันติดตลกในใจ แต่เนื่องจากสถานการณ์กำลังตึงเครียด จึงเป็นการยากที่จะให้ผ่อนคลาย


โดยไม่กล่าวคำใดต่อ มันยืนขึ้นคำนับ สวมหมวกกลับและเดินออกจากห้อง


เมื่อปิดประตูโรงละครทองคำและเดินไปสองสามก้าว ไคลน์ได้ยินท่วงทำนองอันไพเราะดังแว่วจากด้านหลัง


ทำนองดังกล่าวฟังดูล่องลอยและโศกเศร้า


ไคลน์หยุดฟังสักพัก ก่อนจะหันหน้าไปทางห้องโถงและจากไปพร้อมกับเปลวไฟ



เมืองเงินพิสุทธิ์ ทีมสำรวจรวมตัวกันที่ประตูเมืองเพื่อเตรียมออกเดินทาง


จุดหมายคือหมู่บ้านยามบ่าย จากนั้นจะเข้าไปสำรวจวังราชาคนยักษ์


เดอร์ริค เบเกอร์ยืนอยู่กลางขบวน ส่วนสูงน้อยที่สุดเป็นอันดับสอง ถือไม้กางเขนทองแดงประดับหนาม


ประกบซ้ายและขวาเป็นโจชัวร์กับฮาอิมตามลำดับ หน้าที่คือการรับฝากไม้กางเขนเจิดจรัสเพื่อมิให้เดอร์ริคถูกขับตะกอนพลัง


เพื่อจะเอาชนะผลข้างเคียง สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้จำเป็นต้องถูกใช้งานโดยทีมสามคน


ขณะก้มมองมรดกจากพระผู้สร้าง เดอร์ริคสัมผัสถึงสายตาที่จ้องมองมา จึงเงยหน้าขึ้นและมองกลับไป พบว่าอีกฝ่ายคือหนึ่งในหกสภาอาวุโสคนเลี้ยงแกะโลเฟียร์


หญิงสาวซึ่งสูงน้อยที่สุดในกลุ่ม เจ้าของผมสีเทาเงินหยักศกตอนปลาย ยืนจ้องไม้กางเขนเจิดจรัสด้วยดวงตาสีเทาซีด สายตาแฝงความร้อนรุ่ม


เมื่อตระหนักถึงการจ้องมองจากเดอร์ริค มุมปากอาวุโสคนเลี้ยงแกะขดขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มซึ่งยากจะอธิบาย


“สิ่งนี้เป็นมรดกจากพระองค์”


ขณะเดอร์ริคกำลังตัวสั่น มันได้ยินเสียงของเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ โคลินอีเลียดกล่าว


“ออกเดินทางได้”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1094 : ฝ่าฟันอุปสรรค

 

ในตรอกเล็กย่านสะพานเบ็คลันด์ ซิลได้พบเจ้าหน้าที่เอ็มไอเก้าคนเดิมผู้รับผิดชอบประสานงานกับตน


“นี่คือรางวัลจากการแลกเปลี่ยนคะแนนผลงานของคุณ รวมทั้งสิ้นสองพันห้าร้อยปอนด์… หึหึ ผมช่วยเรียกเพิ่มให้ห้าร้อยปอนด์” ชายสวมหน้ากากทองคำโยนซองจดหมายพองๆ ให้ซิล


ซิลรับไว้อย่างแม่นยำโดยไม่แกะออกมานับ จากนั้นก็ขอบคุณอย่างจริงใจ


“ขอบคุณ”


ชายสวมหน้ากากทองคำโบกมือ


“ไม่ต้องขอบคุณ ทางเลือกของคุณส่งผลดีกับผมเช่นกัน เพราะถ้าคุณยังดิ้นรนกับอดีตและไม่ยอมปล่อยวาง ผมกังวลว่าตัวเองคงได้ขึ้นศาลทหารในสักวัน… แล้วคุณจะอยู่ที่เบ็คลันด์ต่อไหม?”


“อา… ฉันคุ้นชินกับชีวิตในเมืองใหญ่แล้ว ถ้าสงครามยุติลง ฉันจะพาครอบครัวย้ายมาอยู่ด้วย” ซิลตอบในสิ่งที่เตรียมไว้ล่วงหน้า


“ถ้าสงครามยุติ…” ชายสวมหน้ากากทองคำทวนคำซิลด้วยน้ำเสียงแปลกไป ก่อนจะยิ้มและพูด “ขอพระองค์อวยพรเราทุกคนให้มีชีวิตรอดไปจนสิ้นสุดสงคราม”


พระองค์ในความหมายของมันคือวายุสลาตัน


“แต่ฉันนับถือเทพธิดา” ซิลตอบขึงขัง


“คุณเข้าใจสิ่งที่ผมจะสื่อ” ชายสวมหน้ากากทองคำโบกมือและกล่าวต่อ “คุณยังจะรับงานจาก MI9 ต่อไหม?”


“ฉันไม่ปฏิเสธโอกาสทำเงิน” ซิลสางผมที่หยาบกระด้างพลางตอบกึ่งจริง


“ตกลง” ชายสวมหน้ากากทองคำผงกศีรษะและพูดต่อ “สิ่งสำคัญในสงครามคือการรับมือสายลับของศัตรู หากมีงานที่เกี่ยวข้อง ผมจะแจ้งให้คุณทราบทันที”


“เข้าใจแล้ว” หลังจากมอบคำตอบ ซิลเดินออกจากตรอกมืดอย่างระมัดระวัง


เมื่อแผ่นหลังหญิงสาวเลือนหาย ชายสวมหน้ากากทองคำมองไปยังมุมมืดและกล่าว


“เธอน่าจะถูกใครสักคนหลอกใช้ และถูกทอดทิ้งหลังจากหยุดสืบสวนเรื่องดังกล่าว”


ในเงามืดตรงหัวมุม เสียงทุ้มต่ำดังเล็ดลอด


“ผิวเผินอาจเป็นเช่นนั้น แต่ความจริงอาจตรงกันข้ามก็ได้… ช่างเถอะ เราไม่ต้องกังวลอีกแล้ว ต่อให้เธอค้นพบความจริงและนำไปป่าวประกาศ นั่นก็ไม่กระทบกับแผนการของฝ่าบาท… หึหึ… ตอนนี้โบสถ์รัตติกาลยอมรับโดยนัยแล้ว”


“เยี่ยมเลย…” ชายสวมหน้ากากทองถอนหายใจเงียบ


เมื่อกลับถึงบ้านพักในย่านรอบนอกเขตตะวันออก ซิลกล่าวกับฟอร์สที่กำลังนั่งบนขอบเตียงพลางอ่านหนังสือพิมพ์


“ฉันได้เงินมาสองพันห้าร้อยปอนด์”


ฟอร์สวางหนังสือพิมพ์ลง ดวงตาขยับเล็กน้อย จดจ่ออยู่กับการคำนวณ


“เพียงพอ…”


ซิลมีเงินเก็บราวหกร้อยปอนด์ บวกกับสองพันห้าร้อยปอนด์ใหม่ เธอจะมีเงินใช้อย่างอิสระถึงสามพันหนึ่งร้อยปอนด์โดยแยกกับค่าครองชีพ


สูตรโอสถ ผู้พิพากษาที่เธอต้องการซื้อมีราคาสองพันปอนด์ ตะกอนพลังอีกสามพันห้าร้อยปอนด์ ยังขาดอีกสองพันสี่ร้อยปอนด์ โดยฟอร์สจะช่วยออกส่วนต่างดังกล่าว


หลังจากให้อีกฝ่ายยืม เงินออมของฟอร์สจะลดเหลือเจ็ดร้อยแปดสิบปอนด์ แต่นั่นไม่ส่งผลกับเธอมากนัก สูตรโอสถและวัตถุดิบสำหรับเลื่อนลำดับถัดไปถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว ไม่มีคิวต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในอนาคต แถมยังหาเงินได้เรื่อยๆ จากการให้เช่า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’


“ตกลง” ซิลพยักหน้า “ฉันจะรีบสะสางให้เสร็จและเลื่อนเป็นลำดับ 6 โดยเร็ว”


เมื่อเห็นเพื่อนสนิทวางแผนอนาคตเสร็จ ฟอร์สหันกลับมากังวลเกี่ยวกับอนาคตตัวเอง


“โอสถนักบันทึกของฉันยังย่อยไม่เสร็จ… ในระหว่างที่สงครามกำลังปะทุ คงปลอดภัยกว่าถ้าฉันมีพลังท่องเที่ยว”


“กุญแจสำคัญของนักบันทึกคือการบันทึกพลังพิเศษ ถ้าฉันกลายเป็นผู้พิพากษาเมื่อไร เธอก็จะมีพลังใหม่ให้บันทึกเพิ่มขึ้น มีลำดับสูงขึ้น และนั่นคงช่วยให้โอสถย่อยเร็วขึ้น” ซิลดึงเก้าอี้ออกมานั่ง กล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด


ฟอร์สถอนหายใจ


“ฉันกำลังสงสัยว่า นอกจากการบันทึกพลังพิเศษ ฉันยังต้องบันทึก ‘ทิวทัศน์และขนบธรรมเนียมของหลากหลายสถานที่’ เพื่อให้สอดคล้องกับโอสถนักท่องเที่ยวในลำดับถัดไป แต่ปัจจุบันเป็นภาวะสงคราม การเดินทางภายในอาณาจักรอาจทำได้ แต่นอกอาณาจักรค่อนข้างอันตราย… เฮ้อ… ราคาขนมปังเพิ่มขึ้นศูนย์จุดสองห้าเพนนีต่อน้ำหนักหนึ่งปอนด์ แพงกว่าในช่วงก่อนที่พระราชบัญญัติเมล็ดพันธุ์จะถูกคว่ำเสียอีก!”


“นั่นสินะ” ซิลไตร่ตรองสักพักและเห็นด้วยกับฟอร์ส


ทั้งสองต่างพากันเงียบ จนกระทั่งผ่านไปสิบวินาที ซิลผุดแนวคิดใหม่


“อันที่จริง… มีวิธีง่ายๆ อยู่”


“วิธีไหน?” ฟอร์สเหยียดหลังตรง โพล่งคำถาม


“เธอสามารถจ่ายเงินเพื่อจ้างให้ชายคนนั้นพาไปเที่ยว” ซิลระมัดระวังการเอ่ยเชื่อ “ที่ต้องทำมีเพียง บอกให้เขาพาเธอไปทิ้งไว้สักแห่งเป็นเวลาสามถึงสี่วัน หรือหนึ่งสัปดาห์ ด้วยวิธีดังกล่าว ใช้เวลาไม่นานเธอก็จะได้บันทึกขนมธรรมเนียมและทิวทัศน์ของหลากหลายท้องถิ่น นอกจากนั้น เธอยังสามารถเช่าสมบัติวิเศษจากเขาเพื่อบันทึกพลังพิเศษ… นี่ไม่เพียงจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง แต่ยังช่วยให้ย่อยโอสถได้เร็วขึ้น”


“จริงด้วย!” ดวงตาฟอร์สส่องประกาย


ในวินาทีนี้ ฟอร์สเพิ่งตระหนักว่าตนใช้ประโยชน์จากชุมนุมทาโรต์ไม่คุ้มค่าเลยสักนิด


หลังจากตื่นเต้น ฟอร์สขมวดคิ้วชนกัน เพราะหากใช้วิธีข้างต้น แปลว่าเธอต้องพบหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์บ่อยครั้ง ยิ่งจินตนาการถึงนักผจญภัยเสียสติมากเท่าไร ฟอร์สก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวน


เฮ้อ… ไม่มีความก้าวหน้าใดได้มาโดยไม่ต้องเสียสละ… เพื่อจะย่อยโอสถ เราไม่มีทางเลือกนอกจากยอมเสี่ยง… ฟอร์สตัดสินใจหนักแน่นและวางแผนเตรียม ‘จ้างงาน’ ในชุมนุมทาโรต์สัปดาห์หน้า



ภายในบ้านพักซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของซิลและฟอร์สหลายเส้นถนน


ไคลน์ที่เพิ่งกลับจากภัตตาคารเซอเรนโซ่ กำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะ พลิกอ่านหนังสือพิมพ์อย่างรวดเร็วพร้อมกับสรุปข้อมูลที่สำคัญ


กองทัพเรือโซเนียของจักรพรรดิฟุซัคถอยร่นออกจากท่าเรือพริสต์ ปัจจุบันยังไม่ทราบตำแหน่งแน่ชัด…


พลเรือเอกอมิรุสแห่งกระทรวงกลาโหมประกาศว่า จะเร่งเสริมแนวป้องกันทางชายฝั่ง รวมถึงสั่งให้กองเรือรบหุ้มเกราะทั้งสามไม่ต้องรีบร้อนกลับมายังน่านน้ำโลเอ็น แต่เลือกอ้อมไปตามเส้นทางปลอดภัยเพื่อป้องกันมิให้ถูกซุ่มโจมตี…


กองรบ ‘ยักษ์สองหัว’ ของฟุซัคบุกโจมตีเทือกเขาอมานด้าในแคว้นเหมันต์ แต่ก็ต้องเผชิญกับการตั้งรับที่แข็งแกร่ง จนยุทธการตีฝ่าป้อมปราการมีอันต้องล้มเหลว…


กองเรือพิฆาตของฟุซัคเปิดฉากโจมตีเขตอุตสาหกรรมหนักทางชายฝั่งตะวันออก หนึ่งในนั้นคือเมืองคอนสแตนแห่งแคว้นเลียบทะเล ส่งผลให้ปะทะกับกองทัพเรือเลียบทะเลของอาณาจักรโลเอ็นอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างสูญเสียใหญ่หลวง…


กองกำลังอาณานิคมของฟุซัคและโลเอ็นเริ่มปะทะกันบนไบลัมตะวันออกในหลายดินแดน…


อาณาจักรอื่นยังมิได้ประกาศจุดยืนที่แน่ชัด สถานทูตโลเอ็นภายในเมืองหลวงแต่ละแห่งเริ่มจัดประชุมด่วนเพื่อเปิดฉากเจรจาทางการทูต… คลื่นวิทยุคอยนำเสนอข่าวสำคัญที่เกิดขึ้นบนทวีปเหนือและใต้อย่างต่อเนื่อง…


สงครามเพิ่งเข้าสู่ช่วงเริ่มต้น… ไคลน์ไม่ได้มองโลกในแง่ดีมากนัก และไม่เชื่อว่านักการทูตจะเจรจายุติสงครามสำเร็จ จึงวางหนังสือพิมพ์ลงพร้อมกับมองหาวิธีรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพิธีกรรมเลื่อนลำดับของจอร์จที่สาม


ตามหลักการทั่วไป ก่อนที่จักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์จะกลายเป็นบ้า ทุกการกระทำเกิดขึ้นอย่างสมเหตุสมผล หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง สุสานลับทั้งเก้าแห่งไม่มีทางถูกสร้างในสถานที่ใกล้เคียงกัน เพราะนั่นจะทำให้ถูกกวาดล้างได้ง่ายจนหมดโอกาสคืนชีพ


หมายความว่า ในภูมิภาคอื่นของเบ็คลันด์และอาณาจักรข้างเคียง จะต้องมีสุสานที่คล้ายคลึงกันอีกจำนวนแปดแห่ง บางแห่งยังคงเป็นความลับและน่าจะมีระดับความปลอดภัยต่ำกว่าโบราณสถานหมายเลขหนึ่ง ที่นั่นคือโอกาสของเรา…


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดอาจมีข้อมูล แต่เรายังไม่ควรติดต่อไปตอนนี้… ต่อให้ไม่กลัวการเอ่ยพระนามเต็มของเทวทูตสีชาด แต่อีกฝ่ายจะเดาได้ทันทีว่าเรามีเจตนาขัดขวางมิให้จอร์จที่สามเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืด… สำหรับนักวางแผนจอมเจ้าเล่ห์ ข้อมูลดังกล่าวละเอียดอ่อนและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายวิธี…


ราชินีเงื่อนงำอาจมีช่องทางหรือเบาะแส แต่เราจะพึ่งพาเธอทุกเรื่องไม่ได้… สำหรับศาสนจักร พวกเขาคงไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโบราณสถานจักรพรรดิโลหิตมากนัก ไม่ว่าจะความลับที่เกี่ยวข้องหรือตำแหน่งของโบราณสถานแห่งอื่น…


เราควรลงมือกับบุคคลสำคัญรอบตัวกษัตริย์ เช่นบรรดาครึ่งเทพที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความลับ? คงยาก… อีกฝ่ายยกระดับความปลอดภัยขึ้นหลายเท่า อาจถึงขั้นใช้เทวทูตของตระกูลออกัสตัสและองค์กรลับโบราณคอยสอดส่อง กลุ่มหนึ่งจับตามองจากที่มืด อีกกลุ่มทำในที่สว่าง… และถ้าเกิดอันตรายขึ้นกับครึ่งเทพใกล้ตัว จอร์จที่สามจะทราบทันทีว่ามีใครบางคนพยายามขัดขวางแผนการเถลิงบัลลังก์…


อา… ใช่แล้ว ‘นักบุญขาว’ คาร์เทอริน่ารับมือได้ง่ายกว่าครึ่งเทพข้างต้น แถมยังดึงดูดความสนใจน้อยกว่า…


ในทางสามัญสำนึก จอร์จที่สามซึ่ง ‘ได้รับอนุญาต’ จากโบสถ์หลักหลายแห่ง ไม่จำเป็นและไม่มีเหตุผลให้ต้องร่วมมือกับนิกายแม่มดอีก… เว้นเสียแต่จะมีเหตุผลสำคัญอย่างมาก ไม่อย่างนั้น สิ่งแรกที่ ‘ท่าน’ ต้องทำคือการเขี่ยนิกายแม่มดทิ้ง…


แต่แน่นอน ท่านคงไม่กล้าแตกหักกับนิกายแม่มดโดยตรง… เพราะในแง่หนึ่ง บรรดาแม่มดเก่งด้านการวางแผนและไม่พลาดที่จะป้องกันการถูกหักหลัง และในอีกแง่หนึ่ง หากทำให้นิกายแม่มดขุ่นเคืองใจ พิธีกรรมเลื่อนเป็นจักรพรรดิมืดของจอร์จที่สามก็อาจไม่ปลอดภัยนัก เพราะองค์กรดังกล่าวมีทั้งเทพแท้จริง สมบัติปิดผนึกระดับ 0 และกองทัพเทวทูต…


ขอเพียงจอร์จที่สามยังไม่เสียสติ วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ ตกรางวัลให้นิกายแม่มดอย่างเหมาะสมและเลิกแล้วต่อกัน จึงค่อยส่งเทวทูตในขอบเขตจิตใจ หรือไม่ก็ราชาเทวทูต ตามไปลบความทรงจำของนิกายแม่มด…


และถ้าสถานการณ์เป็นไปตามข้างต้น การหายตัวไปของ ‘นักบุญขาว’ คาร์เทอริน่าก็จะไม่กระตุ้นให้จอร์จที่สามหวาดระแวงเกินไปนัก หรืออาจไม่แยแสเลยด้วยซ้ำ…


จากมุมมองของนิกายแม่มด บทสรุปของเรื่องราวคงใกล้ดำเนินมาถึง เพราะโบสถ์หลักล้วนอนุญาตโดยนัยเกือบทั้งหมดแล้ว นักบุญขาวไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนเหมือนแต่ก่อน สามารถเคลื่อนไหวได้อิสระมากขึ้น และนี่คือโอกาสของเรากับราชินีเงื่อนงำ…


อา… ใกล้ถึงเวลาที่พลเรือโทโรคภัยจะเผยตำแหน่งอีกครั้ง… หากพิจารณาจากรูปลักษณ์ของเทรซี่และท่าทีของนักบุญขาว เทรซี่กับคาร์เทอริน่าอาจมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดในบางแง่มุม…


คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ถอนหายใจยาว ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างพลางพึมพำ


ได้แต่หวังว่าเดนิสกับแอนเดอร์สันจะพบตัวพลเรือโทโรคภัยโดยเร็ว…


และหวังว่า ‘เมืองแห่งปาฏิหาริย์เลฟซิดในการเดินทางของกรอซาย’ จะมีอำนาจในการทำลาย ‘อิทธิพล’ ขอบเขตพลังจิต…


สำหรับตอนนี้ สิ่งเดียวที่มันทำได้คือการรอคอยอย่างอดทน



ทะเลคลั่ง บนเกาะไซรอส


เดนิสกล่าวกับแอนเดอร์สันด้วยอาการตื่นเต้น


“ฉันเพิ่งได้ข่าวใหม่… ทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้จากเส้นทางเดินเรือหลัก บริเวณดังกล่าวมีเกาะที่ปราศจากทรัพยากรอันมีค่า แต่ลึกลับซับซ้อนเหมาะแก่การซ่อนตัว”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)