Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1061-1066

 ราชันเร้นลับ 1061 : ความฝันของใคร

 

วันศุกร์ยามเย็น ภายในห้องนอนของออเดรย์


หลังจากได้รับสัญญาณ โกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่เปิดประตูออกไปนอกห้องด้วยตัวเองและนั่งเฝ้า ป้องกันมิให้ใครมารบกวน


ออเดรย์นำตะกอนพลังนักท่องฝัน วัตถุดิบเสริม และอุปกรณ์เสริมออกมาจากจุดที่ซ่อนไว้ วัตถุดิบเสริมและอุปกรณ์ในการผสมถูกส่งมาจากเมืองเงินพิสุทธิ์โดยแลกกับคะแนนผลงานไม่มากนัก สำหรับค่าตอบแทนของเดอะซัน ออเดรย์ยังไม่ได้จ่ายเพราะเดอะซันน้อยยังไม่มีสิ่งที่ต้องการ


หลังจากโอสถถูกปรุงขึ้นอย่างชำนาญ ออเดรย์มองไปยังของเหลวสีหม่นที่มีจุดแสงสีเทาอ่อนพร้อมกับก้าวถอยหลังและประสานมือใต้ปาก พึมพำเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณเสียงต่ำ


“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”


ทันทีที่คำสวดจบลง เงาดำจำนวนมากที่ยากจะอธิบายรูปลักษณ์ปรากฏขึ้น


พวกมันล่องลอยและถักทอตัวเองราวกับกำลังแหวกว่ายในทะเล และที่ด้านบนของท้องทะเลมีแสงเจ็ดสีที่แตกต่างซึ่งคล้ายกับอัดแน่นไปด้วยความรู้อันไร้จุดสิ้นสุด


เหนือแสงบริสุทธิ์ทั้งเจ็ดเป็นสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขต เหนือสายหมอกมีพระราชวังตั้งเด่นตระหง่านอย่างสง่างาม


ทันใดนั้นประตูของวังถูกเปิดออก ร่างสีทองปรากฏกายพร้อมกับสยายปีกเปลวเพลิงสิบสองคู่ จากนั้นก็ค่อยๆ ร่อนลงมายังด้านหน้าออเดรย์


ปีกเพลิงทั้งสองสิบคู่ค่อยๆ โอบกอดหญิงสาวผมทองไว้ด้านในทีละชั้น


ฉากดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงหนึ่งถึงสองวินาทีก่อนจะหายไป ทุกสิ่งดูคล้ายกับเป็นเพียงภาพมายา แต่ออเดรย์ก็ยังคงดื่มด่ำความซาบซ่านที่เกิดขึ้นแม้จะเคยสัมผัสมาแล้วหลายหน


ผ่านไปสักพัก หญิงสาวสงบสติอารมณ์พร้อมกับกล่าวขอบคุณมิสเตอร์ฟูล


ด้วยอ้อมกอดเทวทูตเมื่อครู่ เธอสามารถคงสติในความฝันได้ตลอดเวลา ไม่ต้องกังวลว่าจะติดอยู่ด้านในและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้


และนั่นเทียบเท่ากับการประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นนักท่องฝัน แถมประสิทธิภาพก็ยังยอดเยี่ยมกว่าต้นฉบับ


ไม่ใช่นักสะกดจิตทุกคนที่จะได้รับอ้อมกอดเทวทูตจากตัวตนลึกลับแบบเรา… ออเดรย์เธอทำได้แน่! หญิงสาวพึมพำสองสามคำพร้อมกับสลัดความลังเล หยิบขวดแก้วขึ้นมาและกรอกโอสถเข้าปากอึกอึก


รสชาติของโอสถมิได้เลวร้ายอย่างที่คิด เปรี้ยวนิดๆ หวานหน่อยๆ และขมติดปลายลิ้น ผลของมันทำให้ผู้ดื่มเกิดอาการตื่นเต้นและประสาทหลอน ราวกับเป็นความฝันที่สมจริงซึ่งชวนให้ไหลไปตามอารมณ์


ยังไม่ทันที่ออเดรย์จะได้สัมผัสถึงอิทธิพลจากโอสถ จิตของเธอตื่นขึ้นท่ามกลางภวังค์ล่องลอย


มองออกไปนอกหน้ากริด เธอเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าและแปรเปลี่ยนกลางคืนให้เป็นยามเช้า


ภายในสวน ดอกไม้กำลังผลิบานและมีหยดน้ำค้างไหลรินออกจากยอดหญ้าสีเขียว


คล้ายกับออเดรย์เป็นเจ้าของโลกใบนี้ ท่ามกลางสติที่ล่องลอย เธอมองเห็นฉากหนึ่งจากมุมสูง


พ่อและแม่ของเธอกำลังเดินจับมือกันเดินไปในทางเดินสวน อาบแดดยามเช้าพลางสูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้


ฉากเปลี่ยนไป พี่ชายทั้งสองของเธออย่างอัลเฟรดและฮิบเบิร์ตต่างกำลังขี่ม้านำเหล่าคนรับใช้ตรงไปทางป่าเขตชานเมืองพลางหัวเราะร่วน ต่างฝ่ายต่างเกทับกันว่าใครจะล่าสัตว์ได้มากกว่า


ฉากเปลี่ยนไปอีกครั้ง ภายในบรมมหาราชวังโซเดอร์แล็คแห่งโลเอ็น เหล่าเอกอัครราชทูตและผู้แทนพิเศษของจักรวรรดิฟุซัค อินทิส และเฟเนพ็อตต่างลงนามในสัญญาเพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าจะไม่มีสงครามเกิดขึ้นอีก ในเวลาเดียวกันกลุ่มเมฆบนท้องฟ้าก็เริ่มสลายตัว


สถานการณ์ด้านหมอกควันของกรุงเบ็คลันด์ดีขึ้นมาก โรงงานทุกแห่งผ่านการตรวจสอบมาตรฐานสองชั้นจากทั้งคณะกรรมการแอลคาไลน์และคณะกรรมการมลพิษทางอากาศแห่งชาติ นอกจากนั้นยังส่งเสริมมาตรฐานนี้ออกไปยังอาณาจักรข้างเคียง


รัฐบาลจะรับปากกับบรรดาแรงงานว่าจะกำหนดชั่วโมงทำงานสูงสุดและช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงาน ส่วนอุตสาหกรรมต่างๆ กำลังพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนคนไร้บ้านลดน้อยลงอย่างมาก นอกจากนั้นรัฐบาลยังมอบสวัสดิการจำนวนหนึ่งให้แก่พลเมือง


แรงงานจำนวนมากมีกำลังทรัพย์มากพอที่จะซื้อจักรยาน บนท้องถนนจึงคลาคล่ำไปด้วยฝูงจักรยานที่ดูเหมือนกับกองทัพ ต่างคนต่างขี่ไปยังคนละทิศทางพลางกดกริ่งขอทาง


เด็กๆ ไม่ต้องทำงานในโรงงานอีกต่อไปแล้ว ทุกคนสามารถหัวเราะและวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานเข้าไปในห้องเรียนที่มีหน้าต่างสว่างๆ และเก้าอี้สะอาดสะอ้าน สามารถนั่งฟังครูสอนได้อย่างมีสมาธิ หรือหากเด็กคนใดไม่อยากเรียน นั่นก็เป็นความต้องการของเจ้าตัว ไม่ใช่เพราะขาดโอกาส


สตรีมิได้ถูกกีดกันทางเพศเหมือนสมัยก่อน แม้แต่สาวใช้ซักผ้าก็มีสิทธิ์ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนเพื่อมองหางานที่ดีกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นนักข่าว ครูสอนหนังสือ ตำรวจ ทหาร คนงานเหมือง และข้าราชการ กล่าวอีกนัยหนึ่งสตรีจะถูกพบเห็นได้ทั่วไปในทุกสายงานที่เป็นทางการ


เครื่องจักรรุ่นใหม่ๆ ผุดขึ้นถามถนนและตรอกซอกซอยเพื่อนำพาความสะดวกสบายมายังประชาชน


ณ จัตุรัสหน้าวิหารแห่งรัตติกาล นกพิราบขาวบินขึ้นลงเป็นครั้งคราวโดยที่ด้านล่างมีผู้คนนั่งอย่างสงบหรือไม่ก็เล่นเครื่องดนตรี ดื่มด่ำไปกับความสงบสุขของชีวิต


สิ่งเหล่านี้คืออนาคตที่ออเดรย์ฝันถึง นอกจากนั้นผู้วิเศษไร้สังกัดก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ขอเพียงเข้ารับการตรวจร่างกายและสภาพจิตใจอย่างต่อเนื่อง ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสง่าผ่าเผย รวมถึงใช้พลังหาเงินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย


งดงามเหลือเกิน… ถ้าไม่ใช่เพราะสติยังกระจ่างชัด เราคงหลงมัวเมาไปกับฉากตรงหน้า เลิกสนใจที่จะควบคุมตัวเองและปล่อยร่างกายเดินไปกับพ่อและแม่ หรือไม่ก็ติดตามพี่ชายเข้าไปล่าสัตว์ในป่า หรือไม่ก็ไปสอนหนังสือเด็กๆ ในโรงเรียน มุ่งหน้าทำงานหนักเพื่อสร้างสันติภาพให้โลกใบนี้โดยไม่ได้ตระหนักถึงความจริง… ออเดรย์จ้องมองความฝันพลางถอนหายใจเงียบ


จากนั้นเธอส่งวิญญาณดาราของตนลอยสูงขึ้นจนทะลวงผ่านม่านหมอกสีเทา


หญิงสาวพบว่าความฝันของตนมีลักษณะคล้ายฟองสบู่ขนาดใหญ่ที่เติบโตขึ้นจากเกาะแห่งสติและปกคลุมมันไว้


ทุกด้านของ ‘ฟองสบู่’ ดังกล่าวถูกล้อมไว้ด้วยหมอกสีเทา หากมองจากระยะไกลจะเห็น ‘ฟองสบู่อื่นๆ’ อย่างเลือนรางโดยที่ด้านล่างของทุกฟองคือแต่ละเกาะแห่งจิตใต้สำนึก


ลึกเข้าไปภายในหมอกสีเทา ด้านล่างมีเพียง ‘คลื่นแสง’ ที่เงียบเชียบและไม่สั่นคลอน


ทะเลจิตใต้สำนึกรวม… นี่คือฉากของโลกแห่งจิตที่นักท่องฝันมองเห็น… มีเพียง ‘จอมบงการ’ ที่ทรงพลังเท่านั้นจึงจะมีพลังพอสำหรับการแทรกแซงทะเลจิตใต้สำนึกรวม… ออเดรย์ผงกศีรษะด้วยความกระจ่างพร้อมกับถอนสายตากลับ โดยไม่กล่าวคำใดเพิ่มเติม เธอรีบบังคับตัวเองให้ออกจากความฝัน


ภาพการมองเห็นของหญิงสาวกลับมาเป็นปรกติในทันที ด้านนอกยังคงมืดและมีเพียงแสงไฟจากภายในสวน


ออเดรย์รีบมองกระจกบานใหญ่ภายในห้องนอนและไม่พบความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองมากนัก จนกระทั่งสำรวจอย่างละเอียดจึงได้ทราบว่าดวงตาสีเขียวของตนทวีความลุ่มลึกและคมชัดกว่าเดิม ราวกับสามารถสะท้อนดวงวิญญาณของผู้อื่นได้


หลังจากหลับตาลงและจับประเด็นความรู้ที่โอสถมอบให้ ออเดรย์เริ่มเข้าใจหลักการของพลังนักท่องฝัน


เธอสามารถสืบข้อมูลหรือสร้างอิทธิพลกับศัตรูผ่านการชี้นำและดัดแปลงความฝัน


พลังชนิดนี้สามารถใช้งานได้สองรูปแบบ


แบบแรกคือการ ‘ชี้นำ’ ซึ่งคล้ายกับพลัง ‘ฝันร้าย’ ของเส้นทางรัตติกาล กระทำได้โดยการชักนำให้เจ้าของความฝันลงทำสิ่งสร้างๆ ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงภายในความฝัน ส่วนใหญ่มักใช้ในการแอบดูความลับของเป้าหมาย จุดที่นักท่องฝันแตกต่างจากฝันร้ายก็คือ ฝันร้ายสามารถบังคับดึงศัตรูเข้าไปในความฝันทันที แต่นักท่องฝันจำเป็นต้องใช้งานร่วมกับพลังสะกดจิต


แบบที่สองคือการ ‘ปรับแต่ง’ ความฝันของเป้าหมายเพื่อสร้างอิทธิพลใดอิทธิพลหนึ่งเป็นเวลานาน ส่งผลให้เหยื่อลงมือทำในสิ่งที่ไม่เคยทำได้โดยไม่รู้ตัว หลักการของการ ‘ปรับแต่ง’ ความฝันก็คือ ใช้ความฝันของเหยื่อเป็นจุดตั้งต้นและใช้วิญญาณดาราเป็นตัวกระตุ้น ค่อยๆ กัดกร่อนร่างวิญญาณของเป้าหมายเพื่อให้กระทบกระเทือนไปถึง ‘กายปัญญา’ จนกระทั่งประสบความสำเร็จในการฝังจิตใต้สำนึกใหม่ในที่สุด เมื่อเทียบกับวิธีสะกดจิต การควบคุมผ่านความฝันนั้นนุ่มนวลและมิดชิดมากกว่า ยากที่จะสังเกตเห็นและเหมาะกับเป้าหมายในระดับสูง


ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่ารักแรกพบในหลายๆ กรณีอาจมีผลมาจากการถูกปรับแต่งความฝัน… อา… มีนิยายรักๆ ใครๆ หลายเรื่องที่ตัวเอกหญิงมักฝันถึงหนุ่มหล่อรูปงามและโรแมนติก และเมื่อพวกหล่อนได้พบเจอผู้ชายที่คล้ายคลึงกันในโลกความจริง จึงเกิดตกหลุมรักอย่างโงหัวไม่ขึ้นทันที… ออเดรย์นึกถึงนิยายที่เคยอ่านสมัยเด็กพลางมองเป็นเรื่องขบขัน


สำหรับหญิงสาว ไม่ว่าจะเป็นพลังชี้นำหรือปรับแต่งความฝัน นั่นยังไม่ใช้การยกระดับที่ชัดเจนจากนักสะกดจิต นอกจากนั้นเธอยังมีอีกหนึ่งพลังที่โปรดปรานมากกว่า นั่นก็คือ ‘ท่องฝัน’


พลังชนิดนี้จะทำให้ร่างกายของเธอเลือนรางลงประหนึ่งภูตในความฝันหรือนักท่องฝัน ด้วยร่างดังกล่าว ไม่เพียงจะช่วยให้ซ่อนตัวอยู่ในความฝันของผู้อื่น เธอยังสามารถกระโดดจากความฝันหนึ่งไปยังอีกหนึ่งความฝัน เรียกได้ว่าเป็นการ ‘แฟลช’ อย่างสมบูรณ์แบบในทางกายภาพ


ข้อจำกัดก็คือความฝันทั้งสองแห่งจะต้องอยู่ห่างกันไม่เกินห้าร้อยเมตร และต้องเป็นความฝันของสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาเท่านั้น


หากอยู่ในสถานการณ์พิเศษ พลังชนิดนี้จะช่วยให้เราซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียน… อา… ว่าแต่ทำไมเฮอร์วิน·แรมบิสถึงไม่ใช้พลัง ‘ปรับแต่งความฝัน’ เพื่อสร้างอิทธิพลกับเรา? หรือเป็นเพราะเราได้รับความคุ้มครองจากศาสนจักร? เป็นไปได้… เส้นทางรัตติกาลเองก็มีอำนาจไม่น้อยในขอบเขตของความฝัน… ออเดรย์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะเริ่มควบคุมพลังวิญญาณให้เสถียร



เหนือสายหมอกสีเทา ภายในพระราชวังโบราณ


บนโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณ ไคลน์นั่งห่างจากเลียวนาร์ดสองสามตำแหน่งในแนวเฉียง


“ทำไมจู่ๆ ถึงอยากพบผม?” เลียวนาร์ดเอนหลังพิงเก้าอี้พลางถามด้วยท่าทีค่อนข้างเกียจคร้าน


แต่ไม่ว่าจะไร้มารยาทสักเพียงใด มันก็ยังไม่ลืมว่าที่นี่คือดินแดนของมิสเตอร์ฟูล จึงไม่กล้าทำตัวตามสบายเกินไปนัก


ไคลน์ชำเลืองและพูด


“ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”


“ความช่วยเหลือจากผม?” เลียวนาร์ดชี้ตัวเองพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “คุณกำลังหมายถึงพาลีส?”


มันเชื่อว่าตนคงไม่มีปัญญาไปช่วยอะไรครึ่งเทพอย่างไคลน์


“รู้จักจุดยืนของตัวเองเป็นอย่างดีสินะ…” ไคลน์ถอนหายใจ “แต่คราวนี้ผมกำลังขอความช่วยเหลือจากคุณจริงๆ เป็นปัญหาสองสามเรื่องที่เกี่ยวกับความฝัน”


ความฝัน… เลียวนาร์ดผงะเล็กน้อยก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีกึ่งติดตลกปนฉงน “ไคลน์… คุณเปลี่ยนไปนิดหน่อยนะ… ผมหมายถึง คุณกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนมากขึ้น เลิกสวมหน้ากากหนาๆ ที่มืดมนนั่นแล้ว”


โดยไม่เปิดโอกาสให้ไคลน์พูด มันสางเส้นผมลวงตาพร้อมกับยิ้ม


“ถือเป็นข่าวดี เพราะผมเองก็ค่อนข้างชำนาญความฝัน… เป็นความฝันของใคร?”


ไคลน์ตอบหน้านิ่ง


“ทหารโลเอ็นจากหนึ่งร้อยปีก่อน… ขุนนางจากยุคสมัยที่สี่… นักบวชจากยุคสมัยที่สาม… เอลฟ์และคนยักษ์จากยุคสมัยที่สอง”


“อะไรนะ?” เลียวนาร์ดเจ้าของดวงตาสีเขียวอุทานด้วยความฉงน ในใจนึกสงสัยว่าตนอาจฟังผิดไป


ต่อให้ไม่นับคนยักษ์และเอลฟ์จากยุคสมัยที่สอง ลำพังขุนนางจากยุคสมัยที่สี่นั้นต้องอยู่ในเส้นทางที่เฉพาะเจาะจงและต้องเป็นเทวทูตจึงจะมีอายุยืนจวบจนปัจจุบัน!


อย่าบอกนะว่าทุกคนนอกจากทหารโลเอ็นล้วนเป็นเทวทูตทั้งหมด? ถ้าแบบนั้นให้ตาแก่ช่วยจะดีกว่า… เลียวนาร์ดปล่อยความคิดล่องลอยประหนึ่งกำลังท่องอยู่ในความฝัน

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1062 : ‘การสอน’ ออนไลน์

 

ไคลน์ชำเลืองเลียวนาร์ดพลางยิ้ม


“เป้าหมายไม่ใช่ครึ่งเทพ แต่พวกเขาสามารถ ‘อาศัยอยู่’ มาจนถึงปัจจุบันได้ด้วยอิทธิพลบางอย่าง และนั่นยังเป็นความลับที่ผมเองก็อยากไขให้กระจ่างผ่านความฝัน”


มันจงใจเน้นคำว่า ‘อาศัยอยู่’


โดยไม่รอคำตอบจากเลียวนาร์ด ไคลน์เสริม


“ขุนนางจากยุคสมัยที่สี่รายนี้ก็เป็นสมาชิกของตระกูลโซโรอาสเตอร์ คุณสามารถใช้ความฝันของเขาเพื่อศึกษาเกี่ยวกับพาลีส”


ทายาทของตาแก่… เลียวนาร์ดเริ่มใจเต้นและตั้งตารอสิ่งที่ไคลน์จะเล่าถัดไป


แม้ว่ามันจะเข้ากันได้ดีมากกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์และไว้วางใจเทวทูตรายนี้ในระดับหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความระแวงเล็กๆ เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นเพียงคนนอกที่เข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกาย


“อย่าเพิ่งเล่าเรื่องนี้ให้พาลีส·โซโรอาสเตอร์ฟัง” ไคลน์เสริมทันที


ในสายตานายฉันเป็นคนไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเชียว? เลียวนาร์ดพึมพำในใจพลางตอบ


“ไม่ต้องบอกก็รู้”


เมื่อเห็นว่าเลียวนาร์ดให้ความร่วมมือ ไคลน์ยิ้ม


“อย่าลืมส่งเลือดของคุณมาให้ผมสักสองสามหยด สิ่งนี้จำเป็นต่อภารกิจสำรวจความฝัน”


ชายหนุ่มมิได้แจ้งว่าต้องส่งเลือดมาทางไหน เพราะเลียวนาร์ดมีมากถึงสองวิธีในใจ หนึ่งคือการสังเวยไปให้มิสเตอร์ฟูลและส่งผ่านมาถึงมือเดอะเวิร์ล ส่วนอีกหนึ่งคือการบรรจุใส่ขวดและวานให้ผู้ส่งสารที่ยังไม่ทราบต้นกำเนิดส่งมาพร้อมกับจดหมาย


“เลือด…” เลียวนาร์ดทวนคำโดยไม่รู้ตัว


ในโลกของศาสตร์เร้นลับ เลือดของคนคนหนึ่งคือสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ส่งเลือดของตัวเองให้ใคร ไม่อย่างนั้นอาจเผชิญความตายโดยไม่รู้ตัว และในบางกรณีความตายก็ไม่ใช่จุดจบที่เลวร้ายที่สุด


หลังจากลังเลสักพัก เลียวนาร์ดพยักหน้า


“จะเริ่มสำรวจเมื่อไร?”


ไคลน์ตอบทันทีประหนึ่งคาดเดาไว้แล้ว


“คืนวันอาทิตย์… ใกล้เที่ยงคืน”


มันต้องการให้มิสจัสติสทำความคุ้นเคยกับพลังวิญญาณและเรียนรู้วิธีการใช้พลังใหม่ให้คล่อง


“ตกลง” เลียวนาร์ดไม่กล่าวสิ่งใดต่อ


ถัดมาไคลน์อธิบายศาสตร์แห่งวาทศิลป์อย่างชำนาญเพื่อช่วยให้นักกวีเพื่อนรักมีข้ออ้างกลบเกลื่อนคุณปู่ปรสิตหลังจากกลับไป


เมื่อกลับมายังโลกแห่งความจริง ขณะเลียวนาร์ดเรียบเรียงคำพูดในหัว เสียงค่อนข้างชราของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ดังขึ้น


“ทำไมอดีตเพื่อนร่วมงานของเจ้าต้องนัดพบกะทันหัน? หรือว่ามีสิ่งที่อธิบายในจดหมายไม่ได้?”


เลียวนาร์ดเปลี่ยนท่านั่งพลางหัวเราะในลำคอ


“เขากังวลว่าเนื้อความในจดหมายอาจรั่วไหล เพราะอาจมีบางสิ่งที่เกี่ยวพันกับท่านผู้นั้น”


แน่นอนว่าคนที่ไคลน์ระแวงคือคุณ… สิ่งที่ผมเห็นก็เท่ากับสิ่งที่คุณเห็น… ยังไม่ทันสิ้นเสียง เลียวนาร์ดรำพันในใจทันที


“ท่านผู้นั้น…” คล้ายกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์เข้าใจว่าหมายถึงใคร


“ใช่” เลียวนาร์ดหยิบแก้วบนโต๊ะขึ้นมากระดกดื่มเบียร์คำใหญ่ “เขาบังเอิญได้พบกับนักบวชคนหนึ่งที่มาจากยุคสมัยที่สาม จึงหวังว่าจะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านความฝัน”


สิ่งที่เลียวนาร์ดกล่าวคือความจริง แต่เป็นความจริงเพียงส่วนเดียว นี่คือศาสตร์แห่งวาทศิลป์ที่ไคลน์พยายามสอน


“นักบวชจากยุคสมัยที่สาม? เขายังมีชีวิตอยู่หรือ?” พาลีส·โซโรอาสเตอร์ซักถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ


แน่นอนว่าพาลีสมิได้ตื่นตระหนักมากนัก เพราะสำหรับวิธีการเอาตัวรอดจากยุคสมัยที่สามมาจนถึงปัจจุบัน แม้ตัวมันจะนึกได้ไม่ถึงร้อยวิธี แต่ก็ไม่ต่ำกว่าห้าหกแน่นอน วิธีที่ง่ายที่สุดคือการขโมยอายุขัยหรือชีวิตของผู้อื่นมาเรื่อยๆ


“ดูเหมือนว่าจะยังมีชีวิตอยู่… แต่ในสถานะพิเศษ” เลียวนาร์ดอธิบายเท่าที่มันรู้


พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบไปสองวินาทีก่อนจะหัวเราะแห้ง


“แบบนี้นี่เอง… ถ้าอย่างนั้นข้าคงทำได้เพียงอวยพรให้เจ้าไม่เห็นในสิ่งที่ไม่ควรในความฝัน แน่นอนว่าอดีตเพื่อนร่วมงานของเจ้าต้องถูกคุ้มครองโดยพรแห่งการปกปิด คนที่ต้องระวังจึงมีเพียงตัวเจ้า”


เลียวนาร์ดไม่ตอบสนองในหัวข้อดังกล่าว รีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที


“ตาแก่ มีคำถามที่อยากรู้บ้างไหม? เช่นเทพแท้จริงในยุคสมัยที่สามเป็นอย่างไร หรือสาเหตุของมหาภัยพิบัติ?”


นี่คืออีกหนึ่งศาสตร์แห่งวาทศิลป์ที่ไคลน์สอน เมื่อเป็นฝ่ายถูกถามในเรื่องที่เสียเปรียบ จงชิงถามแทนในเรื่องที่ได้เปรียบ


“ข้าพอจะเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้คร่าวๆ” พาลีส·โซโรอาสเตอร์ตอบพลางถอนหายใจและพ่นลม “วันนี้เจ้าพยายามทำตัวเป็นคนชักนำบทสนทนามากเป็นพิเศษ แตกต่างจากนิสัยเก่าๆ โดยสิ้นเชิง แปลว่าเจ้าคงมีความลับสักหนึ่งถึงสองเรื่องที่ปิดบังข้าไว้… ไม่เลวทีเดียว เป็นพัฒนาการที่น่าสนใจ เพราะอย่างน้อยข้าก็ไม่ทันสังเกตเห็นในตอนแรก”


สีหน้าเลียวนาร์ดพลันแข็งทื่อ


พาลีสหัวเราะแห้งทันที


“เห็นไหม… แค่ข้าแหย่นิดเดียวเข้าก็เผยไต๋ทันที… ยังขาดประสบการณ์อีกมาก… อดีตเพื่อนร่วมงานของเจ้านี่ช่าง… หึ”


เลียวนาร์ดทำได้เพียงหัวเราะแห้งกลับไป จากนั้นก็วางแก้วลงและโน้มตัวไปด้านหน้า หยิบมีดเงินสำหรับประกอบพิธีกรรมขึ้นมาเฉือนให้เกิดบาดแผลและปล่อยให้เลือดไหลสองสามหยด


ในเวลาเดียวกัน ณ คฤหาสน์ของเอิร์ลฮอลล์ ออเดรย์ซึ่งกำลังถือมีดเลี่ยมอัญมณีและเตรียมรักษาสัญญากับเดอะเวิร์ลที่ระบุจะช่วยเหลือหนึ่งครั้ง ทำการกดคมมีดลงไปบนหลังมือ


“ไม่เจ็บเลยสักนิด… ไม่เจ็บเลยสักนิด…” ขณะออกแรงเปิดแผล ออเดรย์สะกดจิตตัวเองให้ไม่เจ็บ


ในสภาพปัจจุบัน หากออเดรย์ต้องการสร้างแผลให้ตัวเอง เธอต้องออกแรงมากถึงระดับหนึ่ง ต่อให้ไม่สร้างเกล็ดมังกรขึ้นมาปกป้องก็ตาม



คืนวันอาทิตย์ หลังจากเข้าร่วมงานเลี้ยงเต้นรำ ไคลน์เดินทางกลับมายังบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน เตรียมนอนเร็วกว่ากำหนดโดยอ้างว่าเพลีย


หลังเที่ยงคืน ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงและประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง


หลังจากจัดการหลายๆ สิ่งเสร็จ ไคลน์นั่งลงบนเก้าอี้ของ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ปัจจุบันยืนยันได้ว่าหากตนยกเลิกการอัญเชิญ ระดับพลังอำนาจของมิติหมอกจะช่วยดึงร่างวิญญาณของมันออกจาก ‘การเดินทางของกรอซาย’ ได้ทันที


ด้านหน้ามันมีขวดเลือดสามขวดและหน้ากากสีเงินวางอยู่


สามขวดดังกล่าวบรรจุเลือดของไคลน์ ออเดรย์ และเลียวนาร์ด ส่วนหน้ากากเงินคือสิ่งที่มิสจัสติสสังเวยขึ้นมาล่วงหน้าเนื่องจากทราบว่ามิสเตอร์สตาร์จะเข้าร่วมการสำรวจด้วย จึงต้องการสวม ‘คำลวง’ เพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริง


หลังจากตรวจสอบสักพักจนมั่นใจ ไคลน์เสกสมุดปกแข็งสีน้ำตาลเข้ม ‘การเดินทางของกรอซาย’ ออกจากกองขยะและลอยมาวางแน่นิ่งบนโต๊ะทองแดงยาว ขณะเดียวกันก็สอดไม้กางเขนเจิดจรัสเข้าไปในร่างกาย


ถัดมามันถึง ‘จัสติส’ ออเดรย์และ ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดขึ้นมายังมิติเหนือสายหมอก


เสาลำแสงสีแดงสองต้นปรากฏขึ้นพร้อมกับร่างที่พร่ามัว


ออเดรย์และเลียวนาร์ดต่างจ้องไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวฝั่งตรงข้ามประธานและตรวจสอบวัตถุตรงหน้าเดอะเวิร์ล


จากนั้นความสนใจก็มุ่งมายังหนังสือเล่มเก่าแก่


ออเดรย์กลอกตาเล็กน้อยก่อนจะถาม


“การสำรวจของพวกเรามีความเกี่ยวข้องกับหนังสือเล่มนี้?”


“ถูกต้อง เป้าหมายของเราอยู่ภายในหนังสือ” ไคลน์ตอบด้วยรอยยิ้ม


“ภายในหนังสือ?” เลียวนาร์ดถามด้วยความประหลาดใจ


แม้มันจะเป็นถุงมือแดงที่มีโอกาสได้อ่านแฟ้มคดีพิสดารมากมาย แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีวิธีสื่อสารกับตัวละครในหนังสือ


ไคลน์พยักหน้า


“ถูกต้อง เจ้านี่คือหนังสือเวทมนตร์ที่ด้านในเป็นโลกซึ่งถูกจินตนาการขึ้น… สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกดังกล่าวได้กลายมาเป็นเนื้อหาของหนังสือ”


“ถูกจินตนาการขึ้น?” ออเดรย์จับคำสำคัญได้ทันที


เธอเพิ่งได้ทราบจากเดอะเวิร์ลเมื่อสองสามวันก่อนว่า ลำดับ 0 ของเส้นทางผู้ชมคือ ‘นักสร้างฝัน’ และยังไม่ลืมว่าราชาแห่งมหามังกร หนึ่งในเทพบรรพกาล แอนเคอร์เวลมีสมญานามว่ามังกรจินตภาพ


หลังจากเรียบเรียงคำพูดสักพัก ไคลน์กล่าว


“คำอธิบายของผมอาจไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะมันเป็นได้ทั้งโลกที่ถูกจินตนาการขึ้นและโลกความฝันแท้จริง… สิ่งเดียวที่รับประกันได้ก็คือมันถูกสร้างโดยเทพบรรพกาลจากยุคสมัยที่สองนามว่า ‘มังกรจินตภาพ’ แอนเคอร์เวล… ผมได้รับสิ่งนี้มาจากพลเรือโทธารน้ำแข็ง”


มรดกจากเทพบรรพกาล… เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงทำให้ยักษ์และเอลฟ์จากยุคสมัยที่สอง นักบวชจากยุคสมัยที่สาม ขุนนางจากยุคสมัยที่สี่ และทหารโลเอ็นจากยุคสมัยที่ห้าดำรงชีวิตอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน… เลียวนาร์ดพลันกระจ่างและอดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่า หลังออกจากเมืองทิงเก็น ไคลน์ต้องเผชิญประสบการณ์แบบใดมาบ้าง


ในเวลาเดียวกันไคลน์มองไปรอบๆ พร้อมกับผลักหน้ากากคำลวงไปหามิสจัสติส


“เข้าไปกันเถอะ”


“ตกลง” ออเดรย์สวมหน้ากาก


เลียวนาร์ดมองซ้ายมองขวาและพยักหน้า


“ตกลง”


ไคลน์นำขวดโลหะบรรจุเลือดออกมาเทและป้ายลงบนปก ‘การเดินทางของกรอซาย’


เลือดมีไว้เพื่อสิ่งนี้… ขณะเกิดความคิดดังกล่าว ทัศนวิสัยของออเดรย์พลันแปรเปลี่ยนเป็นพายุหิมะสีขาวโพลน


ท่ามกลางเกล็ดหิมะเม็ดใหญ่และลมหนาวที่กัดเซาะ ใกล้ๆ กันมีเมืองซึ่งกำแพงชั้นนอกสูงกว่าสิบห้าเมตรอยู่ห่างออกไปไม่ไกล แม้แต่องครักษ์ในชุดเกราะหนังที่เข้าเวรเฝ้ายามก็ยังต้องเข้าไปหลบในจุดอับลม ตราบใดที่ไม่มีคาราวานพ่อค้าแวะผ่านมา มันก็จะไม่เข้าไปกีดขวางการเข้าออกของคนธรรมดา


“ที่นี่คือ… โลกที่ถูกจินตนาการขึ้นโดยสมบูรณ์… สมจริงมาก” เลียวนาร์ดมองไปรอบๆ ก่อนจะเหยียดแขนออกไปคว้าเกล็ดหิมะขนาดใหญ่ มันสัมผัสถึงความเย็นสักพักจนกระทั่งเกล็ดหิมะละลายกลายเป็นน้ำ


หลังจากตรวจสอบสภาพแวดล้อมเสร็จ เลียวนาร์ดเพิ่งตระหนักถึงบางสิ่ง ไคลน์ยังคงรักษาภาพพจน์เย็นชาด้วยตัวตนเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ส่วนมิสจัสติสก็สวมหน้ากากเงินปกปิดครึ่งบนของใบหน้า เผยให้เห็นเพียงปาก เส้นผมสีทอง และดวงตาสีเขียวมรกตจนยากจะทราบตัวตนที่แท้จริง


มีเพียงมันที่ไม่ได้ปลอมตัว


นี่คือนิสัยของผู้วิเศษทางการ พวกมันล้วนออกปฏิบัติการอย่างสง่าผ่าเผยและไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน


มิสเตอร์สตาร์เป็นคนง่ายๆ อย่างที่คิด เขาจัดแต่งทรงผมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น… ช่างน่าเสียดาย ไม่อย่างนั้นด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ การเป็นนายแบบบนนิตยสารคงไม่ใช่เรื่องยากเย็น… ในฐานะสตรีสูงศักดิ์ที่เคยพบเจอบุรุษรูปงามมานับไม่ถ้วน ออเดรย์จ้องหน้าพอเป็นพิธีและถอนสายตากลับโดยไม่เสียมารยาท


ไคลน์หัวเราะในใจก่อนจะชี้ไปทางเมืองท่ามกลางพายุหิมะ


“เป้าหมายแรกของเราคือนักบวชจากยุคสมัยที่สาม… มิสเตอร์สโนวมัน”


ชายคนนี้มีแนวโน้มสูงที่จะเชื่อมต่อกับอามุนด์และพี่ชาย!


ตามแผนของไคลน์ หลังจากสโนวมันจะเป็นคิวของขุนนางจากยุคสมัยที่สี่ โมเบธ นั่นเพราะคนยักษ์กรอซายและเอลฟ์เซียธาสมีแนวโน้มสูงที่จะข้องเกี่ยวกับเหตุไม่คาดฝัน ดังนั้นจึงต้องเก็บไว้ท้ายสุด


และหลังจากสำรวจจิตใต้สำนึกของทุกคนผ่านความฝันเสร็จ พวกมันจะเข้าไปในทะเลจิตใต้สำนึกรวมของที่นี่เพื่อค้นหาความลับที่ลึกกว่าเดิม

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1063 : หัตถ์ซ้ายของพระองค์

 

ณ จุดที่ห่างไกลภายในเมืองเปโซต์ อาคารหลังหนึ่งที่สร้างจากหินกำลังตั้งเด่นตระหง่าน เป็นวิหารที่มีลักษณะค่อนข้างหยาบและดูเหมือนจะยังสร้างไม่เสร็จ


จุดที่โดดเด่นและงดงามที่สุดคือแท่นบูชา กึ่งกลางมีไม้กางเขนที่ทำจากไม้และบุคคลตัวสูงที่ถูกแขวนไว้


นักบวชสโนวมันนั่งอยู่แถวหน้าสุดโดยหันหน้าเข้าหาเทวรูป ศีรษะก้มต่ำและดวงตาปิดสนิทพลางเพ่งสมาธิให้กับการสวด


ชายวัยกลางคนรายนี้ดูไม่แก่นัก แต่ใบหน้ามีริ้วรอยเล็กน้อย สวมชุดคลุมสีขาวที่ถูกซักล้างหนแล้วหนเล่า เป็นเจ้าของผมสีน้ำตาลสั้น และตามผิวหนังที่ถูกเผยให้เห็นไม่ว่าจะเป็นท่อนแขน น่อง และปลายเท้า ทุกจุดล้วนเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเก่า


ทันใดนั้นเอง สองชายหนึ่งหญิงเดินเข้ามาจากด้านหน้าวิหาร ฝ่ายชายสวมเสื้อนอกและกางเกงขายาวสีดำในสไตล์ที่แตกต่างจากสภาพแวดล้อมโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งสวมเสื้อกั๊กด้านใน สวมหมวกทรงกึ่งสูงและติดโบหูกระต่าย ส่วนอีกคนสวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่าย รายแรกมีใบหน้าผอมเพรียวชัดลึก บรรยากาศรอบตัวเย็นชา ส่วนรายหลังมีผมสีดำและดวงตาสีเขียว ใบหน้าค่อนข้างหล่อเหลาและมีบรรยากาศคล้ายนักกวีโรแมนติก


ฝ่ายสตรีสวมเดรสยาวสีขาวที่กระชับในช่วงสะโพก โดยบริเวณข้อมือทั้งสองฝั่งถูกออกแบบให้พองออกมา ช่วงใต้ลำคอมีลายลูกไม้ที่ถูกถักสานอย่างประณีต ใบหน้าสวมหน้ากากสีเงินที่วิจิตร เผยให้เห็นเพียงดวงตาสีเขียวมรกต ดั้งจมูกที่โด่งเป็นสัน และริมฝีปากที่ทาลิปกลอสบางๆ ส่งผลให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่าใบหน้าที่ซ่อนอยู่นั้นงดงามเพียงใด


คนกลุ่มนี้ล้วนมีเสน่ห์น่าหลงใหล ไม่น่าจะมองไปที่ใครหรือมองจากมุมใดเป็นพิเศษ ทว่า สาวกของวิหารจำนวนไม่มากที่เดินผ่านไปมากลับไม่มีใครแยแสหรือจ้องมองมา เป็นการเพิกเฉยโดยสมบูรณ์


นี่คือผลลัพธ์ที่ผสมผสานระหว่างพลัง ‘ภาพลวงตา’ และ ‘ล่องหนทางใจ’


ออเดรย์ที่อยู่ในโหมดปฏิบัติการไม่เผยให้เห็นความอยากรู้อยากเห็นบนใบหน้า เพียงกวาดตามองและกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน


“สิ่งนี้สำคัญตอนนี้คือการทำให้มิสเตอร์สโนวมันหลับ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ต้องรอจนกว่าเขาจะเข้านอน”


นั่นหมายความว่าทั้งสามต้องรอให้กลางคืนของโลกใบนี้ย่างกรายมาถึง


“ใจเย็น… ของง่ายๆ” เลียวนาร์ดยิ้มตอบ


เมื่อเทียบกับมิสจัสติสที่ยังมีประสบการณ์ในโลกเหนือธรรมชาติไม่มาก เลียวนาร์ดซึ่งเป็นถุงมือแดงเคยผ่านภารกิจนับไม่ถ้วน มันผ่อนคลายและเยือกเย็นชนิดที่สามารถเล่นมุกตลกกับไคลน์


แน่นอนว่ามันไม่ทราบเรื่องที่มิสจัสติสเพิ่งสะกดจิตครึ่งเทพมา


ไคลน์ชำเลืองอดีตเพื่อนร่วมงาน


“เริ่มเลย”


มันกำลัง ‘พกพา’ ไม้กางเขนเจิดจรัส และนั่นหมายความว่าภายในสามชั่วโมง ไคลน์จะกลับไปเป็นลำดับ 5 โดยมีตะกอนพลังจอมเวทพิสดารที่ถูกขับออกมาจากร่าง นั่นคือเหตุผลที่ชายหนุ่มไม่อยากปล่อยให้เวลาสูญเปล่า


หมอนี่กลับไปเป็นนักผจญภัยเสียสติเลือดเย็นอีกแล้ว… ชิ… เลียวนาร์ดไม่พูดพร่ำ รีบยกแขนขึ้นมาสางผมพร้อมกับการจางลงของประกายแสงในดวงตาสีเขียว


นักบวชสโนวมันที่กำลังสวดมนต์ผล็อยหลับไปอย่างเงียบงัน


นี่คือพลังของฝันร้าย… ออเดรย์พึมพำกับตัวเองพลางเฝ้ามองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยดวงตาเปล่งปลั่ง


ที่จริงเธอเคยเห็นพลังของฝันร้ายมาแล้วในปฏิบัติการสั่งสอนไวเคาต์ผีดูดเลือด เออร์เนส·โบยาร์ แต่ตอนนั้นออเดรย์กำลังมีสมาธิกับภารกิจจนมองเห็นภาพรวมได้ไม่ชัดเจนนัก


ทันทีหลังจากนั้น หญิงสาวยกสองมือจับแขนเดอะเวิร์ลและเดอะสตาร์พร้อมกับใช้พลังนักท่องฝันเพื่อนำทั้งสองเข้าไปในโลกแห่งความฝันของสโนวมัน


“ฉันเข้ามาเองได้…” เลียวนาร์ดพึมพำขณะฉากรอบๆ ตัวเปลี่ยนเป็นโลกที่พร่ามัว


ไคลน์และออเดรย์เมินเลียวนาร์ดโดยสมบูรณ์ ต่างคนต่างรีบสำรวจบริเวณรอบๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมความฝันของสโนวมัน


ปัจจุบันพวกมันกำลังยืนอยู่ในวิหาร เป็นวิหารที่สง่างามและโอ่อ่าอย่างผิดธรรมชาติ


โดมที่สูงตระหง่านด้านบนถูกค้ำจุนโดยทิวแถวเสาหินขนาดมหึมา แต่นั่นก็มิได้ทำให้ห้องโถงถูกแบ่งออกเป็นส่วนย่อย ยังคงดูกว้างใหญ่ไพศาลอย่างน่าพิศวง


ประตูวิหารทั้งกว้างและสูง เป็นขนาดที่ใหญ่เกินไปแม้แต่กับคนยักษ์เอง สองฝั่งเต็มไปด้วยเทียนไขที่ส่องแสงนวลซึ่งล้วนถูกวางบนถ้วยเงิน


แท่นบูชาตรงหน้าทั้งยิ่งใหญ่และสง่างาม กึ่งกลางแท่นบูชามีไม้กางเขนยักษ์สีเทาอ่อนและเทวทูตของเทพกำลังแบกไม้กางเขน


ใบหน้าของเทวรูปไม่ชัดเจนนัก แต่คล้ายกับกำลังแสดงความสงสารต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก


สโนวมันยังคงทำตัวเหมือนเดิม นั่งอยู่ในแถวหน้าสุดโดยหันหน้าเข้าหาแท่นบูชา ศีรษะก้มต่ำด้วยดวงตาที่ปิดสนิทพลางขยับปากสวดมนต์


“ดูคล้ายกับวิหารร้างในหมู่บ้านยามบ่ายที่เดอะซันน้อยเคยแสดงให้พวกเราเห็น… มีความเป็นไปได้ว่าจะมาจากยุคสมัยเดียวกัน” ออเดรย์พึมพำพลางเลื่อนสายจากไม้กางเขนไปยังอิฐทรงโค้งด้านบน


ขณะเดียวกันหญิงสาวพยายามระงับความอยากรู้อยากเห็นและรักษามาดนิ่งให้มากที่สุด


เดอะซันน้อย? หมอนั่น ‘น้อย’ ตรงไหน? สูงใหญ่กว่าเราตั้งเยอะ… วิหารร้างภายในหมู่บ้านยามบ่าย… เลียวนาร์ดครุ่นคิดพลางรำพัน


ในตอนที่มันเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคได้เสร็จภารกิจสำรวจและกลับถึงเมืองเงินพิสุทธิ์นานแล้ว อาจมีการเอ่ยถึงภารกิจสำรวจวังราชาคนยักษ์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยแสดงภาพที่เกี่ยวข้องเลยสักครั้ง


“ใช่” ไคลน์ถอนสายตาพลางสนับสนุนคำพูดมิสจัสติส จากนั้นก็กล่าวกับเธอ “พยายามชี้นำความฝันเพื่อให้เขาเปิดเผยข้อมูลสำคัญภายในจิตใต้สำนึก ยิ่งเกี่ยวข้องกับราชาเทวทูตมากเท่าไรก็ยิ่งดี”


หน้าที่นี้สามารถทำได้ทั้งฝันร้ายและนักท่องฝัน แต่เหตุผลที่ไคลน์บอกให้มิสจัสติสทำก็เพราะต้องการให้เธอย่อยโอสถ ต้องไม่ลืมว่าเลียวนาร์ดผ่านจุดนั้นมานานแล้ว นอกจากนั้นหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตใต้สำนึก ผู้วิเศษเส้นทางผู้ชมจะมีความชำนาญมากกว่าและสามารถลงมือได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากกว่า


ทันใดนั้นเลียวนาร์ดเริ่มตั้งข้อสงสัย


พลังของมิสจัสติสเกี่ยวข้องกับขอบเขตความฝัน…


หรือกล่าวได้ว่าเธอเลื่อนขั้นกลายเป็นลำดับ 5 นักท่องฝันเรียบร้อยแล้ว!


ไม่เร็วไปหน่อยหรือ? เลียวนาร์ดแอบตั้งคำถามอย่างคลางแคลง


ในวันแรกที่เข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ มันยังจดจำคำพูดของมิสจัสติสได้แม่นยำ เธอเพิ่งจะเลื่อนลำดับเป็นนักสะกดจิตได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน และจากตอนนั้นถึงตอนนี้เพิ่งผ่านมาได้ไม่ถึงสามเดือน


แม้ว่าวัตถุดิบทั้งหมดจะหาได้จากชุมนุมทาโรต์ แต่ลำพังการย่อยโอสถให้เสร็จภายในสี่เดือนก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว… สมองเลียวนาร์ดกำลังประมวลผลอย่างหนัก ในฐานะผู้วิเศษลำดับ 5 และหัวหน้าหน่วยถุงมือแดงซึ่งเป็นอาวุโสระดับค่อนข้างสูงของโบสถ์ ศักดิ์ศรีและความโอหังของมันกำลังสั่นคลอนอย่างหนัก


ขณะความคิดเลียวนาร์ดกำลังพลุ่งพล่าน ออเดรย์พยักหน้าเล็กๆ และทำตามคำสั่งโดยการเดินไปยืนข้างสโนวมัน


คลื่นกระเพื่อมมายาเริ่มหมุนวนในดวงตาสีเขียวมรกต โดยคลื่นดังกล่าวจมลึกเข้าไปในดวงตาที่ดูราวกับไร้ก้นบึ้งคู่นั้น


ความผันผวนที่มองไม่เห็นพลันบังเกิด แท่นบูชาด้านหน้าวิหารเริ่มพร่ามัวกะทันหัน


แท่นบูชาอันงดงามรวมทั้งไม้กางเขนและเทวรูปเกิดการบิดเบี้ยวสักพักก่อนจะคลายตัวกลับคืนพร้อมกับส่องแสงและเงาที่ไม่เข้มข้นเกินไป


ฉากรอบตัวพลันแปรเปลี่ยน กลายเป็นยอดเขาที่มีไม้กางเขนขนาดยักษ์ตั้งสูงตระหง่าน ด้านหน้าไม้กางเขนมีตัวตนอันยิ่งใหญ่ซึ่งถูกรายล้อมด้วยแสงออร่าหลายชั้นกำลังยืนเด่นสง่า


เหล่าเทวทูตสองปีก สี่ปีก และหกปีกต่างบรรเลงแตร พิณ หรือไม่ก็ขลุ่ยพลางขับขานบทเพลงและบินวนเวียนรอบตัวตนอันยิ่งใหญ่ดังกล่าว


เหล่าเทวทูตเจ้าของปีกสิบสองคู่ซึ่งมีรูปลักษณ์พร่ามัวกำลังรวมตัวไม่ห่างจากบุคคลอันยิ่งใหญ่ บางส่วนอยู่บนพื้นด้านข้างบุคคลผู้นั้นและเอนกายพิงขา เผยให้เห็นเจตนาของการพึ่งพิงและยอมศิโรราบ บางส่วนลอยอยู่ทั้งสองฝั่งซ้ายขวาและรอรับคำสั่งจากพระองค์


ไคลน์เคยเห็นฉากเหล่านี้มาแล้วและทราบว่าบุคคลที่อยู่ใจกลางคือเทพสุริยันบรรพกาล ส่วนเหล่าเทวทูตเจ้าของปีกสิบสองคู่คือราชาเทวทูต


ทันใดนั้นสโนวมันลืมตาขึ้นและมองมาทาง ‘จัสติส’ ออเดรย์ ตามด้วยกล่าวเสียงเคร่งขรึมประหนึ่งกำลังสอน


“มีเพียงวิญญาณที่บริสุทธิ์โดยแท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถรับใช้พระองค์… นั่นคือเป้าหมายที่ข้าไล่ตามมาทั้งชีวิต… ข้าเห็นพระองค์กำลังยืนเด่นสง่าท่ามกลางออร่าแสงอันไร้สิ้นสุด ความเมตตาของพระองค์กำลังแผ่ขยายไปทั่วสวรรค์และโลกมนุษย์ รอบกายพระองค์มีเหล่าราชาทั้งแปดกำลังรายล้อม… เทวทูตมืดคือเทวทูตตนแรกที่พระองค์สร้างขึ้น เปรียบดั่งหัตถ์ซ้ายของพระองค์และมีอำนาจบนสวรรค์เป็นรองพระองค์เพียงผู้เดียว… เทวทูตจินตภาพคือบุตรชายคนโตของพระองค์ ท่านทรงตรัสว่า ‘ในอนาคตที่แสนห่างไกล เจ้าจะกลายเป็นผู้มาโปรดของทุกชีวิต’ … เทวทูตกาลเวลาคือบุตรชายคนที่สองของพระองค์ ท่านทรงตรัสว่า ‘เจ้าคือเทพแห่งความเจ้าเล่ห์ เทพแห่งการกลั่นแกล้ง และจะเป็นแสงสว่างในยามที่วันโลกาวินาศมาถึง’ … เทวทูตสีขาว เทวทูตวายุ และเทวทูตโชคชะตาคือเหล่าศิษย์ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ พวกท่านมีนิสัยหนักแน่น กล้าหาญ เคร่งครัดในกฎระเบียบนับตั้งแต่ตอนที่ยังอ่อนแอจนถึงแข็งแกร่ง… เทวทูตปัญหาได้รับการละเว้นบาปเนื่องจากท่านกลับใจและผ่านขั้นตอนการชำระล้าง ตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับผู้ที่มีอันต้องร่วงหล่นหลังจากกินผลแห่งบาปเข้าไป… เทวทูตสงครามคือตัวแทนความพิโรธและการลงทัณฑ์ของพระองค์ การปรากฏกายบนพื้นดินของท่านหมายถึงสงครามกำลังจะเริ่มขึ้น…”


ดูเหมือนว่านักบวชคนนี้จะไม่เคยไปเยือนอาณาจักรของเทพสุริยันบรรพกาลเลยสักครั้ง รวมถึงไม่เคยเห็นราชาเทวทูตกับตาตัวเองมาก่อน สิ่งที่เพิ่งเล่ามาล้วนเป็นเนื้อหาจากพระคัมภีร์ของศาสนา… กล่าวอีกนัยหนึ่งเรื่องที่มันเล่าคือสิ่งที่คนทั่วไปในยุคนั้นรับรู้… พิจารณาจากเนื้อหา เทวทูตมืดซาสเรียคือหัวหน้าราชาเทวทูตอย่างที่คิด แถมยังได้รับความไว้วางใจจากเทพสุริยันบรรพกาลอย่างมากจนมีอำนาจลำดับสองของสวรรค์… แต่ในท้ายที่สุดตัวตนระดับนี้กลับถูก… อา… ล่อลวง… ชักอยากรู้แล้วว่าท่านลงเอยเช่นไร และทำไมถึงไม่มีร่องรอยใดๆ เลยจวบจนปัจจุบัน… ไคลน์ที่ได้ฟังคำอธิบายจากสโนวมันเริ่มมองเห็นภาพรวมของเหล่าราชาเทวทูต


แต่ไคลน์เองก็คาดไม่ถึงในเรื่องนี้เทพสุริยันบรรพกาลจะทำนายไว้ว่า อาดัมคือผู้มาโปรดของทุกชีวิต สิ่งนี้ทำให้มันรู้สึกฉงนพอสมควร


นี่คือเรื่องราวของราชาเทวทูตทั้งแปด… เลียวนาร์ดเองก็ตั้งใจฟังอย่างมาก เพราะพาลีส·โซโรอาสเตอร์ไม่เคยเล่าลงลึกรายละเอียดมาก่อน ข้อมูลทั้งหมดเป็นความลับจากสมัยโบราณโดยแท้จริง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนมหาภัยพิบัติ


ออเดรย์นั้นเคยเห็น ‘จิตรกรรมฝาผนัง’ ที่สามราชาเทวทูตกัดกินพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์มาแล้ว เมื่อมีภาพที่สอดคล้องกัน เธอสามารถนำไปเชื่อมโยงกับสุริยันเจิดจรัส วายุสลาตัน และเทพปัญญาความรู้ได้ทันที จึงมิได้แตกตื่นมากนักกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน เพียงหันไปมองเดอะเวิร์ลและเดอะสตาร์พลางตีความอย่างใจเย็น:


“จากสิ่งที่มิสเตอร์สโนวมันเล่าให้ฟัง มีเพียงเทวทูตมืดเท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้น ส่วนสามราชาเทวทูตอย่างสีขาว วายุ และโชคชะตาคือศิษย์ที่คอยติดตามรับใช้เทพสุริยันบรรพกาลตั้งแต่สมัยที่ยังอ่อนแอ… อา… อ่อนแอในที่นี้คงเป็นลำดับ 4… ส่วนเทวทูตปัญญานั้นน่าจะเป็นคนนอกที่เพิ่งเข้าร่วมในภายหลัง… บางทีอาจย้ายมาจากฝั่งตรงข้าม”


เมื่อได้ยินคำกล่าวของมิสจัสติส ไคลน์ฉุกคิดถึงชื่อหนึ่งทันที นั่นคือมังกรแห่งปัญญาที่เมืองเงินพิสุทธิ์เคยเอ่ยถึง เฮราเบอร์เก้น


จากนั้นมันพยักหน้าเป็นนัยให้มิสจัสติสดำเนินการต่อ


หลังจากสโนวมันท่องพระคัมภีร์อีกสองสามข้อ มันเปลี่ยนสีหน้าและกล่าวอย่างเคร่งขรึม


“ในมุขมณฑลของเรามีพวกนอกรีตที่นับถือรัตติกาลแฝงตัวเข้ามา! เหล่าราชามีคำสั่งให้กำจัดทิ้ง”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1064 : กระชับความสัมพันธ์

 

พวกนอกรีตที่นับถือรัตติกาล… ทันทีที่ได้ยินคำพูดสโนวมัน บุคคลทั้งสามต่างพากันกระอักกระอ่วน


ทั้งไคลน์ ออเดรย์ และเลียวนาร์ดล้วนมีสายสัมพันธ์บางอย่างกับเทพธิดารัตติกาล คนหนึ่งอาจเป็นเพียงสาวกทั่วไป แต่อีกสองคนนั้นไม่ใช่พวกนอกรีตธรรมดา คนหนึ่งเป็นถึงสมาชิกระดับค่อนข้างสูงของลัทธิ ส่วนอีกคนยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเป็นถึงข้ารับใช้ของ ‘เทพธิดามาร’ โดยตรง


“แฮ่ม… ดูเหมือนว่าโบสถ์รัตติกาลจะมีตัวตนก่อนที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์ ร่องรอยของพวกเราเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์มหาภัยพิบัติเสียอีก เพียงแต่เป็นในรูปแบบขององค์กรลับ” ไคลน์กระแอมในลำคอพลางวิเคราะห์เบื้องต้น เป็นการทำลายบรรยากาศที่กระอักกระอ่วน


ออเดรย์เม้มปากและพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มชี้นำความฝันของสโนวมันต่อ พยายามทำให้อีกฝ่ายเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมของราชาเทวทูตจากจิตใต้สำนึก


แต่น่าเสียดายที่สโนวมันเป็นเพียงนักบวชลำดับ 5 ถ้าอยู่ในสมัยใหม่อาจได้เป็นสมาชิกในระดับค่อนข้างสูงซึ่งเข้าถึงข้อมูลสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีโอกาสได้พบกับคนใหญ่คนโต ทว่าหากเป็นยุคสมัยก่อนมหาภัยพิบัติ ลำดับ 5 ไม่ได้รับสิทธิ์พิเศษมากมายขนาดนั้น แม้แต่กระทั่งจะได้เข้าสู่อาณาจักรแห่งเทพ จึงมีความรู้เกี่ยวกับเทพสุริยันบรรพกาลและราชาเทวทูตเพียงหางอึ่ง อย่างมากก็เป็นสิ่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ของศาสนา


อย่างไรก็ตาม ไคลน์พอจะจับประเด็นบางอย่างได้จากคำอธิบายยืดยาวของสโนวมัน:


มีร่องรอยของยักษ์ที่ยังเหลือรอดบนเทือกเขาทางทิศเหนือ


ปัจจุบันเทือกเขาดังกล่าวมีชื่อว่าอันทาร์เอส ตั้งอยู่ในจักรวรรดิฟุซัค และนั่นเชื่อมต่อกับเรื่องที่ชาวฟุซัคมักอ้างว่าพวกตนคือลูกหลานของคนยักษ์ รวมถึงเรื่องที่เทพสงครามเป็นคนยักษ์


เมื่อพบว่าไม่มีความเชื่อมโยงกับราชาเทวทูตอีกต่อไป ออเดรย์เปลี่ยนไปชักนำความฝันของสโนวมันให้แสดงในสิ่งที่มีอิทธิพลกับมันที่สุด


วิหารอันโอ่โถงที่พวกมันกำลังยืนพลันสั่นสะเทือนและค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นฉากอื่นอย่างเงียบงัน


เพียงสองสามวินาที ขนาดของวิหารหดเล็กลงและด้านนอกกลายเป็นจัตุรัสที่เพิ่งสร้างใหม่


สโนวมันคุกเข่าลงบนไม้กางเขนและเทวรูปโดยที่ร่างกายกำลังอาบแสงแดดบริสุทธิ์


ร่างอันพร่ามัวของนักบวชที่แต่งกายเรียบง่ายคนหนึ่งปรากฏขึ้นด้านข้าง อีกฝ่ายกล่าวเสียงดังแต่เคร่งขรึม


“เจ้าต้องการจะเดินบนเส้นทางของนักบวช ตัดขาดจากความรัก และห่างไกลจากความหลงระเริงจริงหรือ? หากเป็นเช่นนั้น เจ้าจะปราศจากอำนาจทั้งปวง ชั่วชีวิตจะเหลือเพียงการฝึกฝนและขัดเกลาจิตใจ นั่นคือวิธีเดียวที่จะทำให้เจ้าได้เข้าใกล้พระองค์และได้ก้าวเข้าไปยังสรวงสวรรค์เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม”


สโนวมันจูบพื้นอย่างเปี่ยมศรัทธาและกล่าว


“ข้าเลือกแล้วที่จะเดินไปบนเส้นทางของนักบวช ละทิ้งความรักและนำพาตัวเองออกจากความหลงระเริง ข้าจะไม่ปรารถนาในพลัง ทั้งชีวิตจะมีเพียงการฝึกฝนและขัดเกลาจิตใจเพื่อรับใช้พระองค์… เป็นเช่นนี้จนชั่วนิรันดร์!”


“เป็นเช่นนี้จนชั่วนิรันดร์!”


ยิ่งสโนวมันสาธยาย สีหน้าของมันก็ยิ่งเปี่ยมล้นความศรัทธา มีการทวนซ้ำคำสาบานอยู่หลายหน


“…นี่คือสิ่งที่เขาประทับใจมากที่สุดและมีอิทธิพลต่อเขามากที่สุด” ออเดรย์กล่าวพลางหันมาจ้องเดอะเวิร์ลและเดอะสตาร์


เมื่อนึกทบทวนถึงการแสดงออกและท่าทีของสโนวมัน รวมทั้งเรื่องที่ไม่เคยยอมปล่อยวางความศรัทธาแม้จะติดอยู่ในโลกความฝัน ไคลน์พยักหน้าอ่อนโยนพร้อมกับถอนหายใจ


“เขาเป็นนักบวชตัวจริง”


ออเดรย์ถอนสายตากลับและชี้นำให้สโนวมันเปิดเผยในสิ่งที่เป็นความลับและสำคัญกว่าเดิม ผ่านไปสักพักก็หันมาพูดกับเดอะเวิร์ลและเดอะสตาร์


“ไม่น่าจะเหลืออะไรแล้ว”


ไคลน์กล่าวโดยยังคงมองไปทางสโนวมัน


“ไปจุดต่อไปกันเถอะ”



ภายในบ้านหลังหนึ่งของเมืองเปโซต์


โมเบธเจ้าของผมสีป่านและดวงตาสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากบางเฉียบ กำลังอยู่ในชุดนอนที่หรูหราฟูฟ่องและนอนแผ่ไปบนเตียงที่ฝั่งหนึ่งสูงฝั่งหนึ่งต่ำ สายตาแหงนมองเพดานพลางพึมพำกับตัวเอง:


“ฤดูหนาวรอบนี้อากาศเย็นกว่าครั้งไหนๆ เลวร้ายถึงขั้นหิมะตก… ถึงจะเกือบเที่ยงแล้ว แต่เราก็ยังไม่อยากจะตื่น… เซียธาส ผมไม่ถือสาที่เอลฟ์อย่างคุณจะชื่นชอบการนอนหลับ แต่ทำไมต้องเอามือเท้ามาพาดบนตัวผมด้วย… คิดถึงชีวิตวัยโสดชะมัด สามารถกลิ้งทุกมุมของเตียงนอนได้อย่างอิสระไม่เหมือนกับตอนนี้… เฮ้อ…”


บนเตียงดังกล่าว ‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ เซียธาสกำลังนอนหลับตะแคงอย่างสบายกาย ไม่เพียงเธอจะนอนกินที่ไปกว่าครึ่งของเตียง แต่จุดที่นอนยังไม่ใช่ฝั่งของตัวเอง เหลือที่ว่างด้านหลังไว้อีกเพียบ แถมยังนำมือเท้าไปกอดก่ายบนตัวโมเบธที่อยู่อีกฝั่งจนเกือบตกเตียง


หลังจากดึงผ้าห่มขึ้นจากจุดที่โดนทับ โมเบธถอนหายใจพลางหลับตาและเตรียมนอนอีกครั้ง


เพียงไม่นานมันก็หลับไปจริงๆ


ภายในความฝัน มันนั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์พลางจิบเหล้าสลับกับดื่มเบียร์ ตัดสินใจหนักแน่นว่าจะไม่กลับบ้านจนกว่าเซียธาสจะมาอ้อนวอน


“นี่คือขุนนางจากยุคสมัยที่สี่?” ณ ทางเข้าร้านเหล้า เลียวนาร์ดชำเลืองไคลน์และถาม


ไคลน์ตอบ


“ใช่”


หืม… สำเนียงการพูดของมิสเตอร์สตาร์ดูเกร็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด… ดูเหมือนว่าเขาจะให้ความสนใจกับขุนนางจากยุคสมัยที่สี่เป็นพิเศษ… จากคำบอกเล่าของมิสเตอร์เวิร์ล มิสเตอร์สตาร์รู้จักกับคนที่อาจเคยเห็นศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง… วัตถุชิ้นนั้นเป็นถึงสิ่งของสำคัญทางประวัติศาสตร์… แม้ว่าในยุคสมัยที่ห้าก็มีโอกาสเล็กน้อยที่จะได้เห็น แต่หากเป็นคนใหญ่คนโตจากยุคสมัยที่สี่ย่อมมีโอกาสเผชิญเหตุการณ์ดังกล่าวได้มากกว่า… แปลว่ามิสเตอร์สตาร์รู้จักกับชนชั้นสูงสักคนจากยุคสมัยที่สี่? ออเดรย์จับประเด็นจากทักษะด้านการเฝ้ามองและตีความ


ด้วยปัจจัยข้างต้น เธอสามารถสรุปออกมาเป็นผลลัพธ์


มิสเตอร์สตาร์จะอาสาเป็นคนชี้นำความฝันในคราวนี้


“อย่างที่คิด ชาวยุคสมัยที่สี่นิยมการแต่งตัวแบบไม่สมมาตร และนั่นทำให้ผมอึดอัดพอสมควร” เลียวนาร์ดล้อเลียนเล็กน้อยก่อนจะหันไปกล่าวกับเดอะเวิร์ลและจัสติส “คราวนี้ผมขอลงมือ”


“ตกลงค่ะ” ออเดรย์รีบขานตอบด้วยรอยยิ้ม


นี่คือสิ่งที่ไคลน์อยากเห็นอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องปฏิเสธ


“ไม่มีปัญหา”


เลียวนาร์ดจัดปกเสื้อเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปทางเคาน์เตอร์ นั่งลงข้างโมเบธและสั่งเบียร์รากมัลเบอร์รีท้องถิ่น


หลังจากจิบสองสามอึก มันกล่าว


“คุณดูเหมือนกับคนของตระกูลโซโรอาสเตอร์”


“ทุกคนที่นี่รู้เรื่องนั้น… ไม่สิ ไม่ใช่ทุกคน ทุกสิ่งมีชีวิต” โมเบธจิบเบียร์และรอฟัง


เลียวนาร์ดยิ้มพลางส่ายหน้า


“ขอแนะนำตัวเองก่อน ผมคือลูกศิษย์ของพาลีส·โซโรอาสเตอร์”


มันต้องการจะใช้ตัวตนนี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์และลดการต่อต้านจากโมเบธ ช่วยให้ชี้นำความฝันได้ง่ายขึ้น


อย่างที่คิดจริงๆ ด้วย มิสเตอร์สตาร์รู้จักกับขุนนางในยุคสมัยที่สี่ แถมยังเป็นตระกูลโซโรอาสเตอร์… ชักอยากรู้แล้วว่าคนผู้นั้นอยู่ในลำดับไหน… สรุปได้ว่าเขาเป็นศิษย์ของคนใหญ่คนโตสินะ… ไม่สิ เขาพูดโดยไม่ได้ใส่ความมั่นใจลงไปเต็มร้อย… แอบอ้างว่าเป็นศิษย์? ออเดรย์ที่มั่นใจในการคาดเดาเริ่มเผยรอยยิ้ม


หลังจากได้ยินเลียวนาร์ดแนะนำตัว โมเบธหันมาจ้องหัวจรดเท้าก่อนจะพ่นลมหายใจ


“ศิษย์? ดูเหมือนร่างโฮสต์มากกว่ากระมัง? ข้าพูดถูกไหม?”


สีหน้าเลียวนาร์ดพลันแข็งทื่อ


ร่างโฮสต์… อึก… แม้ออเดรย์จะเตรียมใจไว้บางส่วน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วชนกัน


สำหรับไคลน์ มันกำลังฝืนกลั้นขำอย่างอยากลำบาก


แน่นอนว่าไคลน์ไม่คิดว่าการแนะนำตัวในฐานะศิษย์ของเลียวนาร์ดนั้นมีปัญหา เพราะถ้าเป็นตนก็คงพูดในสิ่งเดียวกัน แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คืออีกฝ่ายสามารถระบุได้ในทันทีว่าเป็นร่างโฮสต์ของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ นั่นยิ่งทำให้การ ‘กระชับความสัมพันธ์’ ห่างเหินออกไปไกลและตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการสนทนา


ปัญหาเดียวในแผนนี้ก็คือ ไม่มีใครคิดว่าโมเบธจะเดาถูกได้ตั้งแต่แรก


หลังจากหัวเราะแห้งสองหน โมเบธจ้องเลียวนาร์ดที่ทำหน้าแข็งและกล่าว


“เจ้าไม่ใช่คนของตระกูลโซโรอาสเตอร์ จึงไม่มีทางเป็นศิษย์ของตาแก่ไปได้ คำตอบเดียวจึงเป็นร่างโฮสต์!”


กล่าวจบ มันลดความเร็วในการพูดลง


“แต่ไม่ต้องกังวลไป ตาแก่ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนัก ท่านจะไม่ยึดครองร่างโดยสมบูรณ์ และหลังจากเสร็จสิ้นสถานะกาฝาก ท่านก็แค่ขโมยอายุขัยของคุณสักสองสามปีเป็นอย่างมาก ในเมื่อเจ้ายังหนุ่มยังแน่น การพัฒนาลำดับพลังจะช่วยชดเชยในเรื่องนั้น… หึหึ… และเหนือสิ่งใด ผู้วิเศษส่วนใหญ่มักไม่ได้มีชีวิตจนครบอายุขัยอยู่แล้ว”


“ทำไมต้องขโมยอายุขัยไปสองสามปี?” เลียวนาร์ดถามตามความเคยชิน


โมเบธยกแก้วและกระดกคำใหญ่ จากนั้นก็ตอบด้วยเสียงล่องลอย


“ในเมื่อเจ้ากลายเป็นเหยื่อของปรสิต ก็ต้องมีสักสิ่งสองสิ่งที่ถูกขโมยไปไม่ใช่หรือ”


“…” เลียวนาร์ดดึงสติออกจากภวังค์พร้อมกับถาม “คุณก็เรียกท่านว่าตาแก่เหมือนกัน?”


“แน่นอนอยู่แล้ว พวกเราทุกคนเรียกท่านว่าตาแก่ทั้งนั้น และดูเหมือนเจ้าตัวก็ไม่ได้คัดค้านอะไร” โมเบธถอนหายใจ “ท่านเป็นปู่ทวดของข้า ตอนนี้ก็ผ่านมากว่าพันปีแล้วที่ไม่ได้เจอหน้ากัน… ไม่สิ สักสองพันปีเห็นจะได้”


ตาแก่ยอมให้เราเรียกว่าตาแก่ก็เพราะนั่นทำให้เขานึกถึงความทรงจำอันงดงามในอดีต… ชักอยากรู้แล้วว่าปัจจุบันยังมีทายาทสายตรงของเขาหลงเหลืออยู่บ้างไหม… เลียวนาร์ดถอนหายใจด้วยอารมณ์เข้มข้น


สำหรับจัสติส เธอรู้สึกขบขันกับคำว่า ‘ต้องมีสักสิ่งสองสิ่งถูกขโมย’ และรู้สึกทึ่งกับคำว่า ‘ท่าน’


เพราะนั่นหมายความว่าตาแก่ที่ชื่อพาลีส·โซโรอาสเตอร์เป็นเทวทูต!


นึกแล้วเชียว… ออเดรย์อุทานหลังจากเป็นไปตามที่คาดหวัง


ทันใดนั้น โมเบธจับประเด็นได้อย่างชาญฉลาด


“เหมือนกัน? เจ้าเองก็เรียกท่านว่าตาแก่เหมือนกัน?”


เลียวนาร์ดพยักหน้าขรึม


โมเบธผงะเล็กน้อย ตามด้วยการมองหัวจรดเท้า


“อย่าบอกนะว่าเจ้าเองก็มีสายเลือดของตระกูลโซโรอาสเตอร์?”


“ผมไม่ทราบ…” เลียวนาร์ดตอบไปตามความจริง


โมเบธส่ายหน้า


“คงไม่กระมัง… อาจเป็นเพราะว่าตาแก่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเอง”


ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน… เลียวนาร์ดไตร่ตรองสักพักก่อนจะกล่าว


“ท่านเกือบถูกผู้เย้ยเทพอามุนด์ฆ่าตาย ปัจจุบันยังฟื้นฟูตัวไม่สมบูรณ์”


ปัจจุบัน ‘การเดินทางของกรอซาย’ ถูกวางอยู่บนมิติเหนือสายหมอก การเอ่ยชื่อของเทพตรงๆ จะไม่ทำให้ถูกตระหนักถึง ส่งผลให้ไคลน์ ออเดรย์ และเลียวนาร์ดกล้าที่จะเอ่ยชื่อของอาดัมและอามุนด์ตรงๆ


“บรรพบุรุษที่ทรงพลังและน่าขนลุกของตระกูลอามุนด์…” โมเบธลดเสียงลงโดยไม่รู้ตัว


ในที่สุดเลียวนาร์ดก็มีช่องให้ถาม


“ตามปรกติแล้วขุนนางจากจักรวรรดิโซโลมอนมักจะเย็นชาและชั่วร้ายไม่ใช่หรือ เหตุใดตระกูลโซโรอาสเตอร์ถึงต่างออกไป?”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1065 : ผู้ท่องมิติดวงดาว

 

โมเบธชำเลืองเลียวนาร์ดและกล่าวด้วยความประหลาดใจ


“พวกเขาก็ไม่ได้เย็นชาและชั่วร้ายขนาดนั้น…”


มันยกแก้วขึ้นมากระดก


“เจ้าคงทราบใช่ไหมว่ายิ่งมีลำดับสูงมากเพียงใด โอกาสที่จะเย็นชาและเสียสติก็มากเท่านั้น? แล้วตระกูลขุนนางใดบ้างของโซโลมอนที่ไม่มีเทวทูตสังกัด? นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาแตกต่างจากคนทั่วไป… สำหรับระดับความเย็นชาและชั่วร้ายจะขึ้นอยู่กับเส้นทางและ ‘หลักยึดเหนี่ยว’… ข้าเองก็ไม่ทราบสถานการณ์ของท่านปู่ทวดมากนัก รู้เพียงว่าเขาเป็นคนใจดีและเปี่ยมไปด้วยเมตตา ทั้งคำพูดและการกระทำค่อนข้างเป็นกันเองกับคนในตระกูล… นอกจากนั้นองค์ฝ่าบาทยังตั้งกฎกับทุกตระกูลไว้ว่า ‘ห้ามเป็นไปในแนวทางเดียวกัน’ ส่งผลให้ถ้าแต่ละตระกูลขุนนางมีความคล้ายคลึงกันมากเกินไป พระองค์จะทรงกริ้ว”


สำหรับเหตุผลแรก เราสามารถทำความเข้าใจได้ แต่กับเหตุผลที่สองนั้นฟังดูน่าขบขันชะมัด… หรือว่าจักรพรรดิมืดแห่งโซโลมอนต้องการจะให้คนอื่นมองว่าตัวเองเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ? ถึงกับตั้งกฎว่าห้ามเป็นไปในทิศทางเดียวกัน… ไคลน์ที่มิได้สวมหน้ากากหนาๆ เหมือนเมื่อก่อน เผยรอยยิ้มตรงมุมปากโดยไม่ปิดบัง


พร้อมกันนั้นออเดรย์หันมามองชายหนุ่มและเกิดคำถามแบบเดียวกับมิสเตอร์สตาร์


“หลักยึดเหนี่ยว?”


ทุกคนในที่นี้ทราบอยู่แล้วว่ายุคสมัยที่สี่มีรสนิยมเกี่ยวกับความไม่สมมาตรและไม่สอดคล้อง กฎดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องผิดปรกติและจะฟังดูแปลกหูไปบ้าง


“สำหรับทวยเทพ หลักยึดเหนี่ยวคือสาวกและความศรัทธา” ไคลน์อธิบายเรียบง่าย


อย่างนี้นี่เอง… ออเดรย์ที่เริ่มมองเห็นภาพรวมมากขึ้น เริ่มเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเทพและสาวก


ขณะเดียวกัน หญิงสาวขบคิดด้วยความสับสน


ในช่วงแรกของการฟื้นคืนชีพ มิสเตอร์ฟูลยังไม่น่าจะมีสาวกมากนัก แล้วท่านใช้สิ่งใดเป็นหลักยึดเหนี่ยว?


เลียวนาร์ดที่ตั้งใจฟังอดไม่ได้ที่จะทำหน้าเคร่งขรึม ราวกับมันฉุกคิดได้หลายสิ่งภายในเวลาอันสั้น


แต่เพียงไม่นานก็รีบกลับมาสนใจโมเบธและตั้งคำถาม


“เทวทูตพาลีส·โซโรอาสเตอร์เป็นคนเช่นไร? และมีนิสัยเป็นแบบไหน?”


หืม… เลียวนาร์ดรอบคอบมาก ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่เชื่อว่าปรสิตในตัวคือพาลีส·โซโรอาสเตอร์… อา… นั่นก็มีความเป็นไปได้ที่พาลีสตัวจริงจะร่วงหล่นไปแล้วและคนที่อยู่ในร่างพยายามสวมรอย… สำหรับเทวทูตเส้นทางนักจารกรรม พฤติกรรมแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่… และจากมุมมองของตัวตนลึกลับ การสวมรอยแทนที่ใครสักคนจะเท่ากับการเปลี่ยนเป็นคนคนนั้นโดยสมูบณ์ แทบไม่มีทางที่ความลับจะรั่วไหล…


หึหึ… ยิ่งเป็นเรื่องที่สำคัญหรือเรื่องที่หมอนั่นสนใจ รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของตัวเอง เลียวนาร์ดทำได้ดีกว่าที่เราคิด… นี่คงเป็นสาเหตุที่เขาสืบสาวจนรู้ว่าไคลน์·โมเร็ตติยังไม่ตาย… แต่ถ้าเป็นเรื่องนอกเหนือจากนั้น หมอนี่แถบไม่เอาอ่าว เอาแต่พึ่งพาประสบการณ์เก่าๆ โดยไม่คิดให้นอกกรอบ… ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีสมองหรอกนะ แต่เลือกที่จะไม่ใช้มากกว่า… ไม่สิ ต้องเรียกว่าขี้เกียจจะใช้… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะรำพันพลางถอนหายใจ


โมเบธผงะไปสองสามวินาทีก่อนจะจิบเหล้ากลั่นและกล่าว


“ตอนอยู่ที่บ้าน ตาแก่จะทำตัวเป็นชายชราตาธรรมดาๆ ขี้บ่นตามประสาและชอบเคี่ยวเข็ญเหล่าทายาท แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสอนให้ทุกคนสนุกไปกับชีวิต หากไม่บอกล่วงหน้าก็คงไม่มีใครทราบว่าท่านคือเทวทูตลำดับ 1… รสนิยมของท่านแตกต่างจากองค์ฝ่าบาท ท่านเป็นคนที่รักความสะอาดและเจ้าระเบียบมาก… ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับศัตรูจะแสดงพรสวรรค์ด้านความเจ้าเล่ห์ออกมา และชื่นชอบที่จะจัดการเป้าหมายด้วยการทำให้อีกฝ่ายสติแตก…”


นิสัยค่อนข้างคล้ายกับตาแก่ในช่วงปัจจุบัน… เลียวนาร์ดพยักหน้าและถาม


“คุณมีภาพเหมือนของเขาบ้างไหม?”


“ทำไมข้าถึงต้องพกภาพเหมือนของท่าน? ไม่ได้กำลังตามหาตัวสักหน่อย!” โมเบธส่ายศีรษะอย่างขบขัน


ถึงตรงนี้เลียวนาร์ดชี้ไปด้านข้าง


“แล้วนั่นไม่ใช่หรือไง?”


 “หา?” โมเบธหันไปทางขวามือด้วยสีหน้าสับสนและได้พบกับภาพวาดสีน้ำมันวางอยู่ตอนไหนก็มิอาจทราบได้


เมื่อมันหยิบภาพวาดขึ้นมาถือ เนื้อหาของภาพค่อยๆ คมชัดขึ้นจนเผยให้เห็นชายชราเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้ม


ชายชรารายนี้มีผมสีขาวโพลน แต่ไม่บางจนเกินไปและหวีเรียบไปด้านหลัง ตามหน้าผาก มุมปาก และหางตาแทบไม่ปรากฏริ้วรอยให้เห็น ส่งผลให้ภาพรวมดูไม่แก่มากนัก


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชายคนนี้หน้าตาหล่อเหล่ามากในสมัยหนุ่ม ดูคล้ายกับโมเบธแต่มีบรรยากาศเคร่งขรึมมากกว่า


ดูไม่ออกเลยว่านี่คือเทวทูตลำดับ 1… หรือเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้เผยร่างสัตว์ในตำนานออกมา? ออเดรย์เขย่งมองภาพวาดสีน้ำมัน


หลังจากเลียวนาร์ดพยายามจดจำภาพวาดโดยละเอียด มันยิงคำถามอีกสองสามข้อเกี่ยวกับตระกูลโซโรอาสเตอร์และได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจ เรื่องที่น่าเสียดายคือโมเบธเองก็ไม่มั่นใจชื่อของโอสถตั้งแต่ลำดับ 3 ถึง 0 ยืนยันได้แค่ว่าลำดับ 1 ชื่อ ‘หนอนกาลเวลา’


เมื่อจบหัวข้อดังกล่าว เลียวนาร์ดเปลี่ยนไปถามเกี่ยวกับจักรวรรดิโซโลมอน


“ในยุคสมัยของคุณ จักรวรรดิโซโลมอนมีตระกูลใดบ้างที่มีชื่อเสียง?”


“ตระกูลดยุคมีไม่มากนัก” โมเบธวางแก้วลงพร้อมกับนับนิ้ว “ก็มีตระกูลโซโรอาสเตอร์ของข้า ตระกูลอับราฮัม และตระกูลซาราธ… นอกจากนั้นยังมีตระกูลเมดีซีและลอร์ดโอโรเลอุสที่ถึงแม้จะไม่ได้รับบรรดาศักดิ์ก็ยังเป็นตระกูลชนชั้นสูงที่โด่งดัง”


ทุกครั้งที่มันนับ นิ้วจะงอลงเสมอจนกระทั่งกลายเป็นกำปั้น


จากนั้นมันยิ้ม


“ในช่วงเวลาดังกล่าว แม้ทูดอร์กับทรันซอสต์จะมีเทวทูตมากที่สุดเป็นรองเพียงองค์ฝ่าบาท แต่ระดับของพวกเขาก็ยังด้อยกว่าเรา… แค่สูสีกับออกัสตัสและกาสตีญ่าเท่านั้น”


ประวัติศาสตร์ตระกูลออกัสตัสเก่าแก่ย้อนมาถึงจักรวรรดิโซโลมอนสินะ… ยิ่งออเดรย์ประหลาดใจเธอก็ยิ่งตั้งใจฟัง


เลียวนาร์ดไตร่ตรองสักพักก่อนจะถามต่อ


“ในยุคสมัยดังกล่าว สถานการณ์ของทวีปเหนือเป็นอย่างไร?”


“สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างยอมศิโรราบต่อองค์ฝ่าบาท แม้แต่ตระกูลเทวทูตก็มิอาจตอบโต้คู่อริได้ตามที่ต้องการ ต้องผ่านความเห็นชอบจากฝ่าบาทเสียก่อน” โมเบธหัวเราะแห้ง “เหล่าตระกูลเทวทูตล้วนมีอาณาจักรห่างไกลความเจริญคอยหนุนหลัง… สรุปโดยสั้นรัตติกาล เทพสงคราม และมรณานั้นไม่ลงรอยกัน ส่วนวายุสลาตัน สุริยันเจิดจรัส และปัญญานั้นขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ในทางกลับกันท่าทีของธรณีนั้นค่อนข้างคลุมเครือ แต่ท่านมีความเอนเอียงไปทางเทพสงคราม สภาพแวดล้อมเช่นนี้ทำให้ไม่มีฝ่ายใดสามารถผนึกกำลังกันอย่างมั่นคงเพื่อโค่นล้มองค์ฝ่าบาทและพระผู้สร้างแท้จริง”


กล่าวถึงตรงนี้ โมเบธถอนหายใจและเล่าต่อ


“และเพื่อเป็นการคงสมดุลเอาไว้ องค์ฝ่าบาทจึงไม่บุกโจมตีทวีปใต้ ปล่อยให้มรณารวมชาวที่ราบสูงกับผืนป่าโบราณให้เป็นหนึ่งและก่อตั้งจักรวรรดิไบลัม”


ผิดแล้ว เพราะในท้ายที่สุดเหล่าหกเทพต่างแอบจับมือกันเพื่อโค่นล้มจักรพรรดิมืดและก่อตั้งจักรวรรดิร่วมทรันซอสต์-ทูดอร์… เลียวนาร์ดนึกทบทวนข้อมูลที่พาลีส·โซโรอาสเตอร์เคยเล่าให้ฟังและตระหนักว่า ประวัติศาสตร์คือสิ่งที่เอาแน่เอานอนไม่ได้


ขณะเดียวกันโมเบธหันหน้ามาจ้องเลียวนาร์ด


“มีบุหรี่ไหม? สิ่งชั่วร้ายเล็กๆ ของสาวกพระผู้สร้างแท้จริง… พวกมันให้ความรู้สึกที่ไม่เลวเลย”


เลียวนาร์ดทำการควบคุมความฝันและเสกบุหรี่ยื่นให้


“นี่คือรุ่นที่พัฒนาแล้ว?” เพียงโมเบธยื่นมือขวาออก ไฟก็ถูก ‘ขโมย’ มาจากครัวหลังเคาน์เตอร์เพื่อจุดบุหรี่


เมื่อเห็นควันบุหรี่ถูกพ่นออกจากปลายจมูก เลียวนาร์ดถามด้วยความสงสัย


“สาวกพระผู้สร้างแท้จริงชอบสูบบุหรี่?”


“ถูกต้อง แม้แต่ท่านลอร์ดเมดีซีก็ยังสูบเป็นครั้งคราว แต่ก็เป็นแค่รสนิยัมส่วนตัว” โมเบธตอบโดยไม่คิดอะไร


เลียวนาร์ดผงกศีรษะและถามต่อ


“คุณศรัทธาเทพองค์ใด?”


“แน่นอนว่าต้องเป็นองค์ฝ่าบาท… ขุนนางและชนชั้นสูงทุกคนในจักรวรรดิต้องนับถือองค์ฝ่าบาทอยู่แล้ว… ไม่สิ… ท่านลอร์ดเมดีซีกับโอโรเลอุสนับถือพระผู้สร้างแท้จริง นอกจากนั้นท่านดยุคเบเทล·อับราฮัมก็ดูเหมือนจะแสร้งนับถือองค์ฝ่าบาท เพราะมีข่าวลือว่าท่านนับถือแค่ตัวท่านเอง” โมเบธเล่าด้วยท่าทีสบายๆ


เบเทล·อับราฮัม… ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์เตรียมส่งสัญญาณให้เลียวนาร์ดถามต่อ แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินคำถามจากปากอีกฝ่าย


“ดยุคเบเทล·อับราฮัมทรงพลังแค่ไหน?”


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ด้วยทัศนคติที่แตกต่างออกไปของผู้นำ ตระกูลอับราฮัมจึงดูโดดเด่นกว่าใครในขุนนางของจักรวรรดิโซโลมอน


“ทรงพลังอย่างมาก แม้แต่ท่านลอร์ดเมดีซีและโอโรเลอุสก็ยังยำเกรงท่าน” โมเบธเล่าพลางพ่นควันเป็นวงแหวน “ในยุคสมัยแห่งความขัดแย้ง ท่านถูกยกย่องให้เป็นเทวทูตที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งเทพมากที่สุด”


“ยุคสมัยแห่งความขัดแย้ง?” เลียวนาร์ดถามด้วยความสงสัย


โมเบธจ้องบุหรี่ที่กำลังไหม้อย่างเชื่องช้าในมือและตอบ


“ชื่อของมันดูเบากว่าความเป็นจริงไปมาก… หึหึ… ยุคสมัยแห่งความขัดแย้งหมายถึงช่วงเวลานับตั้งแต่จบมหาภัยพิบัติไปจนถึงการก่อตั้งจักรวรรดิโซโลมอน กินเวลานานกว่าหนึ่งร้อยสิบสองปี… ณ ตอนนั้นบรรพบุรุษของโซโรอาสเตอร์เราร่วงหล่นในสงคราม แต่โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากองค์ฝ่าบาทซึ่งยังไม่ได้เป็นเทพในเวลาดังกล่าว ตะกอนพลังจึงมิได้สูญหายไปไหน”


“ร่วงหล่นด้วยฝีมือใคร?” เลียวนาร์ดถามทันที


โมเบธส่ายหน้า


“ข้ายังไม่ใช่ลำดับ 4 ยังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่มีสิทธิ์รับรู้… มาถึงพูดเบเทล·อับราฮัมกันดีกว่า ที่จริงข้าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับท่านมากนัก แต่สนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับเส้นทางที่ตระกูลของท่านครอบครอง กล่าวกันว่าเส้นทาง ‘ผู้ฝึกหัด’ นั้นสามารถท่องไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเมื่อก้าวไปถึงลำดับ 2… ไม่สิ อาจจะได้ตั้งแต่ลำดับ 3 แล้ว”


ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว? รูม่านตาไคลน์พลันเบิกโพลง


ในเวลาเดียวกัน โมเบธเล่าต่อ


“พวกเขาเขียนบันทึกเกี่ยวกับมิติดวงดาวไว้มากมาย น่าเสียดายที่ผมไม่เคยยืมมาอ่านเลยสักครั้ง แต่ก็เคยได้ยินกฎเหล็กสามข้อที่ห้ามฝ่าฝืนในยามสำรวจมิติดวงดาว: ข้อแรก ห้ามตอบสนองต่อทุกเสียงเรียก ข้อที่สอง ห้ามเข้าใกล้สิ่งมีชีวิตหรือสิ่งก่อสร้างอย่างบุ่มบ่าม ข้อที่สาม ต้องอดทนต่อความอ้างว้างให้ได้”


ดูเหมือนว่าท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวจะทั้งกว้างใหญ่และอันตราย… ชักอยากรู้แล้วว่าตระกูลอับราฮัมในปัจจุบันจะยังเก็บบันทึกที่เกี่ยวกับอวกาศไว้บ้างไหม…  คงต้องฝากมิสเมจิกเชี่ยนไปถามเพิ่มเติม… เมื่อไคลน์กวายสายตาไปชนมิสจัสติส พวกมันทางรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายก็กำลังคิดถึงมิสเมจิกเชี่ยนเหมือนกัน


เลียวนาร์ดเองก็ไม่ต่าง มันพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะถามในสิ่งอื่น


ระหว่างนั้นความฝันของโมเบธเริ่มเปลี่ยนผัน เป็นการเผยให้เห็นรูปลักษณ์ของเมดีซี โอโรเลอุสและบุคคลระดับสูงอื่นๆ


แต่แน่นอนว่าโมเบธนั้นไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับเบเทล·อับราฮัมและจักรพรรดิมืดมากนัก แถมยังไม่กล้ามองหน้าตรงๆ รูปลักษณ์ภายในความฝันจึงเลือนราง


จนกระทั่งตรวจสอบเสร็จ ออเดรย์จับแขนไคลน์กับเลียวนาร์ดและพากระโดดเข้าไปในความฝันของเซียธาส


ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์รายนี้กำลังยืนอยู่ในสวนพลางกุมท้องและจ้องขมวดคิ้วไปทางโมเบธ


“เจ้าขโมยทารกในครรภ์ข้าไปยัดในท้องตัวเองได้ไหม?”


“ทำได้… แต่ถึงข้าจะนำมายัดในท้องตัวเองได้ ก็คงทำให้เจริญเติบโตไม่ได้หรอกนะ” โมเบธตอบด้วยความกลัว


เซียธาสไตร่ตรองสักพักก่อนจะกล่าวต่อ


“ถ้าอย่างนั้นก็ขโมยอวัยวะที่จำเป็นไปด้วย”


“…แค่ขโมยอาจจะทำได้และมีโอกาสสำเร็จค่อนข้างมาก ต…แต่ขั้นตอนหลังจากนั้น… ข้าคงจนปัญญา เพราะนั่นอยู่นอกเหนือความสามารถ” โมเบธตอบด้วยท่าทางประหม่า


บทสนทนาระหว่างมนุษย์และเอลฟ์ทำให้ ‘สามสหาย’ ถึงกับอึ้ง


“…ให้ฉันจัดการไหม?” ออเดรย์เสนอแนะหลังจากปล่อยให้ความเงียบครอบงำสองสามวินาที

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1066 : ชื่อที่คุ้นเคย

 

เมื่อได้ยินข้อเสนอของมิสจัสติส ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะตอบ


“ชักนำความฝันของพวกเขาไปยังทิศทางของยุคสมัยที่สอง ประวัติศาสตร์ของ ‘ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ’ โคฮีเน็ม อุปนิสัยและการดำรงชีวิตของเอลฟ์ ภาษาที่เก่าแก่ที่สุดของเอลฟ์ รวมถึงตำนานของทวีปตะวันตก”


“…ตกลง” ออเดรย์กลอกตาเล็กน้อยพร้อมกับเผยสีหน้าครุ่นคิดพลางย่อยคำสั่งของมิสเตอร์เวิร์ล


จากนั้นเธอเดินไปยืนข้างๆ ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์


ภายใต้การชักนำของหญิงสาว ร่างของโมเบธหายไปจากความฝันเซียธาส


เกลียวคลื่นในดวงตาสีเขียวของออเดรย์เริ่มหมุนวนขณะริมฝีปากขยับแผ่วเบาประหนึ่งกำลังท่องคาถาบางชนิด


โลกแห่งความฝันเริ่มสั่นสะเทือน สวนที่ดูคล้ายกับผิวทะเลสาบพลันแตกละเอียดราวกับถูกหินยักษ์ล่องหนกระแทกจากด้านบน


เศษผิวทะเลสาบกระจัดกระจายก่อนจะกลับมารวมตัวใหม่ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่สวนตามเดิม หากแต่เป็นพระราชวังที่สร้างจากปะการัง


ทุกองค์ประกอบของพระราชวงศ์นั้นโอ่อ่าและวิจิตรตระการตา โครงสร้างภาพรวมสูงโปร่งและสง่างาม แต่เนื่องจากถูกปกคลุมด้วยกระแสน้ำหลายชั้น ท้องฟ้าด้านบนจึงมองเห็นได้ไม่ชัดเจน สีออกไปในทางมืดหม่นและอึมครึม


ภายในวังมีเสาปะการังคอยเรียงรายค้ำจุนโดมสูง และเหนือกำแพงทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่แสดงถึงความน่าสะพรึงของพายุ


เหนือจิตรกรรมฝาผนังและเสาปะการังมีแหล่งกำเนิดสายฟ้าสีเงินที่ผ่าลงมาอย่างต่อเนื่องราวกับมีชีวิต ปลายทางที่สายฟ้าผ่าลงไปคือขั้นบันไดสูงเก้าขั้นซึ่งประดับประดาไปด้วยไข่มุก เพชร มรกต และไพลิน


เซียธาสกำลังยืนอยู่ปลายขั้นบันไดล่างสุดโดยมีเอลฟ์จำนวนมากยืนฝั่งตรงข้าม


บนขั้นบันไดเก้าขั้นมีเก้าอี้ตัวใหญ่ที่ดูคล้ายกับถูกสร้างจากสายฟ้าบริสุทธิ์วางอยู่สองตัว ตัวหนึ่งวางอยู่กึ่งกลางลานราวกับเป็นที่นั่งของผู้ปกครองพระราชวังแห่งนี้ ส่วนอีกตัวหนึ่งวางอยู่ฝั่งซ้ายมือของเก้าอี้ตัวกลาง ส่งผลให้ดึงดูดสายตาน้อยกว่า


ชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กึ่งกลางสวมชุดคลุมสบายๆ ปลายหูแหลม เส้นผมดกหนา และใบหน้าค่อนข้างอ่อนโยน สีผมเป็นการผสมผสานระหว่างดำและฟ้า ไม่เพียงใบหน้าจะสง่างามและเลอโฉม แต่ยิ่งทวีความหล่อเหลาเมื่อนำทุกองค์ประกอบมารวมกัน อย่างไรก็ตาม บรรยากาศรอบตัวกลับเกรี้ยวกราดและไม่เป็นมิตร ราวกับพร้อมจะหยิบหอกสายฟ้าข้างบัลลังก์ออกมาขว้างได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องบอกกล่าว


สตรีที่นั่งอยู่ข้างๆ มีใบหน้างดงามและเส้นผมสีดำขลับถูกเกล้ามวยสูง ปลายหูแหลมเล็กๆ และใบหน้าหมดจดไร้จุดตำหนิ ดวงตาสีน้ำตาลของเธอลุ่มลึกราวกับก้นมหาสมุทร ในมือของเธอกำลังหยอกเย้าแก้วไวน์ทองคำ


โดยไม่ต้องให้เซียธาสอธิบาย ไคลน์และที่เหลือเข้าใจได้ทันทีว่าฝ่ายชายคือหนึ่งในเทพบรรพกาล ราชาเอลฟ์ซอนญาธริมและฝ่ายหญิงคือ ‘ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ’ ราชินีเอลฟ์โคฮีเน็ม


“ไอ้คนทรยศเออเมียร์!” ทันใดนั้นเสียงคำรามที่คล้ายกับฟ้าร้องดังกังวานจนวังปะการังสั่นไหวรุนแรง ส่งผลให้เซียธาสและข้าราชบริพารต่างพากันก้มศีรษะด้วยความกลัว


นี่คือเสียงคำรามของเทพบรรพกาล


เออเมียร์… ชื่อของราชาคนยักษ์สินะ… เมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งมีโอกาสได้ดื่มไวน์ที่ตั้งตามชื่อเจ้านั่น ต้องยอมรับตามตรงว่ารสชาติของมันพิเศษกว่าไวน์ใดในโลก ราคาก็แพงกว่าปรกติแค่เล็กน้อย… หลังจากได้ฟัง ไคลน์ปล่อยให้ความคิดล่องลอย


มันยังไม่ลืมเรื่องที่เดอะซันน้อยเคยเล่าให้ฟังว่า ราชาคนยักษ์เออเมียร์ ราชาเอลฟ์ซอนญาธริม และต้นตระกูลผีดูดเลือดลิลิธ เทพบรรพกาลกึ่งมนุษย์ทั้งสามจับมือเป็นพันธมิตรกัน ฝ่ายศัตรูคือขั้วอำนาจที่เกิดจากการรวมตัวระหว่างมังกรจินตภาพแอนเคอร์เวล ต้นตระกูลฟีนิกซ์เกรจารี และราชามนุษย์กลายพันธุ์เควาสทูน ในส่วนของราชาปีศาจฟาโบธีและราชาหมาป่าอสูรเฟรเกีย พวกมันเป็นเอกเทศและคิดเพียงจะกัดกร่อนทำลายล้างโลก


หมายความว่าพันธมิตรฝ่ายเทพกึ่งมนุษย์พังทลายลงในตอนหลัง? ไคลน์สร้างข้อสันนิษฐานพร้อมกับรอให้ความฝันเกิดการเปลี่ยนแปลง


เนื่องจากเคยฟังประสบการณ์ของ ‘เดอะซัน’ เดอร์ริค ออเดรย์ไม่ใช้คนแปลกหน้าสำหรับประวัติศาสตร์ยุคสมัยที่สอง จึงรีบชักนำความฝันของเซียธาสโดยปราศจากความลังเล


แม้จะนั่งใกล้กับเสียงคำราม แต่ราชินีแห่งภัยธรรมชาติโคฮีเน็มก็มิได้หวั่นไหว ยังคงกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาและเรียบเฉย


“ก็พอจะเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ? ความน่าเชื่อถือของเจ้านั่นตรงข้ามกับร่างกายโดยสิ้นเชิง”


พร้อมกันนั้น เทพบรรพกาลซอนญาธริมที่ร่างกายปกคลุมไปด้วยเส้นสายฟ้าเริ่มเปล่งเสียงคำราม


“ข้าคิดว่าหลังจากผ่านไปร่วมร้อยปี เจ้านั่นจะเริ่มเข้าใจสถานการณ์ภาพรวมมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะประเมินสติปัญญาของมันสูงไป! หากไม่ใช่เพราะมันหักหลังลิลิธ หล่อนจะร่วงหล่นได้อย่างไร?”


เห… ต้นตระกูลผีดูดเลือดลิลิธร่วงหล่นไปก่อนใคร? เปลือกตาไคลน์ขยับเล็กน้อยขณะตั้งใจฟัง


หลังจากราชาเอลฟ์คำรามเสร็จ ราชินีแห่งภัยธรรมชาติกล่าวโดยยังคงรักษาภาพลักษณ์เดิม


“แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสียทีเดียว เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เควาสทูนและเฟรเกียตกตายไปพร้อมลิลิธได้… เหล่าทวยเทพมิได้เชื่อใจกันอย่างแน่นแฟ้นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ต่อให้พวกเรามิได้จับพันธมิตรกับใคร แต่ก็สามารถปกครองมหาสมุทร ทะเลสาบ และแม่น้ำได้สบาย”


ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ผู้ชมออเดรย์อดไม่ได้ที่จะหัวใจเต้นแรง จำเป็นต้องรีบใช้พลันปลอบโยนกับตัวเอง


หมายความว่าต้นตระกูลผีดูดเลือดลิลิธ ราชามนุษย์กลายพันธุ์เควาสทูน และราชาหมาป่าอสูรร่วงหล่นในสงครามระหว่างเทพบรรพกาลเนื่องจากการทรยศของราชาคนยักษ์เออเมียร์ มิได้เกิดจากฝีมือการ ‘ทวงคืนอำนาจ’ ของเทพสุริยันบรรพกาล?


นี่คือเหตุผลที่ลิลิธยังไม่ร่วงหล่นโดยสมบูรณ์และสามารถส่งวิวรณ์ให้เหล่าทายาทได้เป็นระยะ? และเพราะเหตุนี้ มารดาแห่งผืนนภาของตระกูลอันทีโกนัสและเทือกเขาโฮนาซิสจึงสามารถดำรงตนได้จนถึงยุคสมัยที่สี่… ไคลน์เริ่มเชื่อมากขึ้นว่าประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ในเมืองเงินพิสุทธิ์ถูกแต่งเติมให้เกินจริงไปหลายเรื่อง โชคดีที่มันยังย่อยโอสถจอมเวทพิสดารไม่เสร็จ จึงยังไม่ต้องคิดเรื่องเลื่อนลำดับกลายเป็น ‘ปราชญ์โบราณ’ ไม่อย่างนั้นประวัติศาสตร์ที่มันยืมมาใช้งานอาจไม่ใช่ของจริง


ในยุคสมัยบรรพกาล ต้นตระกูลผีดูดเลือดลิลิธและราชามนุษย์กลายพันธุ์เควาสทูนต่างร่วงหล่นด้วยฝีมืออีกฝ่าย… แต่เมื่อไม่นานมานี้ตระกูลผีดูดเลือดเพิ่งร่วมมือกับผู้วิเศษเส้นทาง ‘มนุษย์กลายพันธุ์’ ที่อยู่ฝ่ายระงับแรงปรารถนา… กาลเวลาช่างเล่นกล… หึหึ… ถ้าเอ็มลินรู้เรื่องนี้จะทำหน้ายังไงกันนะ… ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดถอนหายใจพลางตั้งใจฟัง


ขณะความคิดของทุกคนกำลังล่องลอย เทพบรรพกาลซอนญาธริมพ่นลมหายใจและพูดต่อ


“เมื่อไม่นานมานี้ เออเมียร์เริ่มวางแผนจะร่วมมือกับบางนิกายลับของมนุษย์เพื่อจัดการกับเรา กล่าวกันว่าเรื่องนี้ถูกชักใยโดย ‘ฤดูเก็บเกี่ยว’ และ ‘รุ่งอรุณ’ … ข้าถึงกับคิดจะร่วมมือกับแอนเคอร์เวลเพื่อทำลายพวกคนยักษ์และวังของมัน แต่น่าเสียดาย ทุกครั้งที่ข้าได้เห็นหน้ามังกรนั่น ความคิดเดียวในหัวคือการจับมันมาเสียบไม้ย่างบนตะแกรง เป็นความรู้สึกอันแรงกล้าที่มิอาจหักห้ามได้ง่ายนัก!”


ทันทีที่กล่าวจบ เทพบรรพกาลตนดังกล่าวพลันเลือนหายพร้อมกับการสั่นสะเทือนของวังปะการัง ส่งผลให้เกิดรอยแยกขนาดใหญ่


ขณะฉากทั้งหมดยังไม่เลือนหายไปโดยสมบูรณ์ แสงสีเงินสว่างขึ้นอีกครั้งพร้อมกับการกลับมาปรากฏตัวบนบัลลังก์ของซอนญาธริม โดยที่คราวนี้ในมือกำลังถือหอกสายฟ้าบริสุทธิ์


“ท่านไปที่วังราชาคนยักษ์มาหรือ?” โคฮีเน็มถาม


“ข้าไปมอบบทเรียนเล็กๆ น้อยๆ ให้เออเมียร์” ซอนญาธริมตอบโดยไม่ปิดบัง


เซียธาสและเอลฟ์ตนอื่นต่างก้มหน้าต่ำยิ่งกว่าเก่า พวกมันมองต่างเห็นหนวดรยางค์ที่ใหญ่กว่าร่างกายตนอย่างเลือนราง หนวดดังกล่าวเลื้อยไปมาบนพื้นวังพร้อมกับอสรพิษสายฟ้าจำนวนมาก


จากนั้นทุกคนก็หลับตา


ฉากความฝันเปลี่ยนผันไปเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเซียธาสและเอลฟ์ตนอื่น


พิจารณาจากคำพูดและการกระทำ ไคลน์ เลียวนาร์ด และออเดรย์ยืนยันได้ว่าเซียธาสมีชีวิตที่ค่อนข้างสงบสุขในยุคสมัยที่สอง เผ่าพันธุ์คนยักษ์ เอลฟ์ มังกร ปีศาจ และฟีนิกซ์อาศัยอยู่ร่วมกันโดยแบ่งเขตการปกครองออกเป็นหลายแห่ง ไม่ว่าจะทวีปเหนือใต้ รวมไปถึงห้าห้วงสมุทร ส่วนแวมไพร์ หมาป่าอสูร มนุษย์ต้นไม้ สัตว์ทะเล มนุษย์กลายพันธุ์ และมนุษย์ต่างอาศัยอยู่ในฐานะทาสของแต่ละเผ่าพันธุ์ปกครอง เป็นได้เพียงชนชั้นกลางไปจนถึงล่าง


“ไม่ตรงกับบันทึกของศาสนจักร… แม้แต่ตำนานของเมืองเงินพิสุทธิ์ก็ไม่ใช่แบบนี้” เลียวนาร์ดถอนหายใจหลังจากฟังจบ “บางทีตาแก่ก็คงไม่รู้ลึกขนาดนี้เช่นกัน”


“เรื่องนี้อาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป” ไคลน์ส่ายหน้าแผ่วเบา “มีตัวตนจำนวนไม่น้อยที่ดำรงชีวิตตั้งแต่ยุคสมัยที่สองมาจนถึงยุคสมัยที่สี่ หรือแม้กระทั่งปัจจุบัน”


“อย่างเช่นเทวทูตปัญญา?” เลียวนาร์ดคาดเดา


“อาจจะ” ไคลน์ไม่ยืนยันคำตอบ เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ในตอนที่คุยกับโมเบธ ผมนึกว่าคุณจะขอร้องให้มิสจัสติสยืนห่างๆ”


เลียวนาร์ดจ้องหน้าชายหนุ่มพร้อมกับอ้าปากหาว


“คุณเคยบอกต่อหน้าทุกคนว่าผมรู้จักตัวตนที่อาจเคยเห็นศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง… ดังนั้นในตอนที่ผมสนทนากับโมเบธ·โซโรอาสเตอร์ ต่อให้เธอยืนห่างๆ ก็คงคาดเดาความเชื่อมโยงได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ? นอกจากนั้นคุณยังเคยเล่าให้ผมฟังว่า ในตอนที่จัดการกับร่างโคลนของอามุนด์ทั้งหมดภายในกรุงเบ็คลันด์ มิสจัสติสมีส่วนร่วมในการเก็บกวาด สำหรับผู้ชมลำดับ 5 ข้อมูลเพียงเท่านี้ก็มากพอจะให้คาดเดาอย่างแม่นยำ และถ้ายิ่งเธอได้ทราบข้อมูลของตระกูลโซโรอาสเตอร์ นั่นคงไม่ต่างอะไรกับการยืนเล่าความจริงทั้งหมดให้เธอฟัง… เมื่อเป็นแบบนี้ การกีดกันเธอออกไปรังแต่จะเหนื่อยเปล่า วิธีที่ดีที่สุดหากต้องการรักษาความลับคือการให้ทุกคนสาบานว่าจะไม่แพร่งพรายโดยขอให้มิสเตอร์ฟูลช่วยเป็นสักขีพยาน”


“และถ้าคุณบอกให้มิสจัสติสช่วงยืนห่างๆ การขอให้มิสเตอร์ฟูลช่วยเป็นสักขีพยานก็คงไม่มีน้ำหนักมากพอ…” ไคลน์พยักหน้ารับ


ทันใดนั้นเซียธาสเริ่มกล่าวต่อ


“หลังจากการร่วงหล่นของต้นตระกูลผีดูดเลือด ราชาหมาป่าอสูรจอมทำลายล้าง และราชามนุษย์กลายพันธุ์ ‘เทพรับใช้’ บางส่วนถูกสังหารในสงคราม บางส่วนยอมจำนนและคอยรับใช้เทพตนอื่นต่อไป และมีบางส่วนที่หายเข้าไปในความมืด”


ออเดรย์ที่จำแลงกายตัวเองเป็นเอลฟ์ยังคงถามชักนำ


“ใครยอมจำนนต่อใคร? แล้วมีใครบ้างที่ร่วงหล่น?”


เซียธาสพยายามนึก


“ข้าเองก็ไม่เคยเห็นด้วยตัวเอง แต่ได้ยินว่า ‘เทพธิดาแห่งชีวิต’ ของต้นตระกูลผีดูดเลือดและ ‘เทพสงคราม’ ของราชามนุษย์กลายพันธุ์ถูกสังหาร ไม่มีใครทราบแม้กระทั่งชื่อของพวกท่าน… ส่วน ‘เทพแห่งวิญญาณมรณะ’ ซาลินเจอร์ของราชาหมาป่าอสูรกลายมาเป็นเทพรับใช้ของต้นตระกูลฟีนิกซ์ ‘เทพแห่งความงาม’ ออร์นีญ่าของต้นตระกูลผีดูดเลือดเลือกที่จะเข้ากับฝ่ายเรา… แต่ทางด้าน ‘เทพแห่งสัตว์วิญญาณ’ ทอซน่าและ ‘เทพธิดาแห่งเคราะห์กรรม’ อมานีซิสได้หายตัวไป…”


ซาลินเจอร์… ออร์นีญ่า… สองชื่อนี้ทำให้หน้าผากไคลน์กระตุกแผ่วเบา ต้องรีบใช้พลังตัวตลกเพื่อยับยั้งสีหน้า


ออร์นีญ่าคือราชินีแห่งจันทราโลหิต ภรรยาของจักรพรรดิในยุคสมัยที่สี่ จักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิทรันซอสต์!


และสำหรับซาลินเจอร์ ท่านผู้นี้คือผู้ก่อตั้งจักรวรรดิไบลัม จักรพรรดิแห่งโลกหลังความตาย เทพมรณา!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)