Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1025-1028

ราชันเร้นลับ 1025 : แปรผันแบบสุ่ม

 

บนกระจกบานใหญ่ ข้อความสีเงินที่ดูราวกับมีชีวิต เลือนหายไปพร้อมกับจัดเรียงเป็นคำใหม่


“แสงเงาประชันดนตรีเป็นนาฬิกาพก สามารถ ‘ห้าม’ พฤติกรรมบางชนิดภายในขอบเขตที่กำหนดได้ และยังสามารถ ‘ช่วงชิง’ พลังพิเศษมาจากเป้าหมายได้เช่นกัน ทว่า ไม่สามารถตั้งข้อห้ามกับศัตรูได้เกินสองชนิด… นอกจากนั้น แสงเงาประชันดนตรียังสามารถ ‘มอบ’ อาการผิดปรกติด้านลบแก่เป้าหมายได้ทันที ส่งผลให้เป้าหมายเฉื่อยชา โลภ กระหาย หรือสูญเสียกะจิตกะใจจะต่อสู้ สนใจเพียงแค่เงิน…”


“นอกจากพลังเหล่านี้ ผู้ถือสมบัติปิดผนึกยังสามารถ ‘บิดเบือน’ วาจา การกระทำ เจตนา และผลการโจมตีของเป้าหมายได้ด้วย เปลี่ยนให้ความตายกลายเป็นเพียงแผลฉกรรจ์ เปลี่ยนให้ระเบิดกลายเป็นแรงดูด เปลี่ยนให้ข้างหน้ากลายเป็นข้างหลัง และเปลี่ยนให้การหลบหนีเป็นพุ่งเข้าใส่…”


“ผลข้างเคียงด้านลบของแสงเงาประชันดนตรีค่อนข้างร้ายแรง ประเด็นหลักๆ ก็คือ เมื่อย่างเข้าสู่การต่อสู้ ในบางเวลา พลังพิเศษทั้งหมดที่ถูกใช้งานจะเกิดการแปรผันแบบสุ่ม ไม่คำนึงถึงมิตรและศัตรู ยากที่ควบคุมผลลัพธ์ ยากที่จะคาดการณ์ ตัวอย่างก็คือ ‘อสนีบาต’ สามารถเป็นได้ทั้งสามฟ้า หรือกลายเป็นน้ำเย็นที่ราดใส่ใบหน้าเป้าหมาย หรือกลายเป็นการอัญเชิญสัตว์วิญญาณนิรนาม…”


“ด้วยสาเหตุดังกล่าว โจนาส·โคลเกอร์จึงพกพาสมบัติวิเศษที่ช่วยให้ตนโชคดีในยามวิกฤติ ภาวนาให้เกิดผลด้านบวกในการแปรผันแบบสุ่ม นั่นอาจช่วยให้มันได้เปรียบเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากมายอะไร…”


“โจนาส·โคลเกอร์ยังเป็นเจ้าของปืนลูกโม่ประหลาดที่เกิดขึ้นระหว่างพิธีกรรมสังเวยให้เทพมาร ชื่อของมันคือ ‘เสียงแผดอันสิ้นหวังของรีเวียร์’ สามารถยิงได้โดยไม่ต้องใช้กระสุน ทุกนัดเต็มไปด้วยพลังทำลายมหาศาล… สามารถยิงรัวได้เหมือนปืนกลขนาดย่อม… หากโดยเป้าหมาย เหยื่อจะได้ยินเสียงร้องอันสิ้นหวังก่อนตายของรีเวียร์ ร่างกายเต็มไปด้วยความเจ็บปวด วิงเวียนศีรษะ สับสน และอาการอื่นๆ”


“ผลข้างเคียงก็คือ ผู้ถือจะได้ยินเสียงร้องที่สิ้นหวังของรีเวียร์เช่นกัน แต่ไม่บ่อยนัก…”


“ในฐานะเคาต์แห่งการเสื่อมถอย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโจนาส·โคลเกอร์มีพลังการ ‘บิดเบือน’ ในขอบเขตของครึ่งเทพ รวมถึงการ ‘มอบ’ สิ่งต่างๆ ให้เป้าหมายได้อย่างไร้เหตุผล… นอกจากนั้น เขายังสามารถ ‘อาศัยช่องโหว่’ ของกฎ หรือ ‘ขยาย’ มันขึ้นจากปรกติ รวมไปถึงพลัง ‘ยุ่งเหยิง’ ที่สร้างความวุ่นวาย…”


“การฉกฉวยช่องโหว่ของกฎยังสามารถใช้ในการเร่งให้สถานะบางอย่างให้นานขึ้น และสิ้นสุดสถานะบางชนิดให้เร็วขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น ในตอนที่กระโดดขึ้นไปในอากาศ เขาสามารถเพิ่มสถานะ ‘ยกตัวขึ้นจากพื้น’ ให้นานขึ้นจนได้รับผลของการ ‘ลอยตัว’ ”


“พลังในการ ‘ขยาย’ หมายถึงการเพิ่มอิทธิพลของพฤติกรรมบางชนิด เช่นการเปลี่ยนการโจมตีธรรมดาให้กลายเป็นการโจมตีที่ถึงแก่ชีวิต สามารถทำให้การกอดลมระยะไกลสร้างผล ‘พันธนาการ’ แก่เป้าหมาย”


“พลัง ‘ยุ่งเหยิง’ จะส่งผลต่อโครงสร้างวัตถุ การคาดคะเน และความแม่นยำของเป้าหมาย สามารถทำให้ตึกขนาดใหญ่พังถล่ม ทำให้ระยะทางสั้นลงเหลือเพียงไม่กี่ก้าว ทำให้ศัตรูโจมตีพลาดเป้า”


“เมื่อผนวก ‘ขยาย’ ‘ฉวยโอกาส’ และ ‘บิดเบือน’ เข้าด้วยกัน ผู้วิเศษเส้นทางนักกฎหมายสามารถเลียนแบบผลลัพธ์เฉพาะตัวของเส้นทาง ‘ผู้ตัดสิน’ ได้ในระดับหนึ่ง”


“และแน่นอน พลังในลำดับกลางและต่ำอย่าง ‘ติดสินบน’ ก็ยังถูกยกระดับเชิงคุณภาพขึ้นอย่างมากในขอบเขตของครึ่งเทพอย่างเคาต์แห่งการเสื่อมถอย…”


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้าตอบเสร็จแล้ว ข้าทำได้ดีไหม?”


คำตอบของนายทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังอ่านคู่มือ… เจ้านี่คงรับข้อมูลจากโลกวิญญาณไปพลางตอบคำถามเรา… นอกจากนั้นยังจะร้องขอคำชมกับเรื่องแบบนี้… ไคลน์รำพันสองสามคำ พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบ


“ทำได้ดีมาก”


หลังจากตอบคำถามของ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดส ไคลน์รีบเข้าไปในเขต พลางวิเคราะห์พลังและลักษณะของสมบัติปิดผนึกที่ครึ่งเทพอย่างโจนาส·โคลเกอร์พกพา


เคาต์แห่งการเสื่อมถอยน่ากลัวสมกับเป็นครึ่งเทพลำดับ 4… มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพทุกด้าน ไม่ว่าจะ ‘มอบ’ ‘บิดเบือน’ ‘ฉกฉวย’ หรือ ‘ขยาย’ ทั้งหมดถูกยกระดับขึ้นมากจนยากจะรับมือ เราได้ตกที่นั่งลำบากแน่หากไม่ระวังให้ดี…


แต่ในทางกลับกัน ‘ยุ่งเหยิง’ ไม่น่ากลัวเท่าไร คล้ายกับเป็นการพัฒนาพลังของลำดับ 5 ‘ผู้ชี้นำความสับสน’ ขึ้นมาเล็กน้อย…


‘แสงเงาประชันดนตรี’ มีความเฉพาะตัวของเส้นทาง ‘ผู้ตัดสิน’ อยู่จริงๆ และสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือผลข้างเคียงด้านลบ… สำหรับเส้นทางนักทำนายอย่างเรา รูปแบบการต่อสู้จะเป็นการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า และควบคุมการแสดงด้วยความพิถีพิถัน หลังจากการแสดงเริ่มขึ้น แต่ละโชว์จะถูกเล่นตามลำดับอย่างมีแบบแผน แต่ถ้าระหว่างนั้นเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น… เกรงว่าผลลัพธ์สุดท้ายอาจมีการเปลี่ยนแปลง… นั่นอันตรายกับเรามาก…


ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์พบว่าอุปสรรคสำคัญคือสมบัติปิดผนึกที่ชื่อ ‘แสงเงาประชันดนตรี’


ในฐานะผู้วิเศษที่ชอบวางกับดักศัตรู ไคลน์ไม่อยากเผชิญสถานการณ์ที่ว่า หลังจากต่อสู้อย่างยากลำบากและเผชิญสถานการณ์วิกฤติ ในวินาทีที่ใช้ยันต์โจรปล้นดวงเพื่อพลิกกระแสศึก กลับพบว่ากลที่ควรจะเสกกระต่ายออกมาจากหมวก กลายเป็นการสร้างพลุดอกไม้ไฟที่เฉลิมฉลองการตายของผู้ใช้ยันต์


โจนาส·โคลเกอร์จะอาศัยดวงเพื่อช่วยให้ตนได้เปรียบ แต่เรากลับไม่มีของแบบนั้น เพราะพลังเกี่ยวกับดวงชะตาในระดับต่ำกว่าเทวทูต ไม่ว่าจะโชคดีหรือโชคร้าย ล้วนไม่มีผลกับเรา… แต่เรามีหุ่นเชิดเอ็นยูน… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก หันไปถามอาโรเดส


“มีวิธีหลีกเลี่ยงการแปรผันแบบสุ่มของสมบัติปิดผนึกชิ้นนั้นไหม?”


บนกระจกบานใหญ่ ตัวอักษรสีเงินกระเพื่อมและก่อตัวเป็นประโยคใหม่


“ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยง! แค่ทำให้โจนาส·โคลเกอร์โชคร้ายก็พอ สำหรับเรื่องนี้ ครึ่งเทพเส้นทางรัตติกาลเชี่ยวชาญมาก”


สมเหตุสมผล… ตามหลักทฤษฎีสัมพัทธภาพ ตราบใดที่โจนาส·โคลเกอร์โชคร้ายกว่าเรา เราจะถือว่าเป็นคนโชคดี… มาดามอาเรียนน่าบอกเองว่าจะให้ความช่วยเหลือตามสมควร… สำหรับท่าน ก่อนที่จะสร้างโลกแห่งความลับ มีเวลาเหลือเฟือในการสาปให้โจนาส·โคลเกอร์เผชิญเคราะห์กรรม… ไคลน์พยักหน้าด้วยความโล่งใจก่อนจะกล่าวต่อ


“ทำดีมาก วันนี้พอแค่นี้ก่อน หากมีสิ่งใดต้องการรบกวน ข้าจะเรียกมาใหม่”


“ขอรับนายท่าน! ไม่มีปัญหา! ลาก่อน นายท่าน~” บนผิวกระจกสีเงินบานใหญ่ สัญลักษณ์ถูกวาดขึ้นด้วยเส้นแสงสีเงิน


เมื่อเห็นกระจกกลับเป็นปรกติ ไคลน์ถอนสายตากลับ จำลองการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นในใจ


หลังจากบรรจงไตร่ตรอง ชายหนุ่มผุดไอเดียที่น่าสนใจขึ้น จากนั้นก็นำไปพัฒนาต่อยอดเป็นแผนการที่ประณีตและรัดกุม


หลังจากวางแผนล่วงหน้าอย่างคร่าว ไคลน์เดินไปทางระเบียง หันหน้าไปทางสวนที่มืดมิด ส่งเสียงกระซิบพึมพำ


“คุณสามารถทำให้โจนาส·โคลเกอร์ประสบ ‘เคราะห์กรรม’ ก่อนการต่อสู้จะเริ่มขึ้นได้ไหม?”


หลังจากความเงียบปกคลุมสักพัก เสียงอันเรียบง่ายของสตรีดังขึ้นในหัว


“ทำได้”


“ถ้าอย่างนั้น ฝั่งผมพร้อมแล้ว” ไคลน์ตอบรับ


เพียงพริบตา บรรยากาศรอบตัวกลับไปสงบสุขอีกครั้ง


ท่ามกลางสายลมหนาวพัดผ่าน ไคลน์จ้องเข้าไปในคฤหาสน์สองสามวินาทีโดยไม่แสดงสีหน้า ตามด้วยการใช้มือกดหมวกผ้าไหม จัดระเบียบถุงมือหนังมนุษย์ที่มือข้างซ้าย ชักปืนลูกโม่ลางมรณะออกจากใต้รักแร้


ทันทีหลังจากนั้น มันใช้หัวแม่โป้งดันโม่เหล็กสีดำจนหมุนหลายตลบ



ค่ำคืนย่างกรายผ่านไปทีละนิด แสงจันทร์สีแดงส่องลอดผ่านเมฆเป็นบางคราว คฤหาสน์กุหลาบถูกปกคลุมด้วยความเงียบเชียบ


ทันใดนั้น ร่างหนึ่งลอบเข้ามาในคฤหาสน์จากทางฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำทัสซอค จากนั้นก็เดินอีกสองสามก้าวและส่งตัวเองเข้ามาอยู่ในเขตห้องพัก


ไม่ใช่ใครนอกจากรองผอ. MI9 ที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีดำ โจสนาส·โคลเกอร์


ครึ่งเทพรูปร่างกำยำมองไปรอบตัว เมื่อไม่พบสิ่งผิดปรกติ มันเผยรอยยิ้มเล็กๆ และเดินไปที่บาร์ประจำห้องพักแขก เปิดตู้หยิบแก้ว ตามด้วยหยิบไวน์แดงที่ผลิตโดยคฤหาสน์เพลงกุหลาบ เตรียมเทลงไปในแก้วเพื่อเฉลิมฉลองให้กับค่ำคืนที่งดงาม


ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณของมันถูกกระตุ้นให้เงยหน้าขึ้น


มันเหลือบไปเห็นอาคารฝั่งตรงข้ามที่มีปล่องไฟสีเทาขาว ถูกย้อมไปด้วยเงาดำคล้ายกับโลกทั้งใบถูกสาดด้วยหมึกสีดำ


ด้านข้างของปล่องไฟ ยอดแหลมอันเป็นเอกลักษณ์ของอาคารหลักประจำคฤหาสน์เพลงกุหลาบก็มืดลงเช่นกัน แต่เหนือท้องฟ้ายังคงเป็นพระจันทร์สีแดงสดลอยสูง


ทว่า ทั้งเมฆและดวงดาวยามราตรีล้วนอันตรธานหาย นอกจากพระจันทร์สีแดงก็มีเพียงท้องฟ้าอันมืดมิดสีดำสนิท


ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ พืชพรรณและดอกไม้ในสวนยังคงตั้งอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่มีสีทึบและพร่ามัวอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับอยู่ห่างไกลออกไป


ไม่ว่าจะสีดำและแดง อาคารที่ถูกฉาบด้วยเงาดำ ค่ำคืนอันเงียบสงัดและพืชที่พร่ามัว ภาพทั้งหมดกำลังสะท้อนอยู่ภายในดวงตาของโจนาส·โคลเกอร์


นี่มัน… ดวงตาของครึ่งเทพรายนี้ขยายออกเล็กน้อย รีบตอบสนองโดยไม่ลังเล


มันสอดมือซ้ายเข้าไปในกระเป๋าลับของเสื้อ และสอดมือขวาเข้าไปในรักแร้อีกฝั่ง หยิบวัตถุสองชิ้นออกมาถือ


ในบรรดาพวกมัน สิ่งที่ถือในมือขวาคือปืนพกประหลาด สีเทาเกือบทุกส่วน ใหญ่กว่าปืนพกตัวไปพอสมควร ขนาดราวครึ่งหนึ่งของค้อนศึกที่ใช้ในสงครามอดีตกาล


ส่วนอื่นที่ผิดปรกติของลูกโม่กระบอกนี้ก็คือ มันมีหกลำกล้อง ปากลำกล้องลึก บนโม่ฝังหมุดเหล็กไว้หลายสิบ มอบความงดงามที่แข็งกระด้าง


ในมือซ้ายโจนาส·โคลเกอร์ถือนาฬิกาพก ‘หุ้มเหล็ก’ ครึ่งหนึ่งของหน้าปัดมีสัญลักษณ์บอกเวลาเรียงรายเป็นระเบียบ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งยุ่งเหยิงพัวพัน บ้างล้ำเส้นมาอีกฝั่ง โดยทั้งสองฝั่งคล้ายกับทำหน้าที่เป็นกลไกที่มองไม่เห็นของนาฬิกาพกเรือนนี้ ผสมผสานกันเป็นหนึ่ง ก่อให้เกิดโครงสร้างที่ซับซ้อนและเวียนหัว


แทบจะในเวลาเดียวกัน ร่างหนึ่งพุ่งออกจากดวงจันทร์สีแดงขนาดมหึมาด้านนอกหน้าต่าง ร่อนลงมายังเบื้องล่างด้วยความเร็วสูง


ร่างกายอีกฝ่ายขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเผยให้เห็นเส้นผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล โครงหน้าผอมเพรียวชัดลึก บรรยากาศเต็มไปด้วยความเย็นชา


ชายหนุ่มคนดังกล่าวสวมหมวกผ้าไหมทรงสูง สวมเสื้อนอกสีดำ มือขวาถือปืนลูกโม่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น มือซ้ายปกคลุมด้วยถุงมือหนังมนุษย์สีใส ท่ามกลางแสงสว่างสีแดง ราวกับมันกำลังแดงจันทร์ไว้บนแผ่นหลัง


เกอร์มัน·สแปร์โรว์

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1026 : ข้อห้ามสองชนิด

 

เมื่อเห็นชายหนุ่มสวมเสื้อกันลมสีดำ ถือมือลูกโม่ในมือซ้าย กระโดดลงมาจากดวงจันทร์ โจนาส·โคลเกอร์ที่คุ้นเคยกับโลกผู้วิเศษเป็นอย่างดีรีบตอบสนองฉับไว


มันให้หัวแม่มือซ้ายข้างที่ถือนาฬิกาพกหุ้มเหล็ก เตรียมกดปุ่มเหล็กบนหน้าปัดที่ยุ่งเหยิง ขณะเดียวกันก็ยกแขนขวาขึ้น เล็กหกปากกระบอกสีเทาที่เรียงกันเป็นวงกลม ไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์


ขั้นตอนดังกล่าวเปรียบดังประกายไฟที่เกิดจากการเสียดสีโลหะ สว่างขึ้นและหายไปในพริบตา โดยสำหรับนิ้วหัวแม้โป้งซ้ายของโจนาส มันยังมิได้กดลงบนปุ่มเหล็กของหน้าปัด


มันเอาชนะปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติของตน หักห้ามใจยังไม่ใช้พลัง ‘ข้อห้าม’ ของ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ ในทันที


นั่นเพราะมันยังไม่รู้จักเกอร์มัน·สแปร์โรว์ดีพอ ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมีจุดแข็งอย่างไร และเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่ตนกำลังเห็นอาจไม่ใช่ตัวจริง การใช้ข้อห้ามส่งเดชอาจทำให้เสียโอกาสไปโดยเปล่าประโยชน์


มันตั้งใจจะดูเชิงไปอีกสักพัก จะได้กำหนด ‘กฎ’ และบิดเบือนให้สอดคล้องกับจุดแข็งของอีกฝ่าย


ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!


ปืนลูกโม่ประหลาดกรีดร้องด้วยเสียงสิ้นหวัง กระหน่ำพายุกระสุนสีดำเย็นเยียบ ห้อมล้อมศัตรูภายใต้ดวงจันทร์สีแดงในพริบตา


ทันใดนั้น ร่างของเกอร์มัน·สแปร์โรว์โปร่งใสในทันที กลายเป็นมายาและพร่ามัว


กระสุนที่กระทบร่างแทบจะในพริบตา จากที่ควรฉีกทำลายเสื้อกันลมสีดำ กลับทำได้เพียงสลายภาพตกค้างที่เหลือทิ้งไว้


และด้านหลังโจนาส·โคลเกอร์ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่มีใบหน้าเย็นชาโผล่ขึ้นจากความว่างเปล่า ร่างกายอยู่ในท่ากึ่งคุกเข่า โน้มตัวเล็กน้อย หมวกทรงสูงสีดำเหนือศีรษะถูกฉาบด้วยสีแดงจากดวงจันทร์


ทันใดนั้น มันยกลูกโม่เหล็กสีดำในมือขึ้น อ้าปากเล็กน้อยขณะเล็ง ลั่นไกปืนโดยไม่ลังเล


ปัง!


พื้นฝั่งขวามือของโจนาส·โคลเกอร์เกิดระเบิดทันที เศษดินหินนับไม่ถ้วนปลิวกระจัดกระจาย


การยิงของเกอร์มัน·สแปร์โรว์พลาดเป้าไปไกลมาก แถมพลังทำลายก็ยังบกพร่อง


นี่คือพลัง ‘บิดเบือน’ ของเคาต์แห่งการเสื่อมถอย สามารถหักเหวิถีและลดพลังงานลง


อาศัยโอกาสดังกล่าว โจนาส·โคลเกอร์ใช้พลัง ‘ยุ่งเหยิง’ สร้างอิทธิพลกับมาตรวัดระยะทาง ส่งผลให้เดินไปถึงระเบียงห้องนอนภายในก้าวเดียว


จากนั้น มันหมุนครึ่งตัวพร้อมกับกดปุ่มโลหะปุ่มหนึ่งบนหน้าปัดนาฬิกาพกหุ้มเหล็กในมือ กล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม:


“ที่นี่ไม่อนุญาตให้เทเลพอร์ต!”


การเปลี่ยนแปลงลึกลับเกิดขึ้นกับคฤหาสน์เพลงกุหลาบที่ถูกฉาบด้วยแสงจันทร์อย่างเงียบเชียบ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นสีใสหลังยิงปืนเสร็จ ถูกบังให้โผล่ออกจากความว่างเปล่าอีกครั้ง


มันเปลี่ยนตำแหน่งหลังยิงล้มเหลว


พลัง ‘ข้อห้าม’ ของ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ !


สำหรับโจนาส·โคลเกอร์ ไม่สนว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะถนัดพลังแบบใด แต่ทันทีที่เห็นเทเลพอร์ต มันรีบสร้างข้อห้ามพลังชนิดนี้ทันที เพราะศัตรูที่สามารถเทเลพอร์ตได้ต่อเนื่อง นอกจากจะน่ารำคาญ ยังเต็มไปด้วยความอันตราย!


เมื่อพบว่าเทเลพอร์ตล้มเหลว สีหน้าของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ยังคงไม่แปรเปลี่ยน ร่างกายเกิดการบิดเบี้ยวพร้อมกับสีสันที่ซีดลง จนกระทั่งเหลือเพียงสีดำสนิท


ก้อน ‘สีดำสนิท’ ยุบตัวลงอย่างรวดเร็วและไหลไปตามพื้น ผสมผสานกับเงาดำในบริเวณใกล้เคียงที่ไม่ได้รับแสงจากดวงจันทร์ ยากจะจำแนกได้ชัดเจน


ปัง! ปัง! ปัง! ในตำแหน่งที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์เคยยืน รูกระสุนถูกสร้างขึ้นพร้อมกับเศษดินหินที่กระจัดกระจาย


โครม!


พื้นพังลงทันที เผยให้เห็นห้องด้านล่าง แต่ปราศจากฝุ่นฟุ้งกระจาย


และแม้จะเกิดเสียงเอะอะเช่นนี้ คฤหาสน์เพลงกุหลาบก็ยังถูกปกคลุมด้วยความเงียบและเงามืด ไม่มีใครตื่นตอนหรือส่งเสียงตอบสนอง


เป็นอีกครั้งที่โจนาส·โคลเกอร์ยับยั้งความต้องการที่จะสร้าง ‘ข้อห้าม’ ไม่ให้ศัตรูซ่อนในเงา เพียงถือ ‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ และ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ ไว้ในมือสองข้าง คอยสังเกตสิ่งรอบข้างอย่างสุขุม รอให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์โผล่หน้าอีกครั้งจึงค่อยเปิดฉากโจมตี


แต่ภายในห้องที่ชำรุดทรุดโทรม เงาดำทุกจุดยังคงนิ่งสนิท ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น และด้านนอกหน้าต่าง ยอดแหลมของอาคารและปล่องไฟยังคงปกคลุมไปด้วยสีดำที่เย็นเยียบ เหนือท้องฟ้ายังคงมีพระจันทร์สีแดงขนาดมหึมาลอยสูง


พืชในสวน เถาองุ่นที่ห่างออกไปไกล หน้าต่างทรงโบราณ พวกมันคล้ายกับพร่ามัวและทรุดโทรมลงท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด แม้จะยังมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่ประสาทสัมผัสกลับไม่รู้สึกว่ามีอยู่จริง


คฤหาสน์เพลงกุหลาบกลายเป็นสถานที่หม่นหมองและไร้ชีวิตชีวา เงียบสงัด คล้ายกับเป็นมุมที่ถูกโลกลืมและไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครหาพบ


ในฐานะครึ่งเทพ ในฐานะคนใหญ่คนโตที่อยู่ในโลกของข่าวกรอง โจนาส·โคลเกอร์สร้างข้อสันนิษฐานได้อย่างรวดเร็ว มันสงสัยว่าปรากฏการณ์ตรงหน้าอาจเกี่ยวข้องกับพลังในขอบเขต ‘การปกปิด’


ท่ามกลางแนวคิดอันหลากหลาย เกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะโผล่ออกมา


มันไม่คิดจะลอบจู่โจมเข้ามา ไม่คิดจะหาโอกาสลั่นกระสุนใส่เราทั้งที่เปิดช่องว่างให้ขนาดนี้… มันไม่รู้จักพลังของ ‘นักกฎหมาย’ หรือ ‘ผู้ตัดสิน’ ในระดับสูงหรอกหรือ? ยิ่งการต่อสู้ผ่านไปและรู้จักศัตรูดีพอ โอกาสได้รับชัยชนะของศัตรูก็ยิ่งริบหรี่… โจนาส·โคลเกอร์เกิดความสับสนเล็กๆ


หลังจากตรวจสอบสภาพแวดล้อมอย่างไม่รีบร้อน มันพอจะทราบสถานการณ์เบื้องต้นของตัวเอง และเข้าใจว่าการเอาชนะเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่ใช่กุญแจสำคัญ ประเด็นหลักคือการหลบหนีออกจากโลกที่แปลกประหลาดและเป็นความลับแห่งนี้


ถ้าไม่รีบหนีออกไป อาจมีอันตรายอื่นๆ ตามมาในภายหลัง!


ขอเพียงเราออกจากคฤหาสน์เพลงกุหลาบที่มืดมิดแห่งนี้ไปได้ ต่อให้เทวทูตเสด็จเยือน เราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก เพราะที่นี่ยังคงเป็นเบ็คลันด์… และโลกแห่งการปกปิดที่เกิดจากฝีมือมนุษย์แห่งนี้ย่อมต้องมีทางออก สิ่งนี้คือกฎอันเข้มงวดของโลกเหนือธรรมชาติที่ไม่มีใครสามารถฝ่าฝืน… การฉกฉวยช่วงโหว่ของกฎและบิดเบือนมัน คือสิ่งที่ครึ่งเทพเส้นทางนักกฎหมายชำนาญที่สุด! ท่ามกลางกระแสความคิด โจนาส·โคลเกอร์รีบตัดสินใจ


มันกลับตัวกะทันหัน กระโดดออกจากระเบียงด้วยพละกำลังทั้งหมด เป็นแรงพุ่งอันน่าทึ่งคล้ายกับสปริงที่ถูกบีบอัดและคลาย


ครึ่งเทพแห่งกองทัพลอยขึ้นสูงในอากาศ โดยที่ความเร็วมิได้ลดลง ไม่มีแนวโน้มที่จะร่วงหล่น


มันยังคงรักษาความเร็วเดิมไปเรื่อยๆ และลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นการบิน


เคาต์แห่งการเสื่อมถอย ‘ฉกฉวยช่องโหว่’ !


นี่คือการอาศัยช่องโหว่ของกฎเพื่อยืดเวลาในการลอยให้นานขึ้น


หากโจนาส·โคลเกอร์พัฒนาไปเป็นเทวทูตลำดับ 2 มันสามารถใช้พลังนี้เพื่อกระโดดจากพื้นโลกไปจนถึงดวงจันทร์สีแดง


ขณะกระโดดขึ้นไปในอากาศ โจนาส·โคลเกอร์สะบัดแขนขวาพร้อมกับใช้พลัง ‘ยุ่งเหยิง’


มันวางแผนจะสร้างความโกลาหลขึ้นภายในคฤหาสน์เพลงกุหลาบ และเมื่อระลอกคลื่นกระเพื่อมออกไปเป็นวงกว้าง โลกแห่งการปกปิดแห่งนี้จะเผยทางออกให้เห็น


เพียงพริบตา ดอกไม้และเถาองุ่นที่เป็นฉากหลังของคฤหาสน์เพลงกุหลาบเริ่มสั่นไหว เงาดำบนยอดหอคอยแหลม ปล่องไฟ และหน้าต่างโบราณที่มืดมิดเริ่มจางลง


บนโลกแห่งนี้ มีเพียงพระจันทร์สีแดงดวงใหญ่เบื้องหน้ามันที่ไม่แปรเปลี่ยน ยังคงลอยสูงอย่างเงียบสงัด


นั่นคือทางออก! หลังจากใช้พลังยุ่งเหยิง การตอบสนองของสิ่งเร้าช่วยให้โจนาส·โคลเกอร์เริ่มเข้าใจกฎของโลกใบนี้มากขึ้น จึงรีบตัดสินใจ


โดยปราศจากความลังเล มันบิดเอวพร้อมกับใช้พลัง ‘ขยาย’ เพื่อบังคับเปลี่ยนทิศทาง ส่งตัวเองลอยไปทางดวงจันทร์สีแดงสด


ทันใดนั้น ชายผู้หนึ่งโผล่ออกจากเงาดำหน้าอาคารหลักของคฤหาสน์เพลงกุหลาบ สวมเสื้อกันลมสีดำและหมวกผ้าไหมทรงสูง ไม่ใช่ใครนอกจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่มีใบหน้าเย็นชา


ฟ้าว!


สายลมปรากฏขึ้นจากที่ใดไม่มีใครทราบ พัดพาเกอร์มัน·สแปร์โรว์ให้ลอยตามโจนาส·โคลเกอร์ไปติดๆ


จากนั้น เกอร์มัน·สแปร์โรว์ในสายลมยกปืนลูกโม่เหล็กสีดำในมือขวาขึ้นและเหนี่ยวไก


ปัง!


กระสุนพุ่งออกไป ระเบิดกระจายเป็นเศษลูกปราย


พวกมันทั้งหมดโหมกระหน่ำใส่จุดที่โจนาส·โคลเกอร์กำลังลอยอยู่


ลูกโม่ลางมรณะ ‘โจมตีล้างบาง’ ! การยิงกวาดไปทั่วพื้นที่!


แทบจะในเวลาเดียวกัน โจนาส·โคลเกอร์เปลี่ยนทิศทางการพุ่งโดยไม่มีลางบอกเหตุ จากการมุ่งหน้าไปยังดวงจันทร์ กลายเป็นพุ่งลงด้านล่าง


มันรอดพ้นจากพายุกระสุนฉิวเฉียด คล้ายกับคาดการณ์สิ่งนี้ไว้แล้ว


ไม่สิ ไม่ใช่ ‘คล้ายกับ’ แต่มันคาดเดาสิ่งนี้ไว้อยู่แล้ว! แม้ว่าเป้าหมายหลักจะยังคงเป็นการหลบหนีออกจากคฤหาสน์เพลงกุหลาบ แต่ก็ยังไม่ลืมว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์สามารถฉวยโอกาสโจมตีใส่ มันจึงวางกับดักโดยใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ หวังจับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่เอาแต่ซ่อนตัว และเป็นฝ่ายชิงตอบโต้ให้ศัตรูให้รับบาดเจ็บสาหัส


ตกลงมาได้ครึ่งทาง ร่างของโจนาส·โคลเกอร์เด้งขึ้นอีกครั้ง เป็นผลจากพลัง ‘บิดเบือน’ ที่ใช้เปลี่ยนแปลงทิศทางในการพุ่ง


สำหรับคราวนี้ เป้าหมายของมันคือ ‘ตำแหน่ง’ ที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังจะพุ่งไป!


ทันทีหลังจากนั้น มันใช้มือซ้ายที่ถือนาฬิกาพก ทำท่ากระชากกลับอย่างแรง เป็นการจับคว้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์กลางอากาศ ดึงศัตรูจากด้านหน้าในระยะหลายสิบเมตร


เคาต์แห่งการเสื่อมถอย ‘ขยาย’ !


ฟ้าว!


ท่ามกลางสายลมพัดผ่าน โจนาส·โคลเกอร์คว้าเสื้อเชิ้ตบริเวณหน้าอกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ตามด้วยการเหยียดลูกโม่ประหลาดในมือขวาออกไปข้างหน้า


ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!


‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ ปลดปล่อยกระสุนจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับปืนกล เพียงพริบตาเดียว ร่างของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กลายเป็นแผ่นกระดาษที่ปลิวไสวไปทั่วท้องฟ้า


ดวงตาของโจนาส·โคลเกอร์ชะงักไปเล็กน้อย รีบเลื่อนนิ้วหัวแม่โป้งซ้ายกดหนึ่งในปุ่มโลหะของนาฬิกาพกอีกครั้ง


ท่ามกลางเสียงกริ๊ก เคาต์แห่งการเสื่อมถอยเปล่งเสียงสง่าผ่าเผยที่ไม่สั่นคลอน


“ที่นี่ไม่อนุญาตให้ใช้ตัวแทน!”


ทันทีที่สิ้นเสียง สายลมที่คร่ำครวญในอากาศพลันหยุดนิ่ง คฤหาสน์เพลงกุหลาบกลับไปเงียบสงัดอีกครั้ง กลายเป็นโลกที่ปกคลุมด้วยเงาดำมืดอีกครั้ง


โจนาส·โคลเกอร์เปลี่ยนทิศทางในการพุ่งอีกครั้ง พร้อมกับพลิกตัวครึ่งวงกลมกลางอากาศ พยายามมองหาเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แต่ก็ไม่พบความผิดปรกติใดภายใต้ค่ำคืนอันมืดสนิท


เคาต์แห่งการเสื่อมถอยครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็มุ่งหน้าต่อไปยังดวงจันทร์สีแดงขนาดใหญ่


ทันใดนั้น ตามสวนดอกไม้ ไร่องุ่น และภายในอาคารหลักของคฤหาสน์ เงาดำค่อยๆ โผล่ขึ้นทีละหนึ่ง บ้างขยายขนาดและก่อตัวเป็นรูปทรง


พวกมันทั้งหมดสีเส้นผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล ใบหน้าผอมเพรียวชัดลึก สวมหมวกผ้าไหมทรงสูง สวมเสื้อกันลมสีดำ ไม่ใช่ใครนอกจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์!


ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ บ้างมีรูปร่างปรกติ บ้างหลังจม บ้างพองออกคล้ายลูกโป่งแก๊ส บ้างเป็นแผ่นบางๆ


ได้เห็นฉากดังกล่าว โจนาส·โคลเกอร์นึกถึงศัตรูตัวฉกาจที่มันเคยเผชิญหน้าทันที


หนึ่งในหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของอินทิส:


จอมเวทพิสดาร!

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1027 : หลอกลวง

 

หลังจากโจนาส·โคลเกอร์ทราบเส้นทางผู้วิเศษของศัตรู ร่างของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ภายในสวนดอกไม้ ไร่องุ่น และอาคารหลักของคฤหาสน์ต่างยกมือซ้ายขึ้นพร้อมกัน เก็บนิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อย มีเพียงนิ้วชี้และนิ้วโป้งที่เหยียดออกมาในรูปทรงปืนพกอย่างง่าย


นิ้วชี้ที่เป็นตัวแทนลำกล้องและปากกระบอกปืนต่างหันมาเล็งใส่โจนาส·โคลเกอร์ที่อยู่กลางอากาศ จากนั้น ปลายแขนของทุกร่างกระตุกเล็กน้อยคล้ายกับแรงถีบในการยิง


ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!


ท่ามกลางเสียงอึกทึก รอบๆ ตัวของเคาต์แห่งการเสื่อมถอยผู้สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีดำ นกพิราบมายาสีขาวจำนวนมากกำลังพุ่งเข้าใส่จากทุกทิศ เป็นภาพที่งดงามจนน่าหลงใหล


นี่คือผลข้างเคียงจากนาฬิกาพก ‘หุ้มเหล็ก’ เป็นผลจากการแปรผันที่มิอาจคาดเดาของ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ มันทำการเปลี่ยนกระสุนปืนใหญ่อัดอากาศที่สามารถพังบ้านทั้งหลัง ให้กลายเป็น ‘นกพิราบขาวแห่งสันติภาพ’ โดยอัตโนมัติ โจนาส·โคลเกอร์ไม่ต้องออกแรงด้วยตัวเอง!


โจนาส·โคลเกอร์ที่เตรียมใช้พลัง ‘ยุ่งเหยิง’ เพื่อสกัดการระดมยิงของศัตรู เมื่อได้เห็นภาพนกพิราบสีขาวกระพือปีกและบินหายลับไปในขอบฟ้า มันมิได้เผยสีหน้าประหลาดใจแต่อย่างใด


สำหรับเรื่องในทำนองนี้ โจนาส·โคลเกอร์เตรียมใจล่วงหน้าทุกวินาที


มันชาชินกับผลข้างเคียงของสมบัติปิดผนึกที่ตนพกพาและใช้นานมานานหลายปี!


ฉวยโอกาสดังกล่าว มันนำนาฬิกาพกหุ้มเหล็กและปืนลูกโม่พิสดารมากระทบเข้าด้วยกัน


โจนาส·โคลเกอร์เตรียมใช้พลัง ‘บิดเบือน’ โดยมีเป้าหมายเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่อยู่ด้านล่าง


สำหรับมัน การต่อสู้กับจอมเวทพิสดาร สิ่งที่น่าปวดหัวที่สุดก็คือ การที่ไม่สามารถระบุได้ว่าศัตรูเป็นร่างจริงหรือหุ่นเชิด เว้นเสียแต่หุ่นเชิดตัวดังกล่าวจะถูกสร้างขึ้นหยาบๆ


ดังนั้น มันไม่กล้าใช้พลังพิเศษส่วนใหญ่ของตน เพราะนั่นไม่มีผลกับหุ่นเชิด


พลัง ‘ข้อห้าม’ ที่แสดงผลเป็นวงกว้างยังสามารถใช้ได้ แต่พลัง ‘ช่วงชิง’ ที่มีผลต่อหนึ่งเป้าหมายนั้นไร้ความหมายโดยสมบูรณ์ เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะใช้พลังช่วงชิงกับหุ่นเชิด จอมเวทพิสดารสามารถแก้ปัญหาได้โดยการเปลี่ยนหุ่นเชิดเสียใหม่


จากหลักการดังกล่าว การใช้พลังเพื่อ ‘ขยาย’ ผลข้างเคียงด้านลบของสมบัติวิเศษศัตรูจึงถูกตัดออกไปในตำรากลศึกของโจนาส·โคลเกอร์ชั่วคราว


ในทำนองเดียวกัน พลัง ‘มอบ’ ของเคาต์แห่งการเสื่อมถอยแทบไม่ส่งผล แตกต่างจาก ‘ช่วงชิง’ ซึ่งยังสามารถทำให้หุ่นเชิดสูญเสียพลังพิเศษบางชนิดและไม่สามารถต่อสู้ พลัง ‘มอบ’ ซึ่งจะทำให้ศัตรูสูญเสียกะจิตกะใจที่จะต่อสู้ ใจร้อน หรือหน้าเงิน ย่อมไม่ส่งอิทธิพลต่อหุ่นเชิดไร้ชีวิต ไร้ความคิด และไม่คิดถึงเรื่องเงิน


ดังนั้น ก่อนจะใช้พลังที่ว่ามาข้างต้น โจนาส·โคลเกอร์ตัดสินใจค้นหาร่างจริงของหุ่นเชิดของจอมเวทพิสดารให้พบเสียก่อน


สำหรับปัญหานี้ คนอื่นอาจรับมือได้ยาก แต่สำหรับผู้วิเศษระดับสูงและมากประสบการณ์ในเส้นทางนักกฎหมาย เรื่องนี้ไม่ยากเกินกำลัง


ทุกสิ่งมีกฎเกณฑ์ และพลังทุกชนิดก็มีกฎในตัว ครึ่งเทพเส้นทางกฎหมายที่เก่งกาจในการหาช่องโหว่จึงมิวิธีเอาตัวรอดจากพลังพิเศษทุกรูปแบบ


นอกจากนั้น มันยังเคยมีประสบการณ์ต่อสู้กับจอมเวทพิสดารคนอื่นมาก่อน และเคยคิดหาวิธีรับมือคนเหล่านั้นหลังจากจบศึก โจนาส·โคลเกอร์จึงค่อนข้างมั่นใจว่า พลังบิดเบือนของตนสามารถใช้แก้ทางศัตรูได้


มันทราบว่าจอมเวทพิสดารสามารถสับเปลี่ยนร่างต้นกับหุ่นกระบอกได้อย่างไร้รอยต่อ จึงตั้งใจจะบิดเบือนเหตุการณ์ดังกล่าว เปลี่ยนให้จอมเวทพิสดารสามารถสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดได้เพียงสองถึงสามตัว


หากประสบความสำเร็จ มันก็จะจำแนกร่างต้นของจอมเวทพิสดารได้ง่ายขึ้น


แน่นอน หากไม่ใช่เพราะว่าพลังบิดเบือนมีขอบเขตจำกัด และพลัง ‘ข้อห้าม’ ก็ถึงขีดจำกัดสองชนิดแล้ว โจนาส·โคลเกอร์คงเลือกใช้วิธีที่ง่ายกว่าเดิม เช่นการเจาะจงบิดเบือนให้เป้าหมายสามารถสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดได้แค่หนึ่งตัว หรือสร้าง ‘ข้อห้าม’ เพิ่มเพื่อมิให้เป้าหมายสามารถสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดได้เลย


กึก!


โจนาส·โคลเกอร์นำ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ และ ‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ มากระทบเข้าด้วยกันในท่าทางที่คล้ายกับพยายามบีบอัดบางสิ่ง


เคาต์แห่งการเสื่อมถอย ‘บิดเบือน’ !


ทันใดนั้น ดอกไม้สีแดงที่ถูกฉาบด้วยเงาดำโผล่ขึ้นจากมือโจนาส·โคลเกอร์ คล้ายกับมันต้องการมอบสิ่งนี้ให้กับศัตรู โดยที่ในขณะเดียวกัน เกอร์มัน·สแปร์โรว์ภายในไร่องุ่น ในสวนดอกไม้ ในอาคารหลักของคฤหาสน์ ไม่ว่าจะตัวหนาหรือตัวบาง ทั้งหมดล้วนไม่เผชิญความผิดปรกติใดๆ


โจนาส·โคลเกอร์เองก็ได้ลิ้มรส ‘การแปรผันแบบสุ่ม’ ของ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ !


พลังบิดเบือนของมันถูกเปลี่ยนให้เป็นดอกไม้ที่เด็ดจากสวนด้านล่าง


โดยขณะเดียวกัน นกพิราบมายาสีขาวยังคงลอยอยู่บนอากาศ ยังไม่ลับสายตาไปไหน!


ในวินาทีปัจจุบัน ศึกดวลระหว่างครึ่งเทพสองตนกลายเป็นภาพที่น่าตลกขบขัน


แน่นอน ทั้งเกอร์มัน·สแปร์โรว์และโจนาส·โคลเกอร์มิได้คิดเช่นนั้น โดยเฉพาะรายหลัง เป็นอีกครั้งที่มันเผชิญความรู้สึกสิ้นหวังและอับจนหนทาง


มันยังไม่หยุดพฤติกรรม ทำการกระแทกฝ่ามือสองข้างเข้าด้วยกันอีกครั้งและประสบความสำเร็จในการใช้พลังบิดเบือน เป็นการอาศัยจำนวนเข้าสู้กับการแปรผันแบบสุ่ม


ทว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่ใช่คนตาย ไม่มีทางยืนรอให้ศัตรูโจมตีเสร็จ นักผจญภัยเสียสติจำนวนมากด้านล่างต่างพากันใช้มือที่เลียนแบบปืน หรือไม่ก็ลูกโม่ลางมรณะที่ยากจะระบุจริงเท็จ เล็งไปยังเคาต์แห่งการเสื่อมถอยที่ลอยกลางอากาศ


ขณะเดียวกัน หัวใจโจนาส·โคลเกอร์พลันเต้นแรง มันรีบเงยหน้ามองด้านบนและพบว่า ที่ดวงจันทร์สีแดงขนาดมหึมายังคงลอยสูงเหนือยอดแหลม ร่างหนึ่งโผล่ออกมาด้วยความโดดเด่น


ร่างดังกล่าวสวมหมวกผ้าไหม สวมเสื้อกันลมสีดำ สวมถุงมือหนังมนุษย์ ถือปืนลูกโม่เหล็กดำ ใบหน้าเย็นชาและเคร่งขรึม ผอมเพรียวชัดลึก ไม่ใช่ใครนอกจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์อีกหนึ่งคน!


มันร่อนลงมาจนเกิดเป็นภาพราวกับกำลังแบกพระจันทร์สีแดงไว้บนหลังอีกครั้ง ร่างกายขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับทวีความคมชัด ปืนลูกโม่เหล็กดำในมือถูกยกขึ้นเล็งโจนาส·โคลเกอร์


ปัง! ปัง!


กระสุนที่ครึ่งหนึ่งโปร่งใสและครึ่งหนึ่งโปร่งแสงพุ่งออกจากปากกระบอก ตรงไปยังโจนาส·โคลเกอร์


นี่คือกระสุนช่วงชิงที่สร้างจากหนอนกาลเวลาของร่างโคลนอามุนด์!


มันคล้ายกับพลัง ‘ช่วงชิง’ ของเส้นทาง ‘ผู้ตัดสิน’ จุดร่วมกันคือความสามารถในการขโมยพลังที่ศัตรูเพิ่งใช้ล่าสุดสามชนิด เปลี่ยนให้เป็นพลังของตัวเองชั่วคราว


ทว่า พลังช่วงชิงของเส้นทางผู้ตัดสินนั้นใช้งานได้ง่ายกว่า เพียงแค่เลือกเป้าหมายก็พอ แตกต่างจากพลังช่วงชิงของกระสุนซึ่งแม้จะแสดงผลเป็นพื้นที่ แต่ก็ไม่กว้างมากนัก เป้าหมายห้ามออกจากจุดที่กระสุนกระทบวัตถุ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง พลังของผู้ตัดสินเป็นสิ่งที่ศัตรูมิอาจเลี่ยง และลดทอนประสิทธิภาพได้ด้วยการมีลำดับที่สูงกว่าเท่านั้น แต่พลังจากกระสุนสามารถหลบให้พ้นโดยสิ้นเชิงจากอ่านทิศทางล่วงหน้า


ตามแผนเดิม ไคลน์คิดจะเลิกถ่วงเวลาหรือซ่อนตัวด้วยสองเงื่อนไข หนึ่งคือ โจนาส·โคลเกอร์ใช้พลัง ‘ข้อห้าม’ หรือ ‘ช่วงชิง’ ไปจนถึงขีดจำกัด เพราะนั่นคือสองพลังที่สำคัญซึ่งชายหนุ่มมองว่าเป็นอุปสรรค และเงื่อนไขที่สอง ไคลน์จะรอให้การแปรผันแบบสุ่มครั้งแรกเกิดขึ้น จากนั้นจะฉวยโอกาสในการแปรผันแบบสุ่มครั้งที่สองเพื่อยิงกระสุนช่วงชิง ขโมยพลังสามชนิดจากโจนาส·โคลเกอร์


เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ มันยอมลงทุนยกปืนลูกโม่ลางมรณะและยุบพองหิวโหยให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน เปลี่ยนให้หุ่นเชิดดูคล้ายร่างต้นมากที่สุด


จากมุมมองปัจจุบัน พลังที่โจนาส·โคลเกอร์จะสูญเสียก็คือ ‘บิดเบือน’ ‘ยุ่งเหยิง’ และ ‘ขยาย’


ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!


เกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านล่างเองก็เริ่มกระหน่ำระดมยิง


แต่ทันใดนั้น กระสุนปืนใหญ่อัดอากาศจำนวนมาก รวมถึงกระสุน ‘ช่วงชิง’ ล้วนระเบิดกลางอากาศทั้งหมด แปรสภาพกลายเป็นพลุไฟหลากสีสัน ไม่ว่าจะสีแดง ม่วง เหลือง หรือเขียว แต่แสงที่เกิดขึ้นกลับมิอาจมอบความสว่างภายใต้ค่ำคืนที่มืดมิด


‘แสงเงาประชันดนตรี’ สร้างการแปรผันแบบสุ่มอีกครั้ง!


มันส่งผลหนแล้วหนเล่าติดต่อกัน ราวกับไม่มีระยะเว้นวรรคระหว่างแต่ละครั้ง


โจนาส·โคลเกอร์ยิ้มกรุ้มกริ่มทันที สองมือกระแทกเข้าหากัน


เพียงพริบตา บุรุษสวมหมวกผ้าไหมทรงสูงและเสื้อกันลมสีดำจำนวนมากภายใต้แสงจันทร์แดง ค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นสีหม่นทีละหนึ่ง เหลือเพียงสองคนที่ยังรักษาสภาวะเดิมไว้ได้


พลัง ‘บิดเบือน’ ของเคาต์แห่งการเสื่อมถอยแสดงผลแล้ว!


หมายความว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์สามารถสลับตำแหน่งได้แค่หุ่นเชิดที่ยังปรกติสองตัวดังกล่าวเท่านั้น!


โจนาส·โคลเกอร์ยังคงไม่หยุดลงมือ สะบัดแขนของมันพร้อมกับโยนดอกไม้ที่ถือไว้ในมือข้างเดียวกับนาฬิกาพกออกไป


ดอกไม้ผลิบานอย่างรวดเร็ว น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างไร้เหตุผล แปรสภาพกลายเป็นลูกศรแหลมคม พุ่งเข้าใส่หนึ่งในหุ่นเชิดที่ยังปรกติ


การโจมตีนี้ถูก ‘ขยาย’ และแฝงไว้ด้วยผลของ ‘ติดสินบน: อ่อนแอ’ !


บึ้ม!


ดอกไม้เป็นราวกับกระสุนปืนใหญ่ กระแทกพื้นอย่างจังพร้อมกับสร้างแรงสะเทือน


คลื่นกระแทกที่เกิดขึ้นส่งผลให้มนุษย์ที่ปรกติและไม่ปรกติในบริเวณดังกล่าวลอยสูงขึ้นไปในอากาศ บ้างร่างกายฉีกฉาก บ้างบาดเจ็บภายในรุนแรง โดยเฉพาะหุ่นเชิดปรกติสองตัวที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์สามารถสับเปลี่ยนตำแหน่ง พวกมันกลายเป็นเศษเนื้อบดละเอียด


โจนาส·โคลเกอร์ยังคงสุขุม มือข้างหนึ่งใช้พลัง ‘บิดเบือน’ เพื่อหักเหทิศทางตัวเองกลางอากาศ มืออีกข้างยก ‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ เล็งไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่ร่อนลงมาจากดวงจันทร์สีแดง


ขณะเดียวกัน มันแอบเตรียมใช้พลัง ‘มอบ’


มันต้องการจะ ‘มอบ’ อาการผิดปรกติ ‘สูญเสียกะจิตกะใจที่จะต่อสู้’ !


แต่ในวินาทีดังกล่าว สมองของโจนาส·โคลเกอร์พลันเฉื่อยชา ความคิดของมันหยุดชะงักเล็กน้อย


นี่มัน… เปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิด… สติของโจนาส·โคลเกอร์เริ่มตึงเครียดเมื่อเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน


มันสังเกตเห็นว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่ร่อนลงมาจากพระจันทร์แดงมิได้อยู่ไกลเหมือนเมื่อก่อน ระยะทางระหว่างคนทั้งคู่ไม่เกินหนึ่งร้อยเมตร


อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในระยะที่สามารถควบคุมด้ายวิญญาณโดยที่มันไม่ทันระวังตัวและแช่นานสามวินาที!


หลอกลวง!


กระสุนหลอกลวงที่สร้างจากร่างโคลนอามุนด์!


ย้อนกลับไปเมื่อครู่ ในตอนที่ไคลน์ในร่าง ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนเหยี่ยวไกปืนยิงกระสุนช่วงชิง นั่นไม่ใช่แค่กระสุนนัดเดียวที่ยิงออกมา แต่มีทั้งสิ้นสองนัด!


นี่คือแผนการสำหรับรับมือความแปรผันแบบสุ่ม


ในกรณีที่การแปรผันเกิดขึ้นครั้งเดียว การยิงกระสุนสองนัดในระยะเวลาที่ห่างกันเล็กน้อยจะช่วยป้องกันให้นัดใดนัดหนึ่งปลอดภัย เพราะถึงจะมีโอกาสแปรผันแบบสุ่มสอง สาม สี่ ห้าครั้งติดกัน แต่นั่นก็มีโอกาสเกิดต่ำ จึงมีโอกาสค่อนข้างสูงที่กระสุนอย่างน้อยหนึ่งนัดจะไม่ได้รับผลกระทบ!


และในตอนนั้น กระสุนหลอกลวงนัดที่สองได้กลมกลืนไปกับการระดมยิงของหุ่นเชิดตัวอื่นๆ


อีกหนึ่งเหตุผลที่ไคลน์ยอมให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนถือลูกโม่ลางมรณะ เพราะมันต้องการพึ่งพาโชค!


ลงเอยด้วย มันประสบความสำเร็จในการ ‘หลอก’ โจนาส·โคลเกอร์และบังคับให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนเข้าใกล้ระยะหนึ่งร้อยห้าสิบเมตรเพื่อควบคุมด้ายวิญญาณเบื้องต้นอย่างเงียบเชียบ


และเมื่อโจนาส·โคลเกอร์เผชิญความผิดปรกติ นี่แปลว่าการเข้าคุมด้ายวิญญาณประสบความสำเร็จ และผลลัพธ์จะไม่ถูกย้อนกลับด้วย ‘การแปรผันแบบสุ่ม’ !

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1028 : ช่วยเหลือตัวเอง

 

ท่าไม่ดีแล้ว… เรากำลังถูกควบคุม… ด้านวิญญาณ… เนื่องจากเคยเผชิญหน้ากับผู้ไร้หน้า นักเชิดหุ่น จอมเวทพิสดาร หรือครึ่งเทพที่แข็งแกร่งกว่านี้ โจนาส·โคลเกอร์ย่อมคุ้นชินกับสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างดี มีความรู้ความเข้าใจไม่น้อย


ดังนั้น มันมั่นใจมากว่า ตนพลาดท่าตกหลุมพรางที่อันตรายถึงแก่ชีวิต และเวลาที่ช่วยพลิกสถานการณ์กลับมาเหลือไม่ถึงสิบห้าวินาที!


โดยในสิบห้าวินาที ความคิดจะยิ่งทวีความเฉื่อยชา สมองสั่งการช้าลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดนิ่ง และอาจต้องใช้เวลาหลายวินาทีเพื่อขบคิดหาทางออก อีกหลายวินาทีในการนำไปปฏิบัติจริงด้วยร่างกายที่เชื่องช้า กล่าวอีกนัยหนึ่ง โจนาส·โคลเกอร์มีเวลาในการช่วยเหลือตัวเองไม่ถึงสิบวินาที!


แน่นอน มันคิดแผนการแก้ไขเบื้องต้นไว้แล้ว นั่นคือการเผยร่างสัตว์ในตำนาน วิธีนี้จะช่วยยืดเวลาในการกลายเป็นหุ่นเชิดออกไป พร้อมกับสร้างแรงกระทบกระเทือนไปถึงศัตรู


แต่การทำเช่นนั้น แม้จะช่วยให้เกิดปาฏิหาริย์รอดพ้นจากการกลายเป็นหุ่นเชิด หรือกระทั่งสามารถเอาชนะศัตรู แต่โจนาส·โคลเกอร์ก็ไม่มั่นใจว่าตนจะมีชีวิตอยู่ต่อไป


มันไม่ใช่ครึ่งเทพที่สามารถสับเปลี่ยนไปมาระหว่างร่างมนุษย์กับร่างสัตว์ในตำนานได้ตามใจชอบ และไม่มั่นใจว่าตนยังสามารถครองสติได้ในร่างสัตว์ในตำนาน


กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลังจากใช้ร่างสัตว์ในตำนาน มนุษย์ที่ชื่อโจนาส·โคลเกอร์มีโอกาสสูงมากที่จะเสียชีวิตและถูกแทนที่โดยสัตว์ประหลาดชื่อเดียวกัน


ดังนั้น หากไม่สิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง โจนาส·โคลเกอร์จะไม่ใช่วิธีนี้เด็ดขาด


ขณะสติเริ่มเฉื่อยชา ‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ ดังขึ้นภายในหู ช่วยให้ครึ่งเทพของกองทัพพบแผนการเบื้องต้นที่จะเอาตัวรอด


มันรีบขยับนิ้วโป้งขวาด้วยความเร็วที่ไม่ช้าจนเกินไป


พลัง ‘ขยาย’ ของเคาต์แห่งการเสื่อมถอย!


สิ่งที่โจนาส·โคลเกอร์ต้องการขยายไม่ใช่สภาพปัจจุบันของตัวเองหรือพลังของสมบัติปิดผนึก แต่เป็นการขยายผลข้างเคียงด้านลบของ ‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ !


ลูกโม่พิสดารกระบอกนี้จะส่งเสียงร้องอันสิ้นหวังให้เจ้าของได้ยินเป็นครั้งคราว สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่ครึ่งเทพ ข้อเสียนี้นับว่าร้ายแรงมาก ง่ายต่อการเสียสติและคลุ้มคลั่ง จิตใจแตกสลายหรือสมองขาวโพลน แต่ในกรณีของลำดับ 4 เนื่องจากมีร่างสัตว์ในตำนานอยู่ในตัว ผลข้างเคียงจึงบรรเทาลงมาก


สำหรับโจนาส·โคลเกอร์ เสียงกรีดร้องดังกล่าวทำให้มันรู้สึกมึนงงเล็กน้อย อารมณ์ไม่คงที่ในบางเวลา ร้ายแรงที่สุดคือทำให้ฉุนเฉียว แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไร และมันเริ่มทำความเคยชินกับสิ่งนี้แล้ว


แต่ปัจจุบัน มันต้องการขยายเสียงกรีดร้องให้ถึงจุดที่ครึ่งเทพมิอาจทานทน ด้วยวิธีนี้ จิตใจของมันจะถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักหน่วง มีโอกาสที่จะสลัดหลุดการควบคุมจากด้ายวิญญาณ


เนื่องจากพลัง ‘ขยาย’ ไม่จำเป็นต้องขยับร่างกายมากนัก และผลลัพธ์เกิดขึ้นในพริบตา เกอร์มัน·สแปร์โรว์ฝั่งตรงข้ามซึ่งสวมหมวกทรงสูงและรายล้อมด้วยลมแรง จึงไม่สามารถยับยั้งได้ทันเวลา เคาต์แห่งการเสื่อมถอยประสบความสำเร็จในการใช้งานพลังพิเศษ


แต่ในวินาทีถัดมา สิ่งที่โจนาส·โคลเกอร์ได้เผชิญมิใช่เสียงกรีดร้อง แต่เป็นความเงียบสงบ


เสียงกรีดร้องที่ควรจะดังขึ้นไปอีกสักพัก กลับอันตรธานหายไป!


นี่คือผลของการแปรผันแบบสุ่มที่เกิดจาก ‘แสงเงาประชันดนตรี’


ให้ตายสิ… โชคร้ายอะไรแบบนี้… ความคิดของโจนาส·โคลเกอร์แล่นผ่านอย่างเฉื่อยชา แต่มันมิได้ผิดหวังนาน รีบดำเนินการช่วยเหลือตัวเองครั้งที่สองทันที


มันยกมือขวาขึ้นอย่างไม่มั่นคง เล็งหกปากกระบอกของ ‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ ไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร เตรียมลั่นไกปืน


ขณะเวลาเดียวกัน สายลมกระโชกที่พัดใส่มือขวาของมันพลันสลายตัวจากภายใน กระจัดกระจายกลายเป็นสายลมเอื่อย


พลัง ‘ยุ่งเหยิง’ ของเคาต์แห่งการเสื่อมถอย!


โจนาส·โคลเกอร์ใช้สิ่งนี้เพื่อต่อต้านการก่อกวนของเกอร์มัน·สแปร์โรว์


ทันทีหลังจากนั้น เสียง ‘ปัง’ ดังระรัวชุดใหญ่ ‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ ปลดปล่อยฝนกระสุนออกมาราวกับปืนกล กลุ่มหัวกระสุนแสนอันตรายพุ่งแหวกอากาศด้วยความบ้าคลั่งเป็นเวลานาน


เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่สวมเสื้อกันลมสีดำโยกตัวหลบอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กระสุนทุกนัดพลาดเป้า


ฝนกระสุนพุ่งเฉียดร่างกายอีกฝ่ายและลอยไปไกล พังหน้าต่างกับผนังของคฤหาสน์เพลงกุหลาบจนบางส่วนถล่มลงอย่างเงียบงัน


ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!


พายุกระสุนระลอกต่อไปยังคงโหมกระหน่ำอย่างไม่หยุดพัก จนกระทั่งเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถูกยิง แถมยังโดนเข้าหลายนัดติดต่อกัน!


ท่ามกลางเลือดที่สาดกระเซ็น ร่างของเกอร์มัน·สแปร์โรว์กระเด็นไปมาในสายลม ราวกับกระดาษที่ปลิวไสวและพัดกระพืออย่างต่อเนื่อง พร้อมฉีกขาดได้ทุกเมื่อ


ปัง! ปัง! ปัง! ในที่สุดปืนพกประหลาดก็หยุด ‘การกรีดร้อง’ โดยสำหรับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นอกจากบริเวณศีรษะ ร่างกายส่วนอื่นเต็มไปด้วยรูเลือดอันน่าสยดสยอง


ตามปรกติแล้ว นี่คือสภาพของคนตายอย่างไร้ข้อกังขา แต่เกอร์มัน·สแปร์โรว์กลับยังสามารถควบคุมด้ายวิญญาณราวกับไม่ได้รับผลกระทบ


ขณะเดียวกัน บาดแผลฉกรรจ์ตามร่างกายเริ่มฟื้นฟูด้วยความเร็วคงที่


นี่คือคุณสมบัติของแหวนบุปผาโลหิต


เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่ถูกกระหน่ำยิงคือ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน!


สาเหตุที่มันยังไม่ตายจากการโจมตีอันดุเดือด นั่นเพราะ ‘ดวง’ ที่สั่งสมไว้ทั้งหมดถูกปลดปล่อยออกมาในพริบตา และเป็นเพราะโจนาส·โคลเกอร์ ‘ซวย’ มากพอ!


นอกจากนั้น ผลกระทบทางด้าน ‘เสียงกรีดร้อง’ ที่มาพร้อมกับกระสุน แทบไม่มีความหมายใดกับหุ่นเชิดไร้ชีวิตชีวา


เมื่อเห็นว่าการโจมตีอันหนักหน่วงของตนไม่เกิดผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง และระยะเวลาสำหรับช่วยเหลือตัวเองก็ลดลงไปเรื่อยๆ โจนาส·โคลเกอร์ตัดสินใจทำในสิ่งที่วางแผนไว้ล่วงหน้า รีบคลายนิ้วมือข้างซ้ายทั้งห้าออกโดยไม่คิดอะไร


นาฬิกาพกหุ้มเหล็กหลุดออกจากฝ่ามือ ร่วงหล่นลงด้านล่าง


ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายเช่นนี้ โจนาส·โคลเกอร์ตัดสินใจสละ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ โดยหวังให้มันออกห่างจากสนามรบ เพื่อหลีกเลี่ยงอิทธิพลของการแปรผันแบบสุ่ม


หลังจากนี้ มันมีโอกาสช่วยชีวิตตัวเองแค่หนึ่งหรือสองครั้ง หากหนึ่งในนั้นเกิดแปรผันแบบสุ่มไปในทิศทางที่เลวร้าย ชะตากรรมของตนคงมิอาจย้อนกลับ!


สมบัติปิดผนึกที่หน้าปัดครึ่งหนึ่งเป็นระเบียบและอีกครึ่งหนึ่งยุ่งเหยิงหล่นลงพื้นดินด้วยความเร็วสูง โจนาส·โคลเกอร์หันไปมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ซึ่งบาดแผลกำลังสมานอย่างต่อเนื่อง ตามด้วยการฝืนขยับปลายนิ้วอย่างยากลำบาก


เดิมที มันมีสองทางเลือก หนึ่งคือแผนการช่วยเหลือตัวเองครั้งที่สามซึ่งคิดไว้ในตอนแรก แต่แผนดังกล่าวจำเป็นต้องมีใช้สติค่อนข้างมาก และสองก็คือ ใช้พลัง ‘ขยาย’ อาการบาดเจ็บของศัตรูที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ส่งผลให้อีกฝ่ายตายคาที่


ทว่า เมื่อโจนาส·โคลเกอร์ลองนึกทบทวนและพบว่า แม้เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะถูกยิงหลายครั้ง แต่ไม่เพียงจะยังไม่ตาย อีกฝ่ายกลับไม่สูญเสียพลังควบคุมด้ายวิญญาณ มันจึงฉุกคิดว่าแผนการเดิมของตนอาจไม่ประสบความสำเร็จ


แต่ในปัจจุบัน สติของมันคล้ายกับเต็มไปด้วยแป้งเปียก ไม่หลงเหลือความคมชัดในความคิด จึงไม่มีทางอื่นนอกจากดำเนินการไปตามแผนเดิม


ฟ้าว!


ในสภาพสวมถุงมือสีใสและถือลูกโม่สีดำเหล็ก สายลมรอบตัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์พลันทวีความรุนแรงและพัดมันจนลอยขึ้นสูง


ฟ้าว!


ด้วยแรงลมมหาศาล เกอร์มัน·สแปร์โรว์พุ่งขึ้นท้องฟ้าสีดำโดยมีพระจันทร์สีแดงเป็นสักขีพยาน


พลัง ‘ขยาย’ ของเคาต์แห่งการเสื่อมถอย!


พายุที่ช่วยพยุงให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ลอยตัว แปรสภาพกลายเป็นพายุทอร์นาโด!


ด้วยวิธีนี้ ระยะห่างของมันกับโจนาส·โคลเกอร์จะเพิ่มขึ้นจนมากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบเมตรในอีกไม่กี่อึดใจ ส่งผลให้สถานะของการเข้าควบคุมด้ายวิญญาณถูกยกเลิก!


ขณะเห็นว่าตนกำลังจะบรรลุเป้าหมาย สีหน้าของโจนาส·โคลเกอร์ที่กำลังจะได้รับอิสรภาพ พลันทวีความซับซ้อนและดำมืด


พายุทอร์นาโดดังกล่าวขยายขนาดอย่างรวดเร็วและส่งอิทธิพลเป็นวงกว้าง แม้กระทั่งตัวของโจนาส·โคลเกอร์ก็หนีไม่พ้น ร่างกายถูกจับโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าในลักษณะไม่ต่างกัน ระยะทางจึงแทบไม่ลดลง


ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้


ภายใต้แสงจันทร์สีแดงยามค่ำคืน ร่างกายของบุคคลทั้งสองมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ


เพียงไม่นาน พายุทอร์นาโดเริ่มสงบลง อัตราการลอยขึ้นฟ้าจึงเริ่มคงที่


ฉวยโอกาสดังกล่าว สติของโจนาส·โคลเกอร์ที่เกือบจะหยุดนิ่ง พลันผุดแนวคิดใหม่:


“หยุด…”


มันยกเลิกพลังในการ ‘บิน’ ของตัวเองในตอนแรก อาศัยแรงดึงดูดจากภาคพื้นกระชากให้ร่างกายดิ่งลงไปราวกับอุกกาบาต เป็นการฉีกออกห่างจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยความเร็วสูงสุด


จากนั้น มันไม่ได้แยแสว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะกำลังขี่ลมไล่ตามหรือไม่ เพียงเลื่อนแขนซ้ายตัวเองไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าประหนึ่งข้อต่อขึ้นสนิม


เป็นท่าทางที่ดูคล้ายกับการ ‘ปิดประตู’


มันต้องการใช้พลัง ‘บิดเบือน’ ของเคาต์แห่งการเสื่อมถอยเพื่อสร้างกำแพงล่องหนสำหรับกีดขวางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ สกัดไม่ให้อีกฝ่ายไล่ตามตนทัน


ทันใดนั้นเอง หุ่นเชิดที่ยังมีชีวิตอยู่ด้านล่าง หุ่นเชิดที่มีใบหน้าและรูปร่างของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ทั้งหมดยกแขนซ้ายขึ้นพร้อมกันและทำท่าเลียนแบบการยิง


ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!


กระสุนจำนวนมากพุ่งเข้าใส่โจนาส·โคลเกอร์ที่กำลังลอยกลางอากาศ


กว่าแรงปะทะจะแผ่ซ่านไปทั่วร่าง โจนาส·โคลเกอร์ก็ถูกเจาะจนพรุนไปสองสามแผล


อาศัยความเจ็บปวดจากกระสุนสองสามนัดแรก โจนาส·โคลเกอร์ดึงสติเพื่อสลัดให้หลุดจากสถานะถูกเข้าควบคุมด้ายวิญญาณสำเร็จ สมองกลับมาประมวลผลอย่างว่องไวอีกครั้ง


จากนั้น มันใช้พลัง ‘ยุ่งเหยิง’ กับการระดมยิงชุดถัดไป และใช้ ‘บิดเบือน’ กับบาดแผนที่ได้รับในตอนแรก ส่งผลให้ไม่ถึงแก่ความตาย แค่บาดเจ็บสาหัส


โดยขณะเดียวกัน เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่พกพาสมบัติวิเศษหลายชิ้น ถูกกำแพงล่องหนที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นกีดขวางจนมิอาจไล่ตามลงมาได้ทัน


และเมื่ออาศัยความช่วยเหลือจากพลัง ‘บิดเบือน’ อีกหนึ่งครั้ง ความเร็วในการร่วงหล่นของโจนาส·โคลเกอร์ช้าลงทันที เป็นการร่อนลงพื้นอย่างนุ่มนวล


แต่ยังไม่ทันจะได้ลงมือทำสิ่งใดต่อ ร่างกายของมันกลับชะงักค้างอีกครั้ง


มันพบว่ามือและเท้าของตัวเองกำลังขัดแย้ง ไม่ยอมฟังคำสั่ง และพบบางอย่างผิดปรกติภายในร่างกาย!


จากนั้นมันก็เห็น ภายใต้แสงจันทร์สีแดงนวลที่สว่างไสว ณห้องนอนหลักของอาคารหลังใหญ่ประจำคฤหาสน์เพลงกุหลาบ บุคคลผู้หนึ่งร่างกายออกมาทางระเบียง


เป็นบุรุษผมดำดวงตาสีน้ำตาล สวมหมวกผ้าไหมทรงสูง เสื้อกันลมสีดำ โครงหน้าชัดลึก บรรยากาศรอบตัวเย็นชา ไม่ใช่ใครนอกจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์อีกคนหนึ่ง


เกอร์มัน·สแปร์โรว์คนนี้เองก็เลียนแบบท่ายิงปืนด้วยมือขวาเหมือนหุ่นเชิดตัวอื่น เป็นท่ากำลังกระตุกมือกลับไปจ่อปากและเป่า


นี่คือไคลน์ร่างต้น


สิ่งที่มันเพิ่งยิงออกไปไม่ใช่กระสุนอัดอากาศธรรมดา แต่เป็นกระสุนปรสิตที่อาศัยการนำพาของกระสุนอัดอากาศ!


กระสุนปรสิตที่สร้างโดยหนอนกาลเวลาของร่างโคลนอามุนด์!


มีพลังในการสร้างหนอนกาลเวลาชั่วคราว จากนั้นก็เข้าไปเป็นปรสิตในร่างกายเป้าหมายและมอบสิทธิ์ควบคุมร่างนั้นๆ ให้ผู้ยิง


ไคลน์จงใจหยิบกระสุนนัดนี้ออกมาจากโม่และถือไว้เอง รอคอยโอกาสด้วยใจจดจ่อ รอให้โจนาส·โคลเกอร์สละ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ และอยู่ในสภาพที่มิอาจหลบหลีกหรือใช้พลัง ‘บิดเบือน’


เงื่อนไขข้อแรกต้องเกิดขึ้นแน่นอนอยู่แล้ว เพราะเคาต์แห่งการเสื่อมถอยย่อมไม่ต้องการให้มีการแปรผันเกิดขึ้นขณะที่มันพยายามรักษาชีวิตจากการถูกเข้าควบคุมด้ายวิญญาณขั้นต้น ส่วนเงื่อนไขข้อหลังใช้เพียงความอดทน


และเมื่อครู่ ความอดทนที่มันลงทุนก็ผลิดอกออกผล โอกาสที่ไคลน์รอคอยปรากฏอยู่ตรงหน้า จึงยกมือขึ้นยิงโดยไม่ลังเล และในสถานการณ์ที่ปราศจากการแปรผันแบบสุ่ม กระสุนปรสิตย่อมฝังเข้าไปในร่างโจนาส·โคลเกอร์อย่างแม่นยำ!


แต่แน่นอน ถ้ากระสุนนัดที่อีกฝ่ายโดนเข้าไปก่อนหน้านี้ไม่ใช่ ‘กระสุนหลอกลวง’ หากแต่เป็น ‘กระสุนช่วงชิง’ แผนการก็จะเป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่ง


โจนาส·โคลเกอร์ที่มิอาจควบคุมร่างกายได้ชั่วขณะ เฝ้ามองเกอร์มัน·สแปร์โรว์บนระเบียงใต้พระจันทร์ยักษ์สีแดง บรรจงถอดหมวกออกมาทาบอกและโค้งศีรษะคำนับ


ท่ามกลางเสื้อกันลมที่พัดกระพือของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ความคิดของมันค่อยๆ เฉื่อยชาลง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)