Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1067-1070

 ราชันเร้นลับ 1067 : พงศาวดารเอลฟ์

 

นี่มัน… เทพรับใช้จากยุคสมัยที่สองล้วนเป็นเสือหมอบมังกรหลับ ไม่ว่าจะ ‘มังกรแห่งปัญญา’ เฮราเบอร์เก้นหรือ ‘เทพแห่งวิญญาณมรณะ’ ซาลินเจอร์ก็ล้วนเป็นตัวตนสำคัญที่ก้าวไปถึงลำดับ 0 ในภายหลัง แน่นอนว่าเรายังไม่มั่นใจกับมังกรแห่งปัญญา แต่ก็มีความเป็นไปได้มากทีเดียว…


อา… นอกจากนั้นยังมี ‘เทพแห่งรุ่งอรุณ’ บาร์ดไฮเออร์และ ‘เทพธิดาแห่งฤดูเก็บเกี่ยว’ โอมีเบล่า… มีโอกาสที่เทพเหล่านี้จะดำรงชีวิตมาจนถึงยุคสมัยที่ห้าเช่นกัน… ชักอยากรู้แล้วว่า ‘เทพแห่งสัตว์วิญญาณ’ ทอซน่าและ ‘เทพธิดาแห่งเคราะห์กรรม’ อมานีซิสจะรอดพ้นจากการถูก ‘ทวงคืนอำนาจ’ โดยฝีมือพระผู้สร้างแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์หลังจบยุคสมัยที่สองหรือไม่… และถ้าพวกท่านรอดมาได้ แต่ละคนมีบทบาทอย่างไรในยุคสมัยที่สามและสี่? หลังจากตกตะลึงไปเล็กน้อย ไคลน์เริ่มขบคิดพลางถอนหายใจ


และเมื่อนึกถึงเหตุการณ์การทรยศของสามราชาเทวทูตในยุคสมัยที่สาม ไคลน์รำพัน


สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งคืออัคคีภัย โจรขึ้นบ้าน และเทพรับใช้!


ในเวลาเดียวกัน ออเดรย์ที่ไม่ค่อยรู้จักชื่อจริงและสมญานามของเทพรับใช้มากนัก แทบไม่เปลี่ยนสีหน้าหรือแสดงอารมณ์ เพียงคอยจำแลงกายเป็นเอลฟ์สาวในความทรงจำของเซียธาสและชักนำคำถามเกี่ยวกับประสบการณ์ในยุคสมัยที่สอง


จากคำบอกเล่าของเซียธาส ในประวัติศาสตร์ของเอลฟ์ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ายุคสมัยที่หนึ่งหรือสอง ยุคสมัยเริ่มต้นผ่านไปโดยไม่รู้คืนวัน เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความมืด และความบ้าคลั่งโดยปราศจากการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร จนกระทั่งสัตว์วิเศษแต่ละเผ่าพันธุ์เริ่มพัฒนาสติปัญญาและสร้างภาษา นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นขององค์ความรู้และประวัติศาสตร์


ภายในยุคสมัยดังกล่าว เทพบรรพกาลค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละหนึ่ง ดินแดนอันประกอบไปด้วยท้องฟ้า ผืนพิภพ ทะเล และใต้ดินค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากความยุ่งเหยิงจนมีระเบียบเรียบร้อย ทว่านอกเสียจากเทพบรรพกาลที่เกรี้ยวกราดและบ้าคลั่งเหล่านี้ ก็ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าช่วงเวลาดังกล่าวผ่านไปทั้งสิ้นกี่ปี ทราบเพียงว่าเมื่ออดีตกาลนานมาแล้ว เหล่าเผ่าพันธุ์ทรงอำนาจต่างเรียกช่วงเวลาดังกล่าวว่า ‘ยุคสมัยแห่งการงอกเงย’


หลังจากยุคสมัยแห่งการงอกเงยก็เป็น ‘ยุคสมัยแห่งการเริ่มใช้ไฟ’ ซึ่งเหล่าเทพบรรพกาลได้แบ่งออกเป็นฝักฝ่ายและต่อสู้กัน แต่ช่วงเวลาดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นก่อนที่เซียธาสจะเกิดนานมาก เธอจึงทำได้เพียงศึกษาจากประวัติศาสตร์ของเอลฟ์และทราบว่าเผ่าพันธุ์ ‘กึ่งมนุษย์’ ได้เปิดศึกกับเผ่าพันธุ์ ‘อมนุษย์’ อย่างหนักหน่วง ขณะเดียวกันก็ต้องต้านทานการกัดกร่อนและรุกรานจากปีศาจและหมาป่าอสูร ในสมัยนั้นมนุษย์ยังอาศัยอยู่ในฐานะคนรับใช้และทาสของเผ่าคนยักษ์ เอลฟ์ และผีดูดเลือด


ในยุคเริ่มต้นใช้ไฟนั้นมีระยะเวลานานไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับแต่ละตำนาน แต่จุดร่วมที่เหมือนกันก็คือ ไม่มีตำนานใดยาวนานเกินกว่าหนึ่งพันปี เนื่องจากธรรมชาติของเทพบรรพกาลในสมัยนั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เกรี้ยวกราด ป่าเถื่อน และเย็นชา แทบทุกการกระทำจะเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณ


หลังจาก ‘ต้นตระกูลผีดูดเลือด’ ลิลิธ ‘ราชามนุษย์กลายพันธุ์’ เควาสทูนและ ‘ราชาหมาป่าอสูรทำลายล้าง’ เฟรเกียถึงคราวร่วงหล่นเพราะถูกหักหลัง ยุคสมัยแห่งการเริ่มต้นใช้ไฟก็สิ้นสุดลงและเกิดเป็นสงครามโกลาหล โลกถูกทำลายอย่างต่อเนื่องโดยไม่สงบสุขนานหลายร้อยปี


เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว คนยักษ์และมังกรแข็งแกร่งเป็นพิเศษ จึงถูกเรียกขานว่า ‘ยุคสมัยแห่งสองขั้วอำนาจ’


จนกระทั่งเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังทั้งห้าสร้างสมดุลขึ้นมาใหม่ ทั้งทวีปเหนือ ทวีปใต้ ทวีปตะวันออก และหาห้วงสมุทรเริ่มอยู่ในความสงบสุข นั่นคือช่วงเวลาที่เซียธาสเกิดและเติบโตจนกระทั่งเข้ามาอยู่ใน ‘การเดินทางของกรอซาย’


จากประวัติศาสตร์ที่เธอเล่า มีสองจุดใหญ่ที่สำคัญ หนึ่งคือการดำรงอยู่ของทวีปตะวันออกซึ่งเป็นสถานที่ตั้งวังราชาคนยักษ์ และสองคือหลังจากยุคสมัยแห่งการงอกเงย เผ่าพันธุ์ทรงอำนาจต่างก่อร่างสร้างอารยธรรมของตัวเองขึ้นมาโดยที่มิได้เสียสติเหมือนกับที่บรรพบุรุษเคยเป็น แต่แน่นอนว่ายังหลงเหลือเศษเสี้ยวความเกรี้ยวกราด ป่าเถื่อน เย็นชา และกระหายเลือดอยู่ลึกๆ เรียกได้ว่าเป็นภาวะกึ่งคลุ้มคลั่ง จนกระทั่งยุคสมัยแห่งสองขั้วอำนาจจบลง เอลฟ์และคนยักษ์จึงเริ่มพัฒนาสติปัญญาอย่างก้าวกระโดดจนมีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนกับกรอซายและเซียธาส


ดูเหมือนว่าทวีปตะวันออกจะเป็นดินแดนเทพทอดทิ้งในปัจจุบัน… ถูกทิ้งหลังจากมหาภัยพิบัติ? ความคิดแบบเดียวกันผุดขึ้นในใจไคลน์ เลียวนาร์ด และออเดรย์


ทุกคนต่างสนใจในหัวข้อดังกล่าว แต่น่าเสียดายที่เซียธาสมักอยู่แต่ในวังราชาเอลฟ์เป็นส่วนใหญ่ หรือนานๆ ครั้งจะได้ออกไปข้างนอกก็ยังหนีไม่พ้นการล่องทะเล ไม่เคยไปเหยียบทวีปตะวันออก จึงขาดความทรงจำและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง


ภายใต้การชักนำของออเดรย์ ความฝันของเซียธาสเริ่มดำเนินไปสู่ภาษาและวัฒนธรรมของเอลฟ์


จากตำนานที่เอลฟ์รับใช้มีสิทธิ์เข้าถึง ภาษาเอลฟ์ถูกสร้างขึ้นโดยราชาเอลฟ์ในยุคสมัยแห่งการงอกเงย แต่ละคำถือกำเนิดพร้อมกับเอลฟ์รุ่นแรกแต่ละตน หรือกล่าวได้ว่าจำนวนคำในภาษาเอลฟ์นั้นมีเท่ากับจำนวนเอลฟ์รุ่นแรก


ทว่าวัฒนธรรมของเอลฟ์นั้นไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสักเท่าไร ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมเป็นหลัก เอลฟ์ในป่าและในทะเลนั้นมีขนมธรรมเนียมที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก


จุดร่วมของเผ่าพันธุ์เอลฟ์คือเรื่องที่พวกมันศรัทธาในราชาเอลฟ์ซึ่งเป็นเทพบรรพกาล และราชินีของพระองค์ เอลฟ์ชื่นชอบที่จะนำเลือดของเหยื่อมาปรุงเป็นอาหาร และมีเอลฟ์จำนวนไม่น้อยที่นิยมการปรุงอาหารแบบย่าง แม้กระทั่งเอลฟ์ในทะเลก็ยังหาโอกาสมารวมตัวกันบนแนวปะการังและจัดงานเลี้ยงรอบกองไฟ เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ใกล้ชิดธรรมชาติอย่างมากและชำนาญการใช้เครื่องเทศทุกชนิด นอกจากนั้นพวกมันบูชาความแข็งแกร่งและภาคภูมิในใจความคิดไวทำไวโดยไม่สนผลลัพธ์ที่จะตามมา


มีทั้งตำนานและความจริงผสมปนเป เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าสิ่งใดจริงและสิ่งใดปลอม… แต่วัฒนธรรมของพวกเขาทำลายข้อสันนิษฐานในอดีตของเราจนป่นปี้… ไคลน์ตั้งใจฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจวิเคราะห์ทุกคำพูดของเซียธาสอย่างละเอียด


หลังจากได้รับข้อมูลที่น่าสนใจ ออเดรย์ชักนำความฝันของเซียธาสให้ดำเนินไปยังทิศทางของทวีปตะวันตก ส่งผลให้ฉากในความฝันเริ่มเปลี่ยนผันและสะท้อนจิตใจสำนึกในส่วนลึกของเธอ


พระราชวังปะการังปรากฏเบื้องหน้าไคลน์และคนที่เหลืออีกครั้ง คราวนี้เซียธาสกำลังเดินตาม ‘ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ’ โคฮีเน็มไปยังหน้าต่างใสบานหนึ่ง


เซียธาสชำเลืองเครื่องแต่งกายอันหรูหราและประณีตของราชินีก่อนจะมองหน้า ‘เทพ’ ที่มีพลังควบคุมภัยธรรมชาติพร้อมกับถาม


“ฝ่าบาท… กำลังมองไปทางตะวันตกหรือเพคะ?”


สำหรับเอลฟ์ หากไม่สัมผัสถึงแรงกดดันที่เกรี้ยวกราดจากอีกฝ่าย พวกมันมีสิทธิ์ตั้งคำถามตามที่สงสัย


“ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้น?” โคฮีเน็มไม่หันกลับมามอง เพียงย้อนถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“ดิฉันเพิ่งได้อ่านบันทึกตำนานที่กล่าวว่า เผ่าเอลฟ์ของเรามีต้นกำเนิดจากทวีปตะวันตก” เซียธาสมอบคำตอบ “ฝ่าบาท ทวีปตะวันตกมีอยู่จริงหรือไม่? และเป็นความจริงไหมที่เอลฟ์รุ่นแรกถือกำเนิดขึ้นที่นั่น?”


มุมปากโคฮีเน็มยกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงล่องลอย


“ทวีปตะวันตกนั้นอาจจะมีหรือไม่มีอยู่จริงก็ได้ ทุกเผ่าพันธุ์มักสร้างต้นกำเนิดปลอมๆ ขึ้นมาเป็นบ้านเกิดของดวงวิญญาณ… เซียธาส… สำหรับเจ้า ที่ใดคือบ้าน?”


“บ้าน?” เซียธาสทวนคำก่อนจะตอบด้วยสีหน้าเหม่อลอย “บ้านของข้าคือพระราชวังแห่งนี้ที่องค์ราชาและราชินีพำนักอยู่ รวมถึงป่าที่พ่อและแม่ของข้าอาศัย”


กล่าวถึงตรงนี้ อารมณ์ของเซียธาสเริ่มดำดิ่ง โหยหา และโศกเศร้า


เธอกำลังได้รับอิทธิพลจากความทรงจำภายในจิตใต้สำนึก


ต้องไม่ลืมว่า เซียธาสได้เข้ามาอยู่ใน ‘การเดินทางของกรอซาย’ และต้องจากบ้านมานานกว่าสองถึงสามพันปี


“นั่นก็หมายความว่าสำหรับเอลฟ์อย่างเจ้า ทวีปตะวันตกไม่มีอยู่จริง แต่สำหรับเอลฟ์บางตน สถานที่แห่งนั้นมีอยู่จริง” ราชินีแห่งภัยธรรมชาติมอบคำตอบสุดท้ายอย่างสุขุม


เซียธาสมิได้ถามสิ่งใดต่อ เนื่องจากเพิ่งตระหนักได้ว่าราชินีไม่ใช่เอลฟ์รุ่นแรก


คำตอบเช่นนี้ยิ่งสร้างความสับสนให้กับไคลน์ แต่โชคยังดีที่ทวีปตะวันตกนั้นไม่มีตัวตนอยู่เลยในช่วงยุคสมัยที่สองถึงห้า สถานที่ดังกล่าวจึงมิได้เก็บซ่อนความลับใดที่เกี่ยวข้องกับตนเอาไว้ ชายหนุ่มแค่ต้องการลองตรวจสอบโดยไม่คาดหวังมากนัก


หลังจากชักนำความฝันของเซียธาสเสร็จในเวลาใกล้เที่ยง เมื่อไม่มีความฝันของคนอื่นในละแวกใกล้เคียงให้กระโจนเข้าไป ออเดรย์พาไคลน์และเลียวนาร์ดออกมาพร้อมกัน ปรากฏตัวอีกครั้งภายในห้องนอนของโมเบธและเซียธาส


ยืนมองร่างของไวเคาต์แห่งยุคสมัยที่สี่ถูกภรรยากอดก่ายบนเตียงนอนสักพัก ออเดรย์หัวเราะในลำคอพลางทำสีหน้าผ่อนคลาย


“ดูมเหมือนว่าชีวิตของพวกเขาในตอนนี้จะราบรื่นดี…”


“ไม่ไม่ไม่! การมีภรรยาบ้าพลังและพูดจาขวานผ่าซาก แถมยังชอบลงไม้ลงมือเช่นนี้ คงมีแต่โมเบธที่มีความสุข…” เลียวนาร์ดซึ่งไม่มีพรสวรรค์ทางด้านแต่งกลอน แต่ยังคงรักอิสระเหมือนนักกวี ส่ายหน้าพลางสอดมือเข้าไปในกระเป๋า


จากนั้นก็รำพัน


แต่ในทางกลับกัน หากต้องการสยบหัวขโมยมากประสบการณ์ให้อยู่หมัด คู่ชีวิตก็ต้องเป็นผู้หญิงแบบเซียธาส… อา… ชักอยากรู้แล้วว่าผู้หญิงในตระกูลของตาแก่จะมีนิสัยเป็นยังไง…


“เฮ้อ… ไม่มีความจำเป็นที่เราต้องอิจฉาหรือสงสารพวกเขาเลยสักนิด ก็แค่สองคนนี้เกิดมาคู่กัน… จักรพรรดิโรซายล์เคยเขียนกวีไว้ว่า ‘จริงอยู่ที่ชีวิตนั้นมีค่า แต่ความรักมีค่ามากกว่าเสมอ’ …”


ขณะได้ยินบทสนทนาดังกล่าว ไคลน์อ้าปากเล็กน้อยก่อนจะปิดสนิทอีกครั้ง มันไม่ได้บอกทั้งสองคนว่าปัจจุบันเซียธาสและโมเบธได้ตายไปแล้ว และความรักก่อตัวขึ้นในลมหายใจสุดท้ายของชีวิตทั้งคู่ ส่วนตัวตนที่อยู่ในหนังสือเป็นเพียงร่างโคลนที่ถูกสร้างขึ้น


หลังออกจากบ้านของคู่รัก สามสหายมุ่งหน้าไปยังโรงตีเหล็กของกรอซาย


บนถนนระหว่างทาง ไคลน์มองเห็นรอนเซลที่ถูกคนแถวนี้เรียกว่านักปราชญ์ และออเดรย์สามารถยืนยันได้ทันทีว่าชายคนนี้คือชาวโลเอ็น


“นั่นคือทหารจากหนึ่งร้อยปีก่อนใช่ไหม?” ออเดรย์ลดความเร็วลงและเอ่ยปากถาม


เมื่อนึกทบทวนเรื่องที่รอนเซลคิดถึงบ้าน และเรื่องที่ตนนำเถ้ากระดูกของมันไปฝังในหลุมศพเบ็คลันด์เรียบร้อยแล้ว ไคลน์เงียบงันสองสามวินาทีก่อนจะพยักหน้ารับอย่างอ่อนโยน


“ใช่”


อารมณ์ของมิสเตอร์เวิร์ลเริ่มผันผวน… เขาเหมือนกับแม่น้ำที่ผิวน้ำนิ่ง แต่ด้านล่างเต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ… ออเดรย์พยักหน้าเล็กๆ


“พวกเราเข้าฝันเข้าได้ไหม? ดิฉันอยากได้สูตรโอสถผู้พิพากษาและอัศวินวินัย”


“ไม่มีปัญหา” ไคลน์ตอบพลางชำเลืองเลียวนาร์ด


เลียวนาร์ดที่ยังคงใช้มือล้วงกระเป๋า ดวงตาของมันพลันเปลี่ยนเป็นสีเข้ม


รอนเซลซึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งผล็อยหลับไปในทันที


หลังจากนั้นคนทั้งสามก็เข้าไปปรากฏในความฝัน


ที่นี่คือเมืองอันวุ่นวายและเต็มไปด้วยอาคารที่สร้างจากไม้ ผู้คนที่สัญจรผ่านไปผ่านมาล้วนเป็นชาวโลเอ็น


รอนเซลเจ้าของดวงตาสีฟ้าและผมสีดำทำเพียงยืนมองโดยไม่กล้าเดินเข้าไป จนกระทั่งสตรีสวมเดรสเก่าเดินออกมา รอนเซลรีบขยับเข้าไปใกล้อย่างตื่นเต้นพร้อมกับทำท่าจะกอด


แต่ท่อนแขนของรอนเซลกลับทะลุผ่านหญิงสาวไปโดยมิได้สัมผัสกัน


รอนเซลยืนแน่นิ่งพลางตะโกน


“แม่…”


ออเดรย์ที่เตรียมชักนำความฝัน ชะงักเล็กน้อยและเฝ้ามองเหตุการณ์ต่อไป จนกระทั่งเธอกวาดสายตาไปรอบๆ และพบกับนาฬิกาที่คุ้นเคย


“เบ็คลันด์…” ออเดรย์เม้มริมฝีปากและหันกลับมาจ้องไคลน์ “พวกเขาออกจากหนังสือไม่ได้หรือ?”


“เวลาผ่านมานานเกินไป หากออกจากหนังสือ พวกเขาจะแก่และตายทันที หรือแม้กระทั่งกลายเป็นเศษฝุ่น” ไคลน์กล่าวเสียงเรียบราวกับผิวแม่น้ำนิ่ง “ผมนำข้าวของของรอนเซลกลับไปไว้ที่เบ็คลันด์แล้ว”


นี่มัน… ในฐานะผู้ชม ออเดรย์สามารถตระหนักถึงความโหดร้ายในประโยคล่าสุด เธออดไม่ได้ที่จะหันหน้ามองออกไปนอกความฝัน เป็นทิศทางของบ้านคู่รักโมเบธและเซียธาส


เลียวนาร์ดต้องการจะถามถึงรายละเอียด แต่พิจารณาจากบรรยากาศ มันตัดสินใจปิดปากเงียบ


ถัดมาออเดรย์ตั้งใจชักนำความฝันของรอนเซล นอกจากการถามสูตรโอสถสองชนิด เธอได้ชักนำให้รอนเซลกลับถึงบ้านและใช้ชีวิตกับครอบครัวอันประกอบไปด้วยพ่อแม่ พี่สาว และน้องสาวอย่างมีความสุข


เป็นความฝันที่งดงาม


หลังออกจากความฝันของรอนเซล ทั้งไคลน์ เลียวนาร์ด และออเดรย์ก็พบบ้านของกรอซาย


นี่คือปลายทางสุดท้ายของการสำรวจ หลังจากได้รับข้อมูลจากจิตใต้สำนึกของโรซายล์ พวกมันจะเข้าสู่ทะเลจิตใต้สำนึกรวมของหนังสือเล่มนี้และค้นหาความลับที่อาจซุกซ่อน

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1068 : เรื่องที่ไม่สมเหต...

 

“ค…คนไหนคือกรอซาย?” ภายในความฝัน เลียวนาร์ดมองตรงไปข้างหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า


มีกองไฟขนาดใหญ่อยู่ไม่ไกลออกไป และมียักษ์ตาเดียวผิวสีเทาอมฟ้าอีกนับสิบที่ยากจะจำแนก


ว่ากันตามตรง ถ้าไม่ได้พลังของผู้ไร้หน้าช่วยไว้ เราเองก็คงแยกไม่ออก… สำหรับเรา ถ้าอายุ ส่วนสูง ทรงผม แผลเป็น และเสื้อผ้าไม่ต่างกันเกินไป คนยักษ์ทั้งหมดก็แทบจะแยกกันไม่ออก… ไคลน์รำพันเงียบพลางมองไปทางมิสจัสติส สื่อเป็นนัยว่าด้วยพลังของเส้นทางผู้ชม สิ่งนี้คงไม่ยากเกินไปสำหรับคุณ


ออเดรย์ยกมือขึ้นและชี้ไปทางคนยักษ์ที่กำลังกระดกเหล้าไม่ขาดสาย มีหยุดมาตะโกนคุยกับคนยักษ์ตนอื่นเป็นครั้งคราว


“นั่นคือกรอซาย… ดูเหมือนว่าในสังคมของคนยักษ์ สัญญาณของคำชมและการยืนยันไม่ใช่ปรบมือ หากแต่เป็นการคำราม ยิ่งคำรามดังก็ยิ่งเป็นการชมเชยระดับสูง”


มิสจัสติสทำตัวเหมือนกับพวกนักวิจัยวัฒนธรรมท้องถิ่น… โชคดีที่หมอนั่นกำลังตะโกน ไม่ใช่ร้องเพลง ไม่อย่างนั้นมลพิษทางเสียงคงเลวร้ายกว่านี้มาก รวมกับคนยักษ์นั่นหูดับและไม่ได้ยินเสียตัวเองเวลาอ้าปาก… เสียงคำรามเมื่อครู่เองก็ไม่เป็นจังหวะ… ไคลน์พยักหน้าและกล่าวกับออเดรย์


“เริ่มชี้นำได้”


เมื่อออเดรย์ก้าวออกไป เลียวนาร์ดก้าวถอยหลังกลับมายืนลูบคาง


“ผมอยากรู้ว่าในยุคสมัยที่สอง เผ่าพันธุ์ทรงอำนาจใดที่ครอบครองตะกอนพลังของเส้นทางรัตติกาลไว้มากที่สุด?”


“ไม่ใช่หมาป่าอสูรหรือไง?” ไคลน์หันไปมองเลียวนาร์ดด้วยสีหน้าคลางแคลง กังวลว่านักกวีรายนี้จะเป็นโรคยอดนิยมของเหยี่ยวราตรี – ความจำเสื่อม


“ก็ใช่…” เลียวนาร์ดที่ยังคงรักษามาดเดิมกล่าวหน้านิ่ง “ถ้าอย่างนั้นพวกมันสวมบทบาทเป็นนักกวีเที่ยงคืนด้วยวิธีใด? หรือจะบอกว่าชื่อโบราณของโอสถคือ ‘นักเห่าหอนยามเที่ยงคืน’ ?”


“ตอนนั้นยังไม่มีการตั้งชื่อโอสถ…” โดยไม่ได้ตั้งใจ ไคลน์เผลอจินตนาการตามคำพูดของเลียวนาร์ด เป็นฉากของหมาป่ากำลังหมอบอยู่บนพื้นและเห่าหอนภายใต้พระจันทร์เต็มดวง จากนั้นก็อดไม่ได้ที่พึมพำ “ผมว่าคุณเหมาะจะเล่นมุกแบบนี้มากกว่าการเป็นกวี… เข้ากับนิสัยของคุณดี”


มุมปากเลียวนาร์ดกระตุกแผ่วเบา


“นักกวีมีหลายสาย… ผมเป็นสายขับร้อง”


ขณะทั้งสองกำลังสนทนาเรื่อยเปื่อย การชักนำของออเดรย์เริ่มเห็นผล ความฝันของกรอซายแปรเปลี่ยนเป็นฉากต่างๆ เช่นป่าเสื่อมโทรม อุโมงค์รกร้าง มุมหนึ่งของวังราชาคนยักษ์ เมืองรุ่งอรุณ แคว้นทองคำ และอีกมากมาย


กรอซายมิได้เป็นข้าราชบริพารของเทพอย่าง ‘ราชาคนยักษ์’ โดยตรง จึงมีโอกาสได้เห็นเป็นครั้งคราวจากการเข้าเวรในป่าเสื่อมโทรมหรือบางจุดภายในวังราชาคนยักษ์เท่านั้น แถมยังไม่กล้าจ้องมองตรงๆ การเข้าเฝ้าแต่ละหนต้องก้มศีรษะต่ำ ส่งผลให้มิอาจสร้างรูปลักษณ์ของราชาคนยักษ์เออเมียร์ได้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกันกับราชินีคนยักษ์โอมีเบล่าและบุตรชายคนโตอย่าง ‘เทพแห่งรุ่งอรุณ’ บาร์ดไฮเออร์ ทุกคนปรากฏบนความฝันของกรอซายในฐานะภาพวาดเสมือน


ในทำนองเดียวกัน กรอซายแทบไม่รู้ความลับใด ความเข้าใจโลกและประวัติศาสตร์เทียบไม่ได้เลยกับ ‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ เซียธาส แต่เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมากก็คือ ในภาษายักษ์ คำว่า ‘ซอนญาธริม’ มีความหมายว่า ‘ผู้ทรยศ’ โดยคนยักษ์เชื่อว่าเทพบรรพกาลตนนี้คือต้นเหตุที่ทำให้ต้นตระกูลผีดูดเลือดอย่างลิลิธต้องร่วงหล่น


ไคลน์ทำใจเชื่อไม่ลง เพราะอุปนิสัยของราชาเอลฟ์นั้นหุนหันพลันแล่น ไม่ใช่พวกที่ชอบวางแผนซับซ้อน


คนที่มีโอกาสจะทำได้คือราชินีแห่งภัยธรรมชาติ แต่ปัญหาคือเธอไม่น่าจะเก็บซ่อนแผนการได้มิดชิดจนแม้แต่สามีซึ่งเป็นเทพบรรพกาลอย่างซอนญาธริมไม่ทันสังเกตเห็น… และในทางตรงกันข้าม การสมมติให้ราชาคนยักษ์เออเมียร์เป็นผู้ทรยศนั้นฟังดูเหมาะสมกว่า… ขณะไคลน์กำลังวิเคราะห์ ออเดรย์เปลี่ยนแนวทางการชักนำให้เป็นสิ่งที่กรอซายเคยเห็นหรือได้ยินภายในวังราชาคนยักษ์


แต่น่าเสียดายที่หลังจากกรอซายออกจากวังราชาคนยักษ์ได้ไม่นาน มันเดินทางผ่านเมืองรุ่นอรุณและแคว้นทองคำจนกระทั่งได้พบสมุดบันทึกที่นั่น ส่งผลให้ไม่เคยเห็นรูปลักษณ์และวัฒนธรรมของคนยักษ์ในต่างดินแดน


“ข้อมูลที่มีค่าที่สุดในปัจจุบันคือวิธีเลี่ยงการเข้าวังราชาคนยักษ์จากทางด้านหน้า… หลังจากผ่านหมู่บ้านยามบ่ายให้เลี้ยวเข้าป่าเสื่อมโทรมและอุโมงค์รกร้าง” ออเดรย์ที่เสร็จการชี้นำเดินกลับมาหาไคลน์และเลียวนาร์ด “สิ่งนี้มีประโยชน์สำหรับภารกิจสำรวจของเดอะซันในอนาคต”


“อา… ไว้พวกเราค่อยบอกเขาในการชุมนุมครั้งถัดไป” ไคลน์พยักหน้า


ขณะชายหนุ่มเตรียมบอกให้ออกจากความฝันกรอซายและเข้าสู่ทะเลห้วงจิตรวมของหนังสือ ออเดรย์พลันหันหลังกลับและกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด


“มีเรื่องหนึ่งที่ไม่สมเหตุสมผล”


“เรื่องใด?” เลียวนาร์ดพยายามนึกทบทวนในสิ่งที่ได้เห็นและได้ฟัง แต่กลับไม่พบความน่าสงสัย


‘จัสติส’ ออเดรย์มองหน้า ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์และกล่าว


“เรื่องที่ศพของพ่อแม่ราชาคนยักษ์เออเมียร์ถูกฝังอยู่ในป่าเสื่อมโทรม… การออกกฎให้มีเพียงเทพบรรพกาลเท่านั้นที่เข้าไปเยี่ยมได้ฟังดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”


ในตอนแรกไคลน์เองก็ไม่พบความผิดปรกติในเรื่องดังกล่าว แต่หลังจากมิสจัสติสหยิบยกขึ้นมาพูด มันฉุกคิดบางสิ่งได้ทันที


“พ่อและแม่ของราชาคนยักษ์นั้นมีสถานะเทียบเท่าบรรพบุรุษของคนยักษ์ทั้งปวง… ในทางสามัญสำนึก บุคคลสำคัญเช่นนี้ควรจะถูกกราบไหว้บูชาโดยคนยักษ์ทั้งเผ่าพันธุ์…”


“ถูกต้อง ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ใดก็ต้องเคารพนับถือบรรพบุรุษ คนยักษ์ก็ไม่มีข้อยกเว้น ในความฝันของกรอซายก็มีการสังเวยถึงพ่อแม่ของราชาคนยักษ์จากด้านนอกป่าเสื่อมโทรม” ออเดรย์ผงกศีรษะในเชิงเห็นพ้อง “หากไม่มีปัจจัยภายนอกมารบกวน ราชาคนยักษ์ก็ควรจะเปิดให้มีการเข้ามากราบไหว้บูชาหลุมศพของบรรพชนเป็นระยะเพื่อเทิดทูน ไม่ใช่การออกกฎให้มีแต่ตัวเองที่เข้าไปได้”


“บางทีป่าเสื่อมโทรมอาจเต็มไปด้วยอันตรายก็ได้ ต้องไม่ลืมว่ายักษ์ต้นกำเนิดนั้นเป็นพวกเสียสติ บ้าคลั่ง และป่าเถื่อน หลังจากเสียชีวิตไป ศพของพวกเขาอาจจะกัดกร่อนสภาพแวดล้อมรวมถึงผืนป่าแห่งนี้ทั้งหมด เรื่องแบบนี้ฟังดูไม่เกินเลยไปนัก” เลียวนาร์ดแสดงความเห็น


ออเดรย์และไคลน์ส่ายหน้าพร้อมกับ เป็นนัยหักล้างแนวคิดดังกล่าว


“ถ้ามีแค่ปัจจัยด้านความอันตราย ‘ราชินีคนยักษ์’ โอมีเบล่าและ ‘เทพแห่งรุ่งอรุณ’ บาร์ดไฮเออร์ก็น่าจะทนการกัดกร่อนไหว และยิ่งถ้าได้รับความช่วยเหลือจากราชาคนยักษ์ โอกาสที่จะเกิดปัญหาก็แทบเป็นศูนย์ แต่ถึงกระทั่งคนใหญ่คนโตทั้งสองก็ยังถูกห้ามมิให้เข้าไปในป่าเสื่อมโทรม กระทั่งการให้ ‘เทพ’ พาเข้าไปก็ไม่ได้รับอนุญาต” ไคลน์อธิบายหลักการและเสนอแนวคิด “บางทีศพที่ถูกฝังอยู่ด้านใน… ศพของพ่อและแม่ราชาคนยักษ์อาจซ่อนความลับหรือปริศนาที่ยิ่งใหญ่เอาไว้”


“มีโอกาสที่จะเป็นแบบนั้นมากทีเดียว” ออเดรย์พยักหน้าขึงขัง


ในสภาพสวมหน้ากากเงิน ดวงตาสีเขียวของเธอกลอกไปมาเล็กน้อยราวกับกำลังเผยความอยากรู้อยากเห็น


“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ความลับใดกันที่ไม่สามารถเปิดเผยให้ภรรยา ลูกหลาน เทพรับใช้ และพวกพ้องร่วมเผ่าพันธุ์รับรู้ได้? คำถามนี้น่าสนใจมากทีเดียว…” เลียวนาร์ดฉีกยิ้มขณะปล่อยให้ความคิดล่องลอย


หลังจากปรึกษาหารือเสร็จ ทั้งสามรีบผ่าน ‘อุโมงค์รกร้าง’ เข้าไปในเขตพระราชฐานของคนยักษ์จนกระทั่งมองเห็นวังที่แสงสนธยาถูกแช่แข็ง


จากประสบการณ์ส่วนตัวของไคลน์ นี่คือเส้นทางเดียวกับภายในความฝันของกรอซาย


แต่ในคราวนี้ ไคลน์ไม่ต้องพึ่งพาพลังจากยุบพองหิวโหยเพื่อยืมพละกำลังของซอมบี้มาเปิดประตูบานใหญ่ซึ่งเป็นเขตห้องพักองครักษ์ เพียงออเดรย์บิดเบือนความฝัน บานประตูก็เปิดออกอย่างง่ายดายราวกับแผ่นกระดาษ เนื่องจากไคลน์พกพาไม้กางเขนเจิดจรัสมาด้วย มันจึงหมดสิทธิ์พกพาสมบัติวิเศษอื่นๆ อย่างยุบพองหิวโหย


ด้านนอกประตูเป็นโลกที่พร่ามัว ฉากอีกฝั่งไม่ใช่ภายในวังราชาคนยักษ์หากแต่เป็นหน้าผา


หลังจากถกเถียงกันถึงวิธีที่จะเข้าไปในทะเลจิตใต้สำนึกรวม ออเดรย์เริ่มด้วยการสร้างขั้นบันไดจากยอดหน้าผา


ขั้นบันไดวนเวียนลงไปเรื่อยๆ ท่ามกลางโลกแห่งจิตที่ดำมืด พร่ามัว เงียบเชียบ และไร้ก้นบึ้ง


ทั้งสามไม่มัวรีรออีกต่อไป รีบลงบันไดและก้าวเดิน


บรรยากาศที่เงียบเชียบและโดดเดี่ยวเช่นนี้รุนแรงพอจะทำให้ใครสักคนกลายเป็นบ้า เมื่อเดินไปถึงระยะหนึ่ง ออเดรย์จำต้องใช้พลังปลอบโยนกับทุกคน


เป้าหมายที่ออเดรย์ต้องปลอบโยนไม่ได้มีเพียงไคลน์ เลียวนาร์ด และตัวเธอเอง แต่ยังรวมถึงหน้าผาสีเทาอ่อนที่เป็นจิตใต้สำนึกของกรอซาย เพื่อป้องกันไม่ใช้คนยักษ์รายนี้สร้างความวุ่นวายจนวิญญาณดาราและกายปัญญาของพวกตนถูกปนเปื้อน


ท่อนแขนเน่าๆ ขนาดมหึมาที่ ‘เคย’ ไล่ล่าไคลน์ในความฝันกรอซายเมื่อนานมาแล้วกลับไม่โผล่ออกมาในครั้งนี้ แม้กระทั่งความรู้สึกอ้างว้าง เงียบเชียบ และไม่สิ้นสุดก็ไม่ได้น่าหวาดหวั่นเหมือนคราวก่อน เนื่องจากทั้งสามสามารถสนทนากันได้


“ที่นี่คือโลกแห่งจิต ขอบเขตแห่งจิตใต้สำนึกที่แตกต่างจากสถานที่อื่น” ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดมองไปรอบตัวพลางต้องการจะเขียนกวีสักสองสามบทเพื่อสื่อความรู้สึก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจยอมแพ้


หากเป็นภารกิจอื่น ไคลน์คงบอกให้นักกวีเพื่อนรักช่วยเงียบเสียง แต่ถ้าเป็นที่นี่ มันรู้สึกว่าคงเป็นการดีกว่าหากจะคุยอะไรเรื่อยเปื่อย


ออเดรย์ไม่ปฏิเสธการสื่อสาร กล่าวออกมาอย่างจริงจัง


“แก่นสารของสภาพแวดล้อมเกิดจากความรู้สึกของตัวเรา โดยหน้าผาที่เห็น ผนังหินสีเทา และโลกที่พร่ามัว ทั้งหมดคือสิ่งสะท้อนจิตใต้สำนึกของตัวเราเอง… ถ้าเราเป็นเผ่าพันธุ์อื่น ภาพก็จะแตกต่างออกไป…”


“…ชักเริ่มสนใจจิตวิทยาขึ้นมาแล้วสิ” เลียวนาร์ดกล่าวหลังจากได้ฟัง


ไคลน์ชำเลืองด้วยหางตาและเกิดอยากจะพูดออกไปว่า ด้วยนิสัยและบุคลิก เลียวนาร์ดไม่เหมาะกับเส้นทางผู้ชมในทุกประตู


ขณะพูดคุยกันไปเรื่อยๆ ทั้งสามไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จนกระทั่งฝ่าเท้าเหยียบลงบนพื้นสีเทาทึบแต่พร่ามัว


เมื่อแหงนมองขึ้นไป พวกมันเห็นแสงและเงาที่สอดประสานอยู่ร่วมกันและเรียงร้อยกลายเป็นทะเลมายา


ขณะไคลน์ เลียวนาร์ด และออเดรย์กำลังเดินตรงไปข้างหน้า ‘เสาน้ำวน’ พลันพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมกับเผยให้เห็นร่างที่ค่อนข้างพร่ามัว


เป็นคนยักษ์สีเทาอมฟ้าซึ่งสูงหกเจ็ดเมตร หน้าอกปกคลุมด้วยเกล็ดมังกรและลวดลายกับอักขระที่ยากจะอธิบาย ไม่มีใครเข้าใจความหมาย


ดวงตาหนึ่งเดียวแนวตั้งเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยจนแดงก่ำ แผ่ออร่าที่ดุร้ายจนยากจะปกปิด ราวกับต้องการทำลายทุกสิ่ง ในปากของมันมีขามนุษย์ชุ่มเลือดคาอยู่


คนยักษ์ระดับครึ่งเทพ!


สิ่งนี้คือภาพฉายที่หลงเหลืออยู่ในทะเลจิตใต้สำนึกรวม บางทีอาจเกิดจากการที่เคยเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษมนุษย์หรือเผ่าพันธุ์อื่น หรือไม่ก็เป็นประสบการณ์ที่กรอซายเคยได้ยินได้ฟังมา


ในวินาทีที่ปรากฏตัว ความบ้าคลั่งของมันพลันแพร่กระจายไปยังไคลน์และคนข้างเคียง ราวกับโรคระบาดทางจิต!


นี่คือโลกที่เกิดจากการสัมผัสกับจิตและจิตใต้สำนึกของใครสักคนโดยตรง!

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1069 : ‘ก้นทะเล’

 

ยักษ์ที่ปากชุ่มเลือดและมีดวงตาแนวตั้งนั้นเป็นเพียงภาพมายา แก่นแท้ของมันคืออารมณ์อันแรงกล้าที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต


แรกเริ่มเกิดจากอารมณ์เข้มข้นซึ่งแผ่ซ่านเข้าสู่จิตใต้สำนึก จากนั้นก็แผ่ขยายจากเกาะวิญญาณของตัวเองไปยัง ‘มหาสมุทร’ มายาที่อยู่โดยรอบและปักหลักกลายเป็นตราประทับ – ไม่ใช่ทุกอารมณ์หรือสติที่จะกลายเป็นตราประทับ ส่วนใหญ่ถูกทำลายไปตามกาลเวลา หรือไม่ก็ถูกชะล้างด้วย ‘น้ำทะเล’ มีเพียงอารมณ์ที่รุนแรงหรือเกิดซ้ำๆ เท่านั้นจึงจะอยู่รอด


และเมื่อความคิดดังกล่าวกลายเป็นตราประทับ นั่นหมายถึงการเป็น ‘หยดน้ำ’ ในทะเลจิตใต้สำนึกรวม สิ่งนี้สามารถส่งผลอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกันรอบๆ ตัวจนกระทั่งกลายเป็น ‘ความคิดร่วม’ เมื่อนานวันเข้าก็แปรสภาพกลายเป็น ‘ความทรงจำ’ โบราณที่จารึกไว้ในลมหายใจ


ดังนั้นร่างสัตว์ในตำนานที่คนยักษ์มายาตนนี้เผยออกมาไม่เพียงจะพร่ามัว แต่ยังมีหลายจุดที่ผิดเพี้ยนเพราะถูกแต่งเติมด้วยจิตสำนึกส่วนตัว และตามปรกติแล้ว เลียวนาร์ดกับออเดรย์จะมิอาจจ้องมองได้โดยตรง ไม่อย่างนั้นจะเกิดความสับสนทางจิตและเกิดอาการสติแตก ทว่าความบ้าคลั่งที่มาพร้อมกับมัน – ความกลัวจนถึงขีดสุดซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่ามีต้นกำเนิดมาจากไหน – เป็นอารมณ์ที่ใกล้เคียงความจริงอย่างมาก ส่งผลให้สามารถแพร่เชื้อเข้าสู่กายาปัญญา วิญญาณดารา หรือแม้กระทั่งร่างวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด!


นี่คืออันตรายโดยทั่วไปในทะเลจิตใต้สำนึกรวม มิได้ถือกำเนิดจากพลัง ระดับ หรือตัวเอง แต่มาจากอารมณ์ความรู้สึกที่เข้มข้น


แน่นอนว่าถ้าได้เผชิญหน้ากับตราประทับของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงหรือเทพ ย่อมมีโอกาสสูงที่จะได้เห็นร่างสัตว์ในตำนานโดยตรง และผลลัพธ์ก็จะลงเอยด้วยอาการสติแตกหรือไม่ฟั่นเฟือน กลายเป็นโดยสมบูรณ์ หรือต่อให้รอดมาได้ก็จะถูกอารมณ์ของเทพหรือสิ่งมีชีวิตชั้นสูงกัดกร่อน ยากที่จะคาดเดาชะตากรรม


สรุปได้ว่าภายในทะเลจิตใต้สำนึกรวม วิธีการรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันจะแตกต่างจากโลกภายนอก ในบางกรณี ยิ่งพยายามทำลายภาพลวงตามากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสติดเชื้อจากอารมณ์ที่สั่นคลอนมากเท่านั้น


ดังนั้นเมื่อไคลน์เห็นยักษ์สีเทาอมฟ้าสูงเจ็ดแปดเมตรปรี่เข้าหา ชายหนุ่มรีบควบคุมอารมณ์เป็นอันดับแรกทันที


จากนั้นก็ใช้ ‘ภาพลวงตา’


เป้าหมายของภาพลวงตาคือเลียวนาร์ดและออเดรย์


ส่งผลให้ในสายตาของผู้วิเศษลำดับ 5ทั้งสองคน คนยักษ์ที่สูงเท่าตึกสองสามชั้นตรงหน้าปราศจากความบ้าคลั่งและเกรี้ยวกราดที่ควรจะมี สิ่งที่เห็นกลายเป็นเพียงคนยักษ์ธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น


ดังนั้นก่อนที่ความรู้สึกอันเข้มข้นจะแล่นเข้าสู่ร่างกาย เลียวนาร์ดและออเดรย์อยู่ในภาวะเยือกเย็นเป็นที่สุด ไม่มีการสั่นไหวของอารมณ์


ทันทีหลังจากนั้น เลียวนาร์ดนำล้วงกระเป๋าและเหยียดแขนขวาไปข้างหน้าพลางอ้าปากเล็กน้อย


เดิมทีในฐานะจอมอาคมวิญญาณ มันต้องการจะใช้วิญญาณดวงแรกอย่าง ‘แบนชี’ ซึ่งผนึกเข้าไปในฟันด้วยความช่วยเหลือจากอาร์ชบิชอป (เป็นสัตว์วิญญาณที่ทรงพลังซึ่งมีใบหน้างดงาม ร่างกายเน่าเปื่อย มีปีกอินทรีขนาดใหญ่สยายออกจากแผ่นหลังหนึ่งคู่ เก่งกาจด้านการแทรกแซงจิตใต้สำนึกของผู้อื่นและอัดฉีดความกลัวเข้าไป) แต่เพียงไม่นานมันก็นึกขึ้นได้ว่า ปัจจุบันไม่เพียงมันจะอยู่ในร่างวิญญาณดารา แต่ยังมีพรแห่งการชำระล้างของหมอกสีเทา เช่นนั้นแล้วยังจะมีวิญญาณอื่นหลงเหลือใน ‘ร่าง’ ได้อย่างไร


เมื่อไม่มีทางเลือก มันเปลี่ยนไปใช้พลังของ ‘ผู้ปลอบวิญญาณ’ พร้อมกับดวงตาที่ซีดลง


คนยักษ์มายาเริ่มชะลอพฤติกรรมทันที คล้ายกับอารมณ์ของมันบรรเทาลงบางส่วน


ทันใดนั้นออเดรย์ยังกางแขนออกอย่างเยือกเย็นและใช้ปลอบโยน


สายลมที่มองไม่เห็นพัดผ่าน คนยักษ์มายาพลันหยุดนิ่งพร้อมกับลดการแพร่เชื้อไปยังสิ่งรอบข้าง


ระหว่างนั้นไคลน์หยิบไม้กางเขนทองแดงซึ่งเต็มไปด้วยหนามออกมามือ ตามการด้วยเปิดขวดบรรจุเลือดของตัวเองและเทลงบนไม้กางเขนราวสองสามหยด เปล่งเสียงด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม:


“แสง!”


แสงที่ทั้งเจิดจ้า บริสุทธิ์ผุดผิด และไร้ที่ติพลันส่องสว่าง เสื้อกันลมสีดำของไคลน์สะบัดพลิ้วพร้อมกับการถูกแสงกลืนกินของคนยักษ์มายา


แทบไม่มีการต่อต้าน คนยักษ์สีเทาอมฟ้าละลายหายไปอย่างรวดเร็ว


หนึ่งในพลังหลักของไม้กางเขนเจิดจรัสคือการลบหรือชำระล้างตราประทับทางวิญญาณที่หลงเหลือ!


นี่คือเหตุผลที่ไคลน์เลือกพกพาสมบัติปิดผนึกชิ้นนี้


และขณะที่ใช้พลังของไม้กางเขนซึ่งเป็นมรดกจากเทพสุริยันบรรพกาล ไคลน์ตัดสินใจสลายภาพมายาเพื่อให้เลียวนาร์ดและออเดรย์ ‘เห็น’ รูปลักษณ์ที่แท้จริงของคนยักษ์มายา ทั้งสองจะได้มีประสบการณ์ในเรื่องทำนองนี้ติดตัวไว้บ้าง


แม้คนยักษ์มายาจะถูกแสงเจิดจ้าชำระล้างหายไปภายในไม่ถึงเสี้ยววินาที แต่ออเดรย์และเลียวนาร์ดก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะวิงเวียนศีรษะรุนแรง ความหวาดกลัวและกระวนกระวายผุดขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจ สติแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับอาการบ้าคลั่ง


ผ่านไปครู่หนึ่ง ออเดรย์รีบใช้ปลอบโยนกับตัวเองตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็ช่วยแก้ไขอาการทางจิตของมิสเตอร์สตาร์และมิสเตอร์เวิร์ล


“น่ากลัวมาก… นี่คือคนยักษ์ระดับครึ่งเทพ?” จนกระทั่งแสงสว่างดับไป ‘จัสติส’ ออเดรย์มองไปรอบๆ และกล่าวด้วยอารมณ์ซับซ้อน


ทันใดนั้น เธอเข้าใจประโยคหนึ่งอย่างลึกซึ้ง


ห้ามจ้องมองเทพ!


แม้แต่ครึ่งเทพระดับนักบุญที่มาเพียงภาพฉายก็ยังมิอาจจ้องมองได้โดยตรง นับประสาอะไรกับเทพแท้จริง?


เลียวนาร์ดที่ได้รับประสบการณ์คล้ายคลึงกันพลันหัวเราะแห้ง


“ผู้วิเศษลำดับ 4 จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพในระดับตัวตนอย่างมาก แต่นั่นก็ยังไม่เท่าไร… ไม่น่ากลัวเท่ากับตอนที่ผมเผชิญหน้าสตรีมีครรภ์คนหนึ่ง”


ทำไมพวกนักกวีถึงชอบโอ้อวดนัก? ตอนสู้กับเมกูสนายสามารถควบคุมตัวเองได้อย่างอิสระ แต่กับเมื่อครู่ ถ้าฉันไม่สร้างภาพลวงตา รับประกันได้เลยว่ามีคนคลุ้มคลั่งแน่นอน… ทว่าเรื่องราวจะเปลี่ยนไปถ้าเมกูสคลอดทารกในท้องออกมา ลำพังการจ้องมองก็มากพอจะทำให้พวกเราคลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาด… ไคลน์รำพันจิกกัดเลียวนาร์ดพลางหวนนึกถึงความทรงจำเก่า


“สตรีมีครรภ์คนนั้นเป็นครึ่งเทพหรือคะ?” ออเดรย์ถามด้วยความสงสัย


“ไม่ใช่…” เลียวนาร์ดส่ายหน้า “แต่เธอกำลังตั้งครรภ์ทายาทของเทพมาร”


อย่างนี้นี่เอง… ออเดรย์ไม่ถามซักไซ้เนื่องจากทราบดีว่าการสำรวจยังไม่จบลง ไม่ควรเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ


หญิงสาวมองไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ในเสื้อกันลมสีดำซึ่งถือไม้กางเขนทองแดงและขวดโลหะ จากนั้นก็ยิ้มและพูด


“ขอบคุณที่ช่วยปิดกั้นการรับรู้ของพวกเรา… เอ่อ… หลังจากนี้พวกเราควรไปไหนต่อ?”


ในฐานะผู้ชมมากประสบการณ์ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลัง ไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะทราบว่าเมื่อครู่ตนเพิ่งได้รับความช่วยเหลือครั้งใหญ่จาก ‘เดอะเวิร์ล’


ไคลน์ซึ่งพยายามควบคุมจิตใต้สำนึก อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและมองไปรอบๆ


“ทะเลจิตใต้สำนึกรวมไม่มีพื้นที่ใจกลางหรือ?”


“ไม่มีค่ะ” ออเดรย์ส่ายหน้าขึงขัง “ที่ใดมีสิ่งมีชีวิต ที่นั่นมีทะเลจิตใต้สำนึกรวม… ในทะเลดังกล่าว ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนเท่าเทียม แต่รูปแบบของทะเลจิตใต้สำนึกรวมจะแตกต่างออกไปตามสภาพแวดล้อม เราเรียกมันว่า ‘การตั้งรกราก’ … ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็คือ ทะเลจิตใต้สำนึกรวมในโลเอ็นจะแตกต่างจากของอินทิส เพราะเกิดจากการ ‘ตั้งรกราก’ อย่างยาวนานของชาวโลเอ็น โดยในทางกลับกัน ทะเลจิตใต้สำนึกรวมจะสร้างอิทธิพลต่อนิสัยของชาวโลเอ็นในละแวกดังกล่าว ส่งผลให้มีอารมณ์หรือบุคลิกที่แตกต่างจากชาวอินทิส”


หลังจากอธิบายจบ ‘จัสติส’ ออเดรย์ขมวดปม


“เมื่อทะเลจิตใต้สำนึกรวมมีธรรมชาติเป็นเช่นนี้ แล้วจะให้มีพื้นที่ใจกลางได้อย่างไร?”


ไคลน์พยักหน้าพลางถามครุ่นคิด:


“กล่าวอีกนัยหนึ่ง… คุณเองก็แนะนำไม่ได้ใช่ไหมว่าพวกเราควรไปทางไหน?”


อุก… มิสเตอร์เวิร์ลพูดตรงเกินไปแล้ว… หากเป็นสุภาพสตรีหรือสุภาพบุรุษที่มีจิตใจอ่อนแอ หัวใจคงปวดร้าวและเจ็บแปลบ… ออเดรย์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะหันไปเห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ปัจจุบันดวงตาคู่นั้นปราศจากความบ้าคลั่งและเย็นชา มีเพียงความสงบนิ่งและลุ่มลึก


หรือว่า… ออเดรย์ฉุกคิดถึงบางสิ่งและเริ่มตระหนักว่ามิสเตอร์เวิลด์จงใจพูดตรงๆ เพื่อให้เธอพยายามเก็บรายละเอียดทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นการถือโอกาสสั่งสมประสบการณ์ที่หาได้ยาก


“ใช่ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าอย่างใจเย็นโดยปราศจากความเขินอาย


ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบาพลางจ้องไปทาง ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ด


“อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้น… ขอบเขตของผมสิ้นสุดแค่ความฝัน มิใช่ทะเลจิตใต้สำนึกรวมแสนพิสดารเช่นนี้” เลียวนาร์ดรีบโบกมือ


เมื่อเทียบกับมิสจัสติสที่อ่อนประสบการณ์ เลียวนาร์ดซึ่งอาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมรู้จังหวะว่าตอนไหนควรฝืนและตอนไหนไม่ควร


“ถ้าอย่างนั้นก็ตามผมมา” ไคลน์ถอนสายตากลับและเปลี่ยนไปถือไม้กางเขนเจิดจรัสที่กลับมาเป็นสีทองแดงด้วยมือข้างที่ถือขวดโลหะ ส่วนมืออีกข้างที่ว่างอยู่นำเหรียญทองออกมาถือ


กิ๊ง!


ขณะเหรียญทองกำลังร่วงหล่น ชายหนุ่มคว้ามันไว้โดยไม่ตรวจสอบผลลัพธ์ แต่กลับเลือกทิศทางที่จะเดินไปได้ทันที


นี่คือวิธีการทำนายของเขา… ออเดรย์ตกตะลึงเล็กๆ


จากด้านข้าง หญิงสาวมองหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ซึ่งกำลังเผยสีหน้าขึงขังและเยือกเย็น เมื่อผนวกเข้ากับเสื้อกันฝนสีดำ หมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง และไม้กางเขนเจิดจรัส เธอพบว่าอีกฝ่ายดูคล้ายกับ ‘ผู้เผยแผ่ศาสนา’ อย่างบอกไม่ถูก


ส่วนเลียวนาร์ดย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต


เป็นคดีแรกที่มันและไคลน์ร่วมมือกันสืบหาเด็กชายที่ถูกลักพาตัวไป ในตอนนั้นไคลน์เองก็นำทางด้วยพลังทำนายโดยมีเลียวนาร์ดคอยตามหลังอย่างเชื่อใจ


เมื่อเทียบกับความเก้ๆ กังๆ ในตอนนั้น ปัจจุบันเขาชำนาญมากจนดูเหมือนเข้าสู่โลกของผู้วิเศษมานานกว่าสิบปี… แต่ในความเป็นจริงเพิ่งผ่านไปแค่ปีกว่าๆ เท่านั้น… เลียวนาร์ดนำมือล้วงกระเป๋าและเดินตามไคลน์ด้วยอารมณ์ซับซ้อน


ออเดรย์เหลือบมองเลียวนาร์ดและรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์


มิสเตอร์สตาร์และมิสเตอร์เวิร์ลไม่ได้เป็นแค่คนรู้จักในชีวิตจริง แต่พวกเขาน่าจะเคยเป็นเพื่อนที่สนิทกัน… อา… แต่น่าจะไม่ค่อยได้เจอกันในช่วงหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา… ขณะครุ่นคิด ออเดรย์มิได้ลดความในการเดินเร็วลง พลางคอยสังเกตรายละเอียดรอบๆ ตัวและคาดคะเนจากสิ่งที่ร่ำเรียนมา ช่วยระบุว่าจุดใดอาจมี ‘กระแสน้ำวน’ หรือ ‘สัตว์ร้าย’ ซึ่งอาจดักซุ่มโจมตี


ด้วยความช่วยเหลือของหญิงสาว ไคลน์นำทางอย่างราบรื่นโดยไม่เผชิญหน้ากับศัตรูตรงๆ เหมือนกับในกรณีของ ‘คนยักษ์มายา’


บางครั้งก็เดินตรง บางครั้งก็หักเลี้ยว จนกระทั่งผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ดวงตาทั้งสามพลันเบิกกว้าง


นั่นเพราะสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือ ‘หลุมลึกก้นทะเล’ โดยที่กึ่งกลางหลุมยักษ์มีเมืองขนาดเท่าเกาะ


ฐานของเมืองเป็นสีขาวนวล เรียงรายไปด้วยเสาหินที่งดงามซึ่งสูงหลายร้อยเมตร บ้างตั้งเด่นตระหง่านอย่างโดดเด่น บ้างก็รวมกันเพื่อค้ำจุนพระราชวังโบราณสูงตระหง่านที่โอ่อ่า ฉากตรงหน้าทั้งมหัศจรรย์และเลอค่า ดูแล้วไม่น่าจะใช่สถาปัตยกรรมที่สิ่งที่มีชีวิตทั่วไปสร้างขึ้นได้


แม้ออเดรย์จะไม่รู้จักเมืองนี้ แต่ความคิดหนึ่งกลับผุดขึ้นมาในใจ:


เมืองแห่งปาฏิหาริย์… เลฟซิด…

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1070 : อาจจะเป็นความจริง

 

เลฟซิดคือเมืองลอยฟ้าที่เกิดจากจินตนาการของมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล ไม่ว่าจะมองมุมใดก็ดูราวกับเป็นปาฏิหาริย์ – ปาฏิหาริย์แห่งเทพ


ความอลังการไม่เป็นสองรองวังราชาคนยักษ์ แต่มีความดิบและหยาบมากกว่า เป็นเอกลักษณ์มากกว่า เสาหินทุกต้นสูงเกือบหนึ่งร้อยเมตร ดูราวกับเป็นบัลลังก์ของเหล่ามังกร เพียงได้ยินคำบรรยายก็ทำให้เกิดความประทับใจอันลุ่มลึกไม่รู้ลืม


ดังนั้นแม้ออเดรย์จะไม่เคยเห็นเลฟซิดของจริงมาก่อน แต่ฉากตรงหน้าก็ทำให้หญิงสาวเชื่อมโยงเข้ากับเมืองแห่งปาฏิหาริย์ได้ทันที แน่นอนว่าเหตุผลหลักเป็นเพราะเธอทราบว่า ‘การเดินทางของกรอซาย’ เกิดจากฝีมือการประพันธ์ของ ‘มังกรจิตภาพ’ แอนเคอร์เวล


สำหรับไคลน์ที่เคยทำนายถึงต้นกำเนิดของ ‘การเดินทางของกรอซาย’ จนได้เห็นเมืองแห่งปาฏิหาริย์ เมืองลอยฟ้าเลฟซิดของจริง ย่อมมั่นใจว่าเมืองขนาดเท่าเกาะที่อยู่ก้นทะเลแห่งนี้ไม่ใช่อื่นใดนอกจากเลฟซิด จุดเดียวที่แตกต่างคือการไม่มีมังกรตัวจริงบินเพ่นพ่านไปมา!


เป็นของจริงหรือของเลียนแบบ? หรือเกิดจากการสั่งสมจิตใต้สำนึกของสิ่งมีชีวิตพิเศษบางชนิดในโลกหนังสือ? ไคลน์ที่ประหลาดใจเล็กๆ เริ่มวิเคราะห์สถานการณ์


พิจารณาจากผลการทำนายถึงต้นกำเนิดและจากเนื้อหาในความฝันของ ‘องครักษ์คนยักษ์’ กรอซายและ ‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ เซียธาส ไคลน์มั่นใจว่าในตอนที่ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ถูกสร้างขึ้น เมืองลอยฟ้าเลฟซิดของจริงนั้นยังคงอยู่ และเมื่อหนังสือเดินทางไปถึงวังราชาคนยักษ์และกรอซายเริ่มออกผจญภัย เมืองลอยฟ้าเลฟซิดของจริงก็ยังคงอยู่ จนกระทั่งเซียธาสถูกดูดเข้ามา เมืองเลฟซิดของจริงก็ยังคงอยู่เช่นเดิม เพราะถ้าเมืองแห่งปาฏิหาริย์ของจริงหายไป ความทรงจำของเซียธาสกับกรอซายย่อมต้องมีเบาะแสของเรื่องนี้


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความจริงข้างต้นคือหลักฐานยืนยันที่ยากจะโต้แย้งว่า เมืองขนาดเท่าเกาะที่อยู่ก้นทะเลในหนังสือไม่น่าจะใช้เลฟซิดของจริง


แต่ทันใดนั้นไคลน์ฉุกคิดบางสิ่ง


กระจกวิเศษ อาโรเดสเคยกล่าวไว้ว่า:


“…หนังสือเล่มนี้ปรากฏขึ้นครั้งแรกในหมู่มังกร เป็นช่วงเวลาหลังจากเมืองแห่งปาฏิหาริย์เลฟซิดหายไป”


ชักน่าสนใจล่ะสิ… อาโรเดสใช้หลักฐานใดยืนยันว่า ‘การเดินทางของกรอซาย’ ปรากฏขึ้นครั้งแรกหลังจากเมืองเลฟซิดหายไป? เจ้านั่นไม่สามารถส่องได้แม้กระทั่งเรื่องที่เกี่ยวกับซาราธ เช่นนั้นก็ไม่น่าจะ ‘ส่อง’ จนเห็นต้นกำเนิดของมรดกจากเทพบรรพกาล… ตอนแรกเราเองก็สร้างสมมติฐานตามข้อสรุปของมันแต่หลังจากลองทำนายด้วยตัวเอง ทฤษฎีของเราก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงและปัดตกข้อเท็จจริงนั้นทิ้งไป… ไคลน์จ้องมองเสาหินสูงตระหง่านจำนวนมากพลางผุดความคิดนับไม่ถ้วน


ทันใดนั้น มันฉุกคิดได้อีกหนึ่งสิ่ง


เจ้าของคนสุดท้ายของ ‘การเดินทางของกรอซาย’ คือ ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดซึ่งเป็นสมาชิกโบสถ์ปัญญาและศรัทธาในเทพปัญญาความรู้


และเทพปัญญาความรู้ก็สามารถยืนยันได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่าเป็นราชาเทวทูตที่เคยรับใช้เทพสุริยันบรรพกาล – เทวทูตปัญญา


จากบันทึกประวัติศาสตร์ของศาสนจักร ในยุคสมัยที่สามมีเหตุผลมากมายที่ทำให้เชื่อได้ว่า เทวทูตปัญญาน่าจะเป็นมังกรแห่งปัญญา เฮราเบอร์เก้น!


นี่คือชื่อเทพรับใช้ของมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล หนึ่งในมังกรโบราณระดับสูง!


นี่มัน… หรือว่าเรื่องที่ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ปรากฏขึ้นหลังจากเมืองลอยฟ้าเลฟซิดหายไป ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่าจะทราบจากเทพปัญญาความรู้โดยตรงผ่านวิธีการบางอย่าง และอาโรเดสก็ส่องเห็นเรื่องนี้เข้า? หากท่านเป็นมังกรแห่งปัญญาจริง ก็มีโอกาสสูงมากที่จะเกี่ยวข้องกับสาเหตุการหายไปของเมืองลอยฟ้าโดยตรง เพราะท่านเองก็เป็นหนึ่งในมังกรโบราณระดับสูง น่าจะมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มากกว่ากรอซายและเซียธาส… แต่เราจะอธิบายฉากที่เห็นภายในการทำนายบนมิติหมอกได้ยังไง? ลำพังการนึกภาพตามก็ทำให้ปวดหัวแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่เราเห็นคือเทพบรรพกาล ‘มังกรจินตภาพ’ แอนเคอร์เวลตัวจริง… ไคลน์เริ่มตื่นเต้นเมื่อจับการเชื่อมโยงได้ แต่ขณะเดียวกันก็ยังเต็มไปด้วยปริศนา


มันโยนเหรียญทองขึ้นไปในอากาศพลางสร้างสมมติฐาน


ในเมื่อเมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิด เป็นสิ่งที่ถูกจินตนาการขึ้น เช่นนั้นแล้ว มันก็อาจถูกจินตนาการขึ้นใหม่หลังจากของเก่าหายไป…


หรือว่าเมืองเลฟซิดดั้งเดิมจะถูกราชามังกรแอนเคอร์เวลยัดใส่หนังสือ จากนั้นพระองค์ก็จินตนาการเลฟซิดขึ้นมาใหม่บนโลกความจริง?


การกระทำเช่นนี้อาจตบตามหามังกรทั้งหมดได้ แต่ไม่ใช่กับมังกรแห่งปัญญาที่เฉลียวฉลาด?


ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง เมืองแห่งปาฏิหาริย์เลฟซิดก็จะมีอยู่สองแห่ง และในหนังสือคือเมืองดั้งเดิม…


แต่คำถามก็คือ ทำไมมังกรแห่งปัญญาถึงไม่เข้ามาสำรวจหนังสือด้วยตัวเอง? ต่อให้ท่านไม่ใช่ ‘ผู้ชม’ แต่สมญานามด้านความทรงปัญญานั้นเป็นของจริง คงมีวิธีการมากมายที่จะเข้ามาสำรวจ…


หรือว่าท่านแอบเข้ามาสำรวจแล้วโดยไม่ให้ตัวละครในหนังสือรู้ จากนั้นก็กลับออกไปโดยจงใจทิ้งเลฟซิดเอาไว้ที่นี่?


ขณะไคลน์กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก เลียวนาร์ดจ้องมองชายหนุ่มก่อนจะหันไปทางมิสจัสติสที่เอาแต่ก้มมองอย่างเงียบงัน จากนั้นก็พูดทำลายความเงียบ


“จริงอยู่ที่เมืองแห่งนี้ทั้งงดงามและอลังการจนไม่น่าจะเป็นสถานที่พักอาศัยของมนุษย์หรือกึ่งมนุษย์ แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้พวกคุณต้องจ้องมองนานขนาดนี้ ทั้งสองคนไม่ใช่สถาปนิกสักหน่อย”


ไคลน์รวบรวมสมาธิและชำเลืองไปทางเลียวนาร์ด


“มีโอกาสสูงมากที่เมืองนี้จะเป็นเมืองลอยฟ้า เลฟซิด ของมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง มันคืออาณาจักรของเทพบรรพกาล”


แต่แน่นอน ถ้าเมืองเลฟซิดมีอยู่สองแห่งจริงๆ ความเป็นอาณาจักรแห่งเทพที่นี่คงมิได้สลักสำคัญอะไร


“อาณาจักรแห่งเทพ…” รูม่านตาเลียวนาร์ดเบิกกว้างพร้อมกับทวนคำ


ออเดรย์ที่ได้สติกลับมาส่งเสียงพึมพำ


“ที่นี่คือเลฟซิดจริงๆ ใช่ไหม…”


“มีโอกาสเป็นไปได้” ไคลน์ที่ใจเย็นลงแล้วอธิบายง่ายๆ “แต่เนื่องจากมันไม่ได้กำลังลอยเหมือนในตำนาน แต่จมอยู่ที่ก้นทะเลจิตใต้สำนึกรวม จึงเป็นการยากที่จะบอกว่าเป็นของจริงหรือปลอม”


ขณะเดียวกัน เลียวนาร์ดเองก็เริ่มใจเย็น สายตากวาดมองไปรอบๆ เมืองขนาดมหึมาในหลุมยักษ์ก้นทะเลพร้อมเผยรอยยิ้มขื่นขม


“ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันที่ได้มาเหยียบอาณาจักรของเทพบรรพกาล…”


ว่ากันตามตรง หากมิสจัสติสไม่อยู่ที่นี่ มันคงชื่นชมในชีวิตอัน ‘หรูหราและมีสีสัน’ ของไคลน์


นับตั้งแต่ได้กลับมารวมตัวกับสหายเก่า ไม่เพียงมันจะต้องเผชิญหน้ากับบุตรแห่งเทพซึ่งเป็นราชาเทวทูตสองตน แต่ยังได้เข้ามาสำรวจในโลกหนังสือลึกลับและได้พบกับเมืองที่น่าจะเป็นอาณาจักรแห่งเทพ


ประสบการณ์เหล่านี้น่าตื่นเต้นกว่าสิ่งที่มันพานพบในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมาหลายเท่า หลายต่อหลายเท่า!


แต่แน่นอน อันตรายกว่ามากด้วย


กล่าวถึงตรงนี้ มันแหงนหน้ามอง ‘ทะเลแสงเงา’ ด้านบนพร้อมกับถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด


“แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าทะเลจิตใต้สำนึกรวมที่นี่ไม่ได้เกิดจากพลังจินตนาการ?”


คำตอบของคำถามนี้จะช่วยยืนยันตัวตนที่แท้จริงของเลฟซิดได้


ออเดรย์ไตร่ตรองสองวินาทีก่อนจะตอบอย่างไม่มั่นใจนัก


“ไม่มีทางบอกความแตกต่าง… หรือบางที… มันอาจเป็นของจริงทั้งสองแห่ง… ตามหลักการแล้ว ทะเลจิตใต้สำนึกรวมเกิดจากการรวมตัวของอารมณ์และความรู้สึกที่สั่งสมเป็นเวลานาน แม้ผู้คนและตัวละครในโลกใบนี้จะถูกจินตนาการขึ้น แต่อารมณ์ ประสบการณ์ ความยินดี ความโกรธ ความเศร้า ความเจ็บปวด และความสุขที่เกิดขึ้นอย่างยาวนานล้วนเกิดขึ้นจริง…”


ขณะกล่าว ออเดรย์ชะงักเล็กน้อยราวกับฉุกคิดบางสิ่งได้ แต่ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ


ทันใดนั้น ไคลน์กล่าว


“ในเมื่อมังกรจินตภาพสามารถสร้างทุกสิ่งขึ้นมาจริงๆ ได้ด้วยการจินตนาการ… อาณาจักรที่เกิดจากจินตนาการก็มีโอกาสกลายเป็นของจริงได้เช่นกัน…”


ท่ามกลางเสียงสะท้อน ไคลน์เก็บเหรียญทองและกระโจนลงไปใน ‘หลุมลึกก้นทะเล’ พร้อมกับเสื้อกันลมสีดำที่สะบัดพลิ้ว


“…หากท่านประกาศกร้าวสิ่งใด นั่นหมายถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้นจริง”


ขณะร่างกายค่อยๆ ร่อนลงไป ประโยคหลังดังแว่วขึ้นมาถึงหูคนทั้งสอง


ดวงตาสีเขียวของออเดรย์ผงะเล็กน้อยก่อนจะส่องประกาย จากนั้นก็ ‘กระโดด’ ลงไปในเมืองแห่งปาฏิหาริย์


“จะไม่ทำนายระดับอันตรายก่อนหรือ? นั่นอาจเป็นอาณาจักรแห่งเทพเชียวนะ!” เลียวนาร์ดมองแผ่นหลังคนทั้งสองพร้อมกับโพล่งขึ้นด้วยความประหลาดใจ


จากการฝึกอบรมและประสบการณ์ที่ผ่านมา พฤติกรรมเช่นนี้ขัดต่อหลักปฏิบัติอย่างมาก


แล้วทำไมนายถึงเข้าใจผิดคิดว่าฉันยังไม่ทำนาย? นายแค่ไม่ทันสังเกตเห็นเท่านั้นเอง และฉันก็เพิ่งเก็บเหรียญทอง… นอกจากนั้นสัญชาตญาณอันตรายของเราก็มิได้ร้องเตือน… และเหนือสิ่งอื่นใด หากข้อสันนิษฐานของเราถูกต้อง มังกรแห่งปัญญา เฮราเบอร์เก้นจะต้องเคยมาเยือนที่นี่แล้ว… เมื่อเป็นแบบนั้น ถ้ามีอันตรายใดซ่อนอยู่ ท่านก็คงขจัดปัดเป่าไปจนเกลี้ยง… ถ้ามิสจัสติสไม่อยู่ด้วย นายโดนฉันสวดไปแล้ว… ขณะรำพันจิกกัด ไคลน์เร่งความเร็วพร้อมกับปรับเปลี่ยนทิศทาง หลบแนวเสาหินขนาดมหึมาที่สูงกว่าหนึ่งร้อยเมตร ผ่านด่านแล้วด่านเล่าจนกระทั่งเท้าสัมผัสพื้นสีเทาอ่อน


ปัจจุบันมันอยู่ในร่างวิญญาณ สามารถแหวกว่ายได้ตามใจปรารถนา


ราวสองสามวินาทีถัดมา มิสจัสติสในหน้ากากสีเงินก็ร่อนลงจอดตามมาติดๆ


ออเดรย์เงยหน้ามองสำรวจและถูกความงดงามอลังการดึงดูดความใจไปสองสามวินาที ก่อนจะหันมากล่าว


“การมองจากข้างในแตกต่างจากข้างนอกโดยสิ้นเชิง… บางทีนี่อาจเป็นความรู้สึกของหนูในเบ็คลันด์”


ขณะหญิงสาวกล่าว เลียวนาร์ดร่อนลงมาใกล้ๆ และจ้องไคลน์จากด้านข้าง


ไม่ใช่ว่ามันไม่เชื่อใจไคลน์หรือกังวลว่าพวกพ้องของตนจะบุ่มบ่ามเกินเหตุ แต่นี่คือระเบียบปฏิบัติมาตรฐาน เพราะมีหลายครั้งที่เพื่อนในทีมถูกกัดกร่อนโดยไม่รู้ตัวจนกลายเป็นคนประมาทเลินเล่อ


นี่คือกฎเหล็กของเหยี่ยวราตรีซึ่งถูกเขียนขึ้นจากประสบการณ์และการสังเวยมากมายในอดีต


“จนถึงตอนนี้ ผมยังไม่ได้รับแจ้งเตือนอันตราย” ไคลน์บอกไปตามความจริง


เลียวนาร์ดกวาดสายตาไปรอบๆ และกล่าว


“เมืองแห่งปาฏิหาริย์ใหญ่เกินไปแล้ว… ความหมายของผมก็คือ ต่อให้พวกเราบินได้ แต่กว่าจะสำรวจให้ครบก็ต้องใช้เวลาหลายวัน… คุณมีเป้าหมายในใจแล้วใช่ไหม?”


มันกล่าวประโยคหลังพร้อมกับมองมาทางไคลน์


ไคลน์พยักหน้าและชี้ไปทางวังขนาดมหึมาที่สูงกว่าสองร้อยเมตร


“ที่นั่น… ถ้าความทรงจำของผมไม่ผิดพลาด นั่นคือที่พักของมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล”


ไคลน์เคยเห็นวังดังกล่าวในการทำนายด้วยความฝัน


เมื่อพบว่าไคลน์มีแผนในใจอยู่แล้ว หรืออาจเป็นการชี้นำของมิสเตอร์ฟูล เลียวนาร์ดผ่อนคลายลงและก้มมองพื้นสีเทาอ่อน


“ที่นี่คืออาณาจักรแห่งเทพ? ทำไมไม่รู้สึกถึงความพิเศษเลย?”


พร้อมกันนั้น ออเดรย์ที่สำรวจรอบตัวอย่างละเอียดกล่าวออกมาอย่างไม่มั่นใจ


“ความผิดปรกติทั้งหมดที่นี่ล้วนบรรจบกันภายในวังแห่งนั้น”


เธอกำลังหมายถึงวังที่ไคลน์ระบุว่าเป็นสถานที่พำนักของเทพบรรพกาล

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)