Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1071-1080

 ราชันเร้นลับ 1071 : โถงแห่งความจริง

 

ด้านนอกวังสีเทาอ่อนที่มีความสูงกว่าสองร้อยเมตร เสาหินขนาดใหญ่จำนวนมากที่สั้นกว่าปรกติถูกวางเรียงรายราวกับเป็นทหารองครักษ์


ไคลน์พอจะเห็นภาพอย่างเลือนราง ในตอนที่เมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิด ยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้า เสาหินเหล่านี้จะต้องมีมังกรที่ทรงพลังนั่งหมอบต้นละหนึ่งตัว


พวกมันคือข้าราชบริพารของเทพบรรพกาล


จากนั้นไคลน์แหงนมองประตูที่เปิดกว้างและพูดกับเลียวนาร์ดและออเดรย์


“อยู่ใกล้ๆ ผมไว้ เพราะถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝัน ผมสามารถพาพวกคุณออกจากโลกหนังสือกลับสู่มิติหมอกได้ทันที”


นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ไคลน์กล้าสำรวจที่นี่


“ตกลง” ออเดรย์และเลียวนาร์ดไม่พยายามทำตัวอาจหาญ เพียงเดินมายืนข้างไคลน์และเตรียมเกาะกลุ่ม


อาศัยพลังในการบินของร่างวิญญาณ ทั้งสามลอยผ่านขั้นบันไดจนกระทั่งผ่านประตูยักษ์เข้ามาในวัง


สิ่งแรกที่เห็นคือพื้นที่ว่างๆ ที่กว้างพอจะให้มังกรเกือกเกลี้ยงอย่างสบายอารมณ์ รวมถึงเสาหินที่ดูราวกับคอยค้ำจุนท้องฟ้า


บนผนังทั้งสองฝั่งของห้องโถงเต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงาม เหยียดยาวในแนวนอนไปจนกระทั่งถึงเสาหินขนาดหลายคนโอบ


ด้านในสุดของห้องโถงมีเสาหินขนาดมหึมาตั้งเด่นตระหง่าน ลำพังเสาหินต้นนี้ต้นเดียวก็มากพอจะสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้พบเห็น รวมไปถึงความรู้สึกกระอักกระอ่วนราวกับเวลากำลังผันผวน ประหนึ่งนั่นคือเทพที่กลายเป็นหิน


แทบจะในพริบตา สิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายสีเทาอ่อนขนาดมหึมาพลันปรากฏบนเสาหินดังกล่าว


ร่างดังกล่าวปกคลุมไปด้วยเกล็ดยักษ์จำนวนมาก แต่ละเกล็ดดูราวกับเป็นหินหนาๆ แผ่นใหญ่ เพียงเค้าโครงอันเลือนรางก็มากพอจะทำให้บรรยากาศโดยรอบเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม


มังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล! ในวินาทีที่ความคิดดังกล่าวแล่นผ่านสมองไคลน์ มันได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังกังวานทั่วห้องโถงใหญ่:


“มังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล!”


ขณะไคลน์มองไปรอบๆ ตัวด้วยความฉงน มันได้ยินเสียงเลียวนาร์ดถอนหายใจเข้มข้น


“สายลมที่ลุ่มลึกกำลังตั้งใจฟังรอบๆ ท่าน..”


“สายลมที่พัดผ่านพลันสั่นกลัวจนแทบสิ้นลม…”


หมอนี่ยังอารมณ์ท่องกวีอยู่อีก… เป็นกวีของใครกันนะ… ไคลน์หันไปมองเลียวนาร์ด


ทันทีหลังจากนั้น มันได้ยินเสียงสะท้อน:


“หมอนี่ยังอารมณ์ท่องกวีอยู่อีก… เป็นกวีของใครกันนะ…”


เลียวนาร์ดพลันประหลาดใจสุดขีดพร้อมกับรีบปิดปากสนิทและส่ายหน้า


แต่ในวินาทีถัดมา เสียงหนึ่งดังข้างๆ มัน


“ฉันไม่ได้ท่องอะไรออกไป!”


“เกิดอะไรขึ้นกันแน่… แปลกมาก” ขณะไคลน์กำลังคิดเช่นนี้ มันเริ่มตระหนักว่าเสียงที่คุ้นเคยในตอนแรกเป็นของตัวเอง


และแน่นอน เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้งโดนสะท้อนความคิดไคลน์


จากนั้นเสียงพึมพำที่อ่อนโยนของออเดรย์ดังตามมา


“หรือว่า… โถงแห่งนี้จะทำให้ความคิดของสิ่งมีชีวิตรอบๆ มีตัวตนขึ้นมาจริงๆ? เพราะเมื่อครู่ในตอนที่เห็นเสาหิน เราจินตนาการภาพมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล กำลังนั่งหมอบอยู่ เป็นภาพร่างที่มีพื้นฐานมาจากมังกรจิตที่เราเคยเห็น… แล้วทำไมทุกสิ่งที่เราพูด… ไม่สิ… ทุกสิ่งที่เราคิด ห้องโถงจะทำให้มีตัวตนขึ้นมา…”


อย่างนี้นี่เอง โชคดีที่เราไม่ได้สิ่งเครื่องประหลาดๆ เมื่อครู่ ตั้งสติเข้าไว้ ตั้งสติ… ไคลน์ใช้การเข้าฌานเพื่อมิให้จินตนาการเตลิด


ในเวลาเดียวกัน เสียงของมันดังก้องไปทั่วห้องโถงราวกับกำลังสอดประสาน


“…ตั้งสติเข้าไว้ ตั้งสติ…”


“ความคิดในหัวมิสเตอร์เวิร์ลเป็นแบบนี้นี่เอง เหมือนกับเด็กที่เพิ่งหัดเข้าโรงเรียนและพยายามเตือนตัวเองไม่ให้ลืมสิ่งสำคัญ… นอกจากนั้นเขายังเข้าฌานด้วยภาพของลูกบอลแสงที่ซ้อนทับหลายชั้น… งดงามมาก… ด…เดี๋ยวก่อน เราไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย! ฉันไม่มีเจตนาจะนิยามคุณแบบนั้น มิสเตอร์เวิร์ล ฉันพูดความจริง! ความคิดออเดรย์พรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่อง มุมปากของเธอเผยรอยยิ้มอย่างมิอาจเลี่ยง


สำหรับเลียวนาร์ด เสียงความคิดของมันก็ดังขึ้นว่า ‘ฮ่าฮ่าฮ่า’


“ไอ้หมอนี่… ไม่สิ ห้ามเรียกว่าไอ้หมอนี่… เราต้องสุภาพ… เราต้องสุภาพ” ขณะได้ยินเสียงความคิดตัวเอง ไคลน์ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “โถงแห่งนี้เหมาะจะเล่นเกม ‘พูดความจริงหรือรับคำท้า’ มาก… ขอตั้งชื่อให้มันว่าโถงแห่งความจริง…”


“นั่นเกมอะไร?” ออเดรย์แสดงความสงสัยโดยที่ไม่ต้องเปิดปากพูด


“น่าจะเป็นเกมที่จักรพรรดิโรซายล์คิดค้นขึ้น… เราต้องตั้งสติไม่ให้คิดในเรื่องที่ไม่ควรคิด… ให้ตายสิ ถ้าไม่ได้เข้าฌาน แทบจะไม่มีวิธีใดระงับความคิดที่ฟุ้งซ่านพวกนี้ได้เลย…” ไคลน์ตอบออเดรย์พลางตักเตือนตัวเองตามนิสัย และไม่พลาดที่จะถูกโถงแห่งนี้ทรยศ


ทันใดนั้น ออเดรย์หัวเราะและคิด


“ฮะฮะ! มิสเตอร์เวิร์ลเองก็มีมุมแบบนี้ด้วย เราไม่เคยพบเจอมาก่อน…”


“ฮะฮะ! ไคลน์ นายเองก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ… อึ่ก… เราไม่ได้พูดอะไรออกไป” เลียวนาร์ดรีบยกมือขวาขึ้นมาปิดปาก


และไม่ผิดคาด ทุกคนได้ยิน ‘คำถาม’ จากมิสจัสติส


“ไคลน์?”


จากนั้นก็เป็นการตัดพ้อของใครบางคน


“บางทีคงมีแค่การทำให้สองคนนี้กลายเป็นหุ่นเชิด พวกเขาถึงจะหยุดคิดฟุ้งซ่าน… เดี๋ยวสิ เราเผลอคิดอะไรออกไป? ไม่ได้ ต้องใจเย็นกว่านี้…”


ไคลน์หายใจเข้าออกก่อนจะทำสมาธิจดจ่อ


“มาสำรวจจิตรกรรมฝาผนังกันเถอะ ในสมัยโบราณ ภาพจิตรกรรมฝาผนังคือเครื่องบันทึกความทรงจำชั้นดี ส่วนมากมักเต็มไปด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ…”


ขณะที่ไคลน์เสนอแนะ มันได้ยินความคิดออเดรย์กำลังหัวเราะ


“ไคลน์… นี่คือชื่อจริงของมิสเตอร์เวิร์ล? ด…เดี๋ยวสิ อย่าไปคิดถึงเรื่องนั้นมากนัก! ไม่อย่างนั้นมิสเตอร์เวิร์ลจะโกรธ… ไม่สิ เขาน่าจะรู้สึกอับอายมากกว่า… ด…เดี๋ยวก่อน นี่มันความผิดของ ‘คำลวง’ มิสเตอร์เวิร์ล คุณต้องเชื่อฉัน… ใจเย็นก่อน ใจเย็นก่อน! มีสติ มีสติ!”


หลังจากใช้พลังของเส้นทางผู้ชมเพื่อสงบสติอารมณ์ ออเดรย์หันไปใส่ใจกับภาพจิตรกรรมฝาผนังทางฝั่งขวา


เทียบกับอีกสองคน เลียวนาร์ดมีความสามารถในการสงบสติต่ำมาก ความคิดที่ฟุ้งซ่านจึงดังออกมาไม่หยุด


“เปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิด… เดี๋ยวนี้หมอนี่มีความคิดน่ากลัวขนาดนี้เชียว? นั่นคือสิ่งที่นายคิดมาตลอดสินะ… ฮะฮะ! มิสจัสติสตอบสนองได้น่าสนใจมาก… เราไม่เคยเห็นหมอนั่นต้องอับอายมานานแล้ว…”


จนกระทั่งไคลน์และออเดรย์เริ่มแลกเปลี่ยนความคิดกันและกัน เลียวนาร์ดเพิ่งเริ่มมีสติช้ากว่าใครเพื่อน


ภาพจิตรกรรมฝั่งขวาดูเหมือนจะเป็นความก้าวหน้าทางประวัติศาสตร์ มีทั้งภาพของมนุษย์กำลังก่อสร้าง ภาพของหิมะที่ปกคลุมทุ่งกว้าง ภาพของสงครามและการอพยพ ภาพของเมืองและแคว้น รวมถึงภาพหอคอยและผลไม้ที่สื่อถึงการปราศจากกำแพงภาษา


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ภาพจิตรกรรมมีความยาวตั้งแต่ทางเข้าห้องโถงไปจนถึงบัลลังก์ของมังกรจินตภาพ


จนกระทั่งภาพสุดท้าย ไคลน์สังเกตเห็นตัวตนที่คุ้นเคย


มังกรยักษ์ตัวสีฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดผนึกน้ำแข็ง


ราชาแห่งแดนเหนือ ยูลิเซี่ยน!


“อย่าบอกนะว่า… โลกในหนังสือดำเนินไปตามภาพจิตรกรรมเหล่านี้?” ขณะความคิดไคลน์กำลังดังก้อง มันรีบตรวจสอบภาพและเห็น ‘นักล่า’ ที่มีใบหน้าพร่ามัวหลายคนปราบมังกรน้ำแข็งสำเร็จและเปิดประตูออกไป ทุ่งหิมะและน้ำแข็งพลันละลายหายพร้อมกับถูกแทนที่ด้วยเมืองใหม่อย่างเปโซต์ จากนั้นไคลน์เห็นภาพของสภาพอากาศกลับมาเย็นจัดอีกครั้ง ราวกับกำลังจะเกิดเหตุการณ์ใหม่ขึ้นในตอนสุดท้าย


“เนื้อหาของภาพจิตรกรรมจะกลายเป็นความจริงในโลกหนังสือแห่งนี้?” ออเดรย์อดไม่ได้ที่จะคิดตาม


“ภาพจิตรกรรมบนกำแพงเหล่านี้ดูธรรมดาเกินไป ฝีมือยังด้อยกว่าจิตรกรข้างถนนเสียอีก… ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าที่นี่คือวังของมังกรจินตภาพ เทพบรรพกาลตนนั้นมีพลังมากมายถึงเพียงนี้เชียว?” เลียวนาร์ดแสดงความเห็น


“เป็นไปได้…” ไคลน์ไม่อธิบายลงลึก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของตัวเองดังขึ้น “เริ่มสำรวจภาพอีกฝั่งก่อนดีกว่า จากนั้นก็นำข้อมูลมารวมกันและวิเคราะห์”


เลียวนาร์ดกับออเดรย์ไม่คัดค้าน เดินตามชายหนุ่มไปยังอีกฝ่าย


ระหว่างนี้พวกมันเพิ่งตระหนักว่าร่างวิญญาณของตนไม่สามารถบินได้ในห้องโถง


แต่เนื่องจากภาพวาดมีขนาดใหญ่มาก เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ช่วยให้เห็นภาพรวมทั้งหมด


ภาพแรกใกล้กับทางเข้าทำให้รูม่านตาไคลน์เบิกกว้างทันที


ภายในภาพจิตรกรรม คนยักษ์ผิวสีเทาอมฟ้าที่มีใบหน้าพร่ามัวและดวงตาดวงเดียวในแนวตั้ง กำลังถือสมุดปกแข็งเล่มหนึ่งในมือ!


“นี่มัน…” ไคลน์ได้ยินเสียงความคิดตัวเองดังสะท้อน


เอกลักษณ์ของภาพถัดๆ มาก็ยังคงเป็นหนังสือหนังสัตว์ที่ถูกเย็บเข้าด้วยกันอย่างหยาบๆ เล่มดังกล่าว เจ้าของเปลี่ยนมือจากคนยักษ์เป็นเอลฟ์ ข้อความบนกระดาษเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเปลี่ยนจากสมุดกลายเป็นหนังสือ จากนั้นก็เปลี่ยนมือเจ้าของไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลอยสูงขึ้นไปบนอวกาศและตกลงบนกรงเล็บขนาดมหึมา


สำหรับภาพจิตรกรรมถัดมา ราวกับไม่เกี่ยวข้องกับภาพก่อนหน้า หนังสือเล่มเดิมโผล่ขึ้นมาบนผิวทะเลและเข้าไปในเรือลำที่พร่ามัว


ในภาพวาดรองสุดท้าย หนังสือถูกนำออกจากเรือโดยสายสวมหมวกทรงสูง


และภาพสุดท้ายที่ถูกวาดด้านหลังบัลลังก์หินซึ่งต้องสงสัยว่าจะเป็นของมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล เป็นภาพของหนังสือเล่มดังกล่าวถูกวางไว้คู่กับปากกาขนนกทรงโบราณ


ภาพจิตรกรรมจบลงเพียงเท่านี้


“0-08!” สุ้มเสียงอันตกตะลึงของเลียวนาร์ดดังกังวานไปทั่วห้องโถง


“มังกรจินตภาพต้องการจับคู่หนังสือเล่มดังกล่าวกับปากกาขนนก? ถ้าทำสำเร็จจะเกิดอะไรขึ้น? พวกมันเคยเกือบได้อยู่ด้วยกันในตอนที่เราจัดการกับอินซ์·แซงวิลล์… แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวเพราะหนังสือตกอยู่ในมือเราและเราสังเวยให้มิสเตอร์ฟูล… หรือว่าการที่อาดัมช่วยวางแผนและคอยสนับสนุนก็เพราะเล็งสิ่งนี้ไว้แต่แรก? จริงสิ ในตอนที่อยู่ในหนังสือ เมื่อนักบวชสโนวมันเอ่ยชื่อเทวทูตจินตภาพ อาดัม มังกรน้ำแข็งก็บุกเข้ามาจู่โจมค่ายทันที… เป็นเพราะหนังสือไม่ยอมให้สโนวมันพูด หรือเป็นเพราะอาดัมได้ยินความคิดดังกล่าวจนสามารถสร้างการเชื่อมโยงกับตัวเองและจ้องมองพร้อมกับสร้างอิทธิพลบางอย่างได้?” ความคิดไคลน์พรั่งพรูออกมาเป็นเสียงสะท้อน


ตลอดการทำเช่นนั้น มันพยายามอย่างหนักในการคิดว่ามิสเตอร์ฟูลเป็นตัวตนอื่นที่ห่างไกล


ขณะเดียวกัน ความคิดออเดรย์ผุดขึ้น


“…หรือว่าเนื้อหาของภาพจิตรกรรมเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกความจริง?”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1072 : เสียงเพรียกจากหลั...

 

“เนื้อหาของภาพจิตรกรรมเหล่านี้… คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นบนโลกความจริง…”


ไม่ว่าจะไคลน์หรือเลียวนาร์ด ทั้งคู่ต่างทวนคำถามของมิสจัสติสภายในใจ


ลำพังเรื่องที่ภาพจิตรกรรมฝั่งขวาเป็นตัวกำหนดเรื่องราวของโลกในหนังสือก็นับว่าน่าทึ่งมากพอแล้ว แต่เมื่อเริ่มตระหนักว่าภาพจิตรกรรมฝั่งซ้ายอาจเป็นตัวกำหนดเรื่องราวของโลกความเช่น ภายในใจทุกคนเริ่มเกิดแรงกระเพื่อมหนักหน่วง


การที่ภาพวาดจากอดีตมีพลังในการกำหนดอนาคตของโลกความจริง ไม่ใช่แค่ในโลกมายา มีเพียงเทพเท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้!


“นั่นก็… ไม่ได้เกินจริงไปเสียทีเดียว… ใช่ไหมล่ะ” เลียวนาร์ดพึมพำเสียงแผ่วด้วยความรู้สึกยากจะทำใจเชื่อ


ในทางกลับกัน ไคลน์เริ่มวิเคราะห์ตามนิสัย


“ถึงแม้จะเป็น 0-08 แต่ขอบเขตการแสดงผลก็ถูกจำกัดแค่เมืองใหญ่เท่านั้น และดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเอาชนะขีดจำกัดนี้ หมายความว่าลำดับ 1 นักประพันธ์เองก็คงไม่ต่างกัน… และในเมื่อ ‘เอกลักษณ์’ ของ ‘นักสร้างฝัน’ อยู่ในมือของอาดัมเรียบร้อยแล้ว… เมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิดแห่งนี้จะใช้หลักการใดในการเปลี่ยนให้โลกความจริงตรงตามภาพวาด? พลังเทพของมังกรจินตภาพจากอดีต? กำลังจะบอกว่าในตอนที่หนังสือเล่มนี้ถูกสร้างขึ้น เนื้อหาภายในภาพวาดได้สร้าง ‘ตราประทับ’ ลงในทะเลจิตใต้สำนึกรวมของโลกความจริงและแผ่ขยายออกไปทุกทิศ ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตรุ่นแล้วรุ่นเล่าทำตามภาพวาดโดยไม่รู้ตัว? แต่ถ้ากลไกการทำงานเป็นแบบนั้น การวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังลงไปใหม่ก็จะไม่เกิดผลใด เพราะมังกรจินตภาพร่วงหล่นไปนานแล้วและไม่สามารถสร้างพลังเทพขึ้นมาใหม่ได้… พวกเราสามารถทดสอบเรื่องนี้ได้โดยการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังขึ้นมาใหม่และดูว่ามันจะเกิดขึ้นบนโลกความจริงหรือไม่ ถ้าจริงก็แปลว่าที่นี่คือเมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิดซึ่งเต็มไปด้วยความลับ และนั่นยังหมายความว่าพลังของเส้นทางผู้ชมลึกลับซับซ้อนมากกว่าที่เราติด”


“นักประพันธ์? มีโอสถชื่อแบบนั้นด้วยหรือ?” เมื่อได้คิดความคิดไคลน์ เลียวนาร์ดอดไม่ได้ที่จะรำพัน


เมื่อเทียบกับชื่อมังกรจินตภาพที่สามารถอนุมานไปถึง ‘นักสร้างฝัน’ โอสถที่ชื่อ ‘นักประพันธ์’ ฟังดูน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่า เพราะมันมอบความรู้สึกกึ่งจริงกึ่งจินตนาการได้ดีกว่า


ออเดรย์ที่ทราบชื่อโอสถลำดับสูงของเส้นทางอยู่ก่อนแล้วไม่เผยสีหน้าประหลาดใจ เพียงตั้งสมาธิกับเรื่องอื่น


“เอกลักษณ์… มิสเตอร์เวิร์ลสามารถเชื่อมโยงข้อมูลมากมายได้ในพริบตา สุดยอด! อึก… เราชมเขาตรงเกินไปไหม? มิสเตอร์เวิร์ลได้ยินทุกเรื่องที่เราคิด… อุก… ทำตัวให้ชินกับโถงนี่ไม่ได้สักที… ไม่ใช่นะ มิสเตอร์เวิร์ล ดิฉันกำลังชมเชยคุณจริงๆ! หมายความแบบนั้นจริงๆ!”


ออเดรย์เขินอายในตอนต้น ก่อนจะปรับอารมณ์ด้วยพลังของเส้นทางและกลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง


“…อย่างที่คิด นักจิตบำบัดสงบจิตใจได้เร็วมาก” ไคลน์ผุดความคิดเสียงดัง


“มิสเตอร์เวิร์ลมิได้เย็นชาเหมือนตาเห็นสินะ เขาเป็นพวกที่ชอบเก็บทุกเรื่องไปพูดกับตัวเองในใจ… อุก… ฉันไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น!” ขณะออเดรย์คิดเรื่อยเปื่อยตามสัญชาตญาณ เธอรีบปฏิเสธเสียงแข็ง


ขณะเดียวกัน เสียงหนึ่งดังขึ้นรอบตัวเลียวนาร์ด


“ไคลน์ปลอมตัวเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้ไม่เลว ทุกคนเชื่อสนิทใจว่าเขาเป็นคนเย็นชาและเสียสติ หึหึ… ใครจะไปคิดว่าที่จริงแล้ว…”


เพียงเลียวนาร์ดเริ่มปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่าน เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะ


“เงียบน่า!”


เลียวนาร์ดสำรวจเสื้อผ้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์หัวจรดเท้าพร้อมกับผายมือและกลั้นขำ


“ดูแต่งตัวเข้าสิ ไม่เห็นเย็นชาตรงไหนเลย ว่าไหม?”


“อยากให้เย็นชานักใช่ไหม ฉันจะกดไม้กางเขนเจิดจรัสลงบนหัวนายและสกัดตะกอนพลังออกมา! ในเมื่อนายไม่ต้องการตะกอนพลังแล้ว ฉันจะเอาไปบริจาคให้คนที่ต้องการจริงๆ!” เมื่อไม่มีการเข้าฌานช่วยสงบจิต ไคลน์เริ่มตอบสนองตามสัญชาตญาณมากขึ้นเรื่อยๆ


“…” ออเดรย์มองสลับไปมาระหว่างเดอะเวิร์ลและเดอะสตาร์พร้อมกับส่งเสียงภายใน “พวกเขาสนิทกันกว่าที่คิด… เราพอจะเดาเรื่องนี้ได้จากท่าทีของมิสเตอร์สตาร์ แต่กับมิสเตอร์เวิร์ลนั้นยากจะอ่านอารมณ์… อึก… แจน… บอส… มินนี่…”


ในช่วงเวลาแบบนี้ ออเดรย์เลือกวิธีท่องชื่ออื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเพื่อสงบสติ


“ชื่อของใคร?” เลียวนาร์ดถามอย่างสนใจ


“ชื่อของม้าและหมาล่าเนื้อที่ตระกูลดิฉันเลี้ยงไว้ค่ะ” ออเดรย์ตอบอย่างสุภาพ


“หมาล่าเนื้อราคาตัวละสี่ร้อยห้าสิบปอนด์…” ไคลน์พลันฉุกคิดถึงคำแนะนำของพ่อบ้านวอลเตอร์ที่บอกให้ซื้อหมาล่าเนื้อกลุ่มหนึ่งสำหรับกิจกรรมล่าสัตว์ในคฤหาสน์เพลงกุหลาบ


“ทำไมสิ่งแรกที่ผุดขึ้นในหัวมิสเตอร์เวิร์ลถึงเป็นราคา?” ออเดรย์อดไม่ได้ที่จะสงสัย


เลียวนาร์ดยกมุมปากและตอบโดยไม่ต้องพูด


“นี่เป็นเรื่องปรกติ… หมอนี่มักจู้จี้เรื่องเงินเสมอ ฉันยังจำได้ว่า…”


ยังไม่ทันจะ ‘พูด’ จบประโยค ไคลน์กระแอมแห้ง


“พวกเราควรรีบสำรวจในส่วนอื่นกันต่อ และถ้ามีเวลาเหลือก็ต้องทดสอบการทำงานของภาพจิตรกรรมฝาผนัง… เฮ้อ… โถงบ้านี่ทำเอาวุ่นวายไปหมด ปัญหาสำคัญคือการที่ความคิดลับๆ ถูกนำออกมาเปิดเผยจนยากจะตั้งสมาธิกับเรื่องอื่น”


เมื่อได้ยินการรำพันในประโยคสุดท้าย ทั้งเลียวนาร์ดและออเดรย์เผลอหัวเราะออกมาอย่างมิอาจหักห้าม


จนกระทั่งหญิงสาวเริ่มตระหนักว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากให้สถานการณ์เลยเถิดมากไปนัก เธอตั้งสติและแหงนมองเพดาน


“ในมือภาพจิตรกรรมทางขวาควบคุมโลกในหนังสือ และภาพฝั่งซ้ายควบคุมโลกความจริง… จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังบนเพดาน?”


ไคลน์วิเคราะห์โดยเชื่อมโยงข้อมูล


“อิทธิฤทธิ์ของมังกรจินตภาพมีอย่างน้อยสามเรื่อง: ข้อแรก การจินตนาการอาณาจักรขึ้นมาบนโลกความจริง ข้อที่สอง การประกาศอนาคตและสามารถทำให้มันเกิดขึ้นจริงในภายหลัง และข้อที่สาม ท่านสามารถจินตนาการสิ่งของขึ้นมาบนโลกความจริง… ข้อแรกสอดคล้องกับภาพจิตรกรรมฝั่งขวา และข้อที่สองสอดคล้องกับฝั่งซ้าย… ถ้าอย่างนั้นก็อาจตีความได้ว่า เพดานหมายถึงอิทธิฤทธิ์ข้อที่สาม?”


“หากวาดสิ่งใดลงไปบนเพดาน สิ่งนั้นจะปรากฏขึ้นบนโลกความจริงและสามารถใช้งานได้?” ออเดรย์เข้าใจความนัยของเดอะเวิร์ลได้ในทันที


“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราวาดมังกรจินตภาพ?” เลียวนาร์ด ‘แนะนำ’


ไคลน์ชำเลืองมันอีกครั้ง


“ประการแรก นายต้องเคยเห็นมังกรจินตภาพตัวจริงโดยไม่สติแตกหรือคลุ้มคลั่งไปก่อน ประการที่สอง นายต้องวาดรายละเอียดหลักบนร่างกายของท่านอย่างชัดเจนโดยไม่ตกหล่น และประการสุดท้าย นายต้องวาดรูปให้เป็นเสียก่อน”


“…ตอนนี้ฉันอาจจะวาดรูปไม่เป็น แต่อนาคตอาจไม่ใช่ก็ได้ ฉันสามารถจ้างครูสอนพิเศษมาช่วยฝึกเป็นการส่วนตัว” เลียวนาร์ดรำพันพลางตอบโดยไม่ต้องพูด “นอกจากนั้น รายละเอียดหลักบนร่างกายหมายถึงสิ่งใด? อักขระและลวดลายพิเศษที่อัดแน่นไปด้วยออร่าเทพ?”


พร้อมกันนั้น ออเดรย์รีบ ‘พูด’ โดยพยายามกลั้นขำ


“ฉันวาดรูปได้”


การวาดรูปคือทักษะพื้นฐานของสตรีชนชั้นสูง และออเดรย์ค่อนข้างมีพรสวรรค์ด้านนี้


“อา… ไว้ค่อยทดสอบในตอนที่มีเวลาเหลือ” ไคลน์พยักหน้าพลางเดินไปทางเสาหินต้นใหญ่


แผนของมันก็คือ ต้องมองเห็นภาพรวมทั้งหมดให้ได้เสียก่อน จึงค่อยคิดหาวิธีขยายกรอบในการสำรวจ


พร้อมกันนั้น มันฉุกคิดถึงบางสิ่งจากคำถามของเลียวนาร์ด


“ลวดลายและอักขระที่อัดแน่นไปด้วยออร่าเทพ… สิ่งนี้เปี่ยมไปด้วยองค์ความรู้ปริมาณมหาศาล หากจ้องมองตรงๆ และยังเอาชีวิตรอดไปได้ ผู้ที่พบเห็นจะทราบสูตรโอสถและรายละเอียดของพลังบางส่วนทันที… แต่คำถามก็คือ ในยุคสมัยที่ศิลาเย้ยเทพปรากฏขึ้น คนที่จ้องมองเทพโดยตรงและรอดชีวิตนั้นได้ความรู้ใดกลับไป? สมัยนั้นยังไม่มีสูตรโอสถสักหน่อย… หรือจะเป็นความรู้เกี่ยวกับวิธีที่สัตว์ในตำนานใช้สั่งสมพลังไปทีละขั้น? หรือว่าแท้จริงแล้ว ศิลาเย้ยเทพเกิดจากการนำวิธีสั่งสมพลังของสัตว์ในตำนานมาปรับปรุงเป็นสูตรโอสถ? หากหนึ่งในสองข้อสันนิษฐานของเราเป็นความจริง แปลว่าความรู้ที่อยู่ในร่างสัตว์เทพสามารถเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมได้… ในทางกลับกัน ผู้วิเศษเส้นทางนักจารกรรมก็สามารถ ‘ดัดแปลง’ หรือ ‘ลบ’ ความรู้ภายในร่างสัตว์เทพของผู้อื่นได้โดยตรง?”


“มิสเตอร์เวิร์ลครุ่นคิดในประเด็นที่ลุ่มลึกและซับซ้อนมาก ทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับตัวตนระดับสูง…” ออเดรย์อดไม่ได้ที่จะ ‘ตัดพ้อ’


เลียวนาร์ดเองก็มิอาจยับยั้งหัวใจ


“มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ? ไว้ค่อยถามตาแก่ทีหลังก็แล้วกัน… หมอนี่รู้เยอะชะมัด… ดูเหมือนว่าบุคลิกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด เพราะกลิ่นอายนักวิชาการยังคงเป็นเอกลักษณ์ของหมอนั่น…”


“ขอบคุณสำหรับคำชม แต่ช่วยพอได้แล้ว!” ในสภาพมือข้างหนึ่งถือขวดเลือดและอีกข้างถือไม้กางเขนเจิดจรัส ไคลน์บีบบังคับตัวเองให้คุมสติและเดินไปทาง ‘บัลลังก์’


ด้วยร่างวิญญาณ แม้จะบินไม่ได้ในห้องโถง แต่ความเร็วในการเคลื่อนที่ก็ยังสูงกว่าปรกติหลายเท่า


จนกระทั่งไคลน์เพิ่งตระหนักเมื่อสายว่า ด้านหลังบัลลังก์ของมังกรจินตภาพมีทางเดินที่มืดมิดซ่อนอยู่


“มองไม่เห็นอะไรเลย ถ้ามีแสงก็คงจะดี…” ออเดรย์ครุ่นคิด


ทันใดนั้น แสงที่แสนอ่อนโยนพลันสว่างขึ้นภายในทางเดิน ช่วยทำให้ทุกคนมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจน


แม้ไม่ต้องเดินเข้าไป แต่ไคลน์ เลียวนาร์ด และออเดรย์ต่างก็เห็นประตูทองแดงที่ด้านในสุดของทางเดิน


เหนือประตูเต็มไปด้วยอักขระและลวดลายจำนวนมากที่ยากจะอธิบาย ราวกับพวกมันเป็นโซ่หลายเส้นที่คอยพันธนาการบานประตูหลังนั้นไว้ เจตนาคือการผนึกสิ่งที่อยู่ด้านใน เป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกลึกลับและเย็นเยียบในเวลาเดียวกัน


ภายในเมืองแห่งปาฏิหาริย์ของมังกร ภายในวังเทพบรรพกาล ด้านหลังบัลลังก์มีประตูลับที่ใช้สำหรับผนึกบางสิ่ง


เพียงพริบตา คนทั้งสามรู้สึกคล้ายกับกำลังมองผ่านบานประตูทองแดงเข้าไปยังความมิดมืดด้านหลังโดยตรง


จากนั้นก็เป็นเสียงหัวใจเต้น


แหล่งกำเนิดเสียงมาจากด้านในร่างกายคนทั้งสาม


แต่ต้องไม่ลืมว่า พวกมันกำลังอยู่ในร่างวิญญาณและไม่มีหัวใจ!


ถัดมา ผิวชั้นนอกของไม้กางเขนเจิดจรัสเริ่มลอกออกและส่องแสงราวกับพระอาทิตย์


สำหรับไคลน์ ออเดรย์ และเลียวนาร์ด พวกมันพลันบังเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดสุดขีด ประหนึ่งจิตสำนึกกำลังถูกแบ่งแยกออกเป็น ‘ตัวเอง’ อีกหนึ่งคน


ท่ามกลางทัศนวิสัยที่ไม่คมชัด ดวงตาข้างหนึ่งโผล่ขึ้นภายในความมืดมิดด้านหลังประตูทองแดง รูม่านตาสีดำสนิทและมีรอยแยกสีฟ้าอ่อน


ในลำดับที่ไม่เจาะจง ดวงตาประเภทเดียวกัน ‘ลืม’ ขึ้นทีละข้างในลักษณะกระจุกเป็นก้อน ทั้งหมดจดจ้องมายังคนทั้งสามอย่างไม่ละสายตา


ทันใดนั้น ไคลน์และคนที่เหลือต่างได้ยินเสียงเพรียกอันแผ่วเบาแต่ชวนให้หลงใหลเหนือพรรณนา


โดยไม่มัวรีรอ ร่างวิญญาณไคลน์ขยายออกและปกคลุมเลียวนาร์ดกับออเดรย์อย่างมิดชิด จากนั้นก็ยุติการอัญเชิญและส่งทุกคนกลับไปยังห้วงมิติเหนือสายหมอก

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1073 : ความเป็นไปได้สามข้อ

 

เมื่อกลับถึงโลกเหนือสายหมอก ไคลน์ตระหนักว่าความเย็นในร่างกายคอยๆ ลดลงและหนอนกาลเวลาไม่พยายามแบ่งตัวออกเป็นจิตสำนึกใหม่อีกต่อไป


สองสามวินาทีถัดมา มันหันไปเห็นโต๊ะทองแดงยาวและร่างวิญญาณของมิสจัสติสกับเลียวนาร์ดที่ค่อยๆ คมชัดขึ้นโดยมีสายหมอกแผ่นบางๆ ห่อหุ้มเอาไว้ แต่ก็ยังไม่คมชัดเสียทีเดียว


จนกระทั่งสายหมอกบางๆ คลายออกจากร่างทั้งสองและร่วงหล่นกลับสู่ ‘พื้น’ ไคลน์ตั้งคำถาม


“ตอนนี้รู้สึกยังไงกันบ้าง”


มันถามด้วยสำเนียงของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าทั้งสองคนเคยได้ยินเสียงพึมพำในหัวตน เคยได้ยินนิสัยที่ชอบวิเคราะห์และนิสัยที่ชอบจิกกัดเลียวนาร์ด ส่งผลให้ภาพลักษณ์อันดีงามในสายตามิสจัสติสมีอันต้องป่นปี้


ทั้งหมดเป็นความผิดของเลียวนาร์ด! เฮ้อ… ไม่เพียงเราจะทำตามคำแนะนำแพทย์ที่ห้ามสวมหน้ากากหนาๆ แต่คราวนี้แม้แต่หน้ากากแผ่นบางเฉียบก็ไม่ได้สวม… ท่ามกลางความคิดที่ล่องลอย ไคลน์สลัดเรื่องไร้สาระและมองไปรอบๆ


มันยังไม่หายกังวลว่าความคิดของตนอาจ ‘ส่งเสียงดัง’


โชคดีที่พวกมันออกจากโถงแห่งความจริงมาแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเล่นงานด้วย ‘เวทมนตร์’ ที่ไม่มีทางแก้ไขหรือรับมือ


ค่อนข้างชัดเจนว่าทั้งออเดรย์และเลียวนาร์ดยังเหลือ ‘แผลใจ’ จากความเครียดที่เกิดขึ้น รายหนึ่งเม้มปากแน่น ส่วนอีกรายนั่งหลังตรงพร้อมกับทำสีหน้าครุ่นคิด


ผ่านไปสองสามวินาที พวกมันเพิ่งตระหนักว่าถูกมิสเตอร์เวิร์ลตั้งคำถาม จึงรีบหันกลับมาสนใจสิ่งรอบๆ ตัว


“ดิฉันสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งถูกชำระล้างออกไป… ก่อนหน้านี้เคยรู้สึกอย่างเลือนรางว่าจิตใจค่อยๆ แบ่งออกเป็นสองตัวตน… ไม่สิ… ไม่ใช้การแบ่งจิตใจออกเป็นสอง แต่เหมือนกับมีจิตใต้สำนึกใหม่ตื่นขึ้นภายในร่างกาย… แต่ตอนนี้หายไปแล้ว… มิสเตอร์ฟูลจงเจริญ!” ออเดรย์สามารถวิเคราะห์อาการทางจิตของตนได้อย่างเป็นมืออาชีพ ตามด้วยการแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ


ขอรับไว้ด้วยความยินดี… ไม่สิ นั่นเป็นความคิดที่อันตรายมาก โชคดีที่มิสจัสติสกับเลียวนาร์ดได้คิดถึงเดอะฟูลขณะอยู่ในโถงแห่งความจริง ไม่อย่างนั้นต้องมีสักครั้งที่เราพลาดไปตอบสนองการเรียกหาของพวกเขา… และนั่นจะหมายถึงจุดจบทันที… ความอับอายคงปะทุขึ้นในใจเราอย่างรุนแรงจนคลุ้มคลั่งคาที่ กลายเป็นกลุ่มก้อนของหนอนแห่งวิญญาณ… ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะตอบกลับ


“มิสเตอร์ฟูลจงเจริญ!”


“…มิสเตอร์ฟูลจงเจริญ” ในฐานะสาวกของเทพธิดารัตติกาล เลียวนาร์ดลังเลเล็กน้อยที่จะสรรเสริญ จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อ “ตอนนี้ผมไม่เป็นอะไรแล้วเช่นกัน… แต่เมื่อครู่ผมได้ยินเสียงเรียกหาจากด้านหลังประตูทองแดง พวกคุณเป็นกันไหม?”


เมื่อเห็นว่าเลียวนาร์ดเองก็กลับเป็นปรกติ ไคลน์วางไม้กางเขนเจิดจรัสและขวดโลหะบรรจุเลือดลงบนโต๊ะทองแดงยาวตรงหน้า


“ผมก็รู้สึกแบบเดียวกัน” มันช่วยสนับสนุน


“ฉันด้วย… และนั่นไม่ใช่ภาพลวงตาอย่างแน่นอน สามารถยืนยันได้ด้วยการวิเคราะห์จิตใจตัวเอง” ออเดรย์กล่าวเสียงชัดอย่างมั่นใจ


เลียวนาร์ดยกมือขึ้นมาลูบคาง


“ถ้าอย่างนั้นมันคืออะไร? สิ่งที่เทพบรรพกาลถึงกับลงทุนผนึกไว้ด้านหลังบัลลังก์ของท่าน…”


หลังจากผ่านโถงแห่งความจริงมาด้วยกัน มันรู้สึกว่าภาพลักษณ์ของตนในสายตามิสจัสติสคงป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี จึงวางตัวสบายๆ มากขึ้น


“พวกเราน่าจะลองวิเคราะห์กันดู…” ออเดรย์ชำเลืองไปทางเดอะเวิร์ล


เธอค่อนข้างประทับใจในทักษะการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลและเชื่อมโยงในเวลาสั้นๆ ของชายคนนี้


ไคลน์ไตร่ตรองสองสามวินาทีและกล่าวลอยๆ โดยไม่มีหลักฐานสนับสนุน


“มีความเป็นไปได้อยู่สามทาง… ความเป็นไปได้แรก สิ่งนั้นคือตัวตนที่ทรงพลังจากยุคสมัยที่สองซึ่งมีลำดับใกล้เคียง 0 และมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวลเลือกจะผนึกมันไว้ใต้เมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิด แต่ผมคิดว่าโอกาสเป็นเรื่องนี้ค่อนข้างต่ำ เพราะเทพบรรพกาลรายนี้ลงทุนสร้างหนังสือขึ้นและนำเมืองเลฟซิดมายัดไว้ด้วยเหตุผลที่ต้องการ ‘ควบคุม’ โลกภายในหนังสือและโลกความจริงไปพร้อมกัน ดังนั้นจึงไม่น่าจะใส่ปัจจัยอันตรายที่ควบคุมไม่ได้เพิ่มเข้ามาเป็นเวลานาน”


“ใช่… แม้แต่พวกเรายังรู้ว่านั่นจะกลายเป็นปัญหา นับประสาอะไรกับเทพบรรพกาล” ออเดรย์พยักหน้าพลางช่วยเดอะเวิร์ลวิเคราะห์อย่างจริงจัง


ในเวลาเดียวกัน เลียวนาร์ดหัวเราะแห้งและพูด


“บางทีเทพบรรพกาลอย่างมังกรจินตภาพคงมองเห็นอนาคตและเชื่อว่าสิ่งที่ถูกผนึกไว้จะช่วยให้ท่านบรรลุวัตถุประสงค์?”


“ผมก็แค่บอกว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้ แต่น้อยมาก…” ไคลน์ตอบอย่างสุขุม “ความเป็นไปได้ที่สองก็คือ สิ่งที่ถูกผนึกไว้ด้านหลังประตูคือกุญแจสำคัญสำหรับแผนการของมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล… ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหนังสือเล่มนี้และ 0-08 ได้โคจรมาพบกัน ผนึกจะถูกทำลายและส่งผลให้สิ่งกล่าวปรากฏตัวบนโลกความจริง สร้างความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เทพบรรพกาลปรารถนา… ผมเชื่อว่าเรื่องนี้มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด”


และอาจเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมังกรแห่งปัญญา


“หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่มิสเตอร์ฟูลเคยเล่าให้ฟัง? หลังจากครอบครอง 0-08 อาดัมก็เข้าใกล้ความเป็นเทพมากขึ้นอีกหนึ่งก้าว ส่งผลให้กระแสเวลาเกิดการเปลี่ยนผัน… หรือกำลังจะบอกว่าอาดัมรวบรวมวัตถุดิบครบแล้วและรอให้พิธีกรรมเสร็จสมบูรณ์? ดิฉันเข้าใจตรงไหนผิดไปรึเปล่า?” ออเดรย์แสดงทรรศนะ


“ผมเองก็ไม่มั่นใจ… ไว้จะหาโอกาสสวดวิงวอนถามหาคำตอบจากมิสเตอร์ฟูล” ไคลน์ไม่กล้าฟันธง


น่าเสียดายที่ตาแก่เป็นเทวทูตจากยุคสมัยที่สี่ จึงมีข้อมูลของยุคสมัยที่สองไม่มากนัก แต่อย่างน้อยก็ยังรู้จักอาดัม… เลียวนาร์ดครุ่นคิด


“ผมจะลอง…”


มันคิดจะพูดว่า ‘ผมจะลองสืบให้’ แต่หลังจากนึกถึงได้ว่าเดอะเวิร์ลและจัสติสล่วงรู้ความลับของตนแล้ว จึงละทิ้งความคิดและพูดออกไปตรงๆ


“…ถามตาแก่ให้”


“รบกวนด้วยค่ะ” ออเดรย์ขอบคุณจากก้นบึ้ง


ในสายตาเธอ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเส้นทางผู้ชมโดยตรง คนที่คาใจมากที่สุดจึงหนีไม่พ้นตน แต่คนอื่นก็ยังเต็มใจที่จะช่วย


จากนั้น หญิงสาวกล่าว


“ความเป็นไปได้ที่สามก็คือ มีวัตถุหรือสัตว์ประหลาดบางชนิดถูกผนึกไว้ในโลกหนังสือนั่น?”


“ใช่… และมันน่าจะเกี่ยวข้องกับเสถียรภาพของโลกภายในหนังสือ ถ้าหากถูกทำลายไป โลกหนังสือก็จะพลังทลาย ส่งผลให้แอนเคอร์เวลทำได้เพียงผนึกมันไว้” ไคลน์อธิบายทฤษฎี


ออเดรย์ขบคิดสองสามวินาที


“สำหรับเรื่องนี้ ดิฉันมีข้อสันนิษฐาน”


เมื่อเห็นเดอะเวิร์ลและเดอะสตาร์หันมามองและรอคำตอบ หญิงสาวพูดให้ช้าลง


“ดิฉันขอวิเคราะห์ในมุมของทางจิตวิทยา… ในเมื่อโลกหนังสือถูกสร้างโดยจินตนาการของแอนเคอร์เวล ทะเลจิตใต้สำนึกรวมก็ต้องเกิดจากตัวท่านด้วยเช่นกัน ที่นั่นจะต้องเต็มไปด้วยตราประทับทางอารมณ์ ความรู้สึก และจิตของท่าน… บางทีเมืองเลฟซิดภายในหนังสืออาจมีอีกหนึ่งหน้าที่ นั่นคือการผนึก ‘อารมณ์’ ที่เข้มข้นบางชนิดของท่านเอาไว้… เช่นบาดแผลทางใจหรือความหวาดกลัวอย่างแรงกล้า หรือไม่ก็เป็นตราประทับทางจิตอันเกิดจากเหตุการณ์เลวร้าย… และในเมื่อท่านไม่สามารถเอาชนะมันได้ ไม่สามารถขจัดออกไปได้ในโลกความจริง ก็มีโอกาสเป็นไปได้มากที่ความรู้สึกนั้นจะยังคงคั่งค้างอยู่ในโลกหนังสือ หากปล่อยเอาไว้จะกัดกร่อนทะเลจิตใต้สำนึกรวมของหนังสือจนส่งผลกระทบต่อเป้าหมาย ท่านจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากผนึกเอาไว้”


เลียวนาร์ดซึ่งกำลังตั้งใจฟังยิ่งกว่าประชุมหน่วยถุงมือแดง ตัดสินใจซักถามความสงสัย


“ในฐานะเทพบรรพกาลผู้ปกครองขอบเขตท้องฟ้าและจิต สิ่งใดสามารถสร้างบาดแผลทางใจหรือความหวาดกลัวที่ขจัดไม่ได้?”


“ดิฉันเองก็ไม่ทราบ” ออเดรย์ส่ายศีรษะอย่างซื่อตรง “แต่ถ้าจะให้วิเคราะห์ตามหลักการทางจิตวิทยา… ในเมื่อสิ่งนั้นถูกผนึกไว้ใต้บัลลังก์ในเมืองเลฟซิด แถมยังต้องผ่านทางเดินอันมืดมิดลงไป มีความเป็นไปได้ว่าต้นตอของบาดแผลทางใจและความกลัวจะมาจากใต้ดิน ท่านจึงต้องทำการผนึก ไม่สิ ทำการปิดกั้นจิตที่มาจากใต้ดิน… ไม่อย่างนั้น ทำไมท่านถึงไม่ผนึกไว้ข้างๆ บัลลังก์ ในห้องโถง หรือสร้างคุกพิเศษขึ้นมาขังไว้โดยเฉพาะ?”


เมื่อได้ยินคำอธิบายของมิสจัสติส ไคลน์พลันนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับมิสเมจิกเชี่ยนและมิสจัดจ์เมนต์


จากข้อมูลของผีดูดเลือด พวกมันค้นพบปราสาทโบราณหลังนี้มาเป็นเวลานานจนมิอาจระบุได้แน่ชัด ใต้ปราสาทเป็นบานประตูทองแดงที่คอยผนึกบางสิ่งที่น่ากลัวซึ่งมาจากใต้ดิน หากใครก็ตามเข้าใกล้ประตูบานดังกล่าวนานเกินไป คนคนนั้นจะถูกกัดกร่อนและประสบเคราะห์กรรมที่น่าสยดสยอง!


ปราสาทหลังนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันบางสิ่งบางอย่าง… และก่อนที่ผีดูดเลือดจะไปพบ มนุษย์ที่เป็นเจ้าเดิมของปราสาทก็คอยเฝ้าระวังสิ่งเดียวกันมานานแล้ว… เมื่อปราสาทตกถึงมือผีดูดเลือด ก็ไม่เคยมีใครกล้าเข้าไปสำรวจอีกเลย… ในตอนนั้น เราวิเคราะห์ว่าสิ่งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับปีศาจและต้องเป็นครึ่งเทพเสียก่อนจึงจะเข้าไปสำรวจได้… จะเกี่ยวข้องกับผนึกในเลฟซิดไหม? ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์พบข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากความทรงจำ


ระหว่างทางก่อนที่จะเข้าไปในน่านน้ำซากสมรภูมิแห่งเทพ เรืออนาคตกาลของแคทลียาค้นพบ ‘บ่อน้ำทะเลลึก’


ในตอนนั้น ลูกเรือของอนาคตกาลอย่างนีน่าได้ดำลงไปสำรวจ เธอระบุว่าบ่อดังกล่าวมีขนาดเล็กมาก มืดสนิทและลึกไร้ก้น กระทั่งเด็กก็ยังผ่านเข้าไปไม่ได้ ผนังด้านในบ่อมีร่องรอยการสึกกร่อนในลักษณะคล้ายรังผึ้ง รอบๆ บ่อมีซากอาคารเหล็กพังถล่ม


ในทางทฤษฎี สิ่งนี้ก็สามารถเป็น ‘ทางเดิน’ ที่มุ่งหน้าลงไปยังใต้ดินได้เช่นกัน… ไคลน์มองไปรอบๆ และเรียบเรียงคำพูด


“ยังคงเรื่องที่มิสเมจิกเชี่ยนเล่าให้ฟังได้ไหม? ภายในห้องใต้ดินของปราสาทโบราณในปาเดแลร์ มีบานประตูคู่ที่ทำจากทองแดงถูกปิดตาย และรอบๆ ประตูบานดังกล่าวแผ่พลังกัดกร่อนที่รุนแรงออกมาตลอดเวลา”


“จริงด้วย!” ออเดรย์ฉุกคิดได้ทันที “หรือว่าในช่วงต้นยุคสมัยที่สอง… บรรดาเผ่าพันธุ์ทรงอำนาจต่างหวาดกลัวในสิ่งเดียวกัน และสิ่งนั้นมาจากใต้ดิน?”


“เป็นไปได้…” ไคลน์ยังคงไม่กล้าฟันธง นอกจากนั้นก็ยังถือโอกาสพูด “เท่าที่ผมทราบ คำทำนายวันสิ้นโลกล้วนระบุตรงกันว่าหายนะคือสิ่งที่มาจากอวกาศ”


“อา…” ออเดรย์และเลียวนาร์ดไม่ชำนาญในหัวข้อนี้ จึงไม่ได้เสริมสิ่งใด


“วันนี้พอแค่นี้ก่อน ไว้เข้าใจสถานการณ์มากกว่านี้ค่อยมาทำการทดลองภาพจิตรกรรมฝาผนัง… และห้ามนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังเด็ดขาด” ไคลน์หันไปทางเลียวนาร์ด “นอกจากนั้น หลังจากกลับออกไป อย่าลืมสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลและขอให้ท่านเป็นสักขีพยานในการไม่เปิดเผยความลับกันและกันของพวกเราสามคน”


ออเดรย์ไม่คัดค้าน แถมยังกล่าวเสริม


“ดิฉันจะใช้พลังสะกดจิตช่วยให้ลืมบางเรื่องเมื่อกลับออกไป”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1074 : คำตอบ

 

หลังออเดรย์และเลียวนาร์ดออกจากมิติหมอก ไคลน์ยังไม่รีบร้อนกลับสู่โลกความจริง


ชายหนุ่มยังคงนั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะเวิร์ลอย่างเงียบงันต่อไปอีกราวสิบวินาที


จากนั้น มันโบกมือเรียกสิ่งของ


เป็น ‘หัวใจ’ ขนาดเท่ากับกำปั้นเด็ก สีเทาอ่อนและมีรอยหยัก


ตะกอนพลังของ ‘จอมบงการ’ !


ในท่าถือตะกอนพลัง ไคลน์ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากพระราชวังที่โอ่อ่า ตรงเข้าไปในส่วนลึกของมิติหมอกจนกระทั่งถึงบันไดแสงที่ดูคล้ายกับจะนำพาไปสู่อาณาจักรเทพ


หลังจากเดินขึ้นบันได ไคลน์ก้าวไปเหยียบเมฆสีเทาที่ลอยอยู่ด้านหน้าบานประตูแห่งแสงซึ่งด้านบนมีรังไหมโปร่งใสห้อยลงมา จากนั้นก็ยกมือขวามาจ่อหัวใจตัวเองและถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป หวังกระตุ้นให้เกิดการทำงาน


ชายหนุ่มต้องการจะดูว่าบุคคลภายในรังไหมยังมีจิตใต้สำนึกหลงเหลืออยู่หรือไม่ และสร้างทะเลจิตใต้สำนึกรวมในวงแคบๆ ขึ้นมาไหม


เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้น แผนของมันคือการใช้ตะกอนพลังจอมบงการของเฮอร์วิน·แรมบิสเพื่อบุกรุกเข้าไปในจิตใต้สำนึกของแต่ละคนเพื่อตรวจสอบตราประทับทางจิต จะได้ทราบว่าบรรดาคนที่ถูกแขวนเหนือบานประตูแห่งแสงเคยเผชิญประสบการณ์แบบใดมาบ้างก่อนจะ ‘เดินทางข้ามโลก’ รวมถึงต้องการทราบว่าแต่ละคนยังมีสติอยู่หรือไม่ภายในช่วงเวลา ‘การหลับใหลอันยาวนาน’


นี่คือไอเดียที่คิดได้จากการสำรวจในวันนี้


แต่แน่นอน ตะกอนพลังของเฮอร์วิน·แรมบิสอาจไม่ช่วยให้ไคลน์บรรลุในสิ่งที่หวัง เพราะสิ่งนี้ยังเป็นเพียงตะกอนพลังดิบ ไม่ใช่สมบัติวิเศษ จึงยากที่จะดึงพลังออกมาใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ


ทันใดนั้น ‘หัวใจ’ ที่มีรอยหยักภายในมือไคลน์เริ่มยุบพองอย่างเชื่องช้า ส่งผลให้เกิดเสียงหัวใจเต้น


ในเวลาเดียวกัน ไคลน์ได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังตอบสนองมาจากรังไหมโปร่งใส


ตึกตัก! ตึกตัก!


สิ่งนี้หมายความว่า บุคคลด้านในยังมีชีวิต เพียงแต่อยู่ในสภาวะหลับใหล


ทัศนวิสัยของไคลน์เริ่มแปรเปลี่ยน มันมองเห็น ‘เกาะ’ อันพร่ามัวด้านล่างแต่ละรังไหม


เกาะดังกล่าวหมายถึงดินแดนแห่งจิตใต้สำนึกของแต่ละคน


ทว่าเกาะแห่งจิตเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ในอาณาเขตของรังไหม ปิดกันการจ้องมองจากโลกภายนอก


กล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นเพราะเกาะของแต่ละคนถูกแยกออกจากความเป็นจริง จึงไม่สามารถสร้างทะเลจิตใต้สำนึกรวมขึ้นมา


เว้นเสียแต่จะทำลายรังไหมเหล่านี้ เราคงไม่มีวิธีเจาะเข้าไปในเกาะแห่งจิตของพวกเขา… ไคลน์พึมพำพลางลดแขนข้างที่ถือตะกอนพลังจอมบงการลง


สองสามวินาทีถัดมา มันถอนหายใจยาวและหันหลังเดินกลับ


..


เขตราชินี ภายในคฤหาสน์สุดหรูของเอิร์ลฮอลล์


ในสภาพถูกคลุมด้วยผ้าห่มผ้าไหม ออเดรย์ที่หลับสนิทเป็นเวลานานในที่สุดก็ลืมตา


จากนั้นหญิงสาวลุกขึ้นมานั่งที่ขอบเตียง สวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลอย่างจริงใจและขอให้ท่านเป็นสักขีพยานในคำสาบานว่าจะไม่เปิดเผยความลับระหว่างคนทั้งสาม


หลังจากจัดการเสร็จ เธอดึงหมอนมาวางข้างเอวพร้อมกับนึกทบทวนความทรงจำระหว่างการสำรวจที่ควร ‘ลืม’


ประวัติศาสตร์โบราณทั้งน่าสนใจและน่าขนลุก… ความเป็นมืออาชีพของมิสเตอร์สตาร์เป็นไปตามที่เราสังเกตเห็น มีทั้งหย่อนยานและตั้งใจในปริมาณเท่าๆ กัน… แม้สมาธิจะเตลิดได้ง่าย แต่หลายๆ ครั้งก็แสดงความเชี่ยวชาญออกมาอย่างเหนือความคาดหมาย เรียกว่าพึ่งพาได้ในบางมุม… นิสัยเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปรกติ เพราะมนุษย์จำนวนไม่น้อยจะมีบุคลิกแบบผสมผสาน…


มิสเตอร์เวิร์ลเป็นคนสุภาพอ่อนโยนอย่างที่คิด ภายนอกอาจไม่แสดงสีหน้ามากนัก แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยการพูดคุยกับตัวเอง… บทสนทนาทางจิตระหว่างเขากับมิสเตอร์สตาร์สามารถนำไปสร้างเป็นละครได้สบาย…


ผู้คนมักเรียกเขาว่านักผจญภัยเสียสติที่สามารถยกปืนขึ้นมายิงใส่คู่อริในทันทีที่เห็นตัว… แต่ในจังหวะสุดท้ายของการสำรวจ เราคิดว่าเขาจะพยายามสำรวจบานประตูทองแดงเสียคิด คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะเลือก… หนี… ไม่สิ เรียกว่าการถอนตัวอย่างชาญฉลาด! ออเดรย์ยกมุมปากขณะใช้ความคิดเรื่อยเปื่อย


จากนั้นเธอสร้างข้อสรุป


กลับกลายเป็นว่า ภายในโลกผู้วิเศษ ถ้าไม่นับพวกที่เสียสติโดยสิ้นเชิงและใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณ ต่อให้เป็นคนบ้าแค่ไหนก็มีวันล้ำเส้นอันตราย… ถ้าอยากอายุยืนต้องระวังตัวและมีสมาธิทุกลมหายใจ ห้ามมองในสิ่งที่ไม่ควรมอง ห้ามฟังไม่สิ่งที่ไม่ควรฟัง…


ออเดรย์ เธอต้องจำใส่ใจไว้ให้ดี!



บ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์ สติของเลียวนาร์ดกลับคืนสู่ร่างหลัก


มันรีบไตร่ตรองว่าควรจะพูดคุยกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์ด้วยหัวข้อใด จากนั้นก็ตัดสินใจกล่าวเสียงทุ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ตาแก่… ผมมีคำถาม”


ภายในหัวเลียวนาร์ด เสียงค่อนข้างชราของพาลีสหัวเราะแห้ง


“เจ้าต้องจำเอาไว้ว่า ยิ่งถามมากแค่ไหน ข้าก็ยิ่งเดาได้ว่าเจ้าไปทำอะไรมา”


“ก็ไม่ได้เป็นความลับนักหรอก…” เลียวนาร์ดตอบตามความเคยชินก่อนจะเข้าประเด็นหลัก “ตาแก่… รู้เรื่องของพี่ชายอามุนด์มากแค่ไหน”


“ขึ้นอยู่กับว่า เจ้าต้องการจะรู้ในแง่มุมใด” พาลีส·โซโรอาสเตอร์โยนคำถามกลับมาหาเลียวนาร์ด


เลียวนาร์ดไตร่ตรองสักพัก


“หลังจากพี่ชายอามุนด์ได้รับ 0-08 ท่านก็เข้าใกล้ความเป็นเทพมากเข้าไปทุกที?”


“ก็คงอย่างนั้น” พาลีสไม่ฟันธง


เลียวนาร์ดไม่พอใจกับคำตอบ


“ผมยังจำได้ คุณเคยเล่าว่าสมัยที่จักรวรรดิโซโลมอนเพิ่งก่อตั้ง สองราชาเทวทูตอย่างเมดีซีและโอโรเลอุสค่อนข้างกลัวอามุนด์และพี่ชาย นั่นหมายความว่าพวกเขาเข้าใกล้ความเป็นเทพตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”


พาลีสเคยพูดเรื่องนี้ให้ฟังหลายครั้ง แต่เลียวนาร์ดเพิ่งยืนยันได้หลังจากฟังเรื่องราวของโมเบธ


“เฮ่อะ! ข้าแค่พูดประโยคแรก ไม่เคยบอกว่าอามุนด์กับอาดัมเข้าใกล้ความเป็นเทพ” พาลีสโต้แย้งความกล่าวอ้างของเลียวนาร์ด “มีเหตุผลหลายข้อที่ทำให้เมดีซีและโอโรเลอุสหวาดกลัว ไม่ใช่แค่เรื่องที่ทั้งสองเข้าใกล้ความเป็นเทพ… การอนุมานเช่นนั้นของเจ้ายังอ่อนหัด”


เทวทูตลำดับ 1 รายนี้กระแอมก่อนจะเล่าต่อ


“การที่พวกเขาเข้าใกล้ความเป็นเทพนั้นก็เหตุผลหนึ่ง ส่วนอีกเหตุผลก็คือ อาดัมและอามุนด์ต่างถือครอง ‘เอกลักษณ์’ ในอำนาจของตัวเองจนยากจะมีใครรับมือไหว… ยกตัวอย่างเช่น เจ้าไม่มีวันรู้ว่าอาดัมมานั่งอยู่ข้างๆ หากเขาไม่ต้องการให้รู้… เจ้าไม่มีวันตระหนักว่าตัวเองถูกอาดัมชักนำให้ใช้ชีวิตไปตามเขาต้องการ… หรือเจ้าอาจจะตั้งใจเดินเข้าไปหากับดักที่อาดัมวางไว้และตายไปโดยไม่ทันได้รู้ตัว… หึหึ… แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเกิดกับเจ้า ไม่ใช่ข้า เพราะข้าเองก็มีวิธีรับมืออยู่บ้าง แต่หากประมาทเมื่อไรก็ไม่รอดเช่นกัน… สำหรับอามุนด์ แนวคิดค่อนข้างแตกต่างจากอาดัมพอสมควร อามุนด์เป็นพวก ‘ชอบลอง’ ส่งผลให้ผู้คนไม่สามารถคาดเดาพฤติกรรมล่วงหน้าได้เลย นอกจากนั้นยังเป็นคนที่เจ้าเล่ห์มาก ทุกการกระทำจะมีกลอุบายอยู่เบื้องหลังเสมอ… ในยุคดังกล่าว นอกจากเทพแท้จริง ไม่มีใครไม่หวาดกลัวอามุนด์… หึหึ… แม้แต่เทพแท้จริงก็ห้ามประมาทเช่นกัน ไม่อย่างนั้นอาจถูกขโมยอำนาจในบางขอบเขตโดยไม่รู้ตัว”


เลียวนาร์ดพยักหน้าแผ่วเบาและเปลี่ยนหัวข้อ


“ตาแก่… คุณคิดว่าเส้นทางผู้ชมซุกซ่อนความลับเอาไว้ไหม?”


“ในระดับต่ำกว่าเทวทูตไม่น่าจะมี… แต่เหนือจากนั้นขึ้นไปข้าไม่ทราบ” พาลีสกล่าวหลังจากครุ่นคิด


โดยไม่รอให้เลียวนาร์ดตอบสนอง มันเสริมอย่างไม่มั่นใจนัก


“ข้าเคยได้ยินจากเมดีซีว่า ผู้วิเศษเส้นทางผู้ชมนั้นคลุ้มคลั่งและเสียสติได้ยากที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็เกิดขึ้นได้ง่ายที่สุด”


“ไม่เข้าใจ…” เลียวนาร์ดขมวดคิ้ว


พาลีสพ่นลม


“สิ่งนี้ข้ารู้เป็นแค่ข้อสันนิษฐาน ไว้มั่นใจมากกว่านี้จะเล่าให้ฟัง”


“ข้อสันนิษฐาน? คุณไม่รู้อะไรเลยมากกว่ากระมัง” เลียวนาร์ดเย้ยหยัน


“ลูกไม้ตื้นๆ ใช้ไม่ได้ผลกับข้าหรอกนะ” เสียงที่ค่อนข้างชรายังคงสงบนิ่ง


เลียวนาร์ดไม่ซักไซ้ในหัวข้อเดิม เพียงไตร่ตรองสักพักและถามเรื่องอื่น


“ตาแก่… คราวนี้ผมได้เข้าไปในความฝันที่ค่อนข้างพิเศษ… ที่นั่นเต็มไปด้วยจิตตกค้างของผู้คนจากสมัยโบราณ… พอจะรู้จักคนที่ชื่อโมเบธ·โซโรอาสเตอร์บ้างไหม”


“โมเบธ…” เสียงของพาลีสแก่ลงมากในชั่วขณะ แต่เพียงไม่นานก็กลับไปเป็นปรกติ “เขาเป็นทายาทสายตรงของข้า หายตัวไปหลังจากจบสงครามใหญ่ ในตอนนั้นมีการสันนิษฐานว่าถูกฆ่าโดยฝีมือของอามุนด์หรือไม่ก็เจคอป เพราะข้าไม่สามารถทำนายหาตัวฆาตกร… ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะไม่ง่ายแบบนั้นสินะ”


“อา…” เลียวนาร์ดไม่ปฏิเสธ จากนั้นก็เล่าคร่าวๆ “เขาเสียชีวิตไปได้สักพักแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงจิตตกค้าง… ในความฝันดังกล่าว เขาแต่งงานและชีวิตร่วมกับผู้ขับขานแห่งเอลฟ์อย่างมีความสุข…”


หลังจากได้ฟัง พาลีสเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบ


“แบบนี้ดีแล้ว…”


เลียวนาร์ดต้องการจะเอ่ยถึงเรื่องที่โมเบธเรียกพาลีสว่า ‘ตาแก่’ เหมือนกับตน แต่มันกลับพูดไม่ออกเป็นเวลานาน จนกระทั่งตัดสินใจจบบทสนทนาไว้เพียงเท่านี้



หลังจากเป็นสักขีพยานให้คำสาบานของเลียวนาร์ดและออเดรย์ ไคลน์กลับสู่โลกความจริง


มันเก็บกวาดแท่นบูชาในห้อง จากนั้นก็หยิบปากกาและกระดาษออกมาวาดสัญลักษณ์ที่เป็นส่วนผสมระหว่าง ‘ความลับ’ และ ‘ส่องความลับ’


ไคลน์คิดจะอัญเชิญอาโรเดสออกมาถามถึงสาเหตุที่กระจกวิเศษบานนี้มั่นใจว่า ‘การเดินทางของกรอซายปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่เมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิดหายไป’


รอคอยอย่างอดทนราวสิบวินาที กระจกบานใหญ่ภายในห้องก็ส่องแสงคล้ายสายน้ำ


ตัวอักษรสีเงินเรียงกันท่ามกลางแสงสลัว


“นายท่านผู้สูงส่งและเปี่ยมไปด้วยความกรุณา ข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ ถ่อมตน และต่ำต้อยของท่าน มาตามคำเรียกหาแล้ว!”


“ท่านมีอะไรให้ข้าช่วยไหม?”


“มีคำถามนิดหน่อย” หลังจากขานตอบ ไคลน์ไม่รีบร้อนถามเกี่ยวกับ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ตั้งแต่แรก แต่เลือกเปิดบทสนทนาด้วยหัวข้อสบายๆ ไปก่อน


มันไตร่ตรองสักพัก


“อาโรเดส ในป่าเดแลร์มีปราสาทร้างแห่งหนึ่ง ลึกลงไปด้านล่างของปราสาทมีบานประตูทองแดงที่ดูเหมือนจะคอยผนึกพลังงานบางอย่างที่เอ่อล้นจากใต้ดิน… สิ่งนั้นคืออะไร?”


สิ้นเสียงไคลน์ ผิวกระจกบานใหญ่พลันแปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิด


ท่ามกลางความมืด ตัวอักษรสีขาวถูกเขียนอย่างพลิ้วไหวราวกับสายน้ำ


“ข้ามาจากใต้ดิน…”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1075 : ไม่ตอบสนอง

 

“ข้ามาจากใต้ดิน…”


เมื่อเห็นตัวอักษรสีขาวซีดบนผิวกระจกสีดำ ไคลน์เย็นสันหลังวาบขึ้นมาทันที รูม่านตาขยายกว้าง ภายในใจนึกอยากจะสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดที่อยู่ในห้องถัดไป


และในห้องนอนบุรุษรับใช้ส่วนตัว เอ็นยูนที่กำลังหลับเงียบๆ พลันลืมตาขึ้น


ท้องของมันพองขึ้นเล็กน้อยและหดกลับ ราวกับมีหัวใจดวงที่สองโผล่ขึ้นตรงนั้น เป็นหัวใจที่เต้นในจังหวะเนิบนาบ


ขณะเดียวกัน ไคลน์มองเห็นคำตอบของกระจกวิเศษ อาโรเดสจากบนผิวกระจก:


เป็นภาพเคลื่อนไหวของวัตถุเหนียวหนืดสีดำที่พรั่งพรูออกจากรูบนพื้นดิน ของเหลวเหล่านั้นยุบพองตัวเองเป็นระยะและผุดมือเท้าขึ้นมาในจำนวนที่ไม่เท่ากัน แขนขาเหล่านั้นค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นสัตว์ประหลาดทีละหนึ่ง ระหว่างความวุ่นวาย แสงสว่างจุดหนึ่งพุ่งออกมาจากท่ามกลางบ่อของเหลว ตกลงบนก้อนหินและผสมผสานกันกลายเป็นกระจกสีเงินลวดลายโบราณ ทั้งสองฝั่งมีอัญมณีสีดำประดับ กระจกบานดังกล่าวกลายเป็นร่างหลักของอาโรเดสนับแต่นั้นเป็นต้นมา


มาจากใต้ดินจริงๆ … และดูเหมือนจะเป็นใต้ดินของปราสาทร้างที่ถูกผนึกไว้ด้วยประตูทองแดง… เราไม่เคยเชื่อมโยงสิ่งนี้กับอาโรเดสมาก่อน… นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะใต้ดินมักเชื่อมโยงกับหลายๆ สิ่งที่ไม่สลักสำคัญ ยกตัวอย่างเช่นถ่านหิน… อา…ก่อนจะถึงวันนี้ เราไม่เคยสัมผัสถึงความพิเศษของ ‘ใต้ดิน’ แม้แต่ครั้งเดียว… ไคลน์ควบคุมอารมณ์ที่คุกรุ่นภายในใจ แสร้งทำเป็นไม่แยแสคำตอบอันแสนน่ากลัวของอาโรเดส จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้านิ่งเฉย


“อธิบายสถานการณ์มาหน่อย”


อักษรสีขาวเริ่มสั่นระริกและมอบบรรยากาศโศกเศร้าราวกับกำลังร้องไห้


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้าเองก็ไม่รู้รายละเอียดมากนัก จิตใต้สำนึกเพิ่งก่อตัวขึ้นหลังจากกลายเป็นกระจกเงาแล้ว… ไม่มีความทรงจำก่อนหน้านั้นแม้แต่นิดเดียว… จริงสิ… มีอยู่เรื่องหนึ่งที่อาจเกี่ยวข้องกัน ท่านต้องการฟังไหม?”


“พูด” เมื่อเห็นว่ากระจกวิเศษ อาโรเดสยังคงอยู่ในอาการปรกติ ไคลน์ค่อนข้างโล่งอก


ตัวอักษรบนผิวกระจกเริ่มกลับเป็นปรกติ ค่อนไปทางสีขาวสว่าง


“ตามที่ข้าเคยเล่าให้ฟังไปแล้ว… ข้ามองเห็นการค้ำจุนและการปกครองจากตัวท่าน… หากไม่รับเสียงเรียกหาที่ยากจะเข้าใจ ข้ายังรู้สึกกับท่านแบบเดียวกับที่รู้สึกกับใต้ดิน เป็นความอบอุ่นและสามารถพึ่งพิง นั่นคือสาเหตุที่ข้าเสนอตัวเป็นข้ารับใช้ของท่าน”


อะไรนะ… ใต้ดินมอบความรู้สึกเดียวกับหมอกสีเทา? เป็นความรู้สึกค้ำจุนและปกครองเหมือนกัน? เมื่อได้เห็นคำตอบของอาโรเดส เป็นอีกครั้งที่ไคลน์ตกตะลึงในใจ หากไม่มีพลังตัวตลกคอยช่วยเหลือ เกรงว่าคงได้เผยสีหน้าที่แท้จริงออกไป


ทันใดนั้น มันหวนนึกถึงมุกตลกในชีวิตก่อนหน้า จากนั้นก็นำมาปรับใช้กับสถานการณ์ปัจจุบัน


อะไรนะ? สิ่งที่เทพบรรพกาลหวาดกลัวมีต้นตอมาจากใต้ดิน?


อะไรนะ? กระจกวิเศษ อาโรเดสเองก็มาจากใต้ดิน?


อะไรนะ? หรือว่าเราเองก็มาจากใต้ดิน? แฮ่!


ทั้งน่าขันและน่าสะพรึงในเวลาเดียวกัน… ไม่สิ นี่อาจไม่ใช่แค่มุกตลก เจ้าของเดิมของมิติลึกลับเหนือสายหมอก หรือที่ควรเรียกว่าผู้สร้างบานประตูแห่งแสงซึ่งคอยดึงนักเดินทางข้ามโลกมาขังไว้ในรังไหม อาจมีต้นตอมาจากใต้ดินเช่นกัน หรือไม่ก็เกี่ยวข้องอย่างแน่นแฟ้นกับสิ่งที่อยู่ใต้ดิน… ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ผุดทฤษฎีมากมาย


หลังจากความหม่นหมองกัดกินจิตใจ ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มพร้อมกับจิกกัดตัวเอง


ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยิ่งเราดำเนินชีวิตต่อไป เบาะแสเกี่ยวกับมิติเหนือสายหมอกแห่งนี้ก็พรั่งพรูเข้ามาไม่หยุด…


ไคลน์นั่งลงและตั้งคำถาม


“มีองค์กรลับหรือโบสถ์หลักแห่งใดบ้างที่มีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ดิน?”


บนบานกระจก ตัวอักษรสีขาวเปลี่ยนเป็นสีเงินสว่าง


“ส่วนใหญ่ไม่ทราบ… ราวกับถูกพลังบางชนิดปกปิดไว้”


อย่าบอกนะว่า… พรแห่งการปกปิด? ไคลน์ขมวดคิ้วแต่มิได้กล่าวคำใด


อักษรสีเงินยังคงเรียงตัวเป็นประโยค


“แต่ในองค์กรลับบางแห่งก็มีการเขียนตำนานถึงเรื่องนี้… ส่วนใหญ่เล่าว่า ใต้ดินคือรังของปีศาจและวิญญาณมาร เป็นบ่อเกิดความชั่วร้ายในจิตใจมนุษย์ เป็นบาปต้นกำเนิดอันแสนชั่วร้าย”


ประโยคแรกไม่จริงเลย… มีความเป็นไปได้สูงที่ใต้ดินจะไม่เกี่ยวกับปีศาจและวิญญาณมาร… อันที่จริง ‘ตำนาน’ นั้นคล้ายกับวิวรณ์จากโลกวิญญาณ ห้ามวิเคราะห์ตรงๆ แต่ต้องกะเทาะเปลือกออกเรื่อยๆ จนเหลือแค่แก่นแท้… หรือว่าตำนานขององค์กรลับเหล่านี้กำลังสื่อถึงความกลัวที่พวกมันมีต่อใต้ดิน เป็นความกลัวที่ซึมลึกเข้าไปถึงจิตใต้สำนึกและแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์? ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะพยักหน้า


“ตาเจ้าถามแล้ว”


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ อาโรเดส ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่านมีคำแนะนำเล็กน้อย ต้องการจะฟังหรือไม่?” บนผิวกระจกบานใหญ่ ตัวอักษรสีเงินถูกเขียนอย่างบรรจง


“ว่ามา” ไคลน์พอจะเดาได้ว่ากระจกวิเศษ อาโรเดสจะขอร้องในสิ่งใด


“ก่อนที่ท่านจะกลับสู่บัลลังก์เทพ พยายามอย่าสืบสวนเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ดินได้ไหม?” แสงสีเงินเรียงตัวเป็นประโยคอย่างรวดเร็ว


นั่นปะไร… ไคลน์ถอนหายใจเงียบและกล่าวอย่างสุขุม


“คำถามถัดไป… เจ้าทราบได้อย่างไรว่า ‘การเดินทางของกรอซาย’ ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากการหายตัวเองของเมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิด”


ข้อความบนผิวกระจกเริ่มบิดเบี้ยวและรวมตัวกันเป็นก้อนกลม ก่อนจะกระจัดกระจายหายไป


“เป็นวิวรณ์จากโลกวิญญาณ และเนื่องจากต้นกำเนิดของวิวรณ์นี้มาจากเทพรับใช้แห่งมหามังกร มังกรแห่งปัญญาโดยตรง ข้ารับใช้ของท่านจึงค่อนข้างเชื่อว่านี่คือความจริง… นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้อมูลนี้มีปัญหาหรือ?”


ตรงไปตรงมาดี… ไคลน์ถอนหายใจพร้อมกับคิดว่า:


มังกรแห่งปัญญา เฮราเบอร์เก้นคงเข้ามาสำรวจในโลกหนังสือแล้วอย่างแน่นอน รวมถึงการเข้าใกล้บานประตูทองแดงด้านล่างบัลลังก์ และเนื่องด้วยคุณสมบัติด้าน ‘ความทรงปัญญา’ มีโอกาสอย่างมากที่เฮราเบอร์เก้นจะมีข้อมูลของสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ดิน… นอกจากนั้นเรามีความรู้สึกว่ามังกรโบราณตัวนี้จะซุกซ่อนความลับบางอย่างไว้ใน ‘การเดินทางของกรอซาย’


ชายหนุ่มพอจะเข้าใจบางสิ่งอย่างเลือนราง แต่เลือนรางเกินไปจนจับใจความไม่ได้เลย


“เปล่า” ไคลน์ตอบคำถามของกระจกวิเศษ อาโรเดส


จากนั้นก็ถามหยั่งเชิง


“ทำไมเจ้าไม่เอ่ยนามเต็มของมังกรแห่งปัญญา?”


“เพราะข้ามิบังอาจเอ่ยพระนามเต็มของเทพแท้จริง” อาโรเดสตอบอ้อมๆ อย่างมีไหวพริบ


ไคลน์พยักหน้า มิได้กล่าวคำใดเพิ่ม


“ตาเจ้าถามแล้ว”


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ท่านยังมีคำถามอีกหรือไม่” ตัวอักษรสีเงินเรียงตัวกันอย่างรวดเร็วบนกระจกที่มีแสงสลัว


“หมดแล้ว… วันนี้พอเท่านี้” ไคลน์ส่ายหน้า


กล่าวจบ มันยังไม่ลืมที่สิ่งเคยเกิดขึ้นครั้งล่าสุด จึงรีบเสริม


“ถ้ามีคำถามเพิ่มเติมจะอัญเชิญออกมาใหม่”


กระจกยาวบานใหญ่พลันส่องแสง เช่นเดียวกันกับตัวอักษรสีเงิน


“ขอรับ นายท่าน! อาโรเดส ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และแน่วแน่ของท่าน จะเฝ้ารอการเรียกหาของท่านอีกครั้งอย่างใจจดใจจ่อ~”


คราวนี้ไม่ใช่ภาพของตัวก้างปลากำลังโบกมือ แต่เป็นอุ้งเท้าแมวสีขาวที่ตรงกลางเป็นหัวใจสีแดง


มีลูกเล่นใหม่ทุกครั้ง… มุมปากไคลน์กระตุกแผ่วเบาก่อนที่แสงสว่างในห้องนอนจะกลับเป็นปรกติ


ชายหนุ่มยืนอยู่ท่ามกลางความมืด ร่างกายฉาบแสงจันทร์สีแดงนวลที่แทรกซึมผ่านเข้ามาทางผ้าม่าน หลังจากปล่อยให้ความเงียบเข้ามาปกคลุมสักพัก ชายหนุ่มตรงกลับไปที่เตียงนอนและเข้าฌานเพื่อให้หลับ


เช้าวันถัดมา หรือเช้าตรู่ในวันจันทร์ ไคลน์ตื่นเร็วกว่าปรกติประมาณสิบห้านาที หลังจากแต่งตัวเสร็จด้วยความช่วยเหลือจากบุรุษรับใช้เอ็นยูน ชายหนุ่มเดินลงไปที่ชั้นแรกและพูดกับพ่อบ้านวอลเตอร์


“เมื่อคืนผมฝันร้าย อยากแวะไปที่วิหารก่อนอาหารเช้า”


พ่อบ้านวอลเตอร์ประหลาดใจเล็กๆ แต่ก็มิได้แตกตื่น ตราบใดที่วิหารเปิดประตู สาวกจะเข้าไปตอนไหนก็ได้


มันรีบจัดเตรียมรถม้าและเดินไปส่งดอน·ดันเตสจนถึงหน้าประตู


เมื่อไคลน์เดินทางถึงวิหารนักบุญแซมมวล ประตูวิหารยังไม่เปิดต้อนรับ ต้องรอจนกระทั่งแปดโมงตรงจึงได้โอกาสตามสาวกกลุ่มแรกเข้าไปนั่งที่ม้านั่งแถวหน้าๆ ของโถงสวดมนต์ หันหน้าเข้าหาตราศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืด ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบเชียบและสุขสงบ ชายหนุ่มหลับตาลงและเอ่ยพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์เป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ


“เทพธิดารัตติกาลผู้สูงสง่ายิ่งกว่าดวงดารา ผู้ยั่งยืนยิ่งกว่านิรันดร์ พระองค์ผู้เป็นสตรีสีชาด มารดาแห่งความลับ จักรพรรดินีแห่งเคราะห์กรรม นายหญิงแห่งความเงียบและสุขสงบ…”


ท่องพระนามเต็มจบ มันเปลี่ยนกลับมาพูดเป็นภาษาโลเอ็นธรรมดา


“ณ ปราสาทเก่าแก่หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางป่าเดแลร์ ชั้นใต้ดินมีประตูทองแดงคอยผนึกพลังกัดกร่อนที่ลึกลับและร้ายกาจ… ผมควรจัดการกับปัญหาดังกล่าวด้วยวิธีใด”


ไคลน์มิได้กำลังทดสอบเทพ แต่เป็นการ ‘รายงาน’ ตามหน้าที่ ส่วนหลังจากนี้ทางศาสนจักรจะตอบสนองเช่นไรและพบเจอสิ่งใด นั่นไม่เกี่ยวกับตน


ท่องครบเจ็ดหน ชายหนุ่มเริ่มสวดมนต์ตามปรกติอย่างเคร่งขรึม


กระแสเวลาไหลผ่านไปตามธรรมชาติ ท่ามกลางวิหารที่มืดมิดและเงียบสงบ ไคลน์ลุกขึ้นยืนและพาบุรุษรับใช้เอ็นยูนเดินออกจากวิหารนักบุญแซมมวล


ตั้งแต่ต้นจนจบ มันไม่ได้รับวิวรณ์ใดอีกเลย และไม่พบหัวหน้านักบวชแห่งรัตติกาล อาเรียนน่า


การตอบสนองเช่นนี้เองก็มีความหมายในตัวมัน


นั่นคือตนยังไม่มีสิทธิ์รับรู้ข้อมูลของสิ่งที่ถูกผนึกไว้ใต้ดิน



เขตตะวันออก ภายในห้องพักแบบสองห้องนอน


ฟอร์สดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัว


เธอเกลียดผ้าม่านของห้องนี้มาก เพราะมันทั้งบางและโปร่ง แทบไม่ช่วยยับยั้งแสงสว่างที่ทะลักเข้ามา ส่งผลด้านลบต่อคุณภาพในการนอน


คงต้องเปลี่ยนมันสินะ… ไม่สิ เราอาจต้องย้ายที่อยู่อีก… ขณะความคิดมากมายแล่นผ่านสมอง ฟอร์สได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอนดังพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยของซิล


เพียงพริบตาเดียว ผ้าห่มของเธออันตรธานหายพร้อมกับจดหมายฉบับหนึ่งที่ตกลงบนหน้าอก


“จดหมายของเธอ… มาจากท่าเรือพริสต์” ซิลแจ้งข่าว


“…อาจารย์เขียนตอบแล้ว” ฟอร์สรีบลุกพรวดขึ้นมานั่ง เปิดกระดาษจดหมายและกวาดตาอ่าน


หลังจากเงียบงันไปครู่หนึ่ง หญิงสาวกล่าวขึ้น


“ฉันต้องออกไปข้างนอกสักพัก อาจารย์มาถึงเบ็คลันด์แล้ว… จดหมายฉบับนี้ควรต้องส่งมาถึงเมื่อสองวันก่อน!”


บนจดหมายมีการเขียนวันที่ส่งและจ่าหน้าซอง


“บุรุษไปรษณีย์ที่นี่ทำงานแย่ชะมัด…” ซิลชำเลืองเพื่อนสนิท “ยังทันหรือ?”


“โชคดีที่อาจารย์บอกว่าจะรอสามวัน” ฟอร์สรีบลุกออกจากเตียงนอนและเปลี่ยนเสื้อผ้า


เธอมีลางสังหรณ์ว่า การพบปะในวันนี้จะช่วยให้เธอเข้าใจเกี่ยวกับตระกูลอับราฮัมมากขึ้น และอาจได้รับสูตรโอสถ ‘นักท่องเที่ยว’ พร้อมกับวัตถุดิบอีกสองสามชนิด

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1076 : คำขอของโดเรียน

 

เขตเชอร์วู้ด อาคารหมายเลข 22 ถนนปรารถนา โรงแรมแฮททริค ด้านนอกห้องพักเลขที่ 2016


ฟอร์สเดินทะลุกำแพงผ่านเข้ามาง่ายๆ โดยไม่ดึงดูดสายตาใคร จากนั้นก็ใช้นิ้วเคาะประตูห้องตามจังหวะที่ตกลงกันไว้


เพียงไม่นาน โดเรียน·เกรย์·อับราฮัมในชุดสูทสีดำ เจ้าของร่างกายกำยำและไหล่กว้างทำการเปิดประตู


สุภาพบุรุษรายนี้รีบมองไปรอบๆ และฉากหลบให้ฟอร์สผ่านเข้าไปในห้อง


“…ผมคิดไม่ถึงว่าคุณจะกลายเป็นนักบันทึกได้เร็วขนาดนี้” ปิดประตูเสร็จ โดเรียนตรวจสอบกลอนประตูอย่างระมัดระวังก่อนจะหมุนตัวกลับมาพลางถอนหายใจยาว


ตามมาตรฐานของยุคปัจจุบัน โดเรียนถือว่าเป็นชายวัยกลางคนค่อนไปทางสูงอายุ แต่มันเพิ่งอยู่แค่ลำดับ 7 โหราจารย์และหมดหวังที่จะเลื่อนลำดับต่อไป


แต่กระนั้น ฟอร์ส·วอลล์ นักเรียนของมันกลับเลื่อนจากลำดับ 9 มาถึง 6 ได้ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี


เมื่อนำมาเปรียบเทียบ โดเรียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจตัดพ้อ


สายเลือดของตระกูลอับราฮัมควรจะมีเกียรติและสูงส่ง แต่กลับต้องเผชิญความน่าอดสูเพียงเพราะคำสาป สิ่งนี้สร้างความท้อแท้ให้ไม่น้อย


“เป็นเพราะคุณสอนเก่งค่ะ อาจารย์” แม้ว่าฟอร์สจะชอบอยู่แต่ในบ้านมากกว่าออกไปข้างนอก แต่ในฐานะนักเขียนนิยายขายดี มีบ่อยครั้งที่เธอได้รับเชิญจากเหล่าขุนนางให้เข้าร่วมซาลอนวรรณกรรม ส่งผลให้พอจะรู้จักวิธีเข้าสังคมและวาทศิลป์อยู่บ้าง นอกจากนั้น เป็นความจริงที่เธอได้รับความช่วยเหลืออย่างมากจากอาจารย์ ไม่ว่าจะความรู้ เงินทอง สูตรโอสถ หรือวัตถุดิบ


โดเรียนเหลือบมองหญิงสาวพลางส่ายหน้าและยิ้ม


“ผมไม่ได้มีคุณเป็นนักเรียนแค่คนเดียว… ด้วยความเร็วระดับนี้ ในความทรงจำของผมมีแค่คนเดียวที่ทัดเทียมกับคุณ”


มันเว้นวรรคก่อนจะกล่าวต่อ


“ถัดไป… เป้าหมายของคุณคือลำดับ 5 นักท่องเที่ยว… แต่ผมคาดหวังในตัวคุณมากกว่านั้น นั่นคือลำดับ 4 จอมเวทลึกลับ… แต่แน่นอนว่าผมมีเรื่องจะขอร้อง นั่นคือเมื่อใดที่คุณกลายเป็นครึ่งเทพ ได้โปรดสวดวิงวอนถึงใครบางคนและพยายามฟังคำตอบจากท่าน พยายามถอดความหมายว่าท่านต้องการจะสื่อถึงสิ่งใด… การทำแบบนี้อันตรายมาก แต่สำหรับครึ่งเทพลำดับ 4 ร่างกายของคุณจะทนทานมากพอที่จะแบกรับผลข้างเคียง หากไม่มีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้องก็คงไม่มีปัญหา”


“อาจารย์… คำตอบนั้นสำคัญกับคุณมากเลยหรือ?” แม้ว่าฟอร์สพอจะทราบเรื่องราวอยู่แล้ว แต่เธอก็แสร้งทำเป็นฉงน


โดเรียนเงียบงันสักพักก่อนจะถอนหายใจยาว


“สำคัญมาก… พ่อแม่ของผม น้องชายของผม น้องสาวของผม ลูกของผม… มีผู้คนมากมายต้องสละชีวิตเพื่อแสวงหาคำตอบนี้ แต่พวกเราไม่ได้อะไรกลับมาเลย… แต่คุณไม่ต้องกังวล พวกเราต้องสังเวยมากขนาดนี้เพราะคำสาปในสายเลือดของตระกูล คุณที่เป็นคนนอกสบายใจได้… ผมไม่หวังว่าจะขจัดคำสาปได้ในรุ่นตัวเอง แต่อย่างน้อยก็อยากทราบต้นตอของมัน อยากทราบว่าสิ่งใดคือสาเหตุที่ทำให้ทุกคนต้องตาย”


กล่าวถึงตรงนี้ โดเรียนถอนหายใจเงียบ


ด้วยเหตุผลบางประการ ฟอร์สพลันตระหนักถึงภาระอันหนักอึ้งที่ส่งต่อกันมาเป็นเวลานานนับพันปี


เธอไม่อยากจะนึกภาพตามว่า การที่เหล่าบรรพชน พ่อแม่ พี่ชาย น้องสาว และลูกต้องตายไปด้วยคำสาปเดียวกันไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม คนที่ยังมีชีวิตอยู่จะรู้สึกเจ็บปวดมากแค่ไหน


เมื่อนึกถึงความใจดีของอาจารย์ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ฟอร์สซึ่งมักถูกผู้สูงอายุเอ็นดูเป็นประจำลืมตาขึ้นและผงกศีรษะหนักแน่น


“ฉันจะทำให้เต็มที่…”


โดเรียนพยายามอดกลั้นความรู้สึก เพียงพยักหน้ารับแผ่วเบาและกล่าว


“จุดแข็งที่สุดของคุณคือความใจดี”


ฟอร์สเขินอายเล็กน้อย จากนั้นก็ทำทีเป็นเอะใจกับคำพูดของอาจารย์


“ตระกูล?”


เธอจำได้ว่าอาจารย์ไม่เคยพูดถึง ‘ตระกูล’ ให้ฟังมาก่อน แค่พูดว่าตน ลาโบโร่ และอาริสาเป็นสมาชิกขององค์กรลับแห่งหนึ่ง


เพื่อที่จะแยกแยะในสิ่งที่อาจารย์เล่าให้ฟังและสิ่งที่ได้ยินจากชุมนุมทาโรต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฟอร์สพยายามท่องจำอย่างละเอียดก่อนออกจากบ้าง เพื่อไม่ให้เผลอหลุดปากพูดในสิ่งที่ไม่ควร


โดเรียนตอบกระชับ


“เพื่อแก้คำสาป ทุกคนในตระกูลต้องเข้าร่วมองค์กรลับนั้น”


มันเปลี่ยนหัวข้อทันที


“ทำไมคราวนี้คุณถึงรีบร้อนย้ายบ้าน?”


“ฉันถูกหน่วยพิเศษของทางการจับตามอง” ฟอร์สพูดความจริงเพียงครึ่ง ตามด้วยการตัดพ้อเกี่ยวกับบุรุษไปรษณีย์


โดเรียนไม่กล่าวคำใด เริ่มประกอบพิธีกรรมอัญเชิญสิ่งมีชีวิตจากความว่างเปล่าที่รักในเสียงเพลง มาลมอส และสั่งให้มันคายออกมาสามสิ่ง


ชิ้นแรกคือผลึกที่ใสจนเกือบจะเป็นภาพมายา ชิ้นที่สองคือกระดาษหนังเก่าๆ และชิ้นที่สามคือกระเป๋าสะพายใบเล็กของนักล่า


“สิ่งนี้คือตะกอนพลังที่นักท่องเที่ยวเหลือทิ้งไว้… เมื่อมีมัน คุณก็ไม่จำเป็นต้องรวบรวมวัตถุดิบหลัก… ส่วนนี่คือสูตรโอสถนักท่องเที่ยว และสำหรับกระเป๋าสะพาย ด้านในอัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบเสริม… หากคุณไม่มีวิธีเก็บรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ พยายามย่อยโอสถนักบันทึกให้สำเร็จภายในครึ่งปี ไม่อย่างนั้นพลังวิญญาณจะเสื่อมถอยจนไม่สามารถใช้การได้” โดเรียนมอบทั้งสามสิ่งในมือให้ฟอร์ส


“ขอบคุณค่ะ… อาจารย์” ฟอร์สกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ


จากนั้นก็คลี่กระดาษหนังออก อ่านพิธีกรรมที่เขียนไว้อย่างรวดเร็ว:


“กำหนดพิกัดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงภายในโลกวิญญาณจำนวนสี่แห่ง ทุกแห่งต้องห่างไกลกันมาก… จุดประสงค์คืออะไรหรือ?” ฟอร์สไตร่ตรองสักพักก่อนจะถาม


“หลังจากดื่มโอสถนักท่องเที่ยวเข้าไป ตัวคุณจะหลุดเข้าไปโลกวิญญาณอย่างบ้าคลั่งและควบคุมไม่ได้ รอจนกระทั่งทำความเข้าใจและสามารถควบคุมพลังเบื้องต้น คุณจะพบว่าตัวเองกำลังหลงทาง และพิกัดเหล่านั้นคือตำแหน่งที่ใช้สำหรับกลับสู่โลกความจริง… ไม่อย่างนั้นคุณจะถูกขังอยู่ในโลกวิญญาณไปตลอดกาล ที่นั่นจะกลืนกินคุณและทำให้คุณเสียสติ กลายเป็นสัตว์วิญญาณโดยสมบูรณ์” แม้โดเรียนจะเป็นนักท่องเที่ยวไม่ได้ แต่ก็เคยเห็นพิธีกรรมเลื่อนลำดับของศิษย์มาก่อน


“ฟังดูเหมือนสามารถใช้วิธีอื่นทดแทนได้…” ฟอร์สทำหน้าครุ่นคิด


“ถูกต้อง” โดเรียนผงกศีรษะ “เมื่อก่อนเคยมีวัตถุบางชิ้นในองค์กรที่ช่วยให้ผู้ประกอบพิธีกรรมกลับสู่โลกความจริงได้ทันที… แต่น่าเสียดาย ตอนนี้มันหายไปแล้ว”


โดยไม่รอให้ฟอร์สถาม โดเรียนกล่าวต่อ


“ถ้าเกิดว่า… ผมแค่สมมตินะ… ถ้าคุณกลายเป็นครึ่งเทพได้จริงและเติมเต็มความปรารถนาของผม ผมจะมอบสิ่งที่สำคัญมากซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของผมให้คุณ… นี่คือสิ่งระดับความคาดหวังที่อาจารย์มีต่อศิษย์”


หนึ่งในสมบัติปิดผนึกที่ทรงพลังของตระกูลอับราฮัม? ฟอร์สคาดเดาบางสิ่งอย่างคลุมเครือ แต่ไม่กล้ารับปาก เพียงตอบเหมือนเดิม


“ฉันจะทำให้เต็มที่…”


จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย


“อาจารย์บอกว่าลำดับ 4 คือจอมเวทลึกลับ… เช่นนั้นแล้วลำดับ 3 2 และ 1 มีชื่อว่าอะไรบ้าง?”


โดเรียนหัวเราะ


“คุณเพิ่งจะลำดับ 6 เองนะ… อา… ลำดับ 3 ชื่อนักพเนจร ลำดับ 2 จอมเวทท่องมิติ และลำดับ 1 กุญแจดารา… พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกขึ้นได้ ผมลืมเขียนข้อความระวังในการท่องโลกวิญญาณให้คุณ นั่นเป็นเรื่องสำคัญหลังจากคุณเลื่อนลำดับสำเร็จ… เอาเป็นว่า ผมจะพักอยู่ในเบ็คลันด์ต่ออีกหนึ่งคืน พรุ่งนี้คุณมาหาผมเพื่อรับเอกสารไปอ่าน”


ขณะฟอร์สพยายามจดจำชื่อโอสถลำดับสูงของเส้นทางผู้ฝึกหัด เธอพยักหน้ารับ


“ตกลงค่ะ”


หลังจากสะสางเรื่องราวเสร็จ โดเรียนเดินวนเวียนภายในห้องสักพักก่อนจะตักเตือน


“ตะกอนพลังในเส้นทางเดียวกันจะมีแรงดึงดูดอย่างลับๆ … ในลำดับต่ำอาจยังไม่ชัดเจน ยิ่งลำดับสูงจะยิ่งรุนแรง… สำหรับนักท่องเที่ยว คุณอาจสัมผัสถึงแรงดึงดูดโดยตรงไม่ได้ แต่มันจะแอบทำให้คุณ ‘บังเอิญ’ เข้าใกล้ผู้วิเศษลำดับสูงสองเส้นทางเดียวกันโดยไม่รู้ตัว… หลังจากเลื่อนลำดับสำเร็จ คุณต้องระวังเรื่องนี้ให้มาก”


กล่าวจบ โดเรียนเว้นวรรคก่อนจะเสริม


“ครึ่งเทพของเส้นทางผู้ฝึกหัดที่ยังมีชีวิตนั้นเหลือน้อยเต็มที จากบรรดาทั้งหมด คนที่คุณต้องระวังตัวเป็นพิเศษคือชายที่ชื่อโบทิส… เจ้านั่นคือ ‘นักบุญเร้นลับ’ แห่งชุมนุมแสงเหนือ… เป็นคนทรยศขององค์กรเราเหมือนกับลูอิส·เวย์น ไว้พรุ่งนี้ผมจะส่งภาพเหมือนให้คุณ”


โบทิส… ฟอร์สเน้นย้ำชื่อที่อาจารย์กำชับ


ขณะเดียวกัน เธอเริ่มทำความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เคยเผชิญหน้ากับลูอิส·เวย์นเสียใหม่


บางทีนั่นอาจไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นแรงดึงดูดระหว่างตะกอนพลัง เพราะอาจารย์กำลังพกพาสมบัติปิดผนึกของเส้นทางผู้ฝึกหัดที่ทรงพลังอย่างมาก!


ฟอร์สสลัดความคิดดังกล่าวและถามเกี่ยวกับวิธีสวมบทบาทเป็นนักบันทึก



เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านตระกูลเบเกอร์


มีเส้นทางเลี่ยงไปเข้าด้านหลังวังราชาคนยักษ์… ต้องผ่านไปทางป่าเสื่อมโทรมและอุโมงค์รกร้าง… เดอร์ริค·เบเกอร์นึกทบทวนข้อมูลที่เพิ่งแบ่งปันกับเดอะเวิร์ลบนมิติเหนือสายหมอก


สำหรับเมืองเงินพิสุทธิ์ ข้อมูลนี้สำคัญอย่างมาก เพราะจากผลการสำรวจเบื้องต้นของทีมสำรวจในค่ายหมู่บ้านยามบ่าย เป็นที่แน่ชัดแล้วว่ายิ่งเข้าใกล้วังราชาคนยักษ์มากเท่าใด ระดับความอันตรายก็ยิ่งก้าวกระโดด


“ต้องรีบไปบอกท่านเจ้าเมือง!” เดอร์ริคลุกพรวดขึ้นและรีบเดินออกจากบ้าน ตรงไปยังหอคอยและขอเข้าพบผู้นำแห่งหกสภาอาวุโส โคลิน·อีเลียด


มันทำตามคำแนะนำของแฮงแมน อธิบายว่าข้อมูลของทางเลี่ยงเป็นสิ่งที่เห็นจากภาพจิตรกรรมฝาผนังในเมืองยามบ่าย ‘จำลอง’


โคลิน·อีเลียดตั้งใจฟังโดยไม่ขัด จนกระทั่งพยักหน้ารับแผ่วเบา


“คุณทำได้ดีมาก… ต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยนกับผลงานในคราวนี้?”


“สมองที่สมบูรณ์ของมังกรจิตโตเต็มวัย” เดอร์ริคคิดคำตอบรอไว้แล้ว


โคลินไม่ถามถึงเหตุผล เพียงไตร่ตรองสักพักและกล่าวต่อ


“ถ้าข้อมูลของทางเลี่ยงเป็นความจริง มูลค่าของมันจะสูงกว่าสมองของมังกรจิตโตเต็มวัยมาก… อา… คุณสามารถเลือกสิ่งอื่นเพิ่มเติมได้ สนใจสูตรโอสถลำดับที่ค่อนข้างสูงของเส้นทาง ‘นักเพาะปลูก’ ไหม?”


นี่คือคำถามไปถึงมิสเตอร์ฟูล… ขณะเดอร์ริคกำลังกระจ่าง มันฉุกคิดบางสิ่ง


“เมืองของเรามีโอสถลำดับสูงของเส้นทางนักเพาะปลูกด้วยหรือ?”


มันไม่เคยมีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน


“มีสิ… คุณต้องไม่ลืมว่าองค์ราชินีของราชาคนยักษ์คือเทพธิดาแห่งฤดูเก็บเกี่ยว แต่เป็นเพราะในละแวกใกล้เคียงไม่มีวัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถดังกล่าว เมืองของเราก็เลย… ไม่ต้องรีบ กลับไปคิดมาให้ดีแล้วค่อยมอบคำตอบ” โคลิน·อีเลียดเปลี่ยนเรื่องอย่างสุขุม “ตอนนี้คุณควบคุมพลังของนักบวชแสงได้ชำนาญหรือยัง?”


“ชำนาญแล้วครับ” เดอร์ริคตอบกระชับ


โคลินเงียบงันสักพักก่อนจะพูดพลางจ้องหน้าเด็กหนุ่ม


“แล้วสมบัติปิดผนึกระดับนักบุญที่พวกเราครอบครอง… ตัดสินใจได้หรือยังว่าจะเลือกชิ้นใด?”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1077 : สี่ตัวเลือก

 

เราอยากได้สมบัติปิดผนึกระดับนักบุญชิ้นใด? เดอร์ริค·เบเกอร์หาคำตอบให้ตัวเองตามความเคยชิน


เนื่องจากเส้นทางสุริยันสามารถรับมือสัตว์ประหลาดในความมืดได้ค่อนข้างดี แถมมันยังมีขวาน ‘เทพสายฟ้าคำราม’ ซึ่งโดดเด่นในด้านพลังทำลาย สมบัติปิดผนึกที่เดอร์ริคต้องการจึงไม่ใช่ด้านสนับสนุนหรือโจมตี และเมื่อนึกถึงเรื่องที่ต้องเจ็บตัวระหว่างการหา ‘เพื่อนใหม่’ เดอร์ริคตัดสินใจได้ว่าตนปรารถนาสมบัติปิดผนึกที่โดดเด่นด้านพลังป้องกัน


เมื่อความคิดดังกล่าวแล่นผ่าน เดอร์ริคเพิ่งได้สติและเข้าใจว่าแก่นแท้ของคำถามไม่เกี่ยวกับตน หากแต่เป็นสมบัติปิดผนึกระดับนักบุญที่จะนำไปแลกกับไม้กางเขนเจิดจรัสของมิสเตอร์ฟูล


มันลังเลสักพักก่อนจะถามตรงๆ


“ท่านเจ้าเมืองมีคำแนะนำอย่างไร?”


โคลินชำเลืองและเดินออกจากตำแหน่ง ขยับเข้าใกล้หน้าต่างพลางหันกลับมามอง


“มีสมบัติปิดผนึกสี่ชิ้นที่ค่อนข้างสอดคล้องกับคุณ… ชิ้นแรกชื่อว่า ‘ดาบแสงเงิน’ เป็นสิ่งที่หลงเหลือจากอาวุโสคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตเมื่อหนึ่งพันสามร้อยปีก่อน… ผู้ที่ถือดาบเล่มนี้จะกลบจิตสังหารได้อย่างมิดชิด สามารถแทรกแซงพลังทำนายและคำพยากรณ์ได้ในระดับสูง ได้รับพละกำลังเหนือจินตนาการและพลังแห่งแสงรุ่งอรุณสำหรับต่อกรกับสิ่งชั่วร้ายรอบๆ ตัว… ดาบเล่มนี้สามารถสร้างพายุแห่งแสงที่เปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้าง รวมถึงการสร้างบาเรียล่องหนที่ทนทานขึ้นรอบๆ ตัวผู้ถือ และหากนำไปปักดินจะช่วยเพิ่มพลังป้องกันจนยากจะถูกโค่นล้ม… สุดปลายด้ามเป็นกะโหลกที่มีหนึ่งปากและหนึ่งตา มีสัญญาณชีพ หากป้อนสมุนไพร น้ำมันสกัด หรือยาเข้าไปในปากกะโหลก ผู้ถือจะได้รับคุณสมบัติที่แตกต่างกันเช่นฟ้าผ่า แช่แข็ง ชำระล้าง เผาไหม้ เน่าเปื่อย และปัดเป่า… เงื่อนไขในการใช้งานดาบค่อนข้างยุ่งยากและเข้มงวด หากสูงไม่ถึง 1.8 เมตรก็จะไม่มีวันยกขึ้น หากสูงต่ำกว่าสองเมตรจะมิอาจใช้พลังของมันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนั้นกะโหลกที่ปลายด้ามยังพูดเก่ง มักชวนเจ้าของดาบพูดคุยตลอดเวลา และถ้าไม่มีการตอบสนอง มันก็จะไม่ให้ความร่วมมือในช่วงเวลาสำคัญ ในกรณีที่เลวร้ายก็อาจทำร้ายเจ้าของ แต่ถ้าเจ้าของดาบยอมคุยกับกะโหลก มีโอกาสสูงมากที่จะเสียสติและบ้าคลั่ง”


นี่คือสิ่งที่เราต้องการ สมบัติปิดผนึกซึ่งเด่นในด้านพลังป้องกัน… เดอร์ริคพูดกับตัวเองโดยไม่ขัดจังหวะการบรรยายของเข้าเมือง เพียงรอฟังข้อมูลของสมบัติชิ้นต่อไป


“ชิ้นที่สองก็คือ ‘หน้ากากสนธยา’ หลงเหลือมาจากเจ้าเมืองคนแรก เป็นหน้ากากที่ทำจากกะโหลกมนุษย์ สามารถเก็บซ่อนจิตสังหารและความพยาบาท ปกปิดความคิดและแนวโน้มทางพฤติกรรม เปลี่ยนให้ผู้สวมเหมือนกับคนตายที่ปราศจากสตินึกคิด… เพียงสวมหน้ากากลงไปก็จะทำให้ได้พลังที่ทัดเทียมคนยักษ์ตัวจริง รวมถึงพลังในการปกครองอันเดด… สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มองเข้าไปในดวงตาผู้สวมจะเสียชีวิตคาที่ ต่อให้เป็นครึ่งเทพก็ต้องบาดเจ็บหนัก และแม้จะไม่ได้มองเข้าไปในดวงตา แต่ถ้าถูกจ้องด้วยหน้ากากนี้ เป้าหมายจะค่อยๆ เหี่ยวเฉาราวกับขาข้างหนึ่งก้าวเข้าไปในแม่น้ำแห่งความตาย… ผู้สวมมีพลังในการสร้างพายุสนธยาอันน่าสะพรึงกลัว สิ่งใดที่ถูกแสงสนธยาปนเปื้อน ชะตากรรมคือการเน่าเปื่อย เหี่ยวแห้ง หรือเฉาตายโดยปราศจากชีวิตชีวา… การโจมตีส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่การชำระล้างจะไม่ได้ผลกับผู้สวมหน้ากากสนธยา เพราะไม่มีใครสามารถฆ่าคนที่ตายไปแล้วได้… หน้าสนธยาอันนี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก แต่ก็อันตรายไม่แพ้กัน เพราะถึงจะวางไว้เฉยๆ โดยที่ไม่แตะต้อง คนรอบข้างก็จะค่อยๆ เสียสติและตายไปอย่างกะทันหัน ดังนั้นจึงต้องถูกผนึกอย่างเหมาะสม… ไม่ว่าจะเป็นใคร หากสวมหน้ากากนี้เข้าไปก็จะได้ยินเสียงเพรียกที่ฟังดูคล้ายกับมาจากส่วนลึกของโลกแห่งความตาย เกิดความเสียหายทางจิตใจที่อาจทำให้กลายเป็นบ้า… ขณะเดียวกันถ้าสวมหน้ากากอันนี้นานเกินกว่าห้านาที ผู้สวมจะกลายเป็นทาสมันอย่างถาวร”


สมบัติปิดผนึกที่แทบจะไม่มีประโยชน์ ชะตากรรมเดียวของมันคือการถูกปิดผนึก… อา… คงมีเพียงตัวตนที่พิเศษอย่างมิสเตอร์ฟูลจึงจะสามารถมองข้ามผลข้างเคียงด้านลบของมัน… เดอร์ริคอ้าปากเล็กน้อย แต่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา


โคลิน·อีเลียดนึกทบทวนสักพักก่อนจะพูดต่อ


“ชิ้นที่สามมีชื่อว่า ‘ไม้เท้าแห่งชีวิต’ สามารถควบคุมสัตว์วิเศษที่มีสติปัญญาต่ำและลดความบ้าคลั่งของพวกมันได้ในระยะเวลาสั้นๆ … นอกจากนั้นยังสามารถผสาน ‘ดวงวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์’ เข้ากับวัสดุประเภทต่างๆ ด้วยพลัง ‘เสริมแกร่งชีวิต’ … พลังประเภทนี้สามารถพลิกแพลงไปใช้สร้างมนุษย์ที่มีอายุขัยสั้น สร้างตุ๊กตาสำหรับทำสงคราม รวมถึงการสร้างโกเลมหิน โกเลมดิน และโกเลมเหล็ก… สิ่งมีชีวิตชนิดใดที่ถูกไม้เท้าอันนี้ฟาดใส่ โอกาสในการเสียสติและคลุ้มคลั่งจะเพิ่มขึ้น รวมถึงทำให้ร่างกายมีโอกาสกลายพันธุ์ ตัวอย่างเช่นมีผลแตงโม เห็ด หรือข้าวสาลีงอกออกมา… แต่แน่นอน อาหารเหล่านั้นกินไม่ได้ ด้านในเต็มไปด้วยมลพิษ… สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ถูกสัมผัสด้วยหัวไม้เท้า ไม่ว่าจะบาดเจ็บสาหัสเพียงใดก็สามารถหายขาดได้ทันที ยกเว้นในกรณีที่คลุ้มคลั่งไปแล้ว… ไม้เท้าอันนี้จะทำให้พื้นที่โดยรอบเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ล้วนเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์พูนสุข สืบพันธุ์ได้รวดเร็ว… แต่น่าเสียดายที่ไม่มีผลกับดินแดนต้องสาปของเรา… ผู้ถือไม้เท้าแห่งชีวิตมีโอกาสสูงที่จะร่างกายจะเกิดการกลายพันธุ์ ยิ่งถือนานก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง การกลายพันธุ์จะส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ถูกทดแทนด้วยพืชพรรณนานาชนิด”


ฟังดูเลวร้ายชะมัด… เดอร์ริคเกิดความกลัวอย่างอธิบายไม่ได้ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถาม


“แล้วชิ้นที่สี่ล่ะครับ?”


“เป็นสิ่งที่หลงเหลือจากปีศาจที่ผมล่า… ผมตั้งชื่อมันว่า ‘ขลุ่ยแห่งการเสื่อมถอย’ … รูปลักษณ์เป็นเพียงขลุ่ยเงินธรรมดา แต่เมื่อมีคนเป่ามัน สิ่งมีชีวิตในบริเวณใกล้เคียงจะเห็นภาพหลอนโดยไม่มีข้อยกเว้น และนั่นทำให้ความโกรธ ความเศร้า ความเจ็บปวด ความโลภ ความโอหัง ความทระนงตน และอารมณ์อื่นๆ จะถูกขยายในพริบตา เกิดเป็นอาการจิตระเบิดหรือสิ้นสติในพริบตา มีโอกาสคลุ้มคลั่งคาที่… ยกเว้นผู้ถือ สิ่งมีชีวิตในบริเวณใกล้เคียงจะสูญเสียความสามารถในการคิดอย่างรวดเร็ว ง่ายต่อการก่อความผิดพลาด… ขณะเดียวกัน ผู้ถือจะมีลางสังหรณ์เฉียบคมเป็นพิเศษ ในบางก็สามารถมองเห็นอันตรายล่วงหน้าได้ถึงสองวัน… ไม่ว่าขลุ่ยแห่งการเสื่อมถอยเลานี้จะอยู่ที่ใด จิตใจของผู้คนที่นั่นจะค่อยๆ เสื่อมถอยลง ความกระหายกลายเป็นเรื่องปรกติ ศีลและศรัทธาถูกละทิ้ง และยังทำให้ผู้ถือกลายเป็นคนเย็นชาชนิดที่แก้ไขกลับเป็นปรกติไม่ได้ ยิ่งถือนานเพียงใดก็ยิ่งอยู่ในสภาพเลวร้ายมากเท่านั้น สุดท้ายจะส่งผลกระทบต่อการสวมบทบาทในเส้นทางตัวเอง จนกระทั่งลงเอยด้วยการคลุ้มคลั่ง”


อธิบายสมบัติปิดผนึกทั้งสี่ชิ้นจบ ดวงตาสีฟ้าอ่อนของโคลินซึ่งเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์และเวลา จ้องหน้าเดอร์ริคและพูด


“คุณคิดยังไงบ้าง”


“ผมขอเวลาทบทวนดูก่อนครับ” เดอร์ริคตอบอย่างชำนาญ


“ทำถูกแล้ว เพราะการเลือกครั้งนี้สำคัญมากสำหรับคุณ ห้ามบุ่มบ่ามตัดสินใจ” โคลินพยักหน้ารับ “ในอีกสามวันข้างหน้า เราจะออกเดินทางไปยังค่ายหมู่บ้านยามบ่าย ผมต้องการคำตอบก่อนออกเดินทาง แล้วอย่าลืมเผื่อเวลาสำหรับทำความคุ้นเคยกับสมบัติวิเศษชิ้นใหม่”


“ครับ ท่านเจ้าเมือง” เดอร์ริคคำนับขึงขังและเดินออกจากห้อง


มันไม่รีบตรงกลับบ้านเพื่อสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล แต่แวะลานฝึกเพื่อสร้างความชำนาญด้านเวทมนตร์สุริยันที่หลากหลาย


นี่คืออุปนิสัยที่ฝังรากลึกเข้าไปในสายเลือดชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ทุกคน หากปราศจากวินัยที่ยอดเยี่ยม ก็คงยากจะอาศัยอยู่ในดินแดนทุรกันดารและเต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้



ย่านสะพานเบ็คลันด์ ในซอยมืด


ซิลได้พบกับชายสวมหน้ากากทองคำอีกครั้ง หรือที่ควรเรียกว่าเจ้าหน้าที่ MI9 ผู้ปรารถนาดี


“สูตรโอสถผู้พิพากษาของคุณอาจต้องรอไปอีกสักพัก” ชายสวมหน้ากากทองคำกล่าว


แม้การสืบสวนในตัวซิลจะไม่คืบหน้า แต่ก็ยังไม่จบลง


ซิลเม้มริมฝีปากพลางพยักหน้า คล้ายกับกำลังตัดสินใจบางสิ่งที่ยากลำบาก


“ฉันไม่เอาสูตรโอสถนั่นแล้ว”


“คุณ… ยอมถอดใจแล้ว?” ชายหน้ากากทองคำเผยสีหน้าประหลาดใจเจือยินดี


ซิลไม่ตอบตรงๆ เพียงหันไปด้านข้างและพูด


“ฉ…ฉันขอแลกคะแนนผลงานทั้งหมดเป็นทองปอนด์”


ได้ยินคำตอบจากปากหญิงสาว ชายสวมหน้ากากทองผงกศีรษะอย่างโล่งใจและกล่าว


“ยอดเยี่ยมมาก… ในที่สุดคุณก็คิดได้… อดีตผ่านไปแล้วก็แล้วกันไป ตัวคุณ แม่ และน้องชายจะได้มีชีวิตใหม่ที่สุขสบาย… อา… สำหรับคะแนนผลงานของคุณ หากนำไปแลกทองปอนด์จะได้ประมาณสองพันปอนด์ ผมจะช่วยผลักดันให้ได้มากกว่าเดิม… และหลังจากนี้คุณยังทำหน้าที่เป็นสายข่าววงนอกให้ MI9 ต่อไปได้ เพราะสำหรับผู้วิเศษไร้สังกัด การมีทางการคอยสนับสนุนเป็นเรื่องที่ดีกว่ามาก”


ซิลเงียบไปสักพัก ขยับริมฝีปากขึ้นลงก่อนจะพูด


“ขอบคุณมาก…”


หญิงสาวสัมผัสความจริงใจของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน คำขอบคุณของเธอจึงมาจากก้นบึ้ง


แต่ในความเป็นจริง ซิลยังไม่ยอมแพ้ เหตุผลที่เลือกทองปอนด์เพราะเธอสั่งจองสูตรโอสถผู้พิพากษากับเดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์เรียบร้อยแล้ว – แถมนักผจญภัยเสียสติรายนี้ก็ยังรับปากว่าจะจัดหาสูตรผลิตโอสถ ‘อัศวินวินัย’ ตามมาในภายหลัง


และแน่นอน การยอมแพ้ของซิลในครั้งนี้ทำให้ MI9 ลดความสงสัยในตัวเธอลงอย่างมาก


หลังจากอธิบายขั้นตอนการทำงานที่ผ่านมาเสร็จ ซิลบอกลาชายสวมหน้ากากทองคำและเดินออกจากตรอก



เช้าวันอังคาร เป็นอีกครั้งที่ฟอร์สออกจากบ้านแต่เช้า เดินทางมายังโรงแรมแฮททริคในเขตเชอร์วู้ดเพื่อพบอาจารย์โดเรียน·เกรย์


“นี่เป็นข้อควรระวังในการสำรวจโลกวิญญาณ และนี่คือภาพเหมือนของโบทิส” โดเรียนยกมือขึ้นมาปิดปากหาว ตามด้วยการยื่นกระดาษปึกหนาให้ฟอร์ส


ฟอร์สไม่รีบร้อนอ่านข้อมูล สิ่งแรกที่ทำคือจ้องภาพเหมือน


บนภาพเป็นชายชุดคลุมสีดำ อายุน่าจะยังไม่ถึงสี่สิบ ผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย บรรยากาศรอบตัวทำให้ผู้คนกดดันอย่างอธิบายไม่ได้ ดวงตาสีดำลุ่มลึกราวกับซุกซ่อนสิ่งต่างๆ ไว้มากมาย


นี่คือนักบุญเร้นลับสินะ… ฟอร์สถูปลายนิ้วเพื่อเผาภาพเหมือนด้วยการเสียดสีพลังวิญญาณ


“ไม่เลว… รอบคอบมาก” โดเรียนพยักหน้าชื่นชม


จากนั้นมันยกกระเป๋าเดินทางขึ้นและพูดกับฟอร์ส


“ผมต้องกลับท่าเรือพริสต์แล้ว ถ้าออกมานานเกินไปจะทำให้ถูกสงสัยเอาได้”


ฟอร์สที่ทราบว่าเบ็คลันด์กำลังอยู่ในภาวะตึงเครียดสุดขีด ไม่ต้องการให้อาจารย์ของตนแช่อยู่นาน จึงไม่มัวเหนี่ยวรั้ง ทำเพียงจ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่เดินจากไป


จากนั้นหญิงสาว ‘เปิดประตู’ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตรอกด้านหลังโรงแรม


ทันทีที่จับทิศทางได้และเลี้ยวกลับเข้าถนน เธอเห็นชายสวมชุดกันลมสีดำเดินเข้ามาใกล้


ชายคนดังกล่าวเหลือบมองเธอและถอนสายตากลับอย่างเป็นธรรมดา แต่กล้ามเนื้อหลังของฟอร์สกลับกระตุกอย่างรุนแรง


กระจกตาของเธอสะท้อนรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย:


อายุน่าจะยังไม่ถึงสี่สิบ ผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย บรรยากาศรอบตัวทำให้ผู้คนกดดันอย่างอธิบายไม่ได้ ดวงตาสีดำลุ่มลึกราวกับซุกซ่อนสิ่งต่างๆ ไว้มากมาย

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1078 : ความลับที่ซ่อนอยู่

 

นักบุญเร้นลับ โบทิส… ในระยะหลัง ฟอร์สมีประสบการณ์เกี่ยวกับโลกผู้วิเศษไม่น้อย ถึงขั้นเคยระแวงว่าตนอาจถูกเฝ้ามองโดยราชาเทวทูต ส่งผลให้ไม่เผยสีหน้ากระโตกกระตาก เพียงมองตรงอย่างเป็นธรรมชาติด้วยก้าวเดินปรกติ จนกระทั่งสวนกับชายที่สวมเสื้อกันลมสีดำ


ไม่กี่ก้าวถัดมา ทั้งสองก็สวนผ่านกันไป


หมอนี่บังเอิญผ่านมาแถวนี้เพราะถูกตะกอนพลังดึงดูด? ถ้ารู้ว่าอาจารย์อยู่แถวนี้ มันคงไม่มัวเอ้อระเหยแน่ คงรีบใช้พลังเทเลพอร์ตไล่ตามอาจารย์ไปติดๆ … โชคดีที่อาจารย์ขึ้นรถม้าและออกจากโรงแรมไปแล้ว… ฟอร์สเริ่มสงบจิตใจพร้อมกับบรรเทาความเครียด


เดินไปอีกสองสามก้าว หญิงสาวแหงนมองฟ้าเพื่อดูว่าฝนจะตกหรือไม่


ทันใดนั้น อีกาตัวหนึ่งบินมาจากที่ห่างไกลและร่อนลงเกาะบนต้นไม้ริมถนน หันหน้ามองในจุดที่ฟอร์สเพิ่งเดินผ่าน


ฟอร์สหยุดคิดเกี่ยวกับนักบุญเร้นลับ โบทิส ยังคงเดินด้วยความเร็วปรกติจนกระทั่งเปลี่ยนถนน


เนื่องจากชุมนุมแสงเหนือเลิกจัดชุมนุมลับในเบ็คลันด์ไปนานแล้ว แถมเป้าหมายยังเป็นครึ่งเทพ ฟอร์สจึงยังไม่มีแผนจะแก้แค้นให้อาจารย์ในเร็วๆ นี้ อย่าว่าแต่สู้ให้ชนะ ลำพังการค้นหาและล็อกเป้า ‘จอมเวทลึกลับ’ ให้ได้ก็นับว่ายากเต็มทน


คงต้องรอให้เรากลายเป็นนักท่องเที่ยวก่อน หากบังเอิญได้พบกับโบทิสอีก ถึงตอนนั้นเราจะจ้างงานมิสเตอร์เวิร์ล… เรื่องเดียวที่ยืนยันได้ในตอนนี้ก็คือ ชุมนุมแสงเหนือส่งนักบุญเข้ามาในเบ็คลันด์แล้ว… หืม… แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า ปลายทางของโบทิสคือที่อื่น แต่ระหว่างการเดินทางถูกตะกอนพลังดึงดูดให้หลงเข้ามาในเบ็คลันด์… ฟอร์สเริ่มขบคิดว่าตนควรขอความช่วยเหลือจากเดอะเวิร์ลดีไหม


เท่าที่เธอทราบ สุภาพบุรุษรายนี้สังหารครึ่งเทพไปแล้วอย่างน้อยสองตน โดยที่ยังเป็นครึ่งเทพได้ไม่ถึงสามเดือน!


แต่ละโบสถ์หลักจะมีครึ่งเทพเพิ่งสิบกว่าคนเท่านั้น… หากมิสเตอร์เวิร์ลรักษาความเร็วระดับนี้ เขาจะใช้เวลาเพียงสองปีในการกวาดล้างครึ่งเทพของโบสถ์หลักสักแห่งจนเกลี้ยง… แต่แน่นอน ความจริงไม่ใช่บัญญัติไตรยางศ์ เทียบกันแบบนั้นไม่ได้… ฟอร์สที่มีการศึกษาสูงเนื่องจากเรียนจบศัลยแพทย์ เดินไปตามถนนพร้อมกับปล่อยให้ความคิดล่องลอยจนกระทั่งขึ้นรถม้าเช่า



บนมิติเหนือสายหมอก ปัจจุบันมีการจัดชุมนุมย่อยซึ่งประกอบด้วยเดอะซัน เดอร์ริค แฮงแมน อัลเจอร์ และเดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์


ทว่า จุดที่แตกต่างจากชุมนุมย่อยปรกติก็คือการมีมิสเตอร์ฟูลเข้าร่วมด้วย เนื่องจากจุดประสงค์ของเดอร์ริคคือการคัดเลือกสมบัติปิดผนึกชิ้นที่ตัวตนลึกลับรายนี้พึงพอใจ โดยจะแลกเปลี่ยนกับไม้กางเขนที่พระผู้สร้างเหลือทิ้งไว้


ขณะเดียวกันมันก็มีข้อสงสัยอยากปรึกษากับแฮงแมนและเดอะเวิร์ล จึงนัดชุมนุมย่อยเป็นปรกติพิเศษ


ดาบแสงเงิน หน้ากากสนธยา ไม้เท้าแห่งชีวิต ขลุ่ยแห่งการเสื่อมถอย… ทั้งหมดเป็นสมบัติปิดผนึกที่มีประสิทธิภาพสูงแต่มาพร้อมผลข้างเคียงระดับหายนะ จำเป็นต้องผนึกให้แน่นหนา… ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่า เมืองเงินพิสุทธิ์ไม่มีผู้วิเศษเส้นทางช่างฝีมือแม้แต่คนเดียว ได้แต่ภาวนาให้สมบัติต่างๆ เกิดขึ้นตามธรรมชาติ… แม้จะมีสมบัติปิดผนึกระดับเทพอยู่ที่หอคอย แต่อย่างมากก็ทำได้แค่ ‘ป่น’ ตะกอนพลังและรอให้พวกมันจัดระเบียบใหม่ ไม่สามารถพัฒนาให้เป็นสมบัติวิเศษที่มีคุณภาพได้… เมื่อเดอะฟูล ไคลน์ฟังคำอธิบายของเดอะซันน้อยจบ มันรีบวิเคราะห์ข้อดีข้อน้อยในใจอย่างรวดเร็ว


สิ่งแรกที่ตัดทิ้งคือหน้ากากสนธยา เพราะผลข้างเคียงด้านลบของสมบัติปิดผนึกจากเจ้าเมืองคนแรกนั้นรุนแรงเกินไป


จริงอยู่ที่ไคลน์สามารถยกหน้ากากให้หุ่นเชิดใส่ เป็นการตัดปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินเสียงจากโลกแห่งความตาย นอกจากนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าหุ่นเชิดของตนจะกลายเป็นทาสหน้ากาก แต่ร่างต้นก็จะตายไปอย่างกะทันหันเข้าสักวัน


ถัดมามันตัดขลุ่ยแห่งการเสื่อมถอยออกด้วยเหตุผลที่คล้ายกัน จริงอยู่ที่ความสามารถด้านลางสังหรณ์จะยอดเยี่ยมยิ่งกว่าพลังปีศาจในยุบพองหิวโหย แต่ผลข้างเคียงนั้นหลีกเลี่ยงได้ยากมาก


ถ้าเราให้ร่างต้นใช้ขลุ่ย จิตใจของเราจะเย็นชาจนมิอาจรักษา สิ่งนี้ขัดแย้งกับความสมดุลทางอารมณ์ที่มนุษย์ต้องรักษาระหว่างที่ก้าวไปเป็นเทพ และถึงจะส่งให้หุ่นเชิดใช้งานแทน ร่างต้นของไคลน์ก็จะสูญเสียความสามารถในการคิดและก่อความผิดพลาดได้ง่าย นั่นจะทำให้นักทำนายสูญเสียจุดแข็งของตนไป…


และเหนือสิ่งอื่นใด ขลุ่ยเลานี้ทำให้จิตใจของผู้คนในละแวกใกล้เคียงเสื่อมถอยลง แรงกระหายจะเข้ามาแทนที่ศีลธรรม ซึ่งไคลน์ยังไม่ต้องการให้ชาวถนนเบิร์คลุนจัดปาร์ตี้เซ็กซ์หมู่ ไม่อย่างนั้นอาจเกิดปัญหาลูกนอกสมรสตามมาอีกหลายคดี… สิ่งที่เหลืออยู่จึงมีแค่ดาบแสงเงินและไม้เท้าแห่งชีวิต… ไคลน์พึมพำในใจพลางรีบตัดสินใจเลือกหนึ่งจากสอง


หัวกะโหลกบริเวณด้ามของดาบแสงเงินนั้นมีสัญญาณชีพ… สำหรับไคลน์ สิ่งนี้แปลว่ามันสามารถเจรจากับอีกฝ่ายให้ลดผลข้างเคียงลงได้ ส่วนข้อจำกัดด้านความสูงนั้นไม่ใช่ปัญหา ในฐานะจอมเวทพิสดาร ไคลน์สามารถละทิ้งความ ‘หนา’ ของร่างกายและนำไปเพิ่มให้ส่วนสูงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องสมดุลการเคลื่อนไหว เพราะพลังตัวตลกมีไว้ชดเชยจุดอ่อนในข้อนี้


ไม้เท้าแห่งชีวิตจะทำให้ผู้ถือเกิดการกลายพันธุ์ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับไคลน์ที่สามารถผลักภาระให้หุ่นเชิดถือแทน ในกรณีที่มีอวัยวะถูกแทนที่ด้วยพืชพรรณ หุ่นเชิดสามารถรักษาตัวเองได้ด้วยแหวนบุปผาโลหิต และสำหรับผลข้างเคียงด้านการเพิ่มชีวิตชีวาและอัตราการสืบพันธุ์ให้กับสิ่งมีชีวิตรอบข้าง ในสายตาไคลน์ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น


เนื่องจากสมบัติปิดผนึกทั้งสองชนิดสามารถขจัดผลข้างเคียงได้ทั้งคู่ ไคลน์จึงตัดสินใจจากจุดแข็งแทน สำหรับดาบแสงเงิน เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้มาจากโอสถนักล่าปีศาจแห่งเส้นทางนักรบ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือตั้งรับก็ล้วนยอดเยี่ยม แถมยังมีคุณสมบัติขจัดสิ่งชั่วร้าย ทำให้ต่อกรกับปีศาจได้ง่าย ส่วนไม้เท้าแห่งชีวิตมีข้อดีด้านการกระตุ้นและกลายพันธุ์ เหมาะแก่การทำให้คู่ต่อสู้หวาดหวั่น


หลังจากไตร่ตรองสักพัก จนกระทั่งเดอะซัน เดอร์ริคขอคำตอบ ไคลน์ตอบไม่เร็วไม่ช้าประหนึ่งกำลังพูดเรื่องทั่วๆ ไป


“ไม้เท้า”


ในที่สุดมันก็ตัดสินใจเลือกไม้เท้าแห่งชีวิต!


อันที่จริง ทั้งดาบแสงเงินและไม้เท้าแห่งชีวิตต่างมีข้อดีคนละแบบ ประสิทธิภาพสูสีกันมาก การตัดสินใจให้เด็ดขาดไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ท้ายที่สุด ไคลน์กลับเลือกด้วยเหตุผลที่หลายคนต้องคาดไม่ถึง


ไม้เท้าแห่งชีวิตที่ถูกนิยามว่ามีพลังอันน่าขนลุก อีกนัยหนึ่งสามารถเรียกได้ว่าแปลกประหลาด และนั่นจะช่วยให้ไคลน์สามารถสวมบทบาทในฐานะจอมเวทพิสดารได้ง่ายขึ้น ย่อยโอสถได้เร็วขึ้น!


“ครับ มิสเตอร์ฟูล” เดอะซัน เดอร์ริคตอบด้วยสีหน้าตื่นเต้น


เพราะสิ่งนี้หมายความว่า ทันทีที่เสร็จสิ้นพิธีกรรมสังเวย มันจะได้รับสิ่งตอบแทนเป็นไม้กางเขนของพระผู้สร้าง


เมื่อบรรลุจุดประสงค์หลัก มันหันไปทางสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอีกฝั่ง


“มิสเตอร์เวิร์ล… นอกจากสมองที่สมบูรณ์ของมังกรจิตโตเต็มวัย คุณต้องการสูตรโอสถลำดับค่อนข้างสูงของเส้นทางนักเพาะปลูกเพิ่มด้วยไหม?”


เนื่องจากข้อมูลของทางเลี่ยงวังราชาคนยักษ์มาจากปากเดอะเวิร์ล เดอร์ริคจึงต้องถามเดอะเวิร์ล หาใช่มิสเตอร์ฟูล


แต่แน่นอน ในมุมมองของเด็กหนุ่ม มิสเตอร์เวิร์ลซึ่งเป็นข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล สามารถเรียกได้ว่าเป็นปากเสียงแทนมิสเตอร์ฟูลได้ในระดับหนึ่ง


สูตรโอสถลำดับค่อนข้างสูงของเส้นทางนักเพาะปลูก… เดอะฟูล ไคลน์ที่นั่งในตำแหน่งประธานโต๊ะทองแดงยาวพลันปวดหัวกะทันหัน ภายในใจกำลังเกิดการต่อสู้อย่างรุนแรง


มันมองเห็นเจตนาที่แท้จริงของเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ จริงอยู่ที่นักล่าปีศาจรายนี้ปรารถนาอนาคตอันสดใสหลังจากสำรวจวังราชาคนยักษ์ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่ได้รีบร้อน มันเตรียมใจที่จะอาศัยอยู่ในความมืดต่อไปหากผลการสำรวจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ดังนั้นมันจึงจงใจเอ่ยถึงสูตรโอสถนักเพาะปลูกเพื่อหยั่งเชิงว่ามิสเตอร์ฟูลมีอำนาจที่เกี่ยวข้องในขอบเขตนี้หรือไม่ หรือกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังมีผู้วิเศษเส้นทางนี้ไหม เพราะหากเดอะฟูลตอบสนองในเชิงบวก นั่นหมายความว่าเมืองเงินพิสุทธิ์สามารถยกระดับความเป็นอยู่ขึ้นไปได้อีก


และในทางกลับกัน ฝั่งไคลน์เองก็มีเรื่องให้ต้องปวดหัว ปัจจุบันแฟรงค์·ลีเพิ่งเขียนจดหมายว่า งานวิจัยของตนเหลืออีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น หมายความว่าการเลื่อนเป็นลำดับ 5 ดรูอิดจะช่วยให้ปัญหาดังกล่าวจบลงทันที และสิ่งนี้ทำให้ไคลน์ต้องคิดหนัก


อนาคตจะเป็นยังไง… เราไม่รู้… แต่ตอนนี้ต้องใส่ใจกับปัจจุบันก่อน… ถ้าโลกจะแตกเพราะผู้วิเศษลำดับ 5 แค่คนเดียวก็ให้มันรู้ไป… นอกจากนั้น มาดามเฮอร์มิทกลายเป็นครึ่งเทพเรียบร้อยแล้ว ลำพังเธอน่าจะดูแลแฟรงค์ไหว… หลังจากไตร่ตรองสักพัก ไคลน์สั่งให้เดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์มอบคำตอบ


“ลำดับ 5”


“แล้วถ้ามีลำดับที่สูงกว่านั้น?” เดอะซัน เดอร์ริคถามอย่างรอบคอบ


ไคลน์รู้สึกราวกับกำลังถูกทดสอบ จึงเงียบไปสักพักจึงค่อยตอบ


“ถ้าทางนั้นยินดีมอบให้ ทางนี้ก็ไม่ขัดข้อง…”


“ตกลงครับ” เดอะซัน เดอร์ริคไม่ถามซักไซ้ เพียงหันไปคุยกับบุรุษด้านข้าง “มิสเตอร์แฮงแมน ผมมีคำถาม ทำไมจู่ๆ ท่านเจ้าเมืองถึงพูดเรื่องสูตรโอสถของเส้นทางนักเพาะปลูกขึ้นมา?”


แฮงแมน อัลเจอร์ชำเลืองไปทางเดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์เล็กน้อยก่อนจะกล่าว


“นี่คงเป็นการทดสอบของเจ้าเมือง เพื่อหยั่งเชิงว่าสภาพแวดล้อมของเมืองเงินพิสุทธิ์สามารถถูกปรับปรุงได้หรือไม่… ถ้าผมจำไม่ผิด ตำนานของเมืองเงินพิสุทธิ์กล่าวเอาไว้เพียงว่า ราชินีของราชาคนยักษ์คือเทพธิดาแห่งฤดูเก็บเกี่ยว… แต่ในบันทึกของตระกูลผีดูดเลือด มีการระบุชัดเจนว่าเทพธิดาแห่งฤดูเก็บเกี่ยวมีพระนามว่าโอมีเบล่า และเมืองเงินพิสุทธิ์ของคุณก็เคยศรัทธาในพระองค์… ความคิดของผมในตอนนั้นก็คือ สิ่งที่น่าจะเป็นความจริงมีแค่ชื่อโอมีเบล่า ส่วนประเด็นอื่นอาจเป็นการปั้นแต่งของผีดูดเลือด… แต่เมื่อทราบว่าเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์จู่ๆ ก็เอ่ยถึงสูตรโอสถของเส้นทางนักเพาะปลูกที่ไม่เคยถูกกล่าวถึงมาก่อน ผมเริ่มเชื่อว่าตำนานที่มิสเตอร์มูนเล่านั้นคงเป็นเรื่องจริง… และนั่นทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมเมืองเงินพิสุทธิ์ถึงต้องปกปิดความจริงที่เคยนับถือเทพธิดาแห่งฤดูเก็บเกี่ยว แม้แต่พระนามเต็มก็ยังถูกปกปิดโดยเจตนา… ต้องมีความลับสำคัญซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่”


“ความลับสำคัญ…” เดอะซัน เดอร์ริคไตร่ตรองหน้าเครียด แต่ก็นึกอะไรไม่ออก


โชคดีที่เรื่องนี้ไม่สำคัญกับมันนัก เพียงไม่นานก็รีบยุติการชุมนุมและกลับสู่เมืองเงินพิสุทธิ์ เตรียมแลกเปลี่ยนสมบัติปิดผนึก

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1079 : คนสวนแสนขยัน

 

เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ที่นั่งบนเก้าอี้เดอะฟูลโบกมือและเสกไม้กางเขนเจิดจรัส


ไม้กางเขนทองแดงอมสีเขียวกำลังถูกประกบติดกับกระดุมธรรมดาๆ หนึ่งเม็ด บนพื้นผิวของกระดุมมีตะกอนถูกขับออกมาเป็นอนุภาคสีใสคล้ายผลึกแก้ว มอบความรู้สึกกดดันให้แก่ผู้พบเห็น


นี่คือกระดุม ‘ผู้พิพากษา’ ของเฮอร์มิท แคทลียาซึ่งถูกจองซื้อโดยมิสจัดจ์เมนต์ในราคาสามพันห้าร้อยปอนด์ ดังนั้น พลเรือเอกดวงดาวจึงต้องสังเวยให้มิสเตอร์ฟูลล่วงหน้า ตัวตนลึกลับรายนี้จะได้มีเวลาสั่งให้เทวทูตป่นตะกอนพลังและจัดระเบียบใหม่


และในชุมนุมทาโรต์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา จัดจ์เมนต์ ซิลยังถามหาซื้อสูตรโอสถผู้พิพากษาในราคาสองพันปอนด์


จากข้อตกลงร่วมกัน ออเดรย์ไม่สามารถแบ่งปันสูตรโอสถทุกชนิดที่ได้รับจากการสำรวจ ‘การเดินทางของกรอซาย’ กับผู้อื่นได้ เพราะนี่คือ ‘ความช่วยเหลือฟรี’ หนึ่งครั้งที่เธอเคยติดค้างกับเดอะเวิร์ล แต่ในกรณีของเลียวนาร์ด มันสามารถขายสูตรโอสถและความรู้ทางประวัติศาสตร์จาก ‘การเดินทางของกรอซาย’ ได้อย่างอิสระ ทว่า ท้ายที่สุดแล้วจัดจ์เมนต์ ซิลก็ยังเชื่อใจเดอะเวิร์ลมากกว่า


ขั้นตอนการขับตะกอนพลังใกล้เสร็จแล้ว หลังจบงานนี้ เราสามารถนำไม้กางเขนเจิดจรัสไปแลกเปลี่ยนกับเดอะซันน้อยได้อย่างสบายใจ… ถ้าในอนาคตมีความต้องการที่คล้ายคลึงกัน สมาชิกคนอื่นคงพุ่งเป้าไปขอความช่วยเหลือจากเดอะซันมากกว่ามิสเตอร์ฟูล เพราะไม่มีใครอยากรบกวนตัวตนลึกลับบ่อยๆ ถ้าไม่จำเป็น…


ในอนาคต เมื่อเดอะซันน้อยใกล้จะเป็นครึ่งเทพ เราคงต้องหาวิธีป่นไม้กางเขนเจิดจรัสให้เป็นตะกอนพลัง… แต่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล ถึงตอนนั้นเราคงกลายเป็นลำดับ 3 แล้ว สามารถระดมพลังของมิติลึกลับแห่งนี้ได้มากพอที่จะป่นสมบัติปิดผนึกให้แหลกละเอียด…


หลังจากผ่าน ‘การฆ่าเชื้อ’ ของมิติหมอก อาดัมไม่น่าจะใช้ไม้กางเขนเจิดจรัสเพื่อ ‘ล็อกเป้า’ เดอะซันน้อยได้… แต่ต่อให้หาพบ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะอามุนด์น้องชายอาดัมรู้มานานแล้วว่าเดอะซันน้อยเกี่ยวข้องกับมิสเตอร์ฟูล…


อา… ดูเหมือนว่าอามุนด์สามารถเข้าออกดินแดนเทพทอดทิ้งได้อย่างอิสระ แต่ไม่รู้ว่าอาดัมทำได้เหมือนกันไหม… ไคลน์จับไม้กางเขนเจิดจรัสแยกออกจากกระดุมผู้พิพากษาซึ่งเริ่มสรรเสริญดวงอาทิตย์ ระหว่างที่รอให้เดอะซันน้อยประกอบพิธีกรรมสังเวย มันเฝ้ามองตะกอนพลังที่ถูกขับออกมาจับตัวกันเป็นก้อนอีกครั้ง



ภายในยอดหอคอยของเมืองเงินพิสุทธิ์


หลังจากจัดเตรียมแท่นบูชาเสร็จ เดอร์ริค·เบเกอร์ยืนจ้องตุ๊กตาดินเหนียวสีดำเดินเข้าไปใกล้แท่นบูชาโดยถือแท่งไม้ธรรมดาๆ ไว้ในมือ


หลังจากการสวดมนต์ที่สำรวจและดำเนินขั้นตอนที่จำเป็น ประตูแห่งการสังเวยและรับมองก็เปิดออก ไม้เท้าแห่งชีวิตถูกดูดเข้าไปและแทนที่ด้วยไม้กางเขนทองแดงอมเขียวซึ่งมีหนามแหลมล้อมรอบ


ขณะเดียวกัน ชื่อของไม้กางเขนดังขึ้นในหัวเด็กหนุ่มพร้อมกับวิธีการใช้และผลข้างเคียง


มันข่มความตื่นเต้นและรีบขอบคุณมิสเตอร์ฟูล จากนั้นก็สิ้นสุดพิธีกรรมและเดินไปทางด้านหน้าแท่นบูชา หยิบไม้กางเขนเจิดจรัสขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด


เก็บกวาดเสร็จ เดอร์ริคเดินออกจากห้อง ข้ามมายังห้องฝั่งตรงข้ามและเคาะประตู


“เข้ามา” โคลิน·อีเลียดส่งเสียงอนุญาต


เดอร์ริคบิดที่จับและดันประตูเปิด เดินเข้าไปพร้อมกับแสดงไม้กางเขนทองแดง


“ท่านเจ้าเมือง ตามที่เคยกล่าวไปแล้ว นี่คือสิ่งที่พระองค์เหลือทิ้งไว้… ชื่อของมันคือไม้กางเขนเจิดจรัส ใช้งานโดยการให้หนามที่พันรอบไม้กางเขนสัมผัสกับเลือดของผู้ถือ”


คราวนี้มันจงใจเลี่ยงคำว่า ‘มรดก’ และใช้ ‘สิ่งที่เหลือทิ้งไว้’ แทน


โคลินเจ้าของเส้นผมสีเทาหันมาจ้องตั้งแต่วินาทีที่เดอร์ริคถือไม้กางเขนเข้ามาในห้อง หลังจากฟังคำอธิบายจบ มันเดินไปเข้ามาใกล้ด้วยฝีเท้าหนักแน่น รับไปถือพร้อมกับตรวจสอบอย่างละเอียด


จนกระทั่งโคลิน·อีเลียดกดนิ้วโป้งลงบนหนามแหลม ปล่อยให้เลือดสีแดงไหลซึมออกมา


เมื่อคราบสีเขียวทองแดงลอกออก ไม้กางเขนเจิดจรัสก็เผยร่างจริงซึ่งเป็นแสงสว่างอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง ส่งผลให้เงาดำทั้งหมดอันตรธานหายไปจากห้อง


จนกระทั่งบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์อันท่วมท้นปกคลุมทุกซอกมุม โคลินปล่อยนิ้วออกจากหนาม ถอนหายใจและกล่าว


“สิ่งนี่เป็นของพระองค์…”


แม้ว่ามันจะเกิดหลังจากเมืองเงินพิสุทธิ์ถูก ‘ทอดทิ้ง’ ถึงสองพันกว่าปีและไม่โอกาสได้สัมผัสถึงออร่าแห่งเทพโดยตรง แต่เมืองแห่งนี้ก็ยังเก็บรักษาวัตถุหลายชิ้นที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมสังเวยแด่พระผู้สร้าง และพวกมันจะถูกนำออกมาใช้ในยามสังเวยหญ้าผิวดำ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่โคลินจะสามารถระบุที่มาและต้นกำเนิดของไม้กางเขนในมือ


เดิมทีเดอร์ริคต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อได้ยินประโยคที่แฝงความหนักแน่นเมื่อครู่ มันกลับกล่าวสิ่งใดไม่ออก


โคลิน·อีเลียดมิได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม เพียงยืนถือไม้กางเขนเจิดจรัสอย่างเหม่อลอยเป็นเวลานาน


ผ่านไปหลายสิบวินาที ผู้นำสูงสุดแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ทำลายความเงียบด้วยการกล่าวเสียงต่ำ


“เป็นเรื่องดีที่สิ่งของของพระองค์กลับมาอยู่ในมือเราอีกครั้ง นี่คือลางสังหรณ์ว่ารุ่งอรุณกำลังจะมาเยือน… ผมขอยืมไม้กางเขนอันนี้สักครึ่งวันเพื่อแสดงต่อหน้าอาวุโสทุกคน… หึหึ… ถึงแม้จะเป็นผม แต่ก็ใช่ว่าจะแลกเปลี่ยนสมบัติวิเศษได้ตามใจชอบ… ในเมื่อผมทำไม้เท้าแห่งชีวิตสูญหาย อาวุโสคนอื่นก็ต้องได้ทราบเรื่องนี้และร่วมกันตัดสินบนลงโทษ… คุณต้องจำไว้ในดี ในฐานะหัวหน้า การตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวคือสิ่งสำคัญ ขณะเดียวกันก็ต้องไม่กลัวที่จะรับผลกระทบที่ตามมา… ต่อให้ทำไปเพื่อเมืองเงินพิสุทธิ์ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคุณจะพ้นจากความผิด… บางทีการตัดสินใจในคราวนี้อาจถูกต้อง แต่คุณไม่มีทางเลือกถูกต้องได้ทุกครั้ง… สบายใจได้ ท้ายที่สุดแล้วไม้กางเขนเจิดจรัสอันนี้จะกลับสู่มือคุณ”


คำพูดของท่านเจ้าเมืองช่างซับซ้อน… คงต้องให้มิสเตอร์แฮงแมนช่วยอธิบายในการชุมนุมทาโรต์ครั้งหน้า… เดอร์ริคต้องการยกมือขวาขึ้นมาเกาท้ายทอยตามนิสัย แต่สุดท้ายก็หักห้ามใจตัวเองและเลือกที่จะอธิบายผลข้างเคียงด้านลบของไม้กางเขน



บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน เขตเหนือของกรุงเบ็คลันด์


ไคลน์สังเวยหุ่นเชิดผู้ชนะ เอ็นยูนเข้าไปในมิติหมอกเพื่อ ‘เก็บรักษา’ จุดประสงค์เพื่อความคล่องตัวในแผนการถัดไป – มันตั้งใจที่จะให้เคาต์แห่งการเสื่อมถอย โจนาส·โคลเกอร์สวมแหวนบุปผาโลหิตพร้อมกับไม้เท้าแห่งชีวิต จากนั้นก็สร้างความสยองขวัญและพิสดารเป็นครั้งคราวในชีวิตประจำวันเพื่อเร่งความเร็วในการย่อยโอสถ ดังนั้น เมื่อเอ็นยูนไม่สามารถซ่อนตัวในท้องของโจนาสด้วยแหวนบุปผาโลหิต มันก็ต้องถูกเก็บแยกไว้ต่างหากอย่างมิดชิด จะได้ไม่เกิดปัญหาที่ยุ่งยากตามมา ไคลน์จึงไม่มีทางเลือกนอกจากโยนไว้บนมิติหมอก เพราะเหนือสิ่งอื่นใด มันสามารถสร้างหุ่นเชิดตัวใหม่ออกมาได้เรื่อยๆ อยู่แล้ว


ทำไมเราถึงรู้สึกแปลกๆ กับการนำหุ่นเชิดไปไว้ใน ‘ตู้เก็บ’ … มันดูเหมือนกับ… หนังสยองขวัญ… แต่แบบนี้ก็เหมาะกับชื่อจอมเวทพิสดารดี และนอกจากนั้น ทั้งเทวทูตของตระกูลซาราธและอันทีโกนัสต่างก็เก็บหุ่นโดยการนำไป ‘แขวนตากลม’ เห็นแบบนั้นแล้วของเราดูธรรมดาไปเลย! ไคลน์ลูบคางพลางนำไม้เท้าแห่งชีวิตยัดลงในไม้ค้ำแบบพิเศษที่ฝากมิสจัดจ์เมนต์ซื้อ


ไม้ค้ำอันนี้มีลักษณะกลวง สามารถใส่ดาบที่ไม่ยาวและกว้างจนเกินไป เหมาะแก่การซ่อนไม้เท้าแห่งชีวิตเป็นอย่างยิ่ง


หลังจากเสร็จพิธีกรรมสังเวย ไคลน์บังคับให้โจนาสที่อยู่ในร่างเอ็นยูนนำไม้เท้ากลับไปยังห้องพักของตัวเองซึ่งอยู่ติดกัน จากนั้นก็อาบน้ำและแต่งตัวเข้านอน ทิ้งตัวลงบนเตียง


ขณะกำลังนอนหลับอย่างผ่อนคลาย สัมผัสวิญญาณของไคลน์ถูกกระตุ้น มันรีบลุกพรวดพร้อมกับมองไปทางระเบียงภายในห้อง


เนื่องจากผ้าม่านมิได้ปิดสนิท จึงสามารถมองเห็นสถานการณ์ด้านนอก


พืชพรรณด้านนอกหน้าต่างกำลังแผ่กิ่งก้านเติบโตจนเต็มพื้นที่ ดอกไม้ปกคลุมหนาแน่นในลักษณะเบียดเสียดหลายชั้น ไคลน์จึงอดสงสัยไม่ได้ว่านี่ตนเผลอตื่นขึ้นมากลางป่าหรืออย่างไร


“หรือว่า..” หลังจากเดาได้คร่าวๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มุมปากไคลน์กระตุก


มันม้วนตัวลุกจากเตียงและเดินไปที่ระเบียง ดึงผ้าม่านเปิดออกจนสุด


สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามิใช่สวนพฤกษาและดอกไม้ในคฤหาสน์ของดอน·ดันเตสอีกต่อไป หากแต่เป็น ‘ป่าไม้’ อันเขียวชอุ่ม


นี่คือพลังการทำให้บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยชีวิตชีวาทั้งพืชและสัตว์… ส่งผลให้เติบโตอย่างเร่งรีบและสืบพันธุ์ได้รวดเร็ว? แต่แบบนี้ไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ? สีหน้าไคลน์พลันบิดเบี้ยว


ย้อนกลับไปในตอนที่ใช้พลังทำนายเมื่อยืนยันผลข้างเคียงที่เกิดจากไม้เท้าแห่งชีวิต ไคลน์ได้เห็นภาพที่คล้ายคลึงกับสิ่งตรงหน้า แต่เนื่องจากวิวรณ์แจ้งว่าสิ่งนี้จะไม่สร้างอันตรายกับสภาพแวดล้อม มันจึงคิดว่ากระบวนการคงใช้เวลานาน ต้องใช้เวลาสักพักกว่าผู้คนรอบตัวจะค้นพบความผิดปรกติ ไม่ใช่สิ่งที่ตนต้องกังวลแต่อย่างใด


ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ตัดสินใจตรวจสอบด้ายวิญญาณทั้งหมดในละแวกใกล้เคียงและพบว่ามนุษย์ไม่ได้รับผลกระทบ แต่หนูกับแมลงสาบนั้นเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก


ผลลัพธ์ดังกล่าวทำให้มันค่อนข้างโล่งใจ สายตามองออกไปยัง ‘ป่า’ ด้านนอกพลางตัดพ้อ


“ถึงจะไม่อันตราย แต่มันก็อลังการเกินไปหน่อย… เวลาปรกติคงต้องเก็บไว้บนมิติหมอก”


ราวสิบวินาทีต่อมา เงาลางกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นภายใน ‘ป่า’ บ้างตัวบางเฉียบ บ้างตัวหนา ทั้งหมดสวมเสื้อกันลมสีดำ ใบหน้าแบนราบโดยปราศจากดวงตา คิว ปาก และจมูก


เงาลางเหล่านี้บ้างก้มบ้างยืน ช่วยกัน ‘เผา’ วัชพืชและกอหญ้าท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัด บางส่วนก็คอยตัดเถาวัลย์และดอกไม้ส่วนเกิน


เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นอีกหนึ่งวันที่พ่อบ้านวอลเตอร์ตื่นเช้าและเปิดหน้าต่างชมสวน


สวนดอกไม้ด้านนอกชุ่มฉ่ำไปด้วยสายหมอกยามเช้าและหยดน้ำค้าง กลิ่นหอมอันสดชื่นลอยโชยอย่างผิดปรกติ


“ดีกว่าเมื่อวาน…” วอลเตอร์พยักหน้าพลางชื่นชมคนสวนทั้งสองคน


ทว่า ภาพช่วงเช้าอันสดชื่นกลับทำให้มันรู้สึกกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก อยากกลับบ้านไปหาภรรยาใจจะขาด มันตัดสินใจออกจากห้องและเดินไปทางเรือนคนใช้พร้อมกับจัดแจงสิ่งต่างๆ ให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินมายังห้องอาหาร


เพียงไม่นาน ดอน·ดันเตสและบุรุษรับใช้ เอ็นยูนเดินลงมาจากชั้นสาม


วอลเตอร์ก้าวไปข้างหน้าเพื่อแสดงความยินดี ตามด้วยการแจ้งตารางงานของนายจ้าง ปิดท้ายด้วยการสบโอกาสพูด:


“นายท่าน ผมต้องการใช้วันลาหยุดของเดือนนี้หนึ่งวัน”


กล่าวจบ มันหันไปเห็นผิวหนังบริเวณลำคอของบุรุษรับใช้ลูกครึ่งแยกออกจากกัน เผยให้เห็นดวงตาสีดำด้านใน


วอลเตอร์ตกตะลึงสุดขีดจนเกือบผงะถอยหลัง แต่หลังจากกะพริบตาหนึ่งหน มันพบว่าทุกสิ่งกลับเป็นปรกติ ไม่มีดวงตาประหลาดโผล่ขึ้นกลางลำคอของเอ็นยูน


คงเป็นเพราะเมื่อคืนเราฝันแปลกๆ จนนอนไม่หลับ… ทั้งขาดสมาธิและเห็นภาพหลอน… หลังจากกลั่นกรองความคิด วอลเตอร์รีบก้มศีรษะลง


ไคลน์ขอโทษในใจพลางผงกศีรษะ


“ไม่มีปัญหา ขอให้มีความสุขกับครอบครัว”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1080 : แนวคิดในการสวมบทบาท

 

หลังจากบ้านวอลเตอร์เดินลงไปจากชั้นสอง ไคลน์เดินเข้าไปในห้องอาหารและมองรอบตัว พบว่าสาวใช้และคนรับใช้กระฉับกระเฉงเป็นพิเศษ บางคนทำท่าทางกระสับกระส่าย


นึกแล้วเชียว ที่จริงไม้เท้าแห่งชีวิตก็ส่งผลกับมนุษย์ เพียงแต่ไม่รุนแรงนัก อยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้… จากหลักการดังกล่าว ประสิทธิภาพในการสืบพันธุ์ของเหล่าคนใช้ต้องเพิ่มสูงขึ้น แต่ปัญหาเดียวก็คือ พวกเขาไม่มีคู่ครอง จึงไม่รู้จะไปลงกับใคร…


หืม… การกลับบ้านในวันนี้ของคุณพ่อบ้านจะทำให้มีเด็กเกิดมาในอีกสิบเดือนข้างหน้าไหม? ภรรยาของเขาอายุเกือบสี่สิบแล้ว การคลอดในวัยนี้ค่อนข้างอันตราย… อา… แต่พลังการในขยายพันธุ์จากไม้เท้าแห่งชีวิตคงติดตัววอลเตอร์ไปด้วยและช่วยให้ภรรยาคลอดได้ง่ายขึ้น คงไม่น่ากังวลขนาดนั้น…


เดี๋ยวนะ… ถ้าอิทธิพลของไม้เท้าแห่งชีวิตช่วยให้ผสมพันธุ์ ‘ติด’ ง่ายขึ้น… หลังจากดอน·ดันเตสย้ายเข้ามา อัตราการเกิดใหม่ของทารกในถนนเบิร์คลุนได้เพิ่มสูงขึ้น… ข่าวลือเสียๆ หายๆ คงได้ถาโถมเข้ามาแน่… ไคลน์ปล่อยความคิดล่องลอยเรื่อยเปื่อยก่อนจะสรุปในใจ


ไม้เท้าแห่งชีวิตเลวร้ายกว่าที่คิด!


หลังจากนี้ เราคงนำลงมาบนโลกความจริงได้ไม่บ่อยนัก อย่าพยายามสร้างผลกระทบแก่มนุษย์รอบๆ โดยไม่จำเป็น!


กินอาหารเช้าเสร็จ ไคลน์พาบุรุษรับใช้ส่วนตัว เอ็นยูนลงไปยังชั้นหนึ่งเพื่อเตรียมเดินเล่น


ระหว่างนั้น สาวใช้สองคนกำลังเช็ดพื้นห้องโถง


“อรุณสวัสดิ์ค่ะนายท่าน” เมื่อเห็นดอน·ดันเตสเข้ามาใกล้ สาวใช้ทั้งสองลุกขึ้นยืน หลีกทางและทักทาย


แน่นอนว่าถ้าพวกเธออยู่ไกลกว่านี้หรืออยู่ในซอกหลืบ จะพยายามไม่ส่งเสียงดังเพื่อรบกวนนายจ้าง นี่เป็นคำสอนของวอลเตอร์


ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบาเป็นการตอบสนองและเดินเข้าใกล้ประตูหน้า


ทันใดนั้น สาวใช้ทั้งสองบนพบว่าบนศีรษะของเอ็นยูนมีรวงข้าวสีทองอร่ามงอกออกมาจนเต็ม


ขณะทั้งสองกำลังเพ่งมอง ดูเหมือนว่าบุรุษรับใช้จะรู้ตัว รีบยกมือขวาขึ้นมาดึงรวงข้าวออกอย่างยากลำบาก


สาวใช้ทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นก็ยิ้มอย่างขบขันปนประหลาดใจ


พวกเธอจินตนาการว่า ในตอนที่ติดตามดอน·ดันเตสไปยังคฤหาสน์เพลงกุหลาบ เอ็นยูนคงบังเอิญทำให้รวงข้าวสาลีติดร่างกายตัวเองมาจนกระทั่งกลับถึงถนนเบิร์คลุน จากนั้นก็ทำร่วงลงในจุดที่ยากต่อความทำความสะอาด หรือไม่ก็ยากจะสังเกตเห็น อย่างเช่นใต้หมอน และในตอนที่หลับเมื่อคืน อาจจะเพราะฝันร้าย เอ็นยูนได้ผลักหมอนออกจนรวงข้าวสาลีติดอยู่ในเส้นผม รอดพ้นช่วงเวลาการการอาบน้ำและอาหารเช้าจนมาถึงตอนนี้


แม้เรื่องราวจะซับซ้อนและเกิดขึ้นจริงได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย


รวงข้าวงอกขึ้นบนหัวมนุษย์ไม่ได้สักหน่อย… สาวใช้ทั้งสองรำพันก่อนจะกลับไปทำงาน


ด้านนอกบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ไคลน์และเอ็นยูนเดินทอดน่องใต้ต้นเมเปิ้ลอินทิสซึ่งใบเริ่มเฉา สูดอากาศอันสดชื่นของฤดูใบไม้ร่วง


เฉกเช่นไคลน์ เพื่อนบ้านหลังอื่นเองก็ออกมาเดินเล่น


แต่แน่นอน นี่มิใช่กิจวัตรประจำวันของชนชั้นสูงในกรุงเบ็คลันด์ เพราะเมื่อปีที่แล้วยังเต็มไปด้วยหมอกควันรุนแรง ไม่มีใครอยากตื่นเช้าออกมารับลมหนาวและความเปียกชื้นบนท้องถนน


ในฐานะเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน เมื่อเดินสวนกันย่อมทักทายกันเป็นปรกติ จนกระทั่งเดินสวนกันไป นักกฎหมายคนดังกล่าวใช้หางตาชำเลืองบุรุษรับใช้ของดอน·ดันเตสพลางปิดปากหาว


ขณะลดมือลง นักกฎหมายหนุ่มพบบางสิ่งที่แตกต่างออกไป


จมูกของเขาโด่งขึ้น…


ฮะฮะ… พักหลังคงคิดหลายสิ่งมากเกินไปจนเกินอาการประสาทหลอน…


ถ้าดั้งจมูกของเราโด่งขึ้นได้เองก็คงจะดี…


นักกฎหมายยกมือขึ้นมาลูบจมูกพลางครุ่นคิด พร้อมกันนั้น มันเห็นสุนัขจรจัดสองตัวกำลังวิ่งไล่กันเพื่อพยายามผสมพันธุ์กลางถนน



หลังจากเดินเล่น ไคลน์กลับไปยังห้องนั่งเล่นบนชั้นสาม ส่งไม้เท้าแห่งชีวิตขึ้นไปบนมิติหมอก


มีความคืบหน้า… หมายความว่า แก่นสำคัญของการย่อยโอสถจอมเวทพิสดารคือการทำให้ผู้คนสยองขวัญและหวาดกลัวด้วยเทคนิคต่างๆ … ยังคงรักษาคอนเซ็ปต์ของ ‘ผู้กำกับ’ แต่คราวนี้เป็น ‘ผู้กำกับหนังสยองขวัญ’ …


อา… แต่ไม่จำเป็นต้องสร้างความกลัวขึ้นมาจริงๆ … ในชีวิตประจำวันของมนุษย์มีฉากน่ากลัวมากมายเกิดขึ้นทุกวันอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น เมื่อนึกขึ้นได้รางๆ ในภายหลังและนำไปจินตนาการต่อยอด ความกลัวจะก่อตัวขึ้นในใจจนบางรายเก็บไปฝันและไม่กล้าปิดไฟนอน… นี่ก็เป็นอีกหนึ่งศาสตร์ของหนังสยองขวัญ… ไคลน์พิจารณาความเป็นไปได้และตกผลึกจากประสบการณ์ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เป็นการนิยามผู้กำกับหนังสยองขวัญในฉบับย่อส่วน


หลังจากเข้าใจแก่นแท้ มันเริ่มมีไอเดียมากมายในการย่อยโอสถ


ในอนาคต การจัดการกับศัตรูนั้นยังไม่เพียงพอ แต่ต้องเปลี่ยนให้ศัตรูเป็นตัวเอกของหนังสยองขวัญด้วย!


แต่นั่นทำได้ยาก… ถ้าอีกฝ่ายเป็นครึ่งเทพ เราต้องใส่สุดโดยห้ามออมแรง แล้วจะมีอารมณ์กำกับหนังสยองขวัญได้ยังไง… จริงสิ เหยื่อไม่จำเป็นต้องเป็นครึ่งเทพ ไม่มีข้อจำกัดในด้านดารานำ สามารถเทเลพอร์ตไปที่ทะเลและมองหาโจรสลัดผู้โชคดีมา ‘เข้ากองถ่าย’ หนังสยองขวัญ


ใช่แล้ว ในฐานะผู้กำกับ เราต้องหาทางโฆษณาผลงาน! ดูเหมือนว่าต้องปล่อยให้ดารานำหนีรอดในบางครั้ง เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ชวนขนหัวลุกจนกลายเป็นตำนานในท้องทะเล ไม่สามารถใช้ทั้งหมดเป็นอาหารของยุบพองหิวโหยได้… ขณะไคลน์วางแผน มันผุดคำถามหนึ่งขึ้นกะทันหัน


จากตำนานสยองขวัญทั้งหมดที่ถูกเล่าขานในห้าห้วงสมุทร มีกี่ตำนานที่อำนวยการสร้างโดยจอมเวทพิสดาร?


ต้องมีบ้างแน่นอน… เฮ้อ… ถ้าอามุนด์เป็นผู้กำกับ เจ้านั่นคงย่อยโอสถเสร็จภายในเดือนเดียว มันเก่งในเรื่องแบบนี้มาก แถมยังไม่สนใจผลกระทบที่ตามมา… แล้วก็… ระหว่างที่หาโจรสลัดมาถ่ายหนังสยองขวัญ เราสามารถมองหาลู่ทางการในสร้างความกลัวให้ครึ่งเทพคนอื่น… ไม่จำเป็นต้องต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย ขอแค่บรรลุเป้าหมายก็พอ… ขณะความคิดมากมายหลั่งไหล ไคลน์เริ่มวางแผนที่ชัดเจน


จากนั้น มันพิจารณาเป้าหมาย


ห้ามยุ่งกับเทวทูตหรือลำดับสูงกว่านั้นที่ไม่สนิทเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นดารานำชายในหนังจะกลายเป็นเราแทน… แต่คนที่สนิทกันย่อมรู้อยู่แล้วว่าเราคือจอมเวทพิสดาร คงจะไม่กลัวกันสักเท่าไร…


โลกนี้มีผู้วิเศษระดับนักบุญอยู่มากมาย… ไม่ควรไปยุ่งกับบรรดาอาร์ชบิชอปของโบสถ์หลัก ไม่อย่างนั้นอาจทำให้เรื่องราวลุกลามบานปลายถึงขั้นเป็นชนวนสงคราม…


ฟู่ว… ดูเหมือนว่าเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดจะเป็นแพทริค·เบรน ครึ่งเทพของนิกายวิญญาณฝ่ายฝักใฝ่มรณาเทียม… นอกจากนั้นก็ยังมีสมาชิกสภาแห่งชะตาของวิล·อัสติน… แล้วก็…


หลังจากไล่รายชื่อเสร็จ ไคลน์ตัดสินใจว่าจะนัดพบกับนายแพทย์อลัน·คริสต์ภายในสองสามวันข้างหน้า นำไอศกรีมไปป้อนให้ทารกตัวน้อยพร้อมกับถามว่า ‘เหล่าสมาชิกสภา’ อยู่ที่ไหนกันบ้าง


หากคิดจะแกล้งลูกน้องใครสักคน ย่อมต้องได้รับอนุญาตจากประธานใหญ่เสียก่อน!


ไคลน์ที่ได้ข้อสรุปเริ่มอารมณ์ดี วางแผนออกจากบ้านและตรงไปยังวิหารนักบุญแซมมวลเพื่อสวดมนต์และบริจาค ก่อนจะแวะไปที่ ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ และอยู่จนถึงเที่ยงวัน


ในช่วงบ่าย มันสวมบทบาทเป็นนักธุรกิจมืออาชีพเพื่อพบปะนักบัญชีและนักกฎหมายหลายคนที่กำลังมองหานักธุรกิจไปลงทุนในกิจการ


หลังจากเติมเต็มความหิว ไคลน์กลับมาที่ห้องนั่งเล่นกึ่งเปิดโล่งติดระเบียงใหญ่อีกครั้ง ขณะลังเลว่าพรุ่งนี้จะควรแวะไปที่บ้านของนายแพทย์อลัน·คริสต์โดยตรง หรือเลี้ยงอาหารค่ำที่ภัตตาคารเซอเรนโซ่ซึ่งโด่งดังด้านไอศกรีม สัมผัสวิญญาณของมันถูกกระตุ้น


ชายหนุ่มมองไปด้านข้างด้วยท่าทางไม่ประหลาดใจ มันพบกับมิสผู้ส่งสารที่เดินออกจากความว่างเปล่าพร้อมกับสี่หัวทองตาแดง


ในหนังศีรษะกำลังคาบจดหมาย


“ใครส่งมา” ไคลน์ถามอย่างคาดหวังตามความเคยชิน


เนื่องจากมันยังไม่รับจดหมาย ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์จึงใช้สามหัวที่เหลือตอบ


“ราชา…” “แห่ง…” “ความโง่…”


แพทริค·เบรน? ชื่อเล่นสามารถวิวัฒนาการได้ด้วย? ไคลน์เอื้อมมือไปหยิบจดหมายและเปิดอ่าน พบว่ามาจากครึ่งเทพของนิกายวิญญาณฝ่ายฝักใฝ่มรณาเทียมอย่างที่คิด


เนื้อความในจดหมายเขียนไว้ว่า


“…ผมเตรียมประกอบพิธีกรรมพิเศษสำหรับช่วยเหลืออาจารย์ของผม ท่านไฮเทล เรียบร้อยแล้ว… ท่านเจ้าคุณ ตอนนี้ผมกำลังยื้อเวลาของพิธีกรรมออกไปเพื่อรอการอนุญาตจากคุณ อย่างช้าที่สุดคือเช้าวันพรุ่งนี้”


พิธีกรรมที่มุ่งเป้าไปยังเทวทูตไฮเทล? ตอนนี้คงไม่มีวิธีหลีกเลี่ยงบททดสอบของแพทริค·เบรนที่นิกายวิญญาณมอบ… แต่อย่างน้อยก็สามารถแทรกแซงได้ด้วยเทวทูตกระดาษ… ใช่แล้ว… ไคลน์สะบัดข้อมือพร้อมกับเผาจดหมาย


จากนั้นมันดึงกระดาษออกมาหนึ่งแผ่นและเขียนตอบกลับ


“อนุญาต… ระวังตัวด้วย”



ณ ค่ำคืนอันเงียบสงบใกล้รุ่งสาง ภายในโรงงานตัดเย็บที่ไร้ผู้คนในเขตนักบุญจอร์จ


บางส่วนของที่นี่ถูกเคลียร์ให้เป็นลานโล่ง ผู้คนนับสิบในชุดคลุมสีดำกำลังยืนเรียงราย


กึ่งกลางพวกมันคือโลงศพสีดำที่ดูค่อนข้างหนัก รอบโลงเต็มไปด้วยเครื่องประดับทองคำ คราบโคลน เทียนไขที่จุดไฟสีซีด และกองกะโหลกจำนวนมาก


กะโหลกสีขาวเหล่านี้บางส่วนเป็นของมนุษย์ บางส่วนเป็นของสัตว์ และบางส่วนผิดรูปและแปลกประหลาดจนไม่สามารถบอกที่มา


และที่ด้านหน้าสุด กะโหลกศีรษะถูกวางซ้อนกันเป็นของใหญ่ที่สุด โดยมีแพทริค·เบรนกำลังยืนอยู่ไม่ไกล


มันเองก็สวมชุดคลุมสีดำ แต่มิได้ยกผ้าคลุมหัวขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าชัดลึกและเรียวยาว ผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล


ครึ่งเทพรายนี้ยังไม่ทันได้ทำอะไร บรรยากาศรอบๆ พลันกลายเป็นเย็นเยียบ คล้ายกับมีวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเต้นรำสนุกสนาน


ทันทีที่แพทริค·เบรนยกมือขวา บรรดาสาวกที่สวมผ้าคลุมหัวพลันกระตุกตัวกระโดดและเต้นด้วยท่าทางบ้าบิ่น


นี่คือ ‘ระบำวิญญาณ’ เป็นพิธีกรรมที่เทพมรณาชื่นชอบ ยิ่งเต้นแข็งแรงเพียงใดก็ยิ่งได้โปรดปราน


เมื่อการเต้นรำเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญ สายลมเย็นที่มองไม่เห็นพลันพัดออกจากโลงศพ แพทริค·เบรนรีบก้มหน้าลงและสวดวิงวอนเป็นภาษาที่ราวกับมาจากโลกแห่งความตาย


“ราชาแห่งห้วงลึกของขุมนรก”


“เทวทูตผู้บรรเลงเสียงแห่งมรณะ”


“ผู้ปกครองสูงสุดเหนือแม่น้ำแห่งความตาย”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)