Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1081-1084

 ราชันเร้นลับ 1081: ชายผู้กลับมา

 

หลังจากแพทริค·สวดจบ กะโหลกจำนวนมากรอบโลงศพสีดำค่อยๆ ถูกฉาบด้วยชั้นสีเขียวขุ่น ผสมผสานกับสีขาวของตัวมันเอง กลายเป็นภาพที่น่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก


ยิ่งระบำวิญญาณเข้มข้นขึ้น ราวกับเสียงจากโลกแห่งความตายกำลังกู่ร้อง กะโหลกจำนวนมากด้านล่างลอยขึ้นทีละหนึ่งราวกับมีชีวิตชีวา


จากนั้น พวกมันลอยเข้าไปในโลงศพสีดำที่ดูหนักอย่างโกลาหลแต่ค่อนข้างเป็นระเบียบ กะโหลกแล้วกะโหลกเล่าพุ่งผ่านฝาโลงไปราวกับพวกมันเป็นเพียงภาพมายา


โลงศพมีสภาพไม่ต่างจากวังวนลึกไร้ก้นบึ้ง ขนาดของมันขยายใหญ่พร้อมกับแผ่ไอความเย็นที่สูงส่งและน่าเกรงขาม แพทริค·เบรนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มศีรษะลงต่ำ


นี่คือเทวทูต ออร่าแห่งกงสุลมรณะ!


ทันใดนั้น เหล่าสาวกแห่งความตายที่กำลังเต้นรำอย่างขันแข็ง ทั้งหมดล้มฟุบลงไปบนพื้นอย่างไม่ได้สติด้วยร่างกายสั่นกระตุก ความคิดเริ่มสับสนอลหม่านราวกับกำลังเดินทางเข้าไปในโลกแห่งความตาย


และเหนือสายหมอกสีเทา เดอะฟูล ไคลน์ที่อาศัยความช่วยเหลือจากหุ่นเชิดเป็นจุดตั้งต้นและขยาย ‘การมองเห็น’ ออกไปไกลลิบ ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่า บททดสอบของไฮเทล ผู้นำของนิกายวิญญาณฝ่ายมรณาเทียม เทวทูตผู้กำลังนอนอยู่ในอนุสาวรีย์บรรจุศพ ไม่ได้ทรงพลังเกินความคาดหมายของตน – เป็นพลังสำหรับ ‘สยบ’ ผู้วิเศษเส้นทางมรณาที่มีระดับต่ำกว่า สามารถใช้ควบคุมร่างกายและสืบข้อมูลจากแพทริค·เบรนได้โดยตรง


ไม่ผิดนักหากจะมองว่านี่คือการ ‘สอบปากคำ’ ในระดับวิญญาณ เป็นสิ่งที่ไคลน์มีประสบการณ์ในการรับมือ


มันเสกไพ่นักบวชสีชาดมาอยู่ในมือและสอดเข้าไปในร่างกาย


เพียงพริบตา ร่างวิญญาณไคลน์สวมชุดคลุมสีแดงเข้ม ดูคล้ายกับสีที่เกิดจากสนิมและควันดินปืน บนใบหน้าถูกปกคลุมด้วยหน้ากากสีทองเข้ม ลวดลายบนหน้ากากค่อนข้างโบราณและขัดแย้งกับมงกุฎฝังอัญมณีสีแดง น้ำเงิน และเขียวบนศีรษะ


ถัดมา ไคลน์ระดมพลังทั้งหมดของมิติหมอกเท่าที่ทำได้และเปลี่ยนให้เป็นกระแสที่มองไม่เห็น ถ่ายเทเข้าไปในกระดาษคนที่พับเตรียมไว้ล่วงหน้า จากนั้นก็ส่งไปหา ‘อมรณา’ แพทริค·เบรนผ่านจุดแสงแห่งการสวดวิงวอน


ในเวลาเดียวกัน แพทริค·เบรนที่ร่างกายกำลังสั่นเทาเนื่องจากยอมสยบต่อออร่าของอาจารย์ เริ่มมองเห็นปีกศักดิ์สิทธิ์หลายคู่


ไคลน์จงใจปกปิดรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเทวทูตเพลิง เลือกจะเผยให้เห็นแค่บางส่วน เป็นการดัดแปลงแค่ด้าน ‘เอฟเฟกต์’


ปีกศักดิ์สิทธิ์คู่แล้วคู่เล่นโอบกอดแพทริคและหายไป ช่วยให้มันมองเห็นเนื้อแท้ของภาพหลอน


ในฐานะครึ่งเทพลำดับ 4 แพทริคได้สติในทันที ตระหนักว่าตนสามารถแข็งข้อต่อความรู้สึก ‘ยอมสยบ’ และ ‘จำนน’ ต่ออาจารย์ตัวเอง คล้ายกับจิตใต้สำนึกถูกกระชากออกจากร่างขึ้นไปยังด้านบนโลกแห่งจิต สามารถจดจ้องทุกสิ่งเบื้องล่างอย่างเยือกเย็น


ขณะเดียวกัน แพทริค·เบรน สาวกเดนตายของมรณา เชื่อโดยสนิทใจว่าอ้อมกอดเทวทูตเมื่อครู่เป็นพรจากมรณาโดยตรง


ทันใดนั้น ภายในวังวนห้วงลึกที่ก่อตัวจากโลงศพสีดำ เสียงที่แก่ชราและเย็นเยียบดังออกมา เป็นเสียงที่ราวกับสามารถทำให้วิญญาณหลุดออกจากร่าง


“ไม่เลว… มีความคืบหน้าในการปลุกพระองค์บ้างไหม?”


แพทริค·เบรนทำตามคำแนะนำของ ‘ข้ารับใช้’ มรณา เล่าความจริงเพียงครึ่งเดียวและอธิบายถึงความตั้งใจ


หลังจากบทสนทนาถามตอบดำเนินไป ไฮเทล เทวทูตในขอบเขตความตายที่อยู่อีกฟากฝั่งของวังวน มิได้ตระหนักถึงความผิดปรกติใด เพียงกล่าวอย่างใจเย็น


“ทำได้ดี… ทำต่อไป… ข้าจะคอยสนับสนุน”


มันเว้นวรรคสักพักและกล่าวอย่างเป็นกันเอง


“อันดับแรก ข้าจะส่งผู้ช่วยไปให้… เป็นลำดับ 5 ผู้เฝ้าประตูที่ทำงานเก่งและสามารถแบ่งเบาภาระให้เจ้าได้”


ตรงตามคำกล่าวของท่าน ‘ข้ารับใช้’ … พวกเขากำลังระแวงเรา… อาจารย์กำลังกลัวที่เราได้รับความรักจากพระองค์และสั่นคลอนตำแหน่งของเขา… เนื่องจากได้คุยกับไคลน์อยู่เป็นประจำ แพทริค·เบรนที่เริ่มเปลี่ยนความคิดต่อเบื้องบนทำการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด ไม่ตอบปฏิเสธความหวังดีจากอีกฝ่าย เพียงขานรับอย่างนอบน้อม


“ครับ อาจารย์”


ทันทีที่สิ้นเสียง วังวนห้วงลึกพลันคลายออก แปรเปลี่ยนเป็นบานประตูทองแดงมายาที่มีลวดลายซับซ้อน


ท่ามกลางเสียงเสียดสี บานประตูเปิดออกพร้อมกับรอยแยก


ด้านหลังรอยแยกยังคงเป็นความมืดสีดำที่คล้ายกับมีดวงตาจำนวนมากคอยเฝ้ามองโลกภายนอกอย่างเงียบงัน


ทันใดนั้น ฝ่ามือข้างขึ้นเหยียดออกจากรอยแยกหลังบานประตู


ผิวซีดจนเห็นเส้นเลือดสีเข้มใต้ผิวหนัง


หลังจากมือข้างดังกล่าวออกแรงดึง บุคคลผู้หนึ่งได้กระโดดออกจากประตู


เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อคลุมสีดำแถบแดงและดึงผ้าคลุมหัวขึ้นมาปิด


ใบหน้าอ่อนโยน ผิวพรรณออกไปทางสีน้ำตาล มองเพียงผิวเผินก็ทราบทันทีว่าเป็นชาวทวีปใต้ ใบหน้าค่อนไปทางหล่อเหล่าแต่ขาดเลือดฝาด


ในวินาทีที่ฝ่าเท้าเหยียบพื้น ชายหนุ่มลึกลับไม่แม้แต่จะมองหน้าแพทริค·เบรน เพียงแหงนหน้ามองท้องฟ้า มุมปากยกโค้งพลางถอนหายใจและหรี่ดวงตาลง


“บรรยากาศอันแสนสดชื่น…”


ในฐานะผู้วิเศษเส้นทางมรณา การถูกคนลำดับต่ำกว่าเมินเฉยย่อมสร้างความโกรธเล็กๆ ให้แพทริค·เบรน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์ มันทำได้เพียงปิดปากเงียบดำเนินการสิ้นสุดพิธีกรรม


ขณะเดียวกัน ท่าทีตอบสนองของเดอะฟูล ไคลน์บนมิติหมอก รุนแรงยิ่งกว่าแพทริค·เบรนหลายเท่า


นั่นเพราะด้วย ‘ดวงตาเที่ยงแท้’ ของมิติลึกลับ ไคลน์สามารถมองเห็นความผิดปรกติของผู้เฝ้าประตูคนใหม่!


‘โลกแห่งความตาย’ ภายในร่างของชายคนนี้ขยายใหญ่จนผิดปรกติอย่างมาก เรียกได้ว่าปกคลุมไปทั้งตัว แต่ภายใน ‘โลกแห่งความตาย’ ดังกล่าวกลับมีวิญญาณแค่ดวงเดียว นั่นคือวิญญาณของชายผมแดงใบหน้าหล่อเหล่า บางส่วนของใบหน้ามีร่องรอยเน่าเปื่อย ระหว่างคิ้วมีตราประทับรูปธง สวมชุดเกราะสีดำเปื้อนเลือด


ไคลน์เคยเห็นวิญญาณดวงนี้มาก่อน และสามารถนึกชื่อออกในทันที:


วิญญาณมารเทวทูตสีชาด เซารอน ไอน์ฮอร์น เมดีซี!


หมอนี่กลับมาที่เบ็คลันด์อีกแล้ว แถมยังร่วมมือกับเทวทูตของนิกายวิญญาณฝ่ายฝักใฝ่มรณาเทียม… ไคลน์รีบถอดไพ่นักบวชสีชาดและใส่ไพ่ทรราชเข้าไปแทน รวมถึงการเสกคทาเทพสมุทรมาถือในมือ ความคิดแรกคือการส่งพายุสายฟ้าไปหาวิญญาณมารเทวทูตสีชาด แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน มันข่มใจและละทิ้งไอเดียดังกล่าว


เพราะนั่นจะเป็นการเผยความผิดปรกติของแพทริค·เบรน ส่งผลให้เทวทูตขอบเขตความตายตระหนักว่ามีความผิดปรกติเกิดขึ้นกับมรณาเทียม!


สิ่งนี้ไม่เป็นผลดีกับความพยายามในการเข้าควบคุมและย่อย ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางมรณา


คิดได้เช่นนั้น ไคลน์รีบออกจากมิติหมอกและกลับไปยังโลกความจริง ตามด้วยการนำหุ่นเชิดออกจากโรงงานตัดเย็บอย่างลับๆ และเทเลพอร์ตกลับ


เดิมทีหลังจากสิ้นสุดพิธีกรรม ไคลน์มีแผนจะทำให้แพทริค·เบรนตกใจ การเตรียมตัวทั้งหมดพร้อมแล้ว แต่ก็ต้องล้มเลิกเพราะไม่อยากให้วิญญาณมารเทวทูตสีชาดตรวจพบความผิดปรกติ


ภายในโรงงานตัดเย็บ ผู้เฝ้าประตูหนุ่มซึ่งถูกเซารอน·ไอน์ฮอร์น·เมดีซีสิงร่างทำการดึงผ้าคลุมหัวลงต่ำ จากนั้นก็หันหน้ามองไปยังทิศทางหนึ่งด้านนอก


นั่นคือตำแหน่งที่หุ่นเชิดของไคลน์ โจนาส·โคลเกอร์เคยซ่อนตัวอยู่ เป็นจุดที่ห่างจากโรงงานตัดเย็บเกือบหนึ่งกิโลเมตร


หลังจากจดจ้องสองสามวินาที ผู้เฝ้าประตูหนุ่มเผยรอยยิ้มอย่างเด่นชัด


ขณะแพทริค·เบรนเตรียมเปิดปากพูด โดยหวังจะใช้ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของนิกายวิญญาณประจำกรุงเบ็คลันด์เข้าข่มชายหนุ่มที่อาจารย์ส่งมา สัมผัสวิญญาณของมันพลันถูกกระตุ้น มันอดไม่ได้ที่จะหันศีรษะไปยังอาคารอีกหลังหนึ่งของโรงงานด้วยสีหน้าเจือความผวา


บนชั้นสองของอาคาร ดวงตาสีดำไร้อารมณ์คู่หนึ่งกำลังจ้องมองมันจากหลังหน้าต่าง


เปลือกตาของแพทริค·เบรนพลันกระตุก ร่างกายของมันอันตรธานหายไปในพริบตา!


ฟ้าว!


สายลมหนาวพัดผ่านพร้อมกับทำให้กระจกบานดังกล่าวเน่าเปื่อย จากนั้นก็พังครืนกลายเป็นเกล็ดกระจกจำนวนมากโดยที่ไม่มีใครไปแตะต้อง


ภายในห้องดังกล่าว แพทริคในชุดคลุมสีดำซึ่งร่างกายผอมเพรียวและใบหน้าเรียวปรากฏขึ้น มันพบว่าเจ้าของดวงตาสีดำที่คอยจ้องมองอย่างเย็นชา แท้จริงแล้วเป็นตุ๊กตาดินเหนียวที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไม่พิถีพิถัน


ใครเป็นคนสร้างตุ๊กตา… แล้วใครย้ายมาวางที่นี่? แพทริคกวาดตาไปรอบๆ โดยไม่ปล่อยให้มีรายละเอียดใดคลาดสายตา


ขณะมองออกไปยังทางเดินโดยที่หันหลังให้หน้าต่าง ดวงตาสีเข้มของตุ๊กตาดินเหนียวพลันหันกลับหลัง ยกมือขึ้นพร้อมกับคว้าคอแพทริค


แต่ขณะกำลังลงมือ ตุ๊กตาดินเหนียวคล้ายกับสูญเสียพลังงาน รอยปริแตกจำนวนมากปรากฏขึ้นก่อนจะกระจัดกระจายกลายเป็นเศษดิน


แพทริค·เบรนหายตัวไปโผล่ที่ทางเดินและจ้องตุ๊กตาดินเหนียวราวกับอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งมาก


มันกำลังตื่นตระหนกสุดขีด แม้ว่าโลกวิญญาณและโลกแห่งความตายจะเต็มไปด้วยความพิสดารและน่ากลัวเป็นทุนเดิม แต่การที่ตุ๊กตาดินเหนียวมีชีวิตขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยปราศจากอิทธิพลจากภายนอก ถือเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ยาก


ปัจจุบันตุ๊กตาดินเหนียวกลายเป็นเศษผงแน่นิ่ง แพทริค·เบรนจ้องอยู่สักพักก่อนจะยืนยันว่าไม่มีความผิดปรกติเพิ่มเติม


มันเดินทางผ่านโลกวิญญาณและกลับมายังจุดที่เคยประกอบพิธีกรรม


ในเวลาเดียวกัน โลกศพสีดำที่ดูหนักเกิดการถูกผุกร่อนโดยสมบูรณ์ ราวกับถูกฝังอยู่ใต้ดินมานานหลายสิบหลายร้อยปี ส่วนบรรดาสาวกที่หมดสติก็ค่อยๆ ฟื้นกลับมา


แพทริค·เบรนมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบผู้เฝ้าประตูที่อาจารย์ส่งมา รวมถึงไม่ทราบว่าชายหนุ่มคนนั้นหายไปตั้งแต่เมื่อไร


ไม่ได้ถูกส่งมาจับตามองเราหรอกหรือ? ครึ่งเทพเส้นทางมรณาทำได้เพียงฉงน


เมื่อหวนนึกถึงเรื่องน่าขนลุกเกี่ยวกับตุ๊กตาดินเหนียวเมื่อครู่ แพทริค·เบรนไม่มัวรีรอ รีบปลุกเหล่าสาวกให้ตื่นและเก็บกวาดสภาพแวดล้อม


จนกระทั่งจัดการเสร็จ มันได้ยินเสียงหนึ่ง


“โรงงานตัดเย็บที่นี่เป็นของเจ้าใช่ไหม?”


ร่างของแพทริค·เบรนหายไปและโผล่ขึ้นอีกครั้งด้านเจ้าของคำถาม – ผู้เฝ้าประตูหนุ่มที่หายตัวไปสักพัก


“ไม่ใช่” แพทริคขมวดคิ้ว


มันไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ในโรงงานตัวเองแน่ เพราะถ้าเกิดความแตก ทุกสิ่งที่สร้างมาก็จะจบลง


“ก็ไม่โง่เท่าไรนี่…” ผู้เฝ้าประตูหนุ่มพยักหน้า


แพทริคหรี่ตาลงทันที คล้ายกับพยายามข่มโทสะ


“คุณไปไหนมา?”


ผู้เฝ้าประตูหนุ่มยิ้มและตอบ


“ไปเดินเล่นในจุดที่คุ้นเคยและบังเอิญได้เจอเพื่อนเก่า”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1082 : ปุบปับ

 

บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ภายในคฤหาสน์ของดอน·ดันเตส


หลังจากเทเลพอร์ตกลับ ไคลน์ไม่มัวรีรอ มันรีบตั้งแท่นบูชาและประกอบพิธีกรรมสวดวิงวอนมรณา


“พระองค์ผู้เป็นแก่นแท้ของความตาย”


“พระองค์ผู้ปกครองเหนือความตายทั้งปวง”


“พระองค์ผู้เป็นจุดหมายสุดท้ายของทุกสิ่งมีชีวิต”


“ข้าขอสวดวิงวอน ขอให้พระองค์ช่วยบอกวิธีแก้ปัญหาเกี่ยวกับวิญญาณมารเทวทูตสีชาด อีกฝ่ายสิงร่างผู้เฝ้าประตูคนหนึ่งและร่วมมือกับไฮเทล นักบวชระดับสูงของนิกายวิญญาณ ปัจจุบันกลับมาที่เบ็คลันด์ในฐานะผู้ช่วยของแพทริค·เบรน…”


สำหรับเรื่องนี้ ไคลน์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพึ่งพาเทพธิดารัตติกาล


ต่อให้ร่วมมือกับหัวหน้านักบวชแห่งรัตติกาล อาเรียนน่าเพื่อปราบเซารอน·ไอน์ฮอร์น·เมดีซีจนสำเร็จ แต่นั่นก็จะทำให้นักบวชระดับสูงของนิกายวิญญาณตระหนักถึงความผิดปรกติหลังจากผู้ช่วยคนใหม่ของแพทริค·เบรนหายตัวไป และเมื่อมันวิเคราะห์ถึงความเชื่อมโยง คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะพบว่ามีสิ่งผิดปรกติเกิดกับมรณาเทียม จากนั้นก็อาศัยพลังอำนาจในมือ สมบัติวิเศษในมือ และความทะลุปรุโปร่งในเส้นทางเพื่อสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อเทพธิดาและพังพินาศไปทั้งคู่


และถ้าไคลน์ปลอบเทวทูตสีชาดเอาไว้ วิญญาณมารตนนี้ก็จะตรวจพบความผิดปรกติในตัวแพทริค·เบรนได้อย่างรวดเร็ว ด้วยสติปัญญาและข้อมูลที่มันครอบครอง คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะสาวไปถึงต้นตอความผิดปรกติ


ไม่ว่าจะรับมือยังไงก็ล้วนเกิดปัญหา… สมแล้วที่เป็นเทวทูตในขอบเขตสงคราม… ทั้งที่อยู่ในร่างวิญญาณแบบ ‘สามรวมเป็นหนึ่ง’ แต่กลับสามารถสร้างปัญหาที่ไม่มีทางแก้ให้ผู้อื่น… นี่ต้องเป็นแผนที่มันเสนอไฮเทลแน่…


อันที่จริงเราก็มีแผนแบบสุดโต่งเช่นกัน… นั่นคือการทำให้วิญญาณมารเทวทูตสีชาดถูกฆ่าโดยโบสถ์อื่น องค์กรอื่น หรือองค์กรลับอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย… สรุปง่ายๆ ก็คือ ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเทพธิดาไม่สามารถเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ได้… แผนการต้องดำเนินอย่างรอบคอบ…


แต่ความก็คือ จะทำยังไงให้ผู้วิเศษที่ถนัดด้านการวางแผนสุดๆ ตกหลุมพราง… หากแก้ไขได้ไม่ดี ผลเสียจะย้อนกลับมาหาเรา… หลังจากสวดวิงวอนจบ ไคลน์ปล่อยให้ความคิดล่องลอยขณะรอการตอบสนองจากเทพธิดา


ผ่านไปราวสิบวินาที เถ้าถ่านที่เกิดจากการเผาผงสมุนไพรเพื่อทำให้เทพโปรดปรานถูกพัดโดยลมที่มองไม่เห็น ลอยออกจากหม้อและเรียงตัวเป็นคำบนโต๊ะ:


“การมาถึงของเขา… กองทัพและศัสตราทั่วโลกจะลุกฮือ”


หมายความว่ายังไง? เมื่อได้เห็นประโยคที่รู้สึกเหมือนเคยอ่าน ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย


ในฐานะนักทำนาย มันเริ่มตีความ:


เนื่องด้วยปัญหาเกี่ยวกับกษัตริย์ อาณาจักรโลเอ็นจึงเข้าใกล้ภาวะสงครามเต็มที ส่งผลให้เทวทูตสีชาดที่เป็นสัญลักษณ์ของสงครามปรากฏตัว


ซึ่งนั่นหมายความว่า ไม่มีใครสามารถยับยั้งสงครามได้อีกต่อไป


ใครก็ตามที่ก้าวไปถึงลำดับ 1 คนผู้นั้นจะเป็นสัญลักษณ์แทนปรากฏการณ์


ท่ามกลางความคิดมากมาย สายลมล่องหนหยุดลง แท่นบูชาที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกด้วยกำแพงวิญญาณพลันตกอยู่ในความเงียบสงัด


ไม่มีวิวรณ์เพิ่มแล้ว? หลังจากรออีกสักพัก ไคลน์ยืนยันว่าการตอบสนองสิ้นสุดแค่นั้น จึงจบพิธีกรรมและเก็บกวาดแท่นบูชา


จากนั้นมันเดินกลับมานั่งที่โซฟา รอคอยว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นต่อ


ผ่านไปสิบห้านาที มันยังไม่ได้พบกับผู้นำแห่งสำนักชีรัตติกาล หัวหน้าสิบสามอาร์ชบิชอป เทวทูตแห่งการปกปิด อาเรียนน่า


เราไม่ต้องเข้าไปยุ่งกับวิญญาณมารเทวทูตสีชาด ให้ปล่อยมันทำตามอำเภอใจ? หรือพระองค์มีแผนจะลงมือทำบางสิ่ง แต่เราไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมปฏิบัติการ? ว่ากันตามตรง ไคลน์ไม่ใช่สาวกเดนตายของศาสนจักรรัตติกาล ถ้าเทพธิดาบอกว่าไม่ต้องทำอะไร มันก็จะไม่ทำอะไร เพราะไม่เพียงเรื่องนี้จะยุ่งยาก แต่ยังอันตรายมากด้วย


ส่ายหน้าเล็กน้อย ไคลน์หยิบปากกาและกระดาษออกมาเขียนทำนายด้วยความฝัน


สิ่งที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ทำให้มันไม่มัวเอ้อระเหย ต้องรีบหาทางย่อยโอสถจอมเวทพิสดารให้เร็วที่สุด



บนทะเลหมอก ภายในเรือเดินสมุทรลูกผสมเครื่องยนต์ไอน้ำที่อยู่ใกล้กับเรือโจรสลัด


ผู้ชายและหญิงชราต่างถูกมัดมือมัดเท้าและผลักให้อยู่ชิดกราบเรือ จากนั้นโจรสลัดต่างผลักหรือไม่ก็ถีบคนเหล่านั้นลงไปในทะเล


เสียงน้ำกระเด็นมิได้ทำให้โจรสลัดหวั่นไหว ตรงกันข้าม พวกมันหัวเราะร่วนขณะลงมือฆ่าล้างบาง


หลังจากจัดการมัดเชลยเสร็จ พวกมันถือปืนและตะเกียงเดินไปมาบนดาดฟ้า เตรียมดื่มด่ำไปกับการดิ้นรนของเหล่าหนอนแมลงน่าสมเพช


ทว่า ภายใต้แสงไฟที่ส่องลงไป ท้องทะเลสีครามด้านข้างเรือกลับเงียบสงัด ไม่มีใครอยู่ด้านล่างแม้แต่คนเดียว


“พวกมันจมไปแล้ว? เร็วขนาดนี้เชียว?” โจรสลัดโพล่งขึ้นด้วยความประหลาดใจ


หัวหน้ากลุ่มโจรสลัดหมวดคิ้ว กล่าวหลังจากจ้องอยู่สักพัก


“บางทีคงมีสัตว์ทะเลบางตัวและมองไอ้พวกที่บังอาจต่อต้านเป็นอาหารจากทวยเทพ… เป็นโอกาสที่ดี ถ้าพวกเราให้อาหาร มันก็คงไม่โจมตี”


กล่าวจบ หัวหน้าโจรสลัดโบกมือ


“พวกแกทุกคน… เชิญสนุกให้เต็มที่!”


ในฐานะโจรสลัดที่มีประสบการณ์ค่อนข้างมาก มันทราบดีว่าในทะเลเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตประหลาด ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าไปพยายามเค้นหาความจริงหรือเหตุผล และในเมื่อสัตว์ทะเลไม่ทำร้ายลูกเรือ มันก็ไม่ตัวเลือกอื่นนอกจากสรรเสริญเทพวายุสลาตันที่คอยอวยพร จากนั้นก็แสร้งทำเป็นลืมว่ามีสิ่งใดอยู่ใต้ทะเล


หลังจากแบ่งคนมาเฝ้าเวรยามและทำหน้าที่ โจรสลัดที่เหลือเริ่มดื่มอย่างเต็มคราบ กินเนื้อชิ้นโตและร้องรำทำเพลงเสียงดัง นอกจากนั้นยังมีการต่อสู้เพื่อแย่งชิงหญิงสาวที่ถูกจับมัดเป็นเชลย


ท่ามกลางความเอะอะวุ่นวาย หัวหน้าโจรสลัดพาสาวสวยที่มันหมายตาเข้าไปในห้องกัปตัน อดใจรอไม่ไหวที่จะเริ่มขั้นตอนสุดท้ายของงานรื่นเริงในค่ำคืนนี้


กลางดึกสงัด หัวหน้าโจรสลัดที่อ่อนเพลียเหยียดแขนขวาออกไปสัมผัสกับบางสิ่งที่เย็นเยียบ


มันสะดุ้งตื่นทันที อาศัยแสงสว่างจากพระจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่าง มันเห็นท่อนไม้ที่เต็มไปด้วยผิวขรุขระในอ้อมแขน


กิ่งก้านเล็กๆ งอกเงยออกจากท่อนไม้พร้อมกับใบสีเขียว โอบกอดหัวหน้าโจรสลัดเอาไว้ในลักษณะเดียวกับแขนขามนุษย์


โครม!


รูม่านตาหัวหน้าโจรสลัดพลันเบิกกว้าง หลังจากรีบผลักท่อนไม้ออก มันดีดตัวขึ้นจากเตียงและซวนเซถอยหลัง


นี่เรา ‘ทำ’ กับไอ้นี่? ความกลัวครอบงำจิตใจของมันโดยสมบูรณ์ มันไม่แยแสเสื้อผ้า รีบหยิบปืนและดาบวิ่งออกไปจากห้อง


ด้านนอก โจรสลัดคนหนึ่งกำลังยืนเฝ้ายาม


“หัวน่อ มั่วคืนมีควมสุขหมัย…” เมื่อเห็นหัวหน้าปิดประตูออกมา โจรสลัดที่เฝ้ายามรีบถาม


ในทีแรก หัวหน้าโจรสลัดต้องการจะตำหนิเรื่องที่อีกฝ่ายเมาจนพูดไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อจ้องมองอย่างตั้งใจ มันกลับพบว่าด้านในและรอบๆ ปากอีกฝ่ายเต็มไปด้วยเมล็ดข้าวสาลีสีทองอร่าม กระทั่งบนลิ้นก็ยังมีเมล็ดข้าวเรียงสวย


หัวหน้าโจรสลัดพลันเย็นไปถึงกระดูกสันหลัง หนังหัวคันยุบยิบ


ทันใดนั้น ประตูห้องฝั่งตรงข้ามทางเดินเปิดออกในเวลาเดียวกัน โจรสลัดคนหนึ่งร้องสะอื้น


“ห…หัวหน้า! ม…มีเห็ดขึ้นตรงนั้นของฉัน!”


กล่าวจบ โจรสลัดวิ่งออกมาจากห้อง


ในเวลาเดียวกัน มันรู้สึกคันตา จึงยกมือขึ้นมาขยี้ตาขวา


ขณะขยี้ เถาวัลย์สีเขียนขุ่นค่อยๆ งอกออกจากช่องว่างระหว่างเบ้าตาและลูกตา ปลายเถามีองุ่นสีแดงเข้มหนึ่งผล


รอบผลองุ่นมีตุ่มเนื้อมนุษย์จำนวนมากห้อมล้อม


“…” เมื่อเห็นฉากรอบตัว หัวหน้าโจรสลัดเอาแต่ยืนแข็งทื่อ ซักถามด้วยเสียงที่ไม่เหมือนกับตัวเอง “พวกแก… เกิดอะไรขึ้นกันแน่…”


ขณะยังคงขยี้ตา โจรสลัดที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกล่าวโดยไม่คิดมาก


“เงาดำที่คล้ายกับแท่งไม้แทงใส่ฉัน!”


“ท… ท่างมั๊ย…” โจรสลัดที่มีเมล็ดข้าวสาลีอยู่เต็มลิ้นตอบ


มันถูกหัวหน้าโจรสลัดบังไว้ จึงมองไม่เห็นรูปลักษณ์อันน่าสยดสยองของพวกพ้อง


หัวหน้าโจรสลัดเริ่มสั่นระริกอย่างมิอาจหักห้าม จากนั้นวิ่งออกจากเขตห้องโดยสารตามสัญชาตญาณ


ทันใดนั้น มันเห็นเงาดำที่คล้ายกับแท่งไม้พุ่งออกจากผนังด้านข้าง กระแทกร่างกายอย่างแม่นยำ


เงาดำดังกล่าวไหววูบก่อนจะหายไป ราวกับเป็นฝันร้ายที่สมจริง


หัวหน้าโจรสลัดที่ตอบสนองได้ช้าไปหนึ่งจังหวะรีบยกมือขึ้นเพื่อต้องการปัดป้อง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันการ


จากนั้นมันรีบสำรวจตัวเองด้วยความแตกตื่น แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปรกติ


“โชคดี… โชคยังดี…” หัวหน้าโจรสลัดถอนหายใจโล่งอก


แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียง มันได้ยินเสียงที่คลุมเครือดังขึ้น


“โชคดี… โชคยังดี…”


คล้ายกับเสียงนี้ดังจากภายในร่างกายของมันเอง!


รูม่านตาหัวหน้าโจรสลัดพลันเบิกกว้าง จากนั้นก็รีบเลิกเสื้อขึ้นตามสัญชาตญาณ


มันพบรอยแยกสามจุดบนหน้าอก ใหญ่หนึ่งและเล็กสอง


ฟันซี่ขาวเรียงรายอย่างเป็นระเบียบภายในรอยแยกใหญ่ และมีดวงตาโผล่ขึ้นจากรอยแยกเล็ก


หนึ่งปากและสองตา!


หัวหน้าโจรสลัดมีตากับปากอยู่กึ่งกลางหน้าอก!


“ม่ายยยยยยย!”


เสียงแหกปากดังกังวานไปทั่วเรือ อัดแน่นไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเต็มเปี่ยม


ภายในสิบห้านาทีถัดมา โจรสลัดบางคนเสียสติและเริ่มฆ่าพวกพ้อง บางคนหนีกลับไปที่เรือตัวเองสำเร็จ แต่กลับต้องพบว่าคนบนเรือกลายพันธุ์ไปหมดแล้ว จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกระโดดลงทะเลอย่างสิ้นหวัง


จนกระทั่งเหตุการณ์สงบลง บนเรือเหลือโจรสลัดเพียงกว่าสิบคนที่ไม่เผชิญความปรกติ ทุกคนหลบอยู่ในห้องด้วยอาการสั่นกลัวและลำตัวส่งกลิ่นเหม็นจากของเสีย


ผ่านไปอีกสักพัก โจรสลัดเริ่มทยอยเดินออกจากห้องโดยสารทีละคน


พวกมันจ้องมองที่เกิดเหตุอย่างไม่เชื่อสายตา บ้างขอบคุณพระเจ้า บ้างเอาแต่ยืนเหม่อ



เช้าตรู่ของอีกวัน ไคลน์ลุกขึ้นจากเตียงและล้างหน้า


ขณะกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความช่วยเหลือจากบุรุษรับใช้เอ็นยูน มันเห็นพ่อบ้านวอลเตอร์ซึ่งเมื่อวานลากลับไปอยู่กับครอบครัว เดินมาที่หน้าประตูห้องและกล่าว


“นายท่าน บิชอปอีเล็คตร้ามาเยี่ยม”


“…พาเข้าไปรอที่ห้องรับแขกและจัดหาซิการ์ให้” ไคลน์ผงะเล็กน้อยก่อนจะตอบ


มันสงสัยว่านี่อาจเป็นการตอบสนองระลอกหลังจากเทพธิดา


วอลเตอร์หันหลังกลับและเดินลงไปข้างล่างเพื่อจัดแจง แต่เพียงไม่นานก็ย้อนกลับมาและรายงาน


“นายท่าน บิชอปอีเล็คตร้ากล่าวคำอำลาและกลับไปแล้ว เขากล่าวว่าคุณต้องแวะไปที่วิหารนักบุญแซมมวลในตอนเช้าให้ได้ ทางศาสนจักรและรัฐบาลต้องการร่วมกันซ้อมรับมือการโจมตีทางอากาศ”


“ซ้อมรับมือการโจมตีทางอากาศ…?” ไคลน์ขมวดคิ้ว


ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณของมันถูกกระตุ้น จึงรีบหันไปมองทางหน้าต่าง


บนท้องฟ้า เรือเหาะสีน้ำตาลเข้มกำลังบินตรงมาในลักษณะเรียงรายเป็นทิวแถว


เรือเหาะเหล่านี้มีตราสัญลักษณ์เป็นแถบสีแดง ขาว และเหลืองในแนวเฉียง – ธงของฟุซัค!


ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์เข้าใจทันทีว่าตนมองข้ามสิ่งใดไป


สงครามไม่จำเป็นต้องเริ่มโดยอาณาจักรโลเอ็น!


องค์กรลับที่เก่าแก่ย่อมมีสมาชิกระดับสูงแฝงตัวอยู่ในทุกชาติ ไม่อย่างนั้นคงมิอาจจัดแจงสถานการณ์ของโลกใบนี้ได้อย่างครบถ้วน!

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1083 : เบ็คลันด์โกลาหล

 

แม้ทะเลโซเนียจะไม่ค่อยมีหมอกหนาเหมือนกับทะเลหมอก แต่ถ้าเป็นทางแถบเหนือ ในฤดูหนาวและใบไม้ร่วงก็มักมีหมองบางๆ ให้เห็น


โทสะสีครามของอัลเจอร์·วิลสันกำลังแล่นอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีหมอกจางๆ ปกคลุม ไต่ไปตามขอบเกาะโซเนียเพื่อมุ่งหน้ากลับชายฝั่งโลเอ็น


มันใช้เวลาอยู่ในแถบเหนือของทะเลโซเนียค่อนข้างนานแล้ว จึงถึงคราวต้องกลับไปรายงานโบสถ์ตามกำหนดการ


ท่ามกลางหมอกจาง เรือผีสิงแล่นตรงไปอย่างต่อเนื่อง บ้างโผล่บ้างหาย ราวกับความฝันไม่หลงทิ้งร่องรอย


อัลเจอร์ที่ถูกห่อหุ้มด้วยสายลมกำลังลอยตัวภายในห้องกัปตันและชื่นชมโลกสีขาวด้านนอกหน้าต่าง ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปอย่างไร้ทิศทาง


ทันใดนั้น ดวงตาของมันพลันหดเกร็งพร้อมกับมีแสงสีเงินสว่างขึ้นในรูม่านตา อัลเจอร์มองเห็นเรือใบลำใหญ่กำลังแล่นผ่านหมอกหน้าเบื้องหน้าในระยะไกลด้วยความเงียบเชียบ


และไม่ได้มีแค่ลำเดียว ด้านหลังยังมีเรือแบบเดียวกันแล่นตามมาหนึ่งลำ สองลำ สามลำ จนกระทั่งกลายเป็นกองเรือขนาดใหญ่ในระยะไกล


กองทัพเรือโซเนียของฟุซัค… พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว… กำลังมุ่งหน้าไปไหน? ฝ่าเท้าอัลเจอร์ร่อนลงมาสัมผัสพื้น


มันรีบหันไปมองในอีกทิศทางหนึ่ง เป็นตำแหน่งที่เกาะโซเนียตั้งอยู่


หลังจากแลกเปลี่ยนข้อมูลกับชุมนุมทาโรต์หลายครั้ง อัลเจอร์พบจะทราบว่าสถานการณ์โลกกำลังตึงเครียด สงครามสามารถปะทุขึ้นได้ทุกขณะ มันรีบเชื่อมโยงข้อมูลและผุดสมมติฐานทันที


สำหรับทั้งจักรวรรดิฟุซัคและอาณาจักรโลเอ็น เกาะโซเนียเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาก หากถูกโลเอ็นยึดครองกองทัพเรือตะวันออกของฟุซัคจะถูกขังอยู่ในทะเลเหนือที่หนาวเย็น หมดสิทธิ์แก่งแย่งดินแดนอาณานิคมในทะเลโซเนียทั้งหมด และไม่สามารถเดินทางไปยังไบลัมตะวันออก นอกจากนั้น หากพวกมันประกาศสงครามกับโลเอ็น การส่งกองทัพมารุกรานแผ่นดินใหญ่ของโลเอ็นจะกลายเป็นเรื่องยากมาก เพราะต้องข้ามเทือกเขาอมานด้าหรือไม่ก็แคว้นเลียบทะเล ต้องผ่านแนวป้องกันของหลายแคว้น


แต่ถ้าจักรวรรดิฟุซัคยึดครองเกาะโซเนียสำเร็จ พวกมันสามารถใช้จุดนี้เป็นฐานการโจมตีท่าเรือทั้งหมดของโลเอ็นในภาคเหนือและภาคกลาง หนึ่งในนั้นคือท่าเรือเอ็นมาร์ตและท่าเรือพริสต์ และถ้าผู้บัญชาการสงครามของฟุซัคไม่เกรงกลัวการสูญเสีย พวกมันสามารถรุกคืบจากท่าเรือพริสต์ขึ้นฝั่งมาโจมตีเมืองหลวงอย่างเบ็คลันด์ได้โดยตรง


ที่เป็นเช่นนี้เพราะใน ‘สงครามยี่สิบปี’ จักรวรรดิฟุซัคเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะและยึดครองดินแดนสำคัญทางตอนใต้ของโลเอ็นไป


และใน ‘ศึกตระบัดสัตย์’ อาณาจักรโลเอ็นอาจเป็นฝ่ายได้รับใช้ชนะ แต่ก็ล้มเหลวในการทวงดินแดนซึ่งเป็นเหตุผลหลักของสงคราม เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเพียงครึ่งเดียว


อัลเจอร์จ้องมองฉากตรงหน้าสักพักก่อนจะพึมพำ


“หรือสงครามกำลังจะปะทุ?”



กรุงเบ็คลันด์ กองเรือเหาะของฟุซัคแล่นเข้าสู่น่านฟ้าเขตเหนือและรุกล้ำมหานครแห่งนี้สำเร็จ


ในวินาทีที่พวกมันขยับเข้าใกล้ ดูเหมือนว่ามหาวิหารวายุศักดิ์สิทธิ์ได้เตรียมการบางอย่างไว้ล่วงหน้า สายลมหวีดร้องเสียงดังพร้อมกับการพุ่งขึ้นไปบนฟ้าของ ‘ลมเฉือน’ สีน้ำเงินเข้มขนาดมหึมา ถล่มใส่เป้าหมายประหนึ่งการระดมยิงด้วยจรวดต่อต้านอากาศยาน


เมื่อเห็นว่าลมเฉือนขนาดยักษ์กำลังจะพุ่งปะทะถุงลมของเรือเหาะ ม่านบาเรียล่องหนพลันปรากฏกาย สกัดกั้นการโจมตีไว้ได้ทั้งหมด


ท่ามกลางการโหมกระหน่ำที่ดุเดือด ‘กำแพง’ ล่องหนสั่นไหวรุนแรง แต่สุดท้ายก็ต้านทานไว้ได้


ขณะเดียวกัน กลไกในจุดติดตั้งปืนใหญ่และปืนกลบนเรือเหาะเริ่มทำงาน ปากกระบอกลอดออกมาจากช่องว่างและเล็งลงไปยังด้านล่าง


บึ้ม! บึ้มบึ้มบึ้ม!


ขณะพายุเฮอร์ริเคนรอบๆ มหาวิหารวายุศักดิ์สิทธิ์เริ่มก่อตัว เสียงระเบิดที่ดังสนั่นกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง


ท่ามกลางลมพายุที่เกรี้ยวกราด กองเรือเหาะเปรียบดังเรือใบลำเล็กที่แล่นปะทะเข้ากับคลื่นยักษ์ลูกเท่าภูเขา หมิ่นเหม่จะถูกซัดจนคว่ำ


ทันใดนั้นเอง แสงสีเลือดผสมสนิมพลันสว่างวาบจากเรือเหาะที่บินนำมา แสงดังกล่าวปกคลุมรอบเรือเหาะทุกลำราวกับจะเรียงร้อยเข้าด้วยกัน


เพียงพริบตา กองเรือเหาะของฟุซัคสามารถรักษาสมดุลภายในพายุเฮอร์ริเคน มิได้เป็นเพียงเรือใบท่ามกลางคลื่นยักษ์อีกต่อไป


และพลังเส้นทางนักบวชสีชาดในลำดับสูงเกิดมาเพื่อสงคราม และสงครามคือศาสตร์แห่งการระดมพล!


นี่คืออำนาจของ ‘นักบวชสงคราม’ !


หลังจากป้องกันการโจมตีระลอกแรกไว้ได้ กองเรือเหาะของฟุซัคอาศัยช่องว่างระหว่างระลอก รีบเปิดท้องเรือพร้อมกับทิ้งระเบิดลงไป


และท่ามกลางพายุ ไม่มีใครสามารถคาดเดาจุดตกของระเบิดได้


บึ้ม! บึ้มบึ้ม!


ปากกระบอกปืนใหญ่เองก็เริ่มส่องแสงและแสดงฤทธิ์เดชเพื่อเทิดทูนเกียรติยศของเทพสงคราม


กองเรือเหาะไม่มีเจตนาจะบินไปทั่วกรุงเบ็คลันด์ หลังจากรุกล้ำเขตเหนือได้เล็กน้อย พวกมันบินตรงไปยังเขตตะวันตกทันที เพราะที่นั่นคือศูนย์กลางการเมืองและการบริหารของอาณาจักรโลเอ็น



เขตเหนือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเบ็คลันด์


ใบเมเปิ้ลอินทิสกำลังโยนเอนไปตามสายลม นักเรียกที่บ้างสะพายเป้ บ้างถือกระเป๋า เดินสวนกันไปมาภายในมหาวิทยาลัย


ในฐานะสมาชิกของสถาบันอุดมศึกษา ในฐานะนักศึกษารุ่นแรกของมหาวิทยาลัยที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ หนุ่มสาวเหล่านี้ล้วนเปี่ยมไปด้วยความกระฉับกระเฉง หลายคนมองไปถึงอนาคตอันสดใสในวันข้างหน้า จึงนัดรวมตัวกันทุกวันเพื่อทำกิจกรรมจำพวก แบ่งปันแนวคิด ท่องกวี และทำการวิจัยทางเทคโนโลยี ทุกคนเปี่ยมไปด้วยความสุขและความสดใส


เมลิสซ่า·โมเร็ตติเดินสวนกับเด็กไฟแรงเหล่านี้พลางแหงนหน้ามองนาฬิกาแขวนบนอาคารหลัก สองขาเร่งความเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว


เธอกำลังจะไปช่วยอธิการบดีโมมงต์จัดเตรียมงานเปิดตัวห้องปฏิบัติการเครื่องกล


สิ่งนี้ทำให้เธอมีความสุขอย่างมาก มันคือแหล่งความสุขในทุกๆ วัน เมลิสซ่ารู้สึกว่าชีวิตมหาวิทยาช่างงดงามและเพื่อนร่วมชั้นก็น่ารัก


โดยไม่รู้ตัว เมลิสซ่าหันไปมองหัวรถจักรไอน้ำที่ตั้งอยู่กึ่งกลางจัตุรัสภายในมหาวิทยาลัย ขนาดของมันใหญ่โต ความซับซ้อนของมันคือเสน่ห์ที่น่าหลงใหลของศาสตร์แห่งกลไก


มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยแวะเวียนมาที่นี่และทำการเคาะหรือทุบเบาๆ รวมถึงวิเคราะห์หาหลักการทำงาน แม้ทางมหาวิทยาลัยไม่ได้มีข้อห้ามกำหนดไว้ แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนให้ทำ


เมลิสซ่ายกมุมปากขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถอนสายตากลับ


ทันใดนั้น วัตถุสีเทาโลหะตกจากท้องฟ้าลงมายังกึ่งกลางจัตุรัส


บึ้ม!


แผ่นดินสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับการแตกละเอียดของกระจกอาคารหลัก หากไม่ใช่เพราะยืนอยู่ห่างมาก เมลิสซ่าเองก็คงลอยไปในอากาศ


ดังกรีดร้องดังขึ้นตามมา และเฉกเช่นนักเรียนคนอื่น เมลิสซ่าวิ่งหนีไปด้วยความแตกตื่นโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


เธอเพิ่งจะอายุสิบหกเท่านั้น ย่อมไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้


ฝุ่นควันที่พวยพุ่งขึ้นฟ้าเริ่มสงบลง หลังจากแอบอยู่หลังต้นไม้สักพัก เมลิสซ่ามองไปยังจุดที่เกิดระเบิดโดยไม่รู้ตัว


สีหน้าของเธอพลันแข็งทื่อ ดวงตากลายเป็นหมองหม่น


หัวรถจักรไอน้ำกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เศษชิ้นส่วนต่างๆ กระเด็นไปทุกทิศทาง


นักศึกษาที่กำลังมุงรอบหัวรถจักรจนถึงเมื่อครู่ รวมถึงคนที่เดินผ่านไปมา ทั้งหมดล้มลงไปบนพื้นด้วยร่างกายที่ไม่ปะติดปะต่อ ส่วนใหญ่ระบบทางเดินหายใจหยุดทำงานโดยสมบูรณ์ บ้างชุ่มเลือด บ้างไหม้เกรียม และบ้างส่งเสียงร้องโอดโอย


ฉากตรงหน้าเป็นราวกับภาพวาดสีน้ำมันที่ดูไม่สมจริง เมลิสซ่าจ้องมองด้วยสายตาเหม่อลอยและทำอะไรไม่ถูก


คาร์เตอร์ เมลิสซ่ารู้จักนักศึกษาชายที่ขยันค้นคว้าคนนั้น ทุกครั้งที่ทุกคนมารวมตัวกันพูดถึงอนาคต คาร์เตอร์จะยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าตนจะกลายเป็นวิศวกรเรือให้ได้ แต่ในวินาทีนี้ ร่างกายของมันกลับเหลือเพียงครึ่งเดียว ลำไส้ไหลทะลักออกมาเต็มพื้น


ยูร่า เพื่อร่วมภาควิชาของเมลิสซ่า แม้จะเรียนด้านเครื่องจักร แต่เธอก็ชอบการแต่งกลอนและเขียนกวีอย่างมาก แถมยังมีพรสวรรค์เปี่ยมล้น ผู้คนรอบข้างล้วนชื่นชอบยูโดร่า และเมลิสซ่าเองก็มักจะหาเวลาไปฟังอีกฝ่ายท่องกวีเสมอ เธอเคยมองว่าเพื่อนคนนี้น่ารักและมีเสน่ห์ แต่ตอนนี้ขาของยูโดร่ากลับกำลังผิดรูปอย่างรุนแรง ปากส่งเสียงครวญครางในสภาพไม่ได้สติ



เพียงไม่กี่วินาที อนาคตของคนเหล่านี้พลิกผันอย่างโหดร้าย


จนกระทั่งอาจารย์หลายคนวิ่งออกมาจากตึก เริ่มช่วยเหลือและอพยพคนเจ็บ เมลิสซ่าได้สติกลับมาและรีบวิ่งเข้าไปหาอาจารย์


“ฟังทางนี้! พวกคุณทุกคนแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งวิ่งไปทางห้องปฏิบัติการ อีกกลุ่มวิ่งไปทางวิหารดีนีซ ทั้งสองแห่งมีห้องใต้ดินให้ซ่อนตัว” อาจารย์คนหนึ่งซึ่งกำลังมีสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด แต่ก็ยังกัดฟันจัดระเบียบนักศึกษาอย่างเสียงดังฟังชัด คล้ายกับถูกฝึกอบรมในสถานการณ์เช่นนี้อย่างเข้มงวด


เมื่อมองไปรอบๆ ตัวและพบว่านักศึกษาไม่กล้าแยกกับกลุ่มอาจารย์ มันรีบตะโกน


“ไม่ต้องกังวล เรือเหาะของศัตรูแล่นไปทางเขตตะวันตกเรียบร้อยแล้ว ที่นี่จะปลอดภัย”


คำพูดของมันดังท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังแว่วมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้


เขตตะวันตก… ที่นั่นมีรัฐสภา กระทรวง และศาลากลาง… หลังจากได้ยินคำอธิบาย เมลิสซ่าครุ่นคิดหลายสิ่ง


ดวงตาของเธอไหววูบหนึ่งครั้ง ก่อนจะเม้มปากแน่นและวิ่งไปทางประตูมหาวิทยาลัยโดยไม่สนใจคำแนะนำของอาจารย์ด้านหลัง


หลังจากวิ่งเลียบไปตามจุดที่มีกำแพง เมลิสซ่ามาถึงถนนใหญ่ เธอหายใจหอบก่อนจะมองไปรอบๆ ตัวเพื่อระบุทิศทาง


ทันใดนั้น หญิงมองเห็นทางเข้ารถไฟใต้ดินที่อยู่ไม่ห่างออกไป ถึงแม้จะสั่นกลัว แต่เมลิสซ่าก็ยังไม่ลืมสิ่งที่อาจารย์เพิ่งพูด


“…ใต้ดินที่สามารถซ่อนตัว!”


รถไฟใต้ดินก็คือใต้ดินไม่ใช่หรือไง? การทิ้งระเบิดเพิ่งเริ่มขึ้น ระบบรถไฟใต้ดินยังไม่น่าจะหยุดทำงาน… ท่ามกลางกระแสความคิด เมลิสซ่าวิ่งตรงไปยังทางเข้าซึ่งมีร่องรอยของระเบิด


เมื่อลงไปถึงใต้ดิน เธอพบว่าผู้คนบางตากว่าที่คิดไว้พอสมควร ดูเหมือนว่าคนธรรมดาที่ไม่เคยผ่านการฝึกจะคิดไม่ถึงเรื่องนี้


รถไฟฟ้าใต้ดินยังไม่หยุดวิ่ง แต่คนตรวจตั๋วไม่อยู่แล้ว หลังจากเมลิสซ่าอดทนรอสักพัก รถไฟแล่นมาจอดและผู้คนต่างก็วิ่งแย่งกันขึ้นไป


จนกระทั่งผ่านไปสามป้าย รถไฟจอดที่สถานีถนนหลวงราชา เมลิสซ่ารีบเบียดเสียดลงจากรถ


เรี่ยวแรงของเธอฟื้นคืนมาบ้างแล้ว หญิงสาวรีบวิ่งขึ้นบันไดเพื่อไปให้ถึงข้างบนโดยเร็ว


ทันใดนั้น สิ่งที่เธอได้เห็นคือความโกลาหล อาคารหลายหลังพังทลายและลุกท่วมด้วยเปลวไฟสีแดง ศพชุ่มเลือดกระจัดกระจายอยู่ทั่ว เธอได้ยินเสียงร่ำไห้ กรีดร้อง และคำสั่ง


ฉากตรงหน้าทำให้เมลิสซ่าตัดสินใจเร่งความเร็วด้วยความกระวนกระวาย ปลายทางคืออาคารสี่ชั้นซึ่งเป็นที่ตั้งของกระทรวงการคลัง


ทว่า บริเวณดังกล่าวถูกปิดตายไปแล้ว มองเห็นเพียงบานกระจกที่แตกร้าวหลายจุด ตามผนังเต็มไปด้วยรอยกระสุนและคราบระเบิด


เมลิสซ่าพยายามหาทางอ้อมเข้าไป แต่สุดท้ายก็ถูกห้ามไว้โดยทหารที่เคร่งครัดในคำสั่ง ผลลัพธ์เช่นนี้ยิ่งทำให้ดวงตาของเธอทวีความแดงก่ำ


ทันใดนั้น เธอเห็นร่างหนึ่งที่คุ้นเคย ไม่ใช่ใครนอกจากเบ็นสันผู้ไม่สวมหมวก เจ้าของเส้นผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาล


เมื่อเห็นเมลิสซ่า เบ็นสันรีบวิ่งเข้ามาหา มันจ้องด้วยสายตาเป็นกังวลเจือความโกรธ จากนั้นก็ตำหนิ


“วิ่งมาที่นี่ทำไม? ทำไมไม่ซ่อนอยู่ใต้ดิน! ฉันปลอดภัยดี! เร็วเข้า ตามฉันมา!”


นายก็ไม่ได้ลงไปใต้ดินเหมือนกันนี่… เมลิสซ่าที่ไม่เคยถูกพี่ชายตะโกนตำหนิ ต้องการจะโต้แย้งกลับไป แต่ก็ทำไม่ได้เพราะดวงตาพร่ามัว


“ฟู่ว…” หลังจากตำหนิเสร็จ เบ็นสันถอนหายใจและกล่าวด้วยเสียงที่อ่อนโยนขึ้น “เธอปลอดภัยก็ดีแล้ว เร็วเข้า ตอนนี้ไม่ใช่เวลามัวเตร็ดเตร่อยู่บนถนน”


ได้ยินประโยคดังกล่าว ความตื่นตระหนกและกังวลของเมลิสซ่าพลันบรรเทาลงหลายส่วน เธอเชื่อจากก้นบึ้งหัวใจว่า ถ้าต้องตายไปตอนนี้ เธอจะไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย เพราะตนจะไม่ได้ถูกทิ้งไว้ที่บ้านตามลำพัง


ในเวลาเดียวกัน ระเบิดซึ่งถูกพายุเฮอร์ริเคนพัดได้ลงตกลงในละแวกดังกล่าว


แต่เพียงพริบตา ระเบิดกลับเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน หักเหไปในแนวเฉียงจากวิถีเดิม


บึ้ม!


มันระเบิดกลางอากาศพร้อมกับสร้างสายลมที่รุนแรง

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1084 : สงครามกับผู้คน

 

บึม! บึม!


ภายในบ้านเลขที่ 17 ถนนมินส์ เขตเชอร์วู้ด นายหญิงของบ้าน สตาร์ลิ่ง·ซาเมอร์และสาวใช้ของเธอต่างได้ยินเสียงระเบิดจากระยะไกล พวกเธอที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมห้องต่างสัมผัสได้ว่าผืนดินกำลังสั่นสะเทือน


จนกระทั่งผ่านไปสักพัก ความรุนแรงของสถานการณ์เริ่มบรรเทาลง สตาร์ลิ่งพยุงตัวขึ้นและเหลียวซ้ายแลขวาด้วยจิตใจที่ตึงเครียด


“เกิดอะไรขึ้นกันแน่…”


สาวใช้ทั้งสองคนต่างพากันส่ายหน้า พวกเธอต่างก็ฉงนและกลัวไม่ต่างกัน


หลังออกจากมุมห้อง สตาร์ลิ่งต้องการเดินออกไปพูดคุยกับเพื่อนบ้านตามความเคยชินเพื่อยืนยันในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เธอกังวลว่าเหตุการณ์เมื่อครู่อาจวกกลับมาเกิดซ้ำ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากเดินวนเวียนไปมาในห้องนั่งเล่น


ผ่านไปหลายนาที สตาร์ลิ่งได้ยินเสียงเปิดประตูหน้าบ้าน จึงรีบหันไปมองและได้ทราบว่าสามีของเธอ ลุค·ซาเมอร์กลับมาถึงบ้านพร้อมกับบุรุษรับใช้ส่วนตัว


“คุณไม่ไปทำงานหรือ” สตาร์ลิ่งถามตามสัญชาตญาณ


ลุคที่ร่างกายกำยำตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“แค่เกือบจะถึง จากนั้นก็ต้องรีบกลับมา… รีบใส่เสื้อนอกเร็วเข้า พวกเราจะไปที่วิหาร!”


“ก… เกิดอะไรขึ้น?” สตาร์ลิ่งถามย้ำ


ลุคเดินไปข้างหน้าสองก้าว


“กองเรือเหาะของฟุซัคกำลังทิ้งระเบิดใส่เบ็คลันด์!”


“ได้ยังไง… มันเป็นไปได้ยังไง?” ดวงตาสตาร์ลิ่งเบิกกว้างอย่างคลางแคลง


“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาถามถึงเหตุผล ไม่ว่าจะเพราะเหตุใด แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว และพวกเราต้องรีบไปที่วิหารทันที!” ลุคสวมกอดภรรยา “ไม่ต้องกังวลไปนัก ผมเชื่อว่าเรือเหาะเหล่านั้นจะไม่มาที่นี่”


“ตกลง… ตกลง!” สตาร์ลิ่งขานตอบด้วยความตื่นตระหนก


เธอสวมเสื้อนอกที่สาวใช้นำมาให้ จากนั้นก็กล่าวด้วยความกังวล


“แล้วลูกๆ ล่ะ?”


“พวกเขาอยู่ที่โรงเรียนของศาสนจักร คงมีคนคอยพาเข้าไปในหลุมหลบภัย… พวกเราไม่มีเวลาแวะไปหาพวกเขา” ลุคกล่าวอย่างใจเย็น


“ตกลง” สตาร์ลิ่งทำท่าสวดวิงวอนโดยหวังว่าเทพที่ตนศรัทธาจะยื่นมือช่วยเหลือ


สองสามีภรรยารวมถึงคนรับใช้รีบออกจากบ้านและตรงไปยังท้ายถนน


หลังผ่านบ้านเลขที่ 58 หญิงสาวกระซิบกระซาบ


“ก่อนหน้านี้ฉันเคยหัวเราะเยาะทนายความเยอร์เก้นที่ยอมละทิ้งโอกาสในเบ็คลันด์และย้ายไปอยู่ทางใต้เพียงเพราะปัญหาด้านสุขภาพของมาดามดอริส… แต่ตอนนี้ ฉันชักจะอิจฉาพวกเขาขึ้นมาแล้ว”


ลุคที่ชำเลืองมาครู่หนึ่งกล่าวขึ้น


“ไม่ต้องแตกตื่น ทุกอย่างจะดีขึ้น”


ขณะสตาร์ลิ่งเริ่มเร่งความเร็วในการเดิน เธออดไม่ได้ที่จะถาม


“ลุค… พวกเราหนีออกจากเบ็คลันด์กันไหม”


“ไม่ นั่นไม่จำเป็น!” ลุคยืนกรานหนักแน่น “นี่ก็แค่เหตุสุดวิสัย”


เมื่อเห็นภรรยาทำหน้าฉงน มันเสริม


“กรุงเบ็คลันด์คือเมืองหลวงของอาณาจักร ย่อมมีมาตรการป้องกันในระดับสูงสุดอยู่แล้ว วันนี้ก็แค่เหตุสุดวิสัยที่ไม่มีใครคาดคิด ไม่มีครั้งหน้าสำหรับพวกฟุซัคอีกแล้ว! อาณาจักรของเรามีกองทัพที่เกรียงไกรที่สุดในทวีปเหนือใต้ พวกฟุซัคจะได้รับบทเรียนแน่ ไม่มีทางที่พวกมันจะรุกรานเบ็คลันด์สำเร็จเป็นหนที่สอง หลังจากวันนี้ ที่นี่จะปลอดภัยที่สุดในโลก”


“นั่นสินะ…” สตาร์ลิ่งพบว่าคำพูดของสามีฟังขึ้น จึงเชื่อโดยไม่มัวคิดมาก


อธิบายจบ ลุคเงียบงันสองสามวินาที


“แต่พวกเราก็ต้องเตรียมตัวไว้บ้าง ถ้าศาสนจักรอนุญาตให้เคลื่อนไหวได้อีกเมื่อไร พวกเราจะพาลูกๆ กลับมาและตุนอาหาร… ตุนให้มากที่สุดเท่าที่จะซื้อไหว!”



ย่านสะพานเบ็คลันด์ ในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง


เนื่องจากอยู่ค่อนข้างไกล เดซีย์และเพื่อนร่วมชั้นเรียนย่อมไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในเขตเหนือและเขตตะวันตก และไม่ทราบว่ามีความโกลาหลเกิดขึ้นในเขตฮิลสตันถึงเชอร์วู้ด


แต่ถึงอย่างนั้น ครูจำนวนหนึ่งเดินมาที่ห้องและพาพวกเธอต่อแถวเข้าไปในวิหารใกล้เคียง


เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้เดซีย์หวนนึกถึงโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์เมื่อปีที่แล้ว เพราะตอนนั้นก็ถูกพามาหลบในวิหารข้างโรงเรียนเหมือนกัน


ห…เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นซ้ำรอยหรือ? บาดแผลในใจทำให้ร่างกายของเดซีย์สั่นระริกไปด้วยความโกรธเจือความเศร้า


เมื่อเดินผ่านประตูห้องเรียน เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะหันไปมองครูและถาม


“ภัยพิบัติเกิดขึ้นอีกแล้วหรือคะ?”


“น่าจะ…” ครูเองก็ไม่ทราบสถานการณ์ที่แน่ชัด เพราะแค่ทำตามระเบียบการที่ส่งมาทางโทรเลข


“มีภัยพิบัติแบบนี้ทุกปี… ในอนาคตจะมีมากกว่าปีละครั้งไหมคะ?” เดซีย์ถามด้วยน้ำเสียงล่องลอยเจือความไร้เดียงสา


ครูคนดังกล่าวจ้องเธอด้วยสายตาเอ็นดูและส่ายหน้า


“เรื่องร้ายๆ จะผ่านไป… พระองค์คอยปกป้องพวกเราทุกคนเสมอ”


เดซีย์ไม่มัวรีรอ รีบเดินตามกลุ่มเพื่อนเข้าไปในวิหารใกล้เคียงด้วยท่าทีเหม่อลอย



เขตเหนือ อาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์


หลังจากได้ยินเสียงระเบิด ออเดรย์ซึ่งอยู่ในตึก ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ รีบสร้างเกล็ดมังกรขึ้นมาใต้ผิวหนังและวิ่งไปทางหน้าต่าง


เมื่อเห็นเรือเหาะที่ติดธงฟุซัคลอยอยู่บนฟ้าและทิ้งระเบิดซึ่งในภายหลังถูกพายุพัดกระจัดกระจาย บ้างระเบิดบนพื้น บ้างหายไปราวกับหลุดเข้าไปในโลกวิญญาณ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจหญิงสาว เป็นคำพูดที่เดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์เคยกล่าวเอาไว้ ขณะเดียวกันก็เป็นภารกิจที่สมาคมแปรจิตสั่งให้เธอสืบข้อมูล


สงครามปะทุขึ้นแล้ว!


หญิงสาวหันไปกล่าวกับโกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่ ซูซี่ สาวใช้ส่วนตัว แอนนี่ และคนอื่นๆ ว่า:


“รีบเข้าไปหลบในวิหารนักบุญแซมมวลเร็วเข้า!”


แม้ออเดรย์จะไม่รู้วิธีรับมือกับการโจมตีทางอากาศ แต่การศึกษาในวัยเด็กได้สอนไว้ว่า หากเผชิญเหตุการณ์อันตราย สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเข้าไปหลบในวิหารใกล้เคียงให้เร็วที่สุด


อันที่จริงเธอต้องการจะปรี่กลับบ้านในเขตราชินีเพื่อปกป้องแม่ แต่เมื่อพิจารณาว่าแอนนี่และเจ้าหน้าที่คนอื่นไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องทำนองนี้ หญิงสาวตัดสินใจปกป้องทุกคนด้วยการพาไปยังวิหารนักบุญแซมมวล


เพื่อให้รับมือกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทันท่วงที ออเดรย์ทำการสวม ‘หัตถ์แห่งความกลัว’ และ ‘คำลวง’ ในแง่หนึ่งเธอสามารถบิดเบือนวิธีของกระสุน และอีกแง่หนึ่งเธอสามารถควบคุมไฟและจุดชนวนระเบิดกลางอากาศ


เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีระยะไกล ผู้วิเศษเส้นทางผู้ชมนั้นแทบจะไม่มีบทบาท


หลังจาก ‘แอบ’ ปกป้องคนรับใช้และพนักงานอย่างลับๆ ออเดรย์พาทุกคนมาถึงวิหารนักบุญแซมมวลและเห็นบิชอปหลายคนเดินเข้ามาหา


“คุณหนูออเดรย์ ตอนนี้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยท่านเอิร์ล คุณหญิง และลอร์ดฮิบเบิร์ต พวกเขาทั้งหมดได้รับการอารักขาในระดับสูงสุด ลำพังการโจมตีทางอากาศไม่สามารถทำอันตรายได้ นอกจากนั้น คุณคงทราบดีว่าห้องใต้ดินของตระกูลฮอลล์แข็งแรงทนทานมากเพียงใด” บิชอปคนหนึ่งเดินเข้ามาหาและปลอบประโลม


ออเดรย์ถอดถุงมือตาข่ายพลางพยักหน้าขานรับคำพูดบิชอป ตัดสินใจว่าไม่มีความจำเป็นต้องกลับบ้าน จากนั้นก็หันไปถาม


“สถานการณ์ปัจจุบันเป็นยังไงบ้างคะ?”


“เรือเหาะของฟุซัคร่วงไปแล้วสองลำ กองเรือเหาะทั้งหมดกำลังมุ่งหน้าไปยังเขตตะวันตก แต่ไม่ต้องกังวล ตอนนี้มาตรการความปลอดภัยถูกยกระดับแล้ว แนวป้องกันต่างๆ พร้อมรับมือการโจมตีทุกประเภท ความเสียหายจะไม่ลุกลามเป็นวงกว้าง” หลังจากตอบคำถามสองสามคำ บิชอปพาออเดรย์และคณะเดินลงไปยังชั้นใต้ดินของวิหาร เป็นชั้นที่สูงกว่าห้องทำงานของเหยี่ยวราตรีอยู่หนึ่งระดับ



บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน พ่อบ้านวอลเตอร์และคนรับใช้กำลังหลบภัยภายในชั้นใต้ดินซึ่งปรกติถูกใช้เป็นที่เก็บไวน์


นี่คือสิ่งดอน·ดันเตสกำชับไว้ล่วงหน้าก่อนจะออกเดินทางไปยังวิหารนักบุญแซมมวล


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ วอลเตอร์และทุกคนได้ยินเสียงเคาะประตู เมื่อมองผ่านช่องเล็กๆ ออกไป พวกมันพบว่านายจ้างของตนกลับมาถึงแล้ว


“การโจมตีที่นี่จบลงแล้ว แต่ผมขอแนะนำให้พวกคุณหลบอยู่ที่วิหารนักบุญแซมมวลต่อไปอีกสักระยะ” ไคลน์กล่าวพลางมองรอบห้อง


“ครับ นายท่าน” วอลเตอร์ขานตอบแทนคนรับใช้อื่นๆ จากนั้นก็ถาม “แล้วหลังจากนั้น?”


ในฐานะพ่อบ้านที่มีคุณภาพ มันมักอ่านหนังสือพิมพ์บ่อยครั้งและทราบถึงความตึงเครียดของสถานการณ์ พอจะเดาได้ว่าสงครามจะไม่จบลงหลังจากการทิ้งระเบิดระลอกแรก


ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก


“ไว้ทางศาสนจักรอนุญาตให้เคลื่อนย้ายได้เมื่อไร ผมจะพาทุกคนไปหลบที่คฤหาสน์เพลงกุหลาบ… รวมถึงครอบครัวของพวกคุณด้วย… ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่เมืองหลวงของอาณาจักรย่อมปลอดภัยที่สุดเสมอ และคฤหาสน์หลังนั้นอยู่รอบนอกเมืองหลวงซึ่งไม่ใช่เป้าหมายของการโจมตีทางอากาศ เพราะไม่มีค่าพอจะให้ทำแบบนั้น… อา… ในคฤหาสน์เพลงกุหลาบมีอาหารตุนไว้มากพอ รวมถึงคลังไวน์ขนาดใหญ่… ต่อให้สงครามยืดเยื้อออกไปนาน แค่พวกคุณก็จะไม่อดตาย”


ได้ยินคำพูดของนายจ้าง บรรดาคนรับใช้ที่มีครอบครัวต่างเผยสีหน้าโล่งใจสุดขีด ความกังวลถูกขจัดออกไปจากใบหน้า ส่วนวอลเตอร์เป็นตัวแทนกล่าวคำขอบคุณจากก้นบึ้ง


จากนั้น มันกล่าวหลังจากไตร่ตรอง


“ผมขอแนะนำให้ซื้ออาหารมาตุนเพิ่ม… ในสถานการณ์แบบนี้ไม่มีคำว่ามากเกินไป… และนอกจากนั้น แม้จะไม่มีการโจมตีเพิ่มเติมในแถบรอบนอกกรุงเบ็คลันด์ แต่ความวุ่นวายอาจนำมาซึ่งหัวขโมยและผู้ร้าย คฤหาสน์จะต้องยกระดับความปลอดภัยให้เข้มงวดขึ้น”


ไคลน์พยักหน้าเห็นพ้อง


“ผมเองก็กำลังพิจารณาเรื่องนี้ เตรียมปรึกษากับส.ส. มัคท์และคนของกองทัพว่าจะขอซื้ออาวุธปืนและเครื่องกระสุนที่ ‘ปลดระวาง’ สักชุดสำหรับการฝึกฝนของพวกคุณ… แต่ระหว่างนี้ ผมกับเอ็นยูนจะกลับเข้ามาในเบ็คลันด์เพื่อสะสางงานบางอย่าง ถ้ามีอะไรตกหล่นให้แก้ไขไปก่อนตามความเหมาะสม”


สำหรับเรื่องอาหาร ไคลน์ไม่ได้ห้ามให้วอลเตอร์ซื้อตุน เพราะถ้าประสบภาวะขาดแคลนอาหารจริง ไคลน์อยากให้ทุกคนอยู่รอด


หลังจากปรึกษาหารือในส่วนที่เหลือจบ ทุกคนในคฤหาสน์ของดอน·ดันเตสเก็บกระเป๋าและของมีค่า จากนั้นก็ตามนายจ้างเข้าไปหลบในชั้นใต้ดินของวิหารนักบุญแซมมวล


เพียงชำเลือง ไคลน์พบออเดรย์กำลังเดินใช้พลังปลอบโยนแก่ผู้คนจำนวนมาก ชายหนุ่มยิ้มทักทายอีกฝ่ายตามมารยาท


หลังจากเห็นดอน·ดันเตสและทักทายกลับ พิจารณาจากสีหน้าท่าทาง ออเดรย์สามารถยืนยันได้ว่ายังไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นเพิ่มเติม



ฟอร์สและซิลย้ายบ้านอีกครั้ง แต่ก็ยังเป็นละแวกชายขอบเขตตะวันออก แต่คราวนี้ใกล้กับย่านสะพานเบ็คลันด์มากขึ้น


หลังจากตื่นตามธรรมชาติ ฟอร์สสางผมพลางเดินออกจากห้องนอนเพื่อเตรียมอาหารกลางวัน


หญิงสาวกวาดสายตาและพบซิลที่ออกจากบ้านไปแต่เช้าและกลับมาแล้ว กำลังนั่งบนเก้าอี้พลางอ่านหนังสือพิมพ์


“เกิดอะไรขึ้น?” ฟอร์สถามด้วยความฉงน


ซิลขมวดคิ้วขณะตอบ


“พวกฟุซัคโจมตีเขตเหนือและเขตตะวันตก…”


“อะไรนะ…” ฟอร์สโพล่งขึ้นก่อนจะหวนนึกถึงหัวข้อที่พูดคุยกันในชุมนุมทาโรต์


ทันใดนั้น เสียงของเด็กขายหนังสือพิมพ์ดังออกจากด้านนอก


“ข่าวด่วน! ข่าวด่วน! อาณาจักรประกาศสงครามกับฟุซัคแล้ว!”


“ข่าวด่วน! ข่าวด่วน! อาณาจักรประกาศสงครามกับฟุซัคแล้ว!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)