Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1085-1088

 ราชันเร้นลับ 1085 : ตรวจสอบสถานการณ์

 

“ข่าวด่วน! ข่าวด่วน! อาณาจักรประกาศสงครามกับฟุซัคแล้ว!”


“ข่าวด่วน! ข่าวด่วน! อาณาจักรประกาศสงครามกับฟุซัคแล้ว!”


ขณะเดินทางกลับจากคฤหาสน์เพลงกุหลาบมายังกรุงเบ็คลันด์ ไคลน์ซึ่งนั่งอยู่บนรถม้าได้ยินเสียงเด็กขายหนังสือพิมพ์บนถนนตะโกนพร้อมกับเดินเร่งจังหวะ


แม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ชายหนุ่มก็อดไม่ได้หลังจากยืนยันว่าสงครามได้ปะทุขึ้นอย่างแท้จริง ห้วงอารมณ์กลับไปหดหู่อย่างมิอาจควบคุม


ความโกรธแค้นที่จุดยุทธศาสตร์สำคัญอย่างโซเนียถูกพรากไป… ความขัดแย้งในสิทธิเหนืออาณานิคม… ความพ่ายแพ้จากศึกล่าสุด… การทุจริตทางการเมืองที่ส่งผลให้ชาติเสื่อมถอย… นับตั้งแต่ออกพระราชบัญญัติเมล็ดพันธุ์ ชาวนาจำนวนมากก็ล้มละลายเนื่องจากมีอาหารจากต่างชาติล้นทะลักเข้ามาในตลาด… ชนชั้นล่างต้องอาศัยท่ามกลางสภาพแวดล้อมย่ำแย่สุดขีด… ช่องว่างระหว่างคนรวยและจนกว้างขึ้น…


ชนชั้นกลางเชื่อมันในชาติอย่างหน้ามืดตามัว และเลือกที่จะดิ้นรนเพื่อยกระดับสถานะทางสังคมของตัวเอง… ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างขั้วใหญ่อำนาจทางการเมืองจนทำให้เกิดรอยร้าว… กษัตริย์และพรรคพวกปรารถนาสงครามขนาดใหญ่… เมื่อนำทุกปัจจัยมาประกอบรวมกันและพิจารณาเพียงเงื่อนไขด้านจุดประสงค์และด้านวัตถุนิยม โลเอ็นจะหลีกเลี่ยงการประกาศสงครามไม่ได้… ความจริงคือนักประพันธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเสมอ… อาศัยประสบการณ์ในอดีต ไคลน์วิเคราะห์สถานการณ์ของอาณาจักรโลเอ็นจากมุมมองคนนอกและตระหนักว่า กระแสแห่งเวลาเริ่มก่อตัวและกำลังถาโถมเข้าใส่ หากเทพแท้จริงไม่เสด็จลงมา สงครามก็ไม่มีวันถูกยับยั้ง


แต่ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่ทำให้ไคลน์ประหลาดใจมากที่สุดคือเรื่องที่จักรวรรดิฟุซัคตัดสินใจเป็นฝ่ายเริ่มสงครามก่อน


ต่อให้สมาชิกของ ‘องค์กรลับโบราณ’ แห่งนั้นแทรกซึมเข้าไปเป็นบุคคลระดับสูงของจักรวรรดิฟุซัคหรือโบสถ์เทพสงครามจริง และเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจในการตัดสินใจ แต่บุคคลดังกล่าวก็ไม่น่าจะทำให้เรื่องสำคัญเช่นนี้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง… ทำไมเบื้องบนคนอื่นถึงเห็นพ้องที่จะเริ่มก่อสงครามโลก?


“หรือว่าปัญหาระหว่างชนชั้นในจักรวรรดิฟุซัคเองก็เลวร้ายจนต้องรีบก่อสงคราม?” เนื่องจากยังเข้าใจสถานการณ์การเมืองของทวีปเหนือไม่มากพอ ไคลน์จึงมิอาจวิเคราะห์ได้แตกฉาน “แต่พวกเขาเพิ่งได้รับชัยชนะในสงครามไบลัมตะวันออกและเกี่ยวกับผลประโยชน์จากสิทธิเหนืออาณานิคมไปมากมาย ไม่มีทางที่สถานการณ์จะเลวร้ายไปกว่าฝั่งโลเอ็นได้เลย… อา… ราชวงศ์ของพวกเขา ตระกูลไอน์ฮอร์นคือผู้ถือครองเส้นทางนักบวชสีชาด พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมถึงกระหายสงครามนัก แต่โบสถ์เทพสงครามก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะห้ามไม่ใช่หรือ? ในฐานะศาสนาจารีต คงไม่มีเทพตนใดต้องการเห็นพี่ชายอามุนด์ก้าวขึ้นไปเป็นลำดับศูนย์กระมัง…”


คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ผุดทฤษฎีใหม่


หรือว่าพี่ชายของอามุนด์จะทราบเรื่องที่เทพธิดากลายเป็นผู้ครอบครอง ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางมรณาและกำลังอยู่ในสถานะ ‘ลงมือไม่ได้’ ท่านจึงแจ้งข่าวนี้ให้โบสถ์เทพสงครามทราบ? และในเมื่อเทพสงครามอยู่บนเส้นทางใกล้เคียงกับเทพธิดา ก็คงไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอย ต้องมีการตอบโต้อย่างรุนแรงแน่นอน…


แต่เรื่องนี้ก็อาจไม่เกี่ยวกับพี่ชายอามุนด์ แต่เป็นเพราะเทวทูตฝ่ายฝักใฝ่มรณาเทียมของนิกายวิญญาณ ไฮเทลก็ได้เช่นกัน… ท่านอาจได้รับคำเตือนจาก ‘นักวางแผนจอมเจ้าเล่ห์’ ไอฮอร์น·เซารอน·เมดีซีจนเอะใจถึงความผิดปรกติของมรณาเทียม ในแง่หนึ่ง ท่านแสร้งทำเป็นยังไม่พบความผิดปรกติเพื่อหยั่งเชิง และในอีกแง่หนึ่ง ท่านจงใจทำให้เทพสงครามตกอยู่ในสภาพที่แย่กว่าเดิมเพื่อสร้างสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิง… วิญญาณมารเทวทูตสีชาดคือสัญลักษณ์แทนสงครามโดยแท้จริง..


ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฟุซัคจะเป็นฝ่ายเปิดศึกก่อน… โดยเฉพาะประเด็นที่เทพธิดากำลังครอบครองเอกลักษณ์ของเส้นทางมรณา เทพสงครามไม่มีวันนิ่งเฉยแน่ และหากจำเป็น เทพสงครามอาจเสด็จเยือนด้วยตัวเอง ก่อสงครามทวยเทพที่ห่างหายไปนานนับตั้งแต่ยุคสมัยที่สี่…


สำหรับคราวนี้ การที่กองเรือเหาะของฟุซัคสามารถลอบเร้นเข้ามาจากชายฝั่งกว่าร้อยกิโลเมตรโดยที่ไม่ถูกตรวจพบ ส่วนหนึ่งคงเพราะมีจอมอาคมฟ้าดินคอยคุ้มครอง ไม่อย่างนั้น ต่อให้บินอ้อมไปยังเขตที่มีประชากรเบาบาง แต่กองเรือเหาะก็จะถูกพบล่วงหน้าและถูกยับยั้งไว้โดยกองเรือเหาะของโลเอ็น… จอมอาคมฟ้าดินเป็นเทวทูต… นับตั้งแต่ยุคสมัยที่ห้า การที่ผู้วิเศษลำดับนี้เข้าร่วมสงครามแทบไม่เคยเกิดขึ้น… หลังจากจักรพรรดิโรซายล์สิ้นพระชนม์ ทหารส่วนใหญ่ไม่รู้จักผู้วิเศษด้วยซ้ำ แม้แต่ในสงครามอาณานิคม… การที่ส่งจอมอาคมฟ้าดินเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ย่อมหมายความว่า…


นี่คือสงครามที่จะลุกลามไปทั่วโลก เป็นสงครามของทุกระดับชนชั้น และเป็นสิ่งที่พี่ชายของอามุนด์ต้องการ?


เมื่อเวลานั้นมาถึง วายุสลาตัน สุริยันเจิดจรัส พระแม่ธรณี เทพจักรกลไอน้ำ และเทพปัญญาความรู้ จะต้องเลือกวางตัว… เช่นนั้นแล้ว ความขัดแย้งของพวกท่านที่ยุติลงชั่วคราวมาเป็นเวลาเกือบสองพันปีจะกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้งหรือไม่?


พระแม่ธรณีชื่นชอบคนยักษ์ แม้แต่หนึ่งในข้ารับใช้ของพระองค์ก็ยังเป็นชาวฟุซัค นอกจากนั้น การแยกตัวของลุนเบิร์ก มาซิน และเซกัลยังส่งผลให้อาณาจักรเฟเนพ็อตเคียดแค้นอาณาจักรโลเอ็นและอินทิสเข้ากระดูก มีแนวโน้มสูงที่กษัตริย์และเทพของพวกเขาจะคิดเห็นตรงกันและตัดสินใจจับมือเป็นพันธมิตรกับฟุซัค ถล่มใส่โลเอ็นและอินทิสไม่ว่าจะทวีปเหนือหรือใต้… แต่แน่นอน แคว้นอย่างลุนเบิร์กและโบสถ์ปัญญาความรู้ซึ่งเป็นดินแดนกันชนของสงครามจะต้องหาวิธียับยั้งอย่างสุดความสามารถ อา… สำหรับอ่าวเดซีย์ เฟเนพ็อตและโลเอ็นมีอาณาจักรติดกันโดยตรง ที่นั่นเองก็คงไม่สงบสุขนัก…


ยิ่งครุ่นคิด ไคลน์ก็ยิ่งได้พบว่าสถานการณ์ของทวีปเหนือนั้นเต็มไปด้วยความโกลาหลที่ไม่ธรรมดา โดยไม่ว่าทิศทางจะเป็นเช่นไร ชายหนุ่มก็จนปัญญาจะยับยั้ง


แม้ปัจจุบันจะเป็นถึงครึ่งเทพลำดับ 4 แต่ภายใต้กระแสแห่งเวลา ไคลน์ไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมใดๆ ได้ในสงครามระหว่างทวยเทพ หรือแม้แต่การกำหนดทิศทางของสถานการณ์สำคัญก็ทำไม่ได้ ลำพังการเอาตัวให้รอดและปกป้องคนที่ห่วงใยก็ยากเต็มกลืนแล้ว


ก่อนหน้านี้ ในตอนที่กองเรือเหาะของฟุซัคโจมตี สิ่งแรกที่ไคลน์ทำคือการสั่งให้พ่อบ้านวอลเตอร์และคนอื่นเข้าไปหลบในห้องเก็บไวน์ใต้ดิน จากนั้นก็รีบเทเลพอร์ตไปยังมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเบ็คลันด์ แต่ก็สายเกินไป ระเบิดลูกแรกตกถึงพื้นแล้ว มีเด็กบางคนเสียชีวิตและอีกหลายคนได้รับบาดเจ็บ เรื่องน่ายินดีเรื่องเดียวก็คือ เมลิสซ่าน้องสาวของตนอยู่นอกระยะการระเบิด


จนกระทั่งเบ็นสันและเมลิสซ่าได้พบกัน กองเรือเหาะของฟุซัคก็ไม่กล้าอยู่นาน รีบถอนตัวออกจากเบ็คลันด์ทันที ไคลน์จึงกลับมายังคฤหาสน์ของดอนดันเตสอีกครั้ง


ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจออกเชื่องช้าด้วยสีหน้าผ่อนคลาย เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าและได้ยินว่าอาณาจักรประกาศสงครามกับฟุซัค ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างเผยอากัปกิริยาหวาดกลัว ราวกับหวนนึกถึงการโจมตีทางอากาศเมื่อช่วงเช้า หลายคนทำหน้ามึนงงเจือความตื่นตระหนก หลายคนอยากทำอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร


ทุกคนอาจไม่ทราบว่าสงครามครั้งนี้จะลงเอยเช่นไร แต่เข้าใจตรงกันว่าความสงบสุขได้พังพินาศลงโดยสมบูรณ์ อนาคตมีเพียงความวุ่นวายโกลาหล ความยากลำบากและภัยอันตราย


ไคลน์ถอนสายตากลับและจ้องบุรุษรับใช้ฝั่งตรงข้าม ดวงตาของอีกฝ่ายเผยท่าทีตื่นตระหนกไม่ต่างกัน


ชายหนุ่มกึ่งยิ้มกึ่งถอนหายใจ ยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากเพื่อขจัดความหงุดหงิด ความหดหู่ และความอับจนหนทาง ตามด้วยการวิเคราะห์ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง และต้องระวังสิ่งใดเป็นพิเศษ


ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ฝ่ายกษัตริย์ได้ประกาศสงครามตามที่ตนปรารถนาแล้ว และหากอาณาจักรโลเอ็นโดยรอบยังไม่พังพินาศโดยสมบูรณ์ กองทัพของฟุซัคก็แทบจะหมดโอกาสบุกรุกเข้ามาในกรุงเบ็คลันด์เป็นคำรบที่สอง ถ้าอยู่ที่นี่ต่อไป เบ็นสันกับเมลิสซ่าจะปลอดภัยมากกว่า


สิ่งที่น่ากังวลมีแค่ภาวะขาดแคลนอาหารและการลอบสังหาร แต่อย่างหลังไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาสักเท่าไร เบ็นสันกับเมลิสซ่าอาศัยอยู่ในละแวกที่เหมาะสมกับระดับของตัวเอง ไม่ใกล้กับบุคคลสำคัญที่อาจตกเป็นเป้าหมายการลอบสังหาร จึงไม่น่าจะเป็นปัญหา… ห้องปฏิบัติการของพอร์ตแลนด์โมมงต์เพิ่งประกาศเปิดใช้งานและยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ใช่เป้าหมายของการโจมตีแน่… สำหรับภาวะขาดแคลนอาหาร มิสออเดรย์สามารถให้ความช่วยเหลือได้ในระดับหนึ่ง…


แคว้นเหมันต์ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่แถบเหนือสุดของอาณาจักร ใกล้กับฟุซัคอย่างมาก เป็นด่านหน้าของสงครามโดยแท้จริง บางทีมาดามอาเรียนน่าอาจถูกส่งกลับไปช่วยสนับสนุนกองทัพ… ไม่สิ ท่านอาจถูกส่งไปประจำการในจุดยุทธศาสตร์อื่นที่สำคัญอย่างชายฝั่ง… แต่ไม่ว่าจะที่ใดก็คงไม่ใช่เบ็คลันด์ เพราะที่นี่มีแนวป้องกันแข็งแกร่งมากพออยู่แล้ว ทางราชวงศ์ต้องมีสมบัติปิดผนึกลำดับ 0 ไว้ในครอบครองอย่างแน่นอน รวมถึงเทวทูตอีกจำนวนหนึ่ง อีกทั้ง โบสถ์หลักเองก็คงมีไพ่ตายเก็บไว้ในกรณีฉุกเฉิน… น่าเสียดาย ตัวช่วยที่สำคัญที่สุดของเราจะหายไป ทางศาสนจักรคงสนับสนุนได้เพียงเล็กน้อย รวมถึงการให้ยืมสมบัติปิดผนึกบางชิ้น…


หากเป็นเมื่อก่อน เราคงไม่ต้องกังวลว่าวิญญาณมารเทวทูตสีชาดจะส่งผลต่อเราอย่างไร แต่ปัจจุบันต้องระวังตัวให้มากขึ้น…


แพทริค·เบรนทราบว่าข้ารับใช้มรณาอย่างดอน·ดันเตสคือเกอร์มันสแปร์โรว์ เราจงใจเปิดเผยเรื่องนี้ด้วยตัวเองโดยหวังให้อีกฝ่ายนำไปผูกกับกงสุลมรณะอย่างมิสเตอร์อะซิก นั่นจึงหมายความว่า วิญญาณมารเทวทูตสีชาดคงทราบเรื่องที่เกอร์มันสแปร์โรว์คือดอนดันเตสได้ในเวลาอันสั้น…


จริงอยู่ที่วิญญาณมารเทวทูตสีชาดมีลำดับสูง แต่พลังที่แท้จริงนั้นยังไม่ใกล้เคียงเทวทูต… เรากับเจ้านั่นไม่เคยมีเรื่องบาดหมางชนิดคอขาดบาดตายต่อกัน และเราก็ไม่มีสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ และถึงเจ้านั่นจะรู้ว่าดอน·ดันเตสคือเกอร์มันสแปร์โรว์ ก็คงไม่รีบร้อนลงมือกับเราในช่วงนี้…


หลังจากทราบสถานการณ์ที่แน่ชัด นอกจากการเทวทูตสีชาดจะทำร้ายเราโดยตรง ยังส่งผลเสียทางไหนได้อีก?


อาศัยข้อมูลดังกล่าวเพื่อวางแผน หรือไม่ก็ขายข้อมูลให้กับฝ่ายที่ต้องการ?


แผนแบบไหน… ใครต้องการข้อมูล…


กระแสความคิดและชื่อมากมายพรั่งพรูเข้ามาในหัวไคลน์ แต่ทั้งหมดก็ถูกปัดตกอย่างรวดเร็ว รวมถึงไปประเด็นของพี่ชายอามุนด์และเทวทูตโชคชะตา โอโรเลอุส หากพิจารณาจากพฤติกรรมในอดีตของวิญญาณมารเทวทูตสีชาด เจ้านั่นคงไม่ติดต่อกับกุหลาบไถ่บาป และพี่ชายของอามุนด์ก็เป็นศัตรูตัวฉกาจของเมดีซีและพรรคพวก


ทันใดนั้น ชื่อหนึ่งผุดขึ้นในความคิดไคลน์


ซาราธ!


ผู้นำลัทธิเร้นลับ เทวทูตลำดับหนึ่งแห่งเส้นทางนักทำนาย ซาราธผู้กลับมาเป็นปรกติหลังจากกลายเป็นบ้า!


จากคำตอบของอาโรเดส ตัวตนที่ทรงพลังและลึกลับรายนี้ย้ายออกจากแหล่งกบดานเดิม ปัจจุบันยังไม่มีใครทราบตำแหน่ง


ในตอนแรก ไคลน์เคยกังวลว่าอีกฝ่ายจะมาเยือนเบ็คลันด์ด้วยกฎการดึงดูดของพลังในเส้นทางใกล้เคียง


เมดีซี ซาราธ และโซโรอาสเตอร์ล้วนเคยทำงานรับใช้จักรวรรดิโซโลมอนร่วมกัน ต่อให้ไม่ใช่มิตรสหาย แต่ก็ต้องรู้จักกันดีในระดับหนึ่ง… ในหมู่บ้านสายหมอก ซาราธเคยพบเกอร์มันสแปร์โรว์แล้ว หากมันปรารถนาบางสิ่งในตัวเรา ตอนนี้ก็คงกำลังตามล่าตัวนักผจญภัยเสียสติอยู่… คิดถึงจุดนี้ ไคลน์อนุมานทันทีว่าซาราธอาจอยู่ในกรุงเบ็คลันด์เพื่อตามหาเกอร์มันสแปร์โรว์ และนั่นอาจทำให้ซาราธวิเคราะห์สถานการณ์ได้จากความผิดปรกติเล็กน้อยรอบตัว


ทันใดนั้น ไคลน์ฉุกคิดถึงความล้มเหลวของปฏิบัติการร่วมระหว่างชารอนและผีดูดเลือด


หรือเพราะว่าโรงเรียนกุหลาบกำลังตามล่าตัวเกอร์มันสแปร์โรว์ ซาราธซึ่งรู้ข่าวดังกล่าวตัดสินใจร่วมมือกับพวกมัน?


ในตอนนั้น ปฏิบัติการของผีดูดเลือดดำเนินไปอย่างสมบูรณ์แบบและใกล้สำเร็จ แต่ผู้นำของโรงเรียนกุหลาบในกรุงเบ็คลันด์กลับหนีเอาตัวรอดไปได้อย่างฉิวเฉียด ราวกับเพิ่งทราบข่าวในวินาทีสุดท้าย… การที่ผีดูดเลือดนำสมบัติปิดผนึกทรงพลังมาใช้ในปฏิบัติการ โอกาสล้มเหลวจึงต่ำมาก แม้แต่ตัวตนอย่างดยุคผีดูดเลือดก็ยังฉงนหนัก… แต่ถ้า… แต่ถ้าความล้มเหลวนั่นเกิดจากลางสังหรณ์อันเฉียบแหลมของเทวทูตลำดับหนึ่งเส้นทางนักทำนายล่ะ?


นั่นจะอธิบายทุกสิ่งได้อย่างลงตัว!


ก่อนที่ทุกคนจะไปถึง ซาราธกำลังนั่งอยู่กับผู้นำโรงเรียนกุหลาบของเบ็คลันด์?


และเรื่องที่โรงเรียนกุหลาบซึ่งหลบหนีอย่างลนลานแต่กลับยอมเสียเวลาทิ้งตุ๊กตาที่สร้างแสงจันทร์ นั่นก็เพราะต้องการลบร่องรอยของซาราธ?


นอกจากนั้น ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างเกอร์มันสแปร์โรว์กับกงสุลมรณะก็ไม่ใช่ความลับ… เป็นไปได้ไหมว่าซาราธจะส่งหุ่นเชิดออกไปทั่วเบ็คลันด์เพื่อมองหากลิ่นอายของพลังแห่งความตาย? ก่อนหน้านี้ ในตอนที่แพทริคเบรนประกอบพิธีกรรม บางทีเขาอาจถูกหนึ่งในหุ่นเชิดของซาราธจับตามอง…


หากวิญญาณมารเทวทูตสีชาดขายข้อมูลดังกล่าวให้ซาราธจริง การกลับไปยังถนนเบิร์คลุนของเราจะไม่เท่ากับการโยนตัวเองลงกับดักหรือ?


ดวงตาชายหนุ่มพลันหรี่ลง รีบกล่าวกับคนขับรถม้าด้านหน้า


“จอดก่อน ผมนึกขึ้นได้ว่ามีงานต้องไปสะสาง”


กล่าวจบ ไคลน์พลันตึงเครียดสุดขีด ด้วยกังวลว่าคนขับรถม้าจะไม่ตอบสนอง เพียงขับตรงไป


โชคดีที่ไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น รถม้าจอดลงข้างทาง ไคลน์และบุรุษรับใช้ เอ็นยูนเดินเข้าไปในตรอกแคบที่ไม่ห่างออกไป


ทันทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มดีดนิ้วเพื่อทำให้เปลวไฟลุกท่วมร่างของตัวเองและหุ่นเชิด


มันคิดจะมุ่งหน้าไปยังวิหารนักบุญแซมมวลให้เร็วที่สุดด้วยวิธีที่เงียบเชียบที่สุด


เมื่อแสงสว่างสุดท้ายของเปลวไฟมอดลง ร่างของคนทั้งสองก็หายไป


ทว่า หลังจากการกระโจนเบื้องต้นเสร็จสมบูรณ์ เปลวไฟที่ไคลน์เคยสัมผัสถึงเมื่อก่อนหน้านี้ กลับอันตรายหายไปทั้งหมดทันที


ฉากตรงหน้ากลายเป็นห้องนั่งเล่นกว้างขวาง บนเก้าอี้เอนหลังแสนธรรมดามีชายร่างผอมสูงนอนเอนกาย ใบหน้าอ่อนเยาว์และมีเชื้อสายทวีปใต้ ใบหน้าค่อนไปทางหล่อเหล่าแต่ดูขาดเลือด


วิญญาณมารเทวทูตสีชาด เซารอนไอน์ฮอร์นเมดีซี!


เทวทูตสีชาดรายนี้กำลังเล่นลูกบอลไฟในมือ มุมปากขดขึ้นเล็กน้อย


“เจ้าสังเกตเห็นได้เร็วกว่าที่ข้าคิดไว้… อา… กล้าใช้กระโจนเพลิงต่อหน้าข้าคนนี้เชียว…”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1086 : อนุมานง่ายๆ

 

ในวินาทีที่เห็นวิญญาณมารเทวทูตสีชาด รูม่านตาไคลน์พลันเบิกกว้าง ถุงมือหนังมนุษย์ข้างซ้ายพลันโปร่งใส


มันไม่สนใจในสิ่งอีกที่ฝ่ายกำลังจะพูด ท่าทีตอบสนองแรกตามสัญชาตญาณคือการเทเลพอร์ตออกไปจากที่นี่ทันที แต่ทันใดนั้น โลกวิญญาณในการมองเห็นของไคลน์กลับผิดแผกไปจากปรกติ


สิ่งมีชีวิตโปร่งใสจำนวนมากล้วนถูกย้อมด้วยสีเหล็กและเลือดผสมควันดินปืน ริ้วแสงทั้งเจ็ดด้านบนสุด ซึ่งอัดแน่นความรู้มหาศาลกลับถูกบดบังจนแทบมองไม่เห็น


หัวใจไคลน์เต้นระรัวอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่เทเลพอร์ตบุ่มบ่าม


เมื่อเห็นฉากตรงหน้า วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะ


“เจ้ากลัวอะไร? ซาราธ?”


ได้ยินคำพูดดังกล่าว ไคลน์มองไปรอบตัวตามสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปรกติ


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดยังคงรักษารอยยิ้มที่น่ารำคาญ พลางชี้ไปยังโซฟาฝั่งตรงข้ามเก้าอี้เอนหลัง


“ถ้าข้าเป็นคนบอกซาราธว่าดอนดันเตสคือเกอร์มันสแปร์โรว์ ในตอนที่เจ้ากลับไปยังบ้านเลขที่หนึ่งหกศูนย์ ถนนเบิร์คลุนในช่วงเช้า เหล่าพ่อบ้านและคนรับใช้ที่อยู่ในห้องเก็บไวน์คงไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว แต่จะถูกแขวนกับเพดานเหมือนกับแฮมตากแห้ง แน่นอนว่าทุกคนจะยังต้อนรับเจ้าอย่างอบอุ่น… นั่งลงก่อน… ในสถานการณ์แบบนี้ การรับฟังความเห็นของข้าไม่ใช่ตัวเลือกที่เลวร้ายนัก”


เมื่อจินตนาการถึงฉากที่วิญญาณมารเทวทูตสีชาดบรรยาย แม้ว่าไคลน์จะเคยเห็นภาพที่คล้ายคลึงกันมาก่อน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขนลุกไปทั่วร่าง


มันยังคงไม่ประมาท บังคับให้หุ่นเชิดโจนาส·โคลเกอร์ที่อยู่ในร่างดอน·ดันเตส นั่งลงบนโซฟาและให้ตัวเองยืนด้านข้างในฐานะบุรุษรับใช้เอ็นยูน


ชายหนุ่มใช้พลังสลับตำแหน่งร่างต้นกับหุ่นเชิดอย่างแนบเนียน แถมรูปลักษณ์ก็ยังเปลี่ยนไปในพริบตา


“อาจเป็นไปได้ว่า คุณเพิ่งทราบข้อมูลนี้จากแพทริคเบรน จึงยังไม่ทันได้แจ้งข่าวให้ซาราธ” ไคลน์ตอบโต้ผ่านหุ่นเชิด


พร้อมกันนั้น จากคำพูดของวิญญาณมารเทวทูตสีชาด ชายหนุ่มสามารถยืนยันได้ว่า ซาราธมาถึงเบ็คลันด์แล้วจริงๆ!


อีกฝ่ายเป็นถึงเทวทูตลำดับหนึ่งตัวจริง ไม่มีข้อจำกัดหรือพันธนาการ เป็นตัวตนที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัว สามารถเรียกว่าตัวตนลึกลับได้อย่างเต็มปาก!


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดมองสลับไปมาระหว่างเจ้านายและคนรับใช้ ตามด้วยยิ้มและกล่าว


“แพทริคเบรนเป็นแค่ไอ้งั่ง ข้าสามารถเค้นข้อมูลทั้งหมดที่อยากทราบได้ภายในสิบห้านาที นับประสาอะไรกับช่วงเวลาที่ยาวนานตั้งแต่เสร็จพิธีกรรมจนถึงเช้า”


…เขาตั้งฉายาให้แพทริคเหมือนกับมิสผู้ส่งสาร… ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดเลิกคิ้วพร้อมกับถาม


“แล้วยังไงต่อ?”


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดโยกเก้าอี้เอนหลังแผ่วเบา


“ข้าไม่ทราบว่าเจ้าเคยได้ยินประโยคนี้หรือไม่… หลังจากเลือกเส้นทางผู้วิเศษ มิตรและศัตรูจะถูกกำหนดขึ้นทันที… ข้ากับเจ้าไม่ใช่มิตร แต่ก็ไม่ใช่ศัตรูเช่นกัน… จริงอยู่ที่เจ้ากับข้าอาจเคยมีเรื่องบาดหมางกันมาบ้าง แต่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่เจ็บตัวมากนัก เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว… สำหรับข้า พัฒนาการของเจ้าทำให้บางคนที่ข้าเกลียดขี้หน้าต้องเดือดร้อน ข้าจึงยังไม่อยากฆ่าเจ้าทิ้งในตอนนี้ ยังอยากเห็นเจ้าเลื่อนลำดับต่อไปเรื่อยๆ”


จักรพรรดิเคยพูดบางสิ่งที่คล้ายคลึงกันไว้… บางคนที่เขาเกลียดขี้หน้า… ไคลน์ตัดสินใจถาม


“ผู้เย้ยเทพอามุนด์?”


“ข้อมูลแน่น… แถมไม่โง่…” วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะ ตามด้วยยกมือลูบคาง


ไม่ว่าจะเป็นวาจาหรือพฤติกรรม ทุกองค์ประกอบล้วนส่งเสริมให้คู่สนทนาอยากซัดปากสักหมัด


หลังจากไตร่ตรองสักพัก ไคลน์เริ่มเข้าใจปัญหา


“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เลือกซาราธได้เลย… หากท่านผู้นั้นเลื่อนลำดับ อามุนด์ก็จะเดือดร้อนไม่ต่างกัน เทียบกับซาราธ ผมยังอ่อนแอเกินไปและต้องการเวลาอีกมาก สามารถเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้มากมาย”


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดพยักหน้าขรึม


“อันที่จริงข้าก็เคยคิดแบบนั้น เมื่อเทียบกับลำดับ 1 อย่างซาราธ เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับสุนัขข้างถนน… เจ้ามีสิ่งใดเหนือกว่าหมอนั่นบ้าง? แข่งกันว่าใครตายเร็วกว่า?”


กล่าวถึงตรงนี้ วิญญาณมารเทวทูตสีชาดถอนหายใจยาว


“แต่ว่า… ถ้าทุกปัญหาในโลกมีทางออกง่ายดายเช่นนั้นเสมอ นั่นคงวิเศษไปเลย…”


ยังไม่ทันจบประโยค ปากเปื้อนเลือดได้ปริแตกบนแก้มข้างซ้ายของมัน


ช่องว่างขยายกว้างขึ้นพร้อมกับเผยให้เห็นฟันซี่ขาวสองแถว


“ข้าตรวจสอบมาแล้ว ตระกูลเซารอนล่มสลายเพราะซาราธและโรซายล์!”


นี่คือวิญญาณของบรรพชนตระกูลเซารอน? อาการหลายบุคลิกของเทวทูตสีชาดร้ายแรงกว่าที่เราคิด… ไม่สิ นี่ไม่ใช่อาการหลายบุคลิกแล้ว แต่เป็นการยัดวิญญาณของคนสามคนไว้ในร่างเดียว จะทำสิ่งใดก็ต้องผ่านการเห็นชอบ ไม่อย่างนั้นจะเกิดความขัดแย้งภายใน… ไคลน์เริ่มเชื่อว่าวิญญาณมารเทวทูตสีชาดมิได้วางกับดัก อีกฝ่ายยังไม่ได้แจ้งข่าวกับซาราธจริงๆ


นี่คือจุดอ่อนที่เราสามารถนำมาใช้ได้ในอนาคต… หลังจากพึมพำกับตัวเอง ไคลน์ซักถาม


“แล้วมีธุระอะไรกับผม?”


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดยกมือลูบแก้มซ้ายจนปากเลือนหายไป จากนั้นก็ยิ้มและกล่าว


“ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังตามสืบราชวงศ์โลเอ็นอยู่หรือ? เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับแม่มดระดับสูงนามว่าคาร์เทอริน่า หาเจ้าพบเบาะแสของหล่อน ช่วยแจ้งข่าวกับข้าก่อนจะลงมือกระทำสิ่งใด”


‘นักบุญสีขาว’ คาร์เทอริน่า… วิญญาณมารเทวทูตสีชาดต้องการสิ่งใดจากเธอ? ลำดับ 4 ของเส้นทางนักล่าสามารถเปลี่ยนให้สตรีกลายเป็นบุรุษ ส่วนลำดับเจ้ดของเส้นทางแม่มดจะเปลี่ยนให้บุรุษกลายเป็นสตรี หมายความว่าทั้งสองเส้นทางอาจสับเปลี่ยนกันได้ในลำดับสูง… หรือว่าเทวทูตสีชาดกำลังมองหาทางเลือก หากหาตะกอนพลังลำดับสี่ของเส้นทางนักล่าไม่ได้ ก็จะย้ายไปยังเส้นทางแม่มดแทน? สำหรับวิญญาณมาร ตราบใดที่มันมีวิธียืดอายุขัยออกไปได้เรื่อยๆ การดื่มโอสถและตะกอนพลังก็ยังช่วยให้เลื่อนลำดับได้… ไคลน์ผงะในตอนต้น ก่อนจะนำข้อมูลมาประกอบกันและเริ่มคาดเดาบางสิ่ง


นั่นมาพร้อมกับคำถามสุดประหลาด


ถ้าในร่างกายมีตะกอนพลังลำดับสูงของเส้นทางนักล่าและแม่มดอยู่ด้วยกัน วิญญาณมารเทวทูตสีชาดจะมีเพศเป็นชายหรือหญิง? ฝั่งไหนมีศักดิ์สูงกว่าและเป็นตัวกำหนดเพศ?


ทันใดนั้น วิญญาณมารเทวทูตสีชาดมองสลับระหว่างดอน·ดันเตสและบุรุษรับใช้ ก่อนจะ ‘หึ’ ในลำคอและพูด


“เจ้าเองก็มีพรสวรรค์ด้านยั่วยุ”


เรายังไม่ทันได้ตอบอะไรเลย… ไคลน์รำพันด้วยความฉงน


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดขดริมฝีปาก


“ข้าพอจะเดาได้ว่าเจ้ากำลังคิดสิ่งใด เว้นเสียแต่เจ้าจะยอมรับว่าตัวเองโง่… นั่นสินะ เรื่องนี้อาจจะส่งผลดีกับ ‘พวกเขา’ ก็ได้”


“หุบปาก!” ปากเปื้อนเลือดโผล่ขึ้นบนแก้มทั้งสองข้างของวิญญาณมาร


ไคลน์มองหน้าชายผู้เป็นเจ้าของอาการหลายบุคลิกฝั่งตรงข้าม ตัดสินใจล้มเลิกความคิดที่จะถามไถ่ในเชิงลึก เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน


“ทางนี้ก็ไม่ได้ติดขัดอะไรหากต้องแจ้งข่าว… แต่คำถามก็คือ ผมจะแจ้งข่าวด้วยวิธีใด”


ตามความเห็นของชายหนุ่ม ‘แม่มดยุพนิรันดร์’ คาร์เทอริน่าไม่ใช่คนดี เฉกเช่นวิญญาณมารเทวทูตสีชาด เป็นเรื่องดีแล้วที่พวกมันทะเลาะกัน


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะ


“แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าต้องเอ่ยพระนามเต็มอันสูงส่งของข้า”


“มหาเทพแห่งสงคราม สัญลักษณ์แห่งเหล็กและเลือด เจ้าแห่งความวุ่นวายและขัดแย้ง”


“เฮ่อะ!” ปากบนแก้มทั้งสองข้างของวิญญาณมารเทวทูตสีชาดพ่นลมหายใจเย้ยหยันโดยพร้อมเพรียง ราวกับไม่เห็นด้วยแม้แต่น้อย


ฟังดูเหมือนชื่อทั่วไปของเทพ… หรือว่าหลังจากปรองดองกับ เอกลักษณ์สำเร็จ เมดีซีก็เข้าใกล้ความเป็นเทพเข้าไปทุกที? ตราบใดที่ยังไม่มีคนใหม่มาปรองดองกับ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางนักบวชสีชาด ระดับของวิญญาณตนนี้ก็จะไม่ลดลง? พระนามเต็มอันสูงส่งนี้จะชี้ไปหาเขาเสมอ? ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิดพลางไต่ถามด้วยความไม่มั่นใจ


“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับโบราณสถานลับของจักรวรรดิโลหิต อลิสต้าทูดอร์บ้าง?”


เมื่อได้ยินเชื่อดังกล่าว กล้ามเนื้อบนใบหน้าวิญญาณมารเทวทูตสีชาดพลันบิดเบี้ยวเล็กๆ ก่อนจะหัวเราะเยาะ


“เจ้าอยากถามว่าราชวงศ์โลเอ็นซ่อนความลับใดไว้?”


“คุณอาจไม่ทราบ แต่คุณน่าจะคุ้นเคยกับโบราณสถานลับของจักรพรรดิโลหิตเป็นอย่างดี” ไคลน์จงใจยั่วยุอีกฝ่าย


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะพลางตบที่พักแขนของเก้าอี้เอนหลัง


“ลูกไม้ของเจ้าช่างไร้เดียงสาเหมือนกับเด็กสามขวบ! หึหึ… ความลับของราชวงศ์โลเอ็นนั้นไม่ซับซ้อน ข้าสามารถเดาได้จากการอ่านหนังสือพิมพ์ประจำวัน… เจ้าฉลาดแค่หน้าตาสินะ แต่สมองคงเต็มไปด้วยหนอนแมลงยุบพอง”


“เดาได้จากการอ่านหนังสือพิมพ์?” ไคลน์ขมวดคิ้วพลางย้อนคำถาม


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะในลำคอ


“ใช่แล้ว แต่ก็ต้องมีความรู้ทั่วไปอยู่บ้าง ข้าคิดว่าเจ้าควรมีมันนะ… เอาแบบนี้เป็นไง ข้าจะตั้งคำถามสักสองสามข้อ แล้วเจ้าจะเข้าใจทันทีว่าเรื่องราวนั้นง่ายดายเพียงใด… ข้อแรก เจ้าคิดว่าบรรดาโบสถ์หลักรู้เรื่องโบราณสถานจักรพรรดิโลหิตมาก่อนหรือไม่?”


“ไม่” ไคลน์ส่ายหน้าหนักแน่น


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดยิ้มและถามต่อ


“เจ้ารู้ไหมว่า ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์อยู่ในลำดับและเส้นทางใดก่อนจะกลายเป็นลำดับ 0?”


“เส้นทางจักรพรรดิมืด… ลำดับหนึ่ง… องค์ชายวิปลาส” ไคลน์ตอบสุขุม


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดพยักหน้าแผ่วเบา


“เจ้ารู้ไหมว่า ก่อนที่อลิสต้าทูดอร์จะกลายเป็นจักรพรรดิโลหิต ชายคนนั้นคือหนึ่งในกงสุลแฝดของจักรวรรดิร่วมทูดอร์·ทรันซอสต์ และผู้สนับสนุนหลักคือหกจากเจ็ดเทพจารีต โดยสองจากหกคือรัตติกาลและวายุสลาตัน?”


ไคลน์พยักหน้าเป็นนัยว่าทราบ


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดในท่าเอนหลังครึ่งหนึ่งทำการไขว่ห้าง


“แล้วเจ้ารู้ไหมว่า หลังจากกลายเป็นจักรพรรดิโลหิต อลิสต้าทูดอร์เสียสติโดยสมบูรณ์ และร่วงหล่นท่ามกลางสงครามทวยเทพ?”


“ก็พอจะ” ไคลน์ไม่กล้าแสดงความมั่นใจเกินเหตุ เพราะความรู้นี้นำมาจากจักรพรรดิโรซายล์ และอีกฝ่ายก็นำมาจากมิสเตอร์ประตู


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะและกล่าวต่อ


“ถ้าเช่นนั้น เจ้าคิดว่าอลิสต้าทูดอร์มีเหตุผลหรือมีโอกาสที่จะสร้างโบราณสถานลับหลังจากกลายเป็นจักรพรรดิโลหิตหรือไม่?”


“ไม่…” ไคลน์ส่ายหน้าเชื่องช้า


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดผายมือออก


“ในเมื่อเป็นโบราณสถานที่อลิสต้าทูดอร์สร้างไว้ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นจักรพรรดิโลหิต และแม้แต่หกเทพจารีตที่คอยสนับสนุนก็ไม่ทราบเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้ว โบราณสถานดังกล่าวจะยังเป็นอะไรได้อีก? หากเลือกได้ เจ้าจะเลือกเดินบนเส้นทางที่ตัวเองต้องเสียสติหรือไม่?”


นี่มัน… ไคลน์หวนนึกถึงสุสานทั้งเก้าแห่งที่เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมเลื่อนเป็นเทพของเส้นทางจักรพรรดิมืด


สำหรับองค์ชายวิปลาส ก่อนที่จักรพรรดิมืดคนเดิมจะหวนกลับมา มันย่อมต้องหาทางเลื่อนตำแหน่งเป็นจักรพรรดิมืดอยู่แล้ว!


“โบราณสถานดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิมืด?” ไคลน์ถามเสียงทุ้ม


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดลูบคางและกล่าวพลางยิ้ม


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้จักพิธีกรรมของจักรพรรดิมืดสินะ… ก็ง่ายๆ แบบนั้นแหละ… กษัตริย์ทำสิ่งใดบ้างในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา? ยกเลิกพระราชบัญญัติเมล็ดพันธุ์ มีการเปิดสอบข้าราชการหลายรอบ ความสัมพันธ์ทางการทหารถูกจัดระเบียบใหม่ สภาขุนนางและเหล่าขุนนางถูกลิดรอนอำนาจ สภาสามัญเข้มแข็งขึ้น… สิ่งเหล่านี้มีเขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ประจำวันไม่ใช่หรือ? นอกจากนั้น เรื่องที่เส้นทางผู้พิพากษาสามารถสลับไปเป็นเส้นทางจักรพรรดิมืดได้ นี่ก็เป็นความรู้ทั่วไป”


เนื่องจากหลายๆ สิ่งที่กล่าวมาเป็น ‘กระแสแห่งยุคสมัย’ สำหรับไคลน์ และหนึ่งในนั้นเกิดจากการผลักดันด้วยตัวไคลน์เอง มันจึงไม่เคยตรวจสอบในมุมมองของศาสตร์เร้นลับมาก่อน


ในไม่ช้า ชายหนุ่มฉุกคิดได้อีกหนึ่งสิ่ง


คนสุดท้ายที่ปรารถนาจะเป็นจักรพรรดิมืดคือโรซายล์ และชายคนนั้นบังเอิญเกี่ยวข้องกับพี่ชายของอามุนด์!

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1087 : ทัศนคติของทวยเทพ

 

การยกเลิกพระราชบัญญัติเมล็ดพันธุ์… จัดสอบข้าราชการ… ยอมให้โบสถ์หลักมีอำนาจในกองทัพ… สิ่งเหล่านี้มองผิวเผินอาจดูเหมือนกระแสแห่งกาลเวลา แต่แก่นแท้กลับเป็นการสยบและทำให้ขุนนางอ่อนแอลง คอยเกื้อหนุนชนชั้นใหม่… เมื่อเทียบกับกฎในอดีตที่มีมายาวนานกว่าพันปี กฎเหล่านี้ถือว่าแหวกวัฒนธรรมของยุคสมัย และเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับเลื่อนเป็นจักรพรรดิมืด…


ในช่วงสิบปีหลัง รูปแบบสถาปัตยกรรมเองก็เปลี่ยนไปไม่น้อย…


การที่โรซายล์ได้ครอบครอง ‘เอกลักษณ์’ และตะกอนพลังของลำดับ 1 ในเส้นทางจักรพรรดิมืด นั่นแปลว่าองค์กรลึกลับโบราณคงลงทุนลงแรงไปไม่น้อย บางสิ่งอาจถึงขั้นจัดหาให้ด้วยตัวเอง… แล้วในตอนที่จักรพรรดิร่วงหล่น ใครเป็นคนนำตะกอนพลังเหล่านั้นไป?


แบร์นาแดตหมกตัวอยู่ที่เบ็คลันด์ในช่วงหลายเดือนหลัง และก่อนหน้านั้นก็แวะมาบ่อยครั้ง…


เฮ้อ… ปัญหาสำคัญก็คือ รสนิยมเกี่ยวกับความไม่สมมาตรของจักรวรรดิในยุคสมัยที่สี่ ทำให้ความเข้าใจของเราคลาดเคลื่อนไป เข้าใจผิดว่าเงื่อนไขซึ่งต้อง ‘แหวกวัฒนธรรมของยุคสมัย’ จะต้องแปลกและขัดแย้งกับธรรมชาติของมนุษย์ แต่เมื่อลองคิดดูให้ดี สิ่งใดคือความปรกติ? คำตอบก็คือ สิ่งที่ทุกคนเคยชินแล้ว เรื่องที่ทุกคนไม่รู้สึกต่อต้านกับมัน… จากชนเผ่ากลายเป็นแคว้น จากศักดินากลายเป็นสาธารณะรัฐ ไม่ใช่ว่าสิ่งเหล่านี้ก็เป็นการ ‘แหวกวัฒนธรรมของยุคสมัย’ หรอกหรือ? การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากโหยหาของเก่า…


สำนวนที่ว่า ‘คนหัวโบราณจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง’ สรุปเรื่องนี้ได้ดีมาก…


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตราบใดที่เทพไม่เข้ามาแทรกแซง การปฏิวัติที่เป็นเงื่อนไขของจักรพรรดิมืดจะต้องเกิดขึ้นอย่างมิอาจเลี่ยง ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น… เมื่อกระแสแห่งเวลาถาโถม ไม่ว่าใครก็ยากที่จะหยุด พี่ชายอามุนด์ช่างเป็นนักประพันธ์ที่เก่งกาจ…


สิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านในโบราณสถานจักรพรรดิโลหิตคงจะเป็นอนุสาวรีย์บรรจุศพที่มีลักษณะคล้ายพีระมิด พิจารณาจากข้อกำหนดของพิธีกรรม สิ่งนี้จำเป็นต้องก่อสร้างโดยแรงงานจำนวนมาก จึงไม่แปลกที่จะมีเหตุการณ์คนหายเกิดขึ้นในเขตตะวันออก รวมถึงการค้าทาสทางทะเล และอีกมากมาย…


เมื่อสงครามดำเนินไปถึงจุดหนึ่ง จะมีการใช้ข้ออ้างทำนองว่า ขอสวดวิงวอนแด่ชัยชนะ หรือไม่ก็ไว้ทุกข์ให้กับทหารที่เสียชีวิต ทำการระดมผู้คนมารวมตัวตามเมืองใหญ่เป็นจำนวนมากเพื่อประกอบพิธีกรรมสังเวย…


อา… เมื่อหลายปีก่อน ราชวงศ์โลเอ็นได้ครอบครองมงกุฎจากจักรวรรดิไบลัม จากนั้นก็เชื่อมโยงพระนามของกษัตริย์ด้วยตำแหน่งจักรพรรดิ…


เป็นแผนที่แนบเนียนมาก!


เมื่อได้สติจากคำถามของวิญญาณมารเทวทูตสีชาด ความติดไคลน์เริ่มตึงเครียด ข้อมูลมากมายแล่นเข้ามาในหัว รวมถึงคำถาม


ชายหนุ่มจ้องหน้า ‘ผู้เฝ้าประตู’ เจ้าของร่างกายผอมแห้ง ใบหน้าอ่อนเยาว์แต่ขาดเลือด ก่อนจะกล่าวหลังจากไตร่ตรอง


“จอร์จที่สามต้องการเป็นจักรพรรดิมือด้วยตัวเอง? แต่เขายังไม่ใช่ลำดับ 4 ด้วยซ้ำ…”


ต่อให้จอร์จที่สามเตรียมการล่วงหน้าและทำให้ตัวเอง ‘มีพรสวรรค์’ จนสามารถลดผลข้างเคียงและตราประทับวิญญาณที่เหลือจากโอสถ ไคลน์ก็ไม่เชื่อว่าลำดับ 5 จะกลายเป็นเทพได้ในการดื่มโอสถเดียว เว้นเสียแต่จะโชคดีอย่างมากซึ่งโอกาสนั้นแสนริบหรี่


และการพึ่งพาพลังในขอบเขตโชคชะตาก็คงไม่ ‘เพียงพอ’ เพราะแม้แต่ ‘อสรพิษปรอท’ วิลอัสตินซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคชะตา ก็ยังไม่กล้าฝืนปรองดองกับ ‘ลูกเต๋าความน่าจะเป็น’ โดยตรง แต่มองหาหนทางอย่างรอบคอบ


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะในลำคอหลังจากได้ยิน:


“เจ้าทราบได้อย่างไรว่าจอร์จที่สามอยู่แค่ลำดับ 5? แน่ใจได้อย่างไรว่าจอร์จที่สามที่ถูกตรวจสอบเป็นตัวจริง ไม่ใช่ตัวตนที่ถูกจินตนาการขึ้นหรือผู้ไร้หน้าระดับเทวทูตสักตน? แม้สิ่งเหล่านี้จะทำได้ยาก แต่สำหรับคนขี้ระแวงบางคน นั่นเป็นเรื่องที่ยังอยู่ในขอบเขตความสามารถและทรัพยากร… ข้าสงสัยว่าจอร์จที่สามคือสมาชิกคนสำคัญขององค์กรลับที่พยายามเลียนแบบกุหลาบไถ่บาปของพวกข้า ลำดับที่แท้จริงของเจ้านั่นอาจจะสูงถึงเทวทูตก็ได้… หึหึ… คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรถ้าจะอยู่ในลำดับ 1 เรียบร้อยแล้ว”


นี่มัน… จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวว่า สมาชิกขององค์กรล้วนเป็นบุคคลสำคัญชนิดที่เหนือความคาดหมาย… หากทั้งหมดร่วมมือกัน ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาทำไม่ได้นอกจากการกวาดล้างเจ็ดโบสถ์หลัก… หนึ่งในนั้นเป็นถึงกษัตริย์ของอาณาจักรเชียว? ไม่สิ โรซายล์ที่ตายไปก็เคยเป็นผู้ปกครองสูงสุดของอินทิส… คนขี้ระแวง… นี่คือคำที่วิญญาณมารเทวทูตสีชาดใช้นิยามพี่ชายอามุนด์? ถึงจะเป็นคำดูแคลนที่ค่อนข้างรุนแรงและอาจมาจากอคติส่วนตัว แต่ก็คงซ่อนความจริงบางอย่างไว้ ฉายาเช่นนี้ไม่มีทางตั้งขึ้นมาส่งเดช… ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดขมวดคิ้วและพูด


“ปัญหาที่คุณมองออกได้ง่ายดายเช่นนี้ ทำไมโบสถ์รัตติกาล วายุสลาตัน และจักรกลไอน้ำถึงไม่ตระหนัก? พวกเขาก็ไม่น่าจะมีข้อมูลของจักรพรรดิมืดน้อยไปกว่าคุณ…”


เพราะเหนือสิ่งอื่นใด โบสถ์รัตติกาลและวายุสลาตันต่างก็เคยสนับสนุนจักรวรรดิร่วมทูดอร์ทรันซอสต์!


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดเผยสีหน้าขบขันอีกครั้ง จ้องดอนดันเตสและบุรุษรับใช้หัวจดเท้า


“เจ้าอายุเท่าไร? ทำไมถึงไร้เดียงสาและเด็กน้อยเช่นนี้? ในบางสถานการณ์ หกเทพจารีตจะไม่เท่ากับหกโบสถ์หลัก และนั่นหมายความว่า สิ่งที่หกเทพจารีตทราบ ไม่จำเป็นต้องถูกถ่ายทอดลงมายังเทวทูตหรือนักบุญ”


เมื่อเห็นดอน·ดันเตสยังคงขมวดคิ้วฉงน วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะในลำคอ


“สาบานได้เลย สิ่งที่ข้าพูดถัดไปจะทำให้ภาพลักษณ์ของหกเทพจารีตต้องป่นปี้ ส่วนเจ้าก็เก็บไปคิดเอาเองว่านั่นเป็นความจริงหรือไม่… เอาเป็นว่า หกเทพจารีต… อา เจ็ดเทพจารีต มีทัศนคติที่ค่อนข้างคลุมเครือต่อผู้ที่ต้องการเป็นจักรพรรดิมืด… พวกท่านล้วนยินดีที่จักรพรรดิมืดคนใหม่จะถือกำเนิด แต่ก็สนับสนุนอย่างออกนอกหน้าไม่ได้… ส่งผลให้เหล่าเทพจารีตมิได้ส่งวิวรณ์ทุกเรื่องให้สาวกทราบ ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองธรรมชาติและกฎหมาย หากผู้ใดพยายามเลื่อนเป็นจักรพรรดิมืดและถูกเหล่าสาวกของแต่ละโบสถ์จับได้ ทวยเทพก็จะลงทัณฑ์ตามปรกติ แต่ถ้าเหล่าสาวกสืบสาวไม่พบ ทุกตนก็จะยอมให้การเลื่อนลำดับเกิดขึ้นโดยปริยาย… แน่นอน ระหว่างกระบวนการ ย่อมมีใครสักคนอยากขัดขวางหรือสร้างความเสียหาย แต่ก็มิอาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือชัดเจนนัก เพราะพฤติกรรมดังกล่าวมักจะถูกสกัดกั้นโดยเทพตนอื่น… หากไม่ใช่เพราะทวยเทพมีทัศนคติเช่นนี้ จอร์จที่สามจะกล้าเสี่ยงเชียวหรือ? เอาล่ะ… ในเมื่อสงครามปะทุขึ้นแล้ว เงื่อนไขของเจ้านั่นได้บรรลุไปอีกหนึ่งข้อ ถัดไปคือการรอโอกาส”


ทันใดนั้น ไคลน์นึกถึงเหตุการณ์ที่ข่าวคราวการ ‘บุกตรวจค้น’ โบราณสถานจักรพรรดิโลหิตเกิดรั่วไหล จนมันเริ่มไม่มั่นใจว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเบื้องบนของสามโบสถ์หลักมีสมาชิกองค์กรโบราณแทรกซึมอยู่ หรือเป็นเพราะมีเทพสักตนแจ้งข่าวแก่พี่ชายอามุนด์โดยตรงกันแน่ หากเป็นอย่างหลัง ผู้ต้องสงสัยรายเดียวที่สามารถตัดออกไปได้คือเทพวายุสลาตัน


ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ลังเลก่อนจะถาม


“หมายความว่า หากไม่เกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย จอร์จที่สามซึ่งเตรียมการไว้อย่างพร้อมสรรพ จะประกอบพิธีกรรมก้าวขึ้นไปเป็นเทพแท้จริง? และถ้าพิธีกรรมราบรื่น ถ้าจอร์จที่สามรอดพ้นจากผลข้างเคียงของโอสถ เขาจะได้เถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืด?”


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดตอบเรียบง่าย


“ยังเป็นอย่างอื่นไปได้อีกหรือ?”


“แล้วทำไมเจ็ดเทพจารีตถึง…” ไคลน์อดไม่ได้ที่จะถาม


วิญญาณมารเทวทูตสีชาดส่ายหน้า


“เจ้าอยากรู้ไหมล่ะ? หากต้องการ ข้าสามารถบอกได้ทันที”


ขณะไคลน์เตรียมตอบว่า ‘แน่นอน’ ทันใดนั้นมันฉุกคิดถึงคำเตือนของ ‘บริวารอำพราง’ มาดามอาเรียนน่า


“สำหรับบางสิ่ง ยิ่งรู้มากก็ยิ่งมีโอกาส ‘ติดเชื้อ’ จากร่างกายสู่ดวงวิญญาณ… จนกว่าจะกลายเป็นเทวทูต คุณห้ามสืบหาคำตอบส่งเดช”


ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดยิ้มมุมปาก


“ไม่เป็นไร”


“ไม่เลว… เจ้าเกือบต้องตายเพราะความอยากรู้อันโง่เขลา” วิญญาณมารเทวทูตสีชาดส่ายหน้าอย่างผิดหวัง


มันมองออกไปนอกหน้าต่างและกล่าว


“ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้ว”


“ตกลง” ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดยืนขึ้นและยกมือขวา


ทันใดนั้น วิญญาณมารเทวทูตสีชาดตั้งคำถาม


“ข้ามีความรู้สึกแปลกๆ ว่า… หากข้าลงมือตอนนี้ เจ้าคงมิได้สิ้นท่าเสียทีเดียว… ใช่ไหม?”


แน่นอน ลองเดาดูสิว่าทำไมฉันกลับออกไปด้วย ‘กระโจนไฟ’ แทน ‘เทเลพอร์ต’ … นั่นก็เพื่อซ่อนตัวตนนกกระเรียนกระดาษที่ลุกไหม้ในกระเป๋าสตางค์! ด้วยวิธีนี้ ‘อสรพิษแห่งชะตา’ วิล·อัสตินจะจ้องมองมาที่นี่อย่างเงียบงัน และหากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เจ้านั่นก็จะใช้ ‘ยันต์วันวานอีกครั้ง’ เพื่อช่วยเราทันที… การจะรับมือกับตัวตนระดับนายย่อมต้องระวังตัวเป็นพิเศษ จะให้ไม่ซ่อนไพ่ตายไว้ได้อย่างไร? ไคลน์ไม่ได้ตอบตรงๆ ทำเพียงยิ้มเพื่อยืนยันโดยนัย


เป๊าะ!


ชายหนุ่มดีดนิ้วและปล่อยให้เปลวไฟสีแดงลุกไหม้จากกระเป๋าสตางค์จนกระทั่งปกคลุมท่วมลำตัว


เมื่อเปลวไฟสีแดงเข้มสลายไป ร่างไคลน์ก็อันตรธานหายไปจากการมองเห็นของวิญญาณมารเทวทูตสีชาด



กรุงเบ็คลันด์ ในรถเข็นเด็กสีดำที่บ้านนายแพทย์อลัน·คริสต์


เด็กทารกอวบอ้วนขยี้ตาพลางส่งเสียงพึมพำ


“สำหรับเด็กเล็ก เบ็คลันด์ไม่น่าอยู่เลยสักนิด!”



บ้านเลขที่สามเก้า ถนนเบิร์คลุน ไคลน์ซึ่งทำนายดวงชะตาล่วงหน้า แวะมาหาส.ส. มัคท์ที่เตรียมจะเดินทางไปยังเขตตะวันตก


“คุณไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์เพลงกุหลาบหรอกหรือ? ผมวางแผนจะให้ลีอานน่ากับเฮเซลซ่อนตัวอยู่ที่คฤหาสน์กวางมูสไปอีกสักพัก” ส.ส. มัคท์เลื่อนนิ้วชี้กับนิ้วโป้งขึ้นมาจับเบ้าตาขวา


เมื่อไรผลข้างเคียงอันนี้จะหายไป… ไคลน์ถอนสายตากลับพลางพ่นลมหายใจ


“ผมต้องเตรียมติดอาวุธให้คฤหาสน์เพลงกุหลาบ จึงต้องแวะมาขอความช่วยเหลือจากคุณ… นอกจากนั้น หากคุณมีช่องทางสำหรับซื้ออาหาร ผมเองก็ต้องการส่วนหนึ่ง”


ตามความคิดของมัน ชนชั้นล่างไม่มีปัญญาจะตุนอาหารเนื่องจากขาดแคลนทุนทรัพย์ อย่างมากก็ตุนได้สองถึงสามวัน ดังนั้น การกักตุนของไคลน์จะไม่ถือว่าเบียดเบียนชนชั้นล่าง และถ้าชาวเมืองเริ่มประสบภาวะอาหารขาดแคลนเมื่อไร ไคลน์ก็จะบริจาคอาหารกลับคืนผ่านมิสออเดรย์ – ก่อนที่รัฐบาลจะออกกฎหมายห้ามกักตุนอาหาร ต่อให้ไคลน์ไม่กักตุน เศรษฐีคนอื่นก็จะทำอยู่ดี และอาจไม่บริจาคกลับคืนเหมือนกับตน


“ไม่มีปัญหา” ส.ส. มัคท์ตอบรับโดยไม่ลังเล


ไคลน์ไม่ถามถึงราคา เพราะมันได้มอบเงินให้แม่บ้านทาเนญ่าไปแล้วห้าพันเหรียญทองสำหรับใช้จ่าย


แน่นอน หลังจากยืนยันว่าซาราธอยู่ในเบ็คลันด์ รวมถึงเรื่องที่วิญญาณมารเทวทูตสีชาดทราบว่าดอน·ดันเตสคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ชายหนุ่มตัดสินใจยังไม่กลับไปที่คฤหาสน์เพลงกุหลาบ เพื่อไม่ให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบ


สำหรับข้อแก้ตัว มันคิดไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยจะแจ้งว่าโบสถ์รัตติกาลมีงานให้ทำหลายชิ้นจนไม่สามารถกลับไปได้สักพัก และถ้ามีงานเกี่ยวกับองค์กรการกุศลที่ต้องการความช่วยเหลือจากตน ไคลน์ได้มอบอำนาจให้มิสออเดรย์จัดการแทนทั้งหมด

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1088 : เอนตัวในเงามืด

 

ระหว่างทางบนถนนเบิร์คลุนไปยังวิหารนักบุญแซมมวล ไคลน์ผ่าน ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ ที่อาคารหมายเลขยี่สิบสอง ถนนเฟลป์ และต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าประตูหน้ายังคงเปิดต้อนรับผู้คน


ในฐานะผู้ก่อตั้งและสมาชิกปัจจุบัน ชายหนุ่มค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ จึงสั่งให้รถม้าจอดและเดินเข้าไป


ทันทีที่ผ่านกรอบประตู ไคลน์เห็นมิสออเดรย์เดินลงจากชั้นสองพร้อมกับสาวใช้คนสนิท สุนัขโกลเดนรีทรีเวอร์ และพนักงานอีกสองสามคน


“ทิวาสวัสดิ์ครับ… ในสถานการณ์แบบนี้ เห็นทีพวกเราคงต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง” ไคลน์กล่าวขณะเดินเข้าไปใกล้


ออเดรย์ในท่าถือหนังสือพิมพ์ จ้องหน้าดอนดันเตสและตอบ


“ผู้รับทุนหลายคนของเราได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีทางอากาศ ดิฉันเพิ่งไปเยี่ยมพวกเขาและคอยสนับสนุนค่ารักษา”


เบ้าตาของสตรีผู้สูงศักดิ์เริ่มแดงระเรื่อ ราวกับเธอได้เห็นสิ่งที่น่าหดหู่ชุดชนิดภายในโรงพยาบาล


“ขอให้เทพธิดาคุ้มครอง” ไคลน์ที่เข้าใจหัวอก วาดพระจันทร์แดงกึ่งกลางหน้าอก


มันถือโอกาสพูดในสิ่งที่เตรียมไว้


“ผมวางแผนจะบริจาคเงินให้กองทุนเพิ่มเติม ไว้สำหรับซื้ออาหาร ยา และเวชภัณฑ์ เพื่อให้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้มากขึ้นท่ามกลางภัยพิบัติที่เกิดจากมนุษย์ด้วยกันเอง”


“เป็นความคิดที่ดีค่ะ ผู้ที่เผชิญความทุกข์ต้องซาบซึ้งแน่ มิสเตอร์ดันเตส” ออเดรย์เคาะหน้าอกตามเข็มนาฬิกาด้วยสีหน้ายินดีเจือโศกเศร้า “ดิฉันเองก็จะทำให้ดีที่สุดเช่นกัน”


เธอไม่อยากทำแค่บริจาคเงิน แต่ยังต้องการผลักดันในบางสิ่ง


ไคลน์พยักหน้า


“คุณไม่จำเป็นต้องยกย่องผม… ในเวลาแบบนี้ สิ่งที่ผมทำคือสิ่งที่ควรทำ… นอกจากบริจาคเงิน ผมจะช่วยบริจาคอาหารด้วย สำหรับประเด็นดังกล่าว คุณต้องไปคุยกับวอลเตอร์ พ่อบ้านของผมโดยตรง… จริงสิ มิสออเดรย์ ผมจะเขียนหนังสือมอบอำนาจให้คุณ หลังจากนี้คุณสามารถดำเนินการสิ่งต่างๆ ภายในคฤหาสน์เพลงกุหลาบได้โดยไม่ติดขัด”


“แล้วคุณล่ะคะ? มิสเตอร์ดันเตส” ออเดรย์ถามแม้ภายในใจพอจะเดาออก


สำหรับบทสนทนาปัจจุบัน หากต้องการทำให้เป็นธรรมชาติ คำถามนี้คือสิ่งที่ขาดไม่ได้


“ทางโบสถ์มีงานบางอย่างให้ผมทำ ส่วนจะเป็นงานใดนั้น ผมยังไม่ได้แวะเข้าไปที่วิหารนักบุญแซมมวล จึงยังไม่ทราบรายละเอียด แต่สิ่งที่แน่ชัดก็คือ ผมต้องออกเดินทางไกลและคงกลับมาที่คฤหาสน์เพลงกุหลาบไม่ได้เป็นเวลานาน” ไคลน์เล่าเหตุผลที่เตรียมไว้ “มิสออเดรย์ ตลอดช่วงเวลาที่ผมอยู่กับกองทุนการศึกษาแห่งนี้ ผมเห็นถึงความสามารถและจิตใจที่งดงามของคุณ และไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังหรือสถานะทางสังคม ทุกสิ่งล้วนหล่อหลอมให้คุณมีวิสัยทัศน์และระบบความคิดที่ยอดเยี่ยม ดังนั้น การฝากฝังให้คุณช่วยดูแลคฤหาสน์คือทางออกที่ดีที่สุด”


ไคลน์ไม่คิดว่าข้ออ้างของตนจะเอาชนะสายตาของ ‘ผู้ชม’ มากประสบการณ์ได้ สิ่งที่มันต้องการมีเพียง ทำให้ผู้คนรอบข้างมิสจัสติส ‘เชื่อ’ ในข้ออ้างที่ตนกุขึ้น แน่นอน มันไม่นับรวมสุนัขของเธอ


มิสเตอร์เวิร์ลคิดจะสละตัวตนดอน·ดันเตสชั่วคราวเพื่อกระทำบางสิ่ง? ออเดรย์แสร้งครุ่นคิด หลังจากไตร่ตรองสองสามวินาที เธอกล่าว


“ในสถานการณ์เช่นนี้ ดิฉันคงมิอาจปฏิเสธคำขอร้อง”


ไคลน์แอบถอนหายใจและหันไปบอกให้บุรุษรับใช้เอ็นยูน เดินขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อหยิบกระดาษและปากกาลงมา จากนั้น ท่ามกลางการเป็นสักขีพยานของพนักงานกองทุน ชายหนุ่มร่างหนังสือมอบอำนาจ ลงนามและประทับตราพร้อมกับรอยนิ้วมือ


จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์หันเหความสนใจไปยังหนังสือพิมพ์ในมือออเดรย์


“มีข่าวใหม่บ้างไหม? ผมเพิ่งกลับจากชานเมืองและได้ยินว่าทางอาณาจักรประกาศสงครามกับฟุซัคแล้ว”


ออเดรย์เม้มริมฝีปากและกล่าวหน้าเศร้า


“ไม่นานหลังจากที่กองเรือเหาะโจมตีกรุงเบ็คลันด์ กองทัพเรือโซเนียของฟุซัคอาศัยหมอกหนาทึบในการพรางตัวและเข้าโจมตีกองทัพเรือหลวงของเราที่ท่าเรือพริสต์บนเกาะโอ๊ค รวมถึงอู่ต่อเรือในละแวกใกล้เคียง โชคดีที่ทางโบสถ์วายุสลาตันได้รับแจ้งเตือนล่วงหน้าผ่านทางโทรเลข ฝ่ายเราจึงยังไม่เสียท่าเรือพริสต์ไป แต่ต้องเสียเรือหลายลำและโรงงานอีกหลายแห่ง กล่าวกันว่า มีผู้คนล้มตายและบาดเจ็บสาหัสมากมาย…”


“นี่สินะสงคราม…” ไคลน์ถอนหายใจ “ขอผมดูได้ไหมว่ากษัตริย์ประกาศสงครามว่าอย่างไร”


ออเดรย์ทราบดีว่ากษัตริย์จอร์จที่สามมีปัญหา จึงเข้าใจความนัยของอีกฝ่ายและส่งหนังสือพิมพ์ในมือให้


เป็นฉบับทัสซอค


โดยไม่ต้องเสียเวลามองหา ไคลน์เห็นถ้อยคำประกาศสงครามของกษัตริย์ใต้พาดหัวหน้าแรก


“…เมื่อเจ็ดร้อยแปดปีก่อน ฟุซัคทำการยึดเกาะโซเนียไปจากเรา… เมื่อหนึ่งปีก่อน ฟุซัคทำการขโมยไบลัมตะวันออกของเราไปครึ่งหนึ่ง… มาถึงวันนี้ พวกมันทิ้งระเบิดใส่เบ็คลันด์และโจมตีท่าเรือพริสต์ ส่งผลให้พลเรือนจำนวนมากเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บสาหัส เลือดของพวกเขาชุ่มชโลมไปทั่วผืนดิน… เราถอยกลับไม่ได้อีกแล้ว การยอมถอยในอดีตมีแต่จะทำให้พวกมันกลั่นแกล้งเรามากขึ้น หากยังถอยต่อไป พวกเราจะสูญเสียอำนาจทางเศรษฐกิจนอกแผ่นดินใหญ่ไปทั้งหมด สินค้าจำนวนมากจะขายไม่ออก ผู้คนมากมายต้องตกงาน ชาวนาจะล้มตายกันหมด!”


“…”


“…ทุกสิ่งในอดีตและปัจจุบันล้วนบ่งชี้ว่า ความยุติธรรมอยู่ในมือของพวกเรา และเรามีพลังมากพอที่จะคว้าชัยชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จ!”


“ถึงประชาชนที่เคารพทุกท่าน… ตัวเรา… จักรพรรดิจอร์จที่สามของทุกท่าน ขอเป็นตัวแทนรัฐสภาและรัฐบาลเพื่อประกาศสงครามกับฟุซัค… หากพวกมันยังไม่ยอมยกธงขาวหรือยกมือยอมแพ้ พวกเราจะไม่หยุดเดินหน้าบดขยี้! รุกคืบเข้าไป! ฟื้นฟูเกาะโซเนีย! รุกคืบเข้าไป! ยึดครองกรุงนักบุญมิลลอม! ชัยชนะจะเป็นของเราอย่างแน่นอน พระองค์อยู่ฝ่ายเดียวกับเรา!”


ไคลน์ที่กวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว อาศัยพลังตัวตลกในการยับยั้งกล้ามเนื้อใบหน้ามิให้ขดมุมปาก


จากนั้น มันคืนหนังสือพิมพ์ทัสซอคให้ออเดรย์ ถอดหมวกและโค้งศีรษะ


“ที่เหลือคงต้องฝากคุณแล้ว”


“ไม่ต้องกังวลค่ะ” ออเดรย์รับหนังสือมอบอำนาจและหนังสือพิมพ์


ไคลน์ไม่มัวรีรอ พาบุรุษรับใช้เอ็นยูนเดินออกจาก ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ และตรงไปยังวิหารนักบุญแซมมวล


ตอนนี้ไม่มีสาวกหลงเหลือภายในวิหาร เพราะส่วนใหญ่ถูกส่งกลับบ้านและยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวสำหรับใช้ชีวิตหลังสงคราม


ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิดและเงียบสงบ ไคลน์หาที่นั่ง ถอดหมวก ประสาทมือไว้ใต้ปาก ตามด้วยการพึมพำพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดารัตติกาลด้วยเสียงแผ่ว จากนั้นก็เสริม


“…ผมได้รับข่าวจากวิญญาณมาเทวทูตสีชาด ซาราธน่าจะเข้ามาในเบ็คลันด์แล้ว และโบราณสถานลับของจักรพรรดิโลหิต มีโอกาสสูงที่จะเป็นสุสานสำหรับประกอบพิธีกรรมเลื่อนเป็นจักรพรรดิมืด…”


หลังสวดจบ ไคลน์รอคอยอย่างอดทนสักพัก จนกระทั่งอาร์ชบิชอปแอนโทนี·สตีเวนสันเดินเข้ามาหาจากประตูด้านข้าง


นักบุญรายนี้มีใบหน้าเกลี้ยงเกลา ปราศจากหนวดเครา สวมเสื้อคลุมสีดำที่ปักสัญลักษณ์พระจันทร์แดง ทุกย่างก้าวไร้สุ้มเสียงราวกับยามราตรีกำลังคืบคลาน


เมื่อเข้าใกล้ดอน·ดันเตส แอนโทนีไม่กล่าวคำใด เพียงส่งภาษากายและหันหน้าไปทางหอสมุด


ไคลน์ลุกขึ้นสวมหมวก เดินตามไปอย่างเงียบงัน


สำหรับบุรุษรับใช้เอ็นยูน อีกฝ่ายถือไม้ค้ำ เดินไปทางประตูวิหารและรออยู่ที่นั่น


ด้านนอกหอสมุด อาร์ชบิชอปแอนโทนีหมุนตัวกลับด้วยรอยยิ้มเล็กๆ และกล่าวกับดอน·ดันเตส


“สงครามปะทุขึ้นแล้ว ตอนนี้มีหลายสิ่งที่ทางเราต้องรีบสะสาง… ในฐานะสาวกผู้เลื่อมใสเทพธิดา คุณยินดีที่จะช่วยหรือไม่”


อย่างที่คิด… มาดามอาเรียนน่าออกจากเบ็คลันด์ไปแล้ว… ไคลน์ถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อนพลางวาดจันทร์แดงบนหน้าอก


“นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เทพธิดาจงเจริญ”


กล่าวจบ มันถามทันที


“คุณต้องการให้ผมช่วยในเรื่องใด”


“ผมจะแจ้งเมื่อถึงเวลา แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งกลับบ้านจะดีกว่า” นักบุญแอนโทนีกล่าวในสิ่งที่ฟังดูไม่สมเหตุสมผล


แต่ไคลน์เข้าใจความหมายได้ทันที นั่นคือการให้มันซ่อนตัวไปก่อน แอนโทนีอาจไม่แข็งแกร่งพอที่จะจัดการกับซาราธ แต่หากอยู่ในขอบเขตของสถานที่พิเศษบางแห่ง มันสามารถให้ความคุ้มครองได้


ไม่ผิดไปจากข้อสันนิษฐานของเรา… เทพธิดากำลังย่อย ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางมรณาและคงไม่ ‘เสด็จเยือน’ ในระยะนี้… เบื้องบนของโบสถ์ต่างกำลังยุ่งอยู่กับการรับมือสงคราม และผลข้างเคียงด้านลบของสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ก็รุนแรงจนไม่คุ้มเสี่ยง… ไคลน์พยักหน้า


“เข้าใจแล้วครับ ท่านเจ้าคุณ”


“ขอให้เทพธิดาอวยพร” นักบุญแอนโทนีวาดพระจันทร์แดง


“เทพธิดาจงเจริญ… ความสุขสงบคือคำตอบของทุกสิ่ง” ไคลน์ตอบอย่างชำนาญพร้อมกับทำท่าเดียวกัน


จากนั้น มันออกจากวิหารนักบุญแซมมวลและเลี้ยวเข้าไปในถนนอีกเส้นพร้อมกับบุรุษรับใช้


หลังจากเดินต่อไปอีกสักพัก ดอน·ดันเตสและเอ็นยูนก็อันตรธานหายไป



เขตตะวันออก บ้านเช่าสองห้องนอน


ด้วยใบหน้าดาษดื่น ไคลน์หยิบฮาร์โมนิก้านักผจญภัยออกมาจ่อปากเป่า


เพียงพริบตา ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เจ้าของสี่หัวทองตาแดง เดินออกจากความว่างเปล่าโดยไม่ประหลาดใจกับรูปลักษณ์ใหม่ของคู่สัญญา


ไคลน์ซึ่งไม่มีกระดาษจดหมายจะส่งให้ เพียงกล่าวเข้าประเด็น


“ช่วยบอกชารอนกับมาริคว่า ซาราธอยู่ที่เบ็คลันด์และมีแนวโน้มว่าจะร่วมมือกับโรงเรียนกุหลาบ จงระวังตัวให้มากและอย่าแวะไปที่ผับวีรบุรุษในช่วงนี้”


“ซาราธ…” หัวทั้งสี่ของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์กล่าวอย่างพร้อมเพรียง สีหน้าครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายเป็นใคร


“หัวหน้าลัทธิเร้นลับ เทวทูตลำดับหนึ่งที่เคยเสียสติแต่กลับมาเป็นปรกติได้” ไคลน์หยิบเหรียญทองออกมายื่นให้มิสผู้ส่งสาร


มันไม่ได้บอกว่าซาราธสนใจเกอร์มันสแปร์โรว์เป็นพิเศษ โดยเชื่อว่ามิสผู้ส่งสารซึ่งเป็นสัตว์วิญญาณระดับสูงย่อมตระหนักถึงความพิเศษในตัวมันได้ประมาณหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเทวทูตคงไม่ลดตัวมาเป็นผู้ส่งสาร หากมียันต์ วันวานอีกครั้งไรเน็ตต์คงช่วยเหลือไคลน์ได้มากกว่าเดิมหลายเท่า


สำหรับคำถามที่ว่า ทำไมซาราธซึ่งมองไม่เห็น ‘ออร่าหมอก’ ในตัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์เมื่อครั้งอยู่ในหมู่บ้านสายหมอก ถึงยังต้องการตามล่าตัวนักผจญภัยเสียสติรายนี้ ไคลน์เชื่อว่าเกิดจากเหตุผลสามข้อ ประการแรก กฎแห่งการดึงดูดได้นำพาซาราธเข้ามาในเบ็คลันด์ ประการที่สอง เป็นเพราะเกอร์มันสแปร์โรว์สามารถหลบหนีออกจากหมู่บ้านสายหมอกและกลับสู่โลกแห่งความจริงสำเร็จ ทั้งที่ได้รับสัญลักษณ์ผิด และประการที่สาม เกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจเกี่ยวข้องกับองค์กรที่ศรัทธาเดอะฟูล


หลังจากซาราธร่วมมือกับโรงเรียนกุหลาบและพบว่ามารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายเองก็สนใจเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ต่อให้ซาราธไม่มีข้อมูลเชิงลึกมากนัก แต่มันก็ต้องยกระดับความสนใจอย่างไม่มีทางเลือก


ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์มิได้กล่าวคำใด เพียงใช้ปากของหนึ่งในสี่หัวงับเหรียญทอง


หลังจากเฝ้ามองผู้ส่งสารจากไป ไคลน์ดึงเก้าอี้ออกมานั่ง แหงนมองท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างผ่านโต๊ะไม้


โครงสร้างของบ้านหลังนี้คล้ายกับบ้านที่เคยอาศัยสมัยยังอยู่ทิงเก็น ด้านในเป็นห้องนอน ด้านนอกเป็นห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร และห้องอ่านหนังสือที่มีเตียงสองชั้น


ปัจจุบันนอกจากชายหนุ่ม ภายในห้องยังมีหุ่นเชิดโจนาสโคลเกอร์และเอ็นยูน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)