Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1029-1032

ราชันเร้นลับ 1029 : โบราณสถานหมายเลขห...

 

ไม่… โจนาส·โคลเกอร์ยืนแน่นิ่ง ภายในใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวังอย่างแรงกล้า


ในฐานะที่เป็นครึ่งเทพมากประสบการณ์ของกองทัพ มันเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองเป็นอย่างดี เสียงฝีเท้าแห่งความตายกำลังย่างกรายเข้ามาใกล้


มันต้องการที่จะสู้จนตัวตาย ต้องการเผยร่างสัตว์ในตำนาน ทว่า คำสั่งที่ส่งออกไปอย่างเชื่องช้ากลับไม่แสดงผลใดๆ


ร่างกายของมันกำลังถูก ‘ปรสิต’ สิงร่างจนมิอาจควบคุม!


ในวินาทีนี้ โจนาส·โคลเกอร์มิอาจทำได้แม้กระทั่งการหลั่งน้ำตา


ท่ามกลางแสงเงาจากดวงจันทร์ยักษ์สีแดง กระแสเวลาไหลผ่านไปวินาทีแล้ววินาทีเล่า จนกระทั่งโจนาส·โคลเกอร์ยกมือซ้ายขึ้นมาสัมผัสเส้นผมตัวเอง


มันกลายเป็นหุ่นเชิดของไคลน์เรียบร้อยแล้ว


อันที่จริง ในช่วงสุดท้าย มันมีโอกาสเอาชีวิตรอด เนื่องจากระยะเวลาของกระสุนปรสิตนั้นน้อยกว่าระยะเวลาในการเปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิดโดยสมบูรณ์ ช่องว่างประมาณสองถึงสามวินาทีดังกล่าวคือช่วงที่มันสามารถเผยร่างสัตว์ในตำนานและยื้อชีวิต


แต่ปัญหาก็คือ มันยังอยู่ในผลของกระสุนหลอกลวง แถมความคิดก็ยิ่งเฉื่อยชามากขึ้นทุกขณะ หมดโอกาสตระหนักถึงโอกาสสั้นๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว


ไคลน์จ้องหุ่นเชิดตัวใหม่ หายใจเข้าออกเงียบงัน เงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ยักษ์สีแดงและกล่าว


“จบแล้ว”


ท่ามกลางพระจันทร์สีแดงดวงใหญ่ จุดดำจุดหนึ่งโผล่ขึ้นและร่อนลงมาทันที ไม่ใช่ใครนอกจากสตรีที่สวมเสื้อคลุมเรียบง่าย หัวหน้าสิบสามอาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์รัตติกาล ‘บริวารอำพราง’ อาเรียนน่าผู้สวมเข็มขัดเปลือกไม้


ท่ามกลางโลกแห่งความลับ ผู้บำเพ็ญตนรายนี้มิได้ใช้พลังพิเศษ แต่กลับสามารถลอยอยู่กลางอากาศ เธอจ้องไปทางเคาต์แห่งการเสื่อมถอยด้านล่าง


เพียงเธอยกมือขวาแผ่วเบา ร่างวิญญาณของโจนาส·โคลเกอร์พลันถูกกระชากขึ้นไปด้านบน ส่งผลให้ไคลน์สูญเสียการควบคุมหุ่นเชิด


มันไม่แปลกใจกับเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะในท้ายที่สุด มันไม่ได้แยกหนอนวิญญาณและส่งเข้าไปในร่างอีกฝ่ายเพื่อควบคุมหุ่นเชิด พลังที่ใช้เมื่อครู่เป็นแค่ของลำดับ 5 ซึ่งยังไม่ถึงครึ่งเทพ


“เจ้าเพิ่งไปไหนมา” อาเรียนน่าจ้องโจนาส·โคลเกอร์และถามอย่างใจเย็น


สีหน้าของโจนาส·โคลเกอร์บิดเบี้ยวเล็กน้อยก่อนจะตอบ


“โบราณสถานหมายเลขหนึ่ง”


ชายคนนี้ทำพันธสัญญาผูกมัด… หรือถูกชี้นำทางจิต? ไคลน์ที่กำลังเฝ้ามองการสื่อวิญญาณ สังเกตเห็นบางสิ่งจากท่าทีตอบสนองของเคาต์แห่งการเสื่อมถอย


ทว่า ไม่ว่าจะเป็นพลังชนิดใด แต่นั่นก็ไม่มีผลภายในโลกแห่งความลับที่ไม่มีใครตระหนักถึง โลกลึกลับที่ไม่มีใครสัมผัสได้


“โบราณสถานดังกล่าวอยู่ที่ใด เป็นของใคร และใช้ทำอะไร” ในฐานะหัวหน้าสิบสามอาร์ชบิชอปแห่งรัตติกาลและยังเป็นเทวทูตในเส้นทางเดียวกัน อาเรียนน่าจึงถือครอง ‘อำนาจ’ ในขอบเขตความลับและไม่จำเป็นต้องเริ่มถามจากคำถามง่ายๆ แต่ตรงเข้าประเด็นทันที ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับเหยื่อ


วิญญาณของโจนาส·โคลเกอร์สั่นระริกเล็กๆ คล้ายกับจะระเบิดออก แต่สุดท้ายก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


มันลังเลสักพักก่อนจะตอบ


“โบราณสถานตั้งอยู่ในเขตสเตอร์ริเว่นของแม่น้ำทัสซอค ลึกลงไปใต้ดิน… มีการเตรียมการสำหรับขัดขวางพลังทำนายและพยากรณ์”


เขตสเตอร์ริเว่น… เป็นภูเขาลูกเดียวกับที่มิสเตอร์ A เคยเข้าไป และไม่ไกลจากจุดที่หมอนั่นเพิ่งหายตัวไปด้วยอุปกรณ์บางอย่าง… ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะระวังตัวเป็นอย่างดี… การที่เราไม่ถูกพบตัว แปลว่าวิธีย้ายตำแหน่งแบบจุดต่อจุดมีประสิทธิภาพสูงมาก… แผนที่บริเวณชานเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเบ็คลันด์ถูกวาดขึ้นในหัวไคลน์อย่างรวดเร็ว


โจนาส·โคลเกอร์ยังเล่าต่อไป


“โบราณสถานดังกล่าวเคยเป็นของ ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์มาก่อน ส่วนปัจจุบันใช้ทำอะไรนั้น ฉันเองก็ไม่แน่ใจเพราะไม่เคยเข้าไปในส่วนลึกแม้แต่ครั้งเดียว มีหน้าที่เพียงคอยส่งคนและวัสดุที่รวบรวมมาได้”


ชื่อของ ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์ทำให้อาเรียนน่าเงียบไปสักพัก จนกระทั่งสองสามวินาที เธอยิงคำถามใหม่


“เจ้าเก็บรวบรวมวัสดุแบบใด”


สำหรับคราวนี้ โจนาส·โคลเกอร์มิได้แสดงอาการต่อต้านมากนัก พรั่งพรูคำตอบออกมาทีละหนึ่ง ประกอบด้วยสารจำพวกปรอท แร่เหล็ก และวัตถุดิบสำหรับประกอบพิธีกรรมในขอบเขตต่างๆ ไคลน์มิอาจวิเคราะห์หาความเชื่อมโยงจากข้อมูลดังกล่าว เพราะมันคลุมเครือและกว้างเกินไป จะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น


รอบคอบมาก… สิ่งของไม่จำเป็นจำนวนมากถูกรวบรวมเพื่อปกปิดเป้าหมายที่แท้จริง แม้แต่ครึ่งเทพที่ได้รับมอบหมายก็ยังไม่ทราบจุดประสงค์… นี่คือรูปแบบการวางแผนของเส้นทางผู้ชม… สมาคมแปรจิตอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้? ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อยขณะคาดเดา


คล้ายกับอาเรียนน่ามิได้ฉุกคิดสิ่งใด เธอถามต่อไป


“เจ้าพอจะเดาได้ไหมว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใด? ถ้าเดาได้ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย”


“อา… ฉันสงสัยว่าพวกเขากำลังขุดค้นเพื่อหาบางสิ่ง และใช้มันเพื่อเป็นเครื่องสังเวย” โจนาส·โคลเกอร์เล่าในสิ่งที่ตนคิด


อาเรียนน่าจ้องมองด้วยสายตาเย็นชาสักพัก ตามด้วยกล่าว


“ใครเป็นผู้สั่งให้เจ้าเข้ามาพัวพันกับโบราณสถานใต้ดิน? และมีใครบ้างที่ผ่านเข้าออกที่นั่นได้”


โจนาส·โคลเกอร์พยายามขัดขืนอีกครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็ยังมิแปรเปลี่ยน


มันตอบด้วยสีหน้าลังเล


“เป็นคำสั่งโดยตรงจากฝ่าบาท… ฉันสามารถเป็นครึ่งเทพได้ก็เพราะพระองค์มอบสูตรโอสถ วัตถุดิบ และโอกาสในการเลื่อนลำดับ… นอกจากนั้นพระองค์ยังมอบ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ ให้ฉันเพื่อคอยปกปิดฝีมือในฐานะผู้วิเศษลำดับ 5… นอกจากฝ่าบาทที่สามารถเข้าไปในส่วนลึกของโบราณสถานได้ ปัจจุบันมีเพียงครึ่งเทพสองตนของราชวงศ์ที่สามารถผ่านเข้าไป หนึ่งคือเจ้าชายโกรฟ และอีกหนึ่งคือดัชเชสจอร์จิน่า”


ทั้งหมดเป็นคนของตระกูลออกัสตัส… หมายความว่าราชวงศ์มีครึ่งเทพมากกว่าหนึ่ง… มิสจัสติสไม่ค่อยมีข้อมูลของทั้งสองมากนัก ทราบเพียงว่า ทั้งคู่ไม่ชอบเข้าสังคม แม้แต่ตำแหน่งในสภาสูงก็ล้วนมอบให้ทายาทจัดการดูแล… อา… สำหรับครึ่งเทพ ถึงแม้อายุขัยจะยังไม่ถึงขั้นอมตะ แต่ก็ยืนยาวกว่ามนุษย์ทั่วไปมาก การมีชีวิตอยู่เกินหนึ่งร้อยปีไม่ใช่เรื่องยาก จึงไม่เหมาะกับตำแหน่งทางราชการที่ต้องเผยตัวต่อหน้าสาธารณชน… ไคลน์พยายามทบทวนทรงจำ แต่ก็นึกอะไรเพิ่มเติมไม่ออก


อาเรียนน่าเงียบงันสองสามวินาที จากนั้นก็ถาม


“เจ้าเคยพบคอร์เรนส์ในโบราณสถานไหม?”


“เขาเป็นใคร?” โจนาส·โคลเกอร์ถามกลับด้วยสีหน้าสับสน


อาเรียนน่าไม่ตอบ เพียงถามต่อ


“นอกจากที่เล่ามาข้างต้น เจ้าเคยเห็นใครในโบราณสถานอีกบ้าง?”


โจนาส·โคลเกอร์ยังคงอยู่ในสภาพเฉื่อยชาของการถูกสื่อวิญญาณ


“นอกจากนั้นยังมีคนจากนิกายแม่มดและสมาคมแปรจิต ตัวแทนของฝ่ายแรกคือ ‘ไนติงเกลแห่งความสิ้นหวัง’ พานาเทีย แต่หลังจากโศกนาฏกรรมมหาหมวกควัน เธอถูกแทนที่ด้วย ‘นักบุญขาว’ คาร์เทอริน่า·เปลเล่ ส่วนตัวแทนของฝ่ายหลังคือเฮอร์วิน·แรมบิส”


“พวกเขาเคยเข้าไปในส่วนลึกของโบราณสถานหรือไม่” อาเรียนน่าถามอย่างใจเย็น


“ฉันไม่ทราบ… ไม่ได้ติดตามพวกเขาตลอดเวลา” โจนาส·โคลเกอร์ส่ายหน้า “อย่างน้อยก็ในตอนที่เคยพบกัน พวกเขาทั้งหมดอยู่ในเขตด้านนอก”


อาเรียนน่าพยายามถามถึงประเด็นอื่น พยายามจับเค้าโครงภาพรวมอย่างรอบคอบ แต่น่าเสียดายที่แผนการของกษัตริย์จอร์จที่สามแทบไม่มีช่องโหว่ แม้แต่ครึ่งเทพอย่างโจนาส·โคลเกอร์ก็ยังทราบแค่ข้อมูลในกรอบภารกิจของตน รวมถึงเขตที่ตนเข้าออกได้ ไม่รู้มากไปกว่านี้


ครุ่นคิดสักพัก อาเรียนน่าตวัดมือขวาแผ่วเบา กดวิญญาณของโจนาส·โคลเกอร์กลับเข้าไปในร่างเนื้อ ส่งผลให้ไคลน์กลับมาควบคุมหุ่นเชิดได้อีกครั้ง


ฉากดังกล่าวทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน


พลังอำนาจในขอบเขตความลับช่างน่าสะพรึง! ต่อให้วันหนึ่งมาดามอาเรียนน่าแอบสอบปากคำหุ่นเชิดของเราอย่างลับๆ ตัวเราที่เป็นเจ้านายคงไม่มีทางเอะใจ…


ทันใดนั้น อาเรียนน่าหมุนตัวเล็กน้อย กล่าวกับชายหนุ่มบนระเบียง


“ยืนยันได้ชัดเจนแล้วว่าจอร์จที่สามผิดปรกติ… รวมถึงตำแหน่งของโบราณสถานใต้ดิน… ข้าจะรีบติดต่อกับโบสถ์วายุสลาตันและโบสถ์จักรกลไอน้ำประจำกรุงเบ็คลันด์ทันที ประสานงานให้พวกเขาลงมือขุดค้นโบราณสถานในคืนนี้เลย… ก่อนที่ข้าจะส่งสัญญาณ รบกวนเจ้าช่วยควบคุมโจนาส·โคลเกอร์และแสร้งว่าเขายังมีชีวิตอยู่ จากนั้นก็ทำให้หายไปในภายหลัง”


คุณกำลังกังวลว่าระหว่างที่เจรจากับอีกสองโบสถ์ ทางนั้นจะพบปัญหาเกี่ยวกับโจนาส·โคลเกอร์ จึงรีบปิดตายโบราณสถานใต้ดินหรือไม่ก็เปิดใช้งานแผนฉุกเฉินสักชนิด? ไคลน์พอจะเข้าใจสถานการณ์เบื้องต้น พยักหน้ารับโดยไม่ปฏิเสธ


“ตกลง”


อาเรียนน่าที่ปล่อยเส้นผมไปตามธรรมชาติ ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงโบกมือแผ่วเบาและเสกให้นาฬิกาพกหุ้มเหล็กลอยไปหาตัวเอง


“สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้เป็นของขวัญจากจอร์จที่สามโดยตรง บางทีอาจมีเบาะแสบางอย่างหลงเหลือ”


แปลว่าคุณจะนำมันกลับไปด้วย? ไคลน์ตอบโดยไม่ขัดข้อง


“สุดแล้วแต่ท่าน”


สำหรับประเด็นนี้ มันมิได้นึกเสียดาย คิดด้วยซ้ำว่านี่เป็นเพียงทางออกเดียว เพราะในท้ายที่สุด ความสำเร็จครึ่งหนึ่งต้องยกให้โลกแห่งความลับของอาเรียนน่า รวมถึงพร ‘เคราะห์กรรม’ ถึงอีกฝ่ายจะไม่เอ่ยปากขอ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ ด้วยตัวเอง แต่ไคลน์ก็วางแผนที่จะให้อยู่แล้ว หากเป็นในด้านความเที่ยงธรรม ชายหนุ่มไม่เป็นสองรองใคร


นอกจากนั้น ‘แสงเงาประชันดนตรี’ ยังรางวัลที่มันต้องการน้อยที่สุดในศึกนี้ เพราะนั่นไม่เข้ากับรูปแบบการต่อสู้ของจอมเวทพิสดารสักเท่าไร การแปรผันแบบสุ่มจะส่งผลต่อ ‘การแสดง’ ที่มันวางแผนเอาไว้อย่างรอบคอบ และนั่นจะกลายเป็นภาระมากกว่าผลดี


แต่ถ้าไคลน์ถูกบังคับให้ต้องรับ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ กลับไป มันก็มีแผนรองรับ นั่นคือการนำไปหลอก— นำไปมอบให้ ‘อสรพิษแห่งชะตา’ วิล·อัสติน – เพราะมีเพียงครึ่งเทพแห่งโรงเรียนชีวิตที่พึ่งพาโชคเท่านั้น จึงจะรู้วิธีควบคุม ‘แสงเงาประชันดนตรี’ อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยความเป็นที่เป็นองค์กรลับขนาดใหญ่ ด้วยความที่เป็นเทวทูตลำดับ 1 วิล·อัสตินจะต้องมีสมบัติปิดผนึกทรงพลังอื่นๆ มาแลกเปลี่ยน


ได้ยินคำตอบ อาเรียนน่าพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะโยนนาฬิกาพกหุ้มเหล็กกลับไปหาโจนาส·โคลเกอร์ ช่วยให้เคาต์แห่งการเสื่อมถอยรายนี้ดูไม่ต่างไปจากปรกติ


ทันใดนั้น ร่างของเธอเลือนหายไปในพริบตาประหนึ่งถูกยางลบลบ พร้อมกับการสลายตัวของโลกที่มืดมนซึ่งปกคลุมยอดแหลมและปล่องไฟของคฤหาสน์


เพียงพริบตา ทุกสิ่งกลับเป็นปรกติ: ไคลน์อยู่ในห้องนอนใหญ่ โจนาส·โคลเกอร์อยู่ในห้องนอนแขกที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร ในมือของมันกำลังกำ ‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ แนบแน่น


จากนั้น พลตรีแห่ง MI9 ใช้พลัง ‘ยุ่งเหยิง’ เพื่อนำปืนลูกโม่กลับเข้าไปในซองปืนใต้รักแร้ พลางหยิบแก้วไวน์ที่บรรจุไวน์พิเศษของคฤหาสน์เพลงกุหลาบซึ่งตนเพิ่งเทลงไป ยกขึ้นจิบอย่างดื่มด่ำ

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1030 : ปฏิบัติการร่วม

 

กรุงเบ็คลันด์ เขตเหนือ วิหารนักบุญแซมมวล


คาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน อาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลเบ็คลันด์ ‘เจ้าพิธีกรรมสีคราม’ เรดาลล์·วาเลนไทน์กำลังร่อนลงมาจากสายลม เหยียบลงบนยอดแหลมที่มีนาฬิกายักษ์อยู่ทางซ้ายมือ


มันสวมเสื้อคลุมสีดำปักลวดลายพายุ บนใบหน้ามีหนวดเครา ผมตรงตัดสั้น สีน้ำเงินเข้มเกือบดำ


ครึ่งเทพที่ทรงพลังรายนี้มองไปยังทิศทางหนึ่ง กล่าวกับบุคคลที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว


“ฮารามิค… คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมแอนโทนีถึงเรียกเรามาที่นี่กะทันหันนัก?”


คนที่มันกำลังสนทนาด้วย แต่งกายในชุดนักบวชสีขาวและหมวกนักบวช หน้าตาใจดี แววตาอ่อนโยน ไม่ใช่ใครนอกจากหนึ่งในสภาศักดิ์สิทธิ์แห่งโบสถ์วายุสลาตัน อาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลเบ็คลันด์ ครึ่งเทพ ฮารามิค·ไฮเดิน


ได้ยินคำถามจากเรดาลล์ ฮารามิคตอบสุขุม


“ผมก็มิได้มาถึงก่อนคุณนานนัก แถมยังเพิ่งออกจากห้องวิจัยแค่ไม่กี่นาที”


นอกจากนักบวช มันยังเป็นนักวิทยาศาสตร์คนดัง เป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์สาขาฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยเบ็คลันด์


ขณะเรดาลล์·วาเลนไทน์เตรียมกล่าวบางสิ่ง มันเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งเดินขึ้นมาจากบันไดคดเคี้ยวแคบๆ จนกระทั่งถึงยอดหอคอยในจุดที่แสงจันทร์ส่องไม่ถึง


บุคคลดังกล่าวแต่งกายในชุดนักบวชสีดำแถบแดง บนหน้าอกมีสัญลักษณ์ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดจำนวนห้าจุด ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ปราศจากหนวดเครา ดวงตาลุ่มลึกและสุขสงบ ไม่ใช่ใครนอกจากหนึ่งในสิบสามอาร์ชบิชอปแห่งรัตติกาล ประมุขแห่งมุขมณฑลเบ็คลันด์ นักบุญแอนโทนี·สตีเวนสัน


“เป็นเรื่องที่รอให้ถึงตอนเช้าไม่ได้? หรือว่าคนของรัตติกาลชอบคุยงานตอนดึก?” ‘เจ้าพิธีกรรมสีคราม’ เรดาลล์·วาเลนไทน์ตั้งคำถาม


แอนโทนีหยุดเดินและตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“เป็นเรื่องด่วนมากๆ”


“เรื่องอะไร?” เรดาลล์ถาม


ขณะเดียวกัน ฮารามิค·ไฮเดินเองก็หันมาทางแอนโทนี·สตีเวนสันและรอคอยคำตอบ


ในสถานการณ์แบบนี้ ฮารามิคค่อนข้างชื่นชอบคนจากโบสถ์วายุสลาตัน เพราะคนเหล่านี้มักเปิดปากถามอย่างโผงผางโดยไม่มัวพิถีพิถัน ตัวมันจึงไม่ต้องเสียแรงถามเอง


แอนโทนีมองสลับไปมาและกล่าว


“เป็นเรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์… ให้พระคุณเจ้าอาเรียนน่าเป็นผู้เล่าแทนจะเหมาะกว่า”


ทันทีที่มันกล่าวจบ สตรีเท้าเท้าเปล่า ปล่อยผม และสวมเสื้อคลุมเรียบง่ายพร้อมด้วยเข็มขัดเปลือกไม้ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความมืด


เมื่อเห็นบุคคลดังกล่าวเต็มสองตา เรดาลล์และฮารามิคต่างพากันโค้งศีรษะ


“สายัณห์สวัสดิ์ พระคุณเจ้าอาเรียนน่า”


สีหน้าของพวกมันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมพร้อมกัน เริ่มเข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์


หากเป็นเรื่องที่เทวทูตเดินดินต้องปรากฏตัว นั่นย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน!


ขณะเดียวกัน พวกมันอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน เพราะเพิ่งตระหนักได้ว่า พวกตนไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าประมุขแห่งสำนักชีรัตติกาล บริวารอำพราง พระคุณเจ้าอาเรียนน่ามาถึงกรุงเบ็คลันด์ตอนไหน


ภายใต้สถานการณ์ปรกติ สามโบสถ์หลัก ราชวงศ์ และกองทัพ ต่างมีข้อตกลงร่วมกันว่า ในกรุงเบ็คลันด์ห้ามมีเทวทูตเดินดินหรือสมบัติปิดผนึกลำดับ 0 อยู่


“สายัณห์สวัสดิ์ ท่านอาร์ชบิชอป” อาเรียนน่าตอบโดยปราศจากความผยอง


จากนั้น ยกแขนขวาขึ้นมาจับอากาศ


แสงจางๆ ปรากฏขึ้นและแปรสภาพกลายเป็นฉากท่ามกลางความมืด ทั้งหมดเป็นบทสนทนาตั้งแต่ต้นจนจบระหว่างอาเรียนน่าและโจนาส·โคลเกอร์


คล้ายกับว่าความลับที่ถูกเก็บงำมานาน จะรั่วไหลออกสู่โลกภายนอกเป็นครั้งแรก


ขณะชมภาพเหตุการณ์ ‘เจ้าพิธีกรรม’ เรดาลล์·วาเลนไทน์อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา


“ชายคนนี้เป็นครึ่งเทพลำดับ 4…?”


อาร์ชบิชอปรายนี้รู้จักกับโจนาส·โคลเกอร์ เดิมทีมันเชื่อว่ารองผอ. MI9 เป็นแค่ผู้วิเศษลำดับ 5 ที่พึ่งพาสมบัติปิดผนึกที่มีผลข้างเคียงร้ายแรงเพื่อให้เอื้อมถึงพลังของครึ่งเทพ แต่ไม่เคยทราบว่านั่นเป็นแค่การเสแสร้ง


โบสถ์วายุสลาตันมีสายสัมพันธ์กับกองทัพมากกว่าอีกสองโบสถ์หลัก


ไม่มีใครตอบคำถามเรดาลล์ หลังจากรับชมเหตุการณ์จนจบ ฮารามิคกล่าว


“โบราณสถานลับของจักรพรรดิโลหิต… และมีคนจำนวนมากถูกส่งเข้าไป… เมื่อนำสองสิ่งนี้มาประกอบกัน ฟังดูไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดีสักเท่าไร”


“ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่อยู่แล้ว!” เรดาลล์พยักหน้าเห็นพ้อง “รีบไปที่นั่นกันเถอะ!”


อาเรียนน่ามองไปรอบๆ และกล่าวอย่างสุขุม


“เรื่องนี้เกี่ยวพันกับราชวงศ์และกษัตริย์ พวกเจ้าควรได้รับอนุญาตจากสันตะสำนักเสียก่อน”


ในบริบทของเทวทูตตนนี้ สันตะสำนักหมายถึงประมุขของศาสนา ขณะเดียวกันก็ยังหมายถึงสำนักงานใหญ่ของโบสถ์ หรือไม่ก็ศูนย์กลางอำนาจทั้งหมด


“ตกลง” อาร์ชบิชอปทั้งสองมอบคำตอบโดยไม่ลังเล


ผ่านไปสักพัก ‘เจ้าพิธีกรรม’ เรดาลล์·วาเลนไทน์และฮารามิค·ไฮเดินได้รับการตอบสนองจากสมบัติปิดผนึกที่พวกมันพกพา ร่วมกันกับแอนโทนีและอาเรียนน่า พวกมันมุ่งหน้าไปยังโบราณสถานที่โจนาส·โคลเกอร์เพิ่งเข้าไป


อาเรียนน่าหยิบตราสัญลักษณ์สีดำเหล็กที่มีลวดลายซับซ้อนออกมาถือ ตามด้วยการกระตุ้นกลไก


เธอไม่พยายามปลอมตัวหรือแปลงโฉม ทำเพียงยืนอย่างสุขุมราวกับไม่กังวลว่าคนคุ้มกันด้านในจะรู้จักว่าเป็นใคร


เมื่อเห็นพฤติกรรมของบริวารอำพรางรายนี้ ฮารามิคทำหน้าครุ่นคิด ส่วนเรดาลล์ยังคงปิดปากเงียบราวกับว่านั่นไม่ใช่ปัญหา


ภายในโบราณสถานใต้ดิน บนฐานะโลหะแปลกประหลาด แสงสว่างสีฟ้าอ่อนสว่างขึ้นและก่อตัวเป็นรูปทรงประตู


คนคุ้มกันสี่คนในชุดเกราะสีดำสนิทรีบหันมาจับตามองสถานการณ์ด้านนอก เตรียมใช้วิธีการเฉพาะตัวเพื่อยืนยันว่า ผู้ที่อัญเชิญ ‘ประตูเทเลพอร์ต’ ปลอมตัวมาหรือไม่ และพวกตนควรเปิดประตูไหม


ทว่า พวกมันกลับมองไม่เห็นสิ่งใดเลย พื้นที่ด้านนอกทั้งโล่งและว่างเปล่า


ขณะพวกมันกำลังทวีความสับสนและกระสับกระส่าย ร่างหนึ่งถูกวาดขึ้นด้านหลัง ไม่ใช่ใครนอกจากหัวหน้าผู้บำเพ็ญตนแห่งโบสถ์รัตติกาล อาเรียนน่าผู้สวมเสื้อคลุมเรียบง่ายแต่มีรอยซ่อมแซม


เพียงพริบตา คนคุ้มกันทั้งสี่เข้าสู่ภวังค์หลับลึก โดยมีแอนโทนี เรดาลล์ และฮารามิคตามเข้ามาในโบราณสถานทีละคน


พวกมันไม่ได้เดินไปตามถนนตรงๆ เพื่อผ่านห้องโถง แต่เป็นการลอยกลางอากาศและมองจากมุมสูง


โลกภายในปกคลุมด้วยความมืดเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงแสงเล็กน้อยเล็ดลอดมาจากตะไคร่น้ำประหลาดและไฟจากสิ่งก่อสร้างขนาดเท่ามนุษย์อาศัย


อาศัยแสงสว่างเหล่านั้น ต่อให้ไม่ใช่ผู้วิเศษที่มีเนตรมองกลางคืนก็ยังสามารถเข้าใจโครงสร้างเบื้องต้นของอาคารขนาดมหึมาหลังนี้:


ด้านหนึ่งเป็นกำแพงหินสีเทา ขยายขึ้นไปด้านบนจนมองไม่เห็นจุดจบ ประหนึ่งเชื่อมต่อกับพื้นดิน ส่วนอีกด้านเป็นหุบเหวลึกที่มองไม่เห็นก้น ราวกับเป็นนรกที่พวกปีศาจชอบอาศัย ถนนปูด้วยแผ่นหินลาดยาวผ่านทั้งสองฝั่ง เชื่อมต่อห้องโถงและอาคารอื่นๆ เข้าด้วยกัน มีคนเดินผ่านเข้าออกเป็นครั้งคราวอย่างเงียบเชียบ


ขณะที่อาร์ชบิชอปจากสามโบสถ์หลักเตรียมจับคนที่ผ่านเข้าออกมาสอบปากคำ ถามถึงสถานการณ์ภายใน ทันใดนั้น บุคคลผู้หนึ่งเหาะขึ้นมาจากหุบเขาอันมืดมิดและตรงไปยังเหล่าครึ่งเทพ


ร่างดังกล่าวมีใบหน้าเรียวยาว บนศีรษะสวมผ้าคลุมหัว เหนือริมฝีปากมีหนวดโค้งมนตรงปลาย คิ้วดกหนา ดวงตาใหญ่กว่าคนปรกติเล็กน้อย ดูคล้ายกับไพ่ตัวละครบนหลังไพ่


มันสวมทักซิโด้และผ้าคลุมผืนใหญ่ ปลายรองเท้ายาวมากเป็นพิเศษ การแต่งตัวโดยรวมไม่เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันเลยสักนิด ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตจากหลายร้อยปีก่อน


เหล่าอาร์ชบิชอป เช่นแอนโทนีและฮารามิค ล้วนรู้จักอีกฝ่ายเป็นอย่างดี เพราะบุรุษผู้นี้คือเจ้าชายแห่งโซเนีย โกรฟ·ออกัสตัส ครึ่งเทพแห่งราชวงศ์


“พวกคุณเข้ามาได้ยังไง?” โกรฟเป็นฝ่ายเปิดปาก สีหน้าค่อนข้างประหลาดใจ


หลังจากทุกคนมองหน้ากัน แอนโทนีเริ่มพูดก่อน


“พวกเราสืบสวนเกี่ยวกับคดีการหายตัวไปอย่างลึกลับมานานแล้ว ในระยะหลังเริ่มจับตามองโจนาส·โคลเกอร์แห่ง MI9 เป็นพิเศษ และจากเขา เราจึงได้พบที่นี่”


สีหน้าโกรฟเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้น มันจ้องสตรีที่ทำให้หัวใจทุกดวงสงบนิ่ง รวบรวมคำพูดสักพักก่อนจะถาม


“มาดามอาเรียนน่า?”


“ใช่… ข้ารับผิดชอบคดีการหายตัวไปของผู้คน” อาเรียนน่าตอบห้วน


เจ้าชายโกรฟยิ้มขื่นขม


“พวกเราโลภเกินไป หลังจากค้นพบโบราณสถานแห่งนี้ ทางเราคิดเพียงแต่จะขุดค้นและรวบรวมสมบัติภายใน… เพื่อให้เป็นความลับ พวกเราตัดสินใจร่วมมือกับนิกายแม่มด รวบรวมคนจำนวนมากเพื่อสร้างทางเดินและประกอบพิธีกรรมบางอย่าง… อย่าได้เข้าใจผิดไป ไม่ใช่อย่างที่พวกคุณคิด ผมหมายถึงพิธีกรรมทั่วไป และทุกคนยังมีชีวิตอยู่ภายในโบราณสถาน… หากไม่เชื่อ พวกคุณสามารถตามผมลงไปด้านล่างเพื่อดูให้เห็นกับตา นอกจากอาคารและผนึกที่ยังไม่ถูกเปิดออกมาสำรวจ ที่นี่ก็ไม่มีอะไรเลย”


ได้ยินคำตอบ แอนโทนี ฮารามิค และเรดาลล์ต่างมองหน้ากันและพบความคลางแคลงในดวงตาอีกฝ่าย


นี่ไม่ใช่ท่าทีตอบสนองที่พวกมันคาดหวัง! ผิดไปจากที่คิดโดยสิ้นเชิง!


เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ทุกคนสงสัยว่า พวกตนเข้าใจผิดกันไปเองหรือไม่ และสถานการณ์อาจไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เข้าใจ


ทันใดนั้น อาเรียนน่ากล่าว


“พวกเจ้ายังสร้างโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน”


“ผิดแล้ว” เจ้าชายโกรฟส่ายหน้า “นั่นเป็นบทเรียนที่พวกเราได้รับจากการร่วมมือกับแม่มด… พวกหล่อนพยายามครอบงำเอ็ดซัคและใช้เขายึดครองอาณาจักร… หลังจากถูกพวกเราจับได้ นิกายแม่มดจึงสร้างมหาหมวกควันขึ้น และนับแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเราก็ตัดขาดความร่วมมือถาวร”


กล่าวจบ มันชี้ลงด้านล่างและพูด


“แค่จะเก็บซ่อนความลับของโบราณสถานจักรพรรดิโลหิต พวกเราจำเป็นต้องสร้างโศกนาฏกรรมที่ใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ? ตราบใดที่พวกคุณลงไปสำรวจอย่างละเอียดด้วยตัวเอง ทุกคนจะเข้าใจความหมายที่ผมต้องการจะสื่อ… หึหึ ไม่ต้องกังวล มาดามอาเรียนน่าก็อยู่ที่นี่ด้วย ทุกกับดักล้วนไร้ผล นอกจากนั้น ต่อให้พวกเราแข็งแกร่งพอที่จะฝังทุกคนไว้ในโบราณสถาน แต่ทางศาสนจักรต้องพบความผิดปรกติแน่ ผมเมื่อเชื่อว่าพวกคุณจะบุกเข้ามาที่นี่โดยไม่รายงานสันตะสำนักก่อน… หากไม่มีใครกลับไป พวกเขาต้องมีการตอบสนองทันทีแน่”


ครึ่งเทพอย่างเรดาลล์และแอนโทนีครุ่นคิดสักพักก่อนจะหันไปมองอาเรียนน่าที่แต่งกายเรียบง่าย


อาเรียนน่าพยักหน้าสุขุม


“ตกลง”


จากนั้น หนึ่งเทวทูตและสามนักบุญต่างลงไปยังส่วนลึกของโบราณสถานภายใต้การนำทางของเจ้าชายโกรฟ พวกมันพบอีกหนึ่งโบราณสถานภายในความมืดมิดซึ่งไม่มีใครย่างกรายเข้าไป รวมถึงชายหญิงจำนวนมากที่ถูกสอนให้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


อาเรียนน่า ฮารามิค และครึ่งเทพที่เหลือต่างทำตามสัญชาตญาณตัวเอง แยกย้ายกันไปสำรวจในแต่เขต แม้กระทั่งไปยังเขตไกลๆ เพื่อรวบรวมข้อมูล แต่ก็ยังไม่พบความผิดปรกติใดๆ



หลังจากได้รับสัญญาณจากอาเรียนน่า ไคลน์แปลงโฉมโจนาส·โคลเกอร์ให้เป็นคนรับใช้ในคฤหาสน์ เป็นการทำให้รองผอ. MI9 รายนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย


ถัดมา มันประกอบพิธีกรรมอย่างไม่รีบร้อน ส่งวัตถุเพิ่งได้รับเข้าไปในมิติหมอกเพื่อทำการวิจัยในอนาคต จากนั้นก็รอให้ฟ้าสว่างอย่างอดทน

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1031 : ความเป็นไปได้

 

เมื่อฟ้าสว่าง คฤหาสน์ริมฝั่งทางเหนือของแม่น้ำทัสซอคถูกปลุกให้ตื่นขึ้นโดยหมอกยามเช้า


ฟามี่·เคจ ชายเจ้าของร่างท้วมแต่ตัวสูงเดินมายังห้องนอนแขกของโจนาส·โคลเกอร์ ยกมือขึ้นเคาะประตูและเตรียมชักชวนรองผอ. MI9 ไปกินอาหารมื้อเช้า


ทว่า ไม่มีการตอบสนองใดกลับมา


พันตรีของกองทัพรายนี้ไปรอที่ห้องอาหารแล้วหรือ? ฟามี่·เคจหันหลังกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็เดินไปยังชั้นอื่น


รอจนกระทั่งจบช่วงเวลาอาหารเช้า ทุกคนเริ่มตระหนักว่าโจนาส·โคลเกอร์หายตัวไป ดอน·ดันเตสจึงตัดสินใจพาพวกเขาไปรอด้านนอกห้องพักแขก และบอกให้คนดูแลคฤหาสน์ริชาร์ดสันนำกุญแจมาไขประตู


ด้านในห้องไม่มีคน


“พันตรีโคลเกอร์มีนิสัยชอบออกไปวิ่งตอนเช้ารึเปล่า?” ส.ส. มัคท์ถามด้วยความฉงนพลางบีบโหนกแก้มตัวเอง


ฟามี่·เคจส่ายหน้าโดยปราศจากความลังเล


“ไม่”


“เมื่อคืนได้ยินเสียงอะไรกันบ้างไหม?” อธิการบดีมหาวิทยาลัยเบ็คลันด์ พอร์ตแลน·โมมงต์มองไปรอบๆ พร้อมกับตั้งคำถาม


ส.ส. มัคท์ทำหน้านึกสักพัก


“ไม่เลย ที่นี่เงียบมาก เหมาะแก่การพักร้อน”


ด้านข้างมัน เฮเซลมองเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าฉงน แต่ก็นึกอะไรไม่ออก


ทันใดนั้น ฟามี่·เคจตั้งสมมติฐาน


“พันตรีโคลเกอร์เป็นคนสำคัญของกองทัพ และมักได้รับภารกิจที่คาดไม่ถึงเสมอ บางทีอาจออกจากคฤหาสน์และกลับเบ็คลันด์ไปแล้ว”


นักธุรกิจรถยนต์พลังไอน้ำรายนี้พยายามลดความตึงเครียดของสถานการณ์ลง


เขารู้บางสิ่ง… หรืออย่างน้อย เขาทราบว่าโจนาส·โคลเกอร์มาที่คฤหาสน์เพลงกุหลาบด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่างที่บอกไม่ได้… ไคลน์ฟังบทสนทนาสักพัก ก่อนจะหันไปกล่าวกับพ่อบ้านวอลเตอร์และคนดูแลคฤหาสน์ริชาร์ดสันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ถามคนรับใช้ทุกคนในคฤหาสน์ว่า เมื่อคืนหรือตอนรุ่งสางมีใครเห็นพันตรีโคลเกอร์บ้างไหม… ถ้าไม่มีใครเห็น รีบส่งคนไปที่บ้านของพันตรีโคลเกอร์ในกรุงเบ็คลันด์ แจ้งเรื่องนี้และให้พวกเขาตัดสินใจกันเองว่าจะรายงานตำรวจหรือไม่”


หลังจากออกคำสั่ง ไคลน์ลูบตอนสีขาวและหันไปกล่าวกับส.ส. มัคท์รวมถึงแขกคนอื่นๆ


“เรื่องราวยังไม่กระจ่าง บางทีพันตรีโคลเกอร์อาจรีบร้อนกลับไปเพราะเรื่องด่วนชนิดที่รอให้จบการพักร้อนไม่ได้… เกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเราจะดำเนินกิจกรรมล่าสัตว์ต่อไปและกลับเมื่อตำรวจมาถึง”


เนื่องจากเพื่อนสนิทของพันตรีโจนาส·โคลเกอร์ ฟามี่·เคจ เปิดประเด็นเรื่องภารกิจด่วน และนั่นฟังดูน่าเชื่อถือมาก มัคท์และแขกคนอื่นจึงเห็นด้วยกับคำแนะนำของดอน·ดันเตส ต่างคนต่างทยอยออกไปด้านนอก


เฮเซลที่เดินมาจากด้านหลังสุด ชำเลืองห้องนอนแขกของพันตรีโจนาส·โคลเกอร์และห้องข้างๆ พร้อมกับรู้สึกที่ว่า มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ภายในใจต้องการใช้พลังนักถอดรหัสเพื่อจำลองสถานการณ์ขึ้นมาใหม่


ทว่า ความหวาดกลัวอันเข้มข้นพลันผุดขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจ เธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกลัวสิ่งใด แต่มันรุนแรงพอที่จะทำให้หญิงสาวล้มเลิกความคิด


เธอรู้สึกลึกๆ ว่าตนเคยมีประสบการณ์ในทำนองนี้มาก่อน และประสบการณ์เหล่านั้นกำลังร้องบอกกับเธอว่า ตนไม่ควรเห็นในสิ่งที่ไม่ควร และไม่ควรได้ยินในสิ่งที่ไม่ควร


รอจนกระทั่งแขกและคนรับใช้ออกไปทั้งหมด พรมหนาๆ ที่คอยค้ำจุนน้ำหนักของโต๊ะกาแฟในห้องนอนโจนาส·โคลเกอร์เริ่มขยับเขยื้อน


ทีละเล็กทีละน้อย มันดึงตัวเองออกจากใต้โซฟาและโต๊ะกาแฟโดยไม่สร้างความวุ่นวาย


ทันทีหลังจากนั้น พรมสีเหลืองน้ำตาลเหยียดตัวตรงพร้อมกับเผยให้เห็นอีกฝั่ง


พวกมันคือก้อนเลือดเนื้อที่แข็งตัว!


ก้อนเลือดเนื้อยุบพองและปรับโครงสร้างใหม่ เพียงไม่นานก็กลายเป็นมนุษย์ที่มีใบหน้าของเด็กหนุ่มลูกครึ่งสองทวีป


บุรุษรับใช้ส่วนตัว เอ็นยูน


และคนที่กำลังเดินตามดอน·ดันเตสคือโจนาส·โคลเกอร์ มันมีใบหน้าและรูปร่างแบบเดียวกัน!


สำหรับไคลน์ มันไม่จำเป็นต้องซ่อน ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนในทำนองนี้ สามารถแปลงโฉมให้เป็นคนอื่นและปะปนในหมู่คนรับใช้ได้สบาย ตบตาเหล่าคนใช้ด้วยมายากลลวงตาเพื่อไม่ให้พวกมันพบว่ามีคนเกินมา เป็นวิธีการที่ง่ายและปลอดภัยกว่า ทว่า การสวมบทบาทยังคงเป็นกุญแจสำคัญของครึ่งเทพ เพราะนั่นจะช่วยให้ย่อยโอสถเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงในการคลุ้มคลั่ง ดังนั้น ไคลน์จึงพยายามสร้าง ‘ความพิสดาร’ ทุกครั้งที่มีโอกาส


แน่นอน มันไม่ต้องการทำร้ายคนบริสุทธิ์ แม้กระทั่งการสร้างฉากที่ ‘พิสดาร’ และเต็มไปด้วยความหลอนก็ยังพยายามไม่ให้ใครตระหนักถึง ด้วยเกรงว่าคนเหล่านั้นจะตื่นตระหนกจนเกินพอดีและเกิดเป็นบาดแผลทางใจ


ฉากที่พิสดารและเต็มไปด้วยความหลอน ส่วนใหญ่มีไว้ให้ตัวเองเชยชม มีไว้เพื่อสร้างพัฒนาการของโอสถภายในร่างกาย แน่นอน วิธีนี้ช่วยให้ย่อยโอสถได้จริง แต่เนื่องจากไม่มี ‘ผู้ชม’ ผ่านมาเห็นและให้การตอบสนอง ย่อมแปลว่าการสวมบทบาทยังสมบูรณ์ไม่มากพอ ส่งผลให้ความเร็วในการย่อยไม่ได้รวดเร็วอย่างที่คิด ถึงแม้จะพยายามทำเรื่องแปลกๆ หลอนๆ มากแค่ไหน ไคลน์ก็รู้สึกว่าตนไม่มีทางกลายเป็นลำดับ 3 ได้ก่อนสิ้นปีนี้



กรุงเบ็คลันด์ เขตตะวันออก ภายในบ้านเช่าสองห้องนอน


ซิลนั่งลงบนเก้าอี้โยก สายตามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย สีหน้าค่อนข้างหม่นหมอง


ฟอร์สกลืนน้ำลายและเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามซิล บดบังทัศนวิสัยของเพื่อนสนิท


“ทำไมซังกะตายแบบนี้? เพราะคำตอบนั่น เธอจึงไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรต่อ?”


ดวงตาซิลขยับเล็กน้อย กล่าวหลังจากได้สติกลับมา


“ไม่ว่าจะเป็นการแก้แค้นคือทวงคืนศักดิ์ศรีให้พ่อ โอกาสต่ำมากเมื่ออีกฝ่ายคือพระราชา… ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่าจะทำเรื่องแบบนี้ให้สำเร็จได้ยังไง…”


“นั่นเพราะเธออ่อนแอเกินไป… เมื่อใดที่เอื้อมถึงลำดับ 4 และได้รับพลังครึ่งเทพ เธอจะพบว่าหนทางนั้นเปิดกว้างเพียงใด ติดแค่ว่ามันงานที่ค่อนข้างยาก!” ฟอร์สพยายามกระตุ้น “นอกจากนั้น เธอยังพึ่งพาคนอื่นได้ เช่นคนที่คอยจับตามองเชอร์มาเน่… หล่อนเองก็อยากทราบว่าไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดจงรักภักดีกับใครที่สุด บางทีอาจสนใจในความลับของกษัตริย์”


“เชอร์มาเน่…” ซิลทวนชื่อซ้ำ คล้ายกับสภาพจิตใจฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อย


บนโต๊ะด้านข้างพวกเธอมีไม้กางเขนทองแดงและอัญมณีสีน้ำเงินที่ดูคล้ายกับดวงตาแนวตั้ง


ผิวด้านนอกของอัญมณีมีลวดลายคล้ายเส้นด้าย ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากตะกอนพลังของเชอร์มาเน่ มีคุณสมบัติทำให้ทุกสิ่งรอบๆ ตัวสงบลง แถมยังงดงามขึ้นเล็กน้อย ทว่า เนื่องจากการมีอยู่ของไม้กางเขนทองแดง รัศมีการแสดงผลของอัญมณีจึงจำกัดเฉพาะในวงแคบๆ


“คนที่คอยจับตามองเชอร์มาเน่… คือตัวการสำคัญที่ทำให้เธอต้องตาย” ซิลกล่าวเสียงขรึม


พวกเธอหาจุดฝังเชอร์มาเน่ได้แล้ว และฟอร์สได้ใช้ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ เพื่อร่าย ‘ปลอบโยน’ ใส่ศพ


ฟอร์สพยักหน้ารับ


“ใช่… เป็นเพราะเธอต้องการสืบความลับกษัตริย์ จึงต้องกระตุ้นให้เชอร์มาเน่ทำงานเสี่ยงๆ … เธอเคยบอกใช่ไหมว่าอีกฝ่ายรู้จักบ้านเก่าของพวกเรา? ถ้าอย่างนั้น เราสามารถแอบกลับไปและหย่อนจดหมายไว้ในกล่อง เขียนบอกว่าไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดจงรักภักดีต่อกษัตริย์จอร์จที่สาม และพระองค์เก็บซ่อนความลับใหญ่หลวงไว้กับตัว… ด้วยวิธีนี้ อีกฝ่ายต้องทราบคำตอบแน่”


ซิลครุ่นคิดสักพักก่อนจะพยักหน้าเคร่งขรึม


“ตกลง”


หลังจากปรึกษากันว่าจะทำอะไรต่อไป ฟอร์สลุกขึ้นและชี้ไปทางกางเขนทองแดง


“พวกเราเคยถูกมิสเตอร์ฟูลช่วยไว้หลายครั้ง ถึงเวลาต้องตอบแทนแล้ว… ฉันวางแผนที่จะสังเวยกางเขนทองแดงอันนี้ให้มิสเตอร์ฟูล เธอไม่คัดค้านใช่ไหม?”


“ไม่” ซิลไม่ลังเล



คฤหาสน์เพลงกุหลาบ ตกเย็นอีกครั้ง มีข่าวถูกส่งกลับมาจากครอบครัวของโจนาส·โคลเกอร์ ระบุว่ายังไม่ต้องทำอะไร เพราะรองผอ. MI9 รายนี้มักมีภารกิจลับเร่งด่วนบ่อยครั้ง โดยส่วนใหญ่เกี่ยวกับความมั่นคงของอาณาจักร ด้วยเหตุนี้ มัคท์และคนที่เหลือจึงคลายความกังวล เริ่มนำสัตว์ที่ล่ามาได้มาย่างกับกองไฟและจัดงานเลี้ยงแบบบาร์บีคิวในสวนของคฤหาสน์


เมื่อเห็นเหล่าสุภาพบุรุษม้วนแขนเสื้อขึ้นและก้มหน้าก้มตาทำงานรอบๆ เต่าย่าง บรรดาสุภาพสตรีแวะเวียนมาช่วยเป็นบางครั้ง ขณะเดียวก็คอยดูแลเด็กเล็กที่วิ่งเล่นภายในส่วนอย่างกระตือรือร้น สำหรับไคลน์ มันถือแก้วไวน์ขาวรสหวานนุ่มที่ผลิตโดยคฤหาสน์เพลงกุหลาบ นั่งบนเก้าอี้ไม้สีขาว ยกมุมปากยิ้มเล็กๆ


ข้างๆ มันคือบุรุษรับใช้ลูกครึ่งที่ยืนตัวตรงเพื่อรอรับคำสั่ง


และภายในอาคารหลักของคฤหาสน์ ภายในห้องสักห้อง ดวงตาคู่หนึ่งกำลังเฝ้ามองลงมาอย่างเงียบงัน ไม่ใช่ใครนอกจากบุรุษผู้เหมือนกับเอ็นยูนทุกประการ


สายลมยามเย็นพัดผ่าน ขณะไคลน์เตรียมลุกขึ้นและแสดงวิธีการย่างเนื้อแบบฉบับอ่าวเดซีย์ มันเห็นร่างหนึ่งถูกวาดขึ้นเบื้องหน้าอย่างกะทันหัน


อาเรียนน่า สตรีผู้สวมชุดเรียบง่ายและเข็มขัดเปลือกไม้


บริวารอำพรางรายนี้จ้องหน้าดอน·ดันเตสและกล่าว


“ไม่มีสิ่งใดพิเศษในโบราณสถานใต้ดิน…”


จากนั้น เธอเล่าถึงจุดสำคัญที่ตนและสามอาร์ชบิชอปเห็น รวมถึงคำอธิบายของเจ้าชายแห่งโซเนีย โกรฟ·ออกัสตัส


มีบางอย่างไม่ถูกต้อง… แวบแรกในหัวไคลน์คือความคลางแคลง


ในเมื่อไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดยังคงได้รับความช่วยเหลือจาก ‘นักบุญสีขาว’ คาร์เทอริน่า·เปลเล่ หมายความว่านิกายแม่มดและราชวงศ์ยังคงทำงานร่วมกัน


เมื่อพิจารณาว่า ทั้งสองฝ่ายยังคงร่วมมือกันแม้โศกนาฏกรรมมหาหมอกควันจะจบลงไปแล้ว เรื่องนี้สามารถตีความได้ว่า การปิดบังตัวตนโบราณสถานของจักรพรรดิโลหิตเอาไว้ ย่อมไม่ใช่แค่เรื่องความเห็นแก่ตัวธรรมดาๆ แน่


ในเมื่อลงทุนลงแรงไปมากขนาดนี้ คิดว่านิกายแม่มดและสมาคมแปรจิตจะไม่หวังผลประโยชน์ใดตอบแทนเลยหรือ?


และถ้าพวกมันถูกตัดความสัมพันธ์จริง แค่นำข่าวมาแจ้งกับสามโบสถ์หลักก็พอแล้วนี่?


ไคลน์เชื่อว่าความลับของโบราณสถานใต้ดินยังไม่ถูกเปิดโปง และสงสัยว่า ข่าวอาจรั่วไหลกลางทางจนทำให้อีกฝ่ายมีเวลากลบเกลื่อน


แต่ในเมื่อมาดามอาเรียนน่าจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เราสามารถตัดความน่าจะเป็นที่จะถูกทำนายหรือพยากรณ์ถึงไปได้เลย…


นับตั้งแต่การสังหารโจนาส·โคลเกอร์ของเรา ไปจนถึงปฏิบัติการร่วมของอาร์ชบิชอปสามโบสถ์หลัก มีผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ไม่ถึงสิบคน… นอกจากนั้น ทุกคนยังเป็นสมาชิกระดับสูงของโบสถ์ตัวเอง แล้วข่าวจะรั่วไหลออกไปได้ยังไง…


ความผิดปรกติเกี่ยวกับไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดทำให้คนในโบราณสถานเปิดใช้งานแผนฉุกเฉิน? ไม่น่าจะเป็นไปได้ ตำแหน่งของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดมิได้สำคัญขนาดนั้น แม้แต่โจนาส·โคลเกอร์ก็ยังแทบไม่รู้อะไรเลย… หน้าที่หลักมีแค่การประสานงานกับนิกายแม่มดและจัดหาอุปกรณ์บางอย่าง อาจไม่รู้จักโบราณสถานแห่งนั้นเลยด้วยซ้ำ… ไคลน์เค้นความคิดเพื่อหาเหตุผลมารองรับ


มันตัดประเด็นที่อีกฝ่ายจะเตรียมความพร้อมหลังจากเหตุการณ์ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดออกไป เพราะเหนือสิ่งใดอื่นใด ความตายของหัวหน้าราชองครักษ์มิได้สลักสำคัญขนาดนั้น


ลงเอยด้วย เหลือความเป็นไปได้อยู่เพียงไม่กี่เรื่องที่สามารถอธิบายสถานการณ์ได้ หนึ่งก็คือ ใครสักคนที่รู้ความลับเรื่องนี้ จงใจหรือไม่จงใจแพร่งพรายข้อมูลด้วยเหตุผลบางประการ หรืออีกข้อหนึ่ง พวกมันพบความผิดปรกติเกี่ยวกับโจนาส·โคลเกอร์ที่กลายเป็นหุ่นเชิด แต่ไคลน์ไม่ทันสังเกตเห็น


ตัวปัญหาอาจอยู่ที่สมาคมแปรจิต… ความคิดของเราถูกใครบางคนอ่านออก? แต่ตัวเรามีพรจากหมอกสีเทา ไม่ว่าจะแนบเนียนขนาดไหน แต่เราก็ต้องสัมผัสถึงความผิดปรกติ เฉกเช่นในตอนที่เผชิญหน้ากับครึ่งเทพเส้นทางผู้ชมที่ต้องการติดต่อกับแอนเดอร์สัน… สมาคมแปรจิตเกิดจากบางสิ่งที่เฮอร์มิสเหลือทิ้งไว้… เฮอร์มิส… คิดถึงตรงนี้ ดวงตาไคลน์พลันเบิกกว้าง


มันรีบหยุดคิดตามสัญชาตญาณ ไม่ต้องการนึกถึงข้อมูลที่ลึกลงไป ก่อนจะหันไปทางอาเรียนน่าและถามด้วยน้ำเสียงค่อนข้างผ่อนคลาย


“ที่นี่ถูกปกปิดหรือยัง?”


“เป็นความลับสุดยอด” อาเรียนน่าตอบเสียงเรียบ


ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาด้านหลังเธอโดยไม่มีใครสังเกตเห็นเธอแม้แต่คนเดียว


ไคลน์ถอนหายใจก่อนจะก่อร่างความคิดขึ้นในสมอง


จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวในไดอารีว่า สมาชิกขององค์กรลับดังกล่าวล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญ…


ถ้าอย่างนั้น… มีความเป็นไปได้ไหมว่า หนึ่งในสามสมาชิกระดับสูงของโบสถ์ จะเป็นสมาชิกของสภานักสิทธิ์สนธยาด้วยเช่นกัน?


และโบราณสถานการณ์ที่อาเรียนน่าเห็นไม่ใช่ของจริง แต่เป็น ‘จินตภาพ’ ของอาดัม?

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1032 : เครื่องปัดเป่าที่...

 

เมื่อผุดไอเดียบางอย่าง ชายหนุ่มชำเลืองเทวทูตแห่งการปกปิดตรงหน้าและเรียบเรียงคำพูด


“มีโอกาสที่โบราณสถานที่คุณเห็นจะเป็นภาพจินตนาการบ้างไหม?”


มันมิได้เอ่ยถึงอาดัมหรือสภานักสิทธิ์สนธยาตรงๆ ด้วยกังวลว่าการคุยเรื่องดังกล่าวต่อหน้าอาเรียนน่าในโลกแห่งความลับจะยังทำให้อาดัมตระหนักถึง เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงราชาเทวทูตที่ถือครองเอกลักษณ์ของเส้นทางผู้ชมและเพิ่งได้รับ 0-08 ไป


ขณะอยู่ในโลกแห่งความลับของอาเรียนน่า ไคลน์เชื่อว่าการคิดถึงอาดัมและสภานักสิทธิ์สนธยานั้นไม่เป็นปัญหา แต่ไม่ใช่กับการพูดออกมาเสียงดัง เพราะต้องไม่ลืมว่า การที่มิสเตอร์ประตูสามารถสนทนาในหัวข้อเกี่ยวกับอาดัมกับจักรพรรดิโรซายล์ ไม่ใช่เพราะ ‘จอมเวทลึกลับ’ มีคุณสมบัติในการเก็บความลับ แต่เป็นเพราะมิสเตอร์ประตูเองก็เป็นราชาเทวทูตเช่นเดียวกัน ระดับไม่ต่ำไปกว่าอาดัมหรืออามุนด์ หรืออาจสูงกว่าด้วยซ้ำ


“จินตนาการ…” อาเรียนน่าทวนคำไคลน์แผ่วเบา สีหน้าคล้ายกับฉุกคิดบางสิ่งได้


ในระดับของเธอ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะคุ้นเคยกับประวัติศาสตร์โบราณและลักษณะเด่นของทั้งยี่สิบสองเส้นทางผู้วิเศษ


นอกจากนั้น เธอเองก็เป็นเทวทูตในขอบเขตการปกปิดและความลับ รวมถึงการที่มีสิทธิ์เข้าถึงเอกสารลับทุกชนิดของโบสถ์รัตติกาล


สองสามวินาทีถัดมา อาเรียนน่ามองมาทางดอน·ดันเตสที่ยังคงนั่งในตำแหน่งเดิม


“สมาคมแปรจิต?”


จากคำสารภาพของโจนาส·โคลเกอร์ ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าฝ่ายราชวงศ์ทำงานร่วมกับสมาคมแปรจิต และองค์กรลับแห่งนี้ถือครองเส้นทางผู้ชม


ไคลน์พยักหน้า ตามด้วยเสริม


“เบื้องบนของพวกเขาอาจไม่มีพลังในการเปลี่ยนจินตนาการให้เป็นความจริง… บนโลกนี้ มีเพียงสองบุคคลที่มีอำนาจดังกล่าว”


อาเรียนน่าผงกศีรษะ


“เข้าใจแล้ว… ตอนนี้โบราณสถานการณ์ดังกล่าวเปิดกว้างสำหรับทางเรา ข้าจะหาทางยืนยันในภายหลัง และถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง นั่นหมายความว่าหนึ่งในอาร์ชบิชอปจากโบสถ์วายุสลาตันหรือจักรกลไอน้ำ หรือทั้งสอง ร่วมมือกับเขา”


เธอไม่ได้เอ่ยถึงความเป็นไปได้ที่เบื้องบนของโบสถ์รัตติกาลจะเป็นปัญหา เพราะเทพธิดากุมอำนาจในขอบเขตความลับและการปกปิด ยากที่จะมีใครซ่อนตัวจากพระองค์ได้นานหลายปี


ไคลน์อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความประหลาดใจ


“โบราณสถานใต้ดินดังกล่าวเปิดให้สามโบสถ์หลักเข้าไปได้หลังจากนี้?”


“ถูกต้อง หากสถานที่แห่งนั้นถูกจินตนาการขึ้นมาจริงๆ หมายความว่าความร่วมมือของพวกเขาใกล้จะบรรลุผล จึงทำเพียงยืดเวลาออกไปอีกเล็กน้อย” อาเรียนน่าเล่าสิ่งที่เธอคิด


เราก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน… กระแสคลื่นแห่งยุคสมัยกำลังจะพัดผ่านและท่วมทำลายทุกสิ่ง… โชคยังดีที่เราเตรียมตัวมากกว่าเมื่อก่อน ตอนนี้ก็มีหุ่นเชิดระดับครึ่งเทพมาครองแล้ว และเจ้านั่นยังแข็งแกร่งกว่าเราในบางขอบเขต เพราะสามารถใช้พลังของตัวเองไปพร้อมกับพลังของเรา แต่เราใช้ของหมอนั่นไม่ได้… ในเมื่อการสวมบทบาทยังทำได้ยากลำบากและเป็นเรื่องยากที่จะพัฒนาลำดับพลัง การเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเองที่ดีที่สุดคือการพัฒนาหุ่นเชิด… อา… เรายังสามารถเฝ้าจับตามองความร่วมมือระหว่างผีดูดเลือดและชารอนที่เตรียมจะจัดการกับโรงเรียนกุหลาบได้เช่นกัน… สติไคลน์กำลังกระจ่าง


มันนั่งครุ่นคิด ตามด้วยถามอย่างเป็นกันเอง


“ทั้งสามศาสนจักรเชื่อคำอธิบายของเจ้าชายโกรฟไหม?”


“ไม่เชื่อ” อาเรียนน่าส่ายศีรษะอย่างใจเย็น “เพราะโจนาส·โคลเกอร์เอ่ยถึงคาร์เทอริน่า”


แต่พวกคุณก็ไม่มีหลักฐาน ในท้ายที่สุด อีกฝ่ายสามารถอธิบายได้อย่างไร้ข้อบกพร่องว่า พวกเขาตัดเขาจากนิกายแม่มดแล้ว ส่วนคาร์เทอริน่านั้นถูกส่งมาเพื่อสานต่อความสัมพันธ์ แต่พวกเขาปฏิเสธอย่างไม่ในดี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างกุมความลับของกันและกันไว้ พวกมันจึงต้องเกรงใจเมื่อคาร์เทอริน่ามาเยือน โจนาส·โคลเกอร์ที่ไม่มีสิทธิ์ล่วงรู้ข้อมูลภายในจึงเกิดความเข้าใจผิดและคิดว่าอีกฝ่ายยังคงให้ความร่วมมือ…


และเมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลเทวทูตที่กุมอำนาจทางทหารไว้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง หากปราศจากหลักฐาน สามโบสถ์หลักคงไม่เปิดหน้าแลกให้ตัวเองเจ็บฟรีแน่นอน… ประการแรก ทั้งสามโบสถ์มิได้สนิทสนมกัน ประการที่สอง พวกเขาต้องกังวลเกี่ยวกับสงครามกลางเมือง เพราะอาจทำให้ถูกฉกฉวยโอกาสโดยเฟเนพ็อต อินทิส ฟุซัค และอาณาจักรอื่นๆ รวมถึงโบสถ์สุริยันเจิดจรัส เทพสงคราม พระแม่ธรณี และเทพปัญญาความรู้… ไคลน์วิเคราะห์สถานการณ์ภาพรวมในปัจจุบันอย่างรวดเร็ว


มันตอบห้วนๆ


“มีร่องรอยระบุว่า ‘นักบุญสีขาว’ คาร์เทอริน่าปรากฏตัวใกล้ๆ กับไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด ผมจะพยายามค้นหาเธอให้พบ”


นอกจากนั้น ไคลน์ยังต้องการหาทริสซี่แสนอันตรายให้พบและกำจัดหล่อนทิ้ง ชดเชยความผิดพลาดในอดีตที่เคยปล่อยให้หลุดมือเพราะต้องการหลอกใช้


คุณค่าในตัวเธอ ได้ไม่คุ้มเสียกับความอันตรายในตัว!


“ทางเราก็จะทำเช่นนั้น” อาเรียนน่ากล่าวเป็นนัยว่า เธอเองก็จะช่วยหาร่องรอยของคาร์เทอริน่า


อา… คงต้องยอมรับว่า ระหว่างกำลังปรึกษาหารือกัน มาดามอาเรียนน่ามีวิธีทำให้คู่สนทนารู้สึกสบายใจ… ท่านมิได้วางตัวเย่อหยิ่งเหมือนกับเทวทูตหรืออาร์ชบิชอป ท่านคุยกับเราแบบเท่าเทียม… หลังจากได้ยินคำตอบจากอาเรียนน่า ไคลน์ถอนหายใจด้วยความรู้สึกยากอธิบาย


มันตัดสินใจถามกลับ


“เฮอร์วิน·แรมบิสแห่งสมาคมแปรจิตถูกจับตัวแล้วหรือยัง?”


ชายคนนี้คือหนึ่งในบุคคลสำคัญในคำให้การของโจนาส·โคลเกอร์ เป็นหนึ่งในเบาะแสที่สามารถเปิดเผยแผนการของฝ่ายกษัตริย์


“เขาหายตัวไป” อาเรียนน่าตอบห้วน


อย่างที่คิด… นั่นยิ่งแปลว่าข้อมูลรั่วไหล… เฮอร์วิน·แรมบิสอาจหลบไปอยู่ใต้ดิน แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะติดต่อกับมิสจัสติสและสมาชิกคนอื่นโดยตรงไม่ได้… เมื่อถึงตอนนั้น… หึหึ… ดูเหมือนมิสจัสติสจะไม่ชอบหน้าหมอนั่นเป็นทุนเดิม… ปัญหาในตอนนี้ก็คือ อาดัมอาจกำลังอยู่ในเบ็คลันด์และเป็นคนที่จินตนาการโบราณสถานปลอมขึ้นมา ถ้าเป็นแบบนั้นจริง การจู่โจมเฮอร์วิน·แรมบิสมีโอกาสที่จะตกอยู่ในการเฝ้ามองของราชาเทวทูต… บางที ชายคนนั้นอาจยืนอยู่ข้างๆ เฮอร์วิน·แรมบิสตลอดเวลาโดยที่ไม่มีใครรู้… ยิ่งครุ่นคิด ไคลน์ก็ยิ่งปวดหัว


คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ในยุคสมัยที่ทวยเทพแทบไม่เสด็จเยือนโลกแห่งความจริง สองพี่น้องอาดัมและอามุนด์คือจุดสูงสุดของความแข็งแกร่ง ทั้งน่ากลัว ทรงพลัง และมิอาจเอื้อมถึง


ราชาเทวทูตคือตัวตนที่เป็นของเพียงเทพเท่านั้น!


เทียบกับอามุนด์ เรากลัวอาดัมมากกว่า ท่านอาจกำลังนั่งข้างๆ เราและนั่งมองเรายิ้มไปพลางอ่านความคิดในส่วนลึกที่สุดของเรา จากนั้นก็ทำตายอย่างเป็นธรรมชาติ สมเหตุสมผล และคลุมเครือ… คิดถึงตรงนี้ ไคลน์อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ ด้วยเกรงว่าจะมีนักบวชสวมชุดคลุมสีขาวสุดเรียบง่าย ผู้มาพร้อมกับหนวดเคราดกหนา กำลังยืนอยู่ข้างๆ เตาย่างพลางรอกินอาหารด้วยรอยยิ้ม


แต่ไม่ผิดจากที่คิด ไคลน์ไม่พบใครเลย


สัมผัสถึงท่าทีของชายหนุ่ม อาเรียนน่าเสริมอย่างสุขุม


“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่”


ฟู่ว… ขอบคุณพลังในการปกปิดของเทวทูตแห่งการปกปิด… ไคลน์รวบรวมความคิด ตามด้วยพยักหน้ารับแผ่วเบาและกล่าว


“ผมจะช่วยสืบหาร่องรอยของเฮอร์วิน·แรมบิส”


อาเรียนน่าผงกศีรษะและตอบ


“หลังจากเรื่องนี้จบลง เจ้าสามารถลองสวดวิงวอนถึงเทพธิดาเพื่อขอของขวัญจากพระองค์”


กล่าวอีกนัยหนึ่ง เทพธิดาพึงพอใจกับผลงานในระยะหลังของเรา? เมื่อถึงตอนนั้น พระองค์จะมอบสูตรโอสถปราชญ์โบราณให้? ไคลน์เข้าใจความหมายอย่างคร่าวของอาเรียนน่า จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับแตะสี่ครั้งบนหน้าอก


“เทพธิดาจงเจริญ!”


อาเรียนน่าเองก็วาดพระจันทร์แดง


“เทพธิดาจงเจริญ!”


จากนั้น ร่างของเธอค่อยๆ เลือนหายไปราวกับถูกยางลบลบ ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีแขกคนใดในงานเลี้ยงสัมผัสถึงการมาเยือนและจากไปของนักบวชสตรี


ไคลน์นั่งลง วิเคราะห์สถานการณ์จากมุมมองอื่น


โจนาส·โคลเกอร์หายตัวไปอย่างไร้วี่แวว เมื่อพิจารณาจากหลักฐานและคำพูดของมาดามอาเรียนน่า เธอกล่าวเป็นนัยว่ารองผอ. MI9 รายนี้ตกอยู่ในมือของตน… กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตัวการสำคัญที่โจมตีโจนาส·โคลเกอร์คือโบสถ์รัตติกาล…


โจนาส·โคลเกอร์หายไปจากคฤหาสน์เพลงกุหลาบของดอน·ดันเตส และเขาเป็นสาวกของโบสถ์รัตติกาล


จากมุมมองของฝ่ายกษัตริย์และสมาคมแปรจิต มีความเป็นไปได้มากที่ดอน·ดันเตสจะเป็นสายข่าวของโบสถ์รัตติกาล…


ดังนั้น ศาสนจักรจะคอยคุ้มครองเราเป็นกรณีพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นก็ห้ามประมาท คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกฝ่ายอื่นตรวจสอบและเฝ้าจับตามอง… ต้องหาเหตุผลดีๆ ในการเพิ่มคนรับใช้หน้าใหม่ คงจะปล่อยให้โจนาสกับเอ็นยูนซ่อนตัวในลักษณะนี้ตลอดไปไม่ได้ นั่นจะยิ่งง่ายต่อการถูกตรวจพบความผิดปรกติ… หรือว่าเราควรเปลี่ยนหุ่นเชิดตัวหนึ่งให้กลายเป็นเสื้อผ้าเลือดเนื้อ และให้อีกตัวสวม?


คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ลุกยืนพร้อมกับวางแก้วไวน์หวานลงบนโต๊ะข้างๆ ตามด้วยการเดินเข้าไปในอาคารหลักของคฤหาสน์และเข้าห้องน้ำ


จากนั้น มันถอยหลังสี่ก้าวและส่งตัวเองเข้าสู่มิติเหนือสายหมอก เรียกคทาเทพสมุทรและอาศัยจุดแสงที่เอ็นยูนสวดวิงวอนเพื่อสำรวจทุกซอกมุมของคฤหาสน์


ในกระบวนการ จิตไคลน์ค่อนข้างตึงเครียด ด้วยกังวลว่าจะหันไปเห็นนักบวชสวมชุดคลุมสีขาวแสนเรียบง่ายที่มีหนวดเคราดกหนาและดวงตาสีทอง


แน่นอน เมื่อเทียบกับการมองเห็นอีกฝ่าย มันกลัวการที่อีกฝ่ายจะมองกลับและยกแก้วไวน์พลางยิ้มให้


แต่โชคยังดี หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด มันยืนยันได้ว่าคฤหาสน์เพลงกุหลาบหลังนี้ไม่มีสิ่งแปลกปลอมหรือความผิดปรกติ


ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ถอนพลังวิญญาณกลับ จากนั้นก็ชำเลืองไปทางไม้กางเขนทองแดงบนโต๊ะยาว


นี่คือวัตถุที่เมจิกเชี่ยนกับจัดจ์เมนต์เพิ่งสังเวยมาให้ พวกเธอระบุว่า สิ่งนี้เป็นการตอบแทนความเมตตาและพรต่างๆ ที่มิสเตอร์ฟูลเคยมอบให้ และหวังว่าตัวตนที่ยิ่งใหญ่จะพึงพอใจ


ดูเหมือนว่าจะมีระดับสูงทีเดียว… ไคลน์หยิบไม้กางเขนที่พันด้วยหนามขึ้น ใช้พลังทำนายเพื่อตรวจสอบพลังและผลข้างเคียงของสมบัติวิเศษชิ้นนี้


ทั้งประเด็นล้วนเหมือนกัน พวกมันรวมเป็นหนึ่งเดียว


ไม้กางเขนทองแดงอันนี้สามารถชำระล้างพลังที่เกี่ยวกับความเสื่อมถอย กัดกร่อน ความมืด ความชั่วร้าย ผุพัง โรคภัย และด้านอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน ส่งผลให้พวกมันสลายไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ


ด้วยเหตุผลข้างต้น สมบัติวิเศษชิ้นนี้จึงมีอำนาจ ‘ลบ’ จิตกัดกร่อนภายในตะกอนพลัง


และเป็นเพราะพลังในการชำระล้างนี้เอง ไม้กางเขนทองแดงจึงมิอาจอยู่ร่วมกับสมบัติวิเศษชิ้นอื่น หรือไม่สามารถสัมผัสกับตะกอนพลังอื่น คนคนเดียวกันไม่สามารถพกติดตัวพร้อมกัน นอกจากนั้น มันยังสามารถขับไล่ตะกอนพลังของผู้ถือ จึงสามารถสรุปได้ตรงๆ ว่า: เมื่อเวลาผ่านไป ตะกอนพลังภายในร่างกายจะไหลซึมออกมา!


กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากถือพกพาไม้กางเขนไว้นานเกินหนึ่งชั่วโมง พลังพิเศษในตัวจะลดลงอย่างน้อยหนึ่งลำดับ ถ้านานกว่าสามชั่วโมง ผู้วิเศษที่ไม่ใช่ครึ่งเทพจะกลายเป็นคนธรรมดา หากนานกว่าหกชั่วโมง ลำดับ 3 และ 4 จะสูญเสียพลังพิเศษของตน ทว่า สิ่งนี้แทบไม่มีผลกับเทวทูต เพราะเทวทูตทุกตนมีอิทธิฤทธิ์ในการทำลายตะกอนพลังอยู่แล้ว หรือเรียกได้ว่าสามารถควบคุมตะกอนพลังของตัวเองได้ดังใจ


สามารถใช้เพื่อดึงตะกอนพลังออกจากผู้วิเศษที่เลื่อนลำดับล้มเหลวโดยไม่ตายหรือคลุ้มคลั่ง… ไม้กางเขนอันนี้มีพลังเหมือนกับเส้นทางสุริยันลำดับ ‘ผู้เจิดจรัส’ … ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)