Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1047-1052

 ราชันเร้นลับ 1047 : ระดมสมอง

 

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ดันเตสไปไหนหรือคะ?” ออเดรย์ยิ้มอย่างสุภาพ ซักถามบุรุษรับใช้ลูกครึ่งโลเอ็นและไบลัมตะวันออก


เอ็นยูนตอบอย่างสุภาพ:


“นายท่านไปเข้าห้องน้ำ ตอนนี้คงใกล้จะกลับมาแล้ว คุณหนูจะรอไหม?”


“ได้ค่ะ” ออเดรย์เลือกนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว ความคิดมากมายผุดขึ้นในใจ


ว่ากันตามตรง หากปัญหามีเพียงตัวเฮอร์วิน·แรมบิส เธอมีความคิดหนึ่งในใจอยู่แล้ว นั่นคือการสะกดจิตตัวเองล่วงหน้า เมื่อใดที่เฮอร์วิน·แรมบิสย้อนกลับมารับฟังคำตอบ เหตุการณ์ดังกล่าวจะดลใจให้เธอกระตุ้นยันต์ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์โดยปราศจาก ‘เจตนาร้าย’ และหลังจากนั้นก็ร่วมมือกับนักผจญภัยเสียสติเพื่อล่าครึ่งเทพ


ฮึ! เพื่อกันเหนียว เรายังสามารถขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากมาดามเฮอร์มิทได้เช่นกัน ตอนนี้เธอกลายเป็นครึ่งเทพเรียบร้อยแล้ว สามารถรอซุ่มโจมตีในความมืด ผนึกกำลังกับมิสเตอร์เวิร์ลท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติ หากต้องรับมือกับทั้งคู่พร้อมกัน เฮอร์วิน·แรมบิสไม่น่าจะรอด… ออเดรย์เม้มริมฝีปาก อดใจไม่ให้ขบกรามตัวเอง


ส่วนคำถามที่ว่า มาดามเฮอร์มิทจะเดินทางมายังเบ็คลันด์ได้อย่างไร ออเดรย์ไม่มองว่าเป็นปัญหา เพราะตนสามารถเช่า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ และให้ ‘เดอะเวิร์ล’ บันทึกพลังเทเลพอร์ต จากนั้นก็สวดวิงวอนให้มิสเตอร์ฟูลส่งไปถึงมืออีกฝ่าย


แต่ถ้าทำแบบนั้น แม้เฮอร์วิน·แรมบิสจะหลบหนีไม่สำเร็จ แต่ถ้าถามว่าใครเป็นคนฆ่า สมาคมแปรจิตก็คงสงสัยบุคคลสุดท้ายที่ครึ่งเทพรายนี้ติดต่อ นั่นคือตัวออเดรย์เอง


และนั่นแปลว่า อนาคตของเราจะเต็มไปด้วยปัญหา… ดวงตาออเดรย์ขยับเล็กน้อย พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง


ทันใดนั้น ดอน·ดันเตสกับจอนสีขาวและมาดสง่างามเดินกลับจากห้องน้ำ มันส่งยิ้มพลางกล่าวทักทายสตรีผู้สูงศักดิ์ที่นั่งรออยู่


หลังจากสั่งให้บุรุษรับใช้เอ็นยูนเดินไปเฝ้าประตู เศรษฐีหน้าใหม่มองไปรอบๆ ก่อนจะถอนสายตากลับมาทางออเดรย์:


“ดูเหมือนคุณจะเจอปัญหา?”


ออเดรย์ไม่พยายามถอดความนับจากประโยคของมิสเตอร์เวิลด์ เพียงตอบอย่างใจเย็น:


“ค่ะ…”


เธอเรียบเรียงสิ่งที่ได้พบเจอและอธิบายอีกครั้ง จนในที่สุดก็กล่าว:


“ดิฉันต้องทำอย่างไรจึงจะแก้ไขปัญหานี้ได้?”


แก้ไขปัญหาหมายถึง จะไม่มีความวุ่นวายตามมาในอนาคต


ไคลน์ยิ้มและตอบ:


“ทำไมคุณไม่ปรึกษากับสตรีทั้งสองล่ะ?”


จริงด้วย! เหมือนกับที่มิสเตอร์มูนทำ ขออนุญาตจัดชุมนุมย่อย… ซิลกับฟอร์สที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงต้องตอบตกลงแน่ นอกจากพวกเธอ เราต้องชวนมิสเตอร์เวิร์ล มิสเตอร์แฮงแมน มาดามเฮอร์มิท มิสเตอร์มูน… อึก… ตัดมิสเตอร์มูนออกไปก่อน… ออเดรย์รู้สึกตื่นเต้นอย่างอธิบายไม่ถูก


ทันใดนั้น เธอรู้สึกได้ว่าตนไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง


“เข้าใจแล้วค่ะ” ออเดรย์พยักหน้าด้วยรอยยิ้มสดใส


หญิงสาวนึกถึงคำถามอื่นทันที รีบหาโอกาสถาม:


“เฮอร์วิน·แรมบิสสั่งให้ดิฉันเลิกต่อต้านความปรารถนาดีจากเหล่าเจ้าชาย แถมยังบอกให้เยินยอพวกเขาต่อหน้าพ่อกับแม่ จุดประสงค์คืออะไร?”


ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก:


“อาจหมายถึงการแสดงความเป็นมิตรอย่างเปิดเผย… ทำให้บิดาของคุณซึ่งเชื่อมโยงกับโบสถ์รัตติกาลใจอ่อนและคล้อยตาม… ไม่ว่ากษัตริย์จะมีความลับแบบใด แผนการจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ในท้ายที่สุด พระองค์ต้องได้รับการสนับสนุนจากศาสนจักรใหญ่อย่างน้อยหนึ่งแห่ง เพื่อที่จะลดทอนเสียงคัดค้าน”


“อย่างนี้นี่เอง…” ออเดรย์ไม่โต้แย้งข้อสันนิษฐานของมิสเตอร์เวิลด์ เพราะถ้าลอกเปลือกนอกที่หุ้มด้วยพลังพิเศษออก สิ่งเหล่านี้คือเกมการเมืองที่เธอคุ้นเคย


เธอไม่แช่อยู่นานนัก รีบกลับไปที่ห้องทำงานตัวเอง หลังจากจัดการกับชีวิตประจำวันเสร็จ หญิงสาวอาศัยช่วงเวลาพักเที่ยงเพื่อสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล ขอจัดชุมนุมย่อย



เหนือสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขต แสงสีแดงเข้มสว่างขึ้นรอบๆ โต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณ


ออเดรย์มองไปรอบๆ ก่อนจะลุกขึ้นคำนับสมาชิกที่เหลือ:


“ทุกคนคะ… ดิฉันมีบางเรื่องที่อยากฟังความเห็นของทุกคน”


“เรื่องด่วนสินะ” ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์พยักหน้าเล็กน้อย ตอบกลับห้วนๆ


‘จัสติส’ ออเดรย์นั่งลงและพูด


“ใช่ค่ะ”


จากนั้น เธอก็มองไปทาง ‘จัดจ์เมนต์’ ซิลและ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์ส


“ดิฉันได้พบกับเฮอร์วิน·แรมบิสในช่วงเช้าวันนี้ เขาสะกดจิตฉันและสั่งให้ทำสองสิ่ง ทิ้งท้ายด้วยการกำชับให้ลืมว่าเขาเคยมาที่นี่… โชคดีที่ฉันค่อนข้างระวังตัว ความผิดปรกติจึงถูกพบอย่างรวดเร็ว และหลังจากสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล ความทรงจำทั้งหมดก็กลับคืนมา… เรื่องแรกที่เฮอร์วิน·แรมบิสสั่งให้ทำก็คือ นัดพบกับมิสจัดจ์เมนต์และเมจิกเชี่ยน หาโอกาสสะกดจิตพวกคุณทั้งสอง สอบถามเกี่ยวกับแรงจูงใจในพฤติกรรมล่าสุดของคุณ จากนั้นก็สั่งให้พวกคุณออกจากเบ็คลันด์โดยเร็ว”


อะไรกัน… ในตอนแรก ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สกังวลแค่ความปลอดภัยของมิสจัสติส แต่คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะหมุนเป็นวงกลม วกวนกลับมาหาตนและซิลอีกครั้ง!


เมื่อลองคิดว่าศัตรูคือมิสออเดรย์… เราไม่มีทางระวังตัวแน่! ตอนนี้กำลังถูกจับตามองโดยครึ่งเทพ… หลังจากที่ฟอร์สรู้สึกประหลาดใจ ความกลัวเริ่มผุดขึ้นตามมา


เธออดไม่ได้ที่จะชำเลืองไปทางเพื่อนสนิทและพบ ‘จัดจ์เมนต์’ ซิลกำลังนั่งด้วยท่าทางสุขุม แต่กำปั้นของเธอกำลังกำแน่นโดยไม่รู้ตัว


แคทลียาเผยสีหน้างุนงงเล็กน้อย ขมวดคิ้วและกล่าว:


“หรือสมาคมแปรจิต หรืออาจแค่เฮอร์วิน·แรมบิส ทราบว่ามิสจัดจ์เมนต์กับมิสเมจิกเชี่ยนเป็นสมาชิกของชุมนุมทาโรต์?”


นี่ถือเป็นเรื่องร้ายแรงและสำคัญมาก


‘จัสติส’ ออเดรย์ส่ายหน้า


“ไม่ใช่ค่ะ… เพียงเพราะดิฉันรู้จักพวกเธอบนโลกความจริง”


ในวินาทีนี้ เธอไม่พยายามปกปิดตัวตนจากฟอร์สและซิลอีกต่อไป


อันที่จริง นับตั้งแต่ซิลเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์และรับไพ่จัดจ์เมนต์ ออเดรย์รู้ว่าตัวจริงของเธอจะถูกเปิดเผยในไม่ช้าก็เร็ว และจากการสังเกตเบื้องต้น เธอยืนยันได้ว่าเพื่อนทั้งสองพอจะเดาออก ส่งผลให้ตัดสินใจไม่ปิดบังความจริง


“พวกคุณรู้จักกัน?” แคทลียาดันแว่นตาเลนส์หนาที่สันจมูก ถามเชิงโวหารด้วยสีหน้ากึ่งประหลาดใจ


‘จัสติส’ ออเดรย์พยักหน้า


“ใช่ค่ะ… ดิฉันเป็นคนแนะนำพวกเธอให้เข้าเป็นสมาชิก มิสเตอร์แฮงแมนสามารถเป็นพยาน”


เห…? ไม่ใช่ว่าเพราะเรากำลังจะตาย จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากท่องพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของมิสเตอร์ฟูลจนถูกดึงขึ้นมาหรอกหรือ? มันกลายเป็นการ ‘ถูกแนะนำ’ ไปได้ยังไง? ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สจ้องหน้า ‘จัสติส’ ออเดรย์สักพัก ก่อนจะชำเลืองกลับไปทาง ‘จัดจ์เมนต์’ ซิลอีกครั้งด้วยความงงงวย


ซิลเองก็เผยอากัปกิริยาที่คล้ายคลึงกันซึ่งทำไม่บ่อยนัก เพราะคำว่า ‘ถูกแนะนำ’ นั้นเกินความเข้าใจและการคาดเดาของเธอไปมาก


‘จัสติส’ ออเดรย์กระอักกระอ่วนเล็กน้อย กะพริบตาสองสามหน อธิบายให้เพื่อนสองคนฟัง:


“เพราะพวกคุณสองคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดิฉันที่อยากให้ชุมนุมทาโรต์พัฒนาและเติบโต จึงแนะนำให้พวกคุณให้มิสเตอร์ฟูลรู้สึก แต่นั่นก็แค่การมอบโอกาส หากคุณสองคนไม่ผ่านการทดสอบของมิสเตอร์ฟูล พระองค์ก็จะไม่ดึงขึ้นมา”


ทดสอบ? เราผ่านการทดสอบอะไร? ตอนไหน? ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สยังคงสับสน ส่วน ‘จัดจ์เมนต์’ ซิลกำลังครุ่นคิดหลายสิ่ง โดยเฉพาะที่มาของเศษกระดาษซึ่งมีพระนามเต็มของมิสเตอร์ฟูลเขียนไว้ รวมถึงประสบการณ์เมื่อครั้งจ้างคนมาขับไล่วิญญาณ


เข้าใจแล้วว่าทำไมเราถึงตงิดใจว่าพวกเธออาจจะรู้จักกัน… และเข้าใจแล้วว่าทำไมมิสจัดจ์เมนต์เพิ่งได้เข้าชุมนุมทีหลังคนอื่น นั่นเพราะเธอได้รับบททดสอบที่แตกต่างออกไป… แต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว… นี้คือเกณฑ์การคัดเลือกของชุมนุมทาโรต์หรือ? แล้วเรามีอะไร? แคทลียาตกตะลึงพลางคาดเดา


ได้เห็นฉากตรงหน้า อัลเจอร์ที่มองเห็นภาพรวมมาสักพักแล้ว หัวเราะในลำคอและกล่าว


“ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้ทีหลัง มิสจัสติส… คำถามของคุณคือ… วิธีแก้ปัญหาเกี่ยวกับเฮอร์วิน·แรมบิส?”


“ใช่ค่ะ” ‘จัสติส’ ออเดรย์วกกลับเข้าประเด็น ซักถามอย่างจริงจัง “ไม่เพียงจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับเฮอร์วิน·แรมบิส แต่ต้องทำให้สมาคมแปรจิตไม่สงสัยดิฉัน… ตอนนี้ควรทำยังไงดี”


‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ยังไม่มีประสบการณ์รับมือกับครึ่งเทพ ได้แต่อาศัยความรู้ความเข้าใจที่บ่มเพาะมาเนิ่นนาน


“ล็อกตำแหน่งเฮอร์วิน·แรมบิส จากนั้นก็ลงมือหลังจากที่เขาไปพบคนอื่น?”


“ล็อกด้วยวิธีใด…” ‘จัสติส’ ออเดรย์ถามเอง ก่อนจะตอบเอง “หลังจากรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับมิสจัดจ์เมนต์และมิสเมจิกเชี่ยนให้เฮอร์วิน·แรมบิสทราบ รอจนกระทั่งเขาจากไป ดิฉันต้องรีบเอ่ยพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของมิสเตอร์ฟูล ขอให้พระองค์ช่วยเฝ้ามองครึ่งเทพตนนี้?”


ในทางทฤษฎีก็ทำได้… ‘มุมมองเทพ’ บนมิติหมอกของเราเห็นได้ไกลเกือบสิบกิโลเมตร ตราบใดที่เฮอร์วิน·แรมบิสไม่เทเลพอร์ต เราก็สามารถระบุที่อยู่และวิถีของมันได้ในระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นก็ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง เทเลพอร์ตไปจัดการตรงๆ … อา… คงต้องทำนายยืนยันความปลอดภัยให้แน่ใจเสียก่อน… แต่ปัญหาคือ การทำแบบนั้นจำเป็นต้องให้เดอะฟูลแทรกแซงโดยตรง… ไคลน์ซึ่งอยู่ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ กล่าวเสียงแหบแห้ง:


“ขอเตือนไว้หนึ่งเรื่อง มิสจัดจ์เมนต์และมิสเมจิกเชี่ยนเคยเอ่ยถึงอาดัมในโลกความจริง… สมาคมแปรจิตนั้นมีต้นกำเนิดจากการขุดค้นซากโบราณสถานของเฮอร์มิส และเฮอร์มิสคือสมาชิกของ ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’ … หนึ่งในผู้ก่อตั้งสภานักสิทธิ์สนธยาคืออาดัม มิสเตอร์เดอะฟูลไม่ต้องการเป็นศัตรูกับสภานักสิทธิ์สนธยาเพราะเรื่องนี้… แผนการของพวกเรา หากเป็นไปได้ก็ห้ามเผยตัว”


ปริมาณและความสำคัญของข้อมูลในประโยคเมื่อครู่ ทำให้แม้แต่ ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาและคนที่เหลือ พลันรู้สึกว่าสมองกำลังปั่นป่วน กระทั่ง ‘จัดจ์เมนต์’ ซิลและ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สก็ยังตื่นตระหนกตกใจ


องค์กรลับดังกล่าวมีชื่อว่า ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’ นี่เอง… มิสเตอร์ฟูลไม่อยากเป็นศัตรูกับสภานักสิทธิ์สนธยาเพราะเรื่องนี้… นั่นเพราะพวกเขาเพิ่งร่วมมือกับ ‘เทวทูตจินตภาพ’ อาดัมเพื่อวางแผนจัดการอินซ์·แซงวิลล์? ไม่คิดว่าสมาคมแปรจิตจะมีความเกี่ยวข้องกับสภานักสิทธิ์สนธยา… เดี๋ยวนะ… เฮอร์มิส? เขายังมีชีวิตอยู่? แถมยังเป็นสมาชิกของสภานักสิทธิ์สนธยา? องค์กรดังกล่าวเต็มไปด้วยคนใหญ่คนโตอย่างแท้จริง… ยังมีใครที่เรานึกไม่ถึงอีกไหม? ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ชำเลืองไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์เล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางแคทลียาอย่างอดไม่ได้


มันพบว่าฝ่ายหลังเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน และนี่ไม่ใช่การเสแสร้ง


“สภานักสิทธิ์สนธยา… คือองค์กรลับโบราณที่จักรพรรดิโรซายล์เข้าร่วมใช่ไหม?” คล้ายกับ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาพึมพำกับตัวเอง แต่ก็ดูเหมือนเป็นคำถามที่ต้องการคำยืนยัน


‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ให้คำตอบ:


“ถูกต้อง… หลังจากที่กลับสู่โลกแห่งความจริง เป็นการดีที่สุดถ้าจะไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้อีกเลย ไม่อย่างนั้นอาจถูกจับตามองได้ฝ่าย… ถ้าพวกคุณไม่เชื่อใจตัวเอง สามารถขอให้มิสจัสติสช่วยฝังการชี้นำทางจิตได้”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1048 : ‘สายลับ’ แท้และเทียม

 

ภายในวังโบราณเหนือสายหมอกสีเทา เมื่อคำพูดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์สิ้นสุดลง ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน


ฝ่ายกษัตริย์ร่วมมือกับสมาคมแปรจิตเพื่อสอบสวนเรากับซิล… สมาคมแปรจิตถือกำเนิดจากการค้นพบโบราณสถานของเฮอร์มิส… เฮอร์มิสเป็นสมาชิก ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’ … ผู้นำสูงสุดของสภานักสิทธิ์สนธยาคือ ‘เทวทูตจินตภาพ’ อาดัม… และซิลกับเราเคยเอ่ยถึงอาดัมในโลกความจริง… กำลังจะบอกว่า… เราถูกจับตามองโดยราชาเทวทูต? ในโลกแห่งศาสตร์เร้นลับ แค่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ชะตากรรมของคนเราต้องเผชิญอันตรายในระดับนี้เชียว? ในหัว ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สเต็มไปคำเตือนของ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ความหวาดกลัวนานัปการผุดขึ้นภายในใจ


แม้ว่าเธอจะเคยมีประสบการณ์มากมายในอดีต แต่ก็ไม่เคยรู้สึกอย่างชัดเจนมาก่อน ว่าโลกแห่งศาสตร์เร้นลับจะเต็มไปด้วยขวากหนามที่อันตรายเช่นนี้ ความผิดพลาดใดๆ อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายสุดขั้ว


ในอนาคตเราต้องระมัดระวังให้มากขึ้น… แน่นอน ก่อนอื่นก็ต้องมีชีวิตรอดจากเฝ้ามองของอาดัมให้ได้! มิสเตอร์ฟูลได้โปรดอวยพรด้วย! ฟอร์สไตร่ตรองอย่างจริงจัง สวดวิงวอนเงียบๆ ในใจ


‘จัดจ์เมนต์’ ซิลคาดไม่ถึงว่าสถานการณ์ของเธอจะเลวร้ายขนาดนี้ กลับกลายเป็นว่า ราชาเทวทูตมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ด้วย เลี่ยงไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกและหวาดกลัวไปสักพัก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเคยมีความคิดที่จะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง ยอมเสียสละกระโดดขวางน้ำเชี่ยว เพียงไม่นานจิตใจก็สงบลง เธออดไม่ได้ที่จะชำเลืองไปทางเมจิกเชี่ยน ภายในใจเกิดความรู้สึกผิดที่ลากเพื่อนสนิทเข้ามาในวังวนแห่งความวุ่นวาย


แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว การร้องไห้ฟูมฟายและการคร่ำครวญ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อีกต่อไป เราทำได้เพียงตั้งสติรับมือให้ดีที่สุด อย่าทำให้ฟอร์สต้องตกที่นั่งลำบาก… โชคดีที่มีมิสเตอร์ฟูลคอยปกป้อง… ‘จัดจ์เมนต์’ ซิลพูดกับตัวเองในใจ ตามด้วยหันไปกล่าวกับ ‘จัสติส’ ออเดรย์


“แล้วฉันควรทำยังไงต่อ”


สำหรับเรื่องที่มิสจัสติสเป็นผู้ ‘ชักชวน’ ซิลเกิดความรู้สึกซับซ้อน ในแง่หนึ่ง เธอเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายมองชุมนุมทาโรต์ในเชิงบวก และการแนะนำดังกล่าวเกิดจากเจตนาที่ดี แต่ในอีกแง่หนึ่ง เธอค่อนข้างขุ่นเคืองใจที่จู่ๆ ก็ถูกตัวตนลึกลับจับตามองอย่างไร้เหตุผล โชคดีที่เป็นมิสเตอร์ฟูล ไม่อย่างนั้นเธอคงตายอย่างอนาถ บางทีแม้วิญญาณก็ไม่ได้หลับพักผ่อน


แต่อันที่จริง… เราเลือกที่จะเอ่ยพระนามเต็มของมิสเตอร์ฟูลโดยสมัครใจ ไม่ได้ถูกรบเร้าจากภายนอก… การที่ได้มานั่งตรงนี้ เป็นเพราะเราเลือกทางเดินของตัวเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับมิสจัสติส… นอกจากนั้น หากไม่ใช่เพราะการแนะนำของเธอ เราคงไม่มีโอกาสล้ำค่าเช่นนี้ ไม่ได้พัฒนาตัวเองและตามหาความจริง… ซิลเม้มริมฝีปากล่าง สูดลมหายใจเข้าลึก


‘จัสติส’ ออเดรย์ย่อมรู้ว่า ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’ มีความเกี่ยวข้องกับเฮอร์มิสและอาดัม จึงเป็นคนที่สุขุมที่สุดในเวลานี้ เพียงแค่คาดไม่ถึงว่า การเอ่ยชื่ออาดัมของฟอร์สและซิลจะทำให้ถูกอีกฝ่ายจับตามอง


นั่นทำให้เธอตระหนักได้อย่างแท้จริงว่า ทุกการเอ่ยถึงจะถูก ‘ล่วงรู้’


ถึงตรงนี้ ออเดรย์หันไปมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์และเริ่มตีความคำพูดของอีกฝ่าย


“มิสเตอร์ฟูลยังไม่อยากเป็นศัตรูโดยตรงกับสภานักสิทธิ์สนธยาในตอนนี้… แปลว่าลงมือโดยอ้อมได้?”


ไคลน์พยักหน้า


“มันควรจะเป็นเช่นนั้น”


“ลงมือโดยอ้อม… รวมถึงการแทรกแซงผลการทำนาย การเฝ้ามอง และพลังพยากรณ์ด้วยไหม?” ‘จัสติส’ ออเดรย์ถามครุ่นคิด


ในชุมนุมย่อยแห่งนี้ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์คือตัวแทนเจตจำนงของเดอะฟูล


ไคลน์หัวเราะในลำคอ:


“โดยอ้อมมากกว่านั้นอีกสักนิด”


คำตอบของมันค่อนข้างคลุมเครือ เพราะเดอะฟูลเองก็ยังไม่รู้ว่าตนทำอะไรได้บ้าง


บทสนทนาระหว่างทั้งสองคล้ายกับสร้างแรงบันดาลใจอัลเจอร์ มันรีบหันไปมองจัสติส จัดจ์เมนต์ และเมจิกเชี่ยนฝั่งตรงข้าม


“มีใครในหมู่พวกคุณนับถือเทพธิดารัตติกาลบ้าง?”


มันค่อนข้างมั่นใจ อย่างน้อยหนึ่งในสตรีสามคนนี้ต้องเป็นผู้ศรัทธาเทพธิดารัตติกาล เพราะท้ายที่สุด เมื่อพิจารณาจากปัจจัยสำคัญสามข้อซึ่งประกอบด้วย: อาณาจักรโลเอ็น กรุงเบ็คลันด์ และเพศหญิง คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มสูงที่จะนับถือเทพธิดารัตติกาล


“ฉัน…” ‘จัดจ์เมนต์’ ซิลไม่ปิดบัง


‘จัสติส’ ออเดรย์เองก็ยกมือครึ่งแขน


ได้เห็นภาพตรงหน้า ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ผงกศีรษะรับ


“พวกเราสามารถกลบเกลื่อนเรื่องนี้ได้ ให้สมาคมแปรจิตเข้าใจว่ากองกำลังที่จัดการเฮอร์วิน·แรมบิสคือโบสถ์รัตติกาล ไม่ใช่ชุมนุมทาโรต์”


กล่าวถึงตรงนี้ อัลเจอร์จงเปลี่ยนสรรพนามส่วนตัวอย่างชาญฉลาด เห็นได้ชัดว่า แม้มันได้รับเชิญมาในฐานะ ‘ที่ปรึกษา’ และจะไม่ลงแรงหรือเอาตัวเข้าไปเสี่ยง แต่กลับยังเลือกใช้สรรพนามแทนว่า ‘เรา’


โยนความผิดให้โบสถ์รัตติกาล… ชุดความคิดแบบนี้… คุ้นเคยชะมัด… ไคลน์ซึ่งอยู่ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ พลันเกิดอารมณ์ขันเล็กๆ


“แล้วจะทำให้ศัตรูเข้าใจผิดด้วยวิธีใด” ‘จัสติส’ ออเดรย์จ้องหน้าพร้อมกับถาม


‘แฮงแมน’ อัลเจอร์มองไปรอบๆ และกล่าว


“เฮอร์วิน·แรมบิสทำเพียงสะกดจิตคุณเพื่อกำชับว่าห้าม ‘ขอความช่วยเหลือ’ และพยายามหลีกเลี่ยงพิธีมิสซาใหญ่ของโบสถ์รัตติกาล แต่ไม่ได้บอกให้หลบหน้าอาร์ชบิชอป… คุณสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ หาโอกาสเข้าพบอาร์ชบิชอป แน่นอน คุณไม่ต้องเล่าอะไรให้เขาฟัง… และเมื่อเฮอร์วิน·แรมบิสตายหรือหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา สมาคมแปรจิตจะเริ่มสงสัยว่า โบสถ์รัตติกาลพบความผิดปรกติในตัวคุณและทำการขุดหลุมพรางดัก”


โดยไม่รอให้มิสจัสติสตอบ มันมองไปที่ “ทดลอง” ซิลอีกครั้ง:


Without waiting forมิสจัสติส to respond, he looked at Xio.


“หลังจากที่คุณถูกสะกดจิต ก่อนจะเดินทางออกจากเบ็คลันด์ แวะไปยังวิหารของโบสถ์รัตติกาลที่อยู่ใกล้เคียง สวดวิงวอนอย่างเอาจริงเอาจัง ทำตัวราวกับเป็น ‘สายลับ’ ที่โบสถ์รัตติกาลส่งไปแทรกซึมในชุมนุมทาโรต์… วิธีนี้จะทำให้สมาคมแปรจิตเข้าใจผิด คิดว่าความตายของเฮอร์วิน·แรมบิสซึ่งดูเหมือนจะเป็นฝีมือของชุมนุมทาโรต์ แท้จริงแล้วเป็นแค่การตบตา แต่ผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงคือโบสถ์รัตติกาล”


ทำตัวเป็นสายลับที่โบสถ์รัตติกาลส่งมาแทรกซึมชุมนุมทาโรต์… หืม… ไคลน์รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก


มันคือข้ารับใช้แห่งรัตติกาลตัวจริงเสียงจริง!


และเลียวนาร์ดก็ไม่ใช่ ‘ถุงมือแดง’ ปลอมเช่นกัน!


หรือเล่าให้เห็นภาพยิ่งกว่านั้น… ประธานใหญ่ของชุมนุมทาโรต์อย่าง ‘มิสเตอร์ฟูล’ ทุกวันนี้ก็ยังวาดพระจันทร์แดงกลางหน้าอก… ไคลน์รำพันติดตลก ขณะเดียวกันก็ผุดแนวคิดใหม่ๆ มากมาย


“วิธีนี้สามารถตบตาได้แค่ผู้วิเศษทั่วไป… หากไม่มีพรจากเทวทูตของมิสเตอร์ฟูล เบื้องบนของสมาคมแปรจิตคงสืบหาความจริงได้ไม่ยาก” ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาเตือนสติ


แฮงแมนตอบ


“ถูกต้อง สิ่งสำคัญคือการได้รับพรจากมิสเตอร์ฟูลทางอ้อม ไม่อย่างนั้นคงไม่มีวันหลอกอาดัม ราชาเทวทูตแห่งเส้นทางผู้ชมได้แน่… และนอกจากนั้น มิสจัดจ์เมนต์กับมิสเมจิกเชี่ยน ในตอนที่พวกคุณแวะวิหารของเทพธิดารัตติกาลเพื่อสวดมนต์ เป็นการดีที่สุดถ้าจะสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล ขอให้พระองค์ช่วยประทานพรต้านทานการถูกสะกดจิต และอย่าเพิ่งรีบออกจากเบ็คลันด์… ในสถานการณ์แบบนี้ กรุงเบ็คลันด์ปลอดภัยกว่าที่อื่นมาก”


“ตกลง” ‘จัดจ์เมนต์’ ซิลตอบขึงขัง


เมื่อคุยกันถึงประเด็นดังกล่าว ‘จัสติส’ ออเดรย์และคนที่เหลือต่างหันไปมอง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ รอการตอบสนองจากอีกฝ่าย


ไคลน์ที่พอจะมองเห็นภาพรวมเรียบร้อยแล้ว ยกมุมปากและกล่าวเสียงแหบพร่า


“อันที่จริง… มีวิธีแทรกแซงที่ง่ายกว่างั้น”


“วิธีใด?” ดวงตาออเดรย์เริ่มเบิกกว้าง ถามด้วยความคาดหวัง


ไคลน์จ้องหน้ามิสจัสติส ชี้ไปที่ศีรษะของเธอ:


“ทันทีที่เฮอร์วิน·แรมบิสกลับไป ให้คุณเผาเครื่องประดับหมวกอันนั้น ตามด้วยการกระตุ้นยันต์ที่ผมเคยมอบให้”


ขนนกประดับหมวกอันนั้น? เครื่องประดับที่สามารถติดต่อกับ ‘มรณา’ และได้รับการตอบสนอง? หรือมิสเตอร์เวิร์ลต้องการยืมพลังจากตัวตนดังกล่าวเพื่อแทรกแซงการทำนาย เฝ้ามอง และพยากรณ์? ดวงตาสีเขียวมรกตของออเดรย์สั่นเทาเล็กน้อย พยักหน้าและกล่าว:


“เข้าใจแล้วค่ะ”


เมื่อถึงตอนนั้น พลังที่ตอบสนองกลับมาคือพรแห่งการปกปิด… ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งเดียวที่อาดัมจะได้รับรู้ก็คือ เทพธิดารัตติกาลเป็นผู้ลงมือแทรกแซงโดยตรง และนั่นสอดคล้องกับความสำคัญที่ตระกูลฮอลล์มีต่อโบสถ์รัตติกาล ไม่เกี่ยวอะไรกับชุมนุมทาโรต์… ไม่รู้ว่าเทพธิดาจะประทานพรหรือส่งมาดามอาเรียนน่ามาช่วย หากเป็นอย่างหลัง การกำจัดเฮอร์วิน·แรมบิสก็ไม่ใช่เรื่องยาก… แต่ถ้าไม่ เราคงต้องใช้อ้อมกอดเทวทูตกับตัวเองล่วงหน้าและเข้าปะทะด้วยหุ่นเชิดไร้ชีวิต โอกาสสำเร็จมีสูงทีเดียว… ไคลน์พึมพำในใจ แต่มิได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม


‘จัสติส’ ออเดรย์ร่างแผนในหัวจนเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันไปพูดกับ ‘จัดจ์เมนต์’ ซิลและ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์ส


“พวกคุณค่อยมาหาดิฉันตอนบ่ายวันพุธ ทางนี้จะได้มีเวลาแวะไปพบอาร์ชบิชอปของโบสถ์รัตติกาล… และก่อนหน้านั้น ดิฉันจะสวดวิงวอนเพื่อขอพรจากเทวทูตของมิสเตอร์ฟูล จะได้ไม่ถูกสะกดจิตในตอนที่เฮอร์วิน·แรมบิสแวะมาถามคำตอบ และจะเริ่มลงมือหลังจากเขากลับไป… เฮอร์วิน·แรมบิสเป็นคนรอบคอบและหัวโบราณมาก คงเลือกที่จะเข้ามาหาฉันขณะกำลังเดินทาง หลีกเลี่ยงการถูกจับกุมหรือตกหลุมพราง…”


“…”


เพียงไม่นาน ท่ามกลางการระดมสมองของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ แผนการถูกสร้างขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์ โดยเกอร์มัน·สแปร์โรว์ปฏิเสธความช่วยเหลือจากแคทลียา เพราะท้ายที่สุด ชายหนุ่มยังไม่แน่ใจว่าจะมีเบื้องบนจากโบสถ์รัตติกาลมาช่วยสนับสนุนหรือไม่


สำหรับการแบ่งสมบัติ ทุกสิ่งที่ช่วงชิงมาได้จะตกเป็นของเดอะเวิร์ล ส่วน ‘จัสติส’ ออเดรย์สามารถจ้างงานมันโดยไม่ต้องเสียเงินได้หนึ่งครั้ง



บ่ายวันพุธ ในคฤหาสน์ของไวเคาต์กายลิน


หลังกลับจากสนามม้า ออเดรย์ซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวของสตรี สวมเครื่องประดับเรียบง่าย กางเกงสีเดียวกันแบบเรียบๆ รองเท้าบูตหนังมันเงาที่ยาวถึงเข่า และพันแจ็คเก็ตหนังสีดำไว้รอบเอว กำลังยืนอยู่ในห้องอ่านหนังสือของไวเคาต์ มองไปทางซิลและฟอร์สกล่าว:


“ใครสั่งให้พวกคุณสอบสวนไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดและไล่ตามความลับของกษัตริย์?”


ดวงตาสีเขียวมรกตของหญิงสาวดูราวกับเป็นวังวนกระแสน้ำท่ามกลางหุบเหว ทั้งลุ่มลึก เงียบเชียบ และหนักแน่น ผู้คนต่างเคลิบเคลิ้มไปกับมันโดยไม่รู้ตัว


ในเวลานี้ ซิลและฟอร์สกำลังถูกสะกดจิตจริงๆ รายแรกตอบด้วยเสียงเหม่อลอย:


“เป็นความตั้งใจของฉันเอง… เพราะต้องการสืบสวนหาสาเหตุการตายของพ่อ… แต่ก่อนจะลงมือ ฉันได้สวดวิงวอนขอพรจากใครบางคนล่วงหน้า”


ออเดรย์สอบถามเพิ่มเติมเล็กน้อย จนกระทั่งได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจ จึงกล่าวแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


“ออกไปจากเบ็คลันด์… ออกไปจากที่นี่… เมืองนี้ไม่ใช่สถานที่ของคุณ… เอาล่ะ… หลังจากได้ยินเสียงปรบมือ พวกคุณจะได้สติกลับมา”


ทันทีที่สิ้นเสียง ออเดรย์ตบฝ่ามือเสียงแผ่ว ดวงตาของซิลและฟอร์สพลันฟื้นคืนสติ


หลังจากพูดคุยอีกเล็กน้อย ซิลและฟอร์สกล่าวอำลาและจากไป ส่วนออเดรย์รอคอยอย่างอดทน


เธอตั้งใจจะอยู่ที่บ้านของไวเคาต์กายลินต่ออีกสักครึ่งชั่วโมง รอจนกว่าซิลจะถึงวิหารของเทพธิดารัตติกาลที่ใกล้ที่สุดและเสร็จสิ้นการสวดมนต์ เธอจึงค่อยเริ่มเคลื่อนไหว


เมื่อถึงตอนนั้น ไม่สนว่าเฮอร์วิน·แรมบิสจะโผล่ขึ้นระหว่างทางหรือที่ไหน เธอก็พร้อมรับมือ


หลังจากหยิบหมวกอ่อนของสตรีซึ่งประดับตกแต่งด้วยขนนกสีขาว ออเดรย์เดินออกจากห้องอ่านหนังสือ เตรียมไปหาซูซี่ แอนนี่ และคนรับใช้ จากนั้นค่อยไปคุยกับกายลินสักพักเพื่อฆ่าเวลา


ขณะเดินไปได้เพียงสองก้าว สุ้มเสียงที่อ่อนโยนและยิ้มแย้มพลันดังขึ้นข้างหู:


“ทำได้ดีมาก”


“…” รูม่านตาออเดรย์พลันเบิกกว้าง รีบหันศีรษะอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางโคมไฟผนังที่งดงามทั้งสองฝั่ง ชายคนหนึ่งยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม เส้นผมสีขาวโพลน ดวงตาสีฟ้าอ่อน ไม่ใช่ใครนอกจากเฮอร์วิน·แรมบิสที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสุดประณีต!


ครึ่งเทพรายนี้แอบเข้ามาในคฤหาสน์ของไวเคาต์กายลินนานแล้ว และมันกำลังรอให้ออเดรย์สะกดจิตเสร็จเพื่อที่จะทวงถามคำตอบทันที!


โดยที่ทั้งซิลและฟอร์สยังไม่น่าจะเดินพ้นประตูบ้านด้วยซ้ำ!


เรื่องนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของออเดรย์และแฮงแมนโดยสิ้นเชิง เพราะนั่นหมายความว่า เฮอร์วิน·แรมบิสซึ่งอยู่ใกล้ๆ มาตั้งแต่ต้น ไม่จำเป็นต้องถามคำตอบผ่านออเดรย์ – มันสามารถสะกดจิตทุกคนรอบตัวและเค้นคำตอบได้ด้วยตัวเอง!

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1049 : สัญชาตญาณของ ‘ผู้ชม’

 

เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง… ต่อให้ซิลและฟอร์สไม่มัวชักช้า เร่งความเร็วสูงสุดไปตลอดทาง ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบห้านาทีกว่าจะถึงวิหารรัตติกาลที่ใกล้ที่สุด… โชคดีที่เราค่อนข้างระวังตัว สวดวิงวอนล่วงหน้าเพื่อขอพรจากเทวทูตของมิสเตอร์ฟูล และเมื่อครู่ได้ทำการสะกดจิตซิลกับฟอร์สไปจริงๆ … กระแสความคิดมากมายผุดขึ้นในใจออเดรย์ ก่อนที่เธอจะรีบสลัดทิ้งไป


ดวงตาของหญิงสาวเผยความสับสนในตอนต้น ตามด้วยการทำหน้าตกตะลึงกะทันหัน คล้ายกับได้ตื่นจากความฝันอันยาวนาน สามารถจดจำทุกสิ่งที่เคยถูกลืมเลือน


“มิสเตอร์แรมบิส ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่…” ออเดรย์จงใจกล่าวด้วยเสียงล่องลอยเล็กน้อย คล้ายกับกำลังมัวเมาไปกับความฝัน


ขณะกล่าว เธออาศัยความเป็นนักจิตบำบัดเพื่อควบคุมอารมณ์ สั่งให้เกิดความวิตกเฉกเช่นคนปรกติ ไม่มากไม่น้อยจนเกินพอดี


ในเมื่อสิ่งนี้เป็นเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย ย่อมเป็นธรรมชาติที่จะทำตัวไม่ถูก


แต่ภายในใจ หญิงสาวตระหนักว่าเธอต้องเตรียมตอบคำถามของเฮอร์วิน·แรมบิส ไม่ให้ครึ่งเทพรายนี้สังเกตเห็นความผิดปรกติ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น เฮอร์วิน·แรมบิสจะกลับไปภายในสามถึงห้านาที ส่งผลให้ซิลกับฟอร์สยังไปไม่ถึงวิหารรัตติกาล พลาดขั้นตอนที่จะทำให้สมาคมแปรจิตเข้าใจผิด และการเผาขนนกบนหมวกเพื่ออัญเชิญ ‘เดอะเวิร์ล’ มาสู้ ก็จะไม่ช่วยแก้ปัญหาที่จะตามมาในอนาคต


อย่าดีกว่า… คงต้องปล่อยโอกาสนี้ผ่านไป เราไม่ควรฝืนดำเนินแผนการโดยปราศจากการเตรียมตัว… ความอดทน อดกลั้น และรอบคอบ คือปัจจัยสำคัญของโลกผู้วิเศษ… อย่างน้อยเฮอร์วิน·แรมบิสก็มีแผนจะหลอกใช้เราในระยะยาว คงไม่กำจัดทิ้งเร็วนัก… มันต้องการให้เราแต่งงานกับเจ้าชาย กว่าจะดำเนินการเสร็จก็ต้องใช้เวลานานกว่าครึ่งปี… ใช่แล้ว เรายังพอมีเวลา สามารถรอจนถึงโอกาสที่สอง ที่สาม ที่สี่ หรือแม้แต่โอกาสครั้งที่ห้า… แต่ปัญหาก็คือ เราต้องแจ้งซิลและฟอร์ส รีบบอกให้พวกเธอซ่อนตัวโดยเร็ว… หลังจากคิดไวทำไว ออเดรย์กลับมามีแววตาเป็นปรกติ เผยความกลัวออกมาเล็กๆ


สังเกตเห็นภาษากายของหญิงสาว เฮอร์วิน·แรมบิสยิ้มและตอบคำถาม:


“นี่คงเป็นครั้งแรกที่คุณจะได้สะกดจิตคนจริงๆ … ผมกังวลว่าจะเกิดข้อผิดพลาด จึงมาช่วยคุ้มครองเพื่อมิให้เกิดเรื่องใหญ่… หึหึ… พิจารณาจากชาติตระกูลของคุณ ชีวิตประจำวันคงไม่มีโอกาสได้ทำเรื่องเช่นนี้”


น้ำเสียงของมันทั้งนุ่มนวลและช่วยขจัดความกังวล โดยที่ไม่รู้ตัว ความตื่นตระหนกและสั่นกลัวในดวงตาออเดรย์เริ่มจางลงทีละนิด


ขณะเดียวกัน ภายในโลกแห่งจิตของออเดรย์ เป็นอีกครั้งที่สติของเธอถูกแบ่งแยก ภาพการมองเห็นของเธอลอยขึ้นสูงก่อนจะก้มลงไปมอง ‘เกาะ’ และ ‘ทะเล’ ด้านล่าง


ฉากตรงหน้าทำให้หญิงสาวตระหนักได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกดีๆ และความมั่นคงที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แท้จริงแล้วเป็นพลังของการถูกชี้นำทางจิต


เมื่อเฮอร์วิน·แรมบิสเห็นว่าออเดรย์กลับเป็นปรกติ มันพยักหน้ารับ


“เมื่อสักครู่ พวกเธอตอบคำถามคุณว่าอะไรบ้าง”


ออเดรย์เล่าเถรตรง


“ซิลกล่าวว่า ทั้งการสืบสวนไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดและการไล่ตามความลับของกษัตริย์ ทุกสิ่งเกิดจากเจตนาของเธอเอง เพราะต้องการทราบสาเหตุการตายของบิดาบังเกิดเกล้า… บิดาของเธอคืออดีตหัวหน้าราชองครักษ์… เอิร์ลเมสัน·เดียร์… แต่เธอยังเล่าด้วยว่า ก่อนจะลงมือ เธอได้รับพรจากใครบางคน”


ขณะเล่า ออเดรย์เกือบชะงักคำพูด เพราะท่ามกลางผืนนภาวิญญาณ ‘เธอ’ ที่กำลังมองลงไปยังเกาะแห่งจิตใต้สำนึกและท้องทะเลจิต พบร่างหนึ่งกำลังเดินขึ้นจากก้นทะเลด้วยความเร็วสูง บันไดขั้นแล้วขั้นเล่าถูกสร้างขึ้น จนกระทั่งแหวกผ่าน ‘ห้วงจิตใต้สำนึก’ และขึ้นมายังเกาะที่เป็น ‘กายปัญญา’ ของเธอ


บุคคลดังกล่าวสวมชุดสูทสามชิ้นสีดำ ผมสีขาวโพลน เป็นเฮอร์วิน·แรมบิสอีกคนหนึ่ง


ใบหน้าของเฮอร์วิน·แรมบิสคนนี้ปราศจากรอยยิ้มโดยสิ้นเชิง นิสัยไร้ยางอาย บางส่วนของผิวหนังปกคลุมด้วยเกล็ดสีเทา ดวงตาไม่เพียงจะเปลี่ยนจากสีฟ้าอ่อนเป็นสีทอง แต่รูม่านตาก็นังกลายเป็นทรงรีในแนวตั้ง ดูคล้ายกับสัตว์ร้ายบางชนิด


หากไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน ออเดรย์คงตึงเครียดจนมิอาจควบคุมตัวเอง มิอาจแสร้งทำเป็นไม่พบความผิดปรกติ และมิอาจรักษาคำพูดไม่ให้ตะกุกตะกัก


ขณะเดียวกันบนโลกความจริง เฮอร์วิน·แรมบิสมองใบหน้าที่บริสุทธิ์ผุดผ่องและงดงามของออเดรย์ด้วยรอยยิ้ม สอบถามเพิ่มเติม:


“พรของใคร?”


ออเดรย์ส่ายหน้า บังคับให้เกาะแห่งจิตใต้สำนึกเปล่งเสียง:


“ในตอนที่ถามถึงเรื่องนี้ ซิลและฟอร์สต่อต้านอย่างรุนแรง ถึงขั้นส่งสัญญาณของภาวะเกือบหลุดการสะกดจิต เราจึงไม่กล้าถามต่อ”


แน่นอน พรของตัวตนลึกลับสามารถถูกตีความได้ว่า เป็นความกังวลล่วงหน้าของมิสเตอร์ฟูล และในภายหลัง สิ่งนี้จะถูกตีความว่าเป็นพรของเทพธิดารัตติกาล


เฮอร์วิน·แรมบิสยังคงจดจ่ออยู่กับประเด็นเดิม ซักถามถึงรายละเอียดของการสะกดจิตเมื่อครู่


สองสามนาทีถัดมา มันพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ:


“ไม่เลว… คุณมีพรสวรรค์ด้านการสะกดจิต ไว้เหตุการณ์นี้จบลงเมื่อไร ผมจะมอบโอสถนักท่องฝันให้ รวมถึงการช่วยจัดพิธีกรรม… อา… แล้วก็อย่าได้รังเกียจความรักหรือการแต่งงานมากนัก คุณยังมีอายุไม่ถึงยี่สิบ ยังเหมาะแก่การดื่มด่ำสิ่งเหล่านี้… ด้วยเสน่ห์ของคุณ เป็นธรรมดาที่บุรุษทุกคนจะชื่นชอบ ช่วยให้คุณได้เพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านี้อย่างเต็มที่”


เฮอร์วิน·แรมบิสใช้การบอกใบ้และการโน้มน้าวทางอ้อม เพื่อแรงต้านด้านความรักและแต่งงานภายในใจออเดรย์ลง


ไอ้เวรตะไล… ออเดรย์ใต้ผืนนภาวิญญาณทำแก้มป่อง สบถอย่างโกรธเคือง ก่อนจะควบคุม ‘ตัวเอง’ ที่อยู่บนเกาะแห่งจิตใต้สำนึกให้ทำท่าทางเขินอายและโหยหา


เฮอร์วิน·แรมบิสซึ่งลงมือตามหลักจิตวิทยา ประสบความสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกอย่างง่ายดาย เมื่อได้เห็นฉากตรงหน้า มันถอนจิตใต้สำนึกที่กำลังบุกรุกจิตใจของอีกฝ่าย นำตัวตนมายาออกจากเกาะ


จากนั้น ตัวมันบนโลกความจริงหันหลังกลับและกล่าว


“จงลืมว่านั่นคือสิ่งที่ผมพูด จงจดจำว่านั่นคือความคิดที่เกิดขึ้นเองภายในหัวใจของคุณ… และเมื่อผมจากไป เมื่อผมไปจากสายตาของคุณ จงลืมว่าผมเคยมาที่นี่”


ได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ออเดรย์ที่ลอยอยู่ใต้ผืนนภาวิญญาณ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเงียบ เพราะประโยคเมื่อครู่บอกเป็นนัยว่า เฮอร์วิน·แรมบิสกำลังจะจากไป


แม้จะผ่านไปเพียงห้านาทีหลังจากได้พบกัน ก็คงยังไม่เพียงพอที่ช่วยให้ซิลและฟอร์สไปถึงวิหารรัตติกาลที่ใกล้ที่สุด แต่ออเดรย์ยังคงหวังอย่างใจจดใจจ่อว่าเฮอร์วิน·แรมบิสจะจากไปโดยเร็ว เพราะการต้องเผชิญหน้ากับครึ่งเทพเส้นทางผู้ชม จิตใจต้องรับภาระหนักหน่วง


ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน… ขอแค่เรายังมีสติ นั่นแปลว่ายังมีโอกาส… ออเดรย์ อย่าได้ซึมเศร้า ห้ามใจร้อนเด็ดขาด… ออเดรย์ปลอบตัวเองเงียบงัน เฝ้ามองเฮอร์วิน·แรมบิสหมุนตัวกลับและเดินไปยังห้องโถง


เธอยังไม่ผ่อนคลาย ไม่พักหายใจ ยังคงใช้พลังงานเพื่อรักษาท่าทีปรกติ


แต่ทันใดนั้น เฮอร์วิน·แรมบิสชะงักฝีเท้าและหันกลับมา ดวงตาสีฟ้าอ่อนหรี่ลงเล็กน้อย จ้องออเดรย์พร้อมกับกล่าว:


“ในตอนที่ได้พบกับผมครั้งแรก ทำไมคุณถึงต้องกลัวขนาดนั้น?”


ร…เราตกใจเกินไป… มีบางอารมณ์ในตอนนั้นที่เราควบคุมได้ไม่ดี? ออเดรย์พลันเย็นไปถึงสันหลัง ความคิดมากมายแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจถามออกไปด้วยความฉงน:


“ทำไมหรือคะ? การที่จู่ๆ ก็มีคนปรากฏตัวขึ้นข้างๆ คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะตกตะลึง”


เฮอร์วิน·แรมบิสพยักหน้ารับ คล้ายกับพึงพอใจในคำอธิบาย จากนั้น มันจ้องหน้าออเดรย์และกล่าว


“ตามปรกติแล้ว คุณจะพกพาสมบัติวิเศษที่สามารถเปลี่ยนรูปทรงติดตัวเสมอ… ทำไมวันนี้ถึงไม่ได้พกมาด้วย?”


สำหรับผู้ชม นี่คือรายละเอียดที่ผิดปรกติอย่างไม่ต้องสงสัย


ได้ยังไงกัน… เราซ่อน ‘คำลวง’ ไว้ใต้เสื้อผ้าทุกครั้ง ไม่น่าจะมีใครสังเกตเห็น แล้วทำไมเขาถึงรู้ว่าเราไม่ได้พกมาด้วย? มันแอบอ่านความทรงจำ? ความทรงจำในจุดที่เราจงใจไม่ปิดบังเพื่อให้ดูปรกติ… เมื่อเผชิญคำถามที่ไม่คาดฝันของเฮอร์วิน·แรมบิส ออเดรย์รู้สึกราวกับความคิดของเธอกำลังหยุดนิ่ง


เหตุผลที่เธอไม่ใส่ ‘คำลวง’ นั้นไม่ซับซ้อน เธอกังวลว่าเครื่องประดับชิ้นดังกล่าวจะ ‘ขยาย’ อารมณ์ให้เข้มข้น ส่งผลให้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับครึ่งเทพเส้นทางผู้ชม ความคิดบางส่วนอาจเผลอเล็ดลอดออกไป


และนั่นหมายความว่า เธอคาดเดาล่วงหน้าว่าวันนี้จะได้พบกับเฮอร์วิน·แรมบิส ซึ่งภายใต้ภาวะของการถูกสะกดจิต ออเดรย์ไม่มีทางล่วงรู้ได้ด้วยตัวเอง!


เพียงพริบตา ออเดรย์ฉุกคิดบางสิ่งได้ จึงเผยรอยยิ้มจางๆ :


“ผลข้างเคียงของสิ่งนั้นจะขยายอารมณ์ของดิฉันให้เข้มข้น การสวมมันอาจทำให้ดิฉันสะกดจิตล้มเหลว เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ดิฉันจึงไม่ได้สวมมาด้วย”


เฮอร์วิน·แรมบิสพยักหน้ารับ


“อย่างนี้นี่เอง…”


ขณะจิตใจออเดรย์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ครึ่งเทพเส้นทางผู้ชม หรี่ตาลงทันที


“ถ้ามีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว นั่นคงไม่น่าสงสัยเท่าไร แต่เมื่อผนวกกับเรื่องที่คุณตกใจมากในตอนที่เห็นผมครั้งแรก ดูเหมือนว่าคุณกำลังปิดบังบางสิ่ง…”


กล่าวจบ ดวงตาสีฟ้าอ่อนของเฮอร์วิน·แรมบิสพลันแปรเปลี่ยนเป็นแนวตั้ง จากนั้นก็ถูกย้อมด้วยสีทองอย่างรวดเร็ว


ภายในรูม่านตาสีทองแนวตั้งทั้งสองข้าง ภาพของออเดรย์ที่สวมชุดขี่ม้าถูกสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน


ท่ามกลางเสียงอื้ออึง สติออเดรย์พลันเกิดความโกลาหล มีเพียง ‘เธอ’ ที่อยู่ใต้ผืนนภาวิญญาณเท่านั้นที่ยังครองสติไว้ได้คมชัด


เธอเห็นคลื่นบนท้องทะเลจิตของตนกำลังถาโถมเข้าใส่เกาะแห่งจิตใต้สำนึก


ขณะเดียวกัน เฮอร์วิน·แรมบิสมายาที่ดูชั่วร้ายได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันหยุดนิ่งใต้ผิวทะเล จากนั้นก็ยิงเกล็ดมังกรสีเทาอ่อนใส่ฐานรากของเกาะ ซึ่งตรงนั้นเป็นตำแหน่งของจิตใต้สำนึกที่สำคัญที่สุดของมนุษย์


ออเดรย์พบว่าความคิดของตนพลันบิดเบี้ยว ภายในใจอยากเล่าทุกสิ่ง สารภาพความลับทั้งหมด


อาศัยสติอันกระจ่างชัดของ ‘ตัวเธอ’ ใต้ผืนนภาวิญญาณ หญิงสาวควบคุมตัวเองอย่างยากลำบาก ไม่ยอมเปิดเผยความลับใดๆ แม้จะทราบดีว่า การขัดขืนเช่นนี้จะทำให้เกิดปัญหาตามมา แต่เธอไม่มีเวลามัวคิดเล็กคิดน้อย รีบอาศัยพรจากเทวทูตและสติอันกระจ่างชัดบนท้องฟ้า แอบกระทำบางสิ่งที่เฮอร์วิน·แรมบิสไม่ทันสังเกตเห็น


หนึ่งในนั้นคือการสอดฝ่ามือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อฝั่งซ้าย


ขณะเดียวกัน เฮอร์วิน·แรมบิสที่กำลังบุกรุกโลกแห่งจิต สีหน้าดำมืดมากขึ้นทุกขณะ ก่อนจะคำรามต่ำด้วยน้ำเสียงเย็นชา:


“ไม่ถูกต้อง… มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง!”


หากออเดรย์อยู่ในสถานะปรกติ เธอต้องพรั่งพรูความลับและความเป็นส่วนตัวทั้งหมดออกมาทีละข้อโดยเริ่มจากเรื่องสำคัญที่สุดก่อน ไม่ใช่เอาแต่ปิดปากเงียบเช่นนี้!


ในทำนองเดียวกัน เนื่องจากการ ‘บงการ’ เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ออเดรย์จึงไม่มีเวลาเตรียมตัวและสร้างความลับปลอมๆ มาเล่าให้อีกฝ่ายฟัง และหากเล่าออกไปส่งเดช เรื่องที่เธอยังครองสติไว้ได้ก็จะความแตกอยู่ดี


หลังจากยืนยันความผิดปรกติ เฮอร์วิน·แรมบิสไม่ลังเลอีกต่อไป ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ผิวหนังถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสีเทา


พายุในทะเลจิตทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ออเดรย์ใต้ผืนนภาวิญญาณเริ่มซวนเซ


หลังจากถูกคลื่นทะเลลูกแล้วลูกเล่าโหมกระหน่ำ แนวป้องกันชั้นสุดท้ายของจิตใต้สำนึกกำลังจะพังครืน


“ฮึ่ม!” เฮอร์วิน·แรมบิสยกระดับความรุนแรงของพายุจิต ก่อนจะเผยสีหน้าพึงพอใจเมื่อเห็นเกาะแห่งจิตใต้สำนึกของออเดรย์เริ่มสั่นคลอน


สิ่งนี้หมายความว่า มันใกล้ควบคุมอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์!


แต่ทันใดนั้น ถ้อยคำโบราณพลันกังวานในโสตประสาทของมัน


“โชคชะตา!”


บนโลกความจริง เฮอร์วิน·แรมบิสเงยหน้าขึ้นด้วยอากัปกิริยาตกตะลึงสุดขีด เนื่องจากมันกำลังเผชิญกับดวงตาสีเขียวมรกตของออเดรย์ซึ่งถูกฉาบด้วยแสงสีทองสว่าง ทั้งงดงามและน่าหลงใหลเกินกว่าจะพรรณนา

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1050 : สะกดจิตเก่ง

 

เมื่อสิ้นเสียงถ้อยคำเฮอร์มิสโบราณที่ดังก้อง บริเวณรอบๆ ออเดรย์และเฮอร์วิน·แรมบิสพลันหม่นหมองลงชั่วขณะ


คล้ายกับมีใครเดินผ่านมาและรีบผ่านไป


รอจนกระทั่งความสว่างคืนกลับ ภายในโลกแห่งจิต เจ้าของ ‘เกาะแห่งจิตใต้สำนึก’ ที่ปกคลุมไปด้วยพายุจิตอันน่าสะพรึงกลัว พลันเปลี่ยนมือจากออเดรย์เป็นเฮอร์วิน·แรมบิส และฝ่ายที่บุกรุกจิตใจเปลี่ยนจากเฮอร์วิน·แรมบิสเป็นออเดรย์


ยันต์โจรปล้นดวง!


สร้างจากหนอนกาลเวลาของอามุนด์ด้วยพลังของเดอะฟูล สามารถขโมยและสับเปลี่ยนชะตากรรมของเป้าหมายได้ในระยะเวลาอันสั้น!


นี่คือ ‘ค่ารักษา’ อาการทางจิตที่เดอะเวิร์ลมอบให้ออเดรย์ ด้วยความช่วยเหลือของยันต์ เธอใกล้จะทำลาย ‘กำแพงสติ’ ของเฮอร์วิน·แรมบิสด้วย ‘พายุจิต’  เป็นการสลับชะตากรรมโดยสิ้นเชิง


เพียงพริบตา กระแสสงครามเกิดพลิกผัน จากผู้ที่ใกล้พังครืน ออเดรย์กลับมาถือครองความได้เปรียบอย่างแท้จริง


แต่แน่นอนว่า ข้อได้เปรียบนี้จะคงอยู่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น


ว่ากันตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อสองวันก่อน ออเดรย์เคยถามตัวเองว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรในสถานการณ์สิ้นหวัง เธอคงนึกไม่ถึงการใช้ยันต์โจรปล้นดวง หรือกว่าจะคิดได้ก็สายเกินไป แต่ในวินาทีนี้ หญิงสาวที่ซักซ้อมภายในใจมาหลายครั้ง รีบระงับอารมณ์ส่วนเกินพร้อมกับยืนยันสถานการณ์อย่างรวดเร็วอาศัยความได้เปรียบในปัจจุบัน ออเดรย์ควบคุมพายุจิตผสานกับพลังสะกดจิต พยายามเปิดประตูสู่ ‘กายปัญญา’ ของเฮอร์วิน·แรมบิส


เฮอร์วิน·แรมบิสติดชะงักไปทันที ราวกับคนธรรมดาที่กำลังหลงใหลดวงตาสีทองของออเดรย์และถูกสะกดจิตเข้าอย่างจัง


ถูกต้อง ในวินาทีปัจจุบัน ครึ่งเทพของเส้นทางผู้ชมกำลังถูกควบคุมโดยออเดรย์ซึ่งอยู่แค่ลำดับ 6


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ต่อให้ผลของยันต์โจรปล้นดวงจบลง แต่สถานะเช่นนี้จะยังคงอยู่ต่อไป!


อย่างไรก็ตาม ออเดรย์ทราบดี เธอสามารถเปิดประตูกายปัญญาของเฮอร์วิน·แรมบิสและเข้า ‘ควบคุมขั้นต้น’ ได้ด้วยพลังของยันต์ หากฤทธิ์ยันต์หมดลงเมื่อไร ไม่ว่าเธอจะทำสิ่งใดต่อไป ผลลัพธ์จะถูกปฏิเสธด้วยความแตกต่างของพลัง


และนอกจากนั้น เธอเริ่มสัมผัสได้ว่า เฮอร์วิน·แรมบิสกำลังดิ้นรนขัดขืนให้หลุดจากสภาพปัจจุบัน เพราะเกล็ดสีเทาเริ่มปรากฏบนใบหน้าของมันบนโลกความจริง


อีกไม่นาน มันจะหลุดพ้นจากการถูกควบคุมจิตใจเบื้องต้น… ออเดรย์ตระหนักได้จากสิ่งที่เห็นและสัมผัส


เธอจ้องไปยังศีรษะของเฮอร์วิน·แรมบิส นึกเสียใจที่ไม่ได้พกลูกโม่ทรงพลังติดตัวมาด้วย ไม่อย่างนั้นคงใช้โอกาสนี้เพื่อลั่นไกหลายนัด หวังฆ่าอีกฝ่ายให้ตายคาที่


แต่ในวินาทีถัดมา เธอนึกออกว่าตนมีพลังในการสร้างเกล็ดมังกร และเชื่อว่าเฮอร์วิน·แรมบิสเองก็คงมีเช่นกัน แถมยังเป็นรุ่นที่แข็งแกร่งกว่าหลายเท่า พวกมันจะไม่ถูกทำลายด้วยการโจมตีธรรมดา รวมไปถึงสมบัติวิเศษสายโจมตีในระดับกลางและต่ำ!


และถ้าไม่ตายในการโจมตีหนึ่งครั้ง เฮอร์วิน·แรมบิสจะได้สติกลับมาอย่างแน่นอน พร้อมกับหลุดพ้นจากการถูกควบคุม


โดยปราศจากความลังเล ออเดรย์ซึ่งยังขาดพลังโจมตี ผุดความคิดหนึ่งได้ทันที:


เธอต้องสะกดจิตมัน!


เฮอร์วิน·แรมบิสเป็นคนที่เชี่ยวชาญการสะกดจิตมาก และมีพลังต่อต้านการสะกดจิตที่แข็งแกร่ง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง มันจะไม่พกพาสมบัติวิเศษที่ช่วยป้องกันการสะกดจิต… แต่เราจะไม่สั่งให้หมอนั่นทำในสิ่งที่ขัดต่อความตั้งใจมากเกินไป เพราะด้วยช่องว่างของพลัง เราไม่มีทางเอาชนะแรงขัดขืนจากจิตใต้สำนึกได้… หลังจากกระแสความคิดมากมายผุดขึ้นในหัว ออเดรย์เม้มปากเล็กน้อย


เธอพยายามไม่เผยท่าทีผิดธรรมชาติ เพียงจ้องเข้าไปในดวงตาเฮอร์วิน·แรมบิสและกล่าวเสียงแผ่ว


“ในคฤหาสน์ของกายลินหลังนี้ หาที่นั่งรอฉันสักสิบห้านาที… เมื่อครบกำหนดค่อยไปหาฉันที่สวน”


การชี้นำทางจิตเช่นนี้มิได้กระตุ้นแรงต้านมากนัก ช่วยให้การสะกดจิตของออเดรย์สำเร็จอย่างราบรื่น ต้องไม่ลืมว่า แต่เดิม เฮอร์วิน·แรมบิสก็มีแผนจะรอพบออเดรย์ที่คฤหาสน์ของไวเคาต์กายลินอยู่แล้ว การสะกดจิตจึงไปกระตุ้นข้อมูลเก่าให้ทำงานโดยแก้ไขสถานที่และเวลาเล็กน้อย แถมความแตกต่างของข้อมูลของชุดก็ยังต่ำมาก เรียกได้ว่าสอดคล้องกับเจตนาเดิมของเฮอร์วิน·แรมบิส จิตใต้สำนึกของมันจึงไม่ได้แสดงอาการต่อต้าน


“ตกลง…” เฮอร์วิน·แรมบิสตอบรับสั่งของออเดรย์


หญิงสาวถอนหายใจโล่งอก มองตาอีกฝ่ายและกล่าวเสียงแผ่ว


“แต่วันนี้ คุณวางแผนจะแวะมาหาฉันแค่สิบห้านาที… แปลว่าคุณจะไม่ได้เจอหน้าฉัน… และในเมื่อคุณไม่ได้เจอหน้าฉัน เหตุการณ์ในวันนี้จะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งหมดจะถูกลืมเลือน”


เนื่องจากเฮอร์วิน·แรมบิสยอมรับการสะกดจิตในครั้งแรก เมื่อคำสั่งที่สอดคล้องกันถูกป้อนเข้ามาอย่างสมเหตุสมผล ต่อให้มีการต่อต้านเล็กๆ แต่ก็ไม่มากพอจะทำให้ได้สติ


ในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา แสงสีทองอันทรงเสน่ห์ได้เลือนหายไปจากดวงตาหญิงสาว


“ใช่… วันนี้ผมไม่ได้เจอกับคุณ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น” เฮอร์วิน·แรมบิสทวนซ้ำด้วยสีหน้าเหม่อลอย แต่เกล็ดสีเทาบนผิวหนังของมันกลับยิ่งทวีจำนวน


หลังจากผ่านขั้นตอนสำคัญ ออเดรย์ระงับความอยากที่ใช้มือทาบอก ครุ่นคิดสักพักและกล่าว


“เมื่อคุณได้ยินฉันร้องเพลง คุณจะเงียบและฟัง”


อันที่จริง เธออยากผสานการสะกดจิตเข้ากับกับการหว่านเสน่ห์ แต่นึกขึ้นได้ทีหลังว่าตนทำท่าหว่านเสน่ห์ไม่เป็น และไม่รู้วิธีแสดงสีหน้าในทำนองเดียวกัน จึงไม่มีทางเลือกนอกจากยกมือขึ้นรวบผมสีทองอ่อน เอียงคอเล็กน้อย ขยิบตาและยิ้มอย่างสดใส


ทันทีหลังจากนั้น หญิงสาวฮัมเพลง ‘คฤหาสน์ใต้แสงจันทร์’ ด้วยเสียงนาสิก


เฮอร์วิน·แรมบิสยืนจ้องหญิงสาวที่อบอุ่นแสงแดด งดงามราวกับดอกไม้ และเจิดจ้าราวกับอัญมณี ยืนฟังเสียงอันล่องลอยและไพเราะด้วยจิตที่ค่อยๆ สงบลง ปราศจากการต่อต้านขัดขืน


เมื่อเห็นว่าการควบคุมขั้นต้นกำลังจะถูกยกเลิก ออเดรย์ไม่มัวรีรอ ชี้ไปทางฟากหนึ่งของทางเดิน:


“ตรงไปที่นั่น… เมื่อเห็นกระจกหลากสี คุณจะได้สติกลับมาพร้อมกับสลายเกล็ดมังกร”


เธอรู้จักอีกฟากหนึ่งของทางเดินเป็นอย่างดี นั่นคือทางเดินของประตูหลัก สองฝั่งเต็มไปด้วยกระจกหลากสีสันอันงดงาม


คำสั่งของออเดรย์ไม่สร้างอันตราย และไม่ได้ขัดต่อเจตจำนงของเฮอร์วิน·แรมบิส ส่งผลให้มันก้าวเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่ต่อต้าน และเลี้ยวขวาเมื่อถึงสุดปลายทาง


รอจนกระทั่งแผ่นหลังของอีกฝ่ายหายไป ออเดรย์หายใจออกเชื่องช้า ยินยอมให้ความหวาดกลัว ความเครียด และความโกรธปริมาณมหาศาลรุกล้ำจิตใจ


ร่างกายหญิงสาวสั่นระริกอย่างมิอาจหักห้าม ปากเปิดออกเล็กน้อย หายใจเข้าออกอย่างมิอาจควบคุม


ผ่านไปสิบวินาที ออเดรย์ใช้ปลอบโยนใส่ตัวเองเพื่อสงบสติ


จากนั้น เธอเหลือบมองนาฬิกาแขวนพร้อมกับยกมือขึ้น ประสานกันใต้จมูกและปาก เปล่งพระนามเต็มของเดอะฟูลด้วยเสียงต่ำ


หญิงสาวสวดวิงวอนเพื่อขอพรจากเทวทูตอีกครั้ง และฝากตัวตนอันลึกลับแจ้งกับ ‘เดอะเวิร์ล’ ว่า เธอทราบเวลาที่เฮอร์วิน·แรมบิสจะปรากฏตัวอย่างแม่นยำ และตนจะอัญเชิญเกอร์มัน·สแปร์โรว์มาก่อนหน้านั้นประมาทสองถึงสามนาที ให้อีกฝ่ายเตรียมตัวให้พร้อมและกะเวลาลงมืออย่างแม่นยำ ไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป เฮอร์วิน·แรมบิสจะได้ไม่ไหวตัวทันก่อนจะถูกซุ่มโจมตี


ระหว่างสวดวิงวอน ออเดรย์แค่เล่าสั้นๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่ได้ลงรายละเอียด เพื่อไม่ให้เสียเวลา


ถัดมา หญิงสาวยกมือขึ้นและกดลงบนแก้ม เปลี่ยนให้สีหน้ากลับเป็นปรกติ จากนั้นก็สะกดจิตตัวเองให้เริ่มร้องเพลงทันทีที่เห็นเฮอร์วิน·แรมบิสปรากฏตัวอีกครั้ง


จัดการทั้งหมดเสร็จ ออเดรย์เดินไปยังห้องโถง สิ่งแรกที่พบคือซูซี่ โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่ เมื่อเห็นออเดรย์ มันรีบนำสร้อยคอ ‘คำลวง’ และเข็มกลัด ‘คู่ปรับเหล้า’ มาให้หญิงสาวสวม- สมบัติวิเศษชิ้นหลังสามารถสวมใส่ได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ไม่อย่างนั้นจะเกิดความเสียหายกับตับและสมองในระดับที่มิอาจฟื้นฟูให้กลับเป็นปรกติ ตามแผนเดิม ออเดรย์เตรียมจะสวมมันหลังออกจากคฤหาสน์ของกายลิน ด้วยกังวลว่าจะเผชิญหน้ากับเฮอร์วิน·แรมบิสระหว่างทางกลับ


เมื่อไม่สังเกตเห็นความผิดปรกติในพฤติกรรมของออเดรย์ ซูซี่จึงทำเพียงมองดูเจ้านายสวมสร้อยคอและติดเข็มกลัด


ผ่านไปสองสามนาที ออเดรย์พับถุงมือตาข่ายผ้าสีดำเข้าไปในกระเป๋าชุดขี่ม้า จากนั้นก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำและเดินอ้อมไปทางสวนในคฤหาสน์


ถัดมา หญิงสาวแหงนมองนาฬิกาขนาดใหญ่บนยอดหอคอยสูงที่อยู่ติดกับคฤหาสน์ สติตึงเครียดขณะนับถอยหลังด้วยใจจดจ่อ


เธอไม่ได้กลัวว่าเฮอร์วิน·แรมบิสจะไม่มา แต่กลัวว่าจะมาเร็วหรือช้ากว่าเวลานัดหมาย


แต่ละนาทีผ่านไปอย่างบีบหัวใจ ออเดรย์ใช้ ‘ปลอบโยน’ สองครั้งเพื่อสงบสติ


รอจนกระทั่งเหลือเวลาสองนาทีสิบห้าวินาที หญิงสาวถอดเครื่องประดับขนนกออกจากหมวกพร้อมกับสะบัดข้อมือ


เปลวไฟสีแดงเข้มพลันลุกโชน ขนนกสีขาวเริ่มมอดไหม้


นี่คือพลัง ‘ควบคุมไฟ’ ที่มาพร้อมกับ ‘คำลวง’


เปลวไฟที่ร้อนแรงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีซีด ใช้เวลาเพียงสองถึงสามวินาที ขนซึ่งเป็นผลพลอยได้จากเทพมรณาเทียมก็กลายเป็นละอองเถ้าถ่านโดยสมบูรณ์


ทว่า รอบตัวหญิงสาวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย


แหงนดูนาฬิกาเรือนใหญ่อีกครั้ง ออเดรย์หยิบยันต์ดีบุกขาวออกมาถือ เปล่งภาษาเฮอร์มิสโบราณ:


“สายฟ้า!”


ยันต์สว่างวาบ คล้ายกับมีอสรพิษสายฟ้าขนาดเล็กจำนวนมากพุ่งออกไปทุกทิศในลักษณะพัวพัน


นี่คือยันต์สำหรับอัญเชิญเรียกเกอร์มัน·สแปร์โรว์


จนกระทั่งแสงจากไฟฟ้าดับสนิท แผ่นยันต์สลายไปโดยสมบูรณ์ ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างเปล่า แต่บริเวณรอบๆ กลับยังเงียบสงัด ปราศจากความคึกคักหรือสุ้มเสียง


ตอนนี้ซิลกับฟอร์สน่าจะไปถึงวิหารของเทพธิดารัตติกาลและเริ่มสวดมนต์แล้ว… ออเดรย์ข่มใจให้สงบ แสร้งเชยชมดอกไม้ที่ยังเหลือรอดจากฤดูใบไม้ร่วง


หญิงสาวไม่แหงนมองนาฬิกาเรือนใหญ่อีก แต่เลือกจะนับถอยหลังภายในใจ


สามวินาที สองวินาที หนึ่งวินาที… เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองไปรอบตัว แต่กลับยังไม่เห็นเงาของเฮอร์วิน·แรมบิส


อีกฝ่ายพบความผิดปรกติและออกจากที่นี่แล้ว? ออเดรย์กลับมาเครียดอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะนึกทบทวนว่าตนกระทำสิ่งใดพลาดไปหรือไม่


ทันใดนั้น สุ้มเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นข้างใบหู:


“กำลังมองหาอะไรอยู่หรือ?”


รูม่านตาออเดรย์เบิกกว้างอย่างรวดเร็ว ชำเลืองจากหางตา เธอเห็นเฮอร์วิน·แรมบิส บุรุษเจ้าของเส้นผมสีขาวและดวงตาสีฟ้าอ่อน มันโผล่มาอยู่ข้างๆ ตั้งแต่ตอนไหนก็มิอาจทราบได้ ในน้ำเสียงเจือความสงสัยไว้อย่างชัดเจน


เนื่องจากสะกดจิตตัวเองไว้แล้ว หญิงสาวจึงตอบสนองตามจิตใต้สำนึก รีบฮัมเพลง ‘คฤหาสน์ใต้แสงจันทร์’ อย่างไพเราะ


ท่ามกลางเสียงนาสิกอันล่องลอย เฮอร์วิน·แรมบิสสงบลงและตั้งใจฟัง


แต่ทันใดนั้น มันกลับพบว่าระยะห่างระหว่างตนกับออเดรย์ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทั้งที่ไม่มีใครขยับตัว


แม้จะเป็นยามบ่าย แต่ค่ำคืนอันมืดมิดได้แผ่ปกคลุมสวนดอกไม้ของคฤหาสน์อย่างฉับพลัน พระจันทร์สีแดงดวงใหญ่ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า และด้านล่างพระจันทร์ บุรุษสวมเสื้อกันลมสีดำและหมวกทรงสูงปรากฏกาย ใบหน้าของมันพร่ามัวเนื่องจากย้อนแสง

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1051 : ต่างเส้นทาง ต่างร...

 

ทันทีที่เห็นฉากตรงหน้า เฮอร์วิน·แรมบิสหลุดพ้นจากสภาวะสงบนิ่งทันที ตระหนักชัดเจนว่าตนตกหลุมพรางเข้าแล้ว แถมยังได้รับอิทธิพลมาสักพักแล้ว


โดยปราศจากความลังเล มันโค้งหลังเล็กน้อย ร่างกายบวมพองอย่างเห็นได้ชัด


รูม่านตาแปรเปลี่ยนเป็นแนวตั้ง จากสีฟ้าอ่อนเป็นสีทอง ตามใบหน้าและหลังมือ ทุกตารางนิ้วของผิวที่เผยให้เห็นพลันถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสีเทาคล้ายก้อนหิน


ท่ามกลางเสียงปริแตก เสื้อเชิ้ตสีขาวที่มันสวมอยู่ เสื้อนอกสุภาพสีดำ กางเกงขายาว ทั้งหมดล้วนขาดวิ่นโดยมีเกล็ดมังกรปกคลุมด้านล่าง


เพียงพริบตา เฮอร์วิน·แรมบิสกลายเป็นสัตว์ประหลาดร่างใหญ่ นอกจากส่วนหัวที่ยังคงเป็นมนุษย์ ร่างกายส่วนที่เหลือถูกแปรสภาพโดยสมบูรณ์ ราวกับเป็นมังกรสีเทาอ่อนที่ร่างกายยังพัฒนาไม่เต็มที่


มังกรยักษ์ตัวนี้สยายปีกหนังสีเทาออกจากแผ่นหลังหนึ่งคู่ แขนขาบึกบึน เกล็ดสีเทาบนผิวกายมีรอยสลักลวดลายลึกลับซับซ้อน ลายสามมิติบางส่วนฝังเข้าไปในเนื้อ บางส่วนขยายออกสู่ความว่างเปล่า คล้ายกับเป็นวัตถุที่ไม่ได้มาจากโลกความจริง สร้างความรู้สึกหดหู่และบิดเบี้ยวแก่ผู้พบเห็น นอกจากนั้นยังทำให้ร่างวิญญาณปนเปื้อนความคิดจากก้นบึ้งจิตใจทุกประเภท นึกอยากจะฉีกทำลายตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด


ร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์ของเส้นทางผู้ชม!


สำหรับครึ่งเทพในเส้นทางอื่น หากไม่ใช่เทวทูต การจะสู้ในร่างสัตว์ในตำนาน จำเป็นต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งและแน่วแน่ ไม่อย่างั้นจะมิอาจควบคุมความบ้าคลั่งและแนวโน้มในการคลุ้มคลั่ง มีโอกาสสูงที่จะเสียสติคาที่ กลายเป็นสัตว์ประหลาดตัวจริง แต่เรื่องราวเหล่านี้ใช้ไม่ได้กับเส้นทางผู้ชม พวกมันมี ‘ปลอบโยน’ ที่สามารถบำบัดจิตใจและดวงวิญญาณ แทบไม่มีโอกาสเผชิญหน้ากับภาวะส่อคลุ้มคลั่ง ดังนั้น ตราบใดที่การต่อสู้ไม่ยืดเยื้อนานไปนัก ครึ่งเทพเส้นทางผู้ชมสามารถใช้ร่างสัตว์ในตำนานได้ตามใจชอบ หากต้องการกลับสู่สภาวะปรกติก็ทำได้ทันที


ฟ้าว!


ความคิดทั้งหมดขอบเขตจิตใต้สำนึกของเฮอร์วิน·แรมบิสกำลังเดือดพล่าน จิตใต้สำนึกบางส่วนพรั่งพรูออกจากร่างกายและหลอมละลายไปกับความว่างเปล่า


ฟ้าว!


สายลมกระโชกพัดผ่านร่างมังกรสีเทาของเฮอร์วิน·แรมบิส พวกมันดูเหมือนทั้งของจริงและภาพมายา


สายลมเหล่านี้อัดแน่นไปด้วยเจตจำนงบางอย่าง พัดผ่านแพร่กระจายไปทุกทิศทุกทาง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียงพลันเกิดความผิดปรกติที่แตกต่าง บ้างยืนเหม่อลอย บ้างหลบหนีไปที่มุมสวน บ้างฉี่ราดและขาอ่อน บ้างหมดสติคาที่ และบ้างเผยสีหน้าหลงใหลราวกับเป็นแฟนพันธุ์แท้ของมังกร


นี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของ ‘มังกรข่มขวัญ’ ซึ่งมีแหล่งกำเนิดมาจากสัตว์ในตำนาน ของเดิมจะแค่สร้างผล ‘เกรงขาม’ แก่เป้าหมาย แต่ของเฮอร์วิน·แรมบิสพัฒนากลายเป็น ‘ช่วงชิงใจจิต’ ที่มาพร้อมอิทธิพลหลายชนิด!


ฉวยโอกาสที่มังกรข่มขวัญกำลังแผ่ซ่านไปทุกจุด เจตจำนงและความคิดของเฮอร์วิน·แรมบิสแปรสภาพกลายเป็นตัวมันอีกคนหนึ่งที่มีบรรยากาศชั่วร้าย จากนั้นก็เคลื่อนที่ผ่าน ‘ทะเลจิตใต้สำนึกรวม’ ซึ่งผู้วิเศษส่วนใหญ่มองไม่เห็น ตรงดิ่งมันเข้าหาทั้งเกอร์มัน·สแปร์โรว์บนหลังคา และออเดรย์·ฮอลล์ที่มุมสวน ด้วยความเร็วอันน่าตกตะลึง


ในฐานะผู้ชม โดยไม่ต้องเห็นใบหน้าชัดเจน พิจารณาจากบรรยากาศรอบตัวเพียงอย่างเดียว มันสามารถระบุได้ทันทีว่าผู้จู่โจมคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์!


ทันใดนั้น ออเดรย์รีบทำตามคำแนะนำของสองครึ่งเทพแห่งชุมนุมทาโรต์ เดอะเวิร์ลและมาดามเฮอร์มิท นั่นคือการพึมพำเพื่อสะกดจิตตัวเอง:


“ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น… ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น…”


“ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น… ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น…”


เธอต้องการหลีกเลี่ยงความผิดปรกติทางจิตที่จะเกิดขึ้นถ้าจ้องมองร่างสัตว์ในตำนานของเฮอร์วิน·แรมบิสโดยตรง อาจเลวร้ายถึงขั้นคลุ้มคลั่ง


ไม่เพียงเท่านั้น วิธีนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้เธอ ‘เห็น’ หรือ ‘สัมผัสถึง’ เฮอร์วิน·แรมบิสร่างชั่วร้ายที่ลักลอบเข้ามาในโลกแห่งจิตผ่านทะเลจิตใต้สำนึกรวม


แต่ทันใดนั้น เฮอร์วิน·แรมบิสภายใน ‘เกาะแห่งจิตใต้สำนึก’ พลัน ‘คลาดสายตา’ จากหญิงสาวผมสีทองอ่อนอย่างกะทันหัน


ออเดรย์รู้สึกอบอุ่นร่างกายอย่างบอกไม่ถูก ประหนึ่งเดินออกจากถ้ำน้ำแข็งและพบกับแสงแดดจ้า


เธอรีบสลายการสะกดจิตและลืมตาขึ้น ฉากตรงหน้าคือดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าที่ส่องแสงทะลุผ่านเมฆก้อนใหญ่ เกิดเป็นภาพแสนวิจิตรตระการตา ท่ามกลางความรู้สึกที่คมชัด ดอกไม้ที่เหลือรอดจากฤดูใบไม้ร่วงยังเบ่งบานอย่างเงียบงันไปตามธรรมชาติ


ออเดรย์มองไปรอบตัวด้วยสีหน้าเหม่อลอย ไม่แต่ก็พบเฮอร์วิน·แรมบิส ไม่พบเกอร์มัน·สแปร์โรว์ และไม่พบพระจันทร์สีแดงขนาดใหญ่


ฉากตรงหน้าทำให้หญิงสาวรู้สึกราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน


“เป็นพลังที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้… การต่อสู้ระหว่างสองครึ่งเทพกลับไม่ทำร้ายดอกไม้แม้แต่หนึ่งดอก” ออเดรย์พึมพำกับตัวเอง เดินออกจากสวนอย่างสงบ กลับไปยังทางเชื่อมระหว่างสวนกับตัวอาคาร


เธอกังวลว่า หากตนอยู่ที่นั่นด้วย เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะสู้ได้ไม่เต็มที่เพราะต้องคอยระแวง


ภายในโลกแห่งความลับ ร่างแบ่งภาคของเฮอร์วิน·แรมบิสกำลังบุกรุกเกาะแห่งจิตใต้สำนึกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ภายใต้พระจันทร์สีแดง


ขณะเหยียบลงบนเกาะและเตรียมเปิดประตู ‘กายปัญญา’ เพื่อควบคุมจิตใต้สำนึกของศัตรู เฮอร์วิน·แรมบิสพลันพบว่าเกาะมายาที่กำลังมันยืนนั้นเงียบเกินไป ปราศจากความคิดล่องลอย ปราศจากกระแสความคิดใหม่ แทบไม่มีสิ่งใดอยู่เลย


หุ่นเชิด! เฮอร์วิน·แรมบิสพลันกระจ่าง เมื่อผนวกกับข้อมูลในอดีต มันเริ่มเข้าใจภาพรวมของเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างคร่าวๆ


มันไม่ตกใจจนเกินพอดี ไม่แสดงความผิดหวังมากนัก ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เฮอร์วิน·แรมบิสกำลังมีความสุขและทวีความมั่นใจ เพราะสำหรับครึ่งเทพเส้นทางผู้ชม ตัวมันสามารถจำแนกความแตกต่างระหว่างหุ่นเชิดกับร่างต้นได้ง่าย ส่งผลให้พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แทบจะกลายเป็นหมัน


และถึงจะเป็นแค่หุ่นเชิด แต่นายคิดว่าการบุกรุกโลกแห่งจิตของฉันเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์? ดวงตาของเฮอร์วิน·แรมบิสร่างชั่วร้ายในโลกแห่งจิตเริ่มมองกวาด จนกระทั่งพบทางเดินโปร่งใสที่มีไว้ถ่ายทอดความคิดมายังเกาะแห่งจิตใต้สำนึกของหุ่นเชิด ใช่แล้ว สิ่งนี้คือ ‘ด้ายวิญญาณ’ ไม่สิ มันคือสัญลักษณ์แทนด้ายวิญญาณภายในโลกแห่งจิต!


ทันทีหลังจากนั้น ร่างของเฮอร์วิน·แรมบิสพลันส่องแสงและพุ่งไปตามทางเดินโปร่งใสจนกระทั่งพบเกาะแห่งจิตใต้สำนึกแห่งใหม่ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเดินค่อนข้างไกล ที่นี่คือต้นตอในการควบหุ่นเชิดผ่านความคิด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง มันคือร่างหลัก!


“เจอตัวแล้ว!”


เฮอร์วิน·แรมบิสสูดลมหายใจเข้าอย่างเย็นชา สร้าง ‘พายุจิต’ อันน่าสะพรึงกลัวขึ้นรอบๆ ทะเลจิตใต้สำนึกรวม จากนั้นก็สั่งให้ถล่มเกาะแห่งจิตใต้สำนึกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


การโจมตีนี้ยังทำให้ ‘สภาพอากาศ’ บริเวณใกล้เคียงกับเกาะผันผวนอย่างหนัก สัมผัสวิญญาณที่ผู้วิเศษมักพึ่งพาจะเกิดการผิดเพี้ยนและถูกรบกวน พร้อมกันนั้น เฮอร์วิน·แรมบิสถือโอกาสเข้าใกล้เกาะแห่งจิตใต้สำนึกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยการสร้างขั้นบันไดสีขาว เตรียมบุกรุกจิตใต้สำนึกของอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน


นี่คือรูปแบบการต่อสู้ตามปรกติของมัน หนึ่งด้านสว่างและหนึ่งด้านมืด ฝั่งหนึ่งจู่โจมซึ่งๆ หน้าและเปิดเผย อีกฝั่งหนึ่งลักลอบเข้าไปในจิตใต้สำนึก เทคนิคโจมตีผสานเช่นนี้ช่วยให้มันพังปราการทางใจของเป้าหมายได้ง่าย และเพียงไม่นานก็สามารถเข้าควบคุม ‘กายปัญญา’ ขั้นต้น


พร้อมกันนั้น บนโลกความจริง เฮอร์วิน·แรมบิสในร่างครึ่งมังกรลอยไปบนฟ้า ตามด้วยการใช้มังกรข่มขวัญกับ ‘ลมหายใจมังกร’ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ สร้างความได้เปรียบในการต่อสู้ฝั่งโลกแห่งจิต


แต่ทันใดนั้น ณ ส่วนลึกของทะเลจิตใต้สำนึกรวมที่อยู่ใต้เกาะแห่งจิต เฮอร์วิน·แรมบิสร่างมายาซึ่งพยายามการบุกรุกประตู ‘กายปัญญา’ ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ สภาพแวดล้อมรอบตัวมันแปรเปลี่ยนเป็นภาพสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขต โดยที่มหาสมุทรและเกาะแห่งจิตใต้สำนึกล้วนอันตรธานหาย


เฮอร์วิน·แรมบิสเกิดความตึงเครียดทันที รีบวิเคราะห์สภาพจิตใจของตัว สงสัยว่าจะเห็นภาพหลอน


แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ภาพของหมอกสีเทากลับยังไม่แปรเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม ไม่มีเหตุร้ายหรืออันตรายใดเกิดขึ้นกับเฮอร์วิน·แรมบิส คล้ายกับดังกล่าวนี้เป็นแค่พื้นหลังธรรมดาๆ


มันเกิดความสับสนทันที


ขณะเฮอร์วิน·แรมบิสเตรียมสร้าง ‘พายุจิต’ เพื่อปั่นป่วนที่นี่ สายหมอกสีเทาพลันอันตรธานหาย กลับไปเป็นเกาะแห่งจิตใต้สำนึกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตามเดิม


เฮอร์วิน·แรมบิสไม่มัวลังเล รีบลงมือบุกรุกใต้สำนึกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทันที พยายามเข้าควบคุมความคิดของเป้าหมาย


ทว่า กระแสความคิดทั้งหมดกลับกำลังส่องสว่าง ออร่าของพวกมันอัดแน่นไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และน่าเกรงขาม ไม่สามารถสั่นคลอนหรือสร้างผลกระทบ


นี้มัน… เฮอร์วิน·แรมบิสรีบเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็เสกบันไดหินและเดินขึ้นไปบนผิวทะเลจิตใต้สำนึกรวม


นอกจาก ‘เกาะ’ จำนวนมาก เฮอร์วิน·แรมบิสยังเห็นร่างหนึ่งซึ่งมีปีกเพลิงสิบสองคู่อยู่บนแผ่นหลัง ตามลำตัวสองแสงสีทองอร่าม


ภาพฉายตัวแทนพลังจากเทวทูต!


ในเมื่อวางแผนจะจัดการกับครึ่งเทพเส้นทางผู้ชม ไคลน์ย่อมต้องใช้อ้อมกอดเทวทูตกับตัวเองล่วงหน้า เป็นพรที่สร้างจากไพ่นักบวชสีชาดและการระดมพลังของมิติลึกลับเหนือสายหมอก และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมชายหนุ่มถึงไม่ได้รับผลกระทบจากร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์ของอีกฝ่าย


และสาเหตุที่ไม่ได้เปิดเผย ‘พร’ ชนิดนี้ตั้งแต่แรก ไคลน์ต้องการทดสอบเฮอร์วิน·แรมบิสก่อน


ในตอนที่เฮอร์วิน·แรมบิสพยายามบุกรุกเกาะแห่งจิตใต้สำนึก หุ่นเชิดของชายหนุ่ม โจนาส·โคลเกอร์ได้ใช้พลัง ‘บิดเบือน’ เพื่อเปลี่ยนเป้าหมายการบุกรุกของเฮอร์วิน·แรมบิส จาก ‘กายปัญญา’ ของร่างต้นให้กลายเป็นภาพจำลองของมิติเหนือสายหมอก


หากผลลัพธ์ออกมาเป็นว่า เฮอร์วิน·แรมบิสยังคงพบเกาะแห่งจิตใต้สำนึกภายในหมอกสีเทา นั่นแปลว่าบนมิติลึกลับเหนือสายหมอกยังมีตัวตนอื่นที่กำลังหลับใหลอย่างเงียบงัน ทำให้ไคลน์ต้องระวังมากขึ้นในอนาคต แต่ในทางกลับกัน ถ้ามันไม่พบสิ่งใด ชายหนุ่มก็จะเบาใจอย่างมาก


นี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการทดสอบมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสและไม่กล้าลองเพราะเกรงกลัวอันตราย ศึกนี้จึงเป็นการทดลองครั้งสำคัญ เพราะต่อให้มีอันตรายใดรออยู่ คนที่จะฉิบหายคือเฮอร์วิน·แรมบิส ไม่ใช่คน และนั่นยังช่วยให้จำกัดครึ่งเทพได้อย่างง่ายดาย


เมื่อพบว่าศัตรูมีพรจากเทวทูต แถมยังเป็นพรอันทรงพลังซึ่งมันไม่สามารถทะลวงผ่านหรือแทรกซึมเข้าไปในจิตใต้สำนึกได้ในเร็วๆ นี้ เฮอร์วิน·แรมบิสตัดสินใจถอยโดยไม่ลังเล รีบออกจากบริเวณดังกล่าวและกลับมายังจิตใจตัวเองผ่านทะเลจิตใต้สำนึกรวม


ในพริบตาเดียวกัน มังกรยักษ์บนท้องฟ้าพลันอันตรธานหายอย่างไร้ร่องรอย แม้จะใช้เทคนิคการค้นหาด้วยด้ายวิญญาณก็ยังไม่พบ


ล่องหนทางใจ!


เฮอร์วิน·แรมบิสหวังใช้ประโยชน์จากจุดบอดทางจิตวิทยาเพื่อซ่อนตัวอยู่ในความมืด ขณะเดียวกันก็ยังคอยปลดปล่อย ‘ช่วงชิงจิตใจ’ และ ‘พายุจิต’ เพื่อทำลายปราการวิญญาณของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่ถูกเทวทูตยกระดับจนแข็งแกร่ง ส่วนร่างหลักเตรียมใช้สมบัติปิดผนึกที่แข็งแกร่งเพื่อโจมตี


ในฐานะครึ่งเทพเส้นทางผู้ชม แม้การต่อสู้ระยะประชิดของมังกรจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังบกพร่องในหลายส่วน โดยเฉพาะพลังเกี่ยวกับการจู่โจมที่หนักหน่วง จำเป็นต้องได้รับการชดเชยด้วยสมบัติปิดผนึกบางชนิด


แต่ทันใดนั้น เกอร์มัน·สแปร์โรว์ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นหุ่นเชิดหรือร่างต้น ทำการเสกหนังสือมายาพร้อมกับเปล่งเสียงอันล่องลอย:


“ข้าบรรลุ ข้าประจักษ์ ข้าบันทึก”


ไคลน์เตรียมจะใช้ ‘พายุสายฟ้า’ ที่บันทึกโดย ‘นักบันทึก’ ภายในยุบพองหิวโหย!


สำหรับพลังที่น่ารำคาญอย่าง ‘ล่องหนทางใจ’ วิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพคือการระดมยิงถล่ม!


ปฏิเสธไม่ได้ว่า หากต้องการกำจัดผู้วิเศษที่น่ารำคาญให้สิ้นซาก พลังของเส้นทาง ‘พายุ’ นับเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1052 : สามต่อหนึ่ง

 

เปรี้ยง!


สายฟ้าผ่าลงมาจากกลางอากาศ เปลี่ยนพื้นที่อันกว้างขวางภายในดวงจันทร์ยักษ์ให้กลายเป็น ‘ผืนป่า’ สีเงินสว่าง


สายฟ้าแผ่ซ่านไปทุกทิศ ปกคลุมทุกซอกมุมด้วยอำนาจทำลายล้างที่รุนแรง


มังกรสีเทาที่มีหัวเป็นมนุษย์ปรากฏกายอีกครั้ง บนเกล็ดคล้ายหินบนผิวกายยังคงมีอสรพิษไฟฟ้าตัวเล็กแล่นไปมา บางจุดมีรอยปริแตก


‘ล่องหนทางใจ’ ของเฮอร์วิน·แรมบิสย่อมได้รับผลกระทบการโจมตีดังกล่าว เพราะท้ายที่สุด ตัวมันยังคงมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม แค่ขจัดความรู้สึกของการดำรงอยู่ออกไป เป็นการซ่อนตัวอยู่ในจุดบอดของความสนใจ แต่เมื่อได้รับสิ่งเร้าที่แข็งแกร่งจากภายนอก ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกเปิดเผย


ขณะที่มันปรากฏตัว พายุสายฟ้าอ่อนกำลังลงอย่างมาก ร่างกายเกอร์มัน·สแปร์โรว์บนหลังคาพลันพร่ามัวในทันที จากนั้นก็หายตัวมาโผล่ด้านล่างมังกรที่ไม่สมบูรณ์ในแนวเฉียง


ทันทีหลังจากนั้น ผิวถุงมือข้างซ้ายของนักผจญภัยเสียสติแปรเปลี่ยนอนุภาคสีดำละเอียด มอบบรรยากาศลึกลับและมืดมน


ชายหนุ่มเปิดปากทันที พ่นคำชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยความหมายที่สกปรกและเลวทราม:


“เชื่องช้า!”


เฮอร์วิน·แรมบิสย่อมทราบว่าศัตรูพกพายุบพองหิวโหย และยังตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของสมบัติวิเศษชิ้นนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง ในสายตามัน การโจมตีของเกอร์มัน·สแปร์โรว์จึงดูน่ารัก เฮอร์วิน·แรมบิสตอบโต้ด้วยการใช้อุ้งเท้าซ้ายยกกระบอกโลหะสีฟ้าน้ำแข็ง จากนั้นก็ฟาดใส่ศัตรูด้านล่าง


สิ่งนี้คือสมบัติปิดผนึกที่ไม่ทราบที่มา ชื่อของมันคือ ‘ดาวตกเน่าเปื่อย’ เฮอร์วิน·แรมบิสได้รับมาจากตัวตนลึกลับบางตน และทราบเพียงว่า บางส่วนของวัตถุชิ้นนี้มาจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว


กระบอกโลหะสีฟ้าน้ำแข็งสามารถยิงกระสุนปืนสีเขียวเข้ม ใครก็ตามที่โดนเข้าไปจะได้รับสารพิษทันที ผลของพิษจะทำให้เกิดการเน่าเปื่อยจากภายใน แม้แต่ร่างวิญญาณก็ไม่รอด และยังส่งผลกับครึ่งเทพ


ผลข้างเคียงเชิงลบของมันคือ ผู้ถือมีโอกาสถูก ‘เฝ้ามอง’ จากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และนั่นจะทำให้ได้รับสารพิษโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ใช่เพราะมีตัวตนลึกลับช่วยผนึกให้ เฮอร์วิน·แรมบิสคงไม่กล้าเก็บไว้ใช้เองแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามจำกัดการใช้งาน เพื่อหลีกเลี่ยงความตายหรือการกลายพันธุ์อันแปลกประหลาด เพราะนั่นคือจุดจบโดยส่วนมากของอดีตผู้ถือดาวตกเน่าเปื่อย


ณ ปัจจุบัน เฮอร์วิน·แรมบิสไม่คิดว่า ‘ถ้อยคำกัดกร่อน’ ในลำดับ 5 จะมีผลใดๆ ต่อตัวมันที่กำลังเผยร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์ จึงตั้งใจจะใช้ ‘ดาวตกเน่าเปื่อย’ เพื่อปิดฉากศัตรูที่เป็นภัยคุกคามร้ายแรง


ทว่าในครั้งนี้ การเคลื่อนไหวของมันกลับช้าลง ร่างกายทั้งหมดเริ่มเฉื่อยชา


บนหลังคาที่มืดมิดใต้พระจันทร์สีแดงดวงใหญ่ เกอร์มัน·สแปร์โรว์อีกหนึ่งคนซึ่งสวมเสื้อกันลมสีดำและหมวกผ้าไหม ปรากฏตัวขึ้นตอนไหนไม่มีใครทราบ มือขวาถือปืนลูกโม่ประหลาดหกลำกล้อง มือซ้ายเล็งไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านล่างเฮอร์วิน·แรมบิส กำหมัดแน่นและหมุนข้อมือแผ่วเบา


เคาต์แห่งการเสื่อมถอย ‘ขยาย’ !


นี่คืออีกหนึ่งหุ่นเชิดของไคลน์ ครึ่งเทพเส้นทาง ‘นักกฎหมาย’ โจนาส·โคลเกอร์!


และด้วยความช่วยเหลือจากพลัง ‘ขยาย’ พลังพิเศษจากยุบพองหิวโหยจึงถูกยกระดับจนเกือบทัดเทียมผู้วิเศษลำดับ 4 หรือขอบเขตของครึ่งเทพ!


แน่นอน พลัง ‘ขยาย’ ไม่สามารถใช้ได้มากกว่าหนึ่งครั้งต่อหนึ่งเป้า


เนื่องจากอยู่ในร่างสัตว์ในตำนาน พลัง ‘เชื่องช้า’ ที่ผ่านการ ‘ขยาย’ จึงส่งผลกับเฮอร์วิน·แรมบิสได้ไม่นานนัก ด้วยเหตุนี้ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ซึ่งตัวจริงคือ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน รีบคว้าโอกาสอันแสนมีค่าเพื่อเข้าควบคุมด้ายวิญญาณของเฮอร์วิน·แรมบิส


ตามปรกติแล้ว ชายหนุ่มต้องใช้เวลาสามวินาทีในการเข้าควบคุมเบื้องต้น แต่เนื่องจากศัตรูกำลังเปิดเผยร่างสัตว์ในตำนาน ระยะเวลาย่อมต้องจะยืดออกไป อาจกลายเป็นหกหรือเจ็ดวินาที หรือแม้กระทั่งสิบวินาที กว่าจะเข้าควบคุมสำเร็จ เฮอร์วิน·แรมบิสคงหนีรอดจากอิทธิพลของ ‘เชื่องช้า’ นานแล้ว จากนั้นก็โต้กลับหลังจากกลายเป็นปรกติ


ในช่วงเวลาวิกฤติ โจนาส·โคลเกอร์ยกมือซ้ายและชี้ไปทาง ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน บีบนิ้วทั้งห้าอย่างรวดเร็ว


ยังคงเป็น ‘ขยาย’ !


ขยายความสามารถในการเข้าควบคุมด้ายวิญญาณ!


เพียงพริบตา การเข้าควบคุมด้ายวิญญาณของ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนกลายเป็นเรื่องง่าย ราวกับอีกฝ่ายไม่ได้เปิดเผยร่างสัตว์ในตำนาน


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ใช้เวลาเพียงสามวินาที มันสามารถควบคุมด้ายวิญญาณเบื้องต้นสำเร็จ


นี่คือพลังที่น่าสะพรึงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ปัญหาก็คือ เฮอร์วิน·แรมบิสในร่างมังกรสามารถหลุดพ้นจากอิทธิพลของ ‘เชื่องช้า’ ได้ภายในไม่ถึงหนึ่งวินาที


มันหลุดพ้นเรียบร้อยแล้ว!


ทันใดนั้น เสียงปืนดังกังวาน กระสุนที่สลักลวดลายประหลาดพุ่งปะทะร่างเฮอร์วิน·แรมบิสซึ่งเพิ่งหลุดพ้นจากสถานะ ‘เชื่องช้า’


ในอีกมุมหนึ่งของสวน เกอร์มัน·สแปร์โรว์อีกหนึ่งคนที่สวมเสื้อกันลมสีดำและหมวกผ้าไหมปรากฏตัว


ร่างของมังกรของเฮอร์วิน·แรมบิสกลับไปแข็งทื่ออีกครั้ง แต่หนนี้ไม่ใช่แค่ความคิดที่เฉื่อยชา แม้กระทั่งปีกมังกรด้านหลังก็ยังนิ่งสนิท สูญเสียธรรมชาติของมันจนลากมังกรร่วงหล่นกระแทกพื้น


กระสุนคุมวิญญาณ!


ไคลน์ใช้หนอนวิญญาณของตัวเองเป็นวัตถุดิบในการสร้าง และกระตุ้นด้วยการระดมพลังบางส่วนของมิติเหนือสายหมอก มีฤทธิ์ทำให้ผู้วิเศษลำดับ 3 เป็นอัมพาตชั่วคราว ราวหนึ่งถึงสองวินาที!


เฮอร์วิน·แรมบิสที่เผยร่างสัตว์ในตำนานไม่สมบูรณ์ คงไม่แข็งแกร่งไปกว่านักบุญลำดับ 3 มากนัก เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกเล่นงาน เพราะแม่แต่ร่างโคลนของอามุนด์ก็ยังถูก ‘กระสุนคุมวิญญาณ’ เล่นงานนานกว่าหนึ่งวินาที


นอกจากนั้น ไคลน์ยังสามารถสั่งให้โจนาส·โคลเกอร์ ‘ขยาย’ พลังของกระสุนได้ด้วย แต่น่าเสียดายที่การยิงเมื่อครู่เกิดขึ้นเร็วเกินไป จึงคว้าโอกาสเอาไว้ไม่ทัน


เมื่อได้เห็นประสิทธิภาพของสามประสาท ไคลน์พลันรู้สึกทึ่งกับพลังของครึ่งเทพเส้นทางนักกฎหมาย และมองว่าเป็นหน่วยสนับสนุนที่ยอดเยี่ยมมาก แต่ในสถานการณ์ปรกติ พลังขยายของเคาต์แห่งการเสื่อมถอยมักถูกใช้เพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเอง ไม่ค่อยมีความร่วมมือกับเส้นทางอื่น แต่สำหรับในกรณีของไคลน์ โจนาส·โคลเกอร์นั้นเป็นหุ่นเชิดที่บังคับด้วยหนอนวิญญาณ เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับร่างต้น สามารถใช้พลังของร่างต้นได้ หรือกล่าวได้ว่า มันคือไคลน์ที่มีพลังสายสนับสนุนในตัวเอง!


ฉวยโอกาสที่เฮอร์วิน·แรมบิสให้ตกอยู่ในภาวะอัมพาต ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนเสร็จสิ้นการเข้าควบคุมด้ายวิญญาณเบื้องต้น


ทันทีที่มังกรไม่สมบูรณ์สิ้นสุดอาการอัมพาต ความคิดก็เริ่มหยุดนิ่งแล้ว จะทำสิ่งใดก็เฉื่อยชาไปเสียหมด


ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลังจากได้รับหุ่นเชิดอันทรงพลัง จอมเวทพิสดารจะกลายเป็นอาชีพที่ทรงพลังอย่างมาก และไคลน์ยังมีสิ่งที่คล้ายกับสูตรโกงอย่าง ‘กระสุนคุมวิญญาณ’ เพราะมีครึ่งเทพเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถสร้างได้ เนื่องจากต้องระดมพลังบางส่วนของมิติหมอกในพิธีกรรม แน่นอนว่า ตัวตนที่แข็งแกร่งเช่นอามุนด์ก็สามารถสร้างยันต์หรือกระสุนที่คล้ายกันได้ เพียงแต่คุณสมบัติจะแตกต่างออกไป


เมื่อเห็นว่าเฮอร์วิน·แรมบิสถูกควบคุมขั้นต้น ไคลน์วางแผนเตรียมขจัดการขัดขืนของศัตรู ไม่ปล่อยให้หลุดจากสภาพปัจจุบัน จนกระทั่งกลายเป็นหุ่นเชิดโดยสมบูรณ์ แต่ทันใดนั้น ศีรษะของมันพลันเจ็บแปลบกะทันหัน ความบ้าคลั่งที่มิอาจควบคุมพลันปะทุขึ้นในใจ


ถัดมา มันเกิดความหดหู่เหนือพรรณนา คล้ายกับชีวิตนี้จะไม่มีความสุขอีกต่อไป เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองต่อตัวเอง รอไม่ไหวแล้วที่จะปลิดชีวิตเพื่อไม่ให้เดือดร้อนผู้อื่น


ในพริบตาต่อมา มันรู้สึกตื่นเต้นอย่างแรงกล้า ดวงตาคล้ายกับมีเลือดคั่ง เกลียดชังทุกสิ่ง ต้องการทำลายทุกสิ่งที่ขวางหูขวางตา


แบบนี้ไม่ดีแน่… ก่อนที่สภาพจิตใจของไคลน์จะเสื่อมถอย มันพบว่าตนถูกเล่นงานโดยอิทธิพลบางอย่างของเฮอร์วิน·แรมบิสมาสักพักแล้ว จนเกิดความผิดปรกติกับ ‘กายปัญญา’


มันพยายามเข้าฌานเพื่อต่อสู้กับสภาพจิตใจที่ผิดปรกติ ทว่า ความคิดที่ดูเหมือนจะเป็นของคนอื่นกลับแล่นเข้ามาในหัว:


“จบสิ้นแล้ว…”


“แม่เย็*! คิดหาทางรอดเร็วเข้า!”


“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ดูเหมือนกับอาการป่วยทางจิตขั้นรุนแรง”


“โรคติดต่อทางจิต? อาการทางจิตแปลกๆ ที่มิสจัสติสเคยพูดถึง? ไม่ผิดแน่ นี่คือพลังลำดับสูงของเส้นทางผู้ชม!”


“มัวพล่ามอะไรอยู่? นักจิตบำบัดครึ่งเทพอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง แค่เปลี่ยนมันให้เป็นหุ่นเชิด โรคนี้ก็รักษาได้ไม่ยาก”


เมื่อตระหนักว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่สามารถยิงกระสุนนัดที่สอง บนใบหน้าเฮอร์วิน·แรมบิสที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีเทาเผยรอยยิ้มเล็กๆ


แม้ว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์และหุ่นเชิดทั้งสองจะแข็งแกร่งจนเหนือความคาดหมาย ทำให้เฮอร์วิน·แรมบิสต้องตกอยู่ในสภาพเกือบสิ้นหวังในพริบตา แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่ได้ทำอะไรลงไปเลย


ในตอนก่อนที่จะถอนตัวจากทะเลจิตใต้สำนึกรวม เฮอร์วิน·แรมบิสแอบปลูกฝัง ‘บ้าคลั่งระบาด’ ให้อีกฝ่ายอย่างเงียบงัน!


หุ่นเชิดอาจเป็นคนตายโดยพื้นฐาน จึงไม่สามารถควบคุมจิตสำนึกได้ด้วยวิธีปรกตินอกจากใช้ด้ายวิญญาณ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าหุ่นเชิดไม่มี ‘เกาะแห่งจิตใจ’ เกาะแห่งนั้นมีอยู่ แค่เป็นสถานที่เงียบสงบ สิ่งที่เฮอร์วิน·แรมบิสทำคือการฝัง ‘เมล็ดพันธุ์’ แห่งความบ้าคลั่งลงไป


เมล็ดพันธุ์ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อหุ่นเชิดก็จริง แต่สามารถแพร่เชื้อสู่ทะเลจิตใต้สำนึกรวมได้อย่างเงียบเชียบ สร้างอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตรอบๆ ด้วย ‘โรคติดต่อทางจิต’ และเหนือสิ่งอื่นใด ความบ้าคลั่งยังสามารถแพร่กระจายผ่านด้ายวิญญาณได้โดยตรง


นอกจากนั้น เป็นเพราะเชื้อโรคประเภทนี้เกิด ‘ตัวเอง’ จึงมิอาจป้องกันด้วยพรของเทวทูต อย่างมากก็แค่ช่วยบรรเทาความร้ายแรงและทำให้เกิดผลช้าลง


นี่คือพลังลำดับสูงของเส้นทางผู้ชม ‘โรคติดต่อทางจิต’ ของ ‘จอมบงการ’ !


ในสมัยโบราณ บางครั้งบางคนที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าเป็นเวลานาน จะสร้างภาวะซึมเศร้าให้กับคนรอบข้างจำนวนมากพร้อมกัน ใครบางคนจึงเรียกว่า ‘อุปทานหมู่’ ครั้งหนึ่ง กวีบางคนได้แต่งเพลงเอาไว้ว่า


“สตรีเจ็ดคนเต้นระบำประหลาดกลางถนน;”


“บุรุษเก้าคนเกลือกกลิ้งไปมาพร้อมกับขำ;”


“รถม้าคันหนึ่งแล่นผ่านไป ขุนนางตบหน้าพวกมันหัวคะมำ;”


“นอกบ้านบนถนนสีดำ เหล่าเด็กเล็กปล่อยโฮพร้อมกับหลั่งน้ำตา;”


“ผู้คนเปิดศึกทำร้ายกันราวกับคนบ้า เสียสติกันไปทั้งเมือง;”


หากไตร่ตรองเกี่ยวกับเพลงนี้อย่างรอบคอบ คงไม่มีมุมมองอื่นนอกจากการสร้างความหวาดกลัว แต่เฮอร์วิน·แรมบิสทราบดี ฉากที่อธิบายไว้ในเนื้อเพลงเคยเกิดขึ้นจริง เป็นฝีมือการทดลองของครึ่งเทพในเส้นทางผู้ชม


‘โรคติดต่อทางจิต’ !


รอจนกระทั่งร่างต้นของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เสียสติ การควบคุมหุ่นเชิดของมันจะหยุดลงอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อถึงตอนนั้น เฮอร์วิน·แรมบิสจะรอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้าย


บทสรุปดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในเวลาไม่นาน อาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น!


สำหรับปัจจุบัน เฮอร์วิน·แรมบิสซึ่งเป็น ‘จอมบงการ’ มิได้เกรงกลัวว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ใช้ยันต์แบบเดียวกับที่ออเดรย์ใช้ – ยันต์แลกเปลี่ยนชะตากรรมในช่วงเวลาสั้นๆ – เพราะถ้าจะเปลี่ยนชะตากรรมกันจริงๆ เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะกลายเป็นหุ่นเชิด ความคิดจะชะงักงัน ร่างกายแข็งทื่อ ส่วนมันที่ได้รับ ‘โรคติดต่อทางจิต’ เป็นเรื่องง่ายที่จะแก้ไขด้วยตัวเอง


ทันใดนั้น เฮอร์วิน·แรมบิสมองเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์บนหลังคา ยกมือซ้ายเล็งไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่กำลังถือลูกโม่กระบอกยาวสีดำ จากนั้นก็งอห้านิ้วและหมุนข้อมือเล็กน้อย


บิดเบือน!


ไคลน์ใช้พลังพิเศษของโจนาส·โคลเกอร์เพื่อ ‘บิดเบือน’ ระดับความเจ็บป่วยทางจิตของตน เปลี่ยนให้เบาลงและมีผลข้างเคียงน้อยลง!


ฉวยโอกาสจากตอนที่ยังมีสติ ชายหนุ่มยกปืนลูกโม่ ‘ลางมรณะ’ ขึ้นอีกครั้งและลั่นไก


ปัง!


‘กระสุนคุมวิญญาณ’ อีกนัดถูกยิงออกไป ปะทะเข้ากับร่างกายอันใหญ่โตของมังกรไม่สมบูรณ์ซึ่งปัจจุบันยังขยับตัวไม่ได้


ขณะเดียวกันโจนาส·โคลเกอร์ใช้ ‘ขยาย’ !


แม้ว่าเฮอร์วิน·แรมบิสจะถูกโจมตี แต่มันกลับยังไม่หลุดพ้นจากการควบคุมด้วยด้ายวิญญาณของ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน เนื่องจากมันกำลังตกอยู่ในภาวะเฉื่อยชาและแข็งทื่อ ‘เป็นเวลานาน’


ไคลน์นับเวลาในใจ ก่อนที่จะยิงกระสุนคุมวิญญาณนัดถัดไปในตอนที่เฮอร์วิน·แรมบิสใกล้จะฟื้น


และก่อนที่ผลของ ‘กระสุนคุมวิญญาณ’ นัดที่สามซึ่งถูก ‘ขยาย’ จะสิ้นสุด ร่างกายของมังกรไม่สมบูรณ์สีเทาอ่อนชักกระตุกก่อนจะกลับไปเป็น ‘ปรกติ’ มิได้เฉื่อยชาอีกต่อไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)