Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1053-1056
ราชันเร้นลับ 1053 : ประธาน
ท่ามกลางโลกสลัวๆ พระจันทร์สีแดงดวงมหึมากำลังแขวนอยู่บนท้องฟ้าเหนือหลังบ้านอย่างเงียบเชียบ ทุกสิ่งในสวนดอกไม้คล้ายกับกำลังหลับสนิท
ความสิ้นหวังจางหายไปจากดวงตามังกรสีเทาที่ไม่สมบูรณ์ ปีกที่ปกคลุมไปด้วยผิวหนังทิ้งตัวลงตามธรรมชาติ ดูราวกับเป็นหมาบ้านเชื่องๆ
เฮอร์วิน·แรมบิส หนึ่งในคณะกรรมการของสมาคมแปรจิต ครึ่งเทพแห่งเส้นทางผู้ชม ได้สูญเสียชีวิตของมันและกลายเป็นหุ่นเชิดของไคลน์!
ไคลน์ไม่มัวชื่นชมนานนัก รีบสลับตำแหน่งกับ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนที่อยู่ใกล้มังกรสีเทา และเพียงพริบตา เกอร์มัน·สแปร์โรว์ในชุดกันลมสีดำและหมวกผ้าไหมได้ปรากฏตัวขึ้นในจุดดังกล่าว
จากนั้น มันควบคุมหุ่นเชิดตัวใหม่เพื่อใช้พลังรักษา ‘โรคติดต่อทางจิต’
สายลมเย็นพัดผ่านแผ่วเบาไปทั่วทะเลจิตใต้สำนึกรวม อากาศอันเย็นเยียบแทรกซึมเข้าไปในเกาะแห่งจิตใต้สำนึกของไคลน์ ส่งผลให้ชายหนุ่มรู้สึกว่า สิ่งแปลกปลอมภายในจิตใจที่คอยกัดกร่อนและแปลกแยก ค่อยๆ ถูกขจัดออกทีละนิดด้วยมีดผ่าตัด
ไคลน์ที่เคยมีสีหน้าบิดเบี้ยวเริ่มกลับมายิ้มแย้ม เป็นอีกครั้งที่มันรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวราวกับวิญญาณถูกฉีกออกจากกัน
นับว่าโชคยังเข้าข้าง ในกระบวนการสร้างกระสุนคุมวิญญาณและยันต์วันวานอีกครั้ง มันคุ้นเคยกับความรู้สึกเจ็บปวดระดับนี้เป็นอย่างดี จึงไม่ได้ยกมือขึ้นมาจับหัวและเกลือกกลิ้งไปบนพื้น
หลังจากแยก ‘เชื้อโรค’ ทางจิตออกจากจิตสำนึกที่ติดเชื้อ สายลมเย็นๆ แปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นที่ทำให้ผู้คนอยากงีบหลับ ร่างวิญญาณที่บาดเจ็บของไคลน์เริ่มผ่อนคลาย ประหนึ่งได้แช่ตัวในอ่างอาบน้ำอุ่นหลังจากเหน็บเหนื่อยมาทั้งวัน ร่างกายและจิตใจกลับมากระชุ่มกระชวยและฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งอาการป่วยทางจิตหายเป็นปลิดทิ้ง สายลมที่พัดผ่านทวีรุนแรงขึ้นอย่างกะทันหัน พัดกวาดไปทั่วโลกแห่งจิตและกำจัด ‘เชื้อโรค’ ทั้งหมดที่หลงเหลือในอากาศ
จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์เปลี่ยนให้มังกรสีเทาหดตัวกลับ ลดทอนความเป็นเทพและกลับไปเป็นมนุษย์
ทว่า เนื่องจากเสื้อผ้าของเฮอร์วิน·แรมบิสถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เกล็ดสีเทาบนร่างกายจึงยังไม่ถูกขจัดออกไป
ไม่กี่วินาทีถัดมา ในชุดคลุมแสนธรรมดาและเส้นผมสีดำปล่อยตามธรรมชาติ อาเรียนน่า หัวหน้านักบวชแห่งรัตติกาลซึ่งสวมเข็มขัดเปลือกไม้ เดินจากพระจันทร์สีแดงดวงใหญ่ ก้าวเท้าไปบนความว่างเปล่าจนกระทั่งหยุดลงด้านข้างเฮอร์วิน·แรมบิสในแนวเฉียงจากด้านบน
เพียงเทวทูตรายนี้ยื่นมือขวาออกและทำท่าจับเบาๆ วิญญาณที่คลุมเครือของเฮอร์วิน·แรมบิสพลันถูกกระชากออกจากร่างกายและลอยเหนือศีรษะ
“ทำไมเจ้าถึงช่วยจอร์จที่สาม” อาเรียนน่าถามเข้าประเด็นทันที
สีหน้าที่สับสนของเฮอร์วิน·แรมบิสเริ่มจริงจัง:
“นี่คือทางเลือกของกระแสเวลา เป็นชะตากรรมที่มิอาจเลี่ยง พวกเราแค่ไหลไปตามกระแสและคอยให้คำแนะนำเล็กน้อย เพื่อให้กระแสเวลาพัดพาไปในทิศทางที่ถูกต้อง”
คำตอบมาตรฐานของสภานักสิทธิ์สนธยา… ดูเหมือนว่า พวกครึ่งเทพของสมาคมแปรจิตก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของอาดัมคืออะไร… แม้แต่ในหมู่สมาชิกระดับสูงของสภานักสิทธิ์สนธยา ส่วนใหญ่ก็คงไม่ทราบ… อาศัยคุณสมบัติของโลกแห่งความลับ ไคลน์ไตร่ตรองโดยไม่ต้องกังวลภายหลัง
อาเรียนน่ามิได้เผยความประหลาดใจ ยังคงถามต่อไป
“กระแสเวลาถัดไปคืออะไร?”
เฮอร์วิน·แรมบิสตอบด้วยสายตาเหม่อลอยแต่สีหน้าเคร่งขรึม:
“สงคราม… สงครามที่กวาดล้างโลก”
นี้มัน… ความสงบสุขไม่ดีตรงไหน? ไคลน์ขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะรำพัน
สงครามโลกจะนำมาซึ่งความบอบช้ำแบบใดต่อมนุษยชาติ มันค่อนข้างชัดเจน
ชายหนุ่มเพียงหวังว่า การตามสืบสวนของตนและโบสถ์รัตติกาล จะสามารถไขกุญแจของปริศนานี้ได้โดยเร็ว และช่วยป้องกันการแพร่กระจายของสงครามที่ถูกส่งเสริมโดยสภานักสิทธิ์สนธยา
อาเรียนน่าเงียบงันสักพัก จากนั้นก็ถาม
“ความลับของจอร์จที่สามคือสิ่งใด”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเฮอร์วิน·แรมบิสทันที:
“กษัตริย์ทุกพระองค์จะถูกผูกมัดด้วยสัญญาหลักสามข้อ และห้ามมีลำดับสูงกว่า 5… แต่อาศัยความช่วยเหลือจากพวกเรา พระองค์สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดไปได้ ตอนนี้พัฒนาไปไกลแล้ว แค่รอให้กระแสน้ำแห่งกาลเวลาไหลมาถึง พระองค์ก็จะได้เถลิงบัลลังก์ที่คู่ควร”
สัญญาหลักสามข้อ… หมายถึงอะไร? อา… การที่ห้ามกษัตริย์มีลำดับสูงกว่า 5 นั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะท้ายที่สุด ในเมื่อผู้วิเศษต้องการปกปิดศาสตร์เร้นลับจากคนธรรมดา คงเป็นการดีกว่าถ้าตำแหน่งกษัตริย์จะเปลี่ยนมือไปตามอายุขัยปรกติ การที่มีอายุแปดสิบถึงเก้าสิบปีนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ประชาชนสามารถเข้าใจได้ แต่ถ้ามากกว่าร้อยยี่สิบแล้วยังมีชีวิตอยู่ นั่นคงทำให้นักสร้างทฤษฎีสมคบคิดสติแตก… จอร์จที่สามขวนขวายเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตยืนยาว? ด้วยความช่วยเหลือจากสมาคมแปรจิตและนิกายแม่มด? แต่ตามปรกติแล้ว นี่เป็นแค่ข้อจำกัดของกษัตริย์ ไม่ใช่ทั้งตระกูลออกัสตัส พวกมันน่าจะมีเทวทูตเดินดินจำนวนหนึ่งอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลใดให้ต้องยึดติดกับจอร์จที่สาม… คำถามมากมายผุดขึ้นในใจไคลน์
“จอร์จที่สามยังไม่ได้เป็นครึ่งเทพไม่ใช่หรือ? เจ้ากำลังจะบอกว่าเขาใช้วิธีการบางอย่างตบตาทุกคน?” อาเรียนน่าถามเสียงเรียบ
สำหรับโบสถ์รัตติกาล นี่เป็นเรื่องใหญ่มากมาก หากจอร์จที่สามเป็นครึ่งเทพจริง ทางโบสถ์สามารถติดต่อวายุสลาตันและจักรกลไอน้ำเพื่อจับกุมได้ทันที เพราะลำดับพลังของกษัตริย์คือหลักฐานที่มัดแน่นที่สุด
วิญญาณเฮอร์วิน·แรมบิสพยักหน้าและกล่าว
“ใช่…”
“วิธีการที่ว่าคืออะไร” อาเรียนน่าถามต่อ
เฮอร์วิน·แรมบิสส่ายหัวแผ่วเบาและตอบ
“ผมเองก็ไม่แน่ใจ ผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนี้คือประธานของเรา ถ้าจำไม่ผิด ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินเขาพูดว่า… เขาอยากให้จอร์จที่สามมีพรสวรรค์มากกว่านี้”
มีพรสวรรค์มากกว่านี้? ฟังคำอธิบายจบ ไคลน์พลันนึกถึงเนื้อหาบางหน้าในไดอารี่ของโรซายล์
ในสายตาของมหาจักรพรรดิ ‘พรสวรรค์’ หมายถึงการมีวิญญาณคล้ายคลึงกับบรรพบุรุษซึ่งเป็นผู้วิเศษลำดับสูง เพราะนั่นจะถูกยอมรับโดย ‘จิตตกค้าง’ ภายในตะกอนพลังและสมบัติปิดผนึกได้ง่ายกว่า ดื่มโอสถได้ง่ายกว่า และลดผลข้างเคียงจากสมบัติปิดผนึกได้มาก
นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่สมบูรณ์แบบนัก มาพร้อมอันตรายแอบแฝงที่ร้ายแรง เพราะถ้า ‘จิตตกค้าง’ พยายามยึดครองร่างของผู้ดื่มโอสถหรือผู้ถือสมบัติปิดผนึก นั่นคงเต็มไปด้วยปัญหา
และถ้าใครหวังเลื่อนขั้นเป็นครึ่งเทพด้วยวิธีนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็นสัตว์ประหลาดเย็บจิต!
จอร์จที่สามถูกสะกดจิตโดยใครบางคน? หรือว่ายอมรับวิธีนี้ด้วยตัวเอง? ไม่สิ… หากเป็นการสะกดจิต เทวทูตหรือสมบัติปิดผนึกของตระกูลออกัสตัสก็ต้องพบความผิดปรกติแล้ว… ขณะไคลน์เริ่มมึนงง หัวหน้านักบวชที่ลอยอยู่ในอากาศถามต่อ
อาเรียนน่าย่อมทราบดีว่า ‘พรสวรรค์มากกว่านี้’ หมายถึงสิ่งใด จึงเปลี่ยนประเด็นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ประธานที่ว่าคือใคร?”
เฮอร์วิน·แรมบิสแสดงภาพความทรงจำ:
“ท่านมีตัวตนมากมาย แถมยังมีหลายชื่อ แต่ขอเพียงได้เห็นหน้า ผมจะทราบทันทีว่านั่นคือประธาน… ตัวตนและชื่อที่ใช้ในตอนนี้ประกอบไปด้วย: หนึ่งในสี่ราชาแห่งท้องทะเล ราชาแห่งบัลลังก์มืด บารอส·ฮ็อปกินส์; อดีตคณบดีแห่งโรงเรียนแพทย์เบ็คลันด์ และแพทย์หลวงส่วนพระองค์; ‘คนตาย’ เพาลี·เดอราล; ผู้สันโดษชื่อดังแห่งทะเลโซเนียตอนกลาง เอริค·เดรก…”
ราชาแห่งบัลลังก์มืด… ไคลน์รู้สึกว่าตนเคยได้ยินชื่อนี้ แต่มักจะไม่ใส่ใจเสมอ ไม่ค่อยเก็บไปคิด
กลับกลายเป็นว่า ราชาโจรสลัดรายนี้มาจากเส้นทางผู้ชม… ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยความกระจ่าง
อาเรียนน่าที่ฟังอย่างเงียบงัน ยังคงถามต่อ
“จอร์จที่สามซ่อนความลับใดในซากโบราณสถานของจักรพรรดิโลหิต?”
สีหน้าอันเฉื่อยชาของเฮอร์วิน·แรมบิสแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ก่อนจะตอบ
“เป็นสิ่งสำคัญที่มาก… หากพระองค์ต้องการใช้มัน จะต้องมีพิธีกรรมสังเวยครั้งใหญ่”
“สิ่งนั้นคืออะไร” อาเรียน่าถามต่อทันที
เฮอร์วิน·แรมบิสเว้นวรรคเล็กน้อย
“ผม… จำไม่ได้…”
มันรีบยกมือขึ้นมาจับศีรษะของร่างวิญญาณ สีหน้าค่อนข้างเจ็บปวด
แต่ไม่ว่าจะเค้นสมองนึกสักเท่าไร มันก็จำคำตอบไม่ได้
หรือความทรงจำในส่วนนี้จะถูก ‘ล้าง’ โดยอาดัมหรือไม่ก็เทวทูตเส้นทางผู้ชม? ไคลน์เฝ้ามองเหตุการณ์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เริ่มพบว่าความลับในซากโบราณสถานอาจมีความสำคัญมากกว่าที่ตนคิด
อาเรียนน่าเงียบงันราวสามวินาที ก้มศีรษะลงและกล่าวกับไคลน์:
“เจ้าอยากถามอะไรไหม?”
ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก มองหน้าเฮอร์วิน·แรมบิสและกล่าว
“โอสถระดับสูงในเส้นทางผู้ชมมีชื่อว่าอะไรบ้าง?”
วิญญาณของเฮอร์วิน·แรมบิสที่มีหน้าเจ็บปวด พลันโล่งใจและค่อยๆ ตอบ
“ลำดับ 4 จอมบงการ ลำดับ 3 นักสานฝัน ลำดับ 2 ผู้เห็นแจ้ง ลำดับ 1 นักประพันธ์”
มันไม่ได้เอ่ยถึงลำดับ 0 นักสร้างฝัน เห็นได้ชัดว่าไม่ทราบ
“สูตรโอสถจอมบงการมีอะไรบ้าง?” แม้ไคลน์จะรู้สึกว่าคำถามของตนมีมาตรฐานต่ำกว่าของอาเรียนน่า แต่มันก็มิได้ใส่ใจ
เฮอร์วิน·แรมบิสไม่ลังเล ตอบด้วยน้ำเสียงล่องลอย
“วัตถุดิบหลักประกอบด้วย: สมองที่สมบูรณ์ของมังกรจิตอาวุโส หรือไม่ก็ ผลึกหัวใจของเจ้าแห่งมนุษย์ต้นไม้ หรือไม่ก็ตะกอนพลังของจอมบงการ”
“วัตถุดิบเสริมประกอบด้วย: เลือดมังกรวิญญาณอาวุโสแปดสิบมิลลิมิตร, ใบสีทองของเจ้าแห่งมนุษย์ต้นไม้จำนวนสามใบ, หยดน้ำตาเจ็ดหยดที่แตกต่างกันของมนุษย์หรือสัตว์ที่หลั่งออกมาเนื่องด้วยอารมณ์อันรุนแรง…”
“พิธีกรรมก็คือ: หาโอกาสที่ผู้คนมารวมตัวกันอย่างน้อยหนึ่งหมื่นคน ดื่มโอสถท่ามกลางอารมณ์อันเข้มข้นและกังวานของผู้คนเหล่านั้น”
เมื่อเทียบกันแล้ว ความยากของพิธีกรรมเลื่อนระดับเป็นครึ่งเทพของเส้นทางผู้ชมนั้นไม่สูงนัก… แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ผู้ชมสามารถรักษาสภาพจิตใจตัวเองได้ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะรับมือกับอาการคลุ้มคลั่งและเสียสติที่มาจากการดื่มโอสถ พิธีกรรมจึงไม่ต้องซับซ้อน… ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด
“สูตรโอสถของนักสานฝันคืออะไร”
“ผมไม่ทราบ” เฮอร์วิน·แรมบิสส่ายหน้า
ถ้าอย่างนั้น… ไคลน์ถามไปว่า ทำไมเฮอร์วิน·แรมบิสถึงต้องลงมือกับออเดรย์ด้วยตัวเอง และได้คำตอบที่สอดคล้องกัน
ถัดมา มันหันไปกล่าวกับอาเรียนน่า
“ผมหมดคำถามแล้ว”
สำหรับสิ่งที่มันอยากรู้ ไม่มีเรื่องใดที่เฮอร์วิน·แรมบิสสามารถตอบได้อีก
อาเรียนน่ากดมือขวาลงเบาๆ ส่งผลให้วิญญาณของเฮอร์วิน·แรมบิสกลับเข้าร่าง
จากนั้น เทวทูตเหลือบมองมาทางไคลน์ กล่าวอย่างใจเย็น:
“อย่าใช้เขาเป็นหุ่นเชิด… และจนกว่า ‘จิตตกค้าง’ ของเขาจะถูกลบออก ไม่ควรนำตะกอนพลังไปใช้ปรุงโอสถหรือสร้างสมบัติวิเศษ”
แน่นอนอยู่แล้ว คงไม่มีใครอยากให้อาดัมมาเคาะประตูบ้าน… ไคลน์พยักหน้าขอบคุณ:
“ผมจะจำใส่ใจไว้ ขอบคุณมาก มาดามอาเรียนน่า”
ราชันเร้นลับ 1054 : พิธีกรรมเฉพาะตัว
หลังจากกล่าวขอบคุณ ไคลน์ล้มเลิกการควบคุมเฮอร์วิน·แรมบิสทันที เพื่อที่จะได้ไม่สามารถรักษาสถานภาพหุ่นเชิด
ด้วยเหตุนี้ ครึ่งเทพของเส้นทางผู้ชมจึงโยนตัวเองลงกับพื้น กลายเป็นศพแน่นิ่ง
อาเรียนน่าก้มมอง ความมืดในดวงตาเธอทวีความลุ่มลึก
ทันใดนั้นร่างของเฮอร์วิน·แรมบิสคล้ายกับภาพวาดดินสอ ค่อยๆ ถูกลบทีละนิ้วด้วยยางลบ เหลือทิ้งไว้เพียงกระบอกโลหะสีฟ้าน้ำแข็ง
ทันทีหลังจากนั้น แสงสว่างผุดขึ้นจากความว่างเปล่า จากนั้นรวมตัวกันกลายเป็นบางสิ่ง
ขนาดของมันเท่ากำปั้น ดูคล้ายกับหัวใจ แต่พื้นผิวถูกปกคลุมด้วยริ้วรอยสีขาวนวลเหมือนกับสมอง ในแต่ละรอยพับเต็มไปด้วยลวดลายพิสดารนับไม่ถ้วน บ้างจมลง บ้างขยายออกไปในความว่างเปล่า ประหนึ่งเชื่อมต่อกับโลกที่เส้นทางอื่นยากจะมองเห็น
นี่คือตะกอนพลังของ ‘จอมบงการ’
มาดามอาเรียนน่าดึงตะกอนพลังของเฮอร์วิน·แรมบิสอย่างรวดเร็ว ผ่านกระบวนการปกปิดและการปกปิดแบบย้อนกลับ… ไคลน์ตกตะลึงไปชั่วขณะ
ทันใดนั้นอาเรียนน่ากล่าวอย่างใจเย็น:
“จิตตกค้างก็ถูกลบออกแล้วเช่นกัน”
“ขอบคุณมาก มาดามอาเรียนน่า” ไคลน์ไม่ประหลาดใจมากนัก เตรียมโค้งศีรษะคำนับ
มันยอมสละหุ่นเชิดโดยไม่ลังเล ส่วนหนึ่งคาดการณ์ว่าเหตุการณ์ในทำนองนี้จะเกิดขึ้น
อันที่จริง แผนเดิมของชายหนุ่มคือการนำเฮอร์วิน·แรมบิสขึ้นไปเหนือสายหมอกในสภาพหุ่นเชิด จากนั้นก็ใช้พลังไม้กางเขนเจิดจรัส ‘สกัด’ ตะกอนพลังจอมบงการ นักท่องฝัน นักสะกดจิต และตะกอนพลังอื่นๆ ออกมา ส่งผลให้มิสจัสติสไม่ต้องกังวลกับวัตถุดิบหลักตลอดเส้นทางการก้าวไปเป็นครึ่งเทพ ไม่เพียงเท่านั้น แม้กระทั่งสุนัขวิเศษของก็ยังมีโอกาสได้เลื่อนลำดับ – ออเดรย์เล่าให้ดอน·ดันเตสฟังว่า เธอสามารถหลุดพ้นจากอำนาจสะกดจิตของเฮอร์วิน·แรมบิสได้เพราะมีซูซี่คอยช่วยเหลือ
แต่ในภายหลัง ไคลน์เริ่มตระหนักว่า การนำเฮอร์วิน·แรมบิสเข้าไปในมิติหมอกต้องไม่เกิดขึ้นภายในโลกแห่งความลับ เพราะไม่อย่างนั้นจะเป็นการเผยความลับต่อหน้าอาเรียนน่า ว่าตนคือเดอะฟูลเสียเอง และในขณะเดียวกัน ถ้ากระทำเรื่องดังกล่าวนอกโลกแห่งความลับ ไม่ว่าจะเทเลพอร์ตไปที่ใด ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกอาดัมเฝ้ามองผ่านศพเฮอร์วิน·แรมบิส
เมื่อเป็นเช่นนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการสละทิ้งหุ่นเชิดต่อหน้าอาเรียนน่า เพราะอย่างน้อยเทวทูตรายนี้ก็น่าจะช่วยไคลน์ขจัด ‘จิตตกค้าง’ ออกจากตะกอนพลัง
และวิธีนี้ไม่กระทบกับแผนเดิมของไคลน์ เพราะมันสามารถนำวัตถุดิบมั่วๆ มาเปลี่ยนตะกอนพลังของเฮอร์วิน·แรมบิสให้กลายเป็นโอสถที่มีปัญหา จากนั้นเทลงบนวัตถุธรรมดา รอจนกระทั่งมันกลายพันธุ์เป็นสมบัติปิดผนึก
เมื่อถึงตอนนั้น ไคลน์จะนำวัตถุดังกล่าว ‘มัด’ ไว้กับไม้กางเขนเจิดจรัส รอให้ตะกอนพลังของแต่ละลำดับแยกออกมาทีละขั้น
สำหรับมลพิษในจิตตกค้าง ไคลน์ไม่กังวลมากนัก เพราะไม้กางเขนเจิดจรัสมีพลังในการชำระล้าง!
ไคลน์หยิบตะกอนพลังของเฮอร์วิน·แรมบิสขึ้นมา แต่คราวนี้มิอาจยัดใส่ลงในกล่องบุหรี่โลหะ จึงต้องยัดใส่กระเป๋าเสื้อทั้งอย่างนั้น ส่วนอาเรียนน่าถอนสายตากลับไปบอกกระบอกโลหะสีฟ้าน้ำแข็ง ตามด้วยกล่าวไม่เร็วไม่ช้า:
“สิ่งมาจากดวงดาว… อย่าใช้มันจะดีกว่า พยายามอย่าแม้แต่จะถือ ไม่อย่างนั้นจะถูกเฝ้ามองและสาปให้คุณต้องทุกข์ทรมานจากมลพิษ เกิดการกลายพันธุ์หรือบิดเบือน”
“จากดวงดาว?” ไคลน์คุ้นเคยกับคำอธิบายนี้อย่างอธิบายไม่ถูก
เพียงไม่นาน มันจดจำที่มาของความคุ้นเคย
ต้นตอมาจากคำทำนายของ ‘แสงเหลือง’ เวนิธานเกี่ยวกับวันสิ้นโลกที่บันทึกไว้ใน ‘ประสบการณ์โลกวิญญาณ’ ของตระกูลอับราฮัม
“เมื่อสายตาจากดวงดาวมองลง แผ่นดินโลกพลันแหลกสลาย ทุกสิ่งในโลกจะดับสูญ”
วันสิ้นโลก… ต้นกำเนิดของสมบัติปิดผนึกชิ้นนี้เกี่ยวข้องกับวันสิ้นโลก? ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเป็นสถานที่แบบไหนกันแน่? มีความสัมพันธ์ยังไงกับโลกดารา? คำถามมากมายผุดขึ้นในใจไคลน์ สีหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นขึงขัง
เมื่อได้ยินคำถาม อาเรียนน่าพยักหน้าแผ่วเบาและตอบ:
“ถูกต้อง ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว”
“ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเหนือศีรษะของพวกเรา?” ไคลน์ยกนิ้วขึ้น ชี้ไปยังค่ำคืนอันมืดมิดซึ่งมีดวงจันทร์สีแดงขนาดใหญ่ประดับตกแต่ง
“ใช่” อาเรียนน่าตอบอย่างมั่นใจ แต่ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม
ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก ถามอีกครั้ง:
“ที่นั่นมีตัวตนที่แข็งแกร่งและพยายามทำลายโลก?”
สายตาของอาเรียนน่ากวาดไปทั่วใบหน้าชายหนุ่ม ในที่สุดก็หยุดตรงดวงตา
“ข้าบอกเจ้าไม่ได้… สำหรับบางสิ่ง ยิ่งเจ้ารู้มาก ก็ยิ่งง่ายที่จะ ‘ติดเชื้อ’ และนั่นจะลุกลามไปทั่วร่างกายและร่างวิญญาณ… ไว้เจ้าเป็นเทวทูตเมื่อไร ค่อยพยายามหาคำตอบอีกครั้ง”
ยิ่งรู้มาก… ก็ยิ่งง่ายที่จะติดเชื้อ… ไคลน์พลันเย็นสันหลังซึ่งไม่ได้รู้สึกมานานมาก
เกี่ยวกับสมบัติปิดผนึกที่เฮอร์วิน·แรมบิสพกพา ไคลน์ไม่ได้ถาม ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสก่อนลงมือ ด้วยกังวลว่าจะถูกอาดัมสังเกตเห็น
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับราชาเทวทูต จะไม่มีคำว่าระวังตัวเกินไป!
เมื่อเห็นอาเรียนน่าไม่กล่าวคำใดต่อ ไคลน์หันไปทางกระบอกโลหะสีฟ้าน้ำแข็งและกล่าว
“พวกเราควรทำยังไงกับมัน?”
คำอธิบายของผู้นำแห่งนักบวชรัตติกาลทำให้ชายหนุ่มกลัวที่จะนำขึ้นมิติหมอกเพื่อ ‘ฆ่าเชื้อ’
อาเรียนน่าตอบอย่างใจเย็น:
“คำแนะนำของข้าก็คือ ถวายแด่องค์เทพธิดา เมื่อผนวกกับผลงานในครั้งก่อนหน้า เข้าสามารถแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ต้องการ”
ไคลน์พยักหน้ารับ
“เข้าใจแล้ว”
หลังจากที่มันคำนับส่งท้าย ร่างของอาเรียนน่าถูก ‘เช็ด’ ออกอย่างรวดเร็ว หายตัวไปท่ามกลางสวนดอกไม้มืดๆ ที่พระจันทร์สีแดงเข้มมีขนาดใหญ่ผิดธรรมชาติ
โดยไม่ต้องรอนาน โลกแห่งความลับพลันแตกสลาย
เฝ้ามองอย่างเงียบงันสักพัก ไคลน์นำเทียนไขและวัตถุพิธีกรรมอื่นๆ ซึ่งพกติดตัวตลอดเวลาด้วยความรอบคอบ มาสร้างเป็นแท่นบูชาอย่างชำนาญ เตรียมสังเวยกระบอกโลหะสีฟ้าน้ำแข็งให้เทพธิดารัตติกาล
เมื่อเสร็จพิธีกรรม ท่ามกลางสายลมแรง เศษขี้เถ้าจากสมุนไพรที่ไหม้เกรียม รวมถึงดินรอบๆ พลันลอยขึ้นไปในอากาศ ตกลงบนพื้นที่ว่างของแท่นบูชา
ขี้เถ้าและดินเรียงกันเป็นคำพูด คำแล้วคำเล่า
“ลำดับ 3 ปราชญ์โบราณ”
“วัตถุดิบหลัก: ดวงตาของสุนัขแห่งฟัลกริมหนึ่งคู่ (หรือที่รู้จักในชื่อ ผู้พิทักษ์แห่งปราสาทต้นกำเนิด) , หัวใจผุกร่อนของหมาป่าอสูรแห่งสายหมอก…”
“วัสดุเสริม: เลือดของสุนัขแห่งฟัลกริมหนึ่งร้อยมิลลิลิตร, ผลึกขนน้ำแข็งของหมาป่าอสูรแห่งสายหมอกสามสิบกรัม, บันทึกประวัติศาสตร์ของจริงจำนวนมาก…”
“พิธีกรรม: ปลีกตัวจากโลกความจริงโดยสมบูรณ์อย่างน้อยสามร้อยปี และหลังจากกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ ดื่มโอสถเมื่อตัวเองไม่ใช่คนของยุคสมัยปัจจุบัน”
นี่มัน… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะกะพริบตาถี่ สงสัยว่าอ่านคำอธิบายผิดไป
คำอธิบายซึ่งระบุว่า ให้ดื่มโอสถเมื่อตัวเองไม่ใช่คนของยุคสมัยปัจจุบัน ทำให้มันนึกถึงพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของตนทันที:
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย!”
และเราก็ถูกแขวนไว้เหนือประตูแห่งแสงนั่นมานานกว่าสามร้อยปี… ในทางทฤษฎี เราประกอบพิธีกรรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว แค่รอดื่มโอสถปิดท้าย? มิติลึกลับเหนือสายหมอกสีเทามีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับเส้นทางนักทำนายจริงๆ … เป็นไปได้ไหมว่า ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางเป็นผู้คอยชักนำเรื่องนี้? ไคลน์รู้สึกยินดีอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่กล้าดีใจมากนัก เพราะไม่แน่ใจว่า ‘ของขวัญ’ ที่ตนเพิ่งได้รับนั้นมีราคาเท่าไร
ฟู่ว… หลังจากเป็นเทวทูต เราอยากจะโดดไปยังเส้นทางข้างเคียงจริงๆ เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางที่อาจมีใครสักคน ‘จัดเตรียม’ ไว้… สำหรับจอมเวทพิสดารคนอื่น เรื่องที่ยากสุดในพิธีกรรมคือการมีอายุยืนยาวให้ถึงสามร้อยปี เนื่องจากเส้นทางนักทำนายไม่ได้เสริมเรื่องอายุขัย… นอกจากนั้น การตัดขาดจากโลกนานถึงสามร้อยปี คนสติดีๆ ก็สามารถกลายเป็นบ้าได้เช่นกัน… สำหรับจอมเวทพิสดารที่มีบุคลิกแตกแยก โอกาสคลุ้มคลั่งก็สูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว… ไคลน์จ้องสูตรโอสถปราชญ์โบราณ ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม แต่ก็มิอาจยืนยันคำตอบ
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ มันเสร็จสิ้นพิธีกรรมและเก็บกวาดสิ่งของ
ขณะเดินออกจากสวน พระจันทร์สีแดงขนาดใหญ่และค่ำคืนอันมืดมิดค่อยๆ เลือนหายไปทีละนิด
ถัดมา มันมองเห็นดอกไม้ประจำฤดูใบไม้ร่วง มองเห็นแสงแดดส่องลงมายังมวลหมู่พฤกษา และมองเห็นสตรีผมทองที่กำลังรออยู่ระหว่างเขตอาคารกับสวน
ดวงตาออเดรย์พลันเปี่ยมไปด้วยความสุข มุมปากยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ไคลน์พยักหน้ารับ ก่อนจะเผาตัวเองด้วยเปลวไฟสีแดงที่ลุกท่วม
ทันใดนั้น ณ จุดอื่นภายในคฤหาสน์ เปลวไฟดวงเล็กๆ ลอยสูงเสียดฟ้า แต่ก็มิได้โดดเด่นอะไรนัก
รอจนกระทั่งรอจนไฟดับมอด ร่างของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็หายไปโดยสมบูรณ์ รวมถึงพระจันทร์สีแดงและบรรยากาศยามค่ำคืนอันหมองหม่น
ออเดรย์เหม่อลอยสักพัก หลับตาลงครุ่นคิด ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านไวเคาต์กายลิน
จากนั้น เธอพาซูซี่และคนรับใช้กลับขึ้นรถม้า ตรงกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลฮอลล์ และไม่ผิดคาด เมื่อเธอมีโอกาสอยู่ตามลำพัง หญิงสาวได้รับคำเชิญ ‘นัดพบ’ จาก ‘เดอะเวิร์ล’
…
เหนือหมอกสีเทา ภายในพระราชวัง
ออเดรย์จ้องหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ถามอย่างใจเย็น
“จุดประสงค์ที่แท้จริงของเฮอร์วิน·แรมบิสคือสิ่งใด?”
ท่าทีสุขุมเยือกเย็นของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เธอทราบเป็นนัยว่าเฮอร์วิน·แรมบิสถูกเก็บไปแล้ว
ไคลน์ตอบเสียงเรียบ
“เหตุผลแรก ตรวจสอบว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมของซิลและฟอร์สหรือไม่ ประการที่สอง เมื่อเจ้าชายพยายามแสดงท่าทีสนิทสนมกับตระกูลฮอลล์ เขาจะฝังการชี้นำทางจิตเพื่อไม่ให้คุณต่อต้าน จุดประสงค์เพื่อสร้างความแตกแยกระหว่างสามโบสถ์หลัก”
สำหรับเรื่องนี้ ออเดรย์และมิสเตอร์เวิร์ลเคยปรึกษากันมาบ้างแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องลงลึกรายละเอียด
“แล้วทำไมครึ่งเทพอย่างเฮอร์วิน·แรมบิสถึงต้องลงมือกับดิฉันด้วยตัวเอง?”
ไคลน์ยิ้มและตอบ:
“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลบเลี่ยงสายตาคนคุ้มกันที่เอิร์ลฮอลล์จัดหามา และสะกดจิตลูกสาวของเขาซึ่งเป็น ‘นักสะกดจิต’ ได้อย่างอยู่หมัดโดยไม่เกิดความผิดพลาดหรือก่อเรื่องวุ่นวาย ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ เกรงว่าแม้แต่ลำดับ 5 ก็อาจทำไม่ได้ ดังนั้น ตัวเลือกที่เหมาะสมจึงเป็นการส่งครึ่งเทพมาลงมือด้วยตัวเอง และคุณก็รู้จักเฮอร์วิน·แรมบิสมาก่อนแล้ว เคยพบหน้ากัน ความระวังตัวจึงต่ำ… ว่ากันตามตรง หากคุณประมาทและไม่มีซูซี่ สุดยอดผู้ช่วยที่ยังไม่มีใครเอะใจ เรื่องราวจะดำเนินไปตามแผนของพวกมันอย่างราบรื่นจนกระทั่งบ่ายวันจันทร์…”
วันนี้ ‘จัสติส’ ออเดรย์ไม่สวมหน้ากากหนา เพียงยิ้มและถอนหายใจด้วยอารมณ์หลากหลาย
“ฉันเองก็เจ๋งไม่เบาสินะ…”
การที่อีกฝ่ายต้องใช้ครึ่งเทพมาจัดการตน เรื่องนี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เธอมาก
“เขาแข็งแกร่งกว่าที่ผมคิดเล็กน้อย… ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะสะกดจิตครึ่งเทพระดับนี้สำเร็จ…” ไคลน์ยิ้มและชมเชยจากใจจริง
ออเดรย์เม้มริมฝีปากล่าง อมยิ้มอย่างอารมณ์ดี:
“>“นั่นต้องยกความดีความชอบให้กับยันต์โจรปล้นดวงที่คุณมอบให้… จริงสิ… ดูเหมือนว่าโอสถนักสะกดจิตจะย่อยเสร็จสมบูรณ์หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว”
ราชันเร้นลับ 1055 : ไอเดีย
ย่อยสมบูรณ์แล้ว? สมเหตุสมผล… ถึงจะพึ่งพายันต์โจรปล้นดวงเป็นหลัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นคือการสะกดจิตครึ่งเทพ ช่วยให้สามารถเปิดประตูกายปัญญาได้อย่างแท้จริง และหลังจากนั้น ปรับแต่งสามัญสำนึกรวมถึงการฝังการชี้นำก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องทำด้วยตัวเอง ความประมาทแม้เพียงเล็กน้อยจะทำให้เหยื่อต่อต้าน และง่ายที่จะเผชิญความล้มเหลว… ผลลัพธ์ที่สุดยอดเช่นนี้จึงนำพาไปสู้การย่อยโอสถอย่างก้าวกระโดด… ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าวชม
“นั่นเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน”
ออเดรย์เข้าใจในสิ่งที่มิสเตอร์เวิร์ลต้องการสื่อ ภายใต้วังวนพายุที่เกิดจากฝีมือของ ‘เทวทูตจินตภาพ’ อาดัมและกษัตริย์จอร์จที่สาม ต่อให้เธอมีหน้าที่แค่อยู่รอบนอก แต่ก็คงอดไม่ได้ที่จะตระหนักถึงความเปราะบางและไร้พลังของตัวเอง จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องการพัฒนาฝีมือตัวเอง
หญิงสาวกล่าวพยักหน้าและกล่าว
“ดิฉันจะพยายามยื่นข้อเสนอให้เดอะซันและพัฒนาเป็นลำดับ 5 ให้เร็วที่สุด เมื่อถึงตอนนั้น ดิฉันหวังว่าจะได้พรจากมิสเตอร์ฟูลเพื่อให้มีสติกระจ่างชัดภายในความฝัน”
ไคลน์ที่เตรียมตัวไว้แล้ว ยิ้มและกล่าว
“อันที่จริง คุณไม่จำเป็นต้องรอนานขนาดนั้น เร็วที่สุดวันพรุ่งนี้ และช้าที่สุดวันศุกร์ ผมสามารถขายตะกอนพลังนักท่องฝันให้คุณได้”
“จริงหรือ…?” ดวงตาออเดรย์พลันเบิกกว้าง มิอาจเก็บซ่อนความประหลาดใจ
ไคลน์พยักหน้าและตอบ
“มันเป็นของเฮอร์วิน·แรมบิส… ไม้กางเขนที่มิสเตอร์ฟูลเพิ่งได้รับมา มีพลังในการสกัดตะกอนพลังออกจากวัตถุทีละระดับ”
ชายหนุ่มตอบห้วน ไม่ลงลึกรายละเอียด รักษามาดสุขุมของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
“อย่างนี้นี่เอง…” ออเดรย์ยกมุมปากยิ้มอย่างมีความสุข ตามด้วยการใช้มือทาบหน้าอกและกล่าว “มิสเตอร์ฟูลจงเจริญ~ แล้วก็ ขอบคุณมากนะคะมิสเตอร์เวิร์ล”
ไม่ต้องขอบคุณคนเดียวกันสองครั้งก็ได้… ไคลน์รำพันติดตลก ก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“ผมแค่ทำธุรกิจ”
เธอต้องจ่าย! ชายหนุ่มเน้นยำในใจ
ออเดรย์ฉีกยิ้มพลางถาม
“เช่นนั้นแล้ว คุณต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยน?”
“สำหรับตะกอนพลังของโอสถลำดับ 5… แปดพันปอนด์” ไคลน์เลือกในสิ่งที่มิสจัสติสสามารถหาได้ง่ายและเร็วที่สุด
ออเดรย์แทบไม่แยแสด้านราคา ดวงตาของเธอแปรเปลี่ยนเล็กน้อยก่อนจะทำหน้าครุ่นคิด
“ถ้าแยกออกมาได้… คุณช่วยขายตะกอนพลังนักสะกดจิตให้ดิฉันด้วยได้ไหม?”
กล่าวถึงตรงนี้ หญิงสาวยิ้มแห้งพลางตอบกระอักกระอ่วน
“ไว้สำหรับซูซี่… ได้เธอช่วยไว้มากในครั้งนี้… เอ่อ… ยิ่งซูซี่มีลำดับมากเท่าไร ก็ยิ่งมอบความช่วยเหลือได้มากเท่านั้น… หมายถึงพวกเราจะช่วยเหลือกันและกัน”
“ไม่มีปัญหา สี่พันปอนด์” ไคลน์คาดหวังคำถามนี้ไว้แล้ว จึงมีราคาในหัว
ตามแผนเดิมของชายหนุ่ม การแยกส่วนตะกอนพลังจะหยุดลงก็ต่อเมื่อตะกอนพลังนักสะกดจิตถูกสกัดออกมา และนั่นหมายความว่า ไคลน์ต้องมัดไม้กางเขนเจิดจรัสไว้กับตะกอนพลังและทิ้งไว้เป็นเวลานาน
“รวมแล้วหนึ่งหมื่นสองพันปอนด์ใช่ไหมคะ?” ออเดรย์ถามเชิงโวหารเพื่อความแน่ใจ สีหน้าท่าทีมิได้รู้สึกกดดันมากนัก
นั่นเพราะในช่วงหลายเดือนหลัง เธอแทบไม่ได้ใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ ลำพังเงินเก็บก็มีมากถึงหนึ่งหมื่นปอนด์ สามารถใช้สอยได้ตามสะดวก
เมื่อเห็นเดอะเวิร์ลพยักหน้า หญิงสาวถอนหายใจโล่งอก
“ดิฉันจะจ่ายให้ก่อนวันศุกร์”
หลังจากสะสางเรื่องดังกล่าว ประกอบกับการที่ปัญหาเกี่ยวกับเฮอร์วิน·แรมบิสสิ้นสุดลง หญิงสาวผ่อนคลายตัวเองลงมาก จึงสนทนาจิปาถะอย่างเป็นกันเอง
“สำหรับสมองที่สมบูรณ์ของมังกรจิตโตเต็มวัย ดิฉันจะยังคงซื้อจากเดอะซัน แต่ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเหมือนเดิมแล้ว… ซูซี่คงย่อยโอสถนักสะกดจิตได้ไม่เร็วเท่าไร”
กล่าวถึงตรงนี้ ออเดรย์มองหน้าเดอะเวิร์ลด้วยความมั่นใจมากขึ้น
“แล้วถ้าเป็นตะกอนพลังครึ่งเทพของเฮอร์วิน·แรมบิส… ดิฉันต้องแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งใด?”
ไคลน์ยิ้มและตอบ
“ผมเองก็ยังไม่ทราบว่าตัวเองขาดเหลือสิ่งใด… ไม่เพียงตะกอนพลัง ‘จอมบงการ’ ของเฮอร์วิน·แรมบิส ผมยังมีสูตรโอสถที่เกี่ยวข้อง… ระหว่างที่คุณกำลังย่อยโอสถนักท่องฝัน ผมจะค่อยๆ คิดหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ จากนั้นก็มอบหมายงานให้คุณทำ หรือไม่ก็รวบรวมบางสิ่งบางอย่าง จนกระทั่งคุณมีคะแนนผลงานมากพอที่จะแลกเปลี่ยนกับมัน”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ดวงตาสีเขียวของออเดรย์สว่างขึ้น
“ตกลง!”
หลังจากได้รับคำตอบ หญิงสาวถามด้วยความสนใจ
“วิธีนี้เหมือนกับที่ซิลสะสมคะแนนผลงานจาก MI9 ใช่ไหม?”
“ถูกต้อง… วิธีนี้ยังเป็นที่นิยมกันในโบสถ์หลัก” ไคลน์ช่วยยืนยัน
ออเดรย์พยักหน้า ก่อนจะถามด้วยความสงสัย
“มิสเตอร์เวิร์ล คุณทราบชื่อโอสถลำดับสูงของเส้นทางผู้ชมบ้างไหม?”
ไคลน์ยิ้ม
“จอมบงการ นักสานฝัน ผู้เห็นแจ้ง นักประพันธ์ และลำดับ 0 นักสร้างฝัน”
แค่ได้ยินก็มากพอจะทำให้ผู้คนไล่ไขว่คว้าอยากจะเป็น… โดยเฉพาะนักประพันธ์และนักสร้างฝัน… ออเดรย์ชื่นชมสองสามวินาที ก่อนจะกลับมายังหัวข้อสนทนา
“เฮอร์วิน·แรมบิสได้บอกไหมคะว่าความลับของกษัตริย์คือสิ่งใด? แล้วทำไมพวกเขาถึงร่วมมือกัน?”
ส่วนหนึ่งเธอถามเพื่อซิล แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นความกังวลส่วนตัว
“ความลับของกษัตริย์? เขาต้องการจะละเมิดสัญญาสามข้อที่เหล่าราชวงศ์ทำไว้กับโบสถ์หลักเมื่อนานมาแล้ว จุดประสงค์เพื่อผลักดันให้ตัวเองกลายเป็นครึ่งเทพ เพื่อการนั้น เขาจำเป็นต้องควบคุมวัตถุบางอย่างภายในโบราณสถานจักรพรรดิโลหิตผ่านพิธีกรรมสังเวยขนาดใหญ่… หึหึ… นี่คือคำตอบที่ได้รับจากเฮอร์วิน·แรมบิส อาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด และอาจเป็นแค่ส่วนน้อย” ไคลน์แทรกความเห็นของตัวเองขณะเล่าผลลัพธ์การสื่อวิญญาณ “สำหรับสมาคมแปรจิตหรือสภานักสิทธิ์สนธยา ความต้องการของพวกเขาคือสงครามที่กวาดล้างโลก เป็นสิ่งที่พวกเขาพยายามผลักดันมานาน เพื่อหวังให้กระแสเวลาแล่นไปตามที่ตัวเองปรารถนา”
“สงครามที่กวาดล้างโลก…” ออเดรย์พึมพำ คิ้วที่โก้งโค้งงดงามขมวดชนกัน ความยินดีปรีดาเมื่อครูสลายไปในทันที
แม้ว่าจากตัวตนและสถานะของเธอ หญิงสาวจะยังไม่เคยลิ้มรสความโหดร้ายของสงครามตรงๆ แต่เธอก็ไม่ใช่ไข่ในหินเหมือนเมื่อก่อนแล้ว สามารถจินตนาการถึงมันได้เลื่อนราง
ปล่อยให้ความเงียบงันปกคลุมสักพัก ออเดรย์สูดลมหายใจและฝืนยิ้ม
“หวังว่าพวกเราจะหยุดเรื่องนี้ได้”
หลังจากแลกเป็นคำพูดกันอีกเล็กน้อย หญิงสาวออกจากมิติเหนือสายหมอก กลับไปยังโลกความจริง ส่วนไคลน์ยุ่งอยู่กับการรวบรวมน้ำกลั่นบริสุทธิ์ ยางไม้ ผงสมุนไพร และวัตถุดิบอย่างเลือดของนักล่าพันหน้า กับผงละอองของหัวขโมยโลกวิญญาณ เพื่อ ‘ปรุง’ ร่วมกับตะกอนพลังของเฮอร์วิน·แรมบิส กลายเป็นโอสถที่ไม่มีชื่อและเต็มไปด้วยปัญหาอย่างไม่ต้องสงสัย
จากนั้น ชายหนุ่มนำขวดแก้วธรรมดาๆ มาบรรจุโอสถ รอชมผลลัพธ์ว่ามันจะกลายเป็นสมบัติปิดผนึกแบบใด
เนื่องจากกระบวนการนี้ต้องใช้เวลานาน ไคลน์ตัดสินใจระดมพลังจากมิติเหนือสายหมอกเพื่อสร้างบาเรียทรงกลมห่อหุ้มขวดดังกล่าวไว้ ป้องกันไม่ให้ผลผลิตที่เกิดขึ้นสร้างอิทธิพลต่อสภาพแวดล้อม
จัดการทั้งหมดเสร็จ ชายหนุ่มส่งตัวเองกลับบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน เตรียมอัญเชิญ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสเพื่อถามเกี่ยวกับสัตว์วิเศษทั้งสองชนิด – สุนัขแห่งฟัลกริมและหมาป่าอสูรแห่งสายหมอก
ปัจจุบัน เมฆสูงเริ่มจับตัวเป็นก้อนใหญ่ แสงอาทิตย์ถูกบดบังอีกครั้ง เบ็คลันด์ทั้งเมืองถูกปกคลุมด้วยสภาพอากาศเย็นเยียบและหม่นหมองในตอนเช้า
ไคลน์ยืนหน้าโต๊ะอ่านหนังสือ มองออกไปยังท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง ภายในใจรู้สึกอย่างบอกไม่ถูกว่าตนและโบสถ์รัตติกาลกำลัง ‘ละเลย’ บางสิ่งที่สำคัญมาก
การสอบสวนในพักหลังราบรื่นขึ้นมาก ข้อมูลที่สืบได้มีแต่จะลึกลงไปเรื่อยๆ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ไคลน์กลับรู้สึกกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก
หรือว่าการสืบสวนจะได้ถูกก่อกวนโดยอิทธิพลบางอย่างให้ไปผิดทาง? เป็นจุดบอดที่พวกเราคาดไม่ถึง? แต่การทำนายบนมิติหมอกคงไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีนัก ปลายทางคงหนีไม่พ้น ‘ท่าน’ … ไคลน์รีบรวบรวมสมาธิ คลี่กระดาษและหยิบปากกาวาดสัญลักษณ์และลวดลายที่ซับซ้อนของ ‘ความลับ’ และ ‘การส่องความลับ’
หนึ่งวินาที สองวินาที จนกระทั่งเจ็ดแปดวินาทีถัดมา ผิวกระจกเต็มบานใหญ่ภายในห้องนอนพลันกลายเป็นสีสลัว มีคลื่นน้ำกระเพื่อม ควบแน่นกลายเป็นข้อความสีเงินคำแล้วคำเล่า
“ท่านผู้ปกครองสูงสุดและเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่าน อาโรเดสมาพบท่านตามคำเรียกหาแล้ว”
“ด…ดูเหมือนข้าจะมาสายเกินไป นั่นเพราะตอนนี้ข้ากลายเป็นสมบัติปิดผนึกระดับ 1 แล้ว กว่าจะแก้ผนึกและออกมาข้างนอกได้ จำเป็นต้องใช้เวลาสักพัก นายท่านได้โปรดให้อภัยข้าด้วย”
“เจ้ากลายเป็นสมบัติปิดผนึกระดับ 1 แล้วหรือ?” ไคลน์ถามด้วยความประหลาดใจ
ภายในใจ ชายหนุ่มสามารถจินตนาการข่าวลือที่กำลังแพร่สะพัดในโบสถ์จักรกลไอน้ำระยะหลังได้:
กระจกที่ชอบเล่นเกมถามตอบบานนั้นเริ่มอาละวาดแล้ว!
บนผิวกระจก ข้อความสีเงินสั่นไหวและเรียงตัวใหม่กลายเป็นประโยค
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ นั่นคือคำถามใช่ไหม?”
ใจจริง ไคลน์อยากตอบ ‘ไม่’ แต่เพื่อนรักษาภาพพจน์ ชายหนุ่มพยักหน้า
“ใช่”
‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสเขียนคำตอบทันที
“ข้ายังไม่ถูกจำแนกให้เป็นสมบัติปิดผนึกระดับ 1 จริงๆ เพียงแต่ถูกเก็บรักษาในแบบเดียวกัน นั่นเพราะการครอบครองสมบัติปิดผนึกระดับ 1 มีระเบียบซับซ้อน ทางโบสถ์ต้องแจ้งให้โบสถ์อื่นทราบและมีการจัดระเบียบหมายเลข แต่โบสถ์จักรกลไอน้ำยังไม่ต้องการทำ”
อย่างนี้นี่เอง… ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร… ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย
“เข้าใจแล้ว”
บนผิวกระจกบานใหญ่ คลื่นน้ำมายากระเพื่อมอีกครั้งพร้อมกับสร้างประโยคใหม่
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ คราวนี้ท่านมีคำถามใดจะทดสอบข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์อย่างอาโรเดส?”
“เล่าทุกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับสุนัขแห่งฟัลกริมและหมาป่าอสูรแห่งสายหมอก” ไคลน์ถามโดยไม่มากพิธี และไม่แยแสว่านั่นเทียบเท่ากับคำถามสองข้อ
บนผิวกระจก แสงสีเงินเรียบเรียงตัวเองใหม่ราวกับมีชีวิต
“สุนัขแห่งฟัลกริมเป็นสัตว์วิญญาณชนิดพิเศษ อาศัยอยู่แค่ภายใน ‘ช่องว่างประวัติศาสตร์’ เท่านั้น แม้แต่เจ็ดแสงพิสุทธิ์ก็ยังทำได้เพียงรู้จัก แต่มิอาจพบปะพูดคุย นอกเสียจากพวกมันต้องการจะออกมาล่านอกช่องว่างประวัติศาสตร์ แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่เห็นก็อาจเป็นเพียงภาพฉายจากอดีต”
“หมาป่าอสูรแห่งสายหมอกคือหมาป่าอสูรขั้นสูง หลังจากเทพบรรพกาลร่วงหล่นและเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ พวกมันถูกไล่ล่าโดยตระกูลซาราธ อันทีโกนัส และโบสถ์รัตติกาล แทบไม่หลงเหลือแล้วในปัจจุบัน แถมทุกตัวยังมีพลังในการต่อต้านการทำนายและพยากรณ์ระดับสูง การค้นหาไม่ใช่เรื่องง่าย”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง โบสถ์รัตติกาลน่าจะมีวัตถุดิบเกี่ยวกับหมาป่าอสูรค่อนข้างมาก? และด้วยสิ่งนี้ เราสามารถนำพวกมันเข้าไปในโลกวิญญาณเพื่อล่อลวงสุนัขฟัลกริมด้วยกฎการดึงดูดของพลัง? เพียงได้ยินคำตอบ ไคลน์เริ่มวางแผนในใจ
ราชันเร้นลับ 1056 : ปีศาจตัวจริง
หลังจากทำความเข้าใจสถานการณ์ ไคลน์จ้องกระจกบานใหญ่ภายในห้อง จากนั้นก็ถาม
“ความลับของกษัตริย์คืออะไร?”
บนกระจกที่ดูคล้ายเชื่อมต่อกับโลกอีกใบ คลื่นน้ำกระเพื่อมอ่อนโยนพร้อมกับสร้างฉาก
เป็นฉากของโบราณสถานภายในความมืดสนิท ปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงแห่งกาลเวลา ราวกับไม่เคยถูกแตะต้องแม้เพียงเล็กน้อย
กำลังจะบอกว่า ความลับของกษัตริย์คือโบราณสถานจักรพรรดิโลหิต? อาโรเดสไม่กล้ามอบคำตอบกับเราตรงๆ หรือเป็นเพราะเจ้านั่นมองเห็นได้แค่นี้? ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก จ้องกระจกวิเศษพร้อมกับกล่าว
“ตาเจ้าถามแล้ว”
ฉากบนกระจกบานใหญ่ยังคงไม่แปรเปลี่ยน เพียงมีตัวอักษรสีเงินเพิ่มเข้ามา
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ยังมีคำถามอื่นอีกไหม?”
“มี” ไคลน์ตอบไม่อ้อมค้อม “นักบุญขาวคาร์เทอริน่าอยู่ที่ไหน?”
ภายในกระจก ข้อความสีเงินจางลงก่อนจะหายไป แต่ฉากหลังที่เป็นโบราณสถานเทพสงครามยังคงอยู่
ถ้าไม่ใช่เพราะตัวอักษรเปลี่ยนไป เราคงคิดว่ากระจกวิเศษบานนี้ชำรุด… คาร์เทอริน่ากำลังซ่อนตัวอยู่ในโบราณสถานจักรพรรดิโลหิต? โบราณสถานที่เป็นของจริง? ไคลน์พยักหน้าตรึกตรอง
“ตาเจ้าถาม”
บนฉากเดิม ข้อความสีเงินปรากฏขึ้นใหม่และควบแน่น
“นายท่านผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา เหตุใดท่านจึงยังไม่ออกจากเบ็คลันด์?”
เป็นคำถามที่ดี เราเคยคิดจะทำแบบนั้น… เดิมที เราสืบสวนโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์เพราะความโกรธที่คนบริสุทธิ์อย่างโคห์เลอร์ต้องตายไปเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังเป็นเพราะเราสูญเสียเป้าหมายใหญ่ในชีวิตไป แต่ในภายหลัง เราถูกผูกมัดด้วยตัวตนข้ารับใช้แห่งเทพธิดา และหลังจากนั้น ด้วยความทะเยอทะยานอันสูงส่ง เราอยากปกป้องไม่ให้หายนะบังเกิด เราหวังช่วยเหลือคนที่รู้จักให้รอดพ้นจากความเจ็บปวด ไม่ตกเป็นเหยื่อของกระแสแห่งเวลา นั่นเป็นที่มาของการเอาตัวเข้าไปเสี่ยง…
แต่สำหรับปัจจุบัน ทั้งที่รู้ว่าโลกกำลังจะบังเกิดสงครามกวาดล้างครั้งใหญ่ แต่เมื่อพิจารณาว่าพิธีกรรมเลื่อนลำดับของปราชญ์โบราณราวกับ ‘เกิดมาเพื่อเรา’ และตระหนักว่าชะตากรรมของเราอาจถูก ‘จัดเตรียม’ ไว้ล่วงหน้าแล้ว ต่อให้คิดหลบหนี แต่เกรงว่านั่นอาจไม่ประสบความสำเร็จ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ต่อให้เราหนีไปจากเบ็คลันด์ แต่ก็คงหนีจากชะตากรรมของตัวเองไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ คงดีกว่าหากจะเผชิญหน้ากับมันตรงๆ เพื่อควานหาโอกาสค้นพบความจริง เพื่อช่วงชิงโชคชะตาของตัวเองกลับคืนมา… ท่ามกลางกระแสความคิดอันหลากล้น ไคลน์วางแผนในใจ
หลังจากนั้น ชายหนุ่มตอบเยือกเย็น
“การหลบหนีอาจไม่ช่วยแก้ปัญหา”
กล่าวจบ ไคลน์เริ่มถามใหม่
“ตอนนี้ทริสซี่อยู่ที่ไหน”
ภายในกระจกเงาบานใหญ่ ฉากหลังเปลี่ยนผันอีกครั้ง คราวนี้กลายเป็นสีดำสนิท ในบางครั้งก็มีวัตถุหนาๆ ไถลไปบนพื้นผิว
อาโรเดสเองก็มองไม่เห็นสถานการณ์ฝั่งทริสซี่เหมือนกัน… ไคลน์พยักหน้าและเสริม
“ตาเจ้าถาม”
เฉกเช่นทุกครั้ง เกิดแสงน้ำกระเพื่อมบนผิวกระจกและข้อความสีเงินที่เรียงตัวเป็นคำ
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้าขอกล่าวบางสิ่งกับท่านได้ไหม?”
“ว่ามา” ไคลน์ตอบทันที
ตัวอักษรสีเงินแปรเปลี่ยนเป็นคำใหม่
“ท่านต้องระวังสิ่งที่จะเกิดขึ้นให้ดี!”
ถึงขั้นใช้เครื่องหมายตกใจ… กระจกวิเศษอาโรเดสสัมผัสได้ถึงกลิ่นไม่ดี? ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก
“สิ่งใดจะเป็นภัยคุกคามต่อเรา?”
“ข้าไม่ทราบ เป็นแค่ความรู้สึกส่วนตัว” อาโรเดสเรียงเป็นคำใหม่ แต่คราวนี้เปลี่ยนจากสีเงินสว่างเป็นสีเทาหม่น บอกเป็นนัยว่ากำลังผิดหวังและตำหนิตัวเอง
โดยไม่รอให้ไคลน์ตอบสนอง ข้อความสีเทาชุดใหม่ถูกละเลงบนกระจกทีละคำ
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้ามีอีกฉากหนึ่งต้องการแสดงให้เห็น ท่านอยากดูไหม?”
“แน่นอน” ไคลน์พูดช้าลง
บนผิวกระจกบานใหญ่ คลื่นน้ำกระเพื่อมพร้อมกับฉากหลังสีดำที่แปรเปลี่ยน
ความดำมืดลุ่มลึกมากขึ้นเรื่อยๆ แต่มีจุดแสงจำนวนหนึ่งสว่างแซมขึ้นมาคล้ายกับประกายเพชร
เป็นภาพของค่ำคืนอันงดงามและกว้างใหญ่
ภาพที่อาโรเดสแสดงหมายถึงเทพธิดาที่มีแก่นเป็นดวงดาว หรือแทนการจ้องมองจาก ‘อวกาศ’ ? ดูเหมือนว่ามันจะไม่กล้าบอกตรงๆ … ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก แต่คราวนี้ไม่ถามเพิ่มเติม
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
“ตกลงขอรับ!” ตัวอักษรกลับไปเป็นสีเงินสว่างอีกครั้งด้วยความเร็วที่ค่อนข้างช้า “นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ห… หากมีคำถามในอนาคต ท่านยังจะขอความช่วยเหลือจากข้า อาโรเดส ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่านหรือไม่?”
เป็นกระจกที่เคร่งกฎอะไรขนาดนี้… ไคลน์หัวเราะและกล่าว
“แน่นอน เราจะเรียกหาเจ้าเมื่อมีข้อสงสัยในอนาคต”
“ขอรับนายท่าน! ลาก่อนนายท่าน!” บนผิวกระจก ตัวอักษรสีเงินกลับมาเขียนด้วยความเร็วปรกติอีกครั้งพร้อมกับวาดตัวก้างปลากำลังโบกมือ
รอจนกระทั่งทุกสิ่งกลับสู่ความสงบ ไคลน์เผากระดาษอัญเชิญมีสัญลักษณ์ถูกวาดไว้ เปิดผ้าม่าน จ้องออกไปยังท้องฟ้าสีหม่นที่มาพร้อมบรรยากาศเย็นเยียบ
…
เขตราชินี ภายในวิหารเล็กๆ ของโบสถ์รัตติกาล
ทั้งซิลและฟอร์สต่างได้รับข้อความจากมิสจัสติสผ่านมิสเตอร์ฟูล และนั่นช่วยให้พวกเธอทราบว่าปัญหาถูกสะสางแล้ว รวมถึงความลับบางส่วนของกษัตริย์
“…สุดยอดมาก” ฟอร์สที่นับถือเทพจักรกลไอน้ำลืมตาขึ้นท่ามกลางโถงสวดมนต์ที่ค่อนข้างกว้าง จากนั้นก็หันศีรษะพร้อมกับกล่าวเสียงต่ำ
เดิมที เธอต้องการจะพูดว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์หรือเดอะเวิร์ลนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่หลังจากไตร่ตรอง เธอไม่อยากกล่าวสิ่งใดที่ผิดพลาดออกไป
เหตุการณ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้เธอรู้สึกราวกับได้อยู่ในโลกผู้วิเศษมานานนับสิบปี
ซิลเองก็ลืมตาเช่นกัน แต่อันดับแรกเธอรีบวาดพระจันทร์สีแดงกึ่งกลางหน้าอก เพื่อสารภาพบาปที่แสดงพฤติกรรมลบหลู่เทพธิดาจนถึงเมื่อครู่
“ใช่ เขาช่าง…” ยังไม่ทันกล่าวจบ ความนัยที่สอดคล้องกันก็แล่นเข้าไปในสมองฟอร์ส
สิ่งที่เธอต้องการจะกล่าวก็คือ เฮอร์วิน·แรมบิสเป็นถึงครึ่งเทพตัวจริง แต่ทั้งเธอและฟอร์สเข้ามาในวิหารเทพธิดายังไม่ถึงสิบนาที เกอร์มัน·สแปร์โรว์กับสะสางปัญหาอย่างหมดจดเรียบร้อย
ในฐานะนักบุญทั้งคู่ หากจะทำเรื่องแบบนี้ได้ ระดับพลังของต่างกันมาก!
“บางที… อาจเป็นเพราะพรจากเทวทูต” ฟอร์สปะติดปะต่อประสบการณ์ส่วนตัวในโลกผู้วิเศษพร้อมกับคาดเดา
เนื่องจากโถงสวดมนต์ใหญ่ทั้งเงียบและมืด ไม่เหมาะแก่การสนทนา ซิลจึงไม่พูดคุยกับเพื่อนสนิทนานนัก รีบลุกขึ้นและเดินออกมายังทางเดิน
ทั้งสองออกจากโถงสวดมนต์ จนกระทั่งมาถึงประตูทางเข้าหลัก ซิลถอนหายใจและกล่าว
“ฉันอยากจะแข็งแกร่งแบบนั้นได้ในสักวัน…”
“ฉันก็มีความคิดแบบนี้บ่อยครั้งเหมือนกัน” ฟอร์สยิ้ม “เอ่อ… แต่ว่านะ เธอได้ข้อมูลที่ต้องการแล้วไม่ใช่หรือ? ถึงความลับเบื้องลึกของกษัตริย์จะยังมีให้ขุดคุ้ยอีกมาก แต่ถ้าเป็นข้อมูลผิวเผินก็นับว่าชัดเจนแล้ว”
ซิลจ้องประตูตรงหน้า เงียบงันหลายวินาทีก่อนจะกล่าว
“แต่แบบนี้จะรู้ไปเพื่ออะไร? ฉันทำอะไรกับข้อมูลไม่ได้อยู่ดี”
“ผิดแล้ว เมื่อเทียบกับศัตรูที่เราเคยได้ยินชื่อ ชายคนนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่สักเท่าไร อย่างน้อยก็สามารถจ้องหน้าตรงๆ ได้อย่างปลอดภัย” ฟอร์สปลอบประโลมเพื่อนสนิท “รอจนกว่าเธอจะได้รับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ เธอจะรู้ตัวเองดีว่าควรมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้อย่างไรโดยไม่ต้องปะทะกับตัวตนระดับสูง”
ฟอร์สซึ่งเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ก่อนซิลมานานย่อมเคยเห็นความสำเร็จมากมายของมิสเตอร์ฟูล ยกตัวอย่างเช่นการใช้ข้ารับใช้และสมาชิกเพื่อทำลายการเสด็จลงมาเยือนของ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ เปิดโปงความลับของเกาะแบนชี ช่วงชิงอำนาจบางส่วนในขอบเขตพายุมาเป็นของตน แทรกแซงสิทธิ์การเป็นเจ้าของของ 0-08 และเมื่อเทียบกับเหตุการณ์เหล่านี้ซึ่งมีเทพ ราชาเทวทูต และเทวทูตเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย ลำพังตัวตนกษัตริย์จอร์จที่สามนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่แต่อย่างใด
ซิลเดินไปทางประตูอย่างเชื่องช้า เงียบงันสักพักก่อนจะกล่าว
“ฉันเข้าใจความหมายของเธอ… ก่อนอื่น พวกเราจะกลับไปยังเขตตะวันออกและหลบอยู่เงียบ หลังจากฉันได้รับสูตรโอสถผู้พิพากษาเมื่อไร เราสองคนจะกลับไปซ่อนตัวอีกครั้ง… ฉันคิดว่าหลังจากเหตุการณ์วันนี้ พวกเขาคงไม่กล้าเสี่ยงสืบสวนเราแล้ว”
“แน่นอนอยู่แล้ว ทางนั้นจะทำได้แค่ซ่อนตัวในเงามืด ไม่ได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย” ฟอร์สรีบเสริม ก่อนจะถอนหายใจและกล่าว “แต่ก่อนจะย้ายที่อยู่ใหม่ ฉันอยากส่งจดหมายให้อาจารย์”
ซิลยกมือขึ้นมาสางเส้นผมสีทอง ตามด้วยก้าวเดินออกจากวิหารและกล่าวหน้าขรึม
“หลังจากได้รับสูตรโอสถ ฉันจะซื้อกระดุมเม็ดนั้นและเลื่อนขั้นโดยเร็ว”
“ไม่เลว ไฟแห่งการต่อสู้ของเธอกลับมาลุกโชนอีกแล้ว” ได้เห็นภาพดังกล่าว ฟอร์สยิ้มพลางยุแหย่
ซิลไม่กล่าวคำใดต่อ เพียงเดินตรงไปข้างหน้าด้วยสายตาเคร่งขรึม
ผ่านไปราวสิบเก้า เธอชะงักฝีเท้าพร้อมกับหันมาพูด
“ง…เงินเก็บของฉันคงยังไม่มากพอที่จะซื้อกระดุมเม็ดนั้น… เมื่อถึงเวลา ฉันคงต้องยืมเงินเธอก่อน… จะรีบคืนให้แน่นอน”
ฟอร์สผงะสองสามวินาที ตามด้วยระเบิดเสียงหัวเราะ
“ตกลง… ถ้าไม่ผิดจากที่คาด ฉันใกล้จะได้รับวัตถุที่เกี่ยวข้องจากอาจารย์แล้ว”
…
วันพฤหัสบดีตอนบ่าย ไคลน์ที่ใช้ข้ออ้างเป็นการงีบ กลับมายังห้องนอนใหญ่และเข้าห้องน้ำ เดินถอยหลังสี่ก้าวส่งตัวเองเข้าสู่มิติหมอก
มันเชื่อว่าขวดแก้วที่บรรจุ ‘โอสถ’ น่าจะดูดซับเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เมื่อกลับมานั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล ไคลน์ตวัดแขนเพื่อสลายบาเรียกีดกัน จากนั้นก็ดึงวัตถุเข้าหาตัว
ขวดแก้วสีใสถูกปนเปื้อนด้วยสีดำเรียบร้อยแล้ว บนพื้นผิวเต็มไปด้วยลวดลายตาข่ายที่ส่องแสง มอบบรรยากาศงดงามแก่สภาพแวดล้อม
ภายในขวดว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง ไม่มีโอสถหลงเหลือแม้แต่หยดเดียว ปากขวดกว้างๆ ถูกปกคลุมด้วยหมอกแสงที่ล่องลอย ดึงดูดสายตาไคลน์เป็นอย่างมาก ราวกับจิตใจกำลังถูกดูดกลืน
เสียงแผ่วเบาดังมาจากขวดแก้ว
“ถ้านำเหรียญทองหนึ่งร้อยเหรียญมาใส่ ความปรารถนาของเจ้าจะเป็นจริง…”
“ถ้านำเหรียญทองหนึ่งร้อยเหรียญมาใส่ ความปรารถนาของเจ้าจะเป็นจริง…”
ไปเรียนของแบบนี้มาจากไหน? แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า น้ำเสียงโทนเดียวของมันช่วยในการสะกดจิตอย่างมาก… การนำเหรียญทองหนึ่งร้อยเหรียญไปยัดใส่นั้นเท่ากับเป็นการเปิดประตูกายปัญญาของตัวเอง จากนั้นก็จะถูกขวดดังกล่าวบงการและกลายเป็นทาส… หลังจากวิเคราะห์เบื้องต้น ไคลน์เสกไม้กางเขนเจิดจรัสออกจากกองขยะพร้อมกับระดมพลังของสายหมอกเพื่อ ‘ยัด’ มันลงไปในปากขวด
“ไอ้ปีศาจ!” เสียงภายในขวดคำราม แต่หลังจากนั้นก็ถูกปิดกั้นโดยบาเรียสายหมอกทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น