Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1043-1046
ราชันเร้นลับ 1043 : ต่างคนต่างความคิด
ดวงตาของ ‘เดอะมูน’ เอ็มลินส่องประกายขณะเอนหลังพิงเก้าอี้ ยิ้มและตอบคำถามของมิสจัสติสดังจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว
“สิ่งที่ข้าต้องทำนั้นไม่ซับซ้อน นั่นคือการทำให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินแผนการไปอย่างราบรื่น”
ก็แปลว่าไม่ต้องเข้าร่วมการต่อสู้? เดิมที ‘จัสติส’ ออเดรย์เตรียมจะถามอีกสักสองสามคำถาม แต่เมื่อสำรวจเดอะมูนหัวจรดเท้า เธอนึกทบทวนคำตอบก่อนจะยิ้มและกล่าว
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องเดียวที่คุณต้องทำก็คือ รักษาตัวเองให้ปลอดภัย”
สมเหตุสมผล เราไม่ควรหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อน และเดิมที เราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว… เราไม่ได้อยู่ในงานที่ต้องแบกรับความเสี่ยง ขอเพียงเช่า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ และขอให้เดอะเวิร์ลบันทึกพลัง ‘เทเลพอร์ต’ ไว้สักสองสามหน้า ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยอีกต่อไป… ‘เดอะมูน’ เอ็มลินครุ่นคิดสักพัก พยักหน้ารับแผ่วเบาและกล่าว
“เป็นคำแนะนำที่ดี”
และเนื่องจากไม่มีสมาชิกของชุมนุมทาโรต์เข้าร่วมในการปฏิบัติการร่วมระหว่างผีดูดเลือดและผู้หลบหนีของโรงเรียนกุหลาบ สิ่งต่างๆ จึงอยู่นอกเหนือความควบคุมของพวกตน การชุมนุมย่อยจึงยุติลงภายในระยะเวลาอันสั้น สมาชิกถูกส่งกลับสู่โลกความจริงโดยพร้อมเพรียง
ไคลน์ไม่รีบร้อนกลับออกไป หลังจากที่ร่างของเดอะเวิร์ลเลือนหาย บนเก้าอี้ของ ‘เดอะฟูล’ มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มกวักมือเรียกไม้กางเขนเจิดจรัสที่ถูกยึดติดกับสมบัติวิเศษ ‘นิ้วหัก’ แห่งเส้นทางนักจารกรรม
สิ่งที่ไคลน์ได้เห็นก็คือ บนพื้นผิวของ ‘แหนบ’ สีเทาอ่อนซึ่งเกิดจากการขัดของกระดูกนิ้ว มีร่องรอยของเม็ดกรวดสีดำจำนวนมากปรากฏขึ้น สีของมันดำสนิทจนดูเหมือนกับดูดซับแสงรอบตัวทั้งหมดเข้าไป มันกำลังเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าในลักษณะรวมตัวกัน คล้ายกับกำลังจัดระเบียบรูปทรงใหม่
สำหรับเนื้อกระดูกที่เป็นวัสดุของแหนบ ‘นิ้วหัก’ สีเทาของมันเริ่มกลายเป็นโปร่งใส ตามพื้นผิวเต็มไปด้วยรูพรุนจำนวนมาก
อย่างที่คิด ไม้กางเขนเจิดจรัสสามารถสกัดตะกอนพลังออกจากสมบัติวิเศษได้… พวกมันจะแตกตัวและค่อยๆ ผสานเข้าด้วยกันใหม่อย่างเชื่องช้า… แน่นอน กุญแจสำคัญก็คือการ ‘มัด’ ด้วยพลังลึกลับเหนือสายหมอกสีเทา ไม่อย่างนั้น ไม้กางเขนคงไม่ ‘เต็ม’ ที่จะสัมผัสกับสมบัติวิเศษอื่น… ไคลน์พยักหน้าพึงพอใจ
ทันใดนั้น ‘นิ้วหัก’ สีเทาอ่อนพลันสั่นระริกกะทันหัน จากนั้นก็ส่งเสียง:
“โอ้! บุตรชายของข้า”
“ข้าขอสรรเสริญ!”
“สรรเสริญดวงสุริยัน!”
“…”
วัตถุลักษณะคล้ายแหนบเริ่มร้องเพลง ภายในเนื้อมีเสียงปริแตกดังเป็นระยะ ประหนึ่งพร้อมจะแหลกละเอียดได้ทุกวินาที
ทว่า นั่นมิได้ส่งผลกระทบกับการสรรเสริญดวงอาทิตย์
“…” ไคลน์เฝ้ามองฉากนี้พร้อมกับอ้าปากค้างเล็กน้อย หมดคำจะกล่าวไปสักพัก
ผ่านไปไม่กี่วินาที มันถอนหายใจยาว จับแยกไม้กางเขนเจิดจรัสกับนิ้วหักออกจากกัน จากนั้นก็ถูกโยนไปทางซากกองขยะและตกในจุดที่แตกต่าง ปิดท้ายด้วยการถูกไคลน์ใช้พลังของมิติหมอกสยบ
ทันทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มเตรียมกลับสู่โลกความจริง
แต่ว่า จุดแสงที่ทำเครื่องหมายไว้ จุดแสงซึ่งเป็นตัวแทนสาวกเพียงคนเดียวของเดอะฟูล กำลังยุบพองพร้อมกับส่งเสียงวิงวอน
ไคลน์หยุดความคิดทั้งหมดและถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป ทันใดนั้น ฉากตรงหน้าชายหนุ่มกลายเป็นภาพของเดนิสที่กำลังสวดวิงวอนอยู่ในห้องพัก:
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ สาวกผู้ถ่อมตนของท่าน ขอรบกวนให้ท่านถ่ายทอดข้อความเหล่านี้ไปถึงเกอร์มัน·สแปร์โรว์… ตามคำบอกเล่าของกัปตัน แม้จะมีวัตถุหลายชิ้นในทะเลที่ลือกันว่าเป็นสิ่งของของ ‘พลเรือโทโรคภัย’ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นของปลอมโดยไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่หนึ่ง และเนื่องจากเคยถูกลอบสังหารจนได้รับบาดเจ็บสาหัส นายพลโจรสลัดรายนี้จึงปกปิดแผนการเดินทางอย่างรัดกุมมาก ลงมือปล้นน้อยลง ครั้งสุดท้ายที่กองเรือของเธอปรากฏตัวขึ้นคือเมื่อสองเดือนก่อน ใกล้กับเกาะไซรอสทางตะวันตกของทะเลคลั่ง โดยในภายหลัง เรือของเธอแล่นเข้าไปในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ไม่มีใครทราบว่ามุ่งหน้าไปไหน… วัตถุแปลกปลอมในท้องของแอนเดอร์สันถูกควบคุมเบื้องต้นแล้ว ถูกกีดกันออกจากร่างกายในระดับหนึ่ง มันจะไม่แทรกซึมเข้าไปในเลือดเนื้อของแอนเดอร์สันสักพัก”
“มีสองวิธีที่จะแก้ปัญหาได้ชะงักงัน… หนึ่งคือการขอความช่วยเหลือจากลำดับ 4 ผู้เจิดจรัส แห่งเส้นทางสุริยัน แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ตะกอนพลังเดิมจะถูกขจัดออกไปด้วยในปริมาณมาก… วิธีที่สองก็คือ ตามหาสูตรโอสถของลำดับ 4 เส้นทางนักล่า ‘อัศวินเลือดเหล็ก’ จากนั้นก็อาศัยความช่วยเหลือจากพิธีกรรมและวัสดุ ดูดซับสิ่งแปลกปลอมเข้าไปโดยตรง”
“แอนเดอร์สันชอบตัวเลือกหลังมากกว่า เขายินดีที่จะเสี่ยง”
เห็นได้ชัดว่าเดนิสกำลังท่องคำตอบของพลเรือโทธารน้ำแข็ง เพราะฟังยังไงก็ไม่เหมือนกับสำเนียงการพูดตามปรกติของหมอนั่น… แต่ทำไมถึงยังพูดผิดในบางคำ? เดนิสแอบเปลี่ยนตามที่ตัวเองเข้าใจ? หรือเขากังวลว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะไม่เข้าใจ? ไคลน์เลิกคิ้ว หันเหสมาธิกลับมาสนใจเนื้อหา:
พลเรือโทโรคภัยทำตามคำสั่งของนิกายแม่มด ตัดสินใจซ่อนตัวในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้? หากเป็นเรื่องจริง การจับกุมเธอในระยะสั้นๆ คงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ และในอีกหนึ่งถึงสองเดือนถัดไป เรื่องราวอาจดำเนินไปถึงบทสรุปจนเราไม่จำเป็นต้องตามหาเธอ…
คงต้องส่งเดนิสไปสืบด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ … อา… ตอนนี้ไม่มีทางเลือก ต้องเบนเป้าไปหาแม่มดทริสซี่ เพราะเรามีวิธีติดต่อกับเธอ… จากนั้นใช้ข้ออ้างว่าจะร่วมมือกันปราบ ‘นักบุญขาว’ คาร์เทอริน่า… เราจะให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ไปพบกับเธอซึ่งๆ หน้า ดูว่าจะใช้เธอล่อลวงคาร์เทอริน่าออกมาได้ไหม…
สำหรับสองวิธีที่จะช่วยแอนเดอร์สัน เราสามารถทำได้ทั้งคู่… แต่ในเมื่อหมอนั่นชอบความเสี่ยง อยากลองเลื่อนลำดับเพื่อดูดซับสิ่งแปลกปลอม เราก็ไม่ขัดข้อง… ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องวุ่นวายขายสิทธิ์ในการเช่าไม้กางเขนผ่านเดนิส… อา… อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่า ไม้กางเขนที่อาดัมจงใจทิ้งไว้ จะไปทำปฏิกิริยาประหลาดๆ กับวัตถุที่อาดัมใส่ในท้องแอนเดอร์สัน
สำหรับสูตรโอสถ ‘อัศวินเลือดเหล็ก’ ถ้าพิจารณาว่าแอนเดอร์สันมีบทบาทสำคัญในการล่อลวงอินซ์·แซงวีลล์ออกมา ใช่ว่าเราจะยกให้หมอนั่นไม่ได้… หืม… แบบนี้จะเท่ากับว่า สิ่งแปลกปลอมในท้องคือ ‘รางวัล’ จากอาดัมด้วยเช่นกัน? ว่าแต่… แอนเดอร์สันไม่ใช่สาวกของเดอะฟูล เราไม่สามารถ ‘มอบ’ ให้โดยตรง… เกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะยกรางวัลที่มีค่าขนาดนี้ให้…
ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์คิดไวทำไม เสก ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์และทำท่าสวดวิงวอน
…
ทะเลหมอก ภายใน ‘ฝันทองคำ’
โครม!
ประตูไม้ถูกผลักกะทันหัน บานประตูชนกำแพงอย่างแรง
ท่ามกลางเสียงเอะอะ แอนเดอร์สันหยุดใช้นิ้วพลิกหน้าหนังสือ สายตาหันไปมองเดนิสซึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้อง สีหน้าเป็นไปอย่างเหนื่อยหน่าย
“ฉันมีงานดีๆ มาให้นายทำ” เดนิสผู้สวมเสื้อคลุมแต่ไม่สวมถุงมือ เชิดคางขึ้นพลางหัวเราะในลำคอ
แอนเดอร์สันสำรวจโจรสลัดฝั่งตรงข้ามหัวจรดเท้า ส่ายหน้าและเดาะลิ้นเสียงดัง:
“นายดูภูมิใจมากเลยนะ… ภารกิจอะไร?”
เดนิสชำเลืองด้วยหางตา ก่อนจะกล่าว
“ไปเกาะไซรอสกับฉัน ช่วยกันสืบหาเบาะแสของพลเรือโทโรคภัย… นอกจากนั้น ช่วยฉันรวบรวมวัตถุดิบวิเศษสำหรับนักวางแผน… หึหึ… และแน่นอน นายต้องเป็นคนจ่ายเงิน”
แอนเดอร์สันพยักหน้าครุ่นคิด
“แล้วฉันจะได้อะไร?”
เดนิสยิ้มมุมปาก กล่าวด้วยท่าทีของผู้เหนือกว่า
“วัตถุดิบเสริมและพิธีกรรมสำหรับเลื่อนเป็น ‘อัศวินเลือดเหล็ก’ ”
แอนเดอร์สันไม่ตอบในทันที ไม่กล่าวสิ่งใดสักพัก เอาแต่จ้องหน้าเดนิสนานเกือบสิบวินาที
จากนั้น คล้ายกับมันทนไม่ไหวอีกต่อไป ลุกพรวดพร้อมกับโยนหนังสือในมือทิ้ง กล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส
“ออกเดินทางเมื่อไร?”
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตตะวันออก ภายในบ้านเช่าสองห้องนอนที่กำลังขึงผ้าม่านปิดมิดชิด
ทริสซี่ในเดรสสีดำกำลังเก็บสัมภาระ เตรียมย้ายแหล่งกบดาน
ใบหน้ากลมกลึงของเธอซูบลงกว่าเดิมเล็กน้อย นอกจากความอ่อนหวาน ปัจจุบันเปี่ยมไปด้วยความงดงามอันยากจะบรรยาย แม้จะเป็นฝั่งตะวันออกที่สกปรกและวุ่นวาย แต่ดูราวกับส่งสกปรกและมลทินไม่สามารถสัมผัสกับตัวเธอ
ทริสซี่ยังไม่ยกกระเป๋าเดินทางสีดำ หลังจากมองไปรอบตัว เธอเดินไปทางโต๊ะอ่านหนังสือ กางกระดาษจดหมาย หยิบปากกาขึ้นมาเขียน
“มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์… ฉันได้รับข้อมูลสำคัญจากหัวหน้าราชองครักษ์: ชายคนนั้นจงรักภักดีอย่างแท้จริงกับกษัตริย์จอร์จที่สาม… คุณน่าจะเข้าใจความหมายของประโยคนี้เป็นอย่างดี… เป้าหมายถัดไปของฉันคือการสืบหาว่า กษัตริย์กำลังวางแผนทำอะไร และเพื่อการนั้น ฉันเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องต่อสู้กับ ‘นักบุญขาว’ คาร์เทอริน่าแห่งนิกายแม่มด เธอต้องรู้ความลับบางอย่างแน่… เธออยู่ในลำดับ 3 แม่มดยุพนิรันดร์ เป็นเรื่องมากที่จะกำจัด และยากยิ่งกว่าที่จะจับเป็น… ขอสารภาพว่า พลังของฉันคนเดียวไม่เพียงพอที่จะจัดการกับเธอ หากคุณสนใจ และมีความมั่นใจ พวกเราสามารถร่วมมือกันได้… คุณรู้วิธีติดต่อฉันอยู่แล้ว”
“จากทริสซี่”
วางปากกาลง ทริสซี่พับกระดาษจดหมาย ประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
เธอไม่เคยเขียนจดหมายถึงนักผจญภัยเสียสติจนกระทั่งตอนนี้ ด้วยกังวลว่าอีกฝ่ายจะใช้ผู้ส่งสารเพื่อ ‘ล็อกเป้า’ ตำแหน่งของเธอ จากนั้นก็เทเลพอร์ตมาจู่โจมฉับพลัน ดังนั้น เธอรอจนกระทั่งใกล้ย้ายแหล่งกบดาน จึงค่อยติดต่อทางจดหมาย
ทริสซี่ไม่แน่ใจว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์มีเจตนาเป็นเช่นไร มิอาจบอกได้ว่าอีกฝ่ายจะโจมตีเข้ามาแบบกะทันหันหรือไม่ จึงระวังตัวไปตามนิสัย เลือกใช้วิธีที่ตัวเองปลอดภัยที่สุด
หลังจากยื่นจดหมายให้ผู้ส่งสาร เราก็แค่ออกไปจากที่นี่ รอให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ติดต่อกลับมา และไม่เจอเขาจนกว่าจะได้ร่วมมือกัน… ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าองค์กรใดอยู่เบื้องหลังเขา คงต้องหาโอกาสใช้ประโยชน์จากเรื่องที่มีจุดประสงค์ร่วมกัน แต่ห้ามเชื่อใจมากเกินไป… วุ่นวายชะมัด แต่อย่างน้อยก็ปลอดภัย… ทริสซี่สลัดความคิดฟุ้งซ่าน ถอยหลังสองก้าว จ้องแสงเทียน ท่องเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ:
“ตัวข้า…”
“ขออัญเชิญในนามของข้า:”
“ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า… สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง… ผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แต่เพียงผู้เดียว!”
ทันทีที่กล่าวจบ แสงเทียนไขพลันขยายตัวและกลายสีซีด
ในวินาทีถัดมา ร่างหนึ่งก้าวออกจากแสงเทียน เป็นสตรีสวมเดรสสีดำซับซ้อน สองมือถือสี่หัวที่มีเส้นผมสีทองและดวงตาสีแดง
แปดตาบนสี่หัวหันมามองอย่างพร้อมเพรียง จ้องหน้าทริสซี่ซึ่งอยู่ตรงข้าม
รูม่านตาทริสซี่พลันเบิกกว้าง คล้ายกับกำลังเห็นบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว
ราชันเร้นลับ 1044 : เอาตัวไปขวางน้ำเช...
กรุงเบ็คลันด์ เขตนักบุญจอร์จ ภายในโรงงานที่เต็มไปด้วยเศษขยะ
แสงสว่างปรากฏบนผิวกระจกที่เต็มไปด้วยรอยร้าว ก่อนภาพภายในกระจกจะกลายเป็นสีเข้ม ประหนึ่งกำลังเชื่อมต่อกับโลกอีกใบหนึ่ง
ทันใดนั้น มือขาวๆ ยื่นออกมากระจก ลักษณะคล้ายกับการแหวกผ่านผิวน้ำ
ร่างหนึ่งเดินออกมาจากกระจก มันสวมเดรสสีดำ ไม่ใช่ใครนอกจากทริสซี่ แม่มดผู้มีใบหน้าอ่อนหวานและงดงาม
ใบหน้าของเธอขาวซีดผิดปรกติ คล้ายกับสูญเสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก เหงื่อชุ่มกระจายเต็มหน้าผาก
เสียง ‘แปะ’ ดังขึ้น เกิดจากกระเป๋าในมือของทริสซี่หล่นลงพื้น ดวงตาอัดแน่นไปด้วยความกลัวที่ยากจะเก็บซ่อน
จากนั้น เธอก็พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าเหม่อลอย:
“ผู้ส่งสารของเขา… เป็นเทวทูต”
ทันใดนั้น ทริสซี่รู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง คล้ายกับมีลมหนาวพัดผ่าน
เธอคิดไม่ถึงมาก่อนว่า การอัญเชิญผู้ส่งสารจะอันตรายถึงเพียงนี้ โชคดีที่สตรีสี่หัวทำเพียงจ้องมองอย่างเงียบงันโดยไม่ได้ทำอะไร แค่รับจดหมายและจากไป
…
เขตเหนือ บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ภายในคฤหาสน์ของดอน·ดันเตส
“จากใคร?” ไคลน์รับจดหมายจากมิสผู้ส่งสาร ถามอย่างคาดหวัง
ศีรษะเจ้าของผมสีทองดวงตาสีแดงทั้งสี่ของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์กล่าวเรียงกัน:
“ภาชนะ…” “แห่งความ…” “สกปรก…” “และมืดมิด…”
ฉายาแบบนี้… ไคลน์ผงะเล็กน้อย ยังไม่เข้าใจว่ามิสผู้ส่งสารกำลังหมายถึงใคร
ภายในสมอง รายชื่อของกลุ่มคนที่รู้วิธีอัญเชิญผู้ส่งสารผุดขึ้นทีละหนึ่ง และถูกตัดออกทีละหนึ่ง
ผ่านไปไม่กี่วินาที มันพอจะคาดเดาได้
ทริสซี่!
เท่าที่ไคลน์ทราบ แม่มดผู้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นทริสซี่·ชีค น่าจะเป็นสื่อกลางที่แม่มดบรรพกาลใช้เพื่อลืมตาตื่นหรือเสร็จเยือน
ด้วยนิยามดังกล่าว การจะเรียกว่า ‘ภาชนะ’ ก็ไม่ผิดอะไรนัก
และทุกคนที่เข้าถึงข้อมูลของโลกผู้วิเศษในระดับสูง ย่อมต้องรู้จักแม่มดบรรพกาล และรู้จักว่าท่านเป็นเทพมาร เป็นสุดยอดตัวตนผู้นำพาจุดจบมายังทุกสรรพสิ่ง ผู้สร้างวันสิ้นโลก ผู้ทำลายล้าง ย่อมต้องมีอำนาจในขอบเขตของความปรารถนาและความรู้สึก จึงสามารถนิยามได้ว่า ‘สกปรกและมืด’ ถึงจะไม่ตรงประเด็นนัก แต่ก็พอจะยอมรับได้
ในทำนองเดียวกัน ความสกปรกและความมืดก็สามารถใช้นิยามทริสซี่ ผู้ถูกกัดกร่อนจากเทพมารได้ในระดับหนึ่ง
สมแล้วที่เป็นเทวทูต ถึงได้กล้าเรียกแม่มดบรรพกาลเช่นนั้น… ไคลน์แอบชื่นชม รีบคลี่จดหมายอ่าน
ทันใดนั้น คล้ายกับมันฉุกคิดบางสิ่ง รีบหันไปทางมิสผู้ส่งสารและกล่าว:
“ท่าทีของผู้ส่งเป็นยังไงบ้าง”
“หล่อน…” “กลัว…” “มาก…” สามศีรษะของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์พูดเรียงกัน ปากสุดท้ายที่ไม่มีบทพูดทำได้เพียงอ้าค้างไว้
สีหน้าไคลน์จริงจังขึ้นมาเล็กน้อย ตัดสินใจถาม
“ได้ล็อกตำแหน่งไว้ไหม?”
หัวสุดท้ายของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ที่ไม่มีบทพูดเมื่อครู่ เปล่งเสียงกังวาน
“ไม่…”
อีกสามศีรษะกล่าวเสริมทันที
“เพราะ…” “หล่อน…” “มี…”
“ออร่า…” “ของ…” “บรรพกาล…”
ไคลน์เงียบงันสักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับ:
“เข้าใจแล้ว”
เฝ้ามองมิสผู้ส่งสารก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่า ชายหนุ่มคลี่กระดาษออก อ่านจดหมายของทริสซี่
กลับกลายเป็นว่า เธอเป็นฝ่ายชักชวนให้เราช่วยจัดการกับ ‘นักบุญขาว’ คาร์เทอริน่า… ไม่ใช่ว่าเราอยากทำแบบนี้อยู่พอดีหรอกหรือ… ดวงตาไคลน์กะพริบสองสามหน ก่อนจะรีบรื้อหาก้อนเหนียวๆ สีดำที่คล้ายแป้งเปียก
ทันทีหลังจากนั้น มันแปลงโฉมเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ป้ายก้อนสีดำลงบนผิวกระจกบานเล็กภายในห้องอย่างสม่ำเสมอ
รอคอยอย่างอดทนเกือบสิบนาที จนกระทั่งก้อนสีดำที่เหมือนแป้งเปียกใกล้ระเหย ไคลน์ก็ยังติดต่อกับแม่มดทริสซี่ไม่ได้
อย่างที่คิด… ทริสที่ถูกแม่มดบรรพกาลกัดกร่อนในระดับหนึ่ง จึงสามารถรับรู้ถึงระดับของมิสผู้ส่งสาร ยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเทวทูตและเกิดความตื่นตระหนก… เธอคงไม่ติดต่อหาเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไปอีกสักพักใหญ่… เฮ้อ… ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ คงกำชับล่วงหน้าไม่ให้มิสผู้ส่งสารปรากฏตัวต่อหน้าทริสซี่… หรือไม่ก็บอกกับท่านว่า สามารถนำกลับมาได้ทั้งคนและจดหมาย… ไคลน์ถอนหายใจเงียบงัน ได้แต่รำพันในความโชคร้ายของตน
ทันใดนั้น เสียงสวดวิงวอนมายาพลันดังแว่วในโสตประสาท
…
ย่านสะพานเบ็คลันด์ ภายในซอยมืด
ซิลซ่อนมีดเหมันต์ขณะย่างกราย เหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง
“ไม่เลว… เธอมีประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
เมื่อเสียงผู้ชายทุ้มต่ำดังขึ้น ร่างหนึ่งเดินออกจากความมืดตรงมุมตรอก
รูปร่างสูงใหญ่ สวมหน้ากากทองคำปกปิดครึ่งบนเว้นช่องตาและรูจมูก ไม่ใช่ใครนอกจากเจ้าหน้าที่ของ MI9 ที่เคยติดต่อกับซิลมาก่อน
“ทำไมถึงต้องนัดพบเร่งด่วน?” ซิลถามอย่างกระตือรือร้น
ชายสวมหน้ากากทองคำไม่มัวเสียเวลาทักทาย ถามกลับทันที:
“ถ้าจำไม่ผิด พักหลังคุณเอาแต่เฝ้าจับตามองไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดอย่างใกล้ชิด ได้พบเหตุการณ์ผิดปรกติบ้างไหม?”
ซิลไตร่ตรองสักพัก:
“มี… เขาสนิทสนมกับสตรีคนหนึ่งซึ่งไม่ทราบที่มา มีการนัดพบกลางดึกหลายครั้งที่คฤหาสน์ของเขา”
“ฉันพยายามสืบหาข้อมูลของผู้หญิงคนดังกล่าว แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง… นอกจากนั้น เมื่อสองวันก่อน ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดได้ออกจากคฤหาสน์ดึกอย่างกะทันหัน ฉันไม่รู้ว่าเขาไปไหน เพราะไล่ตามไม่ทัน”
ชายสวมหน้ากากทองคำส่งเสียง ‘อืม’ ในลำคอ สอบถามรายละเอียดเชิงลึก และซิลก็ตอบกลับไปอย่างเหมาะสม เพียงปิดบังแค่สองเรื่อง หนึ่งคือเรื่องที่พบกับเชอร์มาเน่ในรถม้า และอีกหนึ่งคือเรื่องที่ไล่ตามไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดไปจนสุดทางด้านนอกของโกดัง
“ไม่เลว… ความพากเพียรของคุณผลิดอกออกผลแล้ว” ชายสวมหน้ากากทองคำพยักหน้าแผ่วเบา คล้ายกับเคลือบแคลงในคำอธิบายของซิล
มันถอนหายใจ กล่าวต่อไป
“ด้วยข้อมูลเหล่านี้ คะแนนผลงานของคุณจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก… ว่ากันตามตรง อีกไม่นานคุณก็จะได้รับสูตรโอสถลำดับ 6 แล้ว แต่ก่อนหน้านั้น คุณต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติอย่างเข้มงวด รวมไปถึงการสืบประวัติ… ฮะฮะ… ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ประวัติและชาติตระกูลของคุณคงไม่ผ่านการเกณฑ์ ผมมั่นใจมาก เพราะรับรู้ความจริงทั้งหมดมาตั้งแต่ต้น… อันที่จริง คุณไม่จำเป็นต้องสืบหาความจริงอะไรอีกแล้ว… ผมรู้ว่าคุณสะกดรอยไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดไปทำไม แต่คำแนะนำส่วนตัวก็คือ… ยอมตัดใจเสียดีกว่า… ด้วยลำดับและฝีมือของคุณในปัจจุบัน ก็เพียงพอแล้วที่จะเลี้ยงดูแม่กับพี่ชายให้เต็มไปด้วยความสุข… ผมสัญญาว่าจะไม่มีใครตามไประรานครอบครัวของคุณ… แต่ถ้าคุณยังคงยืนกราน ผมไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
สำหรับคำตักเตือนดังกล่าว แม้ว่าซิลจะเตรียมใจมาสักพัก แต่เมื่อได้ยินกับหู ยังคงเป็นเรื่องยากที่จะระงับอารมณ์ซึ่งกำลังเดือนพล่าน จึงโพล่งออกมาเป็นคำถาม:
“คุณเป็นใครกันแน่?”
“ก็แค่ผู้วิเศษระดับกลางธรรมดาๆ …” ชายสวมหน้ากากสีทองเผยรอยยิ้ม “คุณอาจไม่ทราบ แต่ตำแหน่งหัวหน้าราชองครักษ์อยู่ในอำนาจความดูแลของ MI9 เทียบได้รองผู้อำนวยการฝ่ายปกป้องราชวงศ์ ในตอนที่บิดาของคุณยังมีชีวิตอยู่ ผมเป็นลูกน้องของเขา ได้รับความช่วยเหลือจากเขามากมาย แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิต ตัวผมที่ไม่เคยกระทำความผิด และไม่เคยรู้เรื่องราวเบื้องลึกหรือความลับ กลับถูกกีดกันออกจากตำแหน่งสำคัญของ MI9 และกลายเป็นคนดูแลสายข่าวภายนอกแบบคุณ”
กล่าวถึงตรงนี้ ชายสวมหน้ากากทองถอนหายใจ:
“บิดาของคุณช่วยผมไว้มาก ดังนั้น หลังจากที่จำคุณได้ ผมจงใจให้คุณกลายเป็นสายข่าวภายในความดูแลของผม ให้ความช่วยเหลือตามสมควร แต่ผมก็มีครอบครัวของตัวเอง มีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่สามารถเสี่ยงอันตรายเพื่อคุณได้มากนัก… ดังนั้น ผมจะช่วยใช้เส้นสายให้คุณได้รับสูตรโอสถ ‘ผู้พิพากษา’ แต่หลังจากนั้น ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเลื่อนลำดับ เปลี่ยนไปงานอื่น… สำหรับเรื่องส่วนตัวของคุณ จะไปทำอะไรที่ไหนยังไง ผมไม่ขอรับรู้”
ซิลพลันตะลึงหลังจากฟังจบ ริมฝีปากขยับอยู่สักพัก จึงค่อยกล่าว:
“บิดาของฉัน… ท่านเป็นคนแบบไหน?”
ชายสวมหน้ากากทองคำตอบด้วยน้ำเสียงขื่นขม:
“เขาเป็นวีรบุรุษตัวจริง เปี่ยมด้วยคุณธรรม มีหัวใจสูงส่ง แต่เขาไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ ในบางครั้งก็หุนหันพลันแล่น ขี้หงุดหงิด มุทะลุ…”
ซิลตั้งใจฟังอย่างเงียบงัน ลึกๆ ในใจต้องการถามอีกหลายสิ่ง แต่สุดท้ายกลับพูดเพียงว่า:
“ขอบคุณมาก”
“วันนี้กลับไปก่อน… หลังจากที่ผมได้สูตร ‘ผู้พิพากษา’ จะฝากข้อความเพื่อนัดพบอีกครั้ง” ชายสวมหน้ากากทองคำโบกมือ
รอจนกระทั่งแผ่นหลังของซิลหายไปจากตรอก ชายสวมหน้ากากทองคำเตรียมหันหลังกลับ ทันใดนั้น เสียงที่ค่อนข้างล่องลอยพลังดังแว่วข้างหู:
“เธอโกหก… เธอไล่ตามไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดถึงจุดเกิดเหตุ นี่คือเรื่องที่สามารถยืนยันได้”
ชายสวมหน้ากากทองคำเงียบงันสักพัก หันไปทางเงาดำด้านข้างและกล่าว:
“เธอคงกังวลว่า การเล่าเรื่องนั้นจะทำให้ตัวเองถูกสงสัย… ด้วยลำดับของเธอ ไม่มีทางที่จะเอาชนะไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดได้อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงตอนที่เขาถือสมบัติปิดผนึกระดับ1… ผมเชื่อว่า เธอคงไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีชีวิตอยู่จวบจนปัจจุบัน”
เสียงที่ล่องลอยพูดตอบ:
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แต่เธอยังมีจุดที่น่าสงสัย พวกเราจึงต้องสืบสวนต่อไป อย่าพยายามปกป้องอีกเลย”
ด้านนอกตรอก ซิลกำลังเดินไปตามโคมไฟริมถนนด้วยความสงบ
จริงอยู่ เธออาจไม่ได้เล่าว่าตนไล่ตามไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดไป
แต่นั่นไม่ใช่เพราะต้องการปิดบัง หรือเพื่อทำให้ตัวเองพ้นข้อสงสัย จุดประสงค์ที่แท้จริงนั้นตรงกันข้าม
ก่อนชุมนุมทาโรต์ครั้งล่าสุดจะเริ่มขึ้น เธอวางแผนจะสารภาพว่า ตนไล่ตามไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดไปจนถึงโกดังสินค้าในเขตท่าเรือ แต่เกิดตกใจกลัวกับพายุทอร์นาโดที่โผล่ขึ้นอย่างกะทันหัน แบบนั้นจะฟังดูน่าเชื่อถือมากกว่า มีโอกาสรอดพ้นจากการถูกสงสัย แต่หลังจากที่ทราบว่า มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังสนใจเรื่องนี้เช่นกัน ซิลเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย ตัดสินใจที่จะ ‘รายงาน’ โดยทิ้งความน่าสงสัยเอาไว้
ซิลทราบดี ด้วยฝีมือของเธอตามลำพัง การจะสืบหาความลับของกษัตริย์ อีกสามปีหรือห้าปีก็คงไม่ได้เข้าใกล้ความจริงมากนัก หรืออาจไม่มีวันสมหวังไปตลอดชีวิต แต่ถ้ามีความช่วยเหลือจาก ‘เดอะเวิร์ล’ บางที จุดมุ่งหมายของเธออาจลุล่วงได้ง่ายขึ้น
เพื่อการนั้น เธอยินดีที่จะเสี่ยง เสี่ยงโยนตัวเองลงไปขวางกระแสน้ำเชี่ยว
และในวันนี้ ก่อนที่จะมาพบกับชายสวมหน้ากากทองคำจาก MI9 ซิลสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล ขอให้พระองค์ช่วยถ่ายทอดข้อความไปถึง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์
ราชันเร้นลับ 1045 : นักท่องฝัน
เหนือสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขต ภายในพระราชวังโบราณที่งดงามตระการตา
ไคลน์ถือไม้กางเขนเจิดจรัสไว้ในมือข้างหนึ่ง ถือคทาเทพสมุทรไว้ในมืออีกข้าง จ้องมองโลกความจริงผ่านดวงดาวสีแดงเข้มที่เป็นตัวแทน ‘จัดจ์เมนต์’
ภายในเนตรวิญญาณของชายหนุ่ม ในตรอกมืดดังกล่าว นอกจากมิสซิลที่มีส่วนสูงไม่มาก และเจ้าหน้าที่ของMI9 ผู้สวมหน้ากากทองคำ ยังมีอีกหนึ่งคนซ่อนอยู่
เป็นชายในวัยสามสิบ ไม่มีเอกลักษณ์โดดเด่น เฉกเช่นชาวทวีปเหนือตอนกลางอย่างโลเอ็น อีกฝ่ายไม่เพียงจะผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเงามืด มันยังมาพร้อมกับพลังในการ ‘ถูกมองข้าม’ หากไม่ใช่เพราะไคลน์อยู่บนมิติหมอก มีวิสัยทัศน์กระจ่างชัด ชายหนุ่มสงสัยว่าแม้แต่ตนก็คงหาอีกฝ่ายไม่พบ เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายจะลงมือจนสัมผัสวิญญาณของตนถูกกระตุ้น กลายเป็นนิมิตลางสังหรณ์
พลังซ่อนตัวในเงา ผนวกกับการพรางตัวทางจิตวิทยา? ครึ่งหนึ่งเป็นพลังจากสมบัติวิเศษ อีกครึ่งหนึ่งเป็นพลังจากลำดับ… สรุปโดยสั้น หมอนั่นยังไม่ใช่ครึ่งเทพ…
ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น… ในสายตาของฝ่ายกษัตริย์ มิสซิลมีลำดับไม่เกิน 7 และไม่มีสมบัติวิเศษที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ หากเธอเกี่ยวข้องกับไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดจริง คงเป็นฝีมือของผู้สนับสนุนเบื้องหลังมากกว่า หรืออาจเป็นถึงองค์กรลับ… ท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังปั่นป่วนในปัจจุบัน การส่งครึ่งเทพที่ล่วงรู้ความลับเยอะมาตรวจสอบโดยตรง มีโอกาสสูงที่จะตกหลุมพราง แต่ถ้าส่งครึ่งเทพที่ไม่รู้ความลับใดเลยมาตรวจสอบ ก็มีโอกาสสูงที่ข้อมูลเหล่านี้จะรั่วไหลไปยังโบสถ์หลักทั้งสาม นำไปสู่การถูกสอบสวน…
ดังนั้น บุคคลที่เหมาะสมที่สุดคือผู้วิเศษลำดับ 5 หรือ 6 ที่ไม่รู้ความลับมากเกินไปเนื่องด้วยข้อจำกัดทางด้านตำแหน่ง และต้องฝีมือพอตัว… ไคลน์พึมพำเงียบ ขจัดความคิดที่จะ ‘เทเลพอร์ต’ ไปในนามเกอร์มัน·สแปร์โรว์และจับกุมพวกมัน
สอบสวนคนแบบนี้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์!
ชายหนุ่มตัดสินใจรอคอยอย่างอดทน รอจนกว่าโอกาสจะมาถึง
แน่นอน ไคลน์ไม่คิดจะเฝ้าอยู่บนมิติหมอกตลอดเวลา เพราะถ้าทำแบบนั้น ร่างหลักของมันบนโลกความจริงจะขาดการป้องกันนานเกินไป อุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยอาจนำพาไปถึงจุดจบ ด้วยเหตุนี้ มันจึงตัดสินใจสร้างยันต์และแจกจ่ายให้กับจัดจ์เมนต์และเมจิกเชี่ยน รวมถึงสมาชิกคนอื่นๆ ของชุมนุมทาโรต์ หากใครเผชิญพบเหตุไม่คาดฝัน ให้รีบกระตุ้นยันต์ทันที จากนั้นก็จะได้รับความช่วยเหลือจาก ‘เดอะเวิร์ล’
วิธีนี้สะดวกกว่าการเอ่ยพระนามเต็มเดอะฟูลเพื่อ ‘แจ้งข่าว’ ผ่านพระองค์!
ไคลน์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตราศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดของอาเรียนน่า ผู้นำนักบวชแห่งโบสถ์รัตติกาล หลักการคือการ ‘ย่อ’ พิธีกรรมที่บ่งชี้ถึงตัวเองลงในวัตถุ จากมุมมองของศาสตร์เร้นลับ หลักการในเรื่องนี้ไม่ยุ่งยากซับซ้อน สิ่งที่ยากก็คือ เป้าหมายของพิธีกรรมต้องมีพลังในการรับข้อมูลและตอบสนองจากระยะไกล กล่าวอีกนัยหนึ่ง ระยะทางค่อนข้างจำกัดสำหรับนักบุญลำดับ 3 หากไม่อยากเผชิญข้อจำกัด เป้าหมายต้องอยู่ในระดับเทวทูตเป็นอย่างน้อย
สำหรับครึ่งเทพหน้าใหม่อย่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มันสามารถสร้างยันต์ที่ระบุถึงตัวเองได้โดยการกำหนดให้เป้าหมายเป็น ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่า จากนั้นก็ตอบสนองด้วยมิติสายหมอกซึ่งมีขอบเขตเป็นโลกทั้งใบ
อาจฟังดูซับซ้อน แต่สรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆ ว่า ไคลน์ใช้ประโยชน์จากตัวตนอื่นที่มีระดับสูงกว่าร่างหลัก
ส่วนวัสดุที่ใช้สร้างยันต์ ส่วนใหญ่เป็นดีบุกซึ่งหากได้ง่ายและมีราคาถูก
…
ย่านสะพานเบ็คลันด์ ซิลล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อนอกสีน้ำตาล เดินเล่นสบายๆ ไปตามถนน
ท่ามกลางแสงจากโคมไฟแก๊สสองฝั่งถนน สีหน้าของเธออาจสงบนิ่ง แต่ภายในใจกำลังตึงเครียด
ฝ่ามือที่กำลังล้วงกระเป๋า ข้างหนึ่งจับด้ามมีดเหมันต์ผ่านช่องลับ อีกข้างหนึ่งถือยันต์ที่ทำจากดีบุก
สิ่งนี้คือ ‘ยันต์อัญเชิญ’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์มอบให้
เดินไปตามทาง เลี้ยวผ่านถนนหลายเส้น ซิลไม่ถูกซุ่มโจมตีจากคนแปลกหน้า ค่ำคืนยังคงเงียบสงัด
ในตอนแรก เธอกังวลว่าฝ่ายกษัตริย์จะจับกุมตนทันทีผ่านองค์กรอย่าง MI9 จากนั้นนำตัวกลับไปสอบปากคำ สำหรับกรณีนี้ การอัญเชิญมิสเตอร์เวิร์ลจะทำให้ชายหนุ่มตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนและเต็มไปด้วยอันตราย เพราะนั่นเทียบเท่ากับการเป็นศัตรูของ ‘ทางการ’ แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก เธอพบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะนั่นจะทำให้พวกมันน่าสงสัยยิ่งกว่าเก่า กลายเป็นเป้าสนใจของสามศาสนจักรใหญ่ ดังนั้น คนที่ถูกส่งมาตรวจสอบเธอย่อมไม่ใช่บุคคลสำคัญของฝ่ายกษัตริย์ใน MI9
การสอบสวนจะต้องเป็นความลับ อาจไม่ใช่คนจากกองทัพ… อา… พวกมันยังคงสะกดรอยตาม กลัวว่าเราจะเป็นเพียงเหยื่อล่อ? มิสเตอร์เวิร์ลกล่าวไว้ว่า ไม่จำเป็นอย่ารบกวน ลองแก้ปัญหาด้วยตัวเองดูก่อน… ซิลมองไปรอบตัวอีกครั้ง ยังไม่กล้าวางใจ และไม่กล้าตรงดิ่งกลับที่พัก แต่อ้อมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบ้านเช่าในย่านรอบนอกเขตตะวันออก
ว่ากันตามตรง เธอไม่ต้องการให้ฟอร์สมาเกี่ยวข้องสักเท่าไร แต่พวกเธอสองคนคือผู้ที่สะกดรอยตามไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดเมื่อคืนนั้น ย่อมต้องแปลว่า ฟอร์สถูกเหมารวมอยู่ในรายการสอบสวนด้วย
จริงอยู่ ขอเพียงฟอร์สซ่อนตัวแค่ในเขตตะวันออก ไม่เตร็ดเตร่นอกบ้านบ่อยนัก คนของ MI9 คงหาเธอไม่พบ แต่นั่นจะนำไปสู่การสืบสวนขยายผล พิจารณาจากประสบการณ์ของซิล ไม่ว่าจะญาติ เพื่อน หรือคู่ครอง ทุกคนจะถูกสอบสวนอย่างเข้มงวด เกิดความวุ่นวายเป็นวงกว้าง และซิลกับฟอร์สแยกกันซ่อนตัว นั่นยิ่งชัดเจนว่าพวกเธอคือเหยื่อล่อ ยากที่ปลาจะมากินเบ็ด
หลังจากได้รับความยินยอมจากฟอร์ส ในที่สุดซิลก็เลือกจะนำตัวเองไปเสี่ยงอันตราย
เปิดประตูเข้าไปในบ้าน ขณะซิลถอดหมวกออก เธอเห็นฟอร์สวางนิตยสารลงและยืนขึ้น สางผมตัวเองพร้อมกับถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ถูกสะกดรอยใช่ไหม?”
นี่คือรหัสลับที่ทั้งสองตกลงกันล่วงหน้า ภายนอกอาจฟังดูเป็นการถามเรื่องถูกสะกดรอย แต่ความนัยที่แท้จริงคือการถามว่า ถูกสอบสวนมาหรือไม่
“ไม่” ซิลส่ายหน้าขึงขัง
ฟอร์สไม่สานต่อหัวข้อเดิม เพียงบ่นว่าแถวนี้หาชาดีๆ ยากมาก รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องถ่อไปซื้อไกลๆ จึงจะพบสินค้าคุณภาพดี
บรรยากาศอันอบอุ่นและสุขสงบดำเนินไปจนกลางดึก ทั้งสองเข้าไปในห้องนอน และทิ้งตัวลงบนเตียงสองชั้น
หลังจากเทียนดับ ซิลเตรียมจะกล่าวบางสิ่ง แต่ทันใดนั้น แสงอันศักดิ์สิทธิ์และสว่างจ้าพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
แสงดังกล่าวควบแน่นกลายเป็นร่างหนึ่งซึ่งมีปีกไฟสีแดงสิบสองคู่งอกเงยจากแผ่นหลัง
ร่างดังกล่าวร่อนลงพร้อมกับงอปีก ห่อหุ้มซิลไว้ด้านใน
พรของเทวทูตจากมิสเตอร์ฟูล… ซิลเข้าใจสถานการณ์ได้ทันที
นี่คือสิ่งที่เธอร้องขอจากมิสเตอร์ฟูลอย่างนอบน้อมในตอนที่ปรึกษากับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ซิลรู้อยู่แล้วว่าฝ่ายกษัตริย์มีผู้สมรู้ร่วมคิด นอกจากนิกายแม่มด ยังมีสมาคมแปรจิต และพลังพิเศษของเส้นทางผู้ชมไม่ได้มีแค่การสะกดจิต แต่ยังสามารถบุกรุกความฝัน ต้องระวังการถูกสอบสวนด้วยพลังสองชนิดนี้
หากไม่เตรียมตัวล่วงหน้า เธอสงสัยว่าตนจะถูกสอบสวนอย่างลับๆ ลืมเรื่องการแจ้งข่าวให้ ‘เดอะเวิร์ล’ ไปได้เลย
ทุกสิ่งสงบลงอย่างรวดเร็ว ซิลเปิดปากพูดกับฟอร์สที่เตียงด้านล่าง:
“ราตรีสวัสดิ์”
“…ราตรีสวัสดิ์” การตอบสนองของฟอร์สค่อนข้างเชื่องช้า คล้ายกับกำลังจะหลับ
นั่นทำให้ซิลเข้าใจ ฟอร์สเองก็ได้รับพรจากเทวทูตเช่นกัน
เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองผล็อยหลับอย่างอ่อนเพลีย
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ทันใดนั้น ซิลได้สติขึ้นมากะทันหัน และรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในความฝัน
ทันทีหลังจากนั้น เธอรู้สึกคล้ายกับด้านบนท้องฟ้าอันมืดมิดมีเงาประหลาดลอยอยู่ และมันพยายามดูดความคิดทั้งหมดจากก้นบึ้งของเธอออกไป
ท่ามกลางมวลความคิดมหาศาล สิ่งที่ถูกดึงออกไปล้วนเป็นเหตุการณ์สำคัญในระยะหลัง รวมถึงการบุกรุกโกดังในคืนดังกล่าว และขั้นตอนจู่โจมไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด
ซิลประหม่าเล็กๆ ในตอนแรก นึกอยากปลุกตัวเองให้ตื่น แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามสักเพียงใดก็มิอาจหลุดพ้นจากสถานะนี้ แม้จะลืมตาจนกว้าง แต่ฉากตรงหน้าก็ยังเป็นความฝัน
เธอรีบสงบสติ พยายามควบคุมกระแสความคิดเหล่านั้น และผลปรากฏว่าไม่ใช่เรื่องยาก
ดังนั้น ความทรงจำขณะจู่โจมไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดจึงถูกซ่อนไว้ แต่หลังจากพิจารณาสักพัก เธอเปลี่ยนใจไม่ฟอกพวกมันให้สะอาดเกินไป ยังคงหลงเหลือร่องรอยบางส่วน
ภายในความฝัน เธอกับฟอร์สค้นพบสิ่งผิดปรกติในโกดัง แต่ไม่ใช่พายุทอร์นาโดซึ่งพังหลังคาโกดังตามที่ MI9 เข้าใจ แถมพวกเธอก็ยังไม่หนีออกจากจุดเกิดเหตุทันที
ซิลเชื่อว่า ความขัดแย้งเหล่านี้จะทำให้ผู้บุกรุกความฝันตรวจพบปัญหา แต่ไม่สามารถค้นพบความจริง โดยภายหลัง ผู้สืบสวนจะยืนยันได้เพียงว่า มีครึ่งเทพหรือองค์กรบางแห่งซ่อนอยู่เบื้องหลังพวกเธอ แต่จะเชื่อว่าพวกเธอไม่ใช่ตัวอันตราย เพราะปกปิดข้อมูลที่ไม่ได้สำคัญอะไรนัก
ดังนั้น มีโอกาสสูงมากที่ฝ่ายกษัตริย์จะส่งครึ่งเทพออกมาสืบสวนขยายผล และนั่นคือการพัฒนาที่ซิลคาดหวัง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ครึ่งเทพฝ่ายกษัตริย์ทุกคนล้วนมีตำแหน่งสำคัญ ย่อมต้องล่วงรู้ความลับของกษัตริย์
ทันใดนั้น ความฝันของซิลเริ่มสลาย คล้ายกับกำลังบอกใบ้บางสิ่ง
เธอทราบดี นี่คือสัญญาณที่ระบุว่าผู้บุกรุกจากไปแล้ว
จนกระทั่งถึงเช้า ทั้งเธอและฟอร์สไม่พบความผิดปรกติใดๆ อีกเลย
…
ท้องฟ้าเริ่มสว่าง แสงแดดยามเช้ากำลังทะลวงผ่านสายหมอก
ออเดรย์กินอาหารเช้า พาซูซี่ สุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่ แอนนี่ สาวใช้ส่วนตัวและคนคุ้มกัน ขึ้นรถม้าส่วนตัวและตรงไปยัง ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ ที่อาคารหมายเลข 22ถนนเฟลป์ในเขตเหนือ
เสียงระฆังดังกังวานจากนอกหน้าต่างเป็นครั้งคราว มอบกลิ่นอายของชีวิตชีวาที่แปลกประหลาด ออเดรย์ชอบที่จะหันหน้ามองไปทางถนน ชื่นชมผู้คนผ่านไปผ่านมา
สิ่งเหล่านี้ทำให้อารมณ์ของหญิงสาวสงบลง รู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นเล็กน้อย โลกทั้งใบเต็มไปด้วยความสดใส
ทันใดนั้น จากหางตาของออเดรย์ เธอเห็นบุคคลหนึ่งบนรถม้าคันที่ตนกำลังโดยสาร
อีกฝ่ายสวมสูทสามชิ้นสีดำ สวมเนกไทสีแดงเข้ม ถือหมวกทรงสูงไว้ในมือ ผมสีขาวล้วนแต่ยังดกหนา ดวงตาอันแน่นไปด้วยความรู้มหาศาล
ไม่ใช่ใครนอกจากเฮอร์วิน·แรมบิส คณะกรรมการแห่งสมาคมแปรจิต ครึ่งเทพแห่งเส้นทางผู้ชม!
ทันใดนั้น ออเดรย์พลันตกอยู่ในภวังค์ คล้ายกับสูญเสียความระมัดระวังและการป้องกันทั้งหมด ส่วนคนอื่นภายในรถม้า ซูซี่และแอนนี่ล้วนมีดวงตาว่างเปล่า ประหนึ่งเข้าสู่สภาวะเฉื่อยชาและไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
เสียงอ่อนโยนของเฮอร์วิน·แรมบิสดังตามมา:
“สองเรื่อง… เรื่องแรก… คุณรู้จักฟอร์สและซิลใช่ไหม? จงนัดพบพวกเธอและสะกดจิต…”
ราชันเร้นลับ 1046 : การ ‘ทดสอบ’
น้ำเสียงอันแสนอ่อนโยนคล้ายกับกำลังสะท้อนกับความคิดภายในใจออเดรย์ เธอต่อต้านได้เพียงเล็กน้อยก่อนจะพบว่าเสียงดังกล่าวดังก้องออกมาจากจิตใจตัวเอง เป็นความคิดที่แท้จริงของเธอเอง
เฮอร์วิน·แรมบิสมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกตของหญิงสาว กล่าวต่อไปด้วยความเร็วปรกติ
“เรื่องที่สอง… ในงานเลี้ยงครั้งถัดไป ห้ามต่อต้านความปรารถนาดีของเหล่าเจ้าชาย และต่อหน้าเอิร์ลฮอลล์กับคุณหญิงฮอลล์ กล่าวคำเยินยอเจ้าชายให้พวกเขาได้ยิน… ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึกของคุณ จงลืมไปว่าผมเคยมาที่นี่และกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ จงลืมไปว่าพฤติกรรมนี้ข้างต้นขัดแย้งกับธรรมชาติของคุณ อย่าพยายามแสวงหาพร และเลี่ยงการเข้าร่วมพิธีมิสซาของโบสถ์รัตติกาล”
กล่าวจบ เฮอร์วิน·แรมบิสถอนสายตาออกจากดวงตาออเดรย์ ตามด้วยการชี้นำทางจิตกับสาวใช้แอนนี่และคนที่เหลือ ไม่ให้พวกเธอประหลาดใจกับพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลของนายหญิง
จัดการทั้งหมดเสร็จ ร่างของมันหายไปจากรถม้าโดยไม่สร้างความวุ่นวาย
กรี๊ง!
จักรยานคันหนึ่งขับผ่านหน้าต่าง ดวงตาของออเดรย์ที่เหม่อลอยเล็กน้อยกลับมาเป็นปรกติ
เธอเฝ้ามองผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนสักพัก ทันใดนั้นก็ส่งเสียง ‘อ๊ะ’ ในลำคอ
จากนั้น เธอหันกลับมา กล่าวกับแอนนี่และคนอื่นๆ ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย:
“ฉันลืมเรื่องสำคัญไปเลย… ต้องแวะไปหากายลินก่อน”
ปัจจุบัน รถม้ายังไม่ได้แล่นออกจากเขตราชินี และที่นี่ก็อยู่ไม่ห่างจากบ้านของไวเคาต์กายลิน แอนนี่และคนรับใช้จึงไม่มองว่าเป็นเรื่องแปลก เพียงรีบสั่งคนรับรถม้าให้มันเลี้ยวไปยังถนนอีกเส้น
จนกระทั่งเป็นเวลาเก้าโมงสี่สิบในตอนเช้า ออเดรย์มาถึงถนนเฟลป์ เดินขึ้นไปยังชั้นสองของอาคาร ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็น’ จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง
เฝ้ามองแอนนี่ สาวใช้คนสนิทและคนอื่นๆ จัดเรียงชั้นวางเอกสาร บ้างนำน้ำแร่ภูเขาที่พกมาด้วยไปเตรียมชงชาดำ ออเดรย์พาซูซี่ สุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ มายังห้องพักเล็กๆ ภายในห้องทำงาน ยืนมองกระจกภายในห้องราวกับกำลังชั่งใจว่า จะให้สาวใช้ช่วยแต่งหน้าดีหรือไม่
ระหว่างนี้ ออเดรย์เหลือบมองรูกุญแจ ถามซูซี่ด้วยท่าทีผ่อนคลาย:
“พฤติกรรมของฉันมีจุดผิดปรกติไหม?”
นี่เป็นนิสัยที่เธอสร้างขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นับตั้งแต่การหายตัวไปของเฮอร์วิน·แรมบิส!
เธอทราบว่าพรเทวทูตของมิสเตอร์ฟูลจะไม่สร้างอิทธิพลแบบถาวร อยู่ได้เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น และเธอไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเฮอร์วิน·แรมบิสจะมาหาเธอหรือไม่และตอนไหน ไม่มีทางสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลล่วงหน้าและขอพรได้ทุกวัน ดังนั้น เนื่องจากเชี่ยวชาญศาสตร์ด้านจิตวิทยา และยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับ ออเดรย์ไม่เพียงจะตรวจสอบพฤติกรรมของตนสามครั้งต่อวันเพื่อหาความผิดปรกติ แต่ยังตรวจสอบหาความบังเอิญที่มากเกินไปด้วย ขณะเดียวกันก็กำชับให้ซูซี่คอยจับตามองพฤติกรรมของตน ทำตัวเป็นกระจกเงาชั้นดี
นี่คือมาตรการป้องกันไม่ให้ถูกเฮอร์วิน·แรมบิสแอบสะกดจิต!
ซูซี่ โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่นั่งยองๆ ด้านข้าง ครุ่นคิดอย่างจริงจังและตอบ:
“มี”
“…” ออเดรย์ยืนตัวแข็งทื่อด้วยรอยยิ้มแห้งๆ บนใบหน้า จ้องหน้าซูซี่และรอคำอธิบาย
ซูซี่ขยับจมูก มองไปรอบๆ และเล่าต่อไป
“ในตอนแรก เธอไม่ได้วางแผนจะแวะบ้านไวเคาต์กายลิน แต่เกิดเปลี่ยนใจกลางคัน… เธอเป็นคนบอกเองว่าจะแจ้งกำหนดการให้ฉันทราบล่วงหน้า และยังบอกอีกว่า ถ้ามีการเพิ่มเติมหรือปรับเปลี่ยน เธอจะปรึกษาฉันก่อน”
ได้ยินคำตอบจากซูซี่ สีหน้าออเดรย์เริ่มเคร่งขรึม
เธอยังคงคิดว่าเรื่องดังกล่าวไม่ผิดปรกติ แต่นี่แหละคือสถานการณ์ที่ผิดปรกติที่สุด!
และนั่นทำให้หญิงสาวมั่นใจบางเรื่อง
เฮอร์วิน·แรมบิสแวะมาหาทันทีที่ออกจากบ้าน จากนั้นก็ดลใจเธอให้ไปคฤหาสน์ของกายลิน!
หลังจากฝังการชี้นำทางจิต อีกฝ่ายได้ลบร่องรอยทั้งหมดทิ้ง!
ทว่า เขาไม่ได้ ‘ล้างสมอง’ สุนัขเพื่อให้คิดว่าทุกสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องปรกติ… ใจจริง ออเดรย์อยากจะบอกให้ซูซี่ออกไปข้างนอก ตนจะได้สวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล แต่สุดท้ายกลับเกิดความลังเล
พฤติกรรมในตอนนี้ของเราจะถูกเฮอร์วิน·แรมบิสตรวจสอบหรือไม่? เขาอาจนั่งกำลังอยู่ที่ใดสักภายในห้องและมองมาทางเราอย่างเงียบงัน… ไม่สิ ถ้าเป็นความจริง ในตอนที่เราถามซูซี่ เขาก็ต้องรู้แล้วว่ามีเรื่องผิดปรกติเกิดขึ้น การสวดวิงวอนจะไม่ทำให้สถานการณ์แย่ลง… ต่อให้เขาอยู่ที่นี่จริงๆ มิสเตอร์ฟูลจะต้องมองเห็นอย่างแน่นอน และเราจะร้องขอให้พระองค์ช่วยลงทัณฑ์เขา แลกกับการตอบแทนคืนในอนาคต… แต่ทำไมเราถึงไม่อยากสวดวิงวอน ไม่อยากขอความช่วยเหลือ… ออเดรย์ยืนนิ่งเป็นเวลานาน สมองเต็มไปด้วยความคิดอันหลากหลาย สัญชาตญาณต้องการหลบหนี
และนั่นทำให้เธอตระหนักถึงความขัดแย้ง ช่วยให้พบการต่อต้านเล็กๆ ภายในหัวใจ
จากมุมมองทางด้านจิตวิทยาและศาสตร์เร้นลับ เธอคาดเดาบางสิ่งอย่างคลุมเครือ ในท้ายที่สุด หญิงสาวขจัดความคิดที่จะขอความช่วยเหลือ ปล่อยตัวเองไปตามธรรมชาติ สวดวิงวอนต่อเทพธิดาในแบบที่ไม่ต้องการคำตอบ
ทันใดนั้น ความขัดแย้งภายในใจพลันลดลงไปกว่าครึ่ง
ออเดรย์ตั้งสติ ส่งสัญญาณบอกให้ซูซี่ออกไปก่อน จากนั้นก็มองเข้าไปในกระจก สะกดจิตตัวเองเงียบงัน:
“เธอไม่ได้ขอความช่วยเหลือ แค่สวดมนต์ตามกิจวัตร…”
“เธอไม่ได้ขอความช่วยเหลือ แค่สวดมนต์ตามกิจวัตร…”
หลังจากท่องหลายจบ วังวนสีเขียวอ่อนและลุ่มลึกภายในดวงตาออเดรย์ค่อยๆ สลายไป
หญิงสาวยกมือขึ้น จับระหว่างปากและจมูก ท่องเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณด้วยเสียงต่ำ:
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย… ดิฉันอาจจะได้พบกับเฮอร์วิน·แรมบิสมาแล้ว”
ขณะกล่าว เธอมิได้ร้องขอความช่วยเหลือ เพียงอธิบายการค้นพบเมื่อครู่
ผ่านไปสักพัก แสงสีแดงเข้มพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าออเดรย์ ท่วมท้นร่างกายเธอประหนึ่งกระแสน้ำ
เพียงพริบตา หญิงสาวได้สติกลับคืนมาโดยสมบูรณ์ ฉากแล้วฉากเล่าแล่นเข้ามาในสมอง
เป็นภาพขณะที่เธอนั่งอยู่ในรถม้า ฝั่งตรงข้ามเป็นเฮอร์วิน·แรมบิสซึ่งสวมสูทสามชิ้นสีดำ
ชายชรากล่าวแนะนำเธอด้วยเสียงอ่อนโยน
มันคือครึ่งเทพของเส้นทางผู้ชม เจ้าของดวงตาสีฟ้าอ่อนที่ดูราวกับเก็บซ่อนความรู้อันไร้ขอบเขต
ขณะเดียวกัน ประโยคดังกล่าวดังก้องในหัวออเดรย์อีกครั้ง ช่วยให้เธอจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
รอจนกระทั่งแสงสีแดงจางหาย ภาพตรงหน้าหญิงสาวคือโต๊ะทองแดงลวดลายโบราณ บุคคลลึกลับที่ปกคลุมด้วยสายหมอกสีเทากำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน
ท่ามกลางอารมณ์ที่ท่วมท้นอันประกอบไปด้วย หวาดกลัว สยดสยอง ตื่นตระหนก และอื่นๆ ออเดรย์ยืนตัวตรง ยกชายกระโปรงมายาคำนับและกล่าว
“ขอบคุณสำหรับความคุ้มครอง มิสเตอร์ฟูลที่เคารพ”
ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา ปรบมือและยิ้ม:
“เจ้าทำได้ดีมาก”
ได้ยินประโยคดังกล่าว ออเดรย์โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ขจัดความกลัวเป็นปลิดทิ้ง จึงนั่งลงและเล่าประสบการณ์อย่างใจเย็น
ในฐานะเดอะฟูล ไคลน์มิอาจปรึกษาหารือกับมิสจัสติสตรงๆ มิอาจช่วยวิเคราะห์หรือแสดงความเห็น ทำได้เพียงยิ้มและตอบกลับไป:
“นี่คือบททดสอบแห่งโชคชะตา”
บททดสอบ? มีเพียงต้องผ่านมันไปให้ได้ เราจึงจะมีคุณสมบัติกลายเป็นครึ่งเทพ? หากผ่านไปได้ เราจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะปกป้องคนสำคัญท่ามกลางความวุ่นวายในเบ็คลันด์? ออเดรย์ตีความคำแนะนำของมิสเตอร์ฟูล พยักหน้าอย่างขึงขังและกล่าว:
“ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
ไคลน์ไม่ได้กล่าวเพิ่มเติม กึ่งถอนหายใจกึ่งยิ้ม:
“กลับไปได้แล้ว… ไปเผชิญหน้ากับมัน”
ขณะออเดรย์เตรียมขอบคุณ สีแดงเข้มพลันระเบิดท่วมท้นการมองเห็น
เพียงชั่วพริบตา เธอถูกส่งกลับมายังโลกความจริง แต่คราวนี้ไม่หลงลืมหรือเพิกเฉยสิ่งใดอีกต่อไป
บททดสอบสินะ… ความหมายคือ เราต้องไม่ทำให้ความลับของตัวเองถูกเปิดเผย ต้องแก้ไขภัยอันตรายจากเฮอร์วิน·แรมบิสด้วยตัวเอง? แต่ถ้าเราเป็นต้นเหตุที่ทำให้เฮอร์วิน·แรมบิสตาย สมาคมแปรจิตจะไม่สงสัยเอาหรือ? เราควรทำยังไงดี… ออเดรย์จ้องมองสาวผมทองหน้าตาสะสวยในกระจก หมุนตัวไปด้านข้างเล็กน้อยพร้อมกับชำเลืองในแนวเฉียง
สุดปลายสายตาคือห้องพักขนาดใหญ่ เป็นห้องของกรรมการกิตติมศักดิ์ และเมื่อสิบนาทีที่แล้ว ขณะเดินขึ้นบันได ออเดรย์มั่นใจว่ามิสเตอร์ดอน·ดันเตสนั่งอยู่ด้านใน
…
เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ใช้นิ้วเคาะขอบโต๊ะยาวที่มีลวดลายโบราณ วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นกับมิสจัสติสและมิสจัดจ์เมนต์เมื่อคืนและเมื่อครู่:
มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง… อาดัมมอบไม้กางเขนเจิดจรัสให้เราผ่านมิสจัดจ์เมนต์และมิสเมจิกเชี่ยน… ไม่มีทางที่ท่านจะไม่ทราบว่าใครอยู่เบื้องหลังพวกเธอ… แล้วยังต้องการทดสอบอะไรเรา?
เหตุการณ์เมื่อคืน เราเชื่อว่าการสอบสวนมิสซิลเป็นเจตนาของฝ่ายกษัตริย์เพียงอย่างเดียว แค่ยืมความช่วยเหลือจากผู้วิเศษลำดับกลางของสมาคมแปรจิต แต่ด้วยเหตุผลบางประการ อาดัมกลับไม่เปิดเผยเรื่องของเดอะฟูลให้ฝ่ายกษัตริย์หรือนิกายแม่มดทราบ แถมท่านยังต้องการให้เราตอบสนองบางอย่างกลับไป…
แต่กลับกลายเป็นว่า อาดัมยังคงต้องการให้มิสจัดจ์เมนต์และมิสเมจิกเชี่ยนถูกสะกดจิต… ไม่อย่างนั้นคงไม่ส่งเฮอร์วิน·แรมบิสมาทำงานด้วยตัวเอง เพราะถึงจะเป็นสภานักสิทธิ์สนธยา แต่ตัวตนระดับนักบุญนั้นค่อนข้างมีความสำคัญ ไม่มีทางส่งมาให้เราเชือดง่ายๆ …
อาดัมกำลังทดสอบอะไร? อยากรู้ว่าพฤติกรรมของมิสจัดจ์เมนต์เกิดจากตัวเธอเอง หรือความจริงแล้วถูกเดอะฟูลชักใยอยู่เบื้องหลัง?
ถ้าการที่เดอะฟูลได้ไม้กางเขนเจิดจรัสและตระหนักว่ากษัตริย์ซุกซ่อนความลับ คือเป้าหมายที่แท้จริงของอาดัม แล้วทำไมถึงยังส่งลูกน้องมาสืบสวนมิสจัดจ์เมนต์กับมิสเมจิกเชี่ยนอีก? สภานักสิทธิ์สนธยามิได้เป็นศัตรูกับเราสักหน่อย อาดัมเองก็เคยร่วมมือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่เป็นข้ารับใช้ของเดอะฟูล…
แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราไม่เห็นความจำเป็นที่อาดัมต้องทดสอบอะไร แค่ท่านนั่งข้างมิสจัดจ์เมนต์และฟังเสียงจากก้นบึ้งหัวใจของเธอ ความจริงก็จะกระจ่างทันที ไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยาก…
เว้นแต่ว่าท่านจะออกจากเบ็คลันด์ไปแล้ว หรือไม่ก็ติดข้อห้ามบางประการ จนไม่กล้าเข้ามาในมหานครแห่งนี้อีก ทำได้แค่สืบสวนผ่านลูกน้อง…
หรือว่าหลังจากที่เรารายงานให้มาดามอาเรียนน่าทราบจนโบสถ์รัตติกาลเริ่มตื่นตัว อาดัมได้ตระหนักถึงอันตรายจากเทพ?
เป็นไปได้… แม้ท่านจะรู้ว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์เกี่ยวข้องกับกงสุลมรณะ แต่ไม่น่าจะสังเกตเห็นความผิดปรกติของเทพมรณาเทียม เพราะแม้กระทั่งนิกายวิญญาณฝ่ายฝักใฝ่มรณาเทียมก็ยังไม่ทราบความจริง ดังนั้น ยิ่งนำไปรวมกับอำนาจในขอบเขตความลับของพระองค์ อาดัมไม่มีทางทราบว่าเทพธิดาจะลงมือไม่ได้ไปอีกพักใหญ่…
ถัดไป… ต้องจัดการกับเฮอร์วิน·แรมบิส… โดยไม่ทำให้ใครรู้ว่ามิสจัสติสเกี่ยวข้องกับเดอะฟูล…
คิดถึงตรงนี้ ไคลน์อาศัยจุดแสงการสวดวิงวอน ช่วยให้เห็นมิสออเดรย์กำลังเดินเข้ามาในห้องรับรองของคณะกรรมการกิตติมศักดิ์เพื่อตามหาดอน·ดันเตส
หลังจากสลัดความคิด ชายหนุ่มรีบกลับสู่โลกความจริง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น