Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1039-1042
ราชันเร้นลับ 1039 : ความหวัง
ฟ้าแลบแวบวาบไปทั่วท้องฟ้าสูง สว่างไหวท่ามกลางเมืองเงินพิสุทธิ์ แต่เพียงไม่นานก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนให้โลกกลับคืนสู่ความมืดมิดดังเดิม
เดอร์ริค·เบเกอร์ลืมตาขึ้น พลิกตัวและลุกออกจากเตียง เดินตรงไปทางประตู
ขณะเดิน มันชะลอความเร็วลง เผยสีหน้ากระอักกระอ่วน
เราจะเริ่มคุยกับท่านเจ้าเมืองเกี่ยวกับมรดกของพระผู้สร้างยังไงดี? บอกไปตรงๆ ว่าเราต้องการมัน? ไม่ได้ ทำแบบนั้นไม่เหมาะ… แม้มิสเตอร์แฮงแมนจะเคยบอกไว้ว่า ท่านเจ้าเมืองยอมทำเป็นหลับตาหนึ่งข้าง แต่เราไม่ควรตรงไปตรงมาเกินไป… เดอร์ริคเป็นเด็กหนุ่มหน้าบางมาแต่ไหนแต่ไร แม้กระทั่งสมัยพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ มันยังแทบไม่ร้องขอสิ่งใด
เดอร์ริคชะงักฝีเท้า พยายามนึกทบทวนบทสนทนาระหว่างตนกับมิสจัสติส มิสเตอร์แฮงแมน และสมาชิกคนอื่นๆ ของชุมนุมทาโรต์ หวังว่าจะเลียนแบบข้ออ้างที่สมเหตุสมผล
จำลองสถานการณ์ในหัวสักพัก เดอร์ริคกัดฟันและตัดสินใจหนักแน่นว่าจะซื่อตรง
มันถือ ‘เทพสายฟ้าคำราม’ และเดินไปเปิดประตู เดินเลียบถนนจนกระทั่งสุดทางและถึงหอคอยคู่ทางตอนเหนือของเมือง
ระหว่างทาง ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์จำนวนมากเดินออกจากบ้าน บ้างเผยรอยยิ้มบนใบหน้า บ้างรวมตัวกันแถวๆ ลานฝึก
ปัจจุบันเป็น ‘ฤดู’ เก็บเกี่ยวหญ้าผิดดำ เป็น ‘เทศกาล’ สำคัญของเมืองเงินพิสุทธิ์เพื่อบูชาพระผู้สร้าง นอกจากนั้นยังเป็นหนึ่งในไม่กี่วันของปี ที่ผู้คนในความมืดมีความสุขจากก้นบึ้ง
ได้เห็นเด็กเล็กเดินห้อยเครื่องรางหญ้าผิวดำ ส่วนผู้ใหญ่ทำเป็นแหวน ได้ฟังการบทสนทนาและบทเพลงเป็นระยะ อารมณ์ของเดอร์ริคค่อยๆ สงบนิ่ง ฝีเท้าเริ่มหนักแน่นขึ้นทุกขณะ
มาถึงยอดหอคอยแห่งหอคอยคู่ หลังจากแจ้งความประสงค์ มันได้พบกับโคลิน·อีเลียด ผู้นำแห่ง ‘หกสภาอาวุโส’ ในห้องด้านบนสุดของยอดหอคอย
‘นักล่าปีศาจ’ รายนี้ยังเหมือนเดิม ผมสีเทาค่อนข้างยุ่งเหยิง ขาดการดูแล มีริ้วรอยลึกบนใบหน้า มีรอยแผลเป็นเก่าที่ลึกและฉกรรจ์ ดวงตาสีฟ้าอ่อนอัดแน่นไปด้วยความผันผวนของชีวิต คล้ายกับสามารถตระหนักถึงหัวใจของผู้คน
รอจนเดอร์ริคทำความเคารพเสร็จ มันพยักหน้าและกล่าว:
“จับประเด็นสำคัญของโอสถนักบวชแสงได้หรือยัง”
มันกำลังหมายถึง การขจัดวิญญาณตกค้างและความชำนาญในเวทศักดิ์สิทธิ์
เดอร์ริคตอบอย่างใจเย็น:
“ใกล้แล้วครับ”
“อา… ไม่ต้องกังวล ตอนนี้สมาชิกคนอื่นๆ ในทีมสำรวจยังไม่พร้อม พวกมันยังต้องการเวลา เช่นเดียวกับโลเฟียร์ เธอกำลังรวบรวมวัตถุดิบสำหรับเลื่อนลำดับ” โคลิน·อีเลียดกล่าวอย่างเป็นกันเอง
นั่นสินะ อาวุโสโลเฟียร์จะเข้าร่วมภารกิจสำรวจวังราชาคนยักษ์ด้วย… ตอนนี้เธอพยายามเปิดประตูเพื่อก้าวเข้าสู่ครึ่งเทพ? เดอร์ริคตกใจราวสองวินาที ถามโดยไม่ปิดบัง:
“อาวุโสโลเฟียร์มีสูตรโอสถถัดไปแล้วหรือ?”
นี่คือปัญหาที่กวนใจอาวุโส ‘คนเลี้ยงแกะ’ รายนี้มานาน เป็นผลให้เธอมิอาจกลายเป็นครึ่งเทพมานานหลายปี
“ถูกต้อง” โคลินขานรับ แต่มิได้อธิบาย
มันหันมาถาม
“คราวนี้มีอะไรหรือ?”
เดอร์ริครู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อได้ยิน แต่สุดท้ายก็กล่าวไปตรงๆ
“ท่านเจ้าเมือง ผมบังเอิญได้พบกับมรดกของพระผู้สร้าง พลังสอดคล้องกับลำดับ 4 ‘ผู้เจิดจรัส’ แห่งเส้นทางสุริยัน”
โคลินที่ทั้งสูงและบึกบึน ดวงตาของมันหรี่ลง
แววตาอัดแน่นด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนซึ่งยากจะอธิบาย ส่งผลให้เดอร์ริคหยุดชะงักอยู่กับที่ หลงลืมสิ่งที่ต้องการกล่าวต่อ
ท่ามกลางความเงียบที่ยากจะบรรยาย ‘นักล่าปีศาจ’ โคลินกล่าวเสียงต่ำ:
“มรดก?”
ดวงตาของเดอร์ริคพลันหรี่ลง มันเพิ่งฉุกคิดได้ว่า ตนเพิ่งกล่าวในสิ่งที่มิบังควรออกไป
มันเป็นเพียงไม่กี่คนที่ได้ทราบว่า พระผู้สร้างร่วงหล่นไปแล้ว ไม่มีวันหวนกลับมาได้อีก สิ่งนี้สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวเป็นเวลานาน จนกระทั่งเด็กหนุ่มชาชินและคิดว่าผู้คนในเมืองเมืองพิสุทธิ์ต่างทราบเรื่องนี้กันหมดแล้ว
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำถามและสายตาของเจ้าเมือง เดอร์ริคพลันเงียบงัน หมดคำจะอธิบายไปสักพัก
มันลังเลหลายวินาที ในที่สุดก็เปิดปากอย่างยากลำบาก:
“ใช่ครับ… มรดก… เหล่าราชาเทวทูตทรยศต่อพระองค์”
โดยไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มใช้คำเรียกเดียวกับที่นักบวชมายาในหมู่บ้านยามบ่าย
โคลินมองไปที่เดอร์ริค ดวงตาสีฟ้าอ่อนคล้ายกับสูญเสียความคมชัดไปชั่วขณะ
นักล่าปีศาจไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน ผ่านไปเกือบหนึ่งนาทีก่อนที่มันจะพูดอย่างใจเย็น:
“เข้าใจแล้ว”
เสียงของมันแผ่วลงโดยไม่รู้ตัว โคลินมิได้ถามว่าเดอร์ริคพบมรดกของพระผู้สร้างที่ไหน หน้าตาเป็นอย่างไร สามารถทำอะไรได้
เมื่อดวงตาของโคลินกลับคืนความลุ่มลึก มันไม่สานต่อหัวข้อเดิม
“ในเมื่อคุณกลายเป็นลำดับ 5 แล้ว ย่อมมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะทราบว่า เมืองเงินพิสุทธิ์ครอบครองสมบัติปิดผนึกระดับศักดิ์สิทธิ์ชิ้นใดบ้าง ไว้ให้คุณควบคุมพลังวิญญาณให้มีเสถียรภาพกว่านี้ก่อน เชี่ยวชาญเวทแสงอย่างสมบูรณ์ ผมจะเปิดเผยข้อมูลของพวกมันให้ทราบ และนำทางไปยังสถานที่ที่ผนึกไว้”
“หากคุณเข้ากันได้ดีกับสมบัติปิดผนึกชิ้นใดเป็นพิเศษ และไม่ได้รับผลข้างเคียงจากมันมากนัก ผมจะอนุญาตให้คุณใช้งานมัน”
ความเข้ากันได้ในที่นี้หมายถึง วิญญาณของเดอร์ริคนั้นมีความคล้ายคลึงกับตราประทับวิญญาณของผู้วิเศษลำดับสูงที่หลงเหลือในสมบัติปิดผนึก เพราะนั่นจะช่วยให้ผลข้างเคียงน้อยลง และถูกล่อลวงน้อยลง
ภายในเมืองเงินพิสุทธิ์ ตะกอนพลังและวัตถุดิบวิเศษนั้นมากมายจนเรียกได้ว่าไม่ขาดแคลน และทุกคนก็เชี่ยวชาญเทคนิคสวมบทบาท ปัจจัยที่ขัดขวางการเลื่อนลำดับจึงเป็นความยากลำบากในการประกอบพิธีกรรมให้ตรงตามเงื่อนไข ในกรณีของลำดับ 8 7 หรือ 6 ตราบใดที่ปรุงโอสถอย่างถูกต้องและย่อยโอสถก่อนหน้าได้สมบูรณ์ การลองกลืนตะกอนพลังเพื่อเลื่อนลำดับจึงมีโอกาสสำเร็จสูง ทว่า จากลำดับ 6 ถึงลำดับ 5 หากไม่มีความช่วยเหลือด้านพิธีกรรม โอกาสประสบความสำเร็จนั้นต่ำมาก
ดังนั้น ในเมืองเงินพิสุทธิ์ ลำดับ 6 จึงมีอยู่มากมาย แต่ลำดับ 5 เริ่มหายาก ถือเป็นชนชั้นสำคัญ
ทำไมท่านเจ้าเมืองถึงจู่ๆ ก็ชวนคุยเรื่องนี้? กำลังจะบอกว่า สมบัติปิดผนึกระดับศักดิ์สิทธิ์ที่เราเลือก มีไว้เพื่อแลกเปลี่ยนกับมรดกของพระผู้สร้าง? แต่เรายังไม่ทันจะได้เล่าเจตจำนงให้มันฟัง… อา… คงต้องเล่ารายละเอียดของทุกชิ้นให้มิสเตอร์ฟูลฟัง ดูว่าพระองค์พึงพอใจชิ้นไหน… เดอร์ริคยืนนิ่งสองสามวินาที ตามด้วยการเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กๆ และพยักหน้า
“ครับ ท่านเจ้าเมือง”
โดยไม่กล่าวสิ่งใด มันขอตัวลาและจากไป เตรียมเข้าร่วมเทศกาลเก็บเกี่ยว
‘นักล่าปีศาจ’ โคลินมองดูแผ่นหลังของเด็กหนุ่มหายไปจากหลังประตู จากนั้น มันค่อยๆ เดินไปยังริมหน้าต่าง ทอดสายตาตรงไปทางแท่นบูชาใกล้ๆ ลานฝึก
ผู้คนจำนวนมากกำลังทยอยมารวมตัว บ้างล้อมรอบแท่นบูชาของพระผู้สร้าง บ้างใช้การเต้นรำแบบโบราณเพื่อทำให้เทพพอใจ บ้างร้องเพลงสรรเสริญตัวตนที่ยิ่งใหญ่
บนใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ชัดเจน ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาและความหวัง คล้ายกับอีกเพียงสองสามปี พระผู้สร้างก็จะกลับมา และความทุกข์ทั้งปวงก็จะหมดไป
แม้ในช่วงสองสามพันปีที่ผ่านมา ความคาดหวังดังกล่าวจะถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มันก็เพิ่มขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน ช่วยให้ผู้คนเอาชนะความสิ้นหวังและภาวะซึมเศร้า
โคลิน·อีเลียดที่ยืนริมหน้าต่าง เฝ้าทองทุกคนด้วยความตั้งใจ
…
กรุงเบ็คลันด์ ถนนเบิร์คลุน
หลังจากกลับสู่โลกความจริง สีหน้าไคลน์ค่อนข้างหนักอึ้ง
ไดอารี่ของจักรพรรดิโรซายล์ทำให้มันได้เห็นความลับของ ‘ผู้ชม’ และช่วยให้เข้าใจดีว่า การสืบสวนความลับของกษัตริย์จะเต็มไปด้วยอันตรายมากเพียงใด ต่อให้มีการสนับสนุนจากโบสถ์รัตติกาล แต่พรของเทพธิดายังไม่ช่วยให้ปลอดภัยขนาดนั้น
อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญก็คือ เทพธิดาเสียเวลาย่อย ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทาง ‘มรณา’ มานานแล้ว ไม่มีทางที่จะยอมแพ้กลางคัน… ได้หวังว่าเทพวายุสลาตันและเทพจักรกลไอน้ำจะตอบสนองได้ทันท่วงทีในช่วงเวลาวิกฤติ… นอกจากนั้น เรายังมีมาดามอาเรียนน่า วิลล์ที่ใช้ยันต์วันวานอีกครั้ง มีพาลีส·โซโรอาสเตอร์ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับราชาเทวทูต ก็ยังไม่ใช่จุดจบของมนุษย์เสียทีเดียว ต่อให้ตัวเราตายไป แต่พวกเขายังมีโอกาสช่วยเก็บกู้ศพของเรา… ยิ่งยื้อชีวิตได้นานเท่าไร โอกาสรอดก็มากขึ้นเท่านั้น… ไคลน์ใช้วิธีจิกกัดตัวเองเพื่อลดความเครียด
ย้อนกลับไปในตอนที่อยู่เหนือมิติหมอก ไคลน์ค้นพบประเด็นในการสืบสวนถัดไปแล้ว นั่นคือการไล่ตาม ‘นักบุญขาว’ คาร์เทอริน่า และแม่มดทริสซี่ซึ่งปัจจุบันยังไม่ทราบลำดับ ส่วนเฮอร์วิน·แรมบิส ตราบใดที่อีกฝ่ายยังไม่ติดต่อมิสจัสติส ไคลน์พยายามจะไม่สนใจ เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ด้านหนึ่ง เรารอข้อมูลจากมิสจัดจ์เมนต์ อีกด้านหนึ่ง เราต้องพยายามหา ‘พลเรือโทโรคภัย’ และล็อกตำแหน่ง ‘นักบุญขาว’ ผ่านสายเลือด… ไม่สิ ฟังดูยากเกินไป… ศาสนจักรใหญ่ทั้งสามแห่งก็คงคิดวิธีนี้ได้เช่นกัน และนั่นจะทำให้นิกายแม่มดหาทางตอบโต้… คงต้องรอให้เดนิสรวบรวมสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับ ‘พลเรือโทโรคภัย’ จากนั้น เราจะพึ่งพามิติหมอกเพื่อทำนายโดยปราศจากการรบกวน… อา… ก่อนอื่นก็ต้องบอกให้เขาถามถึงสถานการณ์ปัจจุบันของแอนเดอร์สัน แต่เรายังไม่รีบ ไม้กางเขนเจิดจรัสกำลังอยู่ระหว่างการทดลอง… ไคลน์สลัดความคิดฟุ้งซ่าน พลิกตัวและลุกออกจากเตียง
มันใช้พลังของหมอกสีเทาเพื่อ ‘ผสาน’ ไม้กางเขนเจิดจรัสและ ‘นิ้วขาด’ เข้าด้วยกัน คอยดูว่าตะกอนพลังจะถูกขับออกมาหรือไม่
หลังจากพักผ่อนอยู่บ้านสักพัก ไคลน์เปลี่ยนเสื้อผ้า ออกไปพร้อมกับบุรุษรับใช้เอ็นยูน มุ่งหน้าไปสวดมนต์ที่วิหารนักบุญแซมมวล จากนั้นก็ไปต่อที่ ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’
บุรุษรับใช้ส่วนตัวรายนี้ไม่ใช่ ‘ผู้ชนะ’ หากแต่เป็นโจนาส·โคลเกอร์ ส่วนเอ็นยูนตัวจริงกำลังใช้แหวน ‘บุปผาโลหิต’ เพื่อเปลี่ยนตัวเองให้ก้อนเลือดเนื้อ ซ่อนอยู่ในท้องของ ‘เคาต์แห่งการเสื่อมถอย’
ปัจจุบัน สภาพอากาศของเบ็คลันด์กำลังมืดมนตามฤดูกาล ตะเกียงแก๊สที่ครอบด้วยตะแกรงเหล็กทั้งสองฝั่งถนนยังไม่ถูกจุดไฟ โคมไฟหลายดวงสว่างเจือจางออกมาจากบ้านฝั่งซ้ายและขวา
ไคลน์เฝ้ามองทุกสิ่งโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า โดยสารรถม้าจากถนนเบิร์คลุนไปยังถนนเฟลป์และแวะวิหารนักบุญแซมมวล จากนั้นก็สวมหมวกทรงสูง ถือไม้ค้ำและเดินไปที่ ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’
ขณะเข้าใกล้ประตู มันได้ยินเสียงกริ่งดัง จึงหันไปมองและพบมิสออเดรย์กำลังขี่จักรยานดัดแปลงออกจากซอยข้างๆ เป็นจักรยานที่ค่อนข้างประณีต ปราศจากคานค้ำในแนวนอน
หญิงสาวสวมชุดสีขาวราบเรียบ รองเท้าหนังสีดำ ผมสีทองถูกมัดรวบ ดวงตาสีเขียวตั้งใจมองถนนอย่างจริงจัง บนเบาะหลังมีสุนัขโกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่ โดยไม่ว่าจักรยานจะโงนเงนอย่างไร มันก็สามารถรักษาสมดุลได้เสมอ
เมื่อเห็นมาเห็นสุภาพบุรุษมาดสง่างามเจ้าของจอนสีขาวตรงขมับ มุมปากออเดรย์โค้งงอเล็กน้อย เผยรอยยิ้มสดใสและชัดเจน รีบกล่าวคำทักทายรวดเร็ว:
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ~ มิสเตอร์ดันเตส”
“ทิวาสวัสดิ์ครับ มิสออเดรย์ ดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ?” ไคลน์จ้องอีกฝ่ายหยุดจักรยานด้วยเบรกมือ จากนั้นก็พยุงตัวยืนด้วยสองเท้า
ออเดรย์เม้มริมฝีปาก ยิ้มสดใสยิ่งกว่าเก่า:
“คุณพูดถูก… ฉันกำลังอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก… หลังจากขี่เจ้านี่สักพัก ปัญหาทั้งหมดพลันหายเป็นปลิดทิ้งอย่างน่าประหลาด”
ราชันเร้นลับ 1040 : ผิวทะเลที่เงียบสงบ
ไม่เลว ‘ผู้ชม’ ยังคงควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีเหมือนเดิม… ไคลน์ชมเชยเงียบๆ พลางเหลือบมองไปทางสุนัขขนทองตัวใหญ่ที่เบาะหลังจักรยาน นอกจากนั้นยังสังเกตว่าจักรยานคันนี้ไม่เหมือนกับจักรยานปรกติตามท้องถนน จึงถามอย่างเป็นกันเอง
“จักรยานโฉมใหม่ที่ออกแบบมาสำหรับสุภาพสตรีโดยเฉพาะ?”
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่า ออกแบบมาสำหรับสุภาพสตรีโดยเฉพาะ? ถ้าคุณอยากขี่ก็ขี่ได้เหมือนกัน” ออเดรย์ยิ้มตอบ “ฉันแค่ให้คำแนะนำกับคนของบริษัทจักรยาน บอกให้พวกเขาช่วยพิจารณากลุ่มที่มีความต้องการต่างกัน และนี่คือผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดซึ่งยังไม่เข้าโรงงาน พวกเขาส่งมาให้ฉันทดลองปั่นและแสดงความคิดเห็น”
“เป็นไอเดียที่ยอดเยี่ยมมาก” ไคลน์ชมเชยพลางยิ้ม ครุ่นคิดสักพักจึงถามต่อ “คุณรู้จักเจ้าของบริษัทเบ็คลันด์จักรยานด้วยหรือ?”
ออเดรย์หรี่ตาตอบ:
“แน่นอน ดิฉันคือหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเบ็คลันด์จักรยาน”
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่… ลืมเสียสนิท… เป็นเธอเองสินะ… คล้ายกับไคลน์เข้าใจบางสิ่ง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ตามด้วยการส่ายหัวเล็กๆ
“เข้าใจแล้ว… จินตนาการของผมยังไม่สูงพอ… แล้วเป็นยังไงบ้าง คุณรู้สึกยังไงหลังจากทดลองขับ?”
ออเดรย์ในท่ากำ ‘แฮนด์’ จักรยาน ทำหน้านึกสักพักก่อนจะตอบหลังจากจำได้:
“ยอดเยี่ยมมาก เหมาะสำหรับสุภาพสตรีจริงๆ”
คุณหนู… เมื่อสักครู่ไม่ได้คุณพูดแบบนี้… ไคลน์เลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ก็มิได้ขัดจังหวะคำพูดของสตรีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ออเดรย์ยังคงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม
“สำหรับดิฉัน มันช่วยปรับอารมณ์ได้ดี ช่วยปลดปล่อยความเครียดเหมือนกับการขี่ม้า แต่การขี่ม้าต้องเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าพิเศษสำหรับขี่ ต้องเดินทางไปยังสนามแข่งม้าหรือแถบชานเมือง เพราะไม่ว่าจะที่บ้านหรือบนถนน ม้าก็ไม่มีทางวิ่งได้อย่างสมบูรณ์ ขาดกลิ่นอายบางอย่างไป… ทว่า กับจักรยานนั้นไม่มีปัญหาดังกล่าว และยังสามารถปั่นเข้าไปในตรอกที่รถม้าไม่สามารถเข้าได้ ช่วยให้เห็นวิวทิวทัศน์มากมาย… ย้อนกลับไปในตอนที่ปั่นจักรยานแถวบ้าน ดิฉันเห็นดอกไม้สองสามดอกกำลังเบ่งบานอยู่ในสวน นั่นทำให้มีความสุขมาก… อา… และในตอนที่เจอนักปั่นคนอื่น ทุกคนก็กำลังอารมณ์ดี แม้พวกเขาเหล่านั้นต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงชีวิต แม้จะยุ่งวุ่นวายและเร่งรีบ แต่สีหน้ากลับยังสดใส… อา… อย่าหัวเราะเยาะเชียวนะคะ… ดิฉันรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไร กำลังจะบอกว่า คนที่มีเงินซื้อจักรยานย่อมไม่ใช่จุดต่ำสุดของสังคม… ฉันเองก็เข้าใจ แต่การได้เห็นพวกเขามีความสุข ก็พลอยทำให้ฉันมีความสุขไปด้วย… หวังว่าสักวันหนึ่ง ฉันจะมีโอกาสปั่นจักรยานไปตามถนนทุกสายในเบ็คลันด์”
หลังจากยืนฟังอย่างเงียบงัน อารมณ์ของไคลน์ดีขึ้นเล็กน้อย
ด้วยคำบรรยายของมิสจัสติส คล้ายกับฉากที่เกี่ยวข้องปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่ม และต้องไม่ลืมว่า นี่คือการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่ไคลน์เป็นคนนำมาสู่โลกใบนี้
มันยิ้ม:
“ผิดแล้ว… ผมไม่มีความคิดที่จะหัวเราะเยาะ เพราะนั่นฟังดูน่าสนใจมาก และเป็นภาพที่ผมหวังว่าจะได้เห็นมากยิ่งขึ้นในกรุงเบ็คลันด์… ในตอนแรก ผมเองก็ยังกังขา ตอนนี้ไม่แล้ว”
กล่าวจบ มันชี้ไปทางประตูอาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์ ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’
“เข้าไปข้างในกันเถอะ ดูเหมือนว่าฝนกำลังจะตก”
“ตกลงค่ะ ดิฉันขอตัวไปเก็บจักรยานก่อน” ออเดรย์ลงจากจักรยาน เดินจูงยานพาหนะสองล้อชนิดนี้พร้อมกับสุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่ไปทางด้านหลังตึก
ฝั่งประตูหลังของอาคารมีจุดจอดจักรยานโดยเฉพาะ เป็นเขตภายในตัวตึก ไม่จำเป็นต้องกลัวฝน สำหรับองค์กรอย่าง ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ พนักงานซึ่งมีเหตุให้ต้องออกไปข้างนอกบ่อยครั้ง ปัจจุบันหันมาปั่นจักรยานกันมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครกล้านำยานพาหนะประเภทนี้เข้าไปในเขตตะวันออก เพราะสำหรับที่นั่น ทุกสิ่งสามารถถูกขโมยได้
ขณะเดินเข้าใกล้ประตูหลัง ซูซี่ โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ กระโดดลงจากจักรยาน มองย้อนกลับไปจุดที่พวกตนเดินผ่านมา ถามด้วยสีหน้างุนงงเล็กๆ
“ออเดรย์ ในตอนที่มิสเตอร์ดันเตสได้ยินว่าเธอเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทจักรยาน อารมณ์ของค่อนข้างซับซ้อน แต่ฉันแปลความหมายไม่ออก”
ออเดรย์เม้มริมฝีปาก หัวเราะในลำคอ:
“ฉันเคยได้ยินมาว่า มิสเตอร์ดันเตสคือหนึ่งในผู้แข่งประมูลหุ้นบริษัทจักรยานกับพี่ฮิบเบิร์ต”
“เข้าใจแล้ว!” ซูซี่เผยรอยยิ้ม ราวกับกำลังพึงพอใจที่ตัวเองสังเกตเห็นความผิดปรกติได้แม่นยำ
ภายใน ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ ไคลน์รออย่างใจเย็นจนกระทั่งมิสออเดรย์เดินกลับมาพร้อมกับสุนัขแสนรู้ของเธอ ทั้งสามคนจึงเดินขึ้นไปยังชั้นสอง
ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายและกล่าวกับออเดรย์
“มิสผู้อำนวยการ… อธิการบดีพอร์ตแลนด์·โมมงต์แห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเบ็คลันด์กำลังรอคุณอยู่ที่ห้องรับแขก”
“ท่านอธิการบดีโมมงต์มาทำอะไร?” ออเดรย์ถามด้วยสีหน้าเจือความประหลาดใจ
เจ้าหน้าที่หันมาทักทายกับผู้อำนวยการดอน·ดันเตส ก่อนจะหันกลับไปตอบ
“เขาไม่ได้แจ้งไว้ค่ะ…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงเจ้าหน้าที่ พอร์ตแลนด์·โมมงต์ที่มีใบหน้าแดงก่ำ สางเส้นผมสีขาวของมันให้ตรงพลางเดินออกมาจากห้องรับแขก
พอร์ตแลนนำมือทาบหน้าอก กล่าวทักทาย:
“มิสออเดรย์ผู้สูงศักดิ์ ผมต้องขออภัยด้วยที่มาหาอย่างกะทันหัน”
ตามธรรมเนียมโลเอ็น หลังจากได้รู้จักกัน สุภาพสตรีมีอายุจะถูกเรียกด้วยชื่อตระกูล ส่วนหญิงสาวจะถูกเรียกด้วยชื่อจริง
“ถือเป็นเกียรติของดิฉันค่ะ” ออเดรย์ตอบอย่างสุภาพ
พอร์ตแลนด์·โมมงต์เป็นอธิการบดีที่ถนัดในด้านวิชาการมากกว่า จึงไม่มัวมากพิธี ยิ้มและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา:
“เรื่องมีอยู่ว่า ผมต้องการเพิ่มห้องปฏิบัติการเครื่องกลที่มหาวิทยาลัย จุดประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นประโยชน์กับชีวิตประจำวัน จึงอยากทราบว่า คุณหนูสนใจจะร่วมบริจาคหรือลงทุนบ้างไหม? หึหึ… ดอน… คุณคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้? อยากร่วมมือกันไหม? และมั่นใจได้เลย ผมจะขอทุนสนับสนุนจากคณะกรรมการอุดมศึกษาด้วยเช่นกัน”
เป็นความคิดที่ดี… แต่ทั่วทั้งกรุงเบ็คลันด์ ทั่วทั้งอาณาจักรโลเอ็น อาจถูกปกคลุมด้วยวังวนพายุลูกใหญ่หลังจากนี้… ได้ยินคำพูดของอธิการบดีโมมงต์ ไคลน์เหม่อลอยไปสักพัก
ออเดรย์พยักหน้ารับ กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฟังดูน่าสนใจ แต่ดิฉันต้องพิจารณาข้อมูลประกอบ นี่คือความรับผิดชอบของตัวดิฉันเอง และยังเป็นความรับผิดชอบต่อคุณ”
“ผมก็คิดแบบเดียวกัน” ไคลน์ลอกคำตอบ
พอร์ตแลนด์·โมมงต์ยิ้มกว้าง:
“ไม่มีปัญหา ผมจะเขียนรายงานส่งหลังจากกลับมหาวิทยาลัย”
…
ภายในทะเลหมอก บน ‘ฝันทองคำ’
เกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นห่วงอาการของแอนเดอร์สัน… นอกจากนั้น หมายความว่ายังไงที่บอกให้รวบรวมวัตถุที่เกี่ยวข้องกับ ‘พลเรือโทโรคภัย’ ? มีโจรสลัดมากมายพยายามทำแบบนั้น แต่ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ… เดนิสซึ่งได้รับข้อความจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ อดไม่ได้ที่จะฉงน
แต่ตรงข้ามกับความมึนงง มันไม่ลืมที่จะขอบคุณมิสเตอร์ฟูลอย่างเป็นการเป็นงาน
จากนั้น เดนิสวางคันเบ็ดลง หมุนตัวกลับและเดินเข้าไปในเขตห้องโดยสาร จนถึงห้องพักของแอนเดอร์สัน
มันเคาะประตูและเปิดพรวดเข้าไป จากนั้นในท่ายืนกอดอกที่ประตู เดนิสพูดกับแอนเดอร์สันซึ่งกำลังวาดภาพสีน้ำมัน:
“อาการเป็นยังไงบ้าง? วัตถุในท้องเริ่มย่อยบ้างหรือยัง?”
แอนเดอร์สันวางพู่กันลง ชำเลืองมาทางเดนิส ก่อนจะตอบด้วยเสียงหนักแน่น
“มันเริ่มเรียกฉันว่าพ่อแล้ว”
“…” เดนิสผงะถอยหลังสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
แอนเดอร์สันเผยสีหน้าผ่อนคลาย กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ล้อเล่นน่ะ… ก็ไม่เลว กัปตันของนายพยายามค้นหาวิธีแก้และทดลองไปบางส่วน แต่ปัญหาก็คือ พวกเราประสบความล้มเหลวมากเกินไป… แต่เรื่องดีก็คือ… วัตถุในท้องถูกกีดกันจากร่างกายแล้ว มันจะส่งอิทธิพลกับฉันอีก”
แอนเดอร์สันลูบท้องขณะตอบ
เดนิสเลิกคิ้ว ถามด้วยความสงสัย
“ตอนแรกมันเคยมีผลอิทธิพล?”
แอนเดอร์สันมองเดนิสหัวจรดเท้าสองสามครั้ง:
“นายน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง… ไม่ว่าจะเป็นตะกอนพลังหรือโอสถ หากสัมผัสกับวัตถุใดเป็นเวลานาน พวกมันจะแทรกซึมเข้าไปและเปลี่ยนวัตถุนั้นให้กลายเป็นสมบัติปิดผนึกที่ยากต่อการใช้งาน เพียงแต่ร่างกายมนุษย์เป็น ‘วัตถุ’ ที่ค่อนข้างพิเศษ… ในบางครั้งฉันเองก็นึกสงสัย บางทีนายคงได้รับพลังพิเศษจากการสัมผัสกับโอสถ ไม่ใช่การดื่มเข้าไป สมองของนายถึงได้ถูกกัดกินไปมากขนาดนี้”
หากเป็นเมื่อก่อน เดนิสคงโกรธอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ปัจจุบัน มันทำเพียงพ่นลมหายใจ:
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าพวกมันไม่ถูกกีดกันออกจากร่างกาย ตะกอนพลังเหล่านั้นจะค่อยๆ แทรกซึมและเปลี่ยนแปลงอวัยวะในท้องของนาย จนกระทั่งลามไปถึงสมอง?”
แอนเดอร์สันพลันประหลาดใจ
“ทำได้ไม่เลว… พยายามเข้า นายคงใกล้เป็นลำดับ 6 เต็มทีแล้ว… หึหึ… ทักษะในการสุมไฟของนายพัฒนาได้ดีทีเดียว”
เดนิสตอบท่าทีรังเกียจ:
“ฉันยังขาดวัตถุดิบ”
เมื่อหวนนึกถึงคำสั่งของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เดนิสลังเลสักพักก่อนจะถาม:
“ในเมื่อกีดกันพวกมันสำเร็จแล้ว… นายจะทำยังไงต่อ?”
แอนเดอร์สันลูบกระดุมเม็ดแรกของเสื้อ ยิ้มพลางหัวเราะ
“สองทางเลือก… หนึ่งคือการมองหาความช่วยเหลือของครึ่งเทพเช่น ‘ผู้เจิดจรัส’ ให้พวกเขาช่วยสกัดมันออกมาบางส่วน สำหรับเรื่องนี้ กัปตันของนายอาจมีคนรู้จักที่พอจะทำได้ แต่ปัญหาก็คือ หากควบคุมได้ไม่ดี ตะกอนพลังจะถูกสกัดออกมามากเกินไป ลำดับของฉันอาจย้อนกลับ หรือในกรณีเลวร้ายจะกลายเป็นคนธรรมดา… วิธีที่สอง หาสูตรโอสถ ‘อัศวินเลือดเหล็ก’ เตรียมพิธีกรรมและวัตถุดิบเสริม จากนั้นก็มองหาวิธี ‘ปรองดอง’ กับวัตถุดังกล่าวเพื่อใช้มันก้าวไปเป็นครึ่งเทพ”
“ฟังดูอันตรายชะมัด…” เดนิสวิเคราะห์วิธีหลังอย่างไม่ลำเอียง
แอนเดอร์สันยิ้มกว้างขึ้นขึ้นเล็กน้อย:
“ถูกต้อง… มันฟังดูอันตราย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะสำเร็จไหม… แต่นายไม่คิดหรือว่ามันทั้งท้าทายและน่าสนใจมาก? อย่างน้อยก็สอดคล้องกับรสนิยมและสุนทรีย์ของฉันมากกว่าวิธีแรก”
เดนิสส่ายหน้าขึงขัง
“ไม่เลย”
จากนั้นมันถามกึ่งยียวนกึ่งหยั่งเชิง
“ถ้าจำไม่ผิด นายมีมรดก… เอ่อ… ทรัพย์สินจำนวนมากอยู่ใช่ไหม? ฉันช่วยเอาเถ้ากระดูกไปฝังพร้อมกับพวกมันได้นะ”
แอนเดอร์สันมิได้โกรธ เพียงพยักหน้าขึงขัง
“เมื่อถึงตอนนั้น นายจะลองกินเถ้ากระดูกของฉันดูก็ได้นะ”
ทำไมหมอนี่ถึงมีภูมิคุ้มกันการยั่วยุสูงนัก… มุมปากของเดนิสพลันกระตุกอย่างมิอาจหักห้าม ตัดสินใจยกธงขาวและเดินไปหากัปตัน ถามถึงวิธีที่จะรวบรวมวัตถุซึ่งเกี่ยวข้องกับ ‘พลเรือโทโรคภัย’
…
กลางดึกสงัด ภายในบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ขณะไคลน์กำลังจะผล็อยหลับ มันเห็นมิสผู้ส่งสารเดินออกจากความว่างเปล่าพร้อมกับสี่หัวทองตาแดง หนึ่งในนั้นกำลังงับซองจดหมายแผ่นบาง
“จากใคร?” ไคลน์ถามตามความเคยชิน พลางเอื้อมมือไปหยิบ
หัวทั้งสี่ของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เปิดปากพูดเรียงกัน:
“ชารอน…” “ผู้…” “ไม่ชอบ…” “ชื่อเล่น…”
ราชันเร้นลับ 1041 : บุตรสาวกษัตริย์
ชารอนผู้ไม่ชอบชื่อเล่น? เธอรู้ได้ยังไง? เคยพูดคุยกับมาดามชารอน? ได้ยินตอบของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ไคลน์ผงะเล็กน้อย ภายในใจผุดความสงสัย
ตามความเห็นของมัน ภายใต้สถานการณ์ปรกติ ย่อมไม่มีการสื่อสารระหว่างผู้ส่งสารและคนรับ กระบวนการมีเพียง ฝ่ายหนึ่งส่งจดหมาย ส่วนอีกฝ่ายก็แค่รับไว้
นอกจากนั้น มิสผู้ส่งสารจำเป็นต้องขอความยินยอมจากอีกฝ่ายเพื่อตั้งชื่อเล่นด้วยหรือ? แล้วแฟรงค์·ลีกับแพทริค·เบรนไปยินยอมตอนไหน?
ผ่านไปไม่กี่วินาที ไคลน์เริ่มคาดเดาบางสิ่ง นั่นก็คือ ต้องมีความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างมิสผู้ส่งสารกับมาดามชารอน และไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ก็ไม่พยายามปิดบังมันมากนัก
สลัดความคิดดังกล่าว ไคลน์เปิดซองจดหมาย อ่านเนื้อหาภาพรวมอย่างรวดเร็ว:
“ฉันต้องการความช่วยเหลือจากคุณ ไว้คุยรายละเอียดกันที่ผับวีรบุรุษ…”
เทียบกับในอดีต มาดามชารอนไม่หวงคำพูดเหมือนเมื่อก่อน… เป็นผลพวงจากการเลื่อนลำดับเป็นครึ่งเทพ? ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก เดินไปที่โต๊ะทำงาน หยิบปากกาเขียนลงบนกระดาษ
“ให้ผมไปหาตอนไหน?”
วางปากกาลง ชำเลืองไปทางไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ที่ยังคงไม่ไปไหน ราวกับคาดหวังจดหมายตอบกลับ ฉากตรงหน้าทำให้ไคลน์รู้สึกมั่นใจขึ้นเล็กน้อย
จากนั้น ชายหนุ่มพับกระดาษจดหมาย ยื่นให้อีกฝ่ายและกล่าวอย่างเป็นกันเอง
“ถึงชารอน”
ขณะหนึ่งในศีรษะของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์งับจดหมาย อีกสามหัวพูดเรียงกัน:
“เจ้า…” “ยัง…” “ไม่ได้จ่าย…”
“ไม่รับ…” “เก็บเงิน…” “ปลายทาง…”
ไคลน์กระแอมในลำคอ หยิบเหรียญทองออกมายื่นให้มิสผู้ส่งสาร
เฝ้ามองไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์หายตัวไป ชายหนุ่มทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย เดินไปทางเก้าอี้เอนหลังและนั่งลง รอคอยคำตอบอย่างอดทน
ไม่ถึงหนึ่งนาทีถัดมา มิสผู้ส่งสารที่สวมเดรสสีเข้มเดินออกจากความว่างเปล่าอีกครั้ง ปากหนึ่งงับกระดาษจดหมายแผ่นเดิม
ไคลน์ไม่ได้ถามว่าจากใคร เพียงรับไว้และเปิดอ่าน
“ถ้าคุณไม่ติดขัด คืนนี้เลยยิ่งดี”
คืนนี้… ไคลน์พยักหน้าตรึกตรอง สะบัดข้อมือแผ่วเบา เสกให้เปลวไฟสีแดงลุกไหม้กระดาษจดหมายอย่างรวดเร็ว
เมื่อเปลวไฟลุกลาม จดหมายก็กลายเป็นซากเถ้าถ่าน
รอจนกระทั่งไฟมอด ร่างของไคลน์หายไปจากเก้าอี้เอนหลัง ส่วนเศษเถ้าถ่านเล็กๆ ที่กำลังโปรยปราย พวกมันถูกสายลมที่มองไม่เห็น พัดตกลงไปในถังขยะใกล้ๆ
กรุงเบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด ย่านสะพานเบ็คลันด์ ภายในบ้านที่ติดเขตเหนือ แสงจากโคมไฟแก๊สติดผนังบรรจงสว่างขึ้นทีละหนึ่งดวง ก่อนจะกลับไปดับมืดตามเดิม
เพียงไม่นาน ไคลน์ปรากฏตัวในห้องพักรอบนอกเขตตะวันออกที่เช่าไว้ล่วงหน้า จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้า สวมแว่นตากรอบทอง ออกจากห้องในรูปลักษณ์ของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้จนกระทั่งถึงผับวีรบุรุษ
ในคราวนี้ ชายหนุ่มไม่ตามหาเอียนซึ่งกำลังเล่นเกมกระดานกับคนกลุ่มหนึ่งในห้องเล่นไพ่ แต่เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจสักพัก จนกระทั่งเอื้อมมือออกไปเปิดประตูห้องบิลเลียด
ทันทีที่ลงกลอนตามหลัง มันเห็นเงาสองจุดถูกวาดขึ้นจากพื้นทางฝั่งซ้ายและขวาตามลำดับ
คนฝั่งซ้ายนั่งบนเก้าอี้สูง สวมหมวกอ่อน ชุดหรูหราประหนึ่งชาววัง ผมสีทองอ่อน ไม่ใช่ใครนอกจากชารอนผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีฟ้า เมื่อเทียบกับสมัยก่อน ใบหน้าของเธอมิได้ซีดเซียวอีกต่อไป ดูซีดกว่าปรกติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ช่วยให้ภาพลักษณ์ของเธอเปลี่ยนจาก ‘ผีผู้หญิง’ กลายเป็น ‘ตุ๊กตา’ มากขึ้น
มาริคยืนอยู่ทางฝั่งขวา ชายผู้ชอบเล่นไพ่กับซอมบี้รายนี้เริ่มมีใบหน้าซีดเซียว จิตสังหารที่เคยต้องเก็บซ่อนอย่างยากลำบาก ปัจจุบันบรรเทาลงมาก เปลี่ยนไปได้บรรยากาศเย็นเยียบและหดหู่แทน
“สายัณห์สวัสดิ์” ไคลน์ยิ้มและถอดหมวกทักทาย
“สายัณห์สวัสดิ์ คุณนักสืบ” ร่างกายของชารอนที่ดูล่องลอยราวกับไม่มีน้ำหนัก โค้งคำนับอย่างจริงใจพร้อมกับมาริค
ในวินาทีนี้ บรรยากาศภายในห้องบิลเลียดพลันหลอนหูหลอนตาอย่างบอกไม่ถูก
ไคลน์ดึงเก้าอี้สูงออกมานั่ง หัวเราะในลำคอและกล่าว
“คราวนี้มีอะไรหรือ”
“ขอโทษที่ต้องรบกวนคุณอีกครั้ง” ชารอนคำนับซ้ำ
มาริคเป็นฝ่ายพูด:
“เราบรรลุข้อตกลงกับผีดูดเลือดแล้ว เป้าหมายคือการกำจัดสมาชิกคนสำคัญของโรงเรียนกุหลาบภายในกรุงเบ็คลันด์… มีหลายเรื่องที่พวกเราต้องทำด้วยตัวเอง เช่นการหลอกล่อศัตรูออกมา รวมถึงการวางแผนซุ่มโจมตี พวกเราอยากให้คุณช่วยเฝ้ามองเหตุการณ์อย่างเงียบๆ จากวงนอก และยื่นมือช่วยเหลือในการหลบเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน… คุณต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยน สองเสนอมาได้”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราเป็นหน่วยกู้ภัยฉุกเฉิน… แล้วเราจะทำยังไงถ้าเอ็มลินขอให้ ‘เดอะเวิร์ล’ แอบช่วยเหลืออย่างลับๆ เช่นกัน? เมื่อถึงตอนนั้น แผนของพวกเขาคือการมีครึ่งเทพสองคนเป็นหน่วยกู้ภัยฉุกเฉิน… อึก… อาจจะทำได้ก็ได้… ฝั่งหนึ่งเราเล่นเป็นตัวเอง เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ ส่วนอีกฝั่งก็ให้โจนาสโจนาส·โคลเกอร์รับบทเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก ไม่ตอบมาริคโดยตรง แต่หันไปกล่าวกับชารอน
“ขอฟังรายละเอียดเพิ่มเติมก่อน”
มาริคเหลือบมองชารอนเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าและตอบ
“ตกลง”
ไคลน์จ้องชารอนบนเก้าอี้สูงที่ดูราวกับเป็นตุ๊กตา:
“มัมมี่ตูตันส์ที่สองที่ชิงมาได้ก่อนหน้านี้ คือวัตถุดิบในการเลื่อนเป็นลำดับ 4 ‘หุ่นกระบอก’ และคุณก็ประสบความสำเร็จในการเป็นครึ่งเทพเรียบร้อยแล้ว?”
นี่คือข้อมูลที่มันได้ทราบจากบทสนทนาก่อนหน้าและจดหมาย ไคลน์ถามเพื่อยืนยันให้มั่นใจ จะได้ไปต่อที่หัวข้ออื่น
ชารอนจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างเงียบงัน ก่อนจะเปล่งเสียงอันล่องลอยจนฟังดูไม่เหมือนกับมนุษย์:
“ใช่”
ไคลน์พยักหน้ารับ ถามอย่างตรงไปตรงมา:
“ความสัมพันธ์ของคุณกับไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์คืออะไร”
ดวงตาสีฟ้าของชารอนขยับเล็กๆ :
“ท่านเป็นอาจารย์ของฉัน”
อาจารย์… ท่าน… แม้ว่าไคลน์จะเดาได้สักพักแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดหายใจ กรามกระทบกันแน่น
เพียงพริบตา แม้ว่าสีหน้าจะไม่เปลี่ยน แต่ภายในใจเต็มไปด้วยฟองความคิด
…มิสผู้ส่งสาร แท้จริงแล้วเป็นเทวทูต?
เรากำลังใช้เทวทูตเป็นผู้ส่งสาร… ไม่หรูหราเกินตัวไปหน่อยหรือ?
แถมยังเป็นอาจารย์ของมิสชารอน… ดูเหมือนว่า การที่เธอสมัครใจมาเป็นผู้ส่งสารให้เรา คงไม่ใช่เพราะเหตุผลง่ายๆ อย่างที่เคยเข้าใจ!
มองจากภายนอก เธอคงอยู่คนละฝั่งกับมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย… เธอยอมเป็นผู้ส่งสารให้เราเพราะมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายต้องการตัวเรา? ไม่สิ เพราะเรามีชะตากรรมต้องกลายเป็นศัตรูกับทางนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้?
เข้าใจแล้วว่าทำไมมาดามชารอนถึงหาสูตรโอสถ ‘หุ่นกระบอก’ และวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องได้ง่ายนัก…
ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ตัดสินใจถามให้ลึกลงไป จุดประสงค์เพื่อใช้คำตอบจากชารอนหรือมาริคช่วยบรรเทาอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน
มันไตร่ตรองสักพักก่อนจะพูด
“ขอฟังสถานการณ์เพิ่มเติม”
คราวนี้ชารอนเป็นฝ่ายตอบ เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนกับวัตถุไร้ชีวิตชีวา มากยิ่งกว่าหุ่นกลของฮารามิคเสียอีก
“ในช่วงต้นยุคสมัยที่ห้า เมื่อครั้งเทพมรณาถึงคราวร่วงหล่น ทวีปใต้เกิดการจลาจลเพื่อต่อต้านปกครองของจักรวรรดิไบลัมขึ้นทุกหัวระแหง ไม่ว่าจะเป็นที่ราบสูงดวงดาวหรือหุบเขาเพิร์ธ… ระหว่างเหตุการณ์ดังกล่าว เทพผู้ถูกล่ามปรากฏตัวขึ้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของโรงเรียนกุหลาบ… เดิมที อาจารย์ของฉันเป็นบุตรสาวของผู้ปกครองที่ราบสูง แต่ในภายหลัง ท่านกลายมาเป็นข้ารับใช้ของเทพผู้ถูกล่าม จึงช่วยบิดาก่อตั้งอาณาจักรที่ราบสูงสำเร็จ… หลังจากนั้น ท่านกลายเป็นเทวทูตลำดับ 2 กลายเป็นหนึ่งในผู้นำของโรงเรียนกุหลาบ ท่านอยู่ฝ่ายฝักใฝ่การระงับแรงปรารถนา ต้องคอยต่อสู้กับความบ้าคลั่งอย่างยากลำบาก… แต่เมื่อราว 922 ปีก่อน ‘บุตรแห่งเทพ’ เซียอาได้ถือกำเนิดขึ้น ทุกสิ่งเริ่มเปลี่ยนไปนับแต่นั้น ฝ่ายฝักใฝ่แรงกระหายและการสังเวยเลือดเริ่มได้รับความนิยม… ในตอนแรก อาจารย์สามารถรับมือไหว ช่วยให้ฝ่ายฝักใฝ่การระงับแรงปรารถนาไม่ได้รับผลกระทบมากนัก สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้… ทว่า เมื่ออิทธิพลของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายเพิ่มขึ้น เซียอาประสบความสำเร็จในการเลื่อนลำดับ กลายเป็น ‘เทพหายนะ’ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา… จนกระทั่งสงครามภายในปะทุขึ้นอย่างรุนแรง อาจารย์ตัดสินใจช่วยพวกเราหลบหนีออกจากที่ราบสูง และฉันต้องเห็นท่านตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมเซียอาและผู้นำระดับสูงคนอื่นๆ … แต่ท่านมิได้ร่วงหล่นโดยสมบูรณ์เนื่องจากมีการเตรียมตัวล่วงหน้า จึงคืนชีพในสภาพพิเศษภายในโลกวิญญาณ ปัจจุบันกำลังทวงคืนร่างกายที่สมบูรณ์”
อย่างนี้นี่เอง… กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตอนนี้มิสผู้ส่งสารมีคุณสมบัติของเทวทูต แต่ปราศจากอำนาจในขอบเขตที่สอดคล้องกัน… อยู่ในสภาพอ่อนแอสินะ เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงจัดการกับครึ่งเทพแจ็คส์แห่งโรงเรียนกุหลาบได้ไม่ง่ายนัก… อา… แม้จะมีเทวทูตจำนวนมากที่คอยช่วยเรา แต่เกือบทั้งหมดล้วนไม่สมบูรณ์หรือไม่ก็อ่อนแอ… หากไม่นับมาดามอาเรียนน่า ทุกคนเป็นแบบนี้กันหมด ไม่ว่าจะมิสเตอร์อะซิก พาลีส·โซโรอาสเตอร์ วิล·อัสติน มิสผู้ส่งสาร… มีอะไรผิดปรกติเกี่ยวกับสมญานาม ‘เดอะฟูล’ รึเปล่า? หรือว่าพวกเขาเหล่านี้กำลังรอให้เราใช้พลังของ ‘ปราชญ์โบราณ’ ? ไคลน์ผงะเล็กน้อย เต็มไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย
มันไม่ได้ถามว่าทำไมไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ถึงยังต้องการเงิน เพียงคิดสักพักก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
“มาดามชารอน โรงเรียนกุหลาบไม่น่าจะขาดแคลนสูตรโอสถ ‘หุ่นกระบอก’ หลังจากที่คุณได้รับมัมมี่ตูตันส์ที่สอง พวกมันย่อมทราบคุณเป็นครึ่งเทพ นอกจากนั้น มาดามไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เคยปรากฏตัวต่อหน้าครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบมาแล้ว ถึงขั้นต่อสู้กัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง โรงเรียนกุหลาบทราบว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ ย่อมเตรียมวิธีรับมือล่วงหน้า รวมไปถึงความสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์… ในสถานการณ์เช่นนี้ แผนการที่คุณคิดจะใช้ตัวเองกับมาริคเป็นเหยื่อล่อเพื่อกำจัดสมาชิกคนสำคัญของโรงเรียนกุหลาบในกรุงเบ็คลันด์ ไม่ฟังดูตื้นเขินไปหน่อยหรือ? คิดว่าพวกมันจะส่งครึ่งเทพแค่ตนสองตนมาจัดการกับคุณ? ตระกูลผีดูดเลือดจะช่วยได้มากสักแค่ไหนเชียว? นอกจากนั้น ผมเคยเล่าให้ฟังแล้ว มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายกำลังไล่ล่าบางตัวตนของผมอยู่ ถึงขั้นให้ ‘เทพหายนะ’ เซียอาลงมือเองโดยตรง นอกจากนั้น เรื่องที่อาจารย์ของคุณกับผมร่วมมือกัน พวกมันก็ทราบเป็นอย่างดี… หลังจากผนวกทุกสิ่งเข้าด้วยกัน หากคุณปรากฏตัวขึ้น จะถูกรุมโจมตีด้วยสารพัดวิธีแบบใดบ้าง คงเดาได้ไม่ยากกระมัง”
กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าไคลน์มืดมนลง:
“พวกคุณคิดจะให้กรุงเบ็คลันด์เกิดเหตุการณ์ ‘เทพเสด็จเยือน’ หรือ…?”
ทันใดนั้น บรรยากาศเงียบสงัดพลันปกคลุมห้องบิลเลียด แต่สีหน้าของชารอนยังคงไม่แปรเปลี่ยน
ราชันเร้นลับ 1042 : วางแผนจากหลายมุมมอง
ผ่านไปไม่กี่วินาที ชารอนตอบคำถามไคลน์อย่างใจเย็น:
“ไม่ใช่การใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ แต่เป็นคนล่อให้อีกฝ่ายปรากฏตัว”
ขณะไคลน์อยากถามว่าความแตกต่างอยู่ตรงไหน มาริคอธิบายโดยละเอียด:
“สมัยก่อนในตอนที่เคยถูกโรงเรียนกุหลาบไล่ล่า พวกเราพบว่าอีกฝ่ายมีสมาชิกในกรุงเบ็คลันด์เป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากมีพลังไม่มากพอและกลัวว่าจะเป็นกับดัก รวมถึงไม่อยากดึงดูดความสนใจของศาสนจักรใหญ่ พวกเราจึงไม่ทำอะไรกับคนเหล่านั้น… แต่ปัจจุบัน เราวางแผนจะล่อปลาตัวใหญ่ด้วยการโจมตีปลาตัวเล็กและปล่อยให้บางส่วนมีชีวิตรอด ให้พวกมันส่งข้อความไปถึงผู้นำสูงสุดของโรงเรียนโรงเรียนกุหลาบในเบ็คลันด์… ในระหว่างนั้น เหล่าครึ่งเทพตระกูลผีดูดเลือดจะแอบจับตามองพวกมัน เมื่อข้อความถูกส่งเป็นทอดๆ ปลายทางย่อมต้องเป็นสมาชิกคนสำคัญของโรงเรียนกุหลาบ… พวกฆ่ามันสำเร็จ หรือสามารถจับเป็นได้ ทางเราจะสอบปากคำเพื่อเค้นข้อมูลสำคัญ และนำข้อมูลนั้นมาวางแผนต่อ”
ฟังดูสมเหตุสมผลทีเดียว… แทนที่จะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ แก่นสำคัญคือการใช้ความเข้าใจในระบบของโรงเรียนกุหลาบเพื่อวางแผน วิธีนี้จะช่วยให้คุมเกมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ทำลายกรุงเบ็คลันด์… ไคลน์พยักหน้ารับก่อนจะกล่าว
“ถ้าเป็นวิธีนี้ ผมยินดีช่วย”
มันไม่ได้บอกว่า ‘ขอคิดดูก่อน’ และกลับไปทำนายยืนยันอันตรายบนมิติหมอก เพราะคนที่ลงมือในเหตุการณ์นี้คือชารอนและผีดูดเลือด การทำนายในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัว มักไม่ได้รับคำตอบที่เป็นประโยชน์
“คุณต้องการค่าตอบแทนแบบไหน?” มาริคในท่ายืน ผ่อนคลายตัวเองลงเล็กน้อย
ไคลน์ยิ้ม
“ถ้าไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเลย ผมต้องการค่าตอบแทนเป็นความช่วยเหลือหนึ่งครั้งจากมาดามไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ แต่ถ้าผมต้องลงมือ นั่นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ผมจะเพิ่มรางวัลและส่วนแบ่ง… คุณสามารถนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับมาดามไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ก่อนได้ จากนั้นค่อยเขียนจดหมายบอก”
อันที่จริง มันยังคงสับสนเล็กๆ ในเมื่อวางแผนรัดกุมขนาดนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้บริการตน สามารถให้มิสผู้ส่งสารคอยซ่อนตัวอยู่ในความมืด คอยป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ แบบเดียวกับที่เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ต้องทำ!
“ไม่จำเป็น” ชารอนเจ้าของรูปลักษณ์อันเลอโฉม ผิวพรรณซีดเซียวเล็กน้อยราวกับตุ๊กตา ส่ายศีรษะแผ่วเบาและกล่าว “ฉันให้สัญญาได้ทันที”
คุยกับมิสผู้ส่งสารแล้ว? ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก ตัดสินใจถามตรงๆ
“แล้วทำไมคุณถึงไม่ลองขอความช่วยเหลือจากมาดามไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์แทนผม?”
ชารอนที่เกล้ามวยผมไว้ภายในหมวกอ่อนใบเล็ก ตอบด้วยน้ำเสียงล่องลอยและราบเรียบ:
“ท่านไม่ต้องการให้ผีดูดเลือดรู้ถึงการมีอยู่ของท่าน”
อย่างนี้นี่เอง… ไคลน์พิจารณาสักพัก ผุดคำถามใหม่
“ในเมื่อพวกคุณฝักใฝ่การระงับแรงปรารถนา แล้วทำไมถึงพยายามจัดการกับสมาชิกระดับสูงของโรงเรียนกุหลาบ? การแก้แค้นอยู่ในขอบเขตของการระงับแรงปรารถนาด้วยหรือ?”
ชารอนจ้องชายหนุ่มด้วยดวงตาสีฟ้าและกล่าว:
“ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โรงเรียนกุหลาบพยายามอย่างหนักเพื่อนำมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย มายังโลกแห่งจริง นั่นจะเกิดเป็นภัยพิบัติร้ายแรงที่มิอาจจินตนาการออก… นอกจากนั้น ท่านอาจารย์ยังปรารถนาร่างกายที่สมบูรณ์”
หากมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายปรากฏตัวบนโลกความจริง สำหรับเรา โลกจะกลายเป็นนรกบนดินทันที… แต่ว่า… เกี่ยวอะไรกับความสมบูรณ์ของร่างกายมิสผู้ส่งสาร? ร่างกายของเธอ… ของท่านถูกฉีกออกจากกันด้วยฝีมือสมาชิกคนสำคัญของโรงเรียนกุหลาบ? หรือว่าจะอาศัยพิธีกรรมบางประเภทเพื่อฟื้นฟูร่างกายตัวเอง โดยใช้ร่างกายของผู้วิเศษลำดับสูงในเส้นทางเดียวกันเป็นวัตถุดิบ? ไคลน์พึมพำในใจ ถามหยั่งเชิงกลับไป
“เทพหายนะคือลำดับ 1 ของเส้นทาง ‘มนุษย์กลายพันธุ์’ ใช่ไหม? แล้วลำดับ 2 กับ 3 มีชื่อว่าอะไร?”
สำหรับคำถามแรก มันเคยถามชารอนเมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนั้นได้รับคำตอบที่คลุมเครือ
ชารอนตอบโดยไม่ลังเล ด้วยเสียงเนิบนาบและล่องลอย
“เมื่อก่อนฉันเองก็ไม่มีข้อมูลมากนัก แต่ปัจจุบันทราบแล้วว่า ลำดับ 1 คือเทพหายนะ ส่วนลำดับ 2 คือ ‘มารบรรพกาล’ และลำดับ 3 แต่เดิมถูกเรียกว่า ‘สมบัติต้องสาป’ แต่ปัจจุบันมีชื่อว่า ‘บริวารใบ้’ ”
กำลังจะบอกว่า เมื่อคราวก่อนที่ถามไป คุณเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน? หรือกล่าวได้ว่า หลังจากคุณได้พบกับมิสผู้ส่งสารอีกครั้ง ท่านทำการถ่ายทอดความรู้เพิ่มเติม? ไคลน์พยักหน้ารับทันที
“หมดคำถามแล้ว เขียนจดหมายถึงผมเมื่อได้วันเวลาที่แน่นอน”
“ขอบคุณ” ชารอนลอยขึ้นอีกครั้งในสภาพไร้น้ำหนัก คำนับอย่างสุภาพ
มาริคนำมือทาบอก ก้มศีรษะลงเล็กน้อย
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” ไคลน์ลุกขึ้นจากเก้าอี้สูง ยิ้มและสวมหมวกทรงสูงบนศีรษะ
ทันใดนั้น โดยไม่มีเสียงดีดนิ้ว เปลวไฟสีแดงเข้มพลันลุกท่วมร่างชายหนุ่ม
กรุงเบ็คลันด์ยามค่ำคืน ดวงไฟนับไม่ถ้วนกำลังส่องแสงอย่างเงียบเชียบ ดูราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาราพร่างพราว
เพียง ‘ดาว’ สองสามดวงส่องแสงกะพริบ ไคลน์ก็กลับถึงบ้านเช่าริมเขตตะวันออก
มันเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมกลับไปยังถนนเบิร์คลุนในเขตเหนือ แต่เสียงคำสวดวิงวอนมายาพลันดังกังวานอยู่ในหู
เป็นเสียงผู้ชาย
พยักหน้าครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองมายังสายหมอกสีเทา แผ่พลังวิญญาณเข้าสู่ดาวสีแดงเข้มที่ยุบพองตัวอย่างต่อเนื่อง
เป็นไปตามคาด นั่นคือดาวแดงของ ‘เดอะมูน’ เอ็มลิน
แวมไพร์ไวเคาต์กำลังสวดวิงวอนใจความว่า:
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ข้าต้องการจัดประชุมย่อย ผู้เข้าร่วมประกอบด้วยตัวข้า มิสเตอร์แฮงแมน มาดามเฮอร์มิท มิสจัสติส และมิสเตอร์เวิร์ล”
สำหรับเอ็มลิน นี่คือกลุ่มสมาชิกชุมนุมทาโรต์ที่เป็นตัวแทนของสติปัญญา ประสบการณ์ และความรอบคอบ… เลียวนาร์ดผู้น่าสงสาร… ไคลน์หัวเราะในใจ เอนหลังพิงเก้าอี้ ตอบสนองคำขอของเอ็มลิน
…
เหนือสายหมอกสีเทา ภายในพระราชวังโบราณ
แสงสีแดงเข้มจำนวนห้าดวงสว่างขึ้นริมสองฝั่งโต๊ะทองแดงยาว ควบแน่นกลายเป็นร่างคน
“มิสเตอร์มูน แผนของผีดูดเลือดได้ข้อสรุปแล้วหรือ?” ‘จัสติส’ ออเดรย์ทักทายทุกคนในตอนแรก ก่อนจะหันมาถามด้วยความสนใจ
‘เดอะมูน’ เอ็มลินมองไปรอบๆ กล่าวเถรตรง:
“ใช่… แผนการก็คือ… เริ่มด้วยสมาชิกสองคนของฝ่ายฝักใฝ่ระงับการแรงปรารถนาที่หลบหนีออกจากโรงเรียนกุหลาบ…”
มันเล่าแผนการที่ชารอนเพิ่งอธิบายต่อหน้าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้แก่เกอร์มัน·สแปร์โรว์และคนที่เหลือ แต่คราวนี้เป็นในมุมของผีดูดเลือด และปิดท้ายด้วย
“ถ้าพวกเราได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์ ตระกูลผีดูดเลือดเลือดยังตั้งใจที่จะคว้าโอกาสนี้เพื่อบุกโจมตีสำนักงานใหญ่ของโรงเรียนกุหลาบและชิงสิ่งสำคัญมา”
“สิ่งสำคัญ… คืออะไร?” แคทลียาถามด้วยความสงสัย
สิ่งที่ทำให้เผ่าพันธุ์โบราณยอมเสี่ยงบุกโจมตีสำนักงานใหญ่องค์กรลับ ย่อมต้องไม่ธรรมดา!
ระดับความสำคัญอาจเหนือกว่าเทวทูตธรรมดาด้วยซ้ำ เทียบเท่าสมบัติปิดผนึกระดับ ‘0’ บางชิ้น!
‘เดอะมูน’ เอ็มลินไม่ปิดบัง
“สมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านบรรพบุรุษผีดูดเลือดเหลือทิ้งไว้ โรงเรียนกุหลาบได้รับมันมาโดยบังเอิญ ส่วนจะเป็นสิ่งใดนั้น ข้าเองก็ไม่แน่ใจ”
มรดกจากลิลิธ… อยู่ในมือโรงเรียนกุหลาบ… ผีดูดเลือดให้ความสำคัญกับมันมาก… ไคลน์ซึ่งกำลังสวมบทบาทเป็น ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ เริ่มผุดแนวคิดขึ้นมากมาย และเมื่อผสมผสานกับความลับต่างๆ ที่ตนมีโอกาสได้ล่วงรู้ จึงเริ่มทำการคาดเดาอย่างคลุมเครือ
สิ่งนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย สามารถกัดกร่อนและยึดครอง ‘อำนาจ’ ส่วนหนึ่งของขอบเขต ‘จันทรา’ มาครอบครอง!
ชารอนไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง… ผีดูดเลือดเองก็มีเป้าหมายและความทะเยอทะยาน… อา… เรียกว่าความทะเยอทะยานก็คงไม่ถูกนัก ต้นตระกูลแวมไพร์อย่างลิลิธซึ่งยังไม่มีใครทราบตัวจริง คล้ายกับท่านมองเห็นอนาคตล่วงหน้า มองเห็นความโกลาหลและการมาเยือนของหายนะ จึงสั่งให้เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เริ่มก้าวร้าวมากขึ้น เพื่อให้มีทางรอดในวันสิ้นโลกเพิ่มขึ้น? กล่าวได้ว่า นี่คือแผนการปล้นไม้กระดานช่วยชีวิตในวันโลกาวินาศ… ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใด ทำเพียงตั้งใจฟังอย่างเงียบงัน
ขณะคนอื่นกำลังไตร่ตรองข้อมูลสำคัญที่ ‘เดอะมูน’ เอ็มลินเปิดเผย ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์เองก็ไม่ต่างกัน มันครุ่นคิดนานหลายวินาทีก่อนจะกล่าว:
“สรุปได้ว่า… ในแผนการนี้ ผีดูดเลือดอย่างพวกคุณจะคอยซ่อนตัวอยู่ในความมืด ไม่ต้องตกเป็นเป้าหมายของโรงเรียนกุหลาบ?”
“ใช่” ‘เดอะมูน’ เอ็มลินตอบทันที
แผนการของฝ่ายผีดูดเลือดถูกตัดสินใจโดยดยุคโอลเมอร์และมาร์ควิสนีบาส รวมไปถึงเอิร์ลอีกหลายตนในกรุงเบ็คลันด์ แน่นอนว่าในหลายประเด็นมีการระดมสมองอย่างหนัก ถึงแม้จะเป็นหมู แต่ถ้าใช้ชีวิตอยู่มานานนับพันปี ระดับสติปัญญาและประสบการณ์ย่อมไม่ธรรมดา
‘แฮงแมน’ อัลเจอร์พยักหน้าเล็กน้อย
“อีกหนึ่งคำถาม… คุณจะทราบได้ยังไงว่าผู้นำของโรงเรียนโรงเรียนกุหลาบในเบ็คลันด์เป็นเพียงระดับนักบุญ โดยไม่มีครึ่งเทพหรือเทวทูตตนอื่นซ่อนอยู่ในเงามืด?”
“คุณเองก็คงทราบดี สถานการณ์ปัจจุบันของกรุงเบ็คลันด์ค่อนข้างซับซ้อน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่โรงเรียนกุหลาบจะแอบเพิ่มระดับความแข็งแกร่ง และถ้าเป็นเช่นนั้น คุณก็ไม่ต่างอะไรกับโจรที่บุกเข้าไปในซิลวารัสยาร์ดเพื่อขโมยของ”
ซิลวารัสยาร์ดเป็นชื่อเล่นของกรมตำรวจเบ็คลันด์
‘เดอะมูน’ เอ็มลินรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น:
“ในแผนการคราวนี้ ลอร์ดโอลเมอร์จะคอยจับตามองกระบวนการทั้งหมดด้วยตัวเอง แม้โรงเรียนกุหลาบจะมีเทวทูตมาเสริม แต่พวกเราก็สามารถหลบหนีอย่างง่ายดาย… และเหนือสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนในเบ็คลันด์ ไม่มีใครอยากสร้างความวุ่นวายขึ้น หากไม่สามารถเอาชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด การดับลมหายใจอีกฝ่ายก็แทบไม่มีทางเกิดขึ้น เว้นเสียแต่จะมีวิธีปกปิดให้เป็นความลับ ส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะสงบศึกและรักษาความปลอดภัยทั้งสองฝ่าย”
ได้ยินคำตอบดังกล่าว มุมปากแคทลียายกขึ้นเล็กๆ จนเกือบมองไม่เห็น ตามด้วยกล่าวตักเตือน:
“สำหรับผู้วิเศษลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพ เพียงเทวทูตปะทะกันแผ่วเบาหนึ่งหน ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นยิ่งใหญ่พอที่จะคร่าชีวิตพวกเขาง่ายดาย”
เอ็มลินได้สติตื่นจากความภาคภูมิใจในเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด หมดคำจะโต้แย้งมาสักพักแล้ว
ทันใดนั้น ‘จัสติส’ ออเดรย์หรี่ตาลงเล็กน้อย ครุ่นคิดสักพักและกล่าว:
“มิสเตอร์มูน ในแผนนี้ คุณต้องทำอะไรบ้าง?”
เราต้องทำอะไร? ก็ต้องเฝ้าจับตามองสมาชิกลับๆ ของโรงเรียนกุหลาบและรายงานเป้าหมายที่แท้จริงของเอิร์ลมิสทราล… คนที่ต้องลงมือจริงๆ มีเพียงมาร์ควิสนีบาส เอิร์ลมิสทราล และครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบฝ่ายระงับแรงปรารถนา… ลอร์ดโอลเมอร์คอยเฝ้ามองทุกสิ่งอย่างลับๆ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน… ด…ดูเหมือนว่างานหลักของเราจะเป็นการติดต่อกับวิญญาณอาฆาตที่ชื่อมาริค รวมถึงการคอยสื่อสารระหว่างทั้งสองฝั่ง… อา… ยิ่ง ‘เดอะมูน’ เอ็มลินครุ่นคิด สีหน้าของมันก็ยิ่งบิดเบี้ยว
ดูเหมือนว่า มันจะไม่มีงานจริงๆ จังๆ ให้ต้องทำ หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้จับงานสำคัญ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น