Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1033-1038

ราชันเร้นลับ 1033 : จงสว่าง

 

เพ่งมองไม้กางเขนทองแดงในมือสักพัก ไคลน์มั่นใจว่ามันต้องเป็นสมบัติปิดผนึกระดับ 1 เป็นอย่างน้อย


นอกจากพลังในการชำระล้าง สมบัติชิ้นนี้ยังมีพลัง ‘แสงสุริยัน’ และคาถาระดับครึ่งเทพอื่นๆ ในขอบเขตดวงอาทิตย์ สำหรับผลข้างเคียงด้านลบ หากนำไปใช้งานอย่างเหมาะสม แม้แต่ผลข้างเคียงก็กลายเป็นประโยชน์ได้ ยกตัวอย่างเช่น นำไปช่วยผู้คนที่อยากออกจากโลกของผู้วิเศษอันแสนโหดร้าย เพราะไม้กางเขนสามารถเปลี่ยนให้เขาเหล่านั้นกลายเป็นคนธรรมดาอีกครั้ง และสามารถนำไปใช้กับคนที่ดื่มโอสถซ้ำเพื่อลดภาระทางตะกอนพลัง แต่ต้องระวังเรื่องการกะเวลาให้ดี ไม่อย่างนั้นแล้ว ลำดับพลังอาจจะลดลง


แน่นอน ร่างกายและวิญญาณที่เกิดการเรียงโครงสร้างใหม่จากผลของโอสถยังคงคงอยู่ และนั่นจะขัดแย้งกับธรรมชาติของมนุษย์ปรกติเป็นครั้งคราว ผู้วิเศษที่ใช้ไม้กางเขนทองแดงหนีออกจาก ‘วงการ’ ย่อมต้องได้รับผลข้างเคียงสักอย่างสองอย่าง และสถานการณ์ของแต่ละคนจะขึ้นอยู่กับเส้นทางและลำดับ


ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน เพราะนี่คือผลข้างเคียงด้านลบที่มีประโยชน์ที่สุดเท่าที่ไคลน์เคยเห็น


สำหรับชายหนุ่ม ปัญหาเดียวของไม้กางเขนทองแดงคือการที่มิอาจพกพามันได้นานนัก รวมไปถึงการให้หุ่นเชิดถือแทน ไม่อย่างนั้นตะกอนพลังในตัวหุ่นเชิดจะรั่วซึมและสูญเสียลำดับ และหุ่นเชิดไม่สามารถดื่มโอสถเพื่อเลื่อนลำดับได้อีก เพราะร่างวิญญาณได้ตายไปแล้ว


สำหรับการเปลี่ยนให้สัตว์ทั่วไปกลายเป็นหุ่นเชิด การสั่งให้ถือไม้กางเขนอันนี้เป็นเวลานานจะทำให้พวกมันเอาแต่ ‘สรรเสริญดวงอาทิตย์’ อย่างมิอาจควบคุม


ตัวเลือกเดียวของเราคือการเก็บไว้บนมิติหมอกและนำออกมาใช้ในยามจำเป็น… สำหรับจอมเวทพิสดาร ผลข้างเคียงแค่นี้ถือเป็นเรื่องเล็ก เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เราจะไม่ลงมือโดยไม่เตรียมความพร้อม… วันหลังจะทำนายยืนยันว่ามาจากโอสถ ‘ผู้เจิดจรัส’ จริงไหม เพราะหากใช่ เราจะขายให้เดอะซันน้อยหลังจากที่เขาย่อยโอสถนักบวชแสงเสร็จ… เชื่อว่าหกสภาอาวุโสแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์คงไม่ตระหนี่ และยอมแลกเปลี่ยนด้วยสมบัติปิดผนึกที่มีมูลค่าใกล้เคียงกัน… เส้นทางสุริยันเหมาะกับดินแดนเทพทอดทิ้งมากกว่าเส้นทางใดทั้งหมด… ไคลน์ไตร่ตรองอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะวางไม้กางเขนทองแดงไว้บนโต๊ะทองแดงยาว


มันไม่รีบร้อนทำนายยืนยัน แต่วางแผนที่จะกลับไปยังบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนก่อน เมื่อถึงตอนนั้น มันจะใช้เทคนิคการทำนายด้วยความฝันเพื่อค้นหาต้นตอของสมบัติปิดผนึกชนิดนี้ เป็นเพราะคฤหาสน์เพลงกุหลาบอยู่ใกล้กับโบราณสถานมากเกินไป ชายหนุ่มจึงกังวลว่าเทวทูตของราชวงศ์หรืออาดัมอาจตรวจตราในละแวกใกล้เคียงด้วยตัวเอง และการทดลองของตนอาจไปกระตุ้นให้มิติหมอกผันผวน จนความลับของดอน·ดันเตสถูกเปิดเผย


ต่อให้สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้ไม่ได้มาจากผู้เจิดจรัส ก็ต้องเป็นของเส้นทางสุริยันอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็เกิดจากการผสมระหว่างตะกอนพลังสองเส้นทาง… ไม่สิ นั่นเป็นไปไม่ได้ ตะกอนพลังจะถูกปฏิเสธ… สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของโบสถ์สุริยันเจิดจรัสคือตราศักดิ์สิทธิ์ที่ทำมาจากทองคำ เป็นตัวแทนของดวงอาทิตย์ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับไม้กางเขน… อา… หลังจากตัดความเป็นไปได้ข้างต้นออกไป มีเพียงพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์เท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับขอบเขตสุริยัน… บิดาของอาดัมและอามุนด์ เทพสุริยันบรรพกาล ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นนักเดินทางข้ามโลก…


การที่มาอยู่ในมือไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด สามารถสื่อได้ทางอ้อมว่าสภานักสิทธิ์สนธยาร่วมมือกับราชวงศ์? สมาคมแปรจิตเป็นเพียงฉากหน้า? แน่นอน ยังมีอีกหลายความเป็นไปได้… ไม้กางเขนอันนี้อาจถูกพบโดยตระกูลออกัสตัส เพราะพวกมันเป็นถึงตระกูลเทวทูตที่สำคัญจากยุคสมัยที่สี่ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน การค้นพบวัตถุที่เป็นมรดกจากเทพสุริยันบรรพกาลย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก…


แต่ถ้าสมบัติปิดผนึกชิ้นนี้มาจากอาดัม… นี่จะเป็นการ ‘วางแผน’ ของท่านหรือไม่?


…หากต้องเผชิญหน้ากับแม่มดทริสซี่ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเทพมาร ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดจะสละสมบัติวิเศษชิ้นอื่นและเลือกใช้ไม้กางเขนที่มีพลังในการชำระล้าง สิ่งที่เกิดขึ้นมีเหตุและผลรองรับค่อนข้างแน่นหนา… สำหรับการลงมือชำระล้างเชอร์มาเน่ ในเมื่อมันไม่มั่นใจว่าในร่างกายอีกฝ่ายถูกกัดกร่อนโดยเทพมารหรือไม่ และกังวลว่าอาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน การที่ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดยอมเสียเวลาใช้งานสมบัติปิดผนึกชนิดนี้โดยไม่ฆ่าหล่อนทิ้งทันที ก็ฟังดูสมเหตุสมผลเช่นกัน… ไม่ว่าจะมองมุมใดก็ดูไม่เหมือนกับการ ‘จัดเตรียม’ ไม่แน่ใจว่าเรามองข้ามร่องรอยอื่นๆ ไปบ้างไหม…


ยิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ โรคกลัว 0-08 กลับมาหลอกหลอนเราอีกครั้ง… อา… มิสเมจิกเชี่ยนกับมิสจัดจ์เมนต์เคยพลาดเอ่ยถึงอาดัมมาก่อน เนื้อหาการสนทนาในตอนนั้นเกี่ยวกับดินแดนเทพทอดทิ้ง วังราชาคนยักษ์ และราชาเทวทูต…


แต่ว่า… ต่อให้ทั้งหมดเป็นแผนของอาดัม แล้วทำไมท่านถึงต้องมอบวัตถุชิ้นนี้ให้พวกเธอ?


ยิ่งครุ่นคิด ไคลน์ยิ่งรู้สึกว่าหนังศีรษะของตนยิ่งชา จึงพยายามข่มสติและตัดสินใจจะเลื่อนการทดลองต่างๆ หลังจากกลับถึงถนนเบิร์คลุน


มันส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริงโดยไม่ลังเล


สำหรับสิ่งของเกี่ยวกับโจนาส·โคลเกอร์ ชายหนุ่มใช้พลังทำนายของตนโดยไม่พึ่งพามิติหมอกเพื่อวิเคราะห์รายละเอียดเบื้องต้น


นอกจาก ‘แสงเงาประชันดนตรี’ และเข็มกลัดสำหรับเข้าโบราณสถานใต้ดินที่ถูกหัวหน้านักบวชแห่งโบสถ์รัตติกาล อาเรียนน่า นำกลับไปด้วย โจนาส·โคลเกอร์ยังพกพาสมบัติวิเศษติดตัวอีกสองชิ้น


ชิ้นแรกคือ ‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ ที่ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสเอ่ยถึง เกิดจากพิธีกรรมสังเวยที่ล้มเหลว มีสองโหมดในการใช้งาน แบบแรกคือยิงธรรมดา ความรุนแรงน้อยกว่ากระสุนอัดอากาศของตัวตลกเล็กน้อย แบบที่สองคือยิงรัว สามารถพ่นกระสุนจำนวนมากได้ภายในหนึ่งถึงสองวินาที โดยทั้งสองโหมดจะมาพร้อมกับเสียงแผดแห่งความสิ้นหวัง สามารถสร้างความเสียหายกับครึ่งเทพระดับนักบุญได้พอประมาณ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่นักบุญทุกคนที่มีร่างกายทนทาน เช่นไคลน์เป็นต้น มันไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแกร่งดุจดังหินผา และไม่ได้มีท่าป้องกันซึ่งสามารถยืนรับได้ตรงๆ โดยไม่บาดเจ็บ


สมบัติอีกหนึ่งชิ้นมีชื่อว่า ‘หญ้าโชคดี’ ภายนอกดูธรรมดา เกิดจากการนำใบโคลเวอร์สี่แฉกมาสร้างเป็นยันต์ มีพลังในการ ‘สะสม’ ความสำเร็จหลังจากเผชิญความล้มเหลวหลายๆ ครั้ง ผลข้างเคียงด้านลบคือการขยายข้อบกพร่องในนิสัยของผู้สวม


หลังจากวิเคราะห์เสร็จ ไคลน์ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อมันเป็น ‘มารดาแห่งความสำเร็จ’


สมบัติวิเศษทั้งสองชิ้นนี้แทบไม่มีคุณค่าสำหรับไคลน์ จึงให้หุ่นเชิดโจนาส·โคลเกอร์เก็บไว้ตามเดิม


และแน่นอน ของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดของไคลน์ในศึกนี้ ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากตัวหุ่นเชิดโจนาส·โคลเกอร์เอง


ลำดับ ‘นักกฎหมาย’ นั้นเชี่ยวชาญการหาช่องโหว่ของกฎและฉกฉวยผลประโยชน์ รวมถึงพลังในการโน้มน้าวและทำให้เป้าหมายคล้อยตาม ลำดับ ‘คนเถื่อน’ มีสมรรถภาพร่างกายและอำนาจในการแหกกฎ ลำดับ ‘นักติดสินบน’ มีพลังในการติดสินบน ลำดับ ‘บารอนแห่งการเน่าเปื่อย’ มีพลัง ‘บิดเบือน’ ลำดับ ‘ผู้ชี้นำความสับสน’ มีพลัง ‘ยุ่งเหยิง’ และลำดับ ‘เคาต์แห่งการเสื่อมถอย’ มีพลัง ‘มอบ’ ‘ขยาย’ และ ‘อาศัยช่องโหว่’ ทั้งหมดล้วนเป็นพลังที่ค่อนข้างดี หากไม่ใช่เพราะไคลน์ทราบจุดอ่อนจุดแข็งล่วงหน้าจากอาโรเดสและคิดแผนการรับมือ รวมถึงการได้รับความช่วยเหลือจากเทวทูตแห่งการปกปิด มันเชื่อว่าตนคงไม่มีทางจัดการกับโจนาส·โคลเกอร์สำเร็จ ต่อให้ใช้ยันต์โจรปล้นดวงก็ตาม


อันที่จริง แทนที่จะเปลี่ยนอีกฝ่ายเป็นหุ่นเชิด การให้ยุบพองหิวโหย ‘ต้อนแกะ’ โจนาส·โคลเกอร์เข้าไปจะเป็นความลับและแนบเนียนมากกว่า ถูกพบได้ยากกว่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้น เราจะได้แค่พลังสามชนิดของเคาต์แห่งการเสื่อมถอยมาใช้งาน… ขณะไคลน์ครุ่นคิด มันเดินออกจากห้องน้ำและกลับมายังงานเลี้ยงรอบกองไฟ


บนสนามหญ้า ส.ส. มัคท์ยังคงยืนอยู่หน้าเตาย่าง พยายามปรุงบาร์บีคิวสไตล์ไบลัมตะวันออกด้วยเหงื่อที่ชุ่มหน้าผาก เฮเซลยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล สายตาจ้องมองอย่างสดใส ปราศจากความโอหังในสมัยก่อน มีแม้กระทั่งรอยเขม่าสีดำบนใบหน้า ส่วนพอร์ตแลนด์·โมมงต์กำลังถือแก้วไวน์ ยิ้มพลางมองไปทาง ‘หนุ่มๆ’ ที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงาน บางครั้งก็หยิบเหล็กบาร์บีคิวเสียบไม้ขึ้นมากัด


ได้เห็นภาพตรงหน้า หัวใจไคลน์สงบลงหลายระดับ



บ่ายวันอาทิตย์ กลุ่มที่ไปเที่ยวพักผ่อนทางชานเมืองของเบ็คลันด์ทยอยกลับถึงถนนเบิร์คลุน


ก่อนอาหารค่ำ ไคลน์รีบส่งตัวเองเข้าสู่มิติหมอกอีกครั้งและหยิบไม้กางเขนทองแดงเก่า


อันดับแรก มันยืนยันว่าไม้กางเขนมีพลังแบบเดียวกับ ‘ผู้เจิดจรัส’ ลำดับ 4 ของเส้นทางสุริยัน และได้รับชื่อที่ขาดความคิดสร้างสรรค์โดยสิ้นเชิงว่า ‘ไม้กางเขนเจิดจรัส’ จากนั้น ชายหนุ่มหยิบปากกาและกระดาษมาเขียนประโยคทำนายใหม่:


“ที่มาของไม้กางเขนอันนี้”


ไคลน์ไม่รีบร้อนทำนายว่า ไม้กางเขนเจิดจรัสมีร่องรอยการ ‘ถูกจัดเตรียม’ มาให้ตนหรือไม่ ด้วยกังวลว่านั่นจะมุ่งตรงไปหาอาดัมและทำให้อีกฝ่ายเริ่มระวังตัว มันอยากเริ่มต้นด้วยการทำนายต้นกำเนิดของสมบัติปิดผนึกชิ้นนี้ เพราะหากเจ้าของไม้กางเขนเจิดจรัสคืออาดัม ความจริงของเรื่องราวก็จะเผยให้ ‘การจัดเตรียม’ อย่างไม่ต้องสงสัย


วางปากกาลง ไคลน์ก้มหน้าจ้องไม้กางเขนพร้อมกับถอนหายใจหนักแน่น


“เรากำลังรนหาความตายอีกครั้ง…”


มันสงสัยว่า ไม้กางเขนเจิดจรัสอาจมีต้นกำเนิดมาจากพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ หรืออีกชื่อหนึ่งคือเทพสุริยันบรรพกาล มหาเทพที่แข็งแกร่งกว่าเทพบรรพกาลอย่างมังกรจินตภาพ การแอบมองมันอาจสร้างความเสียหายที่ร้ายแรงกว่าเมื่อครั้งทำนายถึง ‘การเดินทางของกรอซาย’


ทว่า มีบางจุดที่ต่างออกไปจากเดิม ไคลน์ในปัจจุบันเป็นถึงลำดับ 4 จอมเวทพิสดาร เป็นครึ่งเทพ ความทนทานทางร่างกายและพลังของมิติหมอกที่สามารถยืมมาใช้งาน เพิ่มขึ้นจากสมัยยังเป็นลำดับ 5 หลายเท่า


หลังจากใช้เวลาสองสามวินาทีเพื่อปรับอารมณ์ ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนัก ถือไม้กางเขนเจิดจรัสในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถือเศษกระดาษ จากนั้นก็พึมพำเสียงแผ่วเจ็ดรอบ


ไคลน์อาศัยการเข้าฌานเป็นกระดานกระโดดน้ำเพื่อส่งตัวเองให้หลับลึก


ท่ามกลางโลกอันพร่ามัว อาคารหลังหนึ่งซึ่งถูกบดบังรูปทรงดั้งเดิมด้วยชั้นของแสงสีเทาอ่อน ตั้งเด่นตระหง่านท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิด รอบๆ เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด


ณ รอยแห่งจุดหนึ่งบนผิวอาคารหลังดังกล่าว ฝ่ามือที่เกือบขาวซีดเหยียดออกมา


บุคคลผู้หนึ่งเดินออกจากรอยแยก เป็นเพศชาย สวมชุดนักบวชสีดำและมีไม้กางเขนสีเงินแขวนอยู่บนหน้าอก


ผมของชายคนนี้ไม่ยาวนัก เกือบทั้งหมดเป็นสีดำขลับ โคนผมมีร่องรอยของสีทองจางๆ ดวงตาสีทองคำบริสุทธิ์ ผิวพรรณค่อนข้างขาว โครงหน้าชัดลึกและเบ้าตาจม ลักษณะเด่นคล้ายคลึงกับชาวทวีปเหนือ


ชายคนดังกล่าวเดินสองก้าว เหยียดแขนออกมาพร้อมกับถือไม้กางเขนแสนธรรมดาไว้ในมือ ดวงตาเริ่มสลัดจากความลับสน มุมปากยกโค้งขึ้นเล็กน้อย


มันกล่าวด้วยเสียงทุ้ม


“จงสว่าง!”


เพียงพริบตา โลกสีดำสนิทรอบๆ อาคารสีเทาพลันถูกทะลวงด้วยแสงสว่างจ้า เผยให้เห็นรูปทรงที่แท้จริงของสภาพแวดล้อม


ที่นี่คือหุบเหวลึก ด้านบนสูงลิบจนมองไม่เห็นสิ่งใด แต่แสงสว่างกลับท่วมท้นในทุกซอกมุม


จากนั้น โลกทั้งใบก็สว่างจ้า


ฉากใหม่ฉายเข้ามาแทนที่


หยดเลือดสีทองที่แผ่แสงสว่างและความร้อน หยดลงบนไม้กางเขนสีเงิน


ขณะหยดเลือดกำลังร่วงหล่น ด้านบนมีร่างหนึ่งที่ก่อตัวจากแสงบริสุทธิ์ จากนั้น ใบหน้าที่ค่อนข้างพร่ามัวดังกล่าวเงยขึ้น เผยให้เห็นความเจ็บปวดที่เอ่อล้นออกมา


มันจ้องมาทางตำแหน่งของมิติเหนือสายหมอก จ้องมาทางไคลน์ซึ่งกำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล จากนั้นก็เปล่งเสียงทุ้มลึกอีกครั้ง


“เร้นลับ…”


ทันใดนั้น ความคิดไคลน์พลันระเบิดโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1034 : เก็บเกี่ยว

 

ท่ามกลางสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขต วังโบราณกำลังมีไฟลุกท่วมทุกคนแห่ง


เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ราวกับว่าดวงอาทิตย์ที่สว่างไสวและเจิดจ้าได้ปรากฏตัวภายในมิติลึกลับแห่งนี้


พายุเฮอร์ริเคนพัดผ่านโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณ หักโค่นเสาหินหนาและทำให้วังหรูหราถล่มลงมากว่าครึ่งหนึ่ง


ในตำแหน่งเดอะฟูล สมองไคลน์กำลังเดือดพล่าน ก่อนที่เกิดรูจำนวนมากพร้อมกับระเบิดออก หนอนแมลงที่ไหม้เกรียมเริ่มคลานออกจากรอยแตกของผิว


มันยังไม่ตาย และยังสามารถเหยียดแขนขวาออกมาอย่างใจเย็น เคาะกับที่พักแขนของเก้าอี้


เหนือมิติสายหมอก พื้นที่ลึกลับแห่งนี้กำลังสั่นสะเทือนหนักหน่วง คลื่นพลังงานพรั่งพรูออกมาหลายระลอก ช่วยดับไฟพร้อมกับทำให้พายุเฮอร์ริเคนสงบลง คล้ายกับดวงอาทิตย์ที่กำลังแผดเผาค่อยๆ สลายตัวไปทีละนิด


เสาหินต้นหนากลับมาตั้งเด่นตระหง่านอีกครั้ง โต๊ะทองแดงยาวฟื้นฟูกลับสู่สภาพปรกติ วังโบราณที่สง่างามและศักดิ์สิทธิ์ กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ราวกับไม่เคยพังทลายหรือเสียหาย


ศีรษะของไคลน์เองก็สมานกลับเป็นปรกติในพริบตา หนอนแมลงไหม้เกรียมที่เคยคลานออกไป เปลี่ยนกลับไปเป็นสีใสและคลานกลับเข้าไปในหัว


อย่างที่คิด ทรงพลังยิ่งกว่า ‘มังกรจินตภาพ’ แอนเคอร์เวล… ไคลน์พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างมิอาจควบคุม อดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือขึ้นมาลูบหน้าผาก “เจ็บชะมัด… รุนแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัด…”


ขณะพึมพำ มันเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาว สร้างแรงสั่นสะเทือนบนมิติเหนือสายหมอกอีกครั้ง


ท่ามกลางเสียงดังสนั่น เงาสีดำสนิทผุดขึ้นจากพื้นวัง


เงาดังกล่าวพลันบิดเบี้ยว พยายามดิ้นรนสักพักก่อนจะถูกพลังของมิติหมอกขจัดออกไป ปราศจากมลพิษตกค้างภายใน


หลังจากผ่านไปเกือบหนึ่งนาที ไคลน์ใจเย็นลงและนึกทบทวนฉากที่ตนเห็น


ชายคนนั้นน่าจะเป็นเทพสุริยันบรรพกาล พระผู้สร้างแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ บิดาของอาดัมและอามุนด์…


พิจารณาจากไม้กางเขนที่สวม และจากข้อความ ‘จงสว่าง’ มีโอกาสสูงมากที่ชายคนนี้จะเป็นนักเดินทางข้ามโลกคนแรก… น่าจะเป็นคนยุโรปหรือไม่ก็ทางอเมริกา… อาจเป็นคนของศาสนา…


ท่านใช้ภาษาที่สามารถกระตุ้นพลังธรรมชาติ ฟังดูคล้ายกับภาษาคนยักษ์ แต่ยังมีจุดที่แตกต่าง… ไม่ใช่ภาษาเอลฟ์ มังกร และเฮอร์มิสโบราณแน่นอน… อา… มันฟังดูคล้ายกับภาษาฟุซัคของทวีปเหนือ และภาษาตูทานของทวีปใต้ ช่วยให้เราสามารถเข้าใจในสิ่งที่ท่านพูดแม้จะไม่ชำนาญภาษานั้น… เป็นภาษาที่ท่านเรียนมาจากสิ่งก่อสร้างหลังใหญ่สีเทาอ่อนนั่น?


ท่านถูกส่งมาที่นั่น และได้รับสืบทอดมรดกที่ล้ำค่า?


เหตุการณ์ที่สองเป็นฉากขณะท่านกำลังถูกทรยศและถูกกินโดยเหล่าราชาเทวทูต ประกอบด้วยเทวทูตสีขาว เทวทูตปัญญา และเทวทูตวายุ?


สำหรับเทพที่เรียกตัวเองว่าพระผู้สร้าง ความเจ็บปวดและบิดเบี้ยวระดับนั้นคงเกิดจากสิ่งใดไม่ได้นอกจากเหตุการณ์ดังกล่าว…


อา… เลือดศักดิ์สิทธิ์ของท่านที่หยดลงมาก่อนตาย ได้ผสานเข้ากับไม้กางเขนสีเงินและแปรสภาพกลายเป็นสมบัติปิดผนึกที่ค่อนข้างทรงพลังในภายหลัง…


พิจารณาจากจุดนี้ ไม้กางเขนเจิดจรัสคงตกอยู่ในมือของหนึ่งในสามราชาเทวทูตระหว่าง ‘สีขาว’ ‘ปัญญา’ และ ‘วายุ’ หรือไม่ก็ถูกมองข้ามและตกมาถึงมือของอาดัมและอามุนด์ในภายหลัง สำหรับท่านทั้งสอง นี่คือมรดกแสนล้ำค่าที่บิดาเหลือทิ้งไว้


โอกาสเป็นอย่างแรกนั้นต่ำมาก ไม้กางเขนอันนี้มีประโยชน์ที่หลากหลาย แถมต้นกำเนิดของมันยังเป็นความลับที่ต้องปกปิดให้มิดชิด ไม่มีทางถูกนำมามอบให้ตระกูลออกัสตัส… ถ้าอย่างนั้น… มันคือสิ่งที่อาดัมมอบให้ด้วยเหตุผลบางประการ? เป็น ‘แผน’ ของท่านมาตั้งแต่แรก?


แล้วทำไมถึงต้องส่งต่อไม้กางเขนเจิดจรัสมาให้มิสเมจิกเชี่ยนกับมิสจัดจ์เมนต์อย่างสมเหตุสมผล?


ท่านพบว่าสตรีทั้งสองศรัทธาเดอะฟูลหลังจากเฝ้าจับตามองมาสักพัก?


ไม้กางเขนอันนี้มีไว้สำหรับเดอะฟูลจากต่างยุคสมัย?


ท่านต้องการจะทราบว่า บิดาซึ่งมาจากต่างยุคสมัยเช่นกัน แท้จริงแล้วมาจากที่ใด? แต่ปัญหาก็คือ หลังจากส่งมอบไม้กางเขนแล้ว เขาจะถามทางไหน และรับคำตอบจากทางไหน?


พระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์นั้นมีระดับสูงมาก สามารถตระหนักถึงการ ‘แอบมอง’ ของเราทั้งที่ถูกกั้นแบ่งด้วยช่วงเวลาประวัติศาสตร์อันยาวนาน… สามารถมองตรงมายังมิติเหนือสายหมอกแห่งนี้… แถมอิทธิพลของท่านไม่เพียงจะสร้างความเสียหาย แต่ยังสร้างเงาชนิดพิเศษที่เกือบจะซ่อนตัวอยู่ที่สำเร็จ…


กำลังจะบอกว่า เมื่อใดก็ตามที่เทพสามารถครอบครอง ‘อำนาจ’ ในหลายขอบเขตด้วยตัวคนเดียว ระดับตัวตนของเทพตนนั้นจะพัฒนาขึ้นในเชิงคุณภาพ?


แล้วคำว่า ‘เร้นลับ’ หมายถึงสิ่งใด? หมายถึงเรา… หรือหมายถึงเจ้าของเดิมของมิติลึกลับแห่งนี้?


คำถามมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์ ส่งผลให้มันผุดทฤษฎีขึ้นมาจำนวนหนึ่ง แต่ก็มิอาจพิสูจน์หาความจริงได้ด้วยข้อมูลปัจจุบัน


และเนื่องจากความกลัวที่มีต่ออาดัม ไคลน์เชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะจัดการกับไม้กางเขนเจิดจรัสซึ่งเป็นสมบัติปิดผนึกระดับพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ คือการบดขยี้ให้แหลกและรอให้กลับมารวมตัวเป็นตะกอนพลังบริสุทธิ์อีกครั้ง


คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ปัดตกคำถามอื่นในใจและเสกปากกากับกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาจดบันทึก ‘ความรู้’ ที่ได้จากการมองพระผู้สร้างแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ตรงๆ


“ลำดับ 4: ผู้เจิดจรัส”


“วัตถุดิบหลัก: เลือดสุริยันหนึ่งหยด หรือขนหางสามเส้นของ ‘วิหคเทพสุริยัน’ และ ‘ศิลาเจิดจ้า’ ”


“วัตถุดิบรอง: เลือดวิหคเทพสุริยันหกสิบมิลลิลิตร น้ำศักดิ์สิทธิ์จากศิลาเจิดจ้าสามสิบมิลลิลิตร น้ำส้มมือทองคั้นเจ็ดหยด ผงหัวใจแมกม่าสิบกรัม”


“พิธีกรรม: ดึงอารมณ์ที่เข้มข้นที่สุดและไม่อยากทิ้งไปมากที่สุดของผู้ประกอบพิธีกรรม ออกจากร่างกายและดื่มโอสถ จากนั้นก็นำอารมณ์ดังกล่าวกลับเข้าไปใหม่ภายหลัง”


“ลำดับ 3: ผู้ชี้นำคุณธรรม…”


“ลำดับ 4: อัศวินมืด…”


“ลำดับ 3: นักบุญสามหน้า…”


จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์หยิบไม้กางเขนทองแดงและตรวจสอบมันด้วยสีหน้าหนักอึ้ง


จากนั้น ชายหนุ่มโยนไม้กางเขนเจิดจรัสเข้าไปในกองขยะพร้อมกับกระตุ้นพลังของมิติเหนือสายหมอกเพื่อผนึกมันไว้ ด้วยเกรงว่าครั้งถัดไปที่ขึ้นมา ตนจะเห็นกระดาษคนที่ตัดเตรียมไว้เริ่มสรรเสริญดวงอาทิตย์



เขตเชอร์วู้ด หน้าบ้านธรรมดาๆ หลังหนึ่ง


บุรุษไปรษณีย์ผู้กำลังขี่จักรยานรีบบีบเบรก หยุดลงที่หน้าประตู


มันจอดจักรยาน นำจดหมายออกจากกระเป๋าไปรษณีย์ที่เบาะหลัง ชำเลืองที่อยู่จัดส่ง


“เป็นที่นี่ไม่ผิดแน่… ถึงซิล…” บุรุษไปรษณีย์รีบเดินไปที่กล่องจดหมาย สอดจดหมายและขึ้นจักรยานอีกครั้งโดยไม่มัวรีรอ ถีบออกไปด้วยความเร็ว


ถัดมานั้นไม่นาน เปลวไฟสีดำพลันลุกโชนจากช่องสอดของกล่องจดหมาย


เปลวไฟเผาไหม้เงียบงัน ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว



เขตราชินี ภายในคฤหาสน์สุดหรูของตระกูลฮอลล์


ออเดรย์ซึ่งพาซูซี่เดินเล่นรอบๆ สวน เมื่อกลับมาถึงห้องโถง เธอพบบิดาของตน เอิร์ลฮอลล์ เดินเข้ามาจากข้างนอก ยื่นหมวกและถอดผ้าพันคอให้บุรุษรับใช้ด้านข้าง ตามด้วยขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่มีใครทราบว่ากำลังขบคิดสิ่งใด


“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?” ออเดรย์ถามด้วยความเป็นห่วง


นี่เป็นเพียงการสังเกตง่ายๆ ที่เธอไม่จำเป็นต้องปิดบัง


เอิร์ลฮอลล์พยายามระงับการสีหน้าไม่ปรกติของตน อมยิ้มและกล่าว


“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร… แค่คาดไม่ถึงว่าเฮอร์วิน·แรมบิสจะเป็นคนของลัทธินอกรีต”


“คนของลัทธินอกรีต?” ออเดรย์เผยสีหน้าประหลาดใจตามสมควร


เธอย่อมทราบว่าเฮอร์วิน·แรมบิสเป็นสมาชิกเบื้องบนของสมาคมแปรจิต เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ถึงถูกเปิดเผย


เอิร์ลฮอลล์พยักหน้าเคร่งขรึมและกล่าว:


“ใช่… เขาถูกหมายหัวโดยสามศาสนจักรใหญ่ ส่วนจะเป็นลัทธิใดนั้น พ่อเองก็ไม่ทราบ”


“…เขาถูกจับหรือยัง?” ออเดรย์หันไปถามด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น


“ยัง… ก่อนจะถูกหมายหัว เขาหายตัวไป” เอิร์ลฮอลล์ถอนหายใจ “เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าชายคนนั้นเป็นพวกคลั่งศาสนา เขาวางตัวดี มีความรู้ เต็มไปด้วยความสมเหตุสมผลและสติปัญญา”


นั่นเป็นเพียงด้านที่เขาอยากให้พ่อเห็น… ออเดรย์รำพันในใจ จากนั้น เหมือนทุกครั้ง ก่อนอาหารเย็นจะเริ่มขึ้น เธอเข้าห้องสวดมนต์เล็กๆ ภายในบ้าน หันหน้าเข้าหาตราศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดารัตติกาลและสวดวิงวอน


ทว่า ข้อความที่เธอวิงวอนด้วยเสียงต่ำก็คือ:


“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”


ท่องพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์จบ ออเดรย์มอบรายงานสั้นกระชับ:


“เฮอร์วิน·แรมบิสตัวไป… เขาถูกระบุว่าเป็นสมาชิกของลัทธินอกรีต กำลังถูกหมายหัวจากสามโบสถ์ใหญ่”


กล่าวจบ ออเดรย์เตรียมสวดวิงวอนต่อเทพธิดาอย่างจริงจัง ทันใดนั้น ทุ่งสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขตก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า


ใจกลางหมอกสีเทา ร่างอันคลุมเครือกำลังนั่งบนเก้าอี้ พยักหน้ารับเชื่องช้า:


“เราทราบแล้ว”


เมื่อสิ้นเสียงของตัวตนลึกลับ ภาพตรงหน้าออเดรย์เปลี่ยนไปกะทันหัน กลายเป็นภาพของคนผู้หนึ่งกำลังสวดวิงวอนอย่างตั้งใจ:


“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ… โบสถ์รัตติกาลได้รับข้อมูลจากโจนาส·โคลเกอร์ ยืนยันว่ากษัตริย์จอร์จที่สามเก็บซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่ และยังเป็นผู้ค้นพบโบราณสถานของจักรพรรดิโลหิตในเขตสเตอร์ริเว่นของแม่น้ำทัสซอค จากนั้นก็สมรู้ร่วมคิดกับนิกายแม่มดและสมาคมแปรจิตเพื่อค้ามนุษย์ เป็นต้นเหตุของคดีบุคคลสูญหายจำนวนมากหาย และยังเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันในกรุงเบ็คลันด์”


“ในตอนต้น ตัวแทนของนิกายแม่มด ‘ไนติงเกลแห่งความสิ้นหวัง’ พานาเทีย แต่ในภายหลังได้ ‘นักบุญสีขาว’ คาร์เทอริน่ามาแทน ส่วนทางสมาคมแปรจิตเป็นเฮอร์วิน·แรมบิส”


“ได้โปรดเตือนมิสจัสติส ให้เธอเพิ่มความระมัดระวังในตอนที่เข้าไปพบเฮอร์วิน·แรมบิสอีกครั้ง และเตรียมขอความช่วยเหลือไว้ทุกเมื่อ”


ฝ่าบาท… ดวงตาออเดรย์เบิกกว้างเล็กน้อย อารมณ์แปรปรวนกะทันหัน ยากที่จะควบคุม


สำหรับเรื่องนี้ ข่าวคราวล่าสุดทำให้ตัวเธอที่เป็นขุนนางตกตะลึงในระดับหนึ่ง แต่ก็ถูกขยายอารมณ์ให้เข้มข้นขึ้นโดยเครื่องประดับ ‘คำลวง’ ที่สวมอยู่


แทบจะในเวลาเดียวกัน รายงานหนึ่งแล่นเข้ามาในความคิดออเดรย์ เป็นข่าวที่เธอยากจะลืม:


“…จากสถิติเบื้องต้น มีผู้เสียชีวิตคาที่ภายในหมอกมากกว่าสองหมื่นหนึ่งพันราย และโรคระบาดที่แพร่กระจายในเวลาต่อมาได้คร่าชีวิตผู้คนอีกไปเกือบสี่หมื่นราย ในนั้นมีเด็กเล็กที่บ้านมีฐานะ ชายหนุ่มและหญิงสาวที่แข็งแรง”


เรื่องราวเป็นแบบนี้เองหรือ… กษัตริย์มีแผนอะไรกันแน่? … ศาสนจักรใหญ่ทั้งสามแห่งไม่น่าจะได้รับหลักฐานเต็มๆ ที่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้น ท่านพ่อคงไม่ทำหน้าแตกตื่นเล็กๆ เช่นนี้… โทสะของออเดรย์กำลังปะทุอย่างไม่มีคำอธิบาย ภายในใจเกิดความเศร้าเล็กๆ คล้ายกับบางสิ่งที่เคยยึดถือในอดีตถูกเหยียบย่ำอย่างไร้ความปรานี คล้ายคุณค่าบางอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นเวลานาน พังทลายลงอย่างเงียบงัน


หญิงสาวก้มศีรษะลงโดยไม่รู้ตัว หลับตาสนิท


ทันทีหลังจากนั้น เธอหายใจเข้า กระซิบเสียงแผ่ว:


“ขอบคุณมิสเตอร์ฟูล และได้โปรดแสดงความขอบคุณต่อมิสเตอร์เวิร์ลด้วย”


หลังจากสวดมนต์เสร็จ ออเดรย์นั่งท่ามกลางความมืดที่เงียบสงบ ไม่ขยับเขยื้อนร่างกายเป็นเวลานาน

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1035 : ไดอารี่ล่วงหน้า

 

เขตตะวันออกของเบ็คลันด์ ภายในบ้านเช่าสองห้องนอนของบ้านหลังหนึ่ง


ฟอร์สกำลังถือปากกาหมึกซึมทรงกลม บรรจงเขียนบนกระดาษจดหมาย


เป็นจดหมายถึงอาจารย์ โดเรี่ยน·เกรย์·อับราฮัม ระบุว่าเธอตกอยู่ในอันตรายและต้องย้ายออกจากที่พักอาศัยเดิม อย่าส่งคำตอบใดๆ ไปที่นั่น หากเผลอส่งไปแล้ว ให้รีบเปลี่ยนที่อยู่ของตัวเองโดยเร็ว และทางที่ดีควรเปลี่ยนตัวตนไปด้วย


เขียนจบ ฟอร์สวางปากกาลง พับกระดาษ สอดไว้ในซองจดหมายและติดตราไปรษณียากร


จากนั้น เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับออกไปข้างนอก ออกจากห้องเพื่อนำจดหมายไปส่ง


เธอไม่อยากออกไปไหนมาไหนนัก แต่เนื่องจากที่นี่เป็นบ้านใหม่ ไม่ต้องพูดถึงเหล้าทุกชนิด แม้แต่เมล็ดกาแฟ กาแฟสำเร็จรูป ใบชาดำ หนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสารฉบับล่าสุด หรือหนังสือสักเล่มก็ยังไม่มี


เพื่อการนั้น เธอจึงต้องออกไปส่งจดหมายด้วยตนเอง ระหว่างทางจะได้ซื้อของนอกเขตตะวันออก


สำหรับซิล เธอออกไปข้างนอกแล้ว จุดประสงค์คือการส่งจดหมายไปถึงบ้านเช่าหลังเก่า ระบุว่า ‘ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดจงรักภักดีต่อกษัตริย์’ จากนั้นก็เฝ้าสังเกตว่า คนที่คอยจับตามองเชอร์มาเน่จะลงมือกระทำสิ่งใดต่อไป


ให้ตายสิ เป็นเพราะเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความกระทบกระเทือนทางจิตใจมาก เราจึงเกือบลืมเขียนจดหมายถึงอาจารย์ ถ้าเขียนเสร็จเร็วกว่านี้คงให้ซิลไปส่งพร้อมกันแล้ว… ฟอร์สสวมหมวกอ่อนที่มีตาข่ายผืนบางห้อยปิดหน้า เดินไปตามบันไดมืดๆ จนถึงชั้นล่าง จากนั้นก็เดินออกจากตึก


แถวนี้เป็นอยู่แถบชายขอบของเขตตะวันออก เพื่อนบ้านส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่มีฝีมือ หรือไม่ก็ผู้จัดการระดับล่างๆ ระดับความปลอดภัยสาธารณะค่อนข้างดี มีแม้กระทั่งเด็กส่งหนังสือพิมพ์


ฟอร์สฟังเสียงระฆังที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราว เดินไปตามริมถนนอย่างไม่รีบร้อน


ทันใดนั้น บุรุษไปรษณีย์หยุดจักรยาน นำกองหนังสือพิมพ์ออกจากกล่องและถือเดินเข้าไปในอาคารด้านข้าง


ฟอร์สชำเลืองมองอย่างไม่ใส่ใจนัก พบว่ากองหนังสือพิมพ์บนๆ เป็นฉบับ “ข่าวภาคทะเล”


คนแถวนี้จะสมัครรับหนังสือพิมพ์ทะเลไปทำไม… ทำงานที่เกี่ยวข้องกับการค้าทางทะเล? ฟอร์สยืนมองสักพัก พึมพำสองสามคำด้วยความประหลาดใจ


แต่ผ่านไปไม่นาน เธอพบว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การใส่ใจ จึงรีบเดินไปทางตู้ไปรษณีย์ท้ายถนน


บุรุษไปรษณีย์เดินเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ มองหาเป้าหมายของการส่ง จากนั้นก็สอดหนังสือพิมพ์ที่เกี่ยวข้องเข้าไปในตู้


ไม่นานหลังจากที่มันไป กล่องจดหมายหนึ่งถูกเปิดออก หนังสือพิมพ์ด้านในถูกหยิบ


บุคคลที่หยิบหนังสือพิมพ์เดินขึ้นไปยังชั้นสาม เปิดห้องและเดินไปนั่งบนเก้าอี้เอนหลัง ตั้งใจอ่านอย่างละเอียด


ใกล้กับเก้าอี้เอนหลัง มีโต๊ะไม้สีดำที่เต็มไปด้วยหนังสือพิมพ์กองพะเนิน


หนังสือพิมพ์บางฉบับถูกพับอย่างเรียบร้อย หน้าแรกหงายหน้าขึ้น บางฉบับบิดงออย่างไม่สมมาตร เผยให้เห็นพาดหัวข่าว ทั้งหมดล้วนเป็นข่าวในทำนองเดียวกัน:


“ข่าวด่วน! นักผจญภัยเสียสติกลายเป็นอาชญากรที่ถูกทางการหมายหัว” “นักผจญภัยเสียสติปรากฏตัวอีกครั้ง” “การล่าที่เหลือเชื่อ” “ชายผู้เข้าใกล้ราชาแห่งท้องทะเลมากที่สุด!” “นักผจญภัยที่มีค่าหัวเก้าหมื่นปอนด์” “เรื่องราวระหว่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์และสามพลเรือโจรสลัดสาว” “เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ชายผู้ทำสงครามสร้างชื่อเสียงตอนกลางวัน และลอบสังหารพลเรือโทโรคภัยตอนกลางคืน”



ซื้อของเสร็จ ฟอร์สเดินกลับบ้านเช่า ส่วนซิลก็เสร็จงานและกลับมาถึงเช่นกัน


ทั้งสองกลับมาอย่างพร้อมเพรียงเนื่องจากวันนี้เป็นวันจันทร์ และใกล้จะบ่ายสามโมงเต็มทีแล้ว


ก๊อง! ก๊อง! ก๊อง!


ขณะระฆังวิหารใกล้ๆ ดังกังวาน การมองเห็นของฟอร์สและซิลท่วมท้นไปด้วยแสงสีแดงราวกับกระแสน้ำถาโถม


ภายในพระราชวังอันงดงาม ข้างโต๊ะทองแดงยาวที่มีร่องรอยโบราณ กลุ่มบุคคลปรากฏขึ้นในลำดับที่ไม่เป็นระเบียบ จากนั้นก็ค่อยๆ คมชัด


‘จัสติส’ ออเดรย์ยังคงเหมือนเดิม ยืนขึ้นเป็นคนแรก หันหน้าไปทางหัวโต๊ะทองแดงยาว จับชายกระโปรงมายาและกล่าวทักทาย


“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล”


มิสจัสติสยังค่อนข้างจิตตก… คล้ายกับยังคงได้รับผลกระทบจากข่าวเมื่อคืน… ‘เดอะฟูล’ ไคลน์พยักหน้ารับเล็กน้อย ตามด้วยการตอบสนองคำทักทายของสมาชิกชุมนุมทาโรต์


ทันใดนั้น ออเดรย์ซึ่งไม่ค่อยร่าเริงนัก อาศัยการสังเกตที่เฉียบแหลมและพบว่าด้านขวามือของมิสเตอร์ฟูลมีไม้กางเขนทองแดงเก่าๆ


ไม้กางเขนอันนี้… มาจากไหน? มิสเตอร์ฟูลถึงกับนำมาวางบนโต๊ะ อย่างน้อยก็เป็นสมบัติระดับเดียวกับไพ่เย้ยเทพ… มีแหล่งกำเนิดจากไหน? ประโยชน์การใช้งานเป็นยังไง? คำถามมากมายผุดขึ้นในใจออเดรย์ ความอยากรู้อยากเห็นเริ่มเอ่อล้นจนมิอาจควบคุม


นี่เป็นครั้งแรกที่มิสเตอร์ฟูลวางสมบัติวิเศษที่ไม่ใช่ไพ่เย้ยเทพไว้ข้างหน้า!


ทันทีหลังจากนั้น สมาชิกชุมนุมทาโรต์อย่าง ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์และ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาเริ่มสังเกตเห็นไม้กางเขนทองแดงที่เด่นชัดยิ่งกว่าไพ่เย้ยเทพ และเหมือนกับมิสจัสติส พวกมันอดไม่ได้ที่จะคาดเดาต้นกำเนิดของสมบัติชิ้นนี้ในใจ รวมถึงระดับและการใช้งาน


จากบรรดาทั้งหมด ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคสัมผัสถึงการเรียกหาที่มองไม่เห็น รู้สึกว่าไม้กางเขนทองแดงกำลังดึงดูดตัวเองเข้าไปหา


มันพลันนึกถึงกฎพื้นฐานซึ่งถูกกล่าวถึงในหลายหลักสูตรของเมืองเงินพิสุทธิ์:


กฎการดึงดูดระหว่างพลังพิเศษ!


นี่คือสมบัติปิดผนึกระดับสูงของเส้นทาง ‘สุริยัน’ ? เดอร์ริคเริ่มเข้าใจ


เมื่อ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สและ ‘จัดจ์เมนต์’ ซิลจดจำได้ว่า ไม้กางเขนทองแดงบนโต๊ะคือสมบัติปิดผนึกที่พวกตนสังเวยขึ้นมา รูม่านตาจึงขยายออกเล็กน้อย


มิสเตอร์ฟูลให้ความสำคัญกับมันขนาดนี้เชียว? ร…หรือว่าจะสำคัญกว่าที่เราและซิลจินตนาการไว้? ฟอร์สตกตะลึงไปสักพัก ยากที่จะเก็บซ่อนความอยากรู้อยากเห็น


หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทวยเทพ สามัญสำนึกของเธอจะไม่มีวันพัฒนาไปในทิศทางของความรัก


ซิลและฟอร์สผุดความที่คล้ายคลึงกัน แต่ไม่มีใครกล่าวออกมา เพราะเชื่อว่ามิสจัสติสจะเป็นฝ่ายออกปากถามแน่นอน


ขณะออเดรย์เตรียมยกมือขึ้นเล็กน้อย ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาหลับตาลง หัวครึ่งตัวไปทางตำแหน่งประธานของโต๊ะทองแดงยาว


หญิงสาวทักทายและเตรียมกล่าว แต่ทันใดนั้น ‘เดอะฟูล’ ไคลน์ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ


“ไม่ต้องกังวล แว่นตามายาที่เสกขึ้น สามารถผนึก ‘เนตรส่องความลับ’ ของเจ้าได้”


มันทราบดี ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาได้เปิดประตูสู่ครึ่งเทพและกลายเป็น ‘ปราชญ์พิศวง’ เรียบร้อยแล้ว


นั่นเพราะก่อนจะประกอบพิธีกรรม ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาได้สวดวิงวอนถึงเดอะฟูล ปรารถนาที่จะเลื่อนลำดับภายใต้การดูแลของตัวตนลึกลับที่ทรงพลัง ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าเธอจะล้มเหลวในท้ายที่สุด แต่อย่างน้อยก็ได้รับการอวยพรให้ไม่คลุ้มคลั่งหรือเสียสติคาที่ หลังจากนั้นค่อยหาวิธีขจัดตะกอนพลังส่วนเกินและทดลองใหม่


สำหรับเรื่องนี้ ไคลน์เองก็ไม่มั่นใจนัก เพราะไม่เคยทดสอบมาก่อน และการทำนายอาจไม่ได้รับคำตอบที่ถูกต้องเสมอไป นอกจากนั้น ในเมื่อรับปากมาดามเฮอร์มิทไว้แล้วก็ต้องทำ ขอเพียงเธอล้มเหลวและไม่ตาย นั่นจะกลายเป็นความดีความชอบครั้งใหญ่ของเดอะฟูล แต่ถ้าเกิดคลุ้มคลั่งหรือเสียสติ ก็ไม่สำคัญอีกต่อไปว่ามาดามเฮอร์มิทจะทราบความจริงที่เดอะฟูลเป็นแค่นักต้มตุ๋น สรุปโดยสั้น จุดประสงค์หลักของไคลน์คือการสร้างความมั่นใจให้อีกฝ่ายพอประมาณ ทำให้อยู่ในสภาวะที่เอื้อต่อการเลื่อนลำดับ เพราะเธอไม่สามารถหา ‘คนคุ้มครอง’ ที่ดีกว่ามิสเตอร์ฟูลได้แล้ว


เมื่อเห็น ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาเลื่อนลำดับเป็นครึ่งเทพสำเร็จ ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก พึมพำคำสองสามคำในใจ:


ในบางครั้ง การทำตัวเป็นเทพก็ง่ายนิดเดียว เป็นมนุษย์ยังยากยิ่งกว่า… หากสาวกตกเผชิญวิกฤติ สถานการณ์ดังกล่าวมักออกได้แค่สองหน้า หนึ่งคือรอด สองคือตาย… ถ้ารอดก็แปลว่าพรของเทพนั้นเจ๋ง แต่ถ้าตาย อีกฝ่ายก็คงไม่มีเวลาคิดว่าพรของเทพนั้นห่วย…


แต่ในทางกลับกัน หลังจากได้เป็นครึ่งเทพ หลังจากใช้พลังของพื้นที่ลึกลับเหนือหมอกสีเทาได้มากขึ้น ‘เดอะฟูล’ ไคลน์สามารถ ‘เห็น’ วิญญาณดาราของสมาชิกชุมนุมทาโรต์อย่างชัดเจน และนั่นช่วยให้วิเคราะห์ลำดับผู้วิเศษในปัจจุบัน


หลังจาก ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาผนึกเนตรส่องความลับ เธอถอนหายใจโล่งอก กล่าวด้วยความเคารพ:


“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ… คราวนี้มีไดอารี่ของจักรพรรดิโรซายล์สองหน้า”


ไดอารี่ของจักรพรรดิโรซายล์? งานของ ‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดตเสร็จแล้วหรือ? แต่เบ็คลันด์แทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น… จริงสิ… ไม่มีใครตระหนักถึงเรื่องที่ถนนเบิร์คลุนถูกอามุนด์บุกรุก รวมถึงสงครามครึ่งเทพในคฤหาสน์เพลงกุหลาบ… ‘เดอะฟูล’ ไคลน์พยักหน้าอย่างสงบ


“ตกลง… เตรียมคำถามหรือคำขอไว้ได้เลย”


ขณะกล่าว ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ ‘จัสติส’ ออเดรย์และคนอื่นๆ ต่างตีความบทสนทนาอย่างถี่ถ้วน:


‘เฮอร์มิท’ แคทลียาว่าแว่นตาที่เสกขึ้นจะมิอาจผนึก ‘เนตรส่องความลับ’ แต่ในการชุมนุมครั้งก่อน เธอไม่เคยกังวลเรื่องนี้


หมายความว่า… พลัง ‘เนตรส่องความลับ’ ของมาดามเฮอร์มิทถูกยกระดับขึ้นมาก… อา… แล้วมันถึงถูกยกระดับครั้งใหญ่? อ…อย่าบอกนะว่า เธอกลายเป็นครึ่งเทพแล้ว? ชุมนุมทาโรต์ของเรามีสมาชิกครึ่งเทพคนที่สองถือกำเนิดขึ้นแล้ว? ‘จัสติส’ ออเดรย์เชื่อมโยงกับเรื่องที่ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาซื้อเลือดสัตว์ในตำนานหนึ่งหยด จากนั้นก็ผุดข้อสันนิษฐาน


เธอกวาดตาไปทางสมาชิกชายฝั่งตรงข้าม พบว่าท่านั่งของ ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ เปลี่ยนไปเล็กน้อย ค่อนไปในท่าทียำเกรง คล้ายกับตระหนักว่าเฮอร์มิทกลายเป็นกึ่งเทพแล้วเช่นกัน ส่วนเดอะซันน้อยยังคงเอาแต่มองไปที่ไม้กางเขนทองแดง ไม่มีการตอบสนองแบบอื่น สำหรับ ‘เดอะมูน’ เอ็มลิน มันลังเลสองสามวินาทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปทาง ‘เฮอร์มิท’ แคทลียา ส่วน ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดมีพฤติกรรมคล้ายกับเดอะซันน้อย เพียงแต่สายตาของมันค่อนข้างว่างเปล่า ราวกับกำลังรอให้ช่วงเวลาอ่านไดอารีผ่านพ้นไป


“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ทางนี้สามารถสะสมคำถามได้หรือไม่?” แคทลียาตอบกลับ


ยกยอดไปถามครั้งต่อไป… ราชินีเงื่อนงำยังไม่อยากถูกรบกวนด้วยคำตอบ? แล้วทำไมถึงให้หน้าไดอารี? มองเห็นสิ่งใดล่วงหน้า? เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของเดอะฟูล ไคลน์ไม่ได้ถามว่าทำไม เพียงพยักหน้าแผ่วเบาและกล่าว:


“ทำได้”


แคทลียามิได้กล่าวต่อ เสกหน้าไดอารีขึ้น ก่อนจะเฝ้ามองมันหายไปอยู่บนมือของเดอะฟูล


ไคลน์กวาดสายตาอย่างไม่ใส่ใจนัก กลั่นกรองเฉพาะข้อมูลสำคัญ:


“วันที่ 19 กรกฎาคม ค่ำคืนแห่งจันทราโลหิต”


“คำตอบของมิสเตอร์ประตูยืนยันเรื่องหนึ่งให้เรา ภายในองค์กรลับโบราณแห่งนั้น ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองที่เราเห็น นั่นไม่ใช่ส่วนที่สมบูรณ์!”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1036 : พัฒนาการที่ ‘คาดห...

 

“ตามคำบอกเล่าของมิสเตอร์ประตู ความแตกต่างใหญ่หลวงระหว่างศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองและแผ่นแรก ไม่ใช่เรื่องที่แผ่นแรกเต็มไปด้วยชื่อลำดับเส้นทางที่แปลกประหลาด แต่เป็นเรื่องที่แผ่นที่สองถูกเสริมข้อมูลเพิ่มไปจากแผ่นแรกมาก สิ่งเหล่านั้นคือความลับที่เทพสุริยันบรรพกาลได้ประจักษ์ช่วงบั้นปลายชีวิต อา… ในฐานะเทพแท้จริง พระองค์คงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าบั้นปลายชีวิต แต่หากพิจารณาช่วงเวลานับตั้งแต่เกิดจนกระทั่งร่วงหล่น ถ้าแบ่งตามแนวคิดมนุษย์ ระยะเวลาดังกล่าวถือช่วงบั้นปลายอย่างแท้จริง”


“กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้สร้างศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองคือเทพสุริยันบรรพกาล?”


“สำหรับคำถามนี้ มิสเตอร์ประตูตอบเป็นนัยว่า ทันทีที่เทพสุริยันบรรพกาลร่วงหล่น ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองก็ถือกำเนิด”


“ความหมายก็คือ นี่เป็นสมบัติสำคัญของเทพสุริยันบรรพกาล?”


“ถ้าอย่างนั้น ใครคือผู้สร้างศิลาเย้ยเทพแผ่นแรก? พระผู้สร้างต้นกำเนิดซึ่งรังสรรค์ทุกสรรพสิ่ง? นอกจากนั้น ข้อมูลเพิ่มเติมบนศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองมีอะไรบ้าง?”


“มิสเตอร์ประตูไม่ตอบ เพียงบอกว่า สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความลับมากเกินไป มิอาจอธิบายให้ชัดเจนได้ด้วยสองสามคำ แต่ถ้าเขาได้กลับมายังโลกแห่งความจริงเมื่อไร ก็สามารถลงลึกรายละเอียดได้”


“อา… คิดว่าคนอย่างฉันจะตกหลุมพรางเด็กเล่นแบบนี้?”


“เล่าถึงศิลาเย้ยเทพ เรานึกถึงคำถามสองข้อที่กวนใจมานานแล้ว กระแสของเวลาหมายถึงสิ่งใด? ใครเป็นผู้กำหนดกระแสของเวลา?”


“มิสเตอร์ประตูตอบสนองแปลกๆ เขาหัวเราะนานสิบวินาที ก่อนจะบอกว่า ระวังผู้ชมไว้ให้ดี”


“อะไรคือความเชื่อมโยงระหว่างคำแนะนำดังกล่าวกับคำถามของเรา”


“ได้ยินคำเตือนของเขา เราพลันนึกถึงเนื้อหาของศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองและพบจุดที่ไม่ปรกติ ในฐานะผู้วิเศษเส้นทาง ‘นักปราชญ์’ ความจำของเราย่อมไม่แพ้ใคร สิ่งใดที่เคยเห็นนั้นยากจะลืมเลือน แต่สิ่งที่เราจำได้กลับมีเพียงว่า ลำดับ 0 ของเส้นทาง ‘ผู้ชม’ ชื่อ ‘นักสร้างฝัน’ ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพิธีกรรมในการเลื่อนลำดับเป็นเทพ!”


“สำหรับอีกยี่สิบเอ็ดเส้นทางสู่การเป็นเทพ เราจดจำได้ชัดเจนมาก มีเพียงเส้นทางนี้เท่านั้นที่นอกจากเราจะจำไม่ได้ จิตใต้สำนึกกลับไม่สนใจโดยไม่รู้ตัว”


“เราถามมิสเตอร์ประตูอย่างคร่าวๆ ว่าพิธีกรรมกลายเป็นเทพของเส้นทาง ‘ผู้ชม’ คืออะไร?”


“มิสเตอร์ประตูยิ้มอีกครั้ง ตอบด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันและผ่อนคลายว่า: เจ้าเพิ่งพูดออกมาไม่ใช่หรือ?”


“นี่มัน… อย่าบอกว่านะว่าพิธีกรรมกลายเป็นเทพของเส้นทางผู้ชมคือ กำหนดกระแสเวลาให้ไหลไปตามความคาดหวังของตัวเอง จากนั้น ณ จุดหนึ่งของยุคสมัย ดื่มโอสถเข้าไปเพื่อเลื่อนลำดับ?”


“ต้องเป็นแบบนี้ไม่ผิดแน่!”


“เมื่อเทียบกับทฤษฎีที่ว่า: ขอบเขตของ ‘เวลา’ เป็นอำนาจของพระผู้สร้างต้นกำเนิด มีเพียงกระแสเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ท่านจึงจะดึงออกจากมันและสามารถ ‘คืนชีพ’ ; คำอธิบายของเราตรงไปตรงมาและเข้าใจง่ายกว่า อา… เรากำลังพูดถึงผู้ก่อตั้งองค์กรลับโบราณนั่น เขาต้องมีแผนสำหรับตัวเองคนเดียวแน่!”


“เมื่อลองคิดดูให้ดี เรื่องนี้น่ากลัวมากทีเดียว อาจยังไม่เป็นอะไรถ้าอยู่ในลำดับต่ำถึงกลาง แต่เมื่ออยู่ในลำดับสูง การมีความคิดที่ไปขัดหูขัดตาใครบางคนเข้า อาจทำให้ต้องเผชิญความตายโดยไม่รู้ตัว หรือไม่ก็ถูกทำลายไปตลอดกาลอย่างเงียบๆ”


“ระวังผู้ชมให้ดี!”


“แต่เราสงสัย ทำไมมิสเตอร์ประตูถึงรู้จักศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองและพิธีกรรมในการกลายเป็นเทพ? คำตอบที่สามารถอธิบายได้ก็คือ ท่านเคยเห็นศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองด้วยตัวเองมาแล้ว เฉกเช่นโซโลมอน ซาราธ ทูดอร์ ทรันซอสต์ ออกัสตัส ไอน์ฮอร์น เซารอน กาสตีญ่า โซโรอาสเตอร์ สเตียโน่ คอนสแตนติน และคนอื่นๆ … ชื่อเหล่านี้คือตระกูลผู้ปกครองผู้วิเศษในยุคสมัยที่สี่!”


ความลับในไดอารี่หน้านี้ ทำให้ไคลน์รู้สึกราวกำลังเผชิญร่างสัตว์ในตำนาน มวลพายุแห่งความรู้กำลังถาโถมเข้ามาในจิตใจ


พิธีกรรมกลายเป็นเทพของเส้นทางผู้ชม คือการทำให้กระแสเวลาสอดคล้องกับจินตนาการตัวเอง? หากเป็นเช่นนั้นจริง อาดัมคงเริ่มวางแผนตั้งแต่ยุคสมัยที่สี่อย่างรอบคอบ… ถ้าอย่างนั้น ความลับที่กษัตริย์จอร์จที่สามซุกซ่อน อาจเป็นพัฒนาการของกระแสเวลาที่อาดัมคาดหวัง จึงให้ความร่วมมือกับราชวงศ์? รอจนกระทั่งกระแสน้ำแห่งกาลเวลาพัดผ่าน เมื่อสถานการณ์มิอาจพลิกผันได้ในระยะเวลาอันสั้น ท่านจะเถลิงขึ้นสู่บัลลังก์แห่งเทพ?


ถ้าเป็นแบบนั้น การสอบสวนโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันในเชิงลึกนั้นอันตรายมาก แม้ว่าเราในตอนนี้จะเป็นข้ารับใช้ของเทพธิดา มีภูมิหลังที่เกี่ยวข้องกับทางการ สามารถร่วมมือกับทูตสวรรค์ได้ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ประกันความปลอดภัย เพราะท้ายที่สุด เทพธิดาอาจไม่สามารถ ‘เสด็จเยือน’ ไปได้อีกสักพัก… ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์สัมผัสถึงความสั่นกลัว


หากเป็นเมื่อก่อน หลังจากรายงานดังกล่าวให้โบสถ์รัตติกาลทราบ มันคงรู้สึกโล่งใจ หรือแม้กระทั่งออกจากเบ็คลันด์เพื่อไปพักผ่อน แต่ในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นข้ารับใช้ของเทพธิดา มันสัญญาไว้แล้วว่าจะช่วยตามหาเฮอร์วิน·แรมบิสและ ‘นักบุญขาว’ คาร์เทอริน่า จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาเหตุผลเพื่อปลีกตัวหนี


หรือกล่าวได้ว่า เมื่อมีกำไร ก็ต้องสูญเสียบางสิ่งเป็นการแลกเปลี่ยน


นอกจากนั้น ไคลน์ยังไม่ทราบว่าอาดัมหวังกระแสเวลาแบบไหนไว้ หากมีเหตุการณ์เฉกเช่นโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันอีกครั้ง มันคงหนีเอาตัวรอดแบบเดิมไม่ได้แล้ว เพราะมีคนที่ต้องห่วงใยที่นี่ และมีความสงบสุขที่มันปรารถนา


ก่อนอื่นต้องรู้ให้ได้ว่าความลับของกษัตริย์คืออะไร จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อ… ในศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง หากไม่นับชื่อของเส้นทางและโอสถ ความลับที่ซ่อนอยู่คือสิ่งใด? ไคลน์ถอนสายตากลับ เสกให้ไดอารี่ของโรซายล์หายไปในฝ่ามือ


จากนั้น มันมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม ยิ้มและกล่าว


“พวกเจ้าเริ่มได้”


ทันใดนั้น ‘จัสติส’ ออเดรย์ไม่เก็บซ่อนความอยากรู้อยากเห็น ยกมือขึ้นเล็กน้อย:


“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ไม้กางเขนอันนี้มีความพิเศษอย่างไร? หรือหากคำตอบต้องใช้สิ่งแลกเปลี่ยน ดิฉันยินดีรับฟังข้อเสนอ”


ไคลน์วางไม้กางเขนเจิดจรัสไว้บนโต๊ะ รอให้ใครสักคนในชุมนุมทาโรต์ถาม เพื่อจะได้แจ้งให้เดอะซันน้อยและแฮงแมนที่อาจต้องการข้อมูลได้ทราบ เพราะท้ายที่สุด มิสเตอร์ฟูลไม่เหมาะที่จะเปิดประเด็นดังกล่าวด้วยตัวเอง


ได้ยินเช่นนั้น มันยิ้มและมองไปที่:


“ไม่ต้องใช้สิ่งแลกเปลี่ยน… สิ่งนี้เป็นมรดกจากเทพสุริยันบรรพกาล”


ท…เทพสุริยันบรรพกาล…? พระผู้สร้างที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือ? ม…ไม้กางเขนอันนี้มีที่มายิ่งใหญ่ขนาดนั้นเชียว? หัวหน้าราชองครักษ์ซึ่งอยู่แค่ลำดับ 6 หรือลำดับ 5 กลับมีมรดกของเทพสุริยันบรรพกาลไว้ในครอบครอง? เป็นแค่เรื่องบังเอิญ? ได้ยินคำตอบของมิสเตอร์ฟูล ฟอร์สแทบไม่เชื่อหูตัวเอง


ทันใดนั้น ‘เดอะฟูล’ ไคลน์กล่าวอย่างเป็นกันเอง


“ระดับของมันไม่สูงนัก สอดคล้องกับโอสถผู้เจิดจรัส หน้าที่สำคัญคือการขจัดการกัดกร่อนทางจิตของตะกอนพลัง สามารถช่วยสกัดตะกอนพลังจากผู้ที่ดื่มโอสถซ้ำ และช่วยให้ผู้วิเศษที่เกิดเปลี่ยนใจภายหลัง กลับไปใช้ชีวิตแบบสามัญชน”


เป็นพลังที่น่าทึ่งมาก… เข้าใจแล้วว่าทำไมมิสเตอร์เวิร์ลถึงถามว่า หากมีโอกาส เราจะออกจากโลกผู้วิเศษและไปใช้ชีวิตธรรมดาๆ หรือไม่… ‘จัสติส’ ออเดรย์ได้รับคำตอบที่เคยสงสัยมานาน


ถึงว่า… เพียงแค่มอง เราเกิดความรู้สึกอึดอัดเหนือคำบรรยาย… ‘เดอะมูน’ เอ็มลินครุ่นคิดก่อนจะเหลือบมอง ‘เดอะซัน’ เดอร์ริค


เด็กหนุ่มทั้งประหลาดใจและยินดี รู้สึกราวกับความฝันของตนกลายเป็นจริง


อุดมคติของมันคือการปลดปล่อยชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ให้พ้นจากคำสาป กลับไปอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ตามเดิม ไม่ต้องทนทุกข์กับความบ้าคลั่ง ความเจ็บปวด และความทรมานอีกต่อไป


และถ้าความฝันดังกล่าวสามารถทำได้ด้วยพลังของเทพสุริยันบรรพกาล มรดกของพระผู้สร้างที่ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์นับถือ ย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่ห้ามมองข้ามด้วยประการทั้งปวง


เด็กหนุ่มชิงพูดตัดหน้า:


“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ขอทราบวิธีแลกเปลี่ยนวัตถุชิ้นนี้ได้ไหม?”


“ไม่มีปัญหา ตราบเท่าที่เจ้าจ่ายในราคาที่เหมาะสม” ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา


มิสเตอร์ฟูลช่างมีจิตใจกว้างขวาง! ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคชื่นชมจากก้นบึ้ง


ตราบเท่าที่จ่ายในราคาเหมาะสม… ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากธุรกิจให้เช่าสมุดเวทมนตร์ของเมจิกเชี่ยน ตัดสินใจถามทันที


“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ เป็นไปได้ไหมที่จะเช่าไม้กางเขนอันนี้เป็นเวลาหนึ่งวัน? หรือสองสามชั่วโมง?”


ปัจจุบัน มันไม่มีแผนจะเช่าไม้กางเขน เนื่องจากโอสถข้ารับใช้วายุถูกย่อยค่อนข้างเร็ว แต่มันคิดเผื่อไว้ตอนที่ต้องดื่มโอสถผู้ขับขานสมุทร ถึงตอนนั้น การตัดตะกอนพลังออกไปบางส่วนถือเป็นสิ่งจำเป็น


“ตกลง” ‘เดอะฟูล’ ไคลน์ตอบห้วน


เช่าได้ด้วย? ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดที่เคยยืม ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ มาใช้งาน หลังจากได้ฟังคำตอบของมิสเตอร์ฟูล ภายในใจเริ่มตื่นเต้น รีบวิเคราะห์อย่างจริงจังว่าตนจะได้ใช้มรดกของเทพสุริยันบรรพกาลหรือไม่


สองสามวินาทีต่อมา มันพบว่าตอนนี้ยังไม่มีความจำเป็น


หากต้องการปราบภูตผีและวิญญาณ เส้นทางที่เก่งกาจไม่ได้มีแค่สุริยัน แต่เส้นทางรัตติกาลก็เก่งไม่แพ้กัน!


นอกจากนั้น ในตอนที่กลับถึงเบ็คลันด์ เลียวนาร์ดรวบรวมยันต์เพลิงสุริยันได้เพิ่มอีกสี่แผ่น มันวางแผนจะมอบครึ่งหนึ่งให้ไคลน์ที่ช่วยบอกข้อมูล ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเก็บไว้ใช้เอง


สำหรับคุณสมบัติในการตัดตะกอนพลังส่วนเกิน รวมถึงการถอนตัวจากโลกผู้วิเศษ มันไม่ต้องการเลยสักนิด แถมปัจจุบันยังเตรียมจะประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นจอมอาคมวิญญาณ!


ทันใดนั้น ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สเหลือบมองที่ ‘จัดจ์เมนต์’ ซิล ภายในใจรู้สึกเสียดายเล็กๆ


เธอไม่เสียใจที่ทำการสังเวยไม้กางเขนให้มิสเตอร์ฟูล แต่เสียใจที่ไม่ยอมบันทึกพลังของมันลงสมุดเวทมนตร์ก่อนสังเวย


แน่นอน สาเหตุหลักเป็นเพราะเธอค่อนข้างขี้กลัว เมื่อไม่สามารถใช้พลังของโหราจารย์เพื่อทำนายวิธีการใช้และผลข้างเคียงของไม้กางเขน เธอจึงไม่กล้าทดสอบ


แต่เรายังสามารถเช่ามันจากมิสเตอร์ฟูลได้… เธอพยายามมองโลกในแง่ดี


ไม่พบว่าไม่มีใครกล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม ‘เดอะฟูล’ ไคลน์ถอนสายตากลับ ใช้ภาษากายเพื่อส่งสัญญาณให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์เริ่มต้นช่วงเวลาซื้อขายและพูดคุย


อันที่จริง ในปัจจุบัน คนที่ต้องการจะใช้ไม้กางเขนเจิดจรัสมากที่สุดคงหนีไม่พ้นแอนเดอร์สัน นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเลหมอก แม้ว่าชายคนนี้จะขึ้น ‘ฝันทองคำ’ และให้พลเรือโทธารน้ำแข็งช่วยขจัดสิ่งแปลกปลอมส่วนเกินในร่างกาย ถึงจะมีความคืบหน้า แต่อันตรายที่ซ่อนอยู่ยังไม่หมดสิ้นไป


คงต้องวานให้เดนิสช่วยถาม… คิดถึงตรงนี้ ไคลน์รำพันเล็กๆ


ทันใดนั้น ‘จัสติส’ ออเดรย์เปิดปากเสนอจ้างงาน


“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ท่านใดพอจะมีหัวใจของนักล่าฝัน ผลึกภูตจิต หรือสมองที่สมบูรณ์ของมังกรจิตโตเต็มวัยบ้าง?”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1037 : คำถามของเกอร์มัน

 

หลังจากฟังคำพูดของมิสจัสติส เดอร์ริคตอบกลับอย่างกระตือรือร้น:


 


“คลังสมบัติของเมืองเงินพิสุทธิ์น่าจะมีสมองที่สมบูรณ์ของมังกรจิตโตเต็มวัย หลังจากกลับไป ผมจะยืนยันและแจ้งให้ทราบ”


 


เดิมที มันต้องการจะพูดว่า ถึงจะมีสมองสมบูรณ์ของมังกรจิตโตเต็มวัย แต่ก็ล้วนแล้วเปี่ยมไปด้วยความบ้าคลั่ง เปี่ยมไปด้วยมลพิษทางวิญญาณ แต่หลังจากได้ยินสรรพคุณของไม้กางเขนทองแดง มันรู้สึกว่านั่นคงไม่ใช่ปัญหา


 


ง่ายขนาดนี้เลย? ดวงตาของออเดรย์ส่องประกาย อารมณ์ที่เคยหดหู่เมื่อคืนสดใสขึ้นมาก


 


อย่างที่คิด เมื่อเทียบกับข้างนอก เมืองเงินพิสุทธิ์ที่สืบทอดมาจากยุคสมัยที่สอง สามารถหาวัสดุจำพวกมังกรได้ง่ายกว่า… อา… เหตุผลหลักคงเป็นเพราะว่า พวกเขาไม่มีสูตรโอสถในลำดับสูงของเส้นทางนี้ ต่อให้มีวัสดุ แต่ก็คงมิอาจหาทางนำไปใช้งาน แถมยังขาด ‘ช่างฝีมือ’ ไม่มีหนทางเปลี่ยนวัตถุดิบวิเศษให้กลายเป็นสมบัติวิเศษที่สอดคล้องกัน จึงต้องเก็บไว้แบบนั้น… ออเดรย์คิดหลายสิ่ง ถามด้วยรอยยิ้มจางๆ :


 


“ถ้ามี… คุณต้องการแลกเปลี่ยนกับสิ่งใด?”


 


“เรื่องนั้น… ผมยังไม่ได้คิด” เดอร์ริครู้สึกละอายใจเล็กๆ เกือบจะยกมือขึ้นเกาท้ายทอย


 


เป้าหมายสำคัญในตอนนี้คือ หาอะไรก็ได้มาแลกกับมรดกของพระผู้สร้างจากมิสเตอร์ฟูล แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงก็หาสิ่งที่มีค่าทัดเทียมไม่ได้


 


หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน มันคงจะเอาแต่กังวล ทว่าในปัจจุบัน เด็กหนุ่มพอจะมีทางออกให้ตัวเอง


 


เดอร์ริคตัดสินใจจะนำเรื่องนี้ไปถามเจ้าเมือง เพราะอีกฝ่ายคงต้องสนใจมรดกของพระผู้สร้างเช่นกัน


 


เมื่อผุดความคิดนี้ เดอร์ริคจึงไม่ทราบว่าตนจะเรียกร้องสิ่งใดจากมิสจัสติส จึงวางแผนจะจัดแจงหลายๆ สิ่งให้เรียบร้อยค่อยมอบคำตอบกับอีกฝ่าย


 


“ตกลง… คุณไปยืนยันให้แน่ใจก่อน และช่วยมองหาเลือดของมังกรจิตโตเต็มวัยไปด้วยเลย” ‘จัสติส’ ออเดรย์ไม่เซ้าซี้ เพียงพยักหน้าเบาๆ


 


เหล่านี้คือวัตถุดิบเสริมที่ยากที่สุดในสูตรโอสถนักท่องฝัน


 


ออเดรย์มองไปรอบๆ สื่อเป็นนัยว่าตนเสร็จแล้ว


 


อย่ามองมาทางนี้… แม้ว่าฉันจะมีเงินเก็บมาก แต่ยังไม่มีอะไรที่ต้องการซื้อ… นั่นเพราะอาจารย์ยังไม่ได้ให้สูตรโอสถนักท่องเที่ยวกับฉัน… สำหรับเส้นทางผู้ฝึกหัด ในห้าลำดับแรก เราชอบนักท่องเที่ยวมากที่สุด เมื่อก่อนเคยฝันถึงทิวทัศน์อันงดงามและอาหารในสถานที่ต่างๆ … แต่หากไม่มีพลังพิเศษ การเดินทางส่วนใหญ่มักยาวนานหรือไม่ก็แออัด ไม่มีใครทราบว่าโรงแรมเล็กๆ ระหว่างทางสะอาดหรือไม่ และกระเป๋าเดินทางที่เทอะทะจะทำลายอรรถรสไปมาก… ถ้าได้เป็นนักท่องเที่ยวเมื่อไร สิ่งเหล่านี้จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป… ท่ามกลางกระแสความคิด ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สค่อยๆ จินตนาการถึงชีวิตในอนาคต


 


‘จัดจ์เมนต์’ ซิลครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูด:


 


“ทุกคน… รบกวนช่วยมองหาสูตรโอสถของลำดับ 6 ผู้พิพากษาและลำดับ 5 อัศวินวินัยของเส้นทางผู้ตัดสินให้ด้วย”


 


อันที่จริง ซิลมีโอกาสได้รับสูตรโอสถผู้พิพากษาจากเจ้าหน้าที่ของ MI9 แต่เธอเชื่อว่า การตายของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดจะทำให้พายุในกรุงเบ็คลันด์ก่อตัวขึ้นอย่างมิอาจเลี่ยง เมื่อถึงตอนนั้น หลายสิ่งหลายอย่างอาจเปลี่ยนแปลงไป เธอจึงกันเหนียวด้วยการพึ่งพาชุมนุมทาโรต์ ฝากฝังให้ทุกคนช่วยเป็นหูเป็นตา


 


นอกจากนั้น ลำดับ 6 และลำดับ 5 ถือเป็นระดับกลางค่อนไปทางสูงสำหรับ MI9 หากสายข่าวของกองทัพต้องการสูตรโอสถลำดับเหล่านี้ มีความเป็นไปได้สูงที่ถูกสอบประวัติใหม่ และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ ‘ผู้ประสานงาน’ อย่างชายสวมหน้ากากทอง จะช่วยเหลืออะไรได้


 


ซิลผู้กระตือรือร้นที่จะเลื่อนลำดับเพื่อให้ล่วงรู้ความลับของกษัตริย์ เดาได้ไม่ยากว่า ความหวังของเธอคงมิอาจฝากไว้กับกองทัพได้เพียงอย่างเดียว


 


“ตกลง” ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ตอบเป็นคนแรก


 


อาศัยอิทธิพลของราชวงศ์และกองทัพ โบสถ์วายุสลาตันน่าจะมีสูตรโอสถบางอย่างสำหรับเส้นทางผู้ตัดสิน จริงอยู่ เรื่องแบบนี้อาจอยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจของ ‘ลำดับ 6’ ผู้เป็นกัปตันโจรสลัดนอกเครื่องแบบ แต่เมื่อใดที่แฮงแมนกลายเป็นลำดับ 5 และถูกเรียกตัวไปกลับโบสถ์ หรือได้รับมอบหมายให้ทำงานสำคัญอื่นๆ ย่อมมีโอกาสได้พบเบาะแสของสูตรโอสถมากขึ้น


 


ตามต่อด้วย ‘เฮอร์มิท’ แคทลียา


 


“สูตรโอสถเส้นทางผู้ตัดสินถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยราชวงศ์และกองทัพโลเอ็นกับเฟเนพ็อต ไม่ค่อยปรากฏออกสู่โลกภายนอกมากนัก แต่ฉันสามารถหามาให้คุณได้ เพียงแต่ว่าไม่รับประกันด้านเวลา และหากคุณต้องการจริงๆ ฉันสามารถหาสมบัติวิเศษลำดับผู้พิพากษา จากนั้นก็นำมาบดขยี้และรอให้พวกมันรวมตัวกันใหม่ กลายเป็นตะกอนพลังที่สอดคล้องกัน”


 


เมื่อเอ่ยถึงการบดขยี้และรอให้รวมตัวกันใหม่ แคทลียาอยากจะหมุนครึ่งตัวตามจิตใต้สำนึกและกล่าวว่า มิสจัดจ์เมนต์สามารถขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูลได้ แต่สุดท้ายเธอตัดสินใจปิดปากเงียบ


 


สำหรับวิธีหาสูตรโอสถ เรื่องราวไม่ซับซ้อน ขอเพียงเป็นฝ่ายริเริ่มฟังคำพูดของปราชญ์เร้นลับ ยอมรับความรู้มหาศาลที่พรั่งพรูเข้ามา ในฐานะลำดับ 4 ในฐานะราชินีโจรสลัดครึ่งเทพ ความสามารถในการรับความรู้ของเธอเพิ่มขึ้นมากในเชิงคุณภาพ


 


แต่ปราชญ์เร้นลับไม่ใช่ตัวตนที่ปราศจากสติปัญญา มันมีแนวโน้มที่จะเพิ่มอิทธิพลที่แง่ลบให้กับความรู้ที่ตัวเองพล่ามออกมา รวมไปถึงการส่งพลังผ่านข้อมูล ทำให้ผู้ฟังถูกกัดกร่อน ดังนั้น กิจกรรมดังกล่าวจึงยังค่อนข้างอันตราย แต่สาเหตุที่แคทลียายังกล้าเสี่ยง ไม่ใช่เพราะเธอประมาทหรือหยิ่งผยอง แต่เป็นเพราะเธอคือสมาชิกของนิกายมอสส์


 


เนื่องจากเป็นองค์กรลับโบราณที่เชื่อในปราชญ์เร้นลับ เหล่าเบื้องบนของนิกายมอสส์ได้ค้นพบวิธีบรรเทาผลข้างเคียงของเสียงพล่าม จึงค่อยๆ พัฒนาวิธีการ ‘ฟัง’ ที่ค่อนข้างปลอดภัย และในเวลาเดียวกัน ปราชญ์เร้นลับก็มิได้จงเกลียดจงชังคนของนิกายมอสส์มากนัก ไม่มีความคิดริเริ่มที่จะทำอันตราย ส่วนใหญ่เป็นเพียงการเผยแพร่ความรู้ที่บริสุทธิ์ ปล่อยให้พวกความรู้เหล่านั้นไล่ล่าเหล่าสาวก


 


สำหรับแคทลียา ขอเพียงควบคุมจำนวนและความถี่ เธอสามารถรับความรู้จากปราชญ์เร้นลับได้อย่างค่อนข้างปลอดภัย ในส่วนของผลกระทบและการกัดกร่อนๆ ที่เกิดขึ้น เธอเริ่มสงสัยว่า ทุกครั้งที่ตนเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ ขั้นตอนในการแหวกผ่านสู่หมอกสีเทาช่วยลบการกัดกร่อนได้อย่างเป็นธรรมชาติ


 


ปัญหาเดียวก็คือ ประเภทของความรู้ที่ได้รับจะอยู่เหนือการควบคุมของเธอ ขึ้นอยู่กับอารมณ์และความปรารถนาของปราชญ์เร้นลับในตอนนั้น


 


กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือพิธีกรรมพันธสัญญาลับที่มิอาจต้านทาน


 


และสำหรับสมบัติวิเศษของเส้นทางผู้พิพากษาที่เธอเต็มใจหาให้ แคทลียาได้รับมาจากแอนเดอร์สัน นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งทะเลหมอก – กระดุมหนึ่งเม็ด – หลังจากกลายเป็นครึ่งเทพ สมบัติวิเศษหลายชิ้นเริ่มไม่มีประโยชน์กับเธอ หนึ่งนั้นในคือกระดุมเม็ดนี้


 


เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ‘จัดจ์เมนต์’ ซิลขานรับโดยไม่ลังเล:


 


“ตกลง… ฉันจะซื้อมันหลังจากได้รับสูตรโอสถผู้พิพากษา”


 


ถึงตอนนั้น เราเองก็หวังว่าจะได้เลื่อนลำดับเช่นกัน… พลังเหนือหมอกสีเทาที่สามารถเรียกใช้งานได้ จะไม่ใช่แค่ ‘ใกล้เคียงเทวทูต’ แต่เป็นเทวทูตจริงๆ เพื่อใช้ในการบดขยี้ตะกอนพลังและรอให้พวกมันจัดระเบียบใหม่… ไม่อย่างนั้นคงต้องรบกวนมาดามอาเรียนน่าหรือไม่ก็วิลล์… อา… ถ้ามิสเตอร์อะซิกตื่นขึ้นมาเมื่อใด สิ่งต่างๆ จะง่ายขึ้นมาก…


 


เรากำลังสงสัยว่า ไม้กางเขนเจิดจรัสสามารถ ‘ดึง’ ตะกอนพลังออกจากสมบัติวิเศษได้หรือไม่… แต่บางทีอาจจะไม่ได้ เพราะมันปฏิเสธวัตถุเหล่านั้น ไม่ยอมให้เข้าใกล้ด้วยซ้ำ… หากไม่มีข้อจำกัดนี้ ในทางทฤษฎี มันควรจะทำได้เหมือนกัน… วันหลังเราคงต้องลองใช้พลังของหมอกสีเทาเพื่อผสานไม้กางเขนเจิดจรัสเข้ากับสมบัติวิเศษชนิดอื่นๆ … ไคลน์ครุ่นคิดขณะเฝ้ามองการสนทนาของสมาชิกชุมนุมทาโรต์


 


หลังจากจบประเด็นของมิสจัดจ์เมนต์ สมาชิกที่เหลือดูเหมือนจะหมดข้อแลกเปลี่ยน เพราะ ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดพบวิธีกลบข้อเสียของสมบัติวิเศษแล้ว ส่วน ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อให้พลังของตน ‘ถูกต้อง’ ในสายตาเบื้องบน ทางด้านเดอร์ริคเอาแต่คิดถึงแต่มรดกของพระผู้สร้าง และเอ็มลินกับแคทลียาเพิ่งเลื่อนลำดับ จึงไม่ต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ


 


จากบรรดาพวกมัน ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาอยากจะเช่าไม้กางเขนหนึ่งครั้ง เพื่อทดสอบว่าเธอสามารถขจัดมลพิษที่เหลืออยู่ในร่างกายของ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ได้หรือไม่ แต่ไดอารีของโรซายล์ที่เธอรวบได้รับมาจากราชินีเงื่อนงำจำเป็นต้องใช้แลกเปลี่ยนคำตอบ จึงนึกไม่ออกว่าจะนำสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนกับมิสเตอร์ฟูล


 


คงต้องพยายามรวบรวมไดอารี่หน้าอื่นๆ จากทะเล… ขณะแคทลียาวางแผน ‘เดอะมูน’ เอ็มลินไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปทางเมจิกเชี่ยนและกล่าว


 


“มาดาม… อีกสองสัปดาห์ข้างหน้า ข้าอาจต้องเช่าสมุดบันทึกการเดินทางเล่มนั้น”


 


“ไม่มีปัญหา” เดิมที ฟอร์สต้องการจะจ้างให้ ‘เดอะมูน’ เอ็มลินบันทึกพลัง ‘ตรวนนรก’ และพลังพิเศษอื่นๆ ลงในสมุดเวทมนตร์ เมื่อได้ยินคำขอจากอีกฝ่ายจึงมีความสุขมาก เพราะนั่นแปลว่าไม่เพียงเธอไม่ต้องเสียเงิน แต่ยังได้กอบโกยผลประโยชน์


 


คิดได้เช่นนี้ เธออดไม่ได้ที่จะเสริม:


 


“พยายามอย่าบันทึก ‘จันทร์เต็มดวง’ ”


 


ถ้า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ เต็มไปด้วยพลัง ‘จันทร์เต็มดวง’ เธอคงกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก


 


ขณะ ‘เดอะมูน’ เอ็มลินพยักหน้า อัลเจอร์เปิดปากพูดหลังจากครุ่นคิด


 


“แผนการล่าสมาชิกคนสำคัญของโรงเรียนกุหลาบของตระกูลผีดูดเลือดใกล้เริ่มหรือยัง?”


 


“ใช่” เอ็มลินไม่ปิดบัง “รอจนกว่าแผนการเบื้องต้นจะเสร็จ ข้าจะขอคำแนะนำจากทุกคนอีกครั้ง”


 


“ไม่มีปัญหา” ผู้ที่ตอบเป็นคนแรกไม่ใช่แฮงแมน หากแต่เป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่นั่งเงียบมานาน


 


มันให้ความสนใจกับเรื่องนี้? ไม่เพียง ‘เดอะมูน’ เอ็มลิน แต่สมาชิกต่างก็สงสัย


 


หลังจากแฮงแมน เฮอร์มิท และจัสติสรับปากว่าจะช่วยมิสเตอร์มูนวางแผน ช่วงเวลาซื้อขายของชุมนุมทาโรต์ได้สิ้นสุดลง เข้าสู่ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระ


 


‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์เหยียดหลังตรง มองไปทาง ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ด:


 


“ช่วยถามให้หน่อย… ท่านผู้นั้นเคยเห็นศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองหรือไม่”


 


“ศิลาเย้ยเทพ?” ออเดรย์และสมาชิกคนอื่นๆ เข้าใจศัพท์ที่ไม่ธรรมดานี้ทันที


 


ต่างคนต่างผุดความคิดที่น่าตกตะลึง:


 


ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง?


 


มิสเตอร์สตาร์ ไม่ธรรมดาเหมือนกับที่เห็นภายนอก! เขารู้จักกับผู้ที่อาจเคยเห็นวัตถุสำคัญในตำนาน!


 


นอกจากจะเป็นคนของศาสนจักร เป็นผู้วิเศษของทางการ เขายังเก็บซ่อนความลับอื่นด้วย!


 


เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงสามารถเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์…


 


‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดเองก็ตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าไคลน์จะถามแบบนี้


 


หลังจากเงียบสองสามวินาที มันได้แต่ถอนหายใจและกล่าว:


 


“ตกลง”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1038 : รายชื่อ

 

หลังจากมอบคำตอบ ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดพลันตื่นตัวโดยสมบูรณ์ เริ่มเข้าใจความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำถามของไคลน์:


มันกำลังหมายถึง ตาแก่อาจเคยเห็นสิ่งที่เรียกว่าศิลาเย้ยเทพ?


โดยไม่ปล่อยให้เลียวนาร์ดคิด ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์มองไปรอบๆ และกล่าว:


“โบสถ์รัตติกาลได้รับข้อมูลจากพลตรีโจนาส·โคลเกอร์ รองผอ. แห่ง MI9 และยืนยันว่าพระเจ้าจอร์จที่สามแห่งโลเอ็นซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้… เขาแอบส่งคนไปขุดโบราณสถานของ ‘จักรพรรดิโลหิต’ ด้วยความร่วมมือของนิกายแม่มดและสมาคมแปรจิต”


ไคลน์บังคับหุ่นเชิดเพื่ออธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมซึ่งเคยเล่าให้มิสจัสติสฟังไปแล้ว และปิดท้ายด้วยการเน้นประโยค:


“ดูเหมือนว่าโบสถ์ใหญ่ทั้งสามจะไม่พบหลักฐานที่สามารถมัดตัว ผนวกกับการหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาของเฮอร์วิน·แรมบิส เรื่องราวจึงยังดูเหมือนจะสงบ… แต่ตอนนี้กำลังสงสัยกันว่า อาจมีเบื้องบนของหนึ่งในโบสถ์หลักเป็นผู้ทรยศ”


กรุงเบ็คลันด์มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่เราไม่อยู่? ดูเหมือนว่าไคลน์จะได้รับข้อมูลจากศาสนจักรโดยตรง… ทำไมเราถึงไม่รู้อะไรเลย… ได้ยินจบประโยค ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดเหลือบมอง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยสีหน้าประหลาดใจ เจือความเหม่อลอยเล็กน้อย เริ่มไม่แน่ใจว่าใครเป็น ‘ถุงมือแดง’ ของโบสถ์รัตติกาลซึ่งกำลังถูกบ่มเพาะให้เป็นอาวุโสกันแน่


หลังจากนึกทบทวนสักพัก มันเริ่มเข้าใจบางสิ่งอย่างคลุมเครือ แต่มิอาจทำประกายไอเดียเหล่านั้นมาเรียบเรียงเป็นข้อมูลที่เห็นภาพชัดเจน


ซิลซึ่งวางแผนจะแบ่งปันประสบการณ์และคำสารภาพของไวเคานต์สตาร์ฟอร์ดในชุมนุมทาโรต์เพื่อขอคำปรึกษา พลันประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะสิ่งที่มิสเตอร์เวิร์ลกำลังไล่ตาม นับว่าใกล้เคียงกับเป้าหมายในชีวิตของเธอมาก มีหลายจุดที่ซ้อนทับกัน


ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ ก่อนไล่ตามไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดไปที่โกดังท่าเรือ เราของความช่วยเหลือจากมิสเตอร์เวิร์ลก็คงดี บางทีอาจเอาชนะข้อจำกัดและได้รับเบาะแสเพิ่มเติม… ซิลมองไปรอบๆ เรียบเรียงคำพูดเพื่อเตรียมกล่าว


ทันใดนั้น อัลเจอร์พลันตัวสั่น ย้อนนึกไปถึงเมื่อสามสี่เดือนก่อน สมัยที่เดอะสตาร์และจัดจ์เมนต์ยังไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมชุมนุมทาโรต์ ในช่วงเวลาดังกล่าว ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์เคยขอให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์สืบหาข้อมูลเพิ่มเติมของโจนาส·โคลเกอร์ นอกจากนั้น อีกฝ่ายยังระบุว่าเฮอร์วิน·แรมบิสเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคดีฆ่าตัวตายของคารอน


นึกแล้วเชียว… คดีฆ่าตัวตายธรรมดาๆ ของคารอนไม่น่าจะทำให้ ‘เดอะเวิร์ล’ ลงทุนลงแรงมากมายขนาดนี้ คนที่มันไล่ตามมักจะเกี่ยวข้องกับความลับที่ส่งผลต่อสถานการณ์โลก… นอกจากนั้นยังอาจมีผู้ทรยศเป็นเบื้องบนของสามศาสนจักรใหญ่? พระคาร์ดินัลหรืออาวุโสใหญ่คนไหน? อัลเจอร์ตระหนักถึงความปั่นป่วนของคลื่นใต้น้ำ ขณะเดียวกันก็ได้กลิ่นของโอกาส


ว่ากันตามตรง มันเป็นเพียงสมาชิกที่ไม่สลักสำคัญของโบสถ์วายุสลาตัน เป็นผู้วิเศษที่คอยเล่นเป็นโจรสลัดนอกเครื่องแบบ ปลายทางอย่างมากคือการได้เป็นลำดับ 5 ผู้ขับขานสมุทร จากนั้นก็กลับไปประจำการที่วิหารและรับตำแหน่งทูตพิพากษาระดับสูง แทบจะไม่มีโอกาสได้ถือสมบัติปิดผนึกหรือกลายเป็นครึ่งเทพ


ทว่า เรื่องราวจะเปลี่ยนไปหากมีสถานการณ์พิเศษซึ่งเกิดขึ้นได้ยาก หากมันพึ่งพาความช่วยเหลือจากชุมนุมทาโรต์และแสดงฝีมือได้ดี ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ก็มีโอกาสที่จะถูกศาสนจักรบ่มเพาะ


ในทำทองเดียวกัน คล้ายกับแคทลียามองเห็นเมฆมืดที่กำลังสั่งสมภายในเบ็คลันด์ มองเห็นสายลมกระโชกที่กำลังเปลี่ยนทิศ และเริ่มเข้าใจอย่างคลุมเครือว่าทำไม ‘ราชินี’ จึงหมกตัวอยู่ที่นั่นในช่วงหกเดือนหลัง ส่วนเอ็มลินทำเพียงขมวดคิ้ว เป็นอีกครั้งที่มันรู้สึกว่า เบ็คลันด์ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยสำหรับตระกูลผีดูดเลือด


ได้แต่หวังว่าเรื่องราวเหล่านี้จะไม่รบกวนแผนการล่าสมาชิกคนสำคัญโรงเรียนกุหลาบ… นอกจากนั้น คงเป็นการดีที่สุดหากจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เราและหลวงพ่อยุ่งวุ่นวาย เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันเมื่อปีที่แล้ว… เมื่อเอ็มลินนึกทบทวนอดีต คิ้วของมันขมวดชนกัน


มันกวาดหางตาไปทางเดอะซันด้านข้าง เมื่อพบว่าเด็กหนุ่มเอาแต่นั่งตัวตรงด้วยสายตาว่างเปล่า เอ็มลินอดไม่ได้ที่จะรำพัน


“ดิฉันจะช่วยตามหาเฮอร์วิน·แรมบิส” ‘จัสติส’ ออเดรย์ทำลายความเงียบด้วยการพูด


‘จัดจ์เมนต์’ ซิลหันไปทาง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์และกล่าว:


“ฉันกำลังตรวจสอบบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความลับของกษัตริย์ หากต้องการความช่วยเหลือ ทางนี้ยินดีเต็มที่”


กล่าวจบ เธอเล่าถึงเรื่องที่มีใครบางคนคอยจับตามองเชอร์มาเน่


“ตกลง” ไคลน์ที่ทราบว่าเป็นแม่มดทริสซี่ บังคับให้หุ่นเชิด ‘เดอะเวิร์ล’ พยักหน้า ตามด้วยหัวเราะแผ่วเบา “ไม่ว่าจะเป็นการสืบหาที่อยู่ของเฮอร์วิน·แรมบิสหรือการสืบสวนความลับของกษัตริย์ พวกคุณทุกคนต้องคอยสังเกตว่าเรื่องราวรอบตัวเต็มไปด้วยความบังเอิญหรือไม่ ถ้าหากมี ต้องแจ้งให้ผมทราบทันที”


มันไม่ได้พูดถึง ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’ และอาดัมโดยตรง ด้วยกังวลว่ามิสจัสติสจะคิดหนักจนเกิดความเครียด และนั่นจะมาพร้อมปัญหา มาพร้อมการถูกเฝ้ามองจากอีกฝ่าย


ความบังเอิญที่มากเกินไป… ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สและสมาชิกคนอื่นๆ ของชุมนุมทาโรต์เน้นย้ำประโยคดังกล่าวภายในใจ แต่ละคนมีการคาดเดาของตัวเอง


หลังจากเงียบไปสิบวินาที ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคพูด


“หลังจากผ่านช่วงปรับตัวและเตรียมความพร้อม ผมต้องตามทีมสำรวจไปที่ค่ายในหมู่บ้านยามบ่าย เมื่อถึงตอนนั้น ทีมสำรวจอาจจะพยายามเข้าสู่ ‘วังราชาคนยักษ์’ ”


สำหรับออเดรย์และคนอื่นๆ เรื่องนี้มิได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน พวกมันทราบอยู่แล้วว่าหลังจากเดอะซันกลายเป็นลำดับ 5 มีความเป็นไปได้สูงที่เมืองเงินพิสุทธิ์จะเริ่มลงมือ


ดังนั้น พวกมันจึงไม่แปลกใจหรือตกตะลึง ตรงกันข้าม รู้สึกว่าในที่สุดก็ถึงเวลาเสียที ตำนานในยุคสมัยบรรพกาลกำลังจะถูกเปิดเผยอย่างถูกต้องและชัดเจน


‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ครุ่นคิดสักพัก ตักเตือนอย่างคลุมเครือ:


“เมื่อถึงตอนนั้น ทำตามคำสั่งของหัวหน้าของคุณอย่างเคร่งครัด รวมถึงการสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลให้มากที่สุด และถ้าประสบปัญหา สามารถทำเหมือนมิสเตอร์มูน จัดการชุมนุมย่อยขึ้นเพื่อให้พวกเราช่วยกันระดมความคิด”


“ตกลงครับ มิสเตอร์แฮงแมน” ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคไม่รู้สึกกระอักกระอ่วน เพราะนั่นคือสิ่งที่มันเตรียมจะทำอยู่แล้ว


หลังจากช่วงเวลาแลกเปลี่ยนจบลง ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์หันไปทางโต๊ะทองแดงยาว กล่าวอย่างนอบน้อมและเคารพ:


“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ เรื่องที่ท่านเคยขอให้ผมตรวจสอบ ตอนนี้ได้คำตอบแล้ว”


ท่ามกลางสายตาที่สงสัยและอยากรู้อยากเห็นของสมาชิก มันเล่าต่อ:


“ในยุทธการโคโนโต้ปี 1338 จักรวรรดิฟุซัคมีนาวาเอกเข้าร่วมสงครามทั้งสิ้นห้าคน สองในห้าถูกสังหารในยุทธการทางเรือ หนึ่งคนต้องออกจากราชการทันทีหลังจบศึกเนื่องจากแก่ชรา โดยสองปีต่อมาได้เสียชีวิตจากโรคพิษสุราเรื้อรัง หนึ่งคนได้รับการเลื่อนยศเป็นนาวาเอกพิเศษ ย้ายทำไปงานที่โรงเรียนนายเรือ ดำรงตำแหน่งรองคณบดี หนึ่งคนกลายเป็นพลเรือตรี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองเรือจู่โจมที่สองของจักรวรรดิฟุซัค”


ทันทีที่สิ้นเสียง อัลเจอร์ได้รับอนุญาตให้สร้างหน้ากระดาษขาวที่เต็มไปด้วยข้อมูลเพิ่มเติม


‘เดอะฟูล’ ไคลน์เสกมาอยู่บนฝ่ามือตัวเองและอ่านอย่างรวดเร็ว


มันเคยขอให้แฮงแมนสอบสวนนาวาเอกของจักรวรรดิฟุซัคในยุทธการโคโนโต้ในปี 1338 ส่วนหนึ่งเพราะต้องการทราบว่าใครคือเจ้าของเดิมของ ‘ยุบพองหิวโหย’ นายทหารเรือผู้จับกุมแอนดี้·ไฮเดิน ผู้ช่วยกัปตันเรือเอ็นมาร์ตในการยุทธการทางทะเลและ ‘ต้อนแกะ’ เข้าไป และเมื่อพิจารณาว่ามันเป็นฝ่ายชนะ จึงตัดเรื่องการตายในสงครามไปได้เลย


และสาเหตุที่แฮงแมนค้นพบเกาะโบราณ ไคลน์สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของ ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’ ผู้มอบถุงมือให้คีลิงเกอร์


ไม่ว่านาวาเอกคนนั้นจะเป็นสมาชิกวงนอกหรือเต็มตัว มันไม่น่าจะตายง่ายขนาดนั้น ไม่น่าจะเสียชีวิตด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง… แน่นอน ไม่ความเป็นไปได้ที่มันอาจถูกปิดปาก… ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์เขียนชื่อทั้งสามลงในสมุดปกขาว:


“บอริส… ตายในปี 1347 สาเหตุการตาย: โรคพิษสุราเรื้อรัง”


“ซุสดาล… อายุสี่สิบแปด ยศนาวาเอกพิเศษ รองคณบดีโรงเรียนนายเรือฟุซัค”


“ดิมีทรีฟ… อายุสี่สิบห้า นาวาตรี ผู้บัญชาการกองเรือจู่โจมที่สองของฟุซัค”


ถอนสายตาออกจากกระดาษ ‘เดอะฟูล’ ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย กล่าวกับแฮงแมน


“ดำเนินการสืบสวนสามคนหลังโดยละเอียดต่อไป ค้นหาเหตุการณ์สำคัญในชีวิตพวกเขา”


“ขอรับ มิสเตอร์ฟูล” ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์เห็นขานรับโดยไม่ลังเล


สำหรับมัน สิ่งนี้ถือเป็นโอกาส ไว้เสร็จงานเมื่อไร มันอาจได้ยืมไม้กางเขนฟรี


หลังจากแลกเปลี่ยนข้อมูลกันสักพักแล้ว ชุมนุมทาโรต์ประจำสัปดาห์ก็ยุติลงอย่างเป็นทางการ ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดกลับสู่โลกความจริง


ในท่านั่งบนโซฟา หลังจากลังเลสักพัก มันพาดขาลงบนโต๊ะกาแฟ ลดเสียงลงและถาม:


“ตาแก่… คุณเคยเห็นศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองไหม”


ภายในใจ เสียงค่อนข้างชราของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ดังขึ้น:


“ไม่… เป็นปู่ทวดของข้าที่ได้เห็นศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง… หึหึ… ใครเป็นผู้ถามเรื่องนี้?”


เลียวนาร์ดไม่ตอบทันที ยังคงนำคำตอบของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ไปขบคิด


ศิลาเย้ยเทพมีอยู่จริง!


ปู่ทวดของตาแก่ได้เห็นศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง!


เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงกลายเป็นเทวทูต!


ผ่านไปสองสามวินาที เลียวนาร์ดถามด้วยความอยากรู้เจือคาดหวัง:


“ตาแก่… คุณรู้สูตรโอสถของ ‘ผู้พิทักษ์ราตรี’ ไหม?”


พาลีส·โซโรอาสเตอร์หัวเราะเยาะทันที


“ไร้เดียงสา! จากคำบอกเล่าของท่านปู่ทวด สถานการณ์ในตอนนั้นเร่งด่วนมาก โอกาสมีเพียงน้อยนิด ศิลาเย้ยเทพอาจหายไปตอนไหนก็ได้ คนฉลาดทุกคนย่อมทราบว่า เป็นการดีที่สุดที่จะใส่ใจกับเส้นทางผู้วิเศษที่สมบูรณ์ให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นค่อยไปดูเส้นทางอื่นๆ … นอกจากนั้น ความรู้บนศิลาเย้ยเทพยังนำเสนอในรูปแบบของแก่นแท้มากกว่าถ้อยคำ ผู้พบเห็นทุกคนต้องใช้เวลาตีความ… ในตอนที่ศิลาเย้ยเทพถูกนำกลับไป ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถจดจำเส้นทางผู้วิเศษของตนได้ครบถ้วน จึงไม่ต้องพูดถึงเส้นทางอื่น… จริงอยู่ ข้าเองก็มีสูตรโอสถเส้นทางอื่นเป็นจำนวนมาก แต่ทั้งหมดล้วนมาจากการรวบรวมของตระกูลตลอดหลายปี ในหมู่พวกมันจึงไม่ค่อยมีลำดับสูง”


“เข้าใจแล้ว…” เลียวนาร์ดยิ้มแห้ง ก่อนจะถามต่อ “แล้วใครเป็นคนนำศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองกลับไป?”


พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบงันสักพัก


“ถ้าปู่ทวดของข้าเล่าไม่ผิด… คนผู้นั้นคือ ‘ราชาเทวทูต’ อาดัม”


“สำหรับเจ็ดเทพ… ไม่สิ ตอนนั้นคงเป็นหกเทพ… ไม่ได้เข้าร่วมเหตุการณ์นี้?” เลียวนาร์ดถามด้วยความประหลาดใจ


พาลีส·โซโรอาสเตอร์หัวเราะอย่างมีเลศนัย


“อย่างน้อยก็ไม่ได้ทำอย่างเปิดเผย”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)