Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1057-1060
ราชันเร้นลับ 1057 : วิเศษและสามัญ
หลังจากจัดการขวดแก้วที่กลายพันธุ์เสร็จ ไคลน์นำนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝาตรวจสอบเวลา
ชายหนุ่มต้องกลับเข้ามาในอีกสามชั่วโมงถัดไปเพื่อแยกไม้กางเขนเจิดจรัสออกจาก ‘ขวดแห่งทาส’ นั่นจะทำให้ได้รับตะกอนพลังที่เป็นของ ‘จอมบงการ’ เพียงอย่างเดียวโดยไม่ปะปนกับลำดับก่อนหน้า
รู้สึกเหมือนกับได้ทำการทดลอง… ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับเก็บนาฬิกาพก จากนั้นก็ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริงเพื่องีบยามบ่าย
สี่โมงตรง บุรุษรับใช้ส่วนตัว เอ็นยูน ทำการเคาะประตูห้องนอนนายจ้างโดยมีพ่อบ้านวอลเตอร์ยืนมองอยู่
“มีอะไรหรือ?” ดอน·ดันเตสในชุดนอนเปิดประตูห้องออกมาในสภาพลูบหน้าผาก
เอ็นยูนโค้งศีรษะและกล่าว
“นายท่าน… เมื่อคืนก่อน คุณรับปากมาดามลีอานน่าว่าจะเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชายามเย็น”
ไคลน์จ้องหน้าพ่อบ้านวอลเตอร์และพูด
“เข้าใจแล้ว ขอเวลาเตรียมตัวสิบห้านาที”
จากนั้น มันออกคำสั่งกับเอ็นยูน
“เข้ามาช่วยผมเปลี่ยนชุด”
เมื่อในห้องนอนเหลือแค่มันกับหุ่นเชิด ชายหนุ่มควบคุมอีกฝ่ายให้เดินไปหยิบชุดสำหรับงานเลี้ยงน้ำชา พลางชำเลืองนาฬิกาแขวนผนังเป็นระยะ
ผ่านไปสิบนาที หลังจากผูกไทและสวมเสื้อนอก มันถอยหลังสี่ก้าวเพื่อส่งตัวเองเข้าไปยังห้วงมิติเหนือสายหมอก
ปัจจุบันเป็นเวลาสามชั่วโมงพอดิบพอดีหลังจากการมาเยือนคราวก่อน
บนโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณ ขวดแก้วกลายพันธุ์ที่ติดอยู่กับไม้กางเขนเจิดจรัสด้วยพลังของมิติหมอก ปราศจากลวดลายตาข่ายระยิบระยับโดยสิ้นเชิง เปลี่ยนจากชิ้นงานศิลป์กลายเป็นเพียงขวดแก้วธรรมดาตามท้องถนน
ก้นขวดแก้วที่มีสสารสีเทาอ่อนกำลังถูกขับออกมา สารดังกล่าวไหลเวียนอย่างอิสระและค่อยๆ ก่อตัวเป็นวัตถุรูปทรงหัวใจขนาดเท่ากำปั้นเด็ก และไม่เพียงจะมีรอยหยักย่น แต่ยังรวมไปถึงรอยแยกที่ดูคล้ายกับดวงตา ในส่วนของลวดลายสามมิติมายาที่ขยายออกไปยังความว่างเปล่าโดยรอบ ลักษณะของมันเหมือนกับตะกอนพลังของเฮอร์วิน·แรมบิสที่ไคลน์เคยเห็น
มีจุดแตกต่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น… ไคลน์คลายพันธนาการและนำไม้กางเขนเจิดจรัสออกจากปากขวด
จัดการเสร็จ วัตถุที่ถูกขับออกมาได้แยกตัวจากขวดแก้วโดยสมบูรณ์ กลายเป็นเอกเทศและอิสระ
ไคลน์เหยียดแขนซ้ายออกไปหยิบวัตถุที่ดูเหมือนทั้งหัวใจและสมอง หลังจากตรวจสอบสองสามวินาที มันโยนกลับเข้าไปในกองขยะและใช้พลังมิติหมอกห่อหุ้มไว้
ทันใดนั้น เสียงที่อ่อนเพลียดังออกจากขวดแก้วกลายพันธุ์
“เจ้ามัน… ปีศาจ…”
ไคลน์ไม่ตอบ เพียงใช้มือขวากระแทกไม้กางเขนเจิดจรัสให้กลับเข้าไปในปากขวดโดยอาศัยแรงกดจากพลังมิติหมอก
เสร็จขั้นตอนดังกล่าว พระราชวังโบราณกลับไปอยู่ในสภาพสงบสุขอีกครั้ง
หลังจากกลับมายังโลกความจริง ไคลน์สวมหมวกทรงสูง ถือไม้ค้ำ เดินทางออกจากบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนด้วยรถม้า ปลายทางคือบ้านเลขที่ 39 ในถนนเส้นเดียวกันของส.ส. มัคท์
ภายในห้องนั่งเล่นที่โอ่อ่าของบ้านส.ส. แขกจำนวนหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงรอบถาดสามชั้นหรูหราซับซ้อน ด้านหน้าทุกคนเป็นถ้วยชาดำที่มีเสน่ห์
ไคลน์หยิบแซนด์วิชแตงกว่าขึ้นมากัดคำเล็ก เล่าความรู้สึกในเชิงติดตลก
“ของหวานวันนี้ดูพิเศษมาก ไม่ว่าจะเป็นเค้กแคร์รอตหรือขนมพายครีม”
มัคท์หัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ดอน… ความช่างสังเกตของคุณนั้นไร้ที่ติมาก”
ไม่เกี่ยวกับความช่างสังเกตเลยสักนิด ตราบใดที่ไม่ตาบอด ก็ต้องเห็นอยู่แล้วว่ารูปลักษณ์ของพิลึกกึกกือ… ไคลน์รำพันเล็กน้อย
“เป็นของสำคัญสินะครับ”
“แน่นอน เฮเซลเป็นคนอบเองกับมือ… คุณจะลองชิมดูก็ได้ ถึงเฮเซลจะยังควบคุมรูปทรงได้ไม่ดีนัก แต่รสชาติชั้นหนึ่งเลย” มัคท์กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
พอร์ตแลนโมมงต์ที่นั่งด้านข้าง ผู้เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยเบ็คลันด์ หัวเราะและกล่าว
“ฟังดูไม่เหมือนเฮเซลที่ผมรู้จักเลย”
มัคท์ชำเลืองมาดามลีอานน่าและกล่าวด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“ทุกคนย่อมเติบโต… ใช่ไหมล่ะ? พักหลังเฮเซลเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ไม่เพียงแต่จะเสนอตัวเรียนเกี่ยวกับการเข้าสังคมและแต่งงานด้วยตัวเอง แต่ยังรวมถึงการทำขนมและเล่นดนตรีให้พวกเราฟัง พาแม่ไปชมดนตรี แข่งม้า และช็อปปิ้ง แถมยังเป็นผู้ฟังที่ดีในซาลอนและงานเลี้ยง”
จากคำบอกเล่าของมิสจัสติส ขั้นตอนการรักษาเฮเซลดำเนินไปถึงจุดที่เธอสามารถนึกถึงความเจ็บปวดและอาการตกตะลึงในอดีต แม้จะมาแค่อารมณ์เพียวๆ โดยไม่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ใดเป็นพิเศษ แต่ก็มากพอที่จะทำให้เฮเซลฝันถึงการสูญเสียครอบครัวและญาติ… สิ่งนี้ทำให้เธอรักและเอ็นดูครอบครัวมากขึ้น? จนต้องผลักดันตัวเองมากขนาดนี้? ไคลน์พยักหน้าพลางรักษารอยยิ้ม
“ยอดเยี่ยมมาก”
“ใช่แล้วล่ะ” มัคท์ตอบด้วยอารมณ์ซับซ้อน “ผมเป็นห่วงนิสัยของเธอมาตลอด กังวลว่าจะไม่ได้แต่งงานกับคนดีๆ และขาดโอกาสติดต่อกับคนภายในแวดวงทางสังคม ถ้าเป็นแบบนั้น หลังจากพวกเราตายไป เธอคงไม่สามารถหาใครมาช่วยเหลือได้ในตอนที่เผชิญปัญหา… แต่ปัจจุบัน ผมหมดห่วงกับเรื่องนี้แล้ว”
มัคท์เผยรอยยิ้มจริงใจขณะเล่าความเครียดที่มันมักเก็บไว้คนเดียว
จากนั้น มันยกมือขึ้นโบกอย่างอ่อนโยนและกล่าวด้วยความมั่นใจ
“ทำไมผมต้องเสี่ยงทำให้ตัวเองมีศัตรูท่ามกลางหมอกและมลพิษที่คร่าชีวิตไปมากมายขนาดนี้? ทำไมพวกเราถึงต้องต่อสู้แย่งชิงอาณานิคมในไบลัมตะวันออกกับฟุซัคและไบลัมตะวันตกกับอินทิส? ไม่ใช่เพื่อให้ลูกหลานมีชีวิตที่ดีขึ้นหรอกหรือ? ไม่ใช่เพื่อให้ความกังวลลดลงหรอกหรือ? สำหรับผม ความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับเฮเซลนั้นมากมายยิ่งกว่าผลงานในไบลัมตะวันออก และมีความหมายยิ่งกว่าการต่อสู้ในสภาสามัญ”
ขณะฟังคำบรรยายจากส.ส. มัคท์ ไคลน์อดไม่ได้ที่จะมองออกไปนอกหน้าต่าง
เนื่องจากไม่มีดวงอาทิตย์ บรรยากาศจึงค่อนข้างมืด
ทันใดนั้น พอร์ตแลนด์·โมมงต์ตอบมัคท์แบบติดตลก
“ไม่ใช่เสียทั้งหมด… การที่พวกเราทำสิ่งเหล่านั้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อตัวเราเอง”
กล่าวถึงตรงนี้ มันหันไปมองไคลน์และพูด
“ดอน… คุณไตร่ตรองดูหรือยัง? อยากทุนกับห้องวิจัยเครื่องจักรของผมไหม?”
ไคลน์หัวเราะแห้ง
“คุณอธิการบดี ทำไมถึงเอาแต่กังวลเป็นหนุ่มๆ ไปได้? ผมได้อ่านข้อมูลที่ส่งมาและมองเห็นภาพรวมเกี่ยวกับสิทธิ์และรายได้เบื้องต้นแล้ว พูดกันตามตรง ผมสนใจมาก… การช่วยให้คนหนุ่มสาวที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ได้ฝึกฝนตัวเองในห้องวิจัยแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจ ควรค่าแก่การลงทุนเป็นอย่างยิ่ง… ในยุคสมัยปัจจุบัน สิ่งใดสำคัญที่สุด? ใช่แล้ว พรสวรรค์!”
“จักรพรรดิโรซายล์เองก็เคยกล่าวเอาไว้” พอร์ตแลนด์·โมมงต์หัวเราะในลำคอ “เช่นนั้นแล้ว คุณสนใจจะลงทุนเท่าไร?”
ดอนยกถ้วยกระเบื้องเคลือบขึ้นมาดื่มชาดำหนึ่งจิบ
“แผนเบื้องต้นคือหนึ่งหมื่นปอนด์”
“สมแล้วที่ได้เป็นเศรษฐีคนดังแห่งเบ็คลันด์ในระยะหลัง ดิฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคุณมีทรัพย์สินมากแค่ไหนกันแน่… ในตอนแรก คุณบริจาคให้หุ้นกว่าหนึ่งหมื่นปอนด์ให้โบสถ์รัตติกาล จากนั้นก็จ่ายอีกสองหมื่นปอนด์เพื่อซื้อคฤหาสน์เพลงกุหลาบ และนี่ยังจะบริจาคอีกหนึ่งหมื่นปอนด์เพื่อลงทุนกับห้องวิจัยเครื่องจักรของพอร์ตแลนด์…” มาดามลีอานน่าอดไม่ได้ที่จะอุทาน
พอร์ดแลนด์ยกนิ้วโป้งให้
“สมแล้วที่เป็นนักลงทุนวิสัยทัศน์ไกล”
ไคลน์ยิ้ม
“แต่ผมยังคงมองหาทีมนักกฎหมายและนักบัญชีเพื่อยืนยันสถานการณ์และกำหนดเงื่อนไข งานของมืออาชีพก็ต้องปล่อยให้มืออาชีพจัดการ นอกจากนั้น ผมยังต้องคิดด้วยว่าจะลงทุนตรงๆ หรือก่อตั้งบริษัทหรือกองทุนและลงทุนผ่านมันดี… จริงสิ พอร์ตแลนด์ ผมมองว่าคุณตกหล่นไปบางเรื่อง ห้องวิจัยที่สำคัญเช่นนี้ทำไมถึงไม่เคยถูกประเมินระดับความปลอดภัยเลย? คุณไม่กลัวสายสืบจากบริษัทใหญ่หรือขั้วอำนาจฝั่งตรงข้ามแทรกซึมเข้ามาและก่อความพินาศบ้างหรือ?”
พอร์ตแลนด์·โมมงต์ผงะเล็กน้อย ตามด้วยผงกศีรษะเชื่องช้า
“สมเหตุสมผล… ผมมองข้างปัญหานี้ไปจริงๆ”
เมื่อประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการ ไคลน์ไม่สานต่อหัวข้อเดิม เลือกเปลี่ยนไปถามประเด็นอื่น
“ช่วงนี้มีข่าวเกี่ยวกับพันตรีโจนาส·โคลเกอร์บ้างไหม?”
มัคท์ถอนหายใจ
“ไม่เลย… ซิลวารัสยาร์ดกล่าวว่าพวกเขาตรวจสอบพื้นที่รอบๆ คฤหาสน์เพลงกุหลาบหมดแล้ว แต่ก็ไม่พบเบาะแสใดเลย”
กล่าวถึงตรงนี้ ส.ส. มัคท์ลดเสียงพูดลง
“ผมสงสัยว่าพันตรีอาจได้รับอุบัติเหตุระหว่างทำภารกิจลับ… ตอนนี้เบื้องบนกำลังทำตัวแปลกๆ”
ในบางแง่มุม สมมติฐานของนายถูกเผง… ไคลน์ถอนหายใจ
“ขอให้ไม่มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น”
ระหว่างงานเลี้ยงน้ำชายามเย็น ไคลน์ตรวจสอบเวลาและขอตัวไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นก็นำตะกอนพลังนักท่องฝันที่ถูกขับออกมาจากขวดกลายพันธุ์โยนลงไปในกองขยะ
เมื่องานเลี้ยงจบลง ไคลน์เดินทางกลับบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนด้วยสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างมืด โคมไฟแก๊สริมถนนสองฝั่งถูกจุดก่อนเวลาอันควรเนื่องด้วยสายฝนที่โปรยปรายลงมา
ปัจจุบัน คำถามทั้งหมดพุ่งตรงไปยังสิ่งที่อยู่ภายในโบราณสถานจักรพรรดิโลหิต ขอเพียงสามโบสถ์หลักค้นพบความผิดปรกติได้ทันเวลา เหตุการณ์ร้ายๆ จำนวนมากจะไม่เกิดขึ้น… ไคลน์มองออกไปนอกหน้าต่างที่พร่ามัวเพราะสายฝน ภายในใจครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะหลัง
สำหรับตอนนี้ นอกจากการช่วยจับตัวคาร์เทอริน่า เราแทบทำประโยชน์อะไรไม่ได้… นอกจากนั้น เทพธิดาที่กำลังพยายามย่อยหรือควบคุม ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางมรณาก็คงมีพลังไม่พอที่จะตอบสนองต่อพิธีกรรมใหญ่…
ในการจะแก้ปัญหา เรามีสองทางเลือก หากไม่ขอสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ที่มีพลังในกำหนดเป้าหมายมาจากมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ ก็คงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากโบสถ์จักรกลไอน้ำและวายุสลาตัน ดูว่าเทพแท้จริงของใครจะตอบสนองในเวลาแบบนี้ได้… แต่สำหรับสมบัติปิดผนึกระดับ 0 นั่นอาจไม่พอที่จะรับมือเนื่องจากฝ่ายศัตรูมีราชาเทวทูต และในส่วนของอีกสองโบสถ์ มีความเป็นไปได้มากที่เบื้องบนของพวกมันจะเป็นคนทรยศ…
การเดินทางจากบ้านเลขที่ 39 มายังบ้านเลขที่ 160 บนถนนเดียวกันกินเวลาไม่นานนัก ยังไม่ทันที่ไคลน์จะได้ขบคิด รถม้าก็แล่นมาถึงหน้าประตูของอาคารหลัก จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลงไป
เมื่อกลับถึงห้องบนชั้นสามและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ สัมผัสวิญญาณของชายหนุ่มพลันถูกกระตุ้น จากนั้น ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ผู้ถือสี่หัวทองตาแดงก็เดินออกจากความว่างเปล่า
“จากชารอน?” มันเดาก่อนจะรับจดหมาย
“ใช่…” หนึ่งในศีรษะของไรเน็ตต์ตอบ
โดยไม่มากพิธี ไคลน์เปิดกระดาษจดหมายและคลี่อ่าน บนกระดาษมีข้อความเขียนไว้เพียงหนึ่งประโยค
“พวกเราจะลงมือสี่ทุ่มคืนนี้”
ราชันเร้นลับ 1058 : เครื่องมือ
สี่ทุ่มคืนนี้… ไคลน์ชำเลืองมิสผู้ส่งสารที่ยังยืนรอ มันรีบกลับไปที่โต๊ะอ่านหนังสือและคลี่กระดาษขาวออกมาเขียน
“ผมจะไปตามเวลานัด… นอกจากนั้นสถานการณ์ภายในเบ็คลันด์กำลังตึงเครียดอย่างมาก อย่าลืมคุมไม่ให้สถานการณ์บานปลาย”
หลังจากเขียนเตือนชารอนเสร็จ ไคลน์พับกระดาษจดหมายและหยิบเหรียญทองกับ ‘เพชร’ ทรงสี่เหลี่ยมที่ส่องแสงตลอดเวลาออกจากกระเป๋าเสื้อ
“นี่คือยันต์วันวานอีกครั้ง มันจะช่วยให้คุณยืนพลังจากอดีตได้ครู่หนึ่ง” ไคลน์ยื่นวัตถุสามชนิดให้ไรเน็ตต·ไทน์เคอร์พร้อมกัน
หนึ่งในปากของไรเน็ตต์อ้ากว้างและงับทุกสิ่งเข้าไปในคราวเดียว ส่วนอีกสามปากกล่าวอย่างพร้อมเพรียง
“ให้…” “ข้า…” “ทำไม…”
“เป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างล่วงหน้า” ไคลน์ยิ้มเหมือนทุกครั้ง
คำเตือนของกระจกวิเศษอาโรเดสทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจเตรียมการอย่างรัดกุมมากขึ้น
ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ไม่ได้ถามเซ้าซี้ สี่หัวที่ดูงดงามพยักหน้าพร้อมกันด้วยความช่วยเหลือจากมือที่หิ้วเส้นผม
จากนั้น เธอก้าวเข้าไปในความว่างเปล่าและหายไปจากห้อง
ไคลน์มองออกไปยังสายฝนโปรยท่ามกลางท้องฟ้าสีดำด้านนอกห้อง ตามด้วยถอดเสื้อนอกส่งให้บุรุษรับใช้เอ็นยูน
…
สามทุ่มห้าสิบนาที เขตเชอร์วู้ด บนถนนใกล้กับแม่น้ำทัสซอค
ท่ามกลางสายฝนที่เกิดขึ้นเป็นปรกติในกรุงเบ็คลันด์ช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว รถม้าเช่าคันหนึ่งหักหัวเลี้ยวเข้ามาในถนนอย่างเชื่องช้า
ภายในรถม้า เอ็มลิน·ไวท์ที่กำลังถือหมวกทรงสูงในมือมองไปยังชายหนุ่มใบหน้าขาวซีดฝั่งตรงข้าม ผมเผ้าของอีกฝ่ายยุ่งเหยิงเล็กน้อย ดวงตาที่อยู่ถัดลงมาเป็นสีแดงสว่าง เอ็มลินยกมุมปากเล็กน้อยพร้อมกับกล่าว
“ที่นี่?”
มาริคที่มีร่างกายกึ่งมายาผงกศีรษะรับ ตามด้วยชี้นิ้วไปทางร้านค้าในตึกหลังที่เฉียงออกไปด้านหน้า
“ใช่… ร้านหนังสือตรงนั้น เจ้าของร้านชื่อชาร์ลี·เลค เป็นชาวโลเอ็นเลือดแท้ แต่ตอนยังหนุ่มตัดสินใจเดินทางไปยังทวีปใต้เพื่อแสวงหาความร่ำรวย ที่นั่นทำให้มันกลายเป็นสาวกของโรงเรียนกุหลาบ กลายเป็นผู้เชื่อในเทพผู้ถูกล่าม ภายหลังมันถูกส่งมายังเบ็คลันด์เพื่อสืบข่าวและคอยให้ความช่วยเหลือสมาชิกของโรงเรียนกุหลาบทำงานจิปาถะ พวกเราจับตามองมันมานานแล้วและอยากเชือดทิ้งกับมือ จะได้ตัดการส่งข่าวและใช้ชีวิตได้อย่างสบายมากขึ้น แต่สุดท้ายก็ฝืนใจไว้ชีวิตมันมาตลอด”
เอ็มลินกล่าวพลางยิ้ม
“กลายเป็นว่า ‘การรับแรงปรารถนา’ กำลังผลิดอกออกผล… หึหึ… อันที่จริงท่าทีของคุณผิดไปจากที่ผมจินตนาการเล็กน้อย นึกว่าวิญญาณอาฆาตที่ระงับแรงปรารถนาจะพูดกระชับกว่านี้”
มาริคชำเลืองแวมไพร์ที่โอ้อวดตัวเองว่าเป็นไวเคาต์
“ต่างคนก็ต่างนิสัย ความอดกลั้นมีไว้เพื่อตัดแรงปรารถนาที่เกิดขีดจำกัดเท่านั้น… การที่ผมต้องอธิบายยาวๆ ก็เพราะกังวลว่าคุณอาจจะไม่เข้าใจ ส่งผลให้งานของเราล้มเหลว และนั่นจะยิ่งทำให้แรงปรารถนาของผมถูกกระตุ้นจนปรอทแตก”
โฮ่… ช่างสำบัดสำนวน แต่ไม่ต้องยกตัวอย่างเป็นข้าก็ได้… เอ็มลินเอนหลังพิงกำแพงด้วยท่าทีผ่อนคลาย จากนั้นก็มองหน้าอีกฝ่ายและพูด
“เล่าต่อเลย”
มาริคมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง
“ภายในบ้านของชาร์ลี·เลคยังมีสาวใช้ที่มาจากหุบเขาเพิร์ธอีกหนึ่งคน หล่อนเองก็เป็นสมาชิกโรงเรียนกุหลาบ… นอกจากนั้นภายในบ้านฝั่งตรงข้ามร้านหนังสือของชาร์ลี·เลคเยื้องไปสองหลัง ที่นั่นมีแม่ม่ายและขี้เมาอาศัยแยกกัน พวกมันต่างเป็นสาวกของเทพผู้ถูกล่ามและคอยส่งข้อมูลให้กับโรงเรียนกุหลาบในยามคับขันเสมอ… สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ หลังจากพวกเราจัดการกับชาร์ลี·เลค ให้คอยจับตามองทั้งสามคนนี้เอาไว้ สังเกตวิธีการส่งข้าวและล็อกเป้าผู้นำสูงสุดของโรงเรียนกุหลาบในกรุงเบ็คลันด์ให้ได้… แน่นอนว่าพวกเราจะเปิดโอกาสทางให้ชาร์ลี·เลคได้ขอความช่วยเหลือหรือส่งสัญญาณ”
เอ็มลินพยักหน้าและตอบ
“เข้าใจแล้ว”
มันรีบเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆหนาจนบดบังแสงจันทร์สีแดง พลางหมุนแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายซึ่งประดับประดาไปด้วยอัญมณีสีน้ำเงิน
แหวนวงนี้คือ ‘คำสาบานแห่งกุหลาบ’ ช่วยให้เอิร์ลมิสทราลแบ่งปันการมองเห็น การได้ยิน และการดมกลิ่นกับเอ็มลิน
แหวนวงนี้เปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกลับมาอยู่กับเอ็มลินอีกครั้ง แต่แน่นอนว่าแค่ชั่วคราว
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทุกคำที่มาริคอธิบายให้ฟังเมื่อครู่ล่วงรู้ถึงหูเอิร์ลมิสทราลเรียบร้อยแล้ว และกำลังถูกส่งต่อให้กับผีดูดเลือดตนอื่นที่เข้าร่วมปฏิบัติการ
เดิมทีเอ็มลินคิดว่าแม้ตนจะมีหน้าที่เป็นคนกลางซึ่งไม่ได้ทำงานสำคัญ แต่อย่างน้อยก็น่าจะได้แสดงความสามารถที่คล้ายเวทมนตร์ของปราชญ์สีชาดอยู่บ้าง เช่นการส่งข่าวต่อหน้าวิญญาณอาฆาตมาริคด้วยท่วงท่าสง่างาม ใครจะไม่คิดว่ามันไม่ต้องทำอะไรเลยจริงๆ มีหน้าที่แค่สวมแหวนและเฝ้ามองเห็นการในระยะใกล้
สิ่งนี้ทำให้มันหดหู่และรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงเครื่องมือ
หากไม่ใช่ครึ่งเทพ อย่าว่าแต่การกอบกู้ตระกูลผีดูดเลือดเลย จำนวนภารกิจที่เรามีส่วนร่วมได้ตรงๆ นั้นน้อยมาก… หัวใจเอ็มลินเริ่มเต้นแรงทันที ตระหนักว่าระดับในปัจจุบันของตนยังไม่คู่ควรแก่การเป็น ‘ตัวตนลับ’ ที่มีภารกิจกอบกู้วงศ์ตระกูล
สำหรับพลังของแหวนคำสาบานแห่งกุหลาบที่จะส่งความคิดของผู้สวมไปหาอีกฝ่ายอยู่เนืองๆ เอ็มลินมิได้กังวลนักเพราะมันไหว้วานให้มิสจัสติสสะกดจิตไว้ล่วงหน้า ไม่ให้กล่าวในสิ่งที่อาวุโสร่วมเผ่าพันธุ์รายนี้ไม่ควรล่วงรู้
ทันทีที่ความคิดจบลง เสียงของเอิร์ลมิสทราลพลันดังแว่วในหัว
“โอหัง… เด็กน้อย… ไร้เดียงสา”
นี่มัน… แหวนคำสาบานแห่งกุหลาบสุ่มถ่ายทอดความคิดของเราให้เอิร์ลมิสทราล… หึ… เอ็มลินเหยียดหยันในใจ ตามด้วยการเริ่มท่องชื่อหนึ่งอย่างเงียบงัน
“เออร์เนส·โบยาร์… เออร์เนส·โบยาร์”
แวมไพร์ไวเคาต์รายนี้เคยถูกล่อลวงไปยังวิหารฤดูเก็บเกี่ยวแม้จะอยู่ภายใต้การคุ้มกันจากเอิร์ลมิสทราล!
ถึงตรงนี้ มาริคสำรวจสีหน้าเอ็มลินพร้อมกับผงกศีรษะ
“ท่าทีของคุณทำให้ผมเบาใจ”
จริงจัง สุขุม และมีสมาธิอย่างมาก
หือ? เอ็มลินผงะเล็กน้อยก่อนจะรีบยกมุมปากและตอบ
“ขอบใจ”
…
บนชั้นสองของร้านหนังสือในบ้านชาร์ลี·เลค กล่าวกันว่าพ่อและแม่ของนักธุรกิจวัยห้าสิบรายนี้เสียชีวิตไปนานแล้ว ส่วนตัวมันไม่เคยสมรส แต่มีข่าวลือว่ามีลูกนอกสมรสอยู่ไม่น้อยและทั้งหมดไม่ได้อาศัยอยู่กับมัน
หลังจากกำชับสาวใช้ให้ลงกลอนประตูและหน้าต่าง มันกลับไปยังห้องนอนและรินไวน์ลงแก้ว นั่งลงบนโซฟาและดื่มอย่างผ่อนคลาย
มันมีนิสัยชอบดื่มไวน์ก่อนเข้านอน
รอจนกระทั่งไวน์แดงหมดแก้ว ชาร์ลี·เลคลุกขึ้นยืนและเดินเข้าห้องน้ำ
ขณะเดินผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องนอน มันชำเลืองตามปรกติ แต่ร่างกายกลับต้องชะงัก
ตัวมันภายในกระจกมีผิวซีดจนน่าตกใจ ดวงตาถลึงออกมาอย่างผิดธรรมชาติและตรงมุมมีสีเลือด มุมปากเองก็เปรอะเลือดสีแดงเข้ม
ในฐานะคนของโรงเรียนกุหลาบ มันไม่ประหลาดใจกับฉากที่เห็น ไม่คิดแหกปากและวิ่งหนีเหมือนคนธรรมดา แต่เลือกจะยกมือขวาขึ้นมาทาบหน้าอก
ยังไม่ทันจะได้สัมผัสกับเครื่องประดับที่มันสวม ร่างกายพลันเย็นเยียบราวกับถ้ำน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย
ประหนึ่งความเย็นเหล่านี้มีชีวิตจิตใจ พวกมันแผ่ซ่านอย่างรวดเร็วไปยังทุกซอกมุมร่างกายชาร์ลีจนมิอาจควบคุมแขนขาและกล้ามเนื้อ ราวกับตนมิได้เป็นเจ้าของและขยับไปตามความนึกคิดของผู้อื่น
ในวินาทีนี้ ชาร์ลีรู้สึกเหมือนในร่างกายของมันมีอีกคนหนึ่งอาศัยอยู่ จิตของอีกฝ่ายเย็นยะเยือกและเต็มไปด้วยจิตสังหาร เพียงไม่นานก็ควบคุมทุกสิ่งได้เบ็ดเสร็จยกเว้นความคิดของชาร์ลี·เลค
ขณะเดียวกันชาร์ลีสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย มีสองร่างปรากฏขึ้นในภายในดวงตาที่กำลังสะท้อนบนกระจกบานใหญ่ ทั้งสองร่างคือชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและเสื้อกั๊กสีดำ
แต่ทันใดนั้น เมื่อมือขวาของมันสัมผัสเข้ากับวัตถุบนหน้าอก แสงสว่างพลันเจิดจ้าขึ้นทันที
แสงดังกล่าวคล้ายกับมีต้นกำเนิดจากดวงอาทิตย์ขนาดย่อยส่วน ช่วยมอบทั้งความสว่างและความร้อน
ชาร์ลี·เลคสัมผัสถึงความอบอุ่นได้ทันทีและไม่หนาวอีกต่อไป จึงรีบพ่นคำออกมา
“ชำระล้าง!”
ดวงอาทิตย์ขนาดย่อส่วนบนหน้าอกมีความร้อนสูงขึ้นจากเดิม แสงสว่างแปรสภาพกลายเป็นสิ่งที่คล้ายกับน้ำอุ่นและแทรกซึมเข้าไปในร่างกายในลักษณะคลื่นกระเพื่อม
ส่งผลให้ชาร์ลี·เลคได้รับสิทธิ์การควบคุมร่างกายกลับคืนมา อย่างไรก็ตาม มันไม่แยแสประตู แต่เปลี่ยนเป็นการวิ่งเข้าใส่หน้าต่างแทน
หน้าต่างในจุดดังกล่าวยังไม่ถูกขึงปิด ยังคงมองเห็นฝนปรอยๆ ด้านนอกและแสงสว่างจากโคมไฟริมถนนที่มีหมอกหนาแน่น
กึก กึก กึก!
ขณะชาร์ลี·เลควิ่งผ่านพรมตรงโต๊ะกาแฟและโซฟา มันเสียหลักกะทันหันจนเกือบล้มหัวคะมำ
คล้ายกับพรมมีชีวิตชีวาขึ้นมาและพันธนาการขามันไว้!
โครม!
โต๊ะกาแฟลอยกระแทกใบหน้าชาร์ลีพร้อมกับถ้วยชากระเบื้องเคลือบและเอกสารอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนที่ทั้งหมดจะแตกเป็นเสี่ยงๆ และเรียงตัวกลายเป็นสิ่งที่ดูคล้ายหุ่นกระบอกแยกส่วน
แต่เพียงพริบตา ร่างของชาร์ลี·เลคหายไปโผล่อีกฝั่งหนึ่งของห้องพร้อมกับวิ่งหนีสุดชีวิตด้วยความกลัว
มันไม่เคยเกลียดการที่มีห้องนอนใหญ่ขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
โครม! โครม! โครม!
ท่ามกลางปากกาที่ยิงใส่อย่างส่งเดชและกระดาษที่พุ่งเข้าใส่ในแนวเฉียง ในที่สุดชาร์ลี·เลคก็วิ่งมาถึงหน้าต่าง
ในฐานะสาวกเดนตาย มันไม่รีบร้อนพังหน้าต่างออกไปทันที แต่เลือกที่จะกระชากผ้าม่านออกมาปิดไว้ครึ่งหนึ่ง
ในเวลาเดียวกัน มันยื่นมืออีกข้างไปทางท่อแก๊ส
บนผิวโลหะสีดำ เกล็ดน้ำแข็งสีขาวโพลนพลันก่อตัวหนาแน่น
เพล้ง! กระจกหน้าต่างแตกด้วยตัวเองโดยที่เศษแหลมๆ พลันพรั่งพรูเข้าใส่ใบหน้านักธุรกิจวัยกลางคน ผิวหนังที่เรียบเนียนของมันถูกทะลวงผ่านในพริบตาพร้อมกับเกิดเลือดไหลเป็นทางยาวถึงคอ
ดวงตาของชาร์ลี·เลคพลันหม่นหมอง ร่างกายทิ้งตัวไปด้านหลังอย่างอ่อนเพลียโดยที่พยายามส่งเสียงร้อง แต่เนื้อเสียงกลับมิอาจส่งไปได้ไกลเกินกว่าห้องนอน
ขณะเดียวกัน ภายในอีกหนึ่งห้องนอนของบ้าน สาวใช้ที่เป็นชาวทวีปใต้สังเกตเห็นว่าท่อแก๊สกำลังสั่น
เธอรีบหันหน้าไปมองยังทิศทางของห้องที่ ‘นายจ้าง’ พักอาศัย ก่อนจะสังเกตเห็นว่าท่อแก๊สที่เชื่อมกับห้องดังกล่าวมีน้ำแข็งเกาะ
ภายในบ้านฝั่งตรงข้าม ชายขี้เหล้าที่กำลังถกแขนเสื้อดื่มเหล้าพลันตระหนักว่าผ้าม่านบ้านชาร์ลีถูกขึงปิดเพียงครึ่งเดียว
สัญญาณลับที่ชาร์ลีตกลงไว้กับคนอื่นก็คือ หากผ้าม่านขึงปิดมิดชิดหรือเปิดโล่ง นั่นหมายถึงไม่มีปัญหา แต่ถ้าหากผ้าม่านขึงปิดเพียงครึ่งเดียว นั่นแปลว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นและมันกำลังตกที่นั่งลำบาก อีกฝ่ายต้องรีบแจ้งข่าวให้เบื้องบนทราบทันที
ชายขี้เมาพลันลุกพรวด
ราชันเร้นลับ 1059 : อำนาจแห่ง ‘จันทรา’
ชายขี้เมาจมูกแดงรีบวิ่งไปทางตู้นิรภัยและถึงภายในสองสามก้าว จากนั้นก็หยิบเครื่องรับโทรเลขไร้สายกับสมุดถอดรหัสออกจากช่องลับ
ในท่านั่งยอง มันส่งข่าวคราวของชาร์ลี·เลคไปหาปลายทางในรูปแบบโทรเลข
และในบ้านหลังที่เป็นร้านหนังสือ สาวใช้ผิวสีน้ำตาลถกแขนเสื้อขึ้นและราดของเหลวสีครามลงบนแขนซ้าย
ผิวหนังในบริเวณดังกล่าวเปลี่ยนสีทันที ใต้ชั้นสีครามมีแสงสีดำสว่างขึ้น ลักษณะคล้ายกับไส้เดือนฝอย
เส้นสีดำเรียงตัวกลายเป็นใบหน้าอย่างรวดเร็ว ขาดเท่าครึ่งฝ่ามือ ดวงตาเล็กเท่าเมล็ดข้าว มากใหญ่เท่าจานรองแก้ว
“เกิดเหตุร้ายขึ้นกับชาร์ลี·เลค” สาวใช้กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำพลางจ้องใบหน้าบนแขน
ทุกคำที่พูดออกไปเริ่มแปรสภาพกลายเป็นวัตถุซึ่งมีรูปทรงที่ชัดเจน สีครามเหมือนกับแขนและปาก
ทันทีหลังจากนั้น ถ้อยคำที่ดูเหมือนกับถูกเขียนขึ้นเริ่มเรียงร้อยเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มก้อนและถูกห่อหุ้มด้วยควันสีเดียวกัน
ใบหน้าประหลาดบนท่อนแขนของสาวใช้อ้าปากขึ้นเล็กน้อยและสูดควันดังกล่าวเข้าไปในปาก
จนกระทั่งความผิดปรกติทั้งหมดจบลง แต่แขนซ้ายของสาวใช้ยังคงไม่กลับเป็นไปสีเดิม
ขณะเดียวกันในความมืดด้านนอกหน้าต่าง ค้างคาวตัวเล็กที่ดูธรรมดาเริ่มกระพือปีกและบินไปยังสถานที่ใดก็มิอาจทราบได้
…
บนถนนคนละเส้นที่อยู่ห่างจากร้านหนังสือเลคไม่เกินห้าร้อยเมตร กึ่งกลางอากาศเหนือภัตตาคารที่ขายอาหารทวีปใต้
ค้างคาวจำนวนมากบินออกจากความมืดและรวมตัวกันจนเกิดควันหนา
ควันและค้างคาวค่อยๆ เลือนรางคล้ายภาพมายาก่อนจะหายไป ชายคนหนึ่งในทักซิโดปรากฏขึ้นโดยมิได้สวมหมวกให้เข้าชุด
บุรุษผู้นี้มีรูปร่างสูงผอม มาดองอาจสง่างาม เส้นผมสีอ่อนค่อนไปทางสีเงินสว่าง ดวงตาแดงก่ำประหนึ่งทำจากเลือด ไม่ใช่ใครนอกจากเอิร์ลผีดูดเลือด มิสทราล
มันยกแขนซ้ายที่สวมแหวนเลี่ยมอัญมณีสีน้ำเงินพลางลูบไล้ไปบนเนกไทที่หรูหรา สายตาก้มมองภัตตาคารเบื้องล่างที่ปิดไปแล้วพร้อมกับพึมพำ
“ข้อมูลทั้งสองแหล่งล้วนถูกส่งมายังที่นี่”
ทันทีที่มิสทราลกล่าวจบ ร่างหนึ่งถูกวาดขึ้นฝั่งตรงข้ามมัน อีกฝ่ายเป็นสตรีสวมเดรสซับซ้อนคล้ายชาววัง สวมหมวกอ่อนใบเล็กเหนือเส้นผมสีทองซีด ดวงตาสีฟ้าบนใบหน้าขาวซีด เค้าโครงหน้าโดยรวมดูคล้ายกับตุ๊กตาราคาแพง
ต้นไม้บนถนนด้านล่างพลันโยกเอนอ่อนโยน แสงจากโคมไฟถนนไหววูบโดยพร้อมเพรียง
“หุ่นกระบอก” เอิร์ลมิสทราลพยักหน้ากับตัวเองเล็กน้อยหลังจากยืนยันตัวตนและสถานะของชารอน
ชารอนกล่าวโดยไม่มองหน้า เพียงจ้องไปยังชั้นสองของภัตตาคาร
“มีกลิ่นอายของการบวงสรวงมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ชัดเจนแล้ว” มิสทราลหมุนตัวกลางอากาศ หันไปผงกศีรษะให้กับจุดที่มืดที่สุด “ลอร์ดนีบาส กรุณาผนึกที่นี่ให้ด้วย”
เสียงถอนหายใจที่แก่ชราดังขึ้น ตามด้วยภาพของปีกค้างคาวคู่หนึ่งซึ่งหุ้มด้วยหนังด้านสีดำเปี่ยมลวดลายสยายออกจากความว่างเปล่า ขนาดของปีกค่อยๆ กว้างและยาวขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปกคลุมบริเวณโดยรอบภายในสองวินาที
ภัตตาคารถูกห่อหุ้มด้วยความมืดที่ไม่ปรกติ ราวกับตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์
มิสทราลไม่มัวรีรอ มันมิได้บุ่มบ่ามโจมตีเข้าไป แต่เป็นการนำกล่องทองแดงเลี่ยมทับทิมออกมาเปิดฝาและหยิบวัตถุด้านใน
เป็นวัตถุทรงกลมสีใสที่มีลักษณะคล้ายดวงตา
จากนั้นเอิร์ลมิสทราลเผยสีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อยขณะปล่อยให้ลูกบอลสีใสร่วงหล่นจากปลายนิ้ว
บอลแก้วผุดแสงขึ้นท่ามกลางความมืดและเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศอย่างต่อเนื่องคล้ายกับถูกดึงดูดด้วยอิทธิพลบางอย่าง
ในท้ายที่สุด มันตกลงในห้องบนชั้นสองของภัตตาคาร
แสงสีขาวพลันสว่างวาบจนดูคล้ายกับพระอาทิตย์ปรากฏขึ้นภายในห้อง แปรเปลี่ยนให้ทั้งมลทิน ความชั่วร้าย เลวทราม อันแดด และความมืดทั้งหมดละลายไปอย่างรวดเร็ว
“อะ…” มิสทราลที่หลับตาลงล่วงหน้าพลันขมวดคิ้วพร้อมกับเปล่งเสียงเจือความฉงน
มันไม่รู้สึกถึงแรงต้านจากภายในภัตตาคารแม้แต่นิดเดียว!
ชารอนเปลี่ยนจากการมองต่ำมาเป็นมองตรง แม้สีหน้าจะไม่แปรเปลี่ยน แต่เส้นผมสีทองอ่อนของเธอที่ถูกมัดรวบเกิดการโยกคลอนเล็กน้อย
หลังจาก ‘พระอาทิตย์ขึ้น’ พระอาทิตย์ก็ ‘ตก’ อย่างรวดเร็วพร้อมกับแสงสว่างที่หายไปในความมืดอย่างเงียบงัน
เนื่องจากเป็นพลังที่ไว้จัดการกับวิญญาณมารโดยเฉพาะ ตัวอาคารของร้านอาหารจึงไม่ได้รับความเสียหาย เอิร์ลมิสทราลแห่งเผ่าผีดูดเลือดลืมตาขึ้นและจ้องมองสองสามวินาที ก่อนจะเหยียดมือขวาออกไปและกำแน่น
คล้ายกับความมืดมิดเหนือภัตตาคารได้รับชีวิตชีวา พวกมันแปรสภาพกลายเป็นโซ่ตรวนมายาและพันธนาการกับอาคารทั้งหลัง
ท่ามกลางเสียงเสียดสี หลังคาตึกถูกดึงขึ้นด้วยตรวนแห่งความมืดจนลอยค้างกลางอากาศ
เมื่อไม่มีสิ่งกีดขวาง ทั้งมิสทราลและชารอนต่างมองเห็นสถานการณ์ภายในห้องที่เป็นเป้าหมายอย่างชัดเจน
บนโต๊ะสี่เหลี่ยมที่มีผ้ารอง ข้างๆ เครื่องรับโทรเลขไร้สายมีข้อความที่ถูกเข้ารหัส ส่วนบนพื้นฝั่งตรงข้ามปรากฏรอยไหม้สีคราม
อีกมุมหนึ่งของห้องมีเปียโนตัวเก่าวางอยู่ เบาะนั่งสีน้ำตาลมีร่องรอยการใช้งานจนถึงเมื่อครู่
เหนือเปียโนมีไวน์แดงวางอยู่หนึ่งแก้ว ภายในแก้วมีก้อนเนื้อประหลาดเหนียวๆ ถูกแช่อยู่
นอกจากการตกแต่งและการจัดวาง ห้องนี้ก็เหมือนกับบ้านทั่วๆ ไปที่มีผงสมุนไพรและน้ำมันสกัดหกกระจัดกระจายเต็มพื้น
ฉากตรงหน้าทำให้ชารอนที่สามารถรับวิวรณ์โดยตรงได้จากโลกวิญญาณผุดความคิดบางอย่าง
บุคคลที่เคยอยู่ที่นี่เพิ่งหลบหนีไป!
แต่ยังไม่ทันที่เธอ เอิร์ลมิสทราล และมาร์ควิสนีบาสจะได้ตอบสนอง ไวน์แดงที่แช่ก้อนเนื้อเหนียวๆ พลันส่องแสงจางเจือจาง
ทันใดนั้น แสงสีแดงพลันสว่างไสวจนดูเหมือนกับพระจันทร์สีแดง
แสงจากพระจันทร์ช่วยขจัดปัดเป่าความมืดโดยรอบ ส่งผลให้เหล่าครึ่งเทพในที่เกิดเหตุรู้สึกคล้ายกับพวกมันกำลังยืนอยู่บนพื้นดินและแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน
ดวงตาสีฟ้าของชารอนคล้ายกับถูกแช่แข็งชั่วคราว จากนั้นเธอรีบยกมือซ้ายและตวัดแผ่วเบาจนเผยให้เห็นเครื่องประดับสีแดงเข้มในมือ
เครื่องประดับดังกล่าวดูคล้ายพระจันทร์เต็มดวงที่มีอัญมณีสีแดงเข้มฝังอยู่โดยรอบ กึ่งกลางมีลวดลายพระจันทร์และอักขระลึกลับ
นี่คือ ‘มงกุฎจันทร์ชาด’ ที่ชารอนสามารถชิงมาครองด้วยความช่วยเหลือจากนักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ ตัวมงกุฎคอยแผ่แสงสว่างอันสงบนิ่งออกมาตลอดเวลาและช่วยให้ผู้ถือเป็นอิสระจากอิทธิพลของพระจันทร์เต็มดวง
ทว่า พระจันทร์ในภัตตาคารนั้นไม่ใช่พระจันทร์เต็มดวงธรรมดา หากแต่ใกล้เคียงกับจันทราโลหิตหรือมากกว่านั้น พลังวิญญาณที่ยากจะอธิบายพลันพรั่งพรูไปทุกทิศ มิติที่ถูกแยกออกจากโลกความจริงด้วยปีกขนาดมหึมาของนีบาสพลันมอบบรรยากาศเงียบเชียบสุดพิสดาร แม้แต่ชารอนที่ถือมงกุฎจันทร์ชาดก็เริ่มสัมผัสถึงความคิดชั่วร้ายภายในใจที่เริ่มแพร่พันธุ์ สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่ยากจะอธิบาย
สัญชาตญาณสั่งให้เธอแปลงกายเป็นวิญญาณมารและหลบซ่อนในวัตถุชนิดต่างๆ จำนวนต้นไม้หรือโคมไฟถนน แต่สติและหลักเหตุผลได้ขัดขวางพฤติกรรมดังกล่าว เนื่องจาก ‘พระจันทร์สีแดง’ ดวงดังกล่าวนั้นกำลังเจิดจ้าจนไม่มีจุดอับ
ทันใดนั้น เอิร์ลมิสทราลพบว่าท้องของมันพองออกเล็กน้อย รู้สึกคล้ายกับสัญญาณชีพค่อยๆ หลั่งไหล่มารวมกันด้านในและก่อตัวเป็นรูปร่าง
ในฐานะสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษที่สามารถดึงพลังของดวงจันทร์มาใช้งานได้อย่างอิสระ เอิร์ลมิสทราลไม่เคยเตรียมตัวรับมือกับผลข้างเคียงของพระจันทร์และจันทราโลหิตมาก่อน เนื่องจากตัวมันควรจะดื่มด่ำและมีความสุขท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนั้น แต่ใครจะไปคิดว่าสิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เลวร้ายจนเหนือจินตนาการเช่นนี้
มันตระหนักดีว่าหากปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไป ตนจะให้กำเนิดชีวิตใหม่โดยไม่มีทางทราบต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายและน่าสยดสยองเช่นนี้
หนึ่งในอำนาจในขอบเขตของ ‘จันทรา’ คือการ ‘สืบพันธุ์’ และ ‘ขยายพันธุ์’ !
พร้อมกันนั้น ขนสีขาวดกหนาอันน่าสะพรึงเริ่มผุดขึ้นจากปีกค้างคาวขนาดมหึมาที่แบ่งแยกมิติแห่งนี้ออกจากโลกแห่งความจริง
นีบาสคำรามต่ำพร้อมกับการปรากฏขึ้นของรอยร้าวบนผิวมิติปิดผนึกแห่งนี้
ห่างออกไปสองสามช่วงตึก เอ็มลิน·ไวน์ซึ่งหมุนแหวนคำสาบานแห่งกุหลาบเล่นด้วยความเบื่อหน่าย ประสาทสัมผัสของมันทำการเชื่อมต่อกับเอิร์ลมิสทราลทันที ได้เห็นในสิ่งที่อีกฝ่ายเห็น ได้ยินในสิ่งอีกที่ฝ่ายได้ยิน
ความคิดและความรู้สึกที่เป็นของเอิร์ลมิสทราลถูกถ่ายทอดมายังสมองของเอ็มลินอย่างท่วมท้น มันรีบเหยียดหลังตั้งตรงด้วยสีหน้าตกตะลึงและบิดเบี้ยวสุดขีด ท้องไส้ปั่นป่วนกะทันหันพร้อมกับความรู้สึกอยากอาเจียน
แม้ร่างต้นไคลน์จะอาศัยพลังจากยุบพองหิวโหยเพื่อซ่อนตัวในเงามืดด้านนอกภัตตาคาร แต่หุ่นเชิดของมันได้แฝงตัวเข้ามาในมิติปิดผนึกที่นีบาสสร้างขึ้น แถมยังช่วยให้พลัง ‘บิดเบือน’ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตัดขาดกับโลกภายนอกและด้ายวิญญาณ
แต่ในวินาทีที่ดวงจันทร์มายาสีแดงส่องแสง ชายหนุ่มมีอันต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าหุ่นเชิดไร้ชีวิตของตนมีความต้องการที่จะขยายพันธุ์!
และชีวิตใหม่ที่จะเกิดขึ้นย่อมต้องเป็นทายาทของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย!
นี่มันเหมือนกับพลังของลิลิธที่เดอะซันน้อยเล่าจากตำนานเมืองเงินพิสุทธิ์ และลักษณะเด่นของดวงจันทร์บรรพกาลที่เอ็มลินเคยเล่าให้ฟัง… อย่างนี้นี่เอง มาดราพฤกษาแห่งแรงกระหายได้ครอบครองส่วนหนึ่งของอำนาจในขอบเขต ‘จันทรา’ และกัดกร่อนมันให้เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม… ไคลน์ซึ่งเตรียมจะสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดเพื่อเข้าไปอยู่ในมิติปิดผนึกและเทเลพอร์ตพาชารอนออกมา พลันเกิดความยินดีปรีดาเกินกว่าจะพรรณนาในใจ
เป็นความสุขคล้ายกับได้เห็นดอกไม้บานภายในค่ำคืนที่เปี่ยมไปด้วยสายหมอก เป็นความสุขคล้ายกับได้ออกจากเมืองใหญ่ไปอาศัยในแถบชนบทและสูดอากาศอันสดชื่นภายในป่าหลังฝนตก เป็นความสุขคล้ายกับการได้เห็นเห็ดค่อยๆ เจริญเติบโต เป็นความสุขของการได้เห็นชีวิตใหม่ถือกำเนิดและพัฒนา
ขนสีขาวนวลบนปีกค้างคาวยักษ์พลันหลุดร่วง ท้องที่ปูดโปนของเอิร์ลมิสทราลหดกลับเป็นปรกติ ดวงตาของชารอนที่ถูกแช่แข่งขณะกำลังถือมงกุฎจันทร์ชาดได้รับประกายแสงกลับคืน
ทันทีหลังจากนั้น พระจันทร์สีแดงภายในภัตตาคารสูญเสียความสว่างอย่างรวดเร็วประหนึ่งมีใครบางคนดูดกลืนแสงออกไป
จนกระทั่งพระจันทร์สีแดงเลือนหายโดยสมบูรณ์ ทุกสิ่งกลับสู่ภาวะปรกติ
เป็นฝีมือของดยุคโอลเมอร์แห่งตระกูลผีดูดเลือด? ไคลน์พยักหน้าไตร่ตรองและซ่อนตัวในเงามืดต่อไป
มิสทราลระงับโทสะของมันพลางก้มมองภัตตาคารเบื้องล่างและกล่าวเสียงต่ำ
“ดูเหมือนว่าเป้าหมายจะรู้ตัวล่วงหน้า”
“ล่วงหน้าเพียงครู่เดียว” เมื่อผนวกสิ่งที่เกิดขึ้นกับวิวรณ์ที่ได้รับจากโลกวิญญาณ ชารอนมอบคำตอบของตัวเอง
ขณะสำรวจราวสองสามวินาที ดวงตาสีแดงสดของมิสทราลเผยประกายประหลาด
“แทบจะในเวลาเดียวกับที่เรามาถึง คนที่เคยอยู่ที่นี่หนีไปโดยทิ้งแก้วไวน์และหุ่นกระบอกพิสดารนั่น… ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่กับดักที่เตรียมการนานอะไรนัก เป็นการคิดขึ้นมาสดๆ”
กล่าวถึงตรงนี้ มิสทราลหันไปมองชารอนและพูด
“ทำไมพวกมันถึงรู้ตัวได้ในทันที?”
สีหน้าของชารอนยังคงเฉยเมย เธอมอบคำตอบเสียงเรียบ
“ไม่ใช่ฝีมือของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย”
เทพมารตนดังกล่าวมิอาจแทรกแซงพลังมายังโลกความจริงได้มากนัก จึงเป็นเรื่องยากที่จะแจ้งเตือนสาวกล่วงหน้า
ราชันเร้นลับ 1060 : ความลับที่ต้องปกปิด
เอิร์ลมิสทราลขมวดคิ้วชนกัน แม้มันจะไม่เต็มใจยอมรับ แต่ก็เลือกที่จะพูดออกมาตรงๆ
“ข้าเชื่อว่าข่าวคราวของทางเราคงไม่รั่วไหลออกไป”
เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง บรรดาครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบคงมีเวลามากพอที่จะร้องขอการตอบสนองจากมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายหรือไม่ก็ ‘เทพหายนะ’ เซียอา และนั่นจะกลายเป็นกับดักที่ทรงพลังจนแม้แต่เทวทูตก็มิอาจสะสางได้ง่ายนัก
เป็นเหตุผลที่มิสทราลจงใจเอ่ยขึ้นมาว่ากับดักของอีกฝ่ายถูกสร้างขึ้นในวินาทีสุดท้ายอย่างลนลาน
เพราะนั่นคือหลักฐานยืนยันว่าไม่มีหนอนบ่อนไส้ในปฏิบัติการ เพราะท้ายที่สุด ทุกคนที่ล่วงรู้แผนการล้วนเข้าร่วมด้วย ถ้าต้องการปล่อยข่าวก็คงทำนานแล้วและช่วยให้ฝ่ายโรงเรียนกุหลาบมีเวลาเตรียมตัว เว้นเสียแต่คนคนนั้นจะเกิดเปลี่ยนใจกะทันหันหรือต้องการอาศัยประโยชน์จากความฉุกละหุก แต่การทำแบบนั้นก็จะยิ่งเหลือร่องรอยทิ้งไว้
ชารอนในหมวกอ่อนสีดำใบเล็ก ก้มมองภัตตาคารที่ปราศจากหลังคาและกล่าว
“บางทีพวกมันอาจมีวิธีแปลกๆ ในการตรวจจับอันตราย”
เพื่อปฏิบัติการคราวนี้ ตระกูลผีดูดเลือดถึงกับลงทุนใช้สมบัติปิดผนึกที่สามารถรบกวน ‘ลางสังหรณ์อันตราย’ ของปีศาจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังทำนายและพลังพยากรณ์ที่มีระดับต่ำกว่าย่อมต้องไร้ผลเช่นกัน
“ก็คงงั้น…” มิสทราลหาคำอธิบายที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ขณะเดียวกันบนชั้นสองของภัตตาคาร นอกจากไวน์แดงและหุ่นแปลกๆ ที่ระเหยหายไป องค์ประกอบอื่นภายในห้องยังเหมือนเดิมทุกประการราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เดิมทีชารอนและมิสทราลต้องการจะลองทำนายหรือไม่ก็ใช้พลังฟื้นฟู ‘ที่เกิดเหตุ’ เพื่อหาคำตอบให้กับข้อสงสัยของพวกตน แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างละเอียด พวกมันยืนยันว่าไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะทุกหนแห่งภายในมิติแห่งนี้ถูก ‘ฉาบ’ ด้วยแสงของพระจันทร์สีแดง ประสิทธิภาพเทียบเท่าการชำระล้างของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย พลังทำนายทุกชนิดจะมุ่งเป้าไปยังเทพมารตนนี้อย่างไม่ต้องสงสัยและนั่นทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายเหนือจินตนาการ
โดยไม่รอให้ชารอนกล่าวคำใด มิสทราลสูดลมหายใจยาวและพูด
“ทุกเรื่องย่อมเกิดเหตุไม่คาดฝันได้เสมอ ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้ทุกครั้ง… วันนี้พอแค่นี้ก่อน หากแช่อยู่นานเกรงว่ากองกำลังของทางการจะตรวจพบความผิดปรกติ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ตรวนสีดำที่กระชากหลังคาขึ้นไปด้านบนพลันเลือนรางและกลายเป็นภาพมายา
หลังคาร่อนลงไปครอบภัตตาคารอีกครั้งราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
แต่แน่นอน หากเผชิญกับฝนตกหนัก น้ำจะรั่วซึมเข้าไปในอาคาร และเมื่อเผชิญกับพายุกระโชก มีโอกาสที่หลังคาทั้งหมดจะถูกพัดลอยขึ้น
ปีกค้างคาวขนาดมหึมาที่ปกคลุมมิติโดยรอบเริ่มหดกลับเข้าไปในความมืด ส่งผลให้สายฝนจากด้านบนโปรยปรายลงมาอีกครั้ง
ไคลน์ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเฝ้ามองร่างชารอนในเดรสสีดำซับซ้อนเลือนหายไปในอากาศ ขณะเดียวกันก็เห็นกลุ่มควันมายาลอยขึ้นฟ้าพร้อมกับแตกตัวเป็นค้างคาวเล็กๆ จำนวนมากและบินไปคนละทิศทาง มันไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วพลางพึมพำ
เกิดข้อผิดพลาดขึ้นตรงไหนกันแน่…
ข้อผิดพลาดนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว แต่หากไม่ทราบว่าข้อผิดพลาดคืออะไร นั่นต่างหากที่น่ากลัว
ไม่ว่าจะอยู่ในระดับชั้นใด ความไม่รู้ย่อมน่ากลัวเสมอ
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งแว่วข้างหูไคลน์
“เกิด…” “อะไรขึ้น…” “ที่นี่…” “กันแน่…”
ไคลน์หันไปมองด้านข้างและพบว่ามิสผู้ส่งสารเดินออกจากความว่างเปล่ามาหยุดข้างตน
ดวงตาสีแดงสี่คู่ล้วนจดจ้องไปทางภัตตาคาร
“…คุณมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไหม?” ไคลน์ถามเข้าประเด็น
หลังจากเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์พัฒนาถึงลำดับ ‘วิญญาณอาฆาต’ ผู้วิเศษจะเข้าออกโลกวิญญาณได้อย่างอิสระและรับวิวรณ์ที่เกี่ยวข้องได้โดยตรง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นในแง่พลังทำลายหรือสัมผัสวิญญาณ เทวทูตในเส้นทางดังกล่าวจะทรงพลังเป็นอย่างมาก ไคลน์จึงตัดสินใจถาม
สี่หัวของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ส่ายหน้าพร้อมกับและพูด
“ไม่”
ไคลน์พยักหน้าตรึกตรองสักพักโดยไม่มีคำถามต่อ ทำเพียงนำหุ่นเชิดออกจากที่เกิดเหตุ
…
“จบแบบนี้เนี่ยนะ…” เอ็มลิน·ไวท์ที่เพิ่งข่มอาการคลื่นไส้เสร็จ ลูบไล้แหวนเลี่ยมอัญมณีสีน้ำเงินพลางพึมพำด้วยความประหลาดใจ
มันสัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดของเอิร์ลมิสทราลผ่านแหวนคำสาบานแห่งกุหลาบ รวมถึงความโกรธและความพยายามในงานระงับอารมณ์ไม่ให้นำไปลงกับสตรีและคนรอบข้าง มิสทราลประเมินเบื้องต้นว่าภารกิจล้มเหลวเนื่องจากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
“เสร็จแล้วหรือ?” ได้ยินเสียงรำพันจากอีกฝ่าย มาริคที่กำลังรออยู่ด้วยกันพลันเผยสีหน้าประหลาดใจ
ใจจริงมันอยากจะถามว่าทำไมเอ็มลิน·ไวท์ถึงเกิดอาการเคลื่อนไส้และมีสีหน้าบิดเบี้ยว แต่สุดท้ายก็ระงับความอยากรู้อยากเห็นไว้
“เปล่า… พวกเขาไม่พบเป้าหมาย” เอ็มลินพยายามนึกทบทวนสิ่งที่เอิร์ลมิสทราลเห็นและได้ยินอย่างสุดความสามารถ แต่เนื่องจากมิติดังกล่าวถูกมาร์ควิสนีบาสผนึกไว้ สิ่งที่มันเห็นจึงมีเพียงเหตุการณ์หลังจากพระจันทร์สีแดงสว่างวาบ และนั่นมาพร้อมกับอารมณ์อันท่วมท้นและความผิดปรกติ
ขณะเดียวกัน เอ็มลินพึมพำในใจ
ครึ่งเทพฝ่ายระงับแรงปรารถนาสิงตุ๊กตามาเข้าร่วมปฏิบัติการรึไง?
ตุ๊กตาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้… เป็นฝีมือของช่างคนไหน? นี่มันงานศิลป์ชัดๆ!
“ไม่พบเป้าหมาย? หมายความว่ายังไง?” มาริคอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ตามความคิดของมัน ปฏิบัติการเมื่อครู่กำลังไปได้สวย ไม่ว่าจะเป็นมัน ชารอน เอ็มลิน หรือเผ่าผีดูดเลือด ไม่น่าจะมีใครมีแรงจูงใจที่จะเปิดเผยข้อมูลให้โรงเรียนกุหลาบรับรู้
ในส่วนของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้คงไม่มีสิ่งใดให้ต้องคลางแคลง ความน่าเชื่อถือของอีกฝ่ายสามารถพิสูจน์ได้จากเหตุการณ์ในอดีต
หลังจากระงับความผิดหวังและคลางแคลงใจ มาริคกล่าวเสียงเรียบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องรีบออกจากบริเวณนี้”
ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างของมันเลือนรางลงจนดูเหมือนกับวิญญาณอาฆาต
จิตใต้สำนึกของเอ็มลินอยากจะถามอีกฝ่ายว่ารู้จักช่างทำตุ๊กตาเก่งๆ หรือไม่ แต่หลังจากอ้าปากเล็กน้อย มันพบว่าคำถามแบบนี้จะสร้างปัญหาให้แก่ภาพลักษณ์ของตระกูลผีดูดเลือด สุดท้ายจึงทำเพียงกลืนกลับเข้าไปในท้อง
แต่ถึงจะรู้จักช่างทำตุ๊กตา เราก็คงไม่มีเงินซื้ออยู่ดี… เพื่อที่จะแบกรับชะตากรรมของตระกูล เราต้องเสียสละสักสองสามสิ่งเสมอ… เรื่องที่น่าเสียดายก็คือ ปฏิบัติการจับกุมตัวครึ่งเทพแห่งโรงเรียนกุหลาบคราวนี้ล้มเหลว ส่งผลให้ไม่ทราบสถานการณ์ปัจจุบันในสำนักงานใหญ่พวกมัน พลาดโอกาสในการช่วงชิงมรดกที่ท่านบรรพบุรุษเหลือทิ้งไว้… ท่ามกลางความคิดที่ผสมผสาน สีหน้าของเอ็มลินทวีความหม่นหมอง
…
ย่านสะพานเบ็คลันด์ ถนนประตูเหล็ก ภายในห้องบิลเลียดของผับวีรบุรุษ
ไคลน์ซึ่งอยู่ในร่างเชอร์ล็อก·โมเรียตี้กำลังนั่งฝั่งตรงข้ามชารอนและมาริค
หลังจากปล่อยให้บรรยากาศเงียบงันสักพัก ชารอนในชุดเดรสชาววังสีดำซึ่งกำลังนั่งบนเก้าอี้สูง จ้องหน้านักสืบชื่อดังฝั่งตรงข้ามและกล่าว
“คุณมีความเห็นยังไงบ้าง?”
ไคลน์ไตร่ตรองก่อนจะเล่า
“อิทธิพลของพระจันทร์สีแดงเสื่อมเร็วเกินไป”
“คุณกำลังสงสัยว่า ทั้งที่ครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบสัมผัสถึงอันตรายใหญ่หลวงได้ล่วงหน้าจากวิธีการหรือจากตัวตนบางอย่าง แล้วทำไมพวกมันถึงเลือกที่จะวางกับดักห่วยๆ และไม่ได้ผล?” มาริคและชารอนมองหน้ากันก่อนจะถามในสิ่งที่คิด
“ถูกต้อง” ไคลน์พยักหน้า “ถ้าพวกมันเดาได้ว่าภัยอันตรายร้ายแรงกำลังมาเยือน แทนที่จะเสียเวลาวางกับดักห่วยๆ ทำไมถึงไม่รีบหนีไปตั้งแต่แรกให้สิ้นเรื่อง? สิ่งนี้ขัดต่อหลักการเอาตัวรอดของสิ่งมีชีวิต”
ชารอนที่สวมหมวกอ่อนใบเล็กผงกศีรษะแผ่วเบาจนยากจะสังเกต
“มองผิวเผินอาจดูเหมือนเป็นกับดัก แต่ความจริงแล้วเป็นการปกปิดบางสิ่ง?”
ไคลน์ตอบไม่ช้าไม่เร็ว
“ถูกต้อง เป็นการอาศัยกับดักนั้นเพื่อ ‘ชำระล้าง’ ที่เกิดเหตุและกีดขวางการทำนายตรวจสอบสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง… เพื่อที่จะปกปิดความลับนั้น ครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบยอมเสี่ยงอยู่ในที่เกิดเหตุจนถึงวินาทีสุดท้าย”
“แต่พวกมันอาจคาดไม่ถึงว่าทางเราจะใช้เทวทูตทำลายกับดัก” มาริคเสนอความคิด
ไคลน์พูดพลางยิ้ม
“ในวินาทีที่พวกคุณจู่โจมสมาชิกลับของโรงเรียนกุหลาบในเบ็คลันด์ พวกมันไม่มีทางมองข้ามเทวทูตที่คอยหนุนหลังพวกคุณ”
ชายหนุ่มกำลังหมายถึงไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์
“แล้วพวกมันต้องการปกปิดความลับใด?” คล้ายกับเชื่อในทฤษฎีของไคลน์ ชารอนถามพลางเหยียดตัวตรง
ไคลน์ส่ายหน้า
“ตอนนี้ยังมีความเป็นไปได้มากเกินไป อาจเป็นความลับที่ช่วยให้พวกมันไหวตัวทัน หรือเป็นความลับเกี่ยวกับแผนการที่พวกมันเตรียมลงมือในกรุงเบ็คลันด์”
กล่าวถึงตรงนี้ ไคลน์พยายามเชื่อมโยงโรงเรียนกุหลาบเข้ากับความวุ่นวายภายในกรุงเบ็คลันด์ แต่สุดท้ายก็พบว่าไม่มีที่ว่างให้สอดแทรก เพราะไม่ว่าจะเป็นสามโบสถ์หลักหรือเทพมารฝ่ายใด ก็ไม่มีใครต้องการร่วมมือกับมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย
นั่นยิ่งทำให้ไคลน์ฉงนหนักกว่าเดิมและมิอาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดเหตุร้ายใดขึ้นในอนาคต
มันเว้นวรรคสักพักก่อนจะมองหน้าชารอนและมาริค
“สรุปก็คือพวกเราต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวและมาที่นี่ให้น้อยลง… อา… หากมั่นใจว่าตัวเองปลอดภัย พวกคุณสามารถเฝ้าจับตามองสมาชิกลับคนอื่นๆ ของโรงเรียนกุหลาบเพื่อค้นหาความผิดปรกติที่ซ่อนอยู่”
“ขอบคุณมาก” ชารอนลอยตัวขึ้นและกล่าวขอบคุณ
มาริคทำเช่นเดียวกัน
เปลวไฟสีแดงเข้มพลันลุกโชนพร้อมกับการเลือนหายไปของร่างกายไคลน์
จากข้อตกลงในตอนต้น เนื่องจากไคลน์ไม่ต้องลงมือ รางวัลตอบแทนจึงมีเพียงการขอความช่วยเหลือจากไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ได้หนึ่งครั้ง
..
กลับถึงบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ขณะไคลน์เตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้านอน มันได้ยินเสียงสวดวิงวอนดังแว่ว
เป็นเสียงของสตรี
มิสจัสติส… ไคลน์พยักหน้าพลางคาดเดา เดินเข้าห้องน้ำและส่งตัวเองเข้าไปในมิติเหนือสายหมอก
ไม่ผิดจากที่คาด ผู้สวดวิงวอนคือ ‘จัสติส’ ออเดรย์ เนื้อหาระบุว่าเธอสามารถรวบรวมเงินสดได้ครบหนึ่งหมื่นสองพันปอนด์และพร้อมจ่ายให้มิสเตอร์เวิร์ลเพื่อแลกกับตะกอนพลังนักท่องฝันและนักสะกดจิต
อา… หากพิธีกรรมของเธอสามารถใช้ ‘อ้อมกอดเทวทูต’ แทนได้ อีกสองวันก็น่าจะเลื่อนลำดับสำเร็จ เมื่อถึงตอนนั้นเราจะเลื่อนคิวการสำรวจ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ให้เร็วขึ้น… หึหึ เลียวนาร์ดกลายเป็นจอมอาคมวิญญาณมาสักพักแล้วและตอนนี้กำลังว่าง… ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลายพลางบอกให้มิสจัสติสดำเนินพิธีกรรมสังเวย
เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันทวีความตึงเครียดขึ้นทุกขณะและมีปัจจัยที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไคลน์จึงต้องมองหาทางลัดในการพัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดด และนั่นประกอบด้วยหลายปัจจัย ข้อแรก มันต้องสะสมหุ่นเชิดและรวบรวมสมบัติปิดผนึก ข้อที่สอง มันต้องฟื้นฟูพลังให้กับเหล่า ‘ผู้ช่วยเหลือ’ รอบๆ ตัว และข้อที่สาม มันต้องศึกษาหาความรู้และเข้าถึงความลับให้มากขึ้น เพราะนั่นจะช่วยให้มองเห็นความจริงและเข้าในภาพรวมของขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ ได้ชัดเจนขั้น บางทีพบเจอโอกาสภายในนั้น
การสำรวจ ‘การเดินทางของกรอซาย’ อยู่ในหมวดหมู่ข้อที่สาม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น