Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1019-1024
ราชันเร้นลับ 1019 : อดทน
“เป็นยังไงบ้าง? เห็นชัดไหม?” ขณะฟอร์สเดินออกจากถนนเส้นที่ตั้งคฤหาสน์ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด เธอเห็นซิลเดินกลับมาด้วยสีหน้ามืดมนและเหม่อลอย
ซิลพยักหน้าช้าๆ
“เห็นชัด…”
กล่าวจบ คล้ายกับเธอฟื้นคืนสติ กล่าวด้วยความตกใจ
“ฉันรู้จักหล่อน… ไม่สิ… เขา”
“เขา?” ฟอร์สทำหน้างุนงง
ซิลเหลียวซ้ายแลขวาตามความเคยชิน ก่อนจะพูดต่อ
“เขาคือเชอร์แมน! เชอร์แมนที่ฉันเคยเล่าให้ฟัง! เขา… กลายเป็นผู้หญิง!”
ฟอร์สผงะเล็กน้อย ถามตามสัญชาตญาณ
“ไม่ได้จำผิดใช่ไหม? อาจเป็นน้องสาวเชอร์แมนก็ได้”
ซิลส่ายหน้าหนักแน่น
“ไม่ผิด… เธอเองก็ยอมรับว่าใช่ แถมยังห้ามไม่ให้ฉันรบกวน เพราะเธอต้องการตัดขาดจากอดีตโดยสิ้นเชิง! แต่ว่า… ทำไมเขาถึงกลายเป็นผู้หญิงไปได้…”
ดวงตาฟอร์สกลอกไปมา คล้ายกับฉุกคิดบางสิ่งได้
“ก็มีโอกาสเป็นไปได้เหมือนกัน… มีบางเส้นทางที่จะเปลี่ยนให้ผู้ชายกลายเป็นสตรีในบางลำดับ”
เธอจำได้ว่า มิสจัสติสเคยเล่าให้สิ่งที่คล้ายคลึงกันในช่วงเวลาแลกเปลี่ยนอิสระ
“จริงหรือ?” ดวงตาซิลเบิกกว้าง ถามด้วยความตะลึง
“แน่นอน!” ฟอร์สยืนกรานหลังจากนึกทบทวนเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
“เรื่องแบบนี้…” ซิลมิอาจทำใจยอมรับได้สักพัก แต่ก็มิได้โต้แย้ง เพียงถามต่อ “เส้นทางไหน?”
ฟอร์สตอบกลับ
“แม่มด! เอ่อ… เส้นทางนักลอบสังหาร”
“แม่มด… เชอร์แมนกลายเป็นแม่มดไปแล้ว…” ซิลเน้นย้ำกับตัวเอง
ทันใดนั้น เธอเพิ่มเสียง
“เธอกำลังถูกหลอกใช้รึเปล่า? ท่าไม่ดีแล้ว ฉันต้องไปตักเตือน!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ซิวหันหลังและออกวิ่งเต็มฝีเท้า พยายามไล่ตามรถม้าเช่าให้ทัน
ทว่า เธอหาเป้าหมายไม่พบแม้จะวิ่งผ่านถนนมาสองสามเส้น ราวกับเชอร์แมนและรถม้าอันตรธานหายไปในอากาศ
ซิลค่อยๆ ลดฝีเท้า จนในที่สุดก็หยุดนิ่ง มองไปยังถนนว่างเปล่าตรงหน้าด้วยอารมณ์ซับซ้อน
ด้านหลังเธอ ฟอร์สที่อาศัยการเดินผ่านกำแพงบ้านมาตรงๆ ในที่สุดก็ไล่ทัน
“หายไปแล้ว…” ซิลพึมพำ
ฟอร์สมองตรงไปข้างหน้า ตอบอย่างครุ่นคิด
“อีกฝ่ายไหวตัวทัน…”
โดยไม่รอให้ซิลตอบสนอง เธอหันกลับมาถอนหายใจ
“กลับกันเถอะ ไว้มองหาโอกาสอื่น”
ซิลไม่ขยับ ยังคงยืนนิ่งในตำแหน่งเดิม
ผ่านไปสักพัก เธอหันไปพูดกับฟอร์สที่กำลังทำหน้าฉงน
“ในเมื่อทางนั้นพบความผิดปรกติจากเรา พวกเขาจะเร่งแผนให้เร็วขึ้นไหม?”
“เป็นไปได้! ถ้าพวกเขาไม่อยากให้แผนตัวเองล้มเหลว มีโอกาสสูงมากที่จะลงมือในคืนนี้เลย เพราะพวกเรายังไม่มีเวลาเตรียมตัว!” ฟอร์สเห็นพ้องกับแนวคิดของซิล “พวกเราควรกลับไปที่บ้านไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด ซ่อนตัวและเฝ้าจับตามองต่อไป!”
ซิลพยักหน้ารับ ตอบโดยไม่ลังเล
“ตกลง”
…
เขตท่าเรือ ภายในโกดังที่เต็มไปด้วยสินค้า
เชอร์มาเน่กำลังนั่งบนลังไม้สกปรก มือไพล่หลังทั้งสองข้าง ผิวกายถูกรัดด้วยใยแมงมุมเส้นบางๆ ที่เหนียวมาก
คล้ายกับถูกห่อหุ้มด้วยรังไหมล่องหน ทำไม่ได้แม้กระทั่งการส่งเสียงร้อง
“สถานการณ์ในตอนนี้เป็นผลดีกับเธอนะ” ทริสซี่ยืนเบื้องหน้าเชอร์มาเน่ ในมือกำลังถือลูกบอลไฟสีดำสนิท “อย่างน้อยก็จะได้พิสูจน์ว่า หมอนั่นรักเธอจริงๆ หรือแค่ลมปาก”
เชอร์มาเน่ทั้งโกรธและหวาดกลัว พยายามดิ้นรนอ้อนวอนทางสีหน้า แต่ทริสซี่ก็มิได้หวั่นไหว เพียงเลื่อนฝ่ามือที่ถือเปลวไฟสีดำลงมาทาบกับท้องเชอร์แมน
คล้ายกับเปลวไฟเหล่านี้มีชีวิต พวกมันแผ่ออกเป็นแผ่นคล้ายกระแสน้ำในตอนแรก พยายามแทรกซึมเข้าไปในผิวหนังและชั้นเนื้อ
ผมสีดำขลับและนุ่มสลวยของทริสซี่แหกกฎธรรมชาติ ลอยขึ้นไปในอากาศด้วยตัวเองราวกับมีมือล่องหนจำนวนมากคอยพยุง บรรยากาศรอบตัวเริ่มแผ่กลิ่นแปลกๆ ที่ยากอธิบาย
เส้นผมเหล่านั้นขยายขนาดจนเป็นเส้นหนา แยกออกไปทุกทิศทาง
สุดปลายเส้นผม ลำแสงลึกลับปรากฏขึ้นทีละจุด อัดแน่นด้วยอักขระคำสาป ก่อนที่จุดแหล่งเหล่านั้นจะไหลมารวมตัวกันและกลายเป็นเปลวไฟสีดำ แผ่ซ่านเข้าไปในท้องเชอร์มาเน่และเลือนหายไป
ใบหน้าของเชอร์มาเน่สั่นกระตุกอย่างมิอาจควบคุม แต่มิได้แสดงอาการเจ็บปวด คล้ายกับเป็นเพียงการตอบสนองของร่างกาย
เมื่อจิตใจของหญิงสาวเริ่มสงบ เธอพบว่าร่างของทริสซี่ในเดรสยาวสีดำ ค่อยๆ โปร่งใสและเลือนหายไป
รูม่านตาของเชอร์มาเน่เบิกกว้าง พยายามดิ้นรนสุดชีวิตอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีวิธีหลุดพ้นจากพันธนาการ
เธอพยายามซ้ำๆ หนแล้วหนเล่า ประหนึ่งโกดังเก็บของค่อยๆ ถูกน้ำท่วมสูงขึ้นทีละหนึ่งเซนติเมตร
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ประตูโกดังถูกเปิดออกจนชนผนังเสียงดัง
ร่างหนึ่งปรากฏกายขึ้น เป็นไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดในวัยกลางคน
มันมิได้ปรากฏตัวในสภาพปรกติ วิกผมสีขาวที่สวมประจำหายไป เผยให้เห็นศีรษะที่ค่อนข้างเถิกและมีเส้นผมสีดำพันกันยุ่งเหยิง คล้ายกับเพิ่งแห้งหลังจากตากฝน แต่ตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา เมฆในกรุงเบ็คลันด์เบาบางมาก พระจันทร์แดงส่องสว่างกึ่งกลางท้องฟ้า ไม่มีฝนตกแม้แต่หยดเดียว
บนใบหน้าที่ชัดลึกของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด เม็ดเหงื่อจำนวนมากไหลตามร่องลงมาถึงคอ คล้ายกับมีด้ายสีดำบางๆ ถูกฝังอยู่ใต้ผิวหนัง
หลังค่อมเล็กน้อย กล้ามเนื้อบนใบหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาแฝงความเจ็บปวดและกังวล
กวาดตามองไปรอบๆ สักพัก เมื่อพบเชอร์มาเน่ มันเผยความสุขในตอนต้น ก่อนจะเผยความกังวลเล็กๆ ตามมา แต่จากนั้นก็พยายามเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างยากลำบาก
เมื่อเชอร์มาเน่เห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาในโกดัง ใบหน้าเธอพลันสดใสร่าเริง ประหนึ่งกำลังมีออร่าแสงสว่างแผ่ออกมา
จากนั้น เธอเผยสีหน้ากังวลเจือหวาดกลัว พยายามส่ายหัวอย่างยากลำบาก แต่ลำคอถูกรัดไว้ด้วยใยแมงมุมล่องหนอย่างแน่นหนา มิอาจขยับเขยื้อน
ความกังวลในใจเพิ่มพูนขึ้นทุกวินาที หยาดน้ำตาพรั่งพรูออกจากดวงตาหยดแล้วหยดเล่า กระจ่างใสแต่เปี่ยมไปด้วยความเปราะบาง
ขณะไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดเริ่มเข้าใกล้ เสียงหนึ่งดังขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
คล้ายกับที่นั่นมีกำแพงล่องหนกีดขวางอยู่ ส่งผลให้ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดมิอาจย่างกรายเข้าไปหาเชอร์มาเน่ที่ถูกพันธนาการ
“ถ้าต้องการถอนคำสาปและพาเธอกลับไป… จงตอบคำถามของฉันโดยไม่ปิดบัง” ทันใดนั้น ตรงมุมหนึ่งของโกดัง ร่างของสตรีถูกวาดขึ้น
ใบหน้าของเธอเปี่ยมไปด้วยเสน่หา ทั้งอ่อนโยนและอ่อนหวาน เป็นราวกับใบหน้าในอุดมคติของเด็กหนุ่มวัยรุ่นทุกคน ไม่ใช่ใครนอกจากแม่มดทริสซี่
โดยไม่รอให้ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดตอบ หญิงสาวยกมือขวาพร้อมกับเสกเปลวไฟ
ตามใบหน้า มือ ลำคอ และผิวทั้งหมดของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดพลันโปร่งใส เผยให้เห็นบรรดาเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นมา
และในเส้นเลือดทุกเส้น เปลวไฟสีดำกำลังไหลเวียนอย่างเงียบงันประหนึ่งกระแสน้ำ
ความเจ็บปวดในดวงตาไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดเพิ่มพูนจนถึงขีดสุด แต่เพียงไม่นานก็หายไป
สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ดวงตาเผยความเย้ยหยันเล็กๆ ราวกับผู้ที่ถูกสาปไม่ใช่ตน แต่เป็นทริสซี่ที่ยืนห่างออกไปไกล
ทริสซี่ตรงมุมโกดังถูกไฟสีดำคลอกร่างในพริบตา จากนั้น ใยแมงมุมที่มองไม่เห็นจำนวนมหาศาลโผล่ออกจากความว่างเปล่าและพันธนาการร่างของเธอโดยที่ไม่ถูกไฟเผา
ทริสซี่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับเชอร์มาเน่ทันที ถูกพันธนาการด้วยรังไหมล่องหนจนยากจะขยับตัว
ณ ช่องระบายอากาศด้านบนโกดัง ร่างหนึ่งถูกวาดขึ้นจากความว่างเปล่า เป็นสตรีที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาอายุ สวมเสื้อคลุมสีขาวเรียบๆ แต่ดูศักดิ์สิทธิ์ เส้นผมสีดำ ดวงตาสีฟ้า ดูงดงามและเลอค่า เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่ยากจะอธิบาย
“คาร์เทอริน่า·เปลเล่…” ทริสซี่เปล่งเสียงอย่างไร้เรี่ยวแรง
ขณะเดียวกัน ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดจับร่างตัวเอง ดึงหุ่นมายาที่พันด้วยด้ายเพลิงสีดำออกมา
มันชำเลืองไปทางเชอร์มาเน่ด้านข้าง ก่อนจะหันไปยิ้มให้ทริสซี่
“หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความตาย ฉันไม่เคยประมาท หลังจากที่เจ้าไซเคสตาย ฉันก็รู้ทันทีว่าสักวันอาจถึงคิวของตัวเอง… หึหึ… นับตั้งแต่ที่เธอตามล่าฉัน หลายต่อหลายคนก็พยายามล่าเธอเช่นกัน พวกเราอดทนกันมาก ด้วยกังวลว่าเธอจะกลัวและเตลิดหนีไปก่อน จนกระทั่งสบโอกาสเข้าในวันนี้… นอกจากนั้น… ของขวัญที่เธอมอบให้… ชั้นหนึ่งเลย”
ได้ยินคำพูดของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด เชอร์มาเน่ที่พยายามดิ้นรนมาสักพัก หยุดพฤติกรรมทั้งหมดของตัวเองทันที สีหน้าเหี่ยวเฉาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ดวงตาของเธอเบิกกว้างแต่ล่องลอย ราวกับกำลังจมลึกลงไปในทะเล
“ความรัก…” ทริสซี่หัวเราะในลำคอ ราวกับกำลังเย้ยหยันตัวเอง
เธอมิได้ตื่นตระหนกเลยสักนิด
…
คฤหาสน์เพลงกุหลาบ กลางดึกสงัด
หลังจากส่งแขกกว่ายี่สิบชีวิตเข้านอนและเตรียมจัดกิจกรรมล่าสัตว์ในวันรุ่งขึ้น ไคลน์ที่หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย กระตุกตื่นกะทันหัน
สัมผัสวิญญาณของมันถูกกระตุ้น ฉากขึ้นผุดขึ้นในนิมิตลางสังหรณ์
พลตรีโจนาส·โคลเกอร์ที่สวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาว แอบบินออกจากหน้าต่างและร่อนลงพื้นในลักษณะแหกกฎธรรมชาติ
อะไรกัน… เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย… แปลว่ามันมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์บางอย่างเช่นกัน… หลังจากชุดความคิดแล่นเข้ามาในหัวไคลน์ มันเปลี่ยนแมลงสาบจำนวนมากด้านนอกอาคารให้เป็นหุ่นเชิดและใช้ ‘ตา’ ของพวกมันในการสำรวจสภาพแวดล้อม
แทบจะในเวลาเดียวกัน โจนาส·โคลเกอร์ปรากฏขึ้นในการมองเห็นของแมลงสาบตัวหนึ่ง
หลังจากครึ่งเทพรายนี้ออกจากคฤหาสน์เพลงกุหลาบ มันทำการบิดเบือน ‘ระยะทาง’ และมาถึงริมฝั่งแม่น้ำทัสซอค ทำท่าเตรียมข้ามไป
แมลงสาบตัวหนึ่งกำลังเฝ้ามองอย่างเงียบงันโดยไม่ตอบสนอง
ดูเหมือนว่าจะมุ่งหน้าไปทางฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำทัสซอค… คิดจะทำอะไรกันแน่? รสนิยมที่ชื่นชอบล่าสัตว์ในเขตชานเมือง มีเพื่อกลบเกลื่อนการกระทำนี้? เฉกเช่นที่แนะนำให้เราซื้อคฤหาสน์เพลงกุหลาบ? ไคลน์ที่นอนอยู่บนเตียง พยายามวิเคราะห์พฤติกรรมของโจนาส
รอจนกระทั่งครึ่งเทพแห่ง MI9 เหยียบลงบนฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำทัสซอค ไคลน์ฉุกคิดถึงบางสิ่ง
ย้อนกลับไปในตอนที่มันเคยหนีตายออกจากซากปรักหักพังใต้ดินที่มีอินซ์·แซงวิลล์และคนของราชวงศ์ ไคลน์โผล่ออกมาแถวๆ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเบ็คลันด์ และบริเวณดังกล่าวคือริมแม่น้ำทัสซอคฝั่งทิศใต้ที่อยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์เพลงกุหลาบ!
ราชันเร้นลับ 1020 : ยุทธวิธีของแม่มด
ท่ามกลางความคิดที่แล่นผ่าน ไคลน์สลับตำแหน่งตัวเองกับบุรุษรับใช้ส่วนตัว เอ็นยูน ที่อยู่ในห้องข้างๆ
ขณะเดียวกัน ด้านล่างเถาองุ่นที่อยู่ห่างออกจากอาคารหลักประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร ตะขาบตัวหนึ่งที่กำลังคลานอย่างเชื่องช้า ตัวแข็งทื่อกะทันหันก่อนจะคลายออก
เพียงพริบตา ตะขาบตัวดังกล่าวหายไป สิ่งที่ปรากฏขึ้นแทนคือดอน·ดันเตสในชุดนอนลายตารางหมากรุกสีน้ำเงินสลับขาว
ไคลน์เปลี่ยนตำแหน่งกับหุ่นเชิดอีกครั้ง!
มันตัดสินใจใช้วิธีนี้แอบสะกดรอยตามโจนาส·โคลเกอร์อย่างลับๆ ค้นหาว่าอีกฝ่ายกำลังจะไปไหนและมีเป้าหมายอะไร
วิธีนี้จะช่วยให้ ‘เคลื่อนที่’ ได้เพียงครั้งละหนึ่งร้อยห้าสิบเมตรเท่านั้น แถมยังต้องเสียเวลาราวสองสามวินาทีระหว่างการใช้งานแต่ละครั้ง – เป็นระยะเวลาที่ต้องใช้ในการเข้าควบคุมหุ่นเชิดเบื้องต้น แต่เมื่อเทียบกับกระโจนเพลิงและ ‘ท่องเที่ยว’ พลังชนิดนี้จะช่วยให้เคลื่อนไหวได้เงียบเชียบกว่า ยากที่จะถูกโจนาส·โคลเกอร์ตรวจพบ
ต้องไม่ลืมว่าอีกฝ่ายเป็นถึงครึ่งเทพ แม้จะไม่ใช่ชำนาญที่มีสัมผัสวิญญาณเฉียบแหลม แต่ก็ไม่ควรประมาทด้วยประการทั้งปวง!
ในทำนองเดียวกัน สาเหตุที่ไคลน์ไม่ใช้งานยุบพองหิวโหยเพื่อซ่อนตัวในเงามืด นั่นเพราะถึงจะปกปิดตัวตนได้มิดชิด แต่ความเร็วค่อนข้างช้า ไม่สามารถไล่ตามสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพได้ทัน
ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด ระหว่างทางจากคฤหาสน์เพลงกุหลาบและฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำทัสซอค ไม่ว่าจะเป็นหนูในโขดหิน งูพิษ แมงมุม ปลาในแม่น้ำ พวกมันล้วนชะงักไปสักพักก่อนจะแน่นิ่ง
ทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นหุ่นเชิดทีละหนึ่ง ไคลน์อาศัยพวกมันในการเคลื่อนที่อย่างไร้สุ้มเสียง เพียงไม่นานก็มาถึงฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำทัสซอค รักษาระยะห่างกับโจนาส·โคลเกอร์ราวหนึ่งกิโลเมตร
สำหรับจอมเวทพิสดาร แม้หุ่นเชิดจะอยู่นอกเหนือการควบคุม แต่สถานะหุ่นเชิดจะยังไม่หายไปในทันทีและกลายเป็นศพ ต่อให้ไม่มีจิตใต้สำนึกของจอมเวทพิสดารเป็นตัวทำปฏิกิริยา แต่กระบวนการเสื่อมสภาพจะดำเนินไปค่อนข้างช้า ใช้เวลาเกือบสิบนาทีกว่าจะสมบูรณ์ ดังนั้น ไคลน์ไม่ต้องกังวลว่าเอ็นยูนที่นอนอยู่ในคฤหาสน์จะตาย ตราบใดที่สะกดรอยตามและกลับไปให้ทันภายในสิบนาที หุ่นเชิดก็จะกลับมาอยู่ในสภาพปรกติ
ไคลน์ไล่ตามโจนาส·โคลเกอร์อย่างเงียบเชียบ เลียบแม่น้ำทัสซอคผ่านป่าทึบ ปืนไปยังยอดเขาริมแม่น้ำ
ทันใดนั้น โจนาส·โคลเกอร์ที่ไม่สวมเสื้อกั๊กหรือเสื้อนอก หยุดฝีเท้ากะทันหัน ตรวจสอบสถานการณ์โดยรอบอย่างละเอียดและค่อยๆ ขยายวง ราวกับกำลังสร้างอาณาเขต
ได้เห็นภาพดังกล่าว ไคลน์ไม่กล้าอยู่ต่อ รีบสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดเพื่อถอยหลังกลับ จนกระทั่งอยู่ห่างจากรองผอ. MI9 เป็นระยะทางสามกิโลเมตร
ระหว่างนั้น มันยกเลิกการควบคุมหุ่นเชิดอย่างต่อเนื่อง ไม่กังวลว่าศพแมลงจะทำให้อีกฝ่ายสงสัย
ภายในป่าชานเมืองแถบนี้ การตายของแมลงเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมาก!
‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์ สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง เช่นนั้นแล้ว ครึ่งเทพของเส้นทางเดียวกันอย่างโจนาส·โคลเกอร์เองก็คงมีความสามารถในการสร้างอาณาเขต… อาจเป็นอาณาเขตที่จะทำให้ผู้สะกดรอยไม่สามารถซ่อนตัว ถูกบังคับให้ต้องเปิดเผยตัวตน? มีโอกาสเป็นไปได้! ไคลน์หยิบเหรียญทองออกจากกระเป๋าชุดนอน ควงเล่นระหว่างนิ้ว
ทันใดนั้น มันออมแรงและดีดเหรียญทองขึ้นไปในอากาศอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ปล่อยให้ตกลงบนฝ่ามือ
ไม่จำเป็นต้องก้มหน้ามอง ไคลน์สามารถเห็นนิมิตภายในหัว
เหรียญออกหัว!
หมายความว่า อาณาเขตข้างหน้ามีความผิดปรกติ แถมยังอันตรายอย่างมาก!
สมแล้วที่เป็นครึ่งเทพ ความสามารถในทำนองนี้ช่างน่าอิจฉา… แต่คิดจริงๆ หรือว่าของแบบนี้จะหลบหนีจากการสะกดรอยจากเราได้? ไคลน์ ‘หึ’ ในลำคอก่อนจะถอยหลังกลับไปอีกหลายสิบเมตร มองหาจุดอับสายตาและแปลงโฉมเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์
ทันทีหลังจากนั้น มันเลื่อนมือขึ้นมาประสานใต้ปาก พึมพำเสียงต่ำ
“ข้ารับใช้แห่งท้องทะเลและโลกวิญญาณ ผู้พิทักษ์แห่งหมู่เกาะรอสต์ ผู้ปกครองมวลหมู่สัตว์ทะเล เจ้าแห่งสึนามิและลมพายุ คาเวทูว่าผู้ยิ่งใหญ่”
สิ้นเสียงสวดวิงวอน ไคลน์ถอยหลังสี่ก้าวทันที ส่งตัวเองเข้าสู่มิติเหนือสายหมอก นั่งลงบนเก้าอี้ของเดอะฟูลและกวักมือเสกคทาเทพสมุทรที่เลี่ยมด้วยอัญมณีสีน้ำเงิน
จากนั้น มันอาศัยคทาเทพสมุทรในการสำรวจจุดแสงของผู้วิงวอน เฝ้ามองพื้นที่รอบๆ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ในมุมสูง
มันขยายภาพออกทันที เพื่อให้เห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบทั้งหมด อาศัยบริเวณดังกล่าวเป็นจุดกึ่งกลาง แผ่ขยายรัศมีการมองเห็นออกไปไกลถึงห้าไมล์ทะเล – เป็นขอบเขตสูงสุดที่คทาเทพสมุทรสามารถยื่นมือช่วยเหลือสาวก
ด้วยวิธีนี้ ในจุดที่เป็นพื้นที่เป้าหมายของโจนาส·โคลเกอร์ ไม่มีสิ่งใดสามารถหลบสายตาของไคลน์
…
เขตท่าเรือ ภายในโกดังสินค้า
“ความรัก…” ทริสซี่หัวเราะ จากนั้นร่างของเธอก็จางลงราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับทะเลสาบยามค่ำคืน
เพียงพริบตา ทริสซี่ที่ถูกห่อด้วยใยแมงมุมหนาของ ‘แม่มดยุพนิรันดร์’ คาร์เทอริน่า·เปลเล่ พลันแปรสภาพกลายเป็นกระจกมายา
กระจกบานดังกล่าวสูงกว่ามนุษย์ ผิวกระจกมีคลื่นน้ำกระเพื่อม คล้ายกับเป็นประตูที่นำพาไปยังโลกอีกใบหนึ่ง
ทันใดนั้น มันหยุดสะท้อนภาพเบื้องหน้า แต่เป็นภาพเค้าโครงของห้องหนึ่ง
ห้องดังกล่าวทั้งสลัวและมืดมน เตียงนอนและเครื่องเรือนถูกหั่นเป็นชิ้นๆ กระจัดกระจายนับไม่ถ้วน มีเพียงใจกลางห้องที่ยังสะอาดสะอ้าน ไม่มีแม้แต่ฝุ่น
ทริสซี่กำลังยืนในตำแหน่งดังกล่าว สวมเดรสยาวสีดำหม่นหมอง เส้นผมถูกปล่อยตามธรรมชาติและโยกเอนแผ่วเบาตามแรงลม ใบหน้าขาวเป็นพิเศษ คล้ายกับผีผู้หญิงในนิทานปรัมปรา
เธอมิได้อยู่ที่นั่นตั้งแต่แรก แต่อาศัยพลังของกระจกมายา ฉายภาพตัวเองมาจากจุดห่างไกลอย่างสมจริง!
ดังนั้น ในตอนที่ถูกควบคุมและไล่ล่า เธอไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
ได้เห็นฉากดังกล่าว คาร์เทอริน่า·เปลเล่ที่สวมผ้าคลุมสีขาวเรียบๆ ปราศจากความลังเล แผดเสียงกรีดร้องออกมาทันที
คลื่นเสียงที่มองไม่เห็นแผ่ออกไปรอบทิศ เส้นผมลอยขึ้นฟ้าทุกทิศทางและจับกลุ่มเป็นเส้นใหญ่ แถมยังถูกฉาบด้วยสีขาวซีด
กระจกเงามายาสั่นสะเทือนหนักหน่วง คล้ายกับพร้อมพังทลายทุกเมื่อ
และภายในห้องรก เศษเตียงนอนและเครื่องเรือนพลันกลายเป็นสีขาวเทา สูญเสียความมันวาวและแปรสภาพกลายเป็นก้อนหิน
เบื้องหน้าทริสซี่ พื้นสีน้ำตาลอมเหลืองเองก็แปรสภาพกลายเป็นหินสีเทาขาว ถาโถมเข้าใส่มนุษย์คนเดียวภายในห้องอย่างรวดเร็วประหนึ่งกระแสน้ำโหมกระหน่ำ
ทริสซี่ไม่พยายามต่อต้าน เพียงหันหลังกลับและโบกมือ ส่งตัวเองไปยังหน้าต่างที่เปิดอยู่
ใยแมงมุมล่องหนที่เป็นของทริสซี่ก่อตัวขึ้นกลางอากาศ ทุกเส้นเปลี่ยนเป็นสีเข้มและพุ่งตรงเข้าหากระแสคลื่นสีเทาขาว
ขณะเดียวกัน รอยร้าวเริ่มปรากฏบนผิวกระจกมายาบานใหญ่ ก่อนจะส่งเสียงมายาออกมาพร้อมกับแตกเป็นเสี่ยงๆ
ทว่า ก่อนที่กระจกมายาจะเลือนหายไปอย่างสมบูรณ์ ภายในห้องที่ถูกสาปให้เป็นหิน วัตถุสีเทาเขาก่อตัวกันเป็นร่างหนึ่งด้วยความพิสดาร
ร่างดังกล่าวสวมเสื้อคลุมสีขาว ทั้งเรียบง่ายและศักดิ์สิทธิ์ มีผมสีดำสนิทเป็นมันเงา เป็นความงามที่มีเสน่ห์ของเด็กสาวและผู้ใหญ่ในเวลาเดียวกัน ดวงตากึ่งลุ่มลึกกึ่งสดใสไร้เดียงสา ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘แม่มดยุพนิรันดร์’ คาร์เทอริน่า·เปลเล่ที่อยู่ในโกดังเมื่อครู่!
เมื่อเศษกระจกมายาเลือนหายไปโดยสมบูรณ์ ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดก็ไม่เห็นสถานการณ์ภายในห้อง ‘อีกฟาก’ อีกต่อไป
มันถอนสายตากลับ ต้องไปทางเชอร์มาเน่ที่อยู่ไม่ห่างด้วยสายตาซับซ้อนเล็กๆ แต่เพียงไม่นานก็กลับเป็นปรกติ
“ทริสซี่อดทนจนน่ายกย่อง… เพื่อจะจัดการกับฉัน เธอถึงกับลงทุนใช้เวลาหลายเดือนในการบ่มเพาะแม่มดคนใหม่…” ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดหัวเราะพลางส่ายหน้า “ยัยนั่นต้องการให้เธอล้วงข้อมูลอะไรจากฉัน?”
ปัจจุบัน เนื่องจากภายในโลกดังขาดการเชื่อมต่อกับทริสซี่ ใยแมงมุมล่องหนรอบตัวเชอร์มาเน่จึงเริ่มอ่อนแรงลง มิอาจพันธนาการเธอได้อีก
สตรีเลอโฉมตอบด้วยดวงตาเหม่อลอย
“เธอขอให้ฉันช่วยสืบว่า ใครคือคนที่คุณจงรักภักดีอย่างแท้จริง”
โดยไม่รอให้ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดตอบ ดวงตาของเธอแฝงความสับสนที่ยากจะอธิบาย ก่อนจะถามออกไปด้วยความลังเล
“สัญญาที่คุณเคยรับปากฉัน… มีเรื่องใดบ้างที่จริง?”
ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดผงะ จากนั้นก็หัวเราะ
“เธอน่าจะเป็นแม่มดที่โง่เขลาและไร้เดียงสาที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็น…”
สีหน้าเชอร์มาเน่แข็งทื่อโดยสมบูรณ์ ดวงตาที่เริ่มมีประกาย กลับไปเหม่อลอยอีกครั้ง
…
ด้านนอกโกดัง ซิลและฟอร์สที่ซ่อนตัวในเงามืด สำรวจพื้นที่เป้าหมายอย่างเงียบเชียบ
พวกเธอไล่ตามไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดมาที่นี่!
ความอดทนของพวกเธอผลิดอกออกผลอย่างที่คิด สามารถตรวจพบว่าหัวหน้าราชองครักษ์แอบออกจากคฤหาสน์ในยามราตรี รีบร้อนไปยังเขตท่าเรือใกล้กับสะพานเบ็คลันด์
อาศัยพลังเจ้าพนักงานของซิล พวกเธอไล่ตามห่างๆ และยืนยันได้ว่าไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดเข้าไปในโกดังหลังดังกล่าว
นอกจากนั้น พวกเธอยังสังเกตเห็นสิ่งหนึ่ง นั่นคือสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยสู้ดีนักของเป้าหมาย คล้ายกับกำลังบาดเจ็บ
“อันที่จริง เรามีโอกาสลงมือระหว่างทางก่อนจะถึงที่นี่…” ฟอร์สมองโกดังพลางกระซิบ
ซิลตอบโดยไม่มองหน้า
“แต่เธอเป็นคนบอกเองว่า เรื่องราวอาจไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น เราต้องอดทนรอไปก่อน”
“นั่นอาจเป็นสัมผัสวิญญาณของโหราจารย์… หรือไม่ก็สันดานชอบผัดวันประกันพรุ่ง” ฟอร์สตอบในทำนองจิกกัดตัวเอง
พวกเธอไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม ยังคงเงียบและอดทนรอต่อไป
ทันใดนั้น บนพื้นที่มีรอยแตกด้านหน้าทั้งสองคน เปลวไฟสีดำลุกโชนขึ้น
เปลวไฟกระจัดกระจายอย่างรวดเร็วและเรียงตัวเป็นถ้อยคำภาษาโลเอ็น:
“นี่คือโอกาสที่พวกเธอรอคอย”
รูม่านตาของทั้งซิลและฟอร์สเบิกกว้างพร้อมกัน พวกเธอหันมองหน้ากันและตอบสนองไม่ถูกไปสักพัก จนกระทั่งฟอร์สเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
“เอายังไงกันดี?”
ราชันเร้นลับ 1021 : กางเขน
ได้ยินคำถามของฟอร์ส ซิลลังเลสักพักก่อนจะตอบ
“ทางนั้นพบพวกเรานานแล้ว…”
สำหรับประโยคเมื่อครู่ พวกเธอเคยพูดในสิ่งที่คล้ายกันมาก่อน แต่ความหมายของในอดีตกับปัจจุบันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในตอนนั้น การถูกพบตัวหมายถึง อีกฝ่ายรู้เรื่องที่ตนเข้าไปตรวจสอบเชอร์มาเน่ภายในรถม้า แต่ปัจจุบัน อีกฝ่ายทราบมาตลอดว่าพวกตนสะกดรอยตามไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด และถูกใช้เป็นหนึ่งในหมากของแผนการ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง โอกาสที่ซิลรอคอยมานาอาจมีอยู่จริง แต่ไม่มีใครสามารถคาดเดาเหตุการณ์หลังจากนั้น
“ถ้าเราทำในสิ่งที่ผู้ส่งข้อความบอก ท้ายที่สุด ชะตากรรมของเราจะขึ้นอยู่กับอีกฝ่าย ต้องวัดใจว่าหล่อนมีเจตนาดีหรือร้าย เป็นทางเลือกที่พวกเราไม่สามารถกำหนดผลลัพธ์” ซิลเสริมด้วยมุมมองที่เยือกเย็น
เหตุผลที่ซิลใช้ ‘หล่อน’ เป็นตัวแทนผู้ส่งข้อความ เพราะเธอนึกถึงกลิ่นหอมหวานอันเย้ายวนในตอนที่คลาดกับเชอร์แมน
ฟอร์สที่ฟังอยู่เงียบๆ พยักหน้ารับเห็นด้วย
“ใช่แล้ว พวกเราแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทางที่ดีที่สุดคือถอนตัว…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เธอมองไปทางโกดังและอ้าปาก แต่ไม่มีประโยคใดถูกเพิ่มเข้ามา
ฟอร์สกำลังประเมินสภาพปัจจุบันของเชอร์แมน และค่อนข้างมั่นใจว่า ‘เขา’ กำลังอยู่ในอันตรายร้ายแรง แต่สุดท้ายก็จงใจไม่พูดออกมา ไม่เอ่ยถึงมัน
สำหรับฟอร์ส เชอร์แมนเป็นเพียงตัวละครในเรื่องเล่าจองซิล เฉกเช่นตัวละครในนิยาย หากอีกฝ่ายกำลังลำบากและเธอสามารถช่วยได้โดยไม่เหลือบ่ากว่าแรง ฟอร์สยินดีจะทำ แต่ถ้าการช่วยเหลือทำให้ตัวเองและเพื่อนสนิทต้องเสียงอันตราย ฟอร์สจะไม่พิจารณาความเป็นไปได้แม้แต่น้อย
ซิลพยักหน้าและกล่าว
“ตกลง พวกเราจะถอนตัว… แต่ผู้ส่งข้อความต้องไม่พอใจกับผลลัพธ์นี้แน่ หล่อนอาจขัดขวางเรา… ดังนั้น เราสองคนจะแยกกันหนี ให้อีกฝ่ายเลือกตามได้เพียงคนเดียว คนที่หนีสำเร็จให้รีบสร้างความวุ่นวายเพื่อดึงดูดผู้วิเศษของทางการ”
“แล้วทำไมพวกเราถึงไม่สร้างความวุ่นวายขึ้นที่นี่เลย?” ฟอร์สถามตามความเคยชิน
“ความพยายามของพวกเราจะถูกขัดขวางหรือไม่ก็ถูกทำลายทิ้ง!” ซิลให้เหตุผล
ฟอร์สพยักหน้าครุ่นคิด
“สมเหตุสมผล… ตกลง เลิกผัดวันประกันพรุ่ง… มาเริ่มกันเลย”
ซิลไม่กล่าวคำใด เพียงนำมีดสามคมที่โปร่งใสจนเกือบมองไม่เห็นออกมาถือ โน้มตัวลงต่ำประหนึ่งแมวเตรียมตะครุบเหยื่อ กระโจนออกจากจุดซ่อนตัวและหนีไปตามกำบังที่มีเงาปกคลุม เป้าหมายคือการออกนอกเขตท่าเรือ
มีดสามคมที่เธอกำลังถือ ซิลจ้างงานผ่านมาดามเฮอร์มิทในราคาห้าร้อยปอนด์ ให้อีกฝ่ายช่วยติดต่อช่างฝีมือเพื่อสร้างมีดจากละอองวิญญาณของวิญญาณอาฆาตโบราณ ชื่อของมันคือ ‘มีดเหมันต์’
ใครก็ตามที่โดนอาวุธนี้แทง แม้จะถากๆ เป้าหมายจะถูกความเยือกแข็งปกคลุม แม้แต่ความคิดตัวเองก็ควบคุมไม่ได้ ประหนึ่งถูกวิญญาณอาฆาตสิงร่าง ขณะเดียวกัน เมื่อการต่อสู้ดำเนินไป ศัตรูของผู้ถือมีดเหมันต์เล่มนี้จะพบว่าสติของตัวเองค่อยๆ ฝืดเคือง การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างเฉื่อยชา
ผลข้างเคียงด้านลบของมีดเหมันต์ไม่ร้ายแรงนัก และมีเพียงข้อเดียว นั่นคือการทำให้ผู้ถือค่อยๆ สูญเสียอุณหภูมิร่างกาย สุดท้ายจะกลายเป็นอันเดดโดยสมบูรณ์ หากปล่อยให้ผลกระทบส่งผลนานเกินกำหนด ร่างกายจะตกอยู่ในสภาพดังกล่าวชนิดที่ไม่มีวันฟื้นฟูกลับมาได้
ดันงั้น ซิลจึงมีความกระตือรือร้นที่จะวิ่งหรือปั่นจักรยานหนักๆ เพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายเอาไว้
แต่ถึงอย่างนั้น ระยะเวลาการใช้งานมีดเหมันต์ก็เพิ่มขึ้นไม่มาก จากสามเป็นสี่ชั่วโมง
หลังจากวิ่งออกมาไกล ซิลหันหลังกลับไปมอง พบว่าฟอร์สดินทะลุกำแพงไปแล้ว หายตัวไปจากจุดเดิมที่ทั้งสองเคยซ่อนตัว
จ้องค้างสองวินาที ซิลเม้มริมฝีปากแผ่วเบา หันหน้าและเปลี่ยนทิศทาง
เธอตรงไปทางโกดัง!
เพียงพริบตา เธอมาถึงด้านหน้าโกดัง แต่ยังไม่รีบร้อนตรงเข้าไป พยายามมองขึ้นด้านบน คล้ายกับกำลังหาลู่ทางอื่นที่ไม่ทำให้คนข้างในไหวตัว
ทันใดนั้น หญิงสาวเอียงคอตามสัญชาตญาณ หันไปทางมุมหนึ่งของกำแพงและพบกับร่างหนึ่งสว่างขึ้น
บุคคลดังกล่าวสวมเดรสยาวสีดำ ผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าอ่อน ไม่ใช่ใครนอกจากฟอร์ส·วอลล์
“ไม่หนีหรือ?” ซิลประหลาดใจ ลดเสียงลง
ฟอร์สขดริมฝีปากและกล่าว
“เธอก็ไม่หนีเหมือนกัน”
ซิลเถียงไม่ออกไปสักพัก ก่อนจะถามหลังจากผ่านไปสองสามวินาที
“รู้ตัวตั้งแต่ตอนไหน?”
“เธอไม่ได้เอ่ยชื่อเชอร์แมนออกมาสักคำเดียว นั่นมันผิดวิสัยมาก! ฉันอุตส่าห์เตรียมประโยคเกลี้ยกล่อมไว้ในหัวมากมาย!” ฟอร์สตอบฉะฉาน
“…” ซิลผงะเล็กน้อย กล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “เธอไม่จำเป็นต้องกลับมาก็ได้”
ฟอร์สทำเป็นไม่ได้ยิน นำมือทาบลงบนผนังโกดัง
“ถ้าเรามัวแต่เถียงกัน อีกสักพักคงเปล่าประโยชน์ เพราะเหตุการณ์ข้างในได้จบลงไปแล้ว… ให้ตายสิ ฉันเองก็ไม่คิดว่าวิธีนี้ดีที่สุด แต่เธอก็คงคัดค้านและยืนกรานจะช่วยเชอร์แมน ห้ามเท่าไรก็คงไม่ฟัง สุดท้ายหลังจากพวกเราเสียเวลาเถียงกัน บทสรุปก็จะจบลงแบบเดิมๆ”
ซิลมองหน้าเพื่อนสนิทด้วยแววตาซับซ้อน กำด้ามมีดเหมันต์แน่นโดยปราศจากความลังเล
ฟอร์สพลิกหน้า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ทันที แจกจ่ายพรวิเศษบางชนิดกับตนและเพื่อสนิท จากนั้นก็ปิดสมุดเวทมนตร์ จับแขนวิลและวางมือลงบนผนังอีกครั้ง
ซิลที่กำลังรอให้ฟอร์ส ‘เปิดประตู’ เธอพบว่าเพื่อนสนิทของตนไม่รีบร้อนใช้พลัง
นักเขียนนิยายขายดีถอนหายใจ กล่าวรีบๆ
“หลังจากเข้าไป พวกเราจะซ่อนตัวและดูเชิง เมื่อสบโอกาสค่อยลงมือ… แต่ถ้าไม่มีโอกาส หรือความโอกาสไว้ไม่ทัน พวกเราจะหนีด้วยความเร็วสูง อย่างน้อยก็ยังล้างแค้นให้เชอร์แมนได้วันหลัง ไม่ใช่ถูกดินกลบหน้า! ขอเพียงพวกเรายังมีชีวิต อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น…”
ซิลพยักหน้ารับ ตอบขึงขัง
“ตกลง”
ใจจริง ฟอร์สต้องการจะพูดอีกสองสามคำ แต่ประเมินว่าพวกตนเสียเวลาไปมาแล้ว ไม่ควรประวิงเวลาให้นานออกไป จึงทำการเปิดประตูมายา พาซิลข้ามกำแพงไปหลบหลังลังไม้
เมื่อเข้าสู่โหมดเอาจริงเอาจัง เธอปราศจากความโลเล รีบก้มตัวลงพร้อมกับหยิบ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ออกมาพลิกหน้า
ซิลเองก็ไม่ผลีผลามเข้าไปอย่างประมาท เพียงก้มตัวลงและมองลองช่องว่างลังไม้ ตรวจสอบสถานการณ์ภายในโกดัง
เชอร์แมนที่ดูเหมือนผู้หญิงกำลังนั่งบนลังไม้ด้วยสีหน้าปราศจากความโกรธ ผมสีน้ำตาลปลิวไสวไปตามแรงลม กวัดแกว่งแผ่วเบา
และคนที่ยืนข้างหน้าเธอคือไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด หัวหน้าราชองครักษ์รายนี้กำลังจัดปกเสื้อพลางสำรวจสภาพแวดล้อมรอบโกดัง ไม่มีใครทราบว่ากำลังมองหาสิ่งใด
“น่าเสียดายที่เธอเป็นแค่แม่มด… ไม่ต้องห่วง ฉันจะปล่อยให้เธอตายโดยไม่เจ็บปวด เป็นการถูกชำระล้างอย่างหมดจด”
กล่าวจบ มันหยิบบางสิ่งออกจากด้านในเสื้อผ้า
ซิลอาศัยสายตาที่ถูกยกระดับด้วยโอสถนักสอบสวน มองเห็นวัตถุชิ้นดังกล่าวอย่างชัดเจน
เป็นไม้กางเขนที่ถูกฉาบด้วยทองแดงกระดำกระด่าง มีหนามแหลมยื่นออกมาจำนวนมาก ลักษณะคล้ายกับเคยใช้ตรึงร่างใครสักคนมาก่อน
เอกลักษณ์แตกต่างจากรูปแบบของไม้กางเขนทวีปเหนือในยุคสมัยที่ห้า มีเสน่ห์แบบโบราณ
“ฉลาดมาก… เธอคงรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าไม่มีประโยชน์ที่จะขัดขืน” ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดกล่าวพลางเลื่อนนิ้วมือข้างหนึ่งกดลงบนหนาม
เลือดสีแดงสดไหลออกมาทันที และถูกหนามแหลมดูดเข้าไปทันทีเช่นกัน
ทองแดงกระดำกระด่างบนไม้กางเขนพลันสลายตัว ลอกออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นเนื้อแท้ที่อยู่ใต้เปลือกนอก
เพียงหนึ่งถึงสองวินาที สิ่งที่ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดถือได้กลายเป็นไม้กางเขนอันศักดิ์สิทธิ์และเจิดจ้า!
มันเปล่งแสงบริสุทธิ์ซึ่งไร้มลทิน ส่งผลให้บริเวณรอบๆ สว่างไสว
เงาดำตามลังไม้หายไป แม้กระทั่งจุดดำบนผนังก็ระเหยไปราวกับหยดน้ำ
ทางด้านเชอร์แมน ใยแมงมุมจำนวนมากที่เคยเป็นของทริสซี่ ลอยขึ้นไปในอากาศและดิ้นทุรนทุราย ก่อนจะสลายไปภายในไม่กี่อึดใจ
แสงสว่างทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แต่มิได้สว่างจนแสบตา ทันใดนั้น เปลวไฟสีดำลุกโชนออกจากร่างกายเชอร์มาเน่ ตามด้วยเกล็ดน้ำแข็งสีใส
พวกมันคอยๆ เลือนหายไปท่ามกลางแสงสว่าง
ภายในขอบเขตพลังของ ‘ไม้กางเขนเจิดจ้า’ ความชั่วร้ายและความมืดล้วนถูกขจัดจนหมดสิ้น!
เมื่อเห็นสีหน้าเชอร์มาเน่เริ่มบิดเบี้ยว ซิลอดไม่ได้ที่จำชำเลืองไปหาฟอร์ส
เธอตระหนักถึงอันตรายจากไม้กางเขน เริ่มลังเลที่จะช่วยชีวิตคน
ฟอร์สเองก็พอจะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น รีบชี้ไปยัง ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ พร้อมกับยกนิ้วชี้ข้างซ้ายขึ้น กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาสุดขีด
“มีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น… ฉันจะพยายามเปิดทางให้ หากล้มเหลวหรือเธอไม่มั่นใจที่จะลงมือ พวกเราจะถอนตัวทันที”
ซิลไม่ลังเล พยักหน้ารับขึงขัง
ฟอร์สยืดตัวขึ้น พลิกหน้า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ไปยังกระดาษสีเหลืองไหม้
หน้าดังกล่าวเต็มไปด้วยอักขระเวทมนตร์และลวดลายที่ซับซ้อนมากมาย ผู้คนต่างพากันนึกถึงสายลมอันเกรี้ยวกราดทันทีที่ได้เห็น
พลังระดับครึ่งเทพของเส้นทางลูกเรือ ‘ทอร์นาโด’ !
มองไปรอบๆ อีกครั้ง หลังจากยืนยันว่าไม่มีศัตรูคนอื่น ฟอร์สมองลอดช่องว่างลังไม้ จดจ้องไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดอย่างไม่ละสายตาพร้อมกับลูบนิ้วผ่านหน้ากระดาษสีเหลืองไหม้
เสียงสายลมโหยหวนระเบิดขึ้นในพริบตา พายุทอร์นาโดที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ปะทุขึ้นโดยมีฝ่าเท้าของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดเป็นจุดศูนย์กลาง ยอดพายุลอยสูงขึ้นไปในอากาศ
หัวหน้าราชองครักษ์ที่ถูกลอบโจมตีด้วยพลังครึ่งเทพอย่างกะทันหัน ย่อมมิอาจรักษาสมดุลร่างกาย ถูกพัดลอยขึ้นด้านบนจนร่างกระแทกกับเพดานโกดังอย่างแรง
โครม!
เพดานโกดังถูกพายุฉีกทำลายในพริบตา บางส่วนพังถล่มลงมา บางส่วนถูกพัดปลิวไปในอากาศ
ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดตกอยู่ในสภาพปางตายฉับพลัน มิอาจถือไม้กางเขนเจิดจ้าได้อีกต่อไป จำใจต้องปล่อยให้หลุดจากฝ่ามือ
เมื่อปลายหนามแหลมหลุดออกจากนิ้วที่กดไว้ ผิวทองแดงกระดำกระด่างก็กลับมาปกคลุมอีกครั้ง
แสงสว่างอันบริสุทธิ์ผุดผ่องพลันอันตรธานหาย
เฝ้ามองสถานการณ์ตรงหน้า ซิลรีบพุ่งออกจากจุดซ่อนตัวโดยปราศจากความลังเล ร่างอันร่อแร่ของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดสะท้อนบนผิวกระจกตา ตามด้วยการปรากฏตัวของ ‘สายฟ้า’ สองเส้น
ทะลวงจิต!
ราชันเร้นลับ 1022 : คำตอบ
ท่ามกลางพายุทอร์นาโดโหมกระหน่ำ ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดเปรียบดังใบไม้ไร้ทิศทาง พร้อมจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ได้ทุกเมื่อ
ในสภาพปัจจุบัน มันมิอาจตอบสนองใดๆ ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงการพูดคุย ทำได้เพียงอาศัยความแข็งแกร่งทางร่างกายของ ‘อัศวินวินัย’ เพื่อต้านรับความเสียหายอันหนักหน่วง และภาวนาให้ไม่สูญเสียแขนขาหรือสมองไปกับพายุทอร์นาโดอันทรงพลัง
เดิมที มันเข้าใจว่าการล่าประสบความสำเร็จแล้ว รอเพียงทริสซี่ถูกจับกุม และมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีผู้ช่วย ความสนใจของมันจึงมุ่งไปยังเชอร์มาเน่โดยไม่ระวัง แต่กลับกลายเป็นว่า มันถูกลอบจู่โจมทีเผลอ ดำดิ่งสู่ก้นหลุมพรางที่ไม่คาดคิด
เมื่อพบว่าพายุทอร์นาโดเริ่มอ่อนกำลังลง และตัวเองเพิ่งได้รับความเสียหายอย่างจังจากการกระแทกแค่ครั้งเดียว ไม่มีบาดแผลฉกรรจ์ในจุดอื่น ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดพยายามควบคุมร่างกายตัวเอง เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ในยกถัดไป
ทันใดนั้น ศีรษะของมันรู้สึกปวดแปลบกะทันหัน คล้ายกับว่ามีมีดคมๆ เสียบเข้าไปและคนกวนสมองสองสามครั้ง
ความรู้สึกเช่นนี้ ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดทั้งคุ้นและไม่คุ้นเคย เพราะแม้มันจะไม่เคยลิ้มรสด้วยตัวเอง แต่เคยก็ ‘กระทำ’ กับผู้อื่นหลายครั้งพลางสังเกตท่าทีตอบสนองของเหยื่อ
นี่คือหนึ่งในพลังที่มันชำนาญที่สุด:
ทะลวงจิต!
โครม!
เนื่องจากถูกโจมตีซ้ำ ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดที่ยังปรับสภาพร่างกายไม่ได้ ร่วงหล่นกระแทกพื้นอย่างรุนแรงจนไม้กางเขนสีทองแดงกระดำกระด่างหลุดมือและกระเด็นไปบนพื้นหลายเมตร
กึก กึก กึก ซิลถือมีดเหมันต์พร้อมกับปรี่เข้าหาไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดที่กำลังมึนงงด้วยความเร็วสูง
สำหรับฟอร์ส ก่อนที่ซิลจะพุ่งเข้าหาศัตรู เธอรีบพลิกหน้า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ไปยังแผ่นกระดาษที่มีผิวเหมือนหนังสัตว์
หลังจากลูบไล้ปลายนิ้วลงบนกระดาษ เงาดำรอบๆ ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดคล้ายกับมีชีวิตขึ้นมา รวมตัวกันกลายเป็นโซ่สีดำหลายเส้นและพันธนาการร่างเหยื่อ
แม้ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดจะฟื้นคืนสติได้หลายส่วน แต่ยังไม่ทันจะได้เลือกเป้าหมายสำหรับ ‘ลงทัณฑ์’ และตั้งกฎบางอย่างให้กับสภาพแวดล้อม มันถูกปิดตายอิสรภาพโดยสมบูรณ์อีกครั้ง แม้กระทั่งปากก็ถูกผนึกแน่น
ตรวนนรก!
ตรวนนรกของผีดูดเลือดหรือผู้วิเศษเส้นทางจันทราในลำดับกลาง!
ฟอร์สที่เคยใช้งานมาแล้วครั้งหนึ่ง เกิดติดใจพลังชนิดนี้มาก เพราะเธอมองว่าตรวนนรกมีอรรถประโยชน์หลากหลายในการต่อสู้ ในภายหลังจึงว่าจ้างให้มิสเตอร์มูนที่กลายเป็นไวเคาต์ ช่วยบันทึกมันลงไปเรื่อยๆ
บึ้ม!
ทันใดนั้น ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดระเบิดพลังที่มันไม่เคยแสดงให้เห็นมาก่อน บดขยี้ตรวนนรกจนแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี
มันเลือกใช้พลัง ‘ลงทัณฑ์’ ไปกับตรวนนรกที่พัฒนาการตัวเอง!
แต่ในวินาทีเดียวกัน ซิลพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายประหนึ่งหัวรถจักรไอน้ำที่วิ่งเต็มกำลัง จ้วงแทงมีสามคมสีใสในมืออย่างชำนาญ
ท่ามกลางเสียงเนื้อถูกเสียบ มีดเหมันต์ทะลวงเข้าไปในช่องท้องส่วนล่างของเป้าหมาย
ร่างของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดพลันแข็งทื่อ แววตาเริ่มหมองคล้ำ ลำตัวไม่ขยับเขยื้อนราวกับกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็ง
ซิลปล่อยมือออก ทิ้งให้มีดเหมันต์คาอยู่ในท้องของหัวหน้าราชองครักษ์ คล้ายกับต้องการให้วิญญาณอาฆาตภายในมีดช่วย ‘สิง’ ร่างอีกฝ่าย ปิดผนึกการเคลื่อนไหวโดยสมบูรณ์
ทันทีหลังจากนั้น ซิลง้างหมัดและชกเข้าไปที่กกหูของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด
ภายใต้แรงปะทะอันหนักหน่วงสองครั้ง ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดหมดสติโดยไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้อง ร่างกายทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
หลังจากปล่อยหมัด ซิลฝากให้ฟอร์สช่วยจัดการต่อ ส่วนเธอวิ่งผ่านไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดที่มีมีดเหมันต์ปักอยู่ในท้อง ตรงไปหาเชอร์มาเน่ที่ยังคงนั่งบนลังไม้
ฟอร์สพลิกหน้า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ อีกครั้ง ใช้พลังสายพันธนาการเพื่อผนึกไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดให้แน่นิ่งยิ่งกว่าเก่า จากนั้นก็เดินออกจากแนวลังไม้ที่ซ่อนตัว ขยับเข้าไปใกล้ไม้กางเขนสีทองแดงกระดำกระด่าง
ฉากเมื่อครู่ทำให้เธอค่อนข้างมั่นใจ วัตถุชิ้นนี้ต้องเป็นสมบัติวิเศษระดับครึ่งเทพ หรือตามหลักของผู้วิเศษทางการ มันควรถูกเรียกว่า ‘สมบัติปิดผนึกระดับ 1’
และเนื่องจากได้เห็นไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดถือมันพร้อมกับใช้งานเป็นเวลานาน ฟอร์สเชื่อว่าผลข้างเคียงด้านลบคงไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในทันที สามารถลองหยิบจับขึ้นมาทดสอบได้
แน่นอน ในฐานะอดีตโหราจารย์ที่ย่อยโอสถสมบูรณ์ ระหว่างทางที่เดินไป ฟอร์สควักลูกแก้วคริสตัลออกมาทำนายดวงอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีอันตราย…” ฟอร์สชำเลืองมองผลลัพธ์ ตามด้วยเร่งฝีเท้า
ขณะเดียวกัน ซิลวิ่งมาถึงด้านหน้าเชอร์มาเน่และยืนมองเพื่อนของตนที่สวยขึ้นจนผิดหูผิดตา หมดคำจะกล่าวไปสักพัก
ในสายตาซิล สภาพปัจจุบันของเชอร์มาเน่เข้าขั้นวิกฤติ
เส้นผมของแม่มดรายนี้ล้วนชี้ขึ้นทุกทิศในลักษณะจับกลุ่มหนา ดูคล้ายกับงูตัวเล็ก
สุดปลาย ‘งู’ ตัวเล็กๆ เหล่านี้ บ้างมีตาโต บ้างอ้าปากกว้าง ทั้งแปลกประหลาดและน่ากลัว
บนใบหน้าของเชอร์มาเน่ ลวดลายลึกลับสีดำผุดขึ้นจากผิว จากนั้นก็แพร่กระจายไปยังทุกส่วนของร่างกายอย่างรวดเร็ว
ดวงตาที่ค่อนข้างเหม่อลอยของหญิงสาวเริ่มสะท้อนใบหน้าซิล สติค่อยๆ กลับคืนมาทีละนิด เกิดขึ้นพร้อมกับความสับสนและเจ็บปวด
เธอเปิดปากพูดอย่างตะกุกตะกัก
“ซิล… ฉันเจ็บปวด…”
ดวงตาของซิลพลันพร่ามัว
เธออาจจะมีความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับไม่มาก เพราะแทบไม่เข้าใจบทสนทนาของสมาชิกชุมนุมทาโรต์เลย คนเหล่านั้นเอาแต่พูดถึงสิ่งมีชีวิตระดับสูงและเรื่องเข้าใจยากๆ และทางคนของ MI9 ก็เอาแต่ป้อนข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรลับนอกรีต แต่อย่างน้อย ซิลก็ยังพอจะมีความรู้ด้านการคลุ้มคลั่ง – สำหรับผู้วิเศษไร้สังกัด นี่คือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น ซิลจึงพอจะทราบว่า สภาพปัจจุบันของเชอร์มาเน่คือภาวะเริ่มต้นของอาการคลุ้มคลั่ง ไม่สามารถย้อนกลับได้อีกแล้ว มีแต่จะทวีความโหดร้ายขึ้นทุกขณะ
ทางด้านเชอร์มาเน่เองก็ดูเหมือนจะยอมรับสภาพ สูดลมหายใจเล็กน้อย เผยรอยยิ้มขื่นขมและกล่าวด้วยความยากลำบาก
“ฆ่าฉัน… บาปของฉันมีมากเกินไป… และฉันก็… ทำตามความฝัน… สำเร็จแล้ว”
น้ำตาของซิลไหลอาบสองแก้ม รีบลงมือโดยปราศจากความลังเล ตวัดมือชักอาวุธสำรองซึ่งเป็นปืนลูกโม่แสนธรรมดากระบอกหนึ่ง
ปากกระบอกถูกเลื่อนไปยังกึ่งกลางหน้าผากเชอร์มาเน่
เชอร์มาเน่ยิ้มด้วยดวงตาสดใสและเปี่ยมเสน่ห์
“ได้โปรด… เรียกฉันว่า… เชอร์มาเน่…”
“เชอร์มาเน่” ใบหน้าซิลบิดเบี้ยวอย่างมิอาจควบคุม ดวงตาพร่ามัวสถานหนัก
ปัง! ปัง! ปัง!
เธอเหนี่ยวไกอย่างต่อเนื่อง ปลดปล่อยกระสุนในโม่ให้พุ่งตรงออกไป
เลือดเนื้อสีแดงฉานบานสะพรั่งราวกับกุหลาบ
ฟอร์สที่ได้เห็นฉากดังกล่าว เม้มปากเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
สองวินาทีถัดมา เธอถอนหายใจยาว ก้มลงหยิบไม้กางเขนสีทองแดงกระดำกระด่าง
ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสวัตถุ คล้ายกับมือถูกไฟลวก ปวดแสบปวดร้อนราวกับวิญญาณถูกแผดเผา
ฟอร์สชักมือกลับตามสัญชาตญาณ ภายในใจเต็มไปด้วยคำถาม
เธอจำได้แม่นยำว่า ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดไม่เคยแสดงอาการเช่นนี้
ท่ามกลางกระแสความคิด ฟอร์สชำเลืองไปทางไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดเล็กน้อย ตามด้วยเตะไม้กางเขนสีทองแดงไปหาซิลที่อยู่ไม่ไกล
“เธอลองดูหน่อย… นอกจากนั้น พวกเราต้องรีบเผ่นจากที่นี่ ความวุ่นวายเมื่อครู่ต้องดึงดูดผู้วิเศษของทางการแน่นอน! และยังมี ‘คนส่งข้อความ’ ที่ยังไม่รู้จุดประสงค์นั่นอีก!”
ซิลที่มีดวงตาแดงก่ำ ไม่ได้กล่าวคำใด เพียงโน้มตัวก้มหยิบไม้กางเขนทองแดง โดยที่ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอมิได้แสดงอาการทุรนทุรายให้เห็น
เห… ฟอร์สไม่เสียเวลาถามถึงเหตุผล รีบเดินไปทางไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดที่กำลังตัวแข็ง เหลียวซ้ายแลขวาด้วยความระมัดระวัง
ซิลวางไม้กางเขนทองแดงลง หยิบร่างของเชอร์มาเน่ขึ้นมาและเดินไปหาไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด
“วัตถุชิ้นนั้นมีมูลค่าสูงมาก… สถานะของหมอนี่ก็เช่นกัน… เราจะถูกตามล่าจากราชวงศ์แน่นอน หากไม่หาวิธีกลบเกลื่อนร่องรอยและแทรกแซงผลการทำนาย” ฟอร์สก้มหน้ามองไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด พึมพำพลางใช้ความคิด
เธอคิดไวทำไว ยกมือขึ้นและก้มหน้าลง ท่องพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของมิสเตอร์ฟูล
เธอเชื่อว่า ต่อให้ทิ้งไม้กางเขนทองแดงไว้ที่นี่และหนีไป ทางราชวงศ์ก็คงไม่หยุดตามล่าเพียงเพราะพวกเธอเป็นมดปลวกไร้ค่า ดังนั้น ฟอร์สสลัดความลังเลและวิงวอนขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูลโดยตรง
สำหรับเธอแล้ว ต่อให้ต้องสังเวยไม้กางเขนให้มิสเตอร์ฟูล ก็ยังดีกว่าปล่อยทิ้งไว้ที่นี่
แทบจะในเวลาเดียวกัน เธอเห็นเทวทูตศักดิ์สิทธิ์ที่มาพร้อมกับปีกเพลิงสิบสองคู่บนแผ่นหลัง
ภาพมายาของนางฟ้าร่อนลงจากด้านบน โอบกอดเธอและซิลด้วยปีกเพลิงทีละชั้น
จนกระทั่งฉากดังกล่าวเลือนหายไป ขณะฟอร์สเตรียมกล่าวบางสิ่งกับซิล ร่างกายของเธอพลันสั่นสะท้านโดยไม่ทราบสาเหตุ รับรู้ได้ถึงความสยดสยองและชั่วร้ายที่พรั่งพรูออกจากความว่างเปล่า
เธอหรี่ตาลงทันที หมอบลงพร้อมกับใช้แขนข้างหนึ่งคว้าน่องของซิล ส่วนอีกข้างคว้าร่างไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด
ขณะเดียวกัน บนสร้อยข้อมือที่มีรอยไหม้ซึ่งฟอร์สกำลังสวม หินสีน้ำเงินเข้มเม็ดสุดท้ายพลังส่องสว่างด้วยแสงมายาสีนวล
เพียงพริบตา ร่างของฟอร์ส ซิล ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด และเชอร์มาเน่ ต่างแปรเปลี่ยนเป็นสีใส ก่อนจะหายไปจากจุดดังกล่าว
ผ่านไปสองสามอึดใจ ทั้งหมดออกจากเขตท่าเรือและโผล่ในบริเวณรอบนอกของเขตนักบุญจอร์จ
ระหว่างนั้น ฟอร์สฉวยโอกาสใช้พลังของนักบันทึก และประสบความสำเร็จในการคัดลอกพลัง ‘เทเลพอร์ต’ ของนักท่องเที่ยว
หลังจากยืนยันว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ และตระหนักว่าพวกตนกำลังอยู่ในป่าบนภูเขาลูกหนึ่ง ฟอร์สปล่อยมือที่จับซิลและไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด จากนั้นก็เหยียดตัวตรง
“ด้วยพรจากเทวทูตของมิสเตอร์ฟูล พวกเราคงไม่เป็นอะไรแล้ว และ ‘ผู้ส่งข้อความ’ ก็คงล็อกตำแหน่งของเราไม่ได้” ฟอร์สถอนหายใจโล่งอก กล่าวด้วยเสียงเจอความกลัว “คนที่เตรียมปรากฏตัวในตอนสุดท้ายน่าจะมีระดับไม่ต่ำกว่านักบุญ… โชคดีที่เราหนีออกมาเร็ว”
ซิลค่อยๆ วางร่างเชอร์มาเน่ลง ครุ่นคิดสักพักและกล่าว
“แต่ถ้าคนที่ฝากข้อความเป็นคนเดียวกับที่คอยจับตามองเชอร์มาเน่ หล่อนคงรู้จักบ้านของเราแล้ว… ตอนนี้ยังไม่ควรกลับไป”
“อา… คงต้องเปลี่ยนที่อยู่” ฟอร์สกล่าวอย่างชำนาญ พลางหันไปมองไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดที่อยู่ในสภาพหมดสติและตัวแข็งทื่อ “เธอลองสอบสวนหมอนี่ดู ทุกวินาทีมีค่ามาก”
ขณะกล่าว ฟอร์สยื่น ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ให้ซิลพร้อมกับเตือน
“ในนี้บันทึกพลังอ่านใจเอาไว้ ต้องใช้คู่กับแสงเทียน… เริ่มด้วยคำถามง่ายๆ และไม่สำคัญ อีกฝ่ายจะได้ลดแนวป้องกันลง”
ซิลรับสมุดเวทมนตร์ด้วยสีหน้าขึงขัง แต่ข้อมือเกิดสั่นระริกกะทันหัน ส่งผลให้ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ หลุดมือ
แปะ!
เมื่อเห็นสมุดบันทึกปกสีเขียวขี้ม้าหล่นลงบนพื้น ซิลขมวดคิ้วและกล่าว
“ร้อน… เหมือนไฟ…”
ฟอร์สเคยมีประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันมาก่อน เธอไตร่ตรองสักพักก่อนจะคาดเดา
“ลองวางไม้กางเขนนั่นลงและจับใหม่”
ซิลทำตามคำแนะนำ โดยคราวนี้จับ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ได้โดยไม่มีปัญหา
“มันปฏิเสธสมบัติวิเศษชิ้นอื่น…” ได้เห็นฉากเมื่อครู่ ฟอร์สสร้างข้อสรุป
ซิลมิได้สนใจกับปัญหา รีบนำเทียนไขออกมาจุด
จากนั้น เธอดึงมีดเหมันต์ออกจากท้องหัวหน้าราชองครักษ์ ปลดปล่อยมันจากภาวะแข็งทื่อและเฉื่อยชา
รอจนกระทั่งไวเคาต์วัยกลางคนเริ่มได้สติกลับมา ซิลพลิกสมุดไปยังหน้ากระดาษหนึ่ง
ดวงตาไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดพลันล่องลอย เหลือทิ้งไว้เพียงแสงเทียนไขบนกระจกตา
“ทำไมเชอร์มาเน่ถึงพยายามเข้าหาคุณ” ซิลถามในสิ่งที่เพิ่งนึกออก
ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดตอบกลับอย่างล่องลอย
“เธออยากจะรู้ว่า แท้จริงแล้วผมภักดีกับใคร”
ซิลผงะเล็กน้อย ถามตามสัญชาตญาณ
“แล้วคุณภักดีกับใคร?”
ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดตอบเชื่องช้า
“ต้องเป็นฝ่าบาทแน่นอนอยู่แล้ว”
ราชันเร้นลับ 1023 : สาเหตุการตายของเม...
ฝ่าบาท… ได้ยินคำตอบจากไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด ซิลสับสนเล็กน้อย ภายในใจเต็มไปด้วยความสงสัย
เธอไม่เข้าใจว่า การที่เชอร์แมนลงทุนตีสนิทหัวหน้าองครักษ์หลวง เพียงเพื่อถามคำถามที่ใครๆ ก็รู้คำตอบอยู่แล้วเช่นนี้น่ะหรือ? นั่นดูไม่คุ้มเสี่ยงเลยสักนิด
และพิจารณาจากคำตอบ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้โกหก
เชอร์มาเน่ยอมสละชีวิตเพื่อของแค่นี้? ซิลต้องการจะถามเพิ่มว่าเชอร์มาเน่ทำไปเพื่ออะไร แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า คำถามดังกล่าวจะพาเข้าสู่ประเด็นสำคัญเร็วเกินไป ไม่เหมาะแก่การถามไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดที่ยังไม่ได้อยู่ใน ‘สภาวะ’ พร้อมคายข้อมูล ซิลจึงอดใจรอไปก่อน
เธอครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็ถาม
“รู้จักเมสัน·เดียร์ไหม?”
“รู้จัก” ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดตอบด้วยสีหน้าล่องลอย
ซิล·เดียร์ชายังคงถามในสิ่งที่ตอบได้ง่ายๆ อย่างต่อเนื่อง
“เขาเป็นใคร?”
“อดีตหัวหน้าองครักษ์หลวง” ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดตอบเฉพาะสิ่งที่อีกฝ่ายถาม ไม่พูดเวิ่นเว้อ
ขณะเดียวกัน ฟอร์สมิได้สนใจฟังการ ‘อ่านใจ’ ซึ่งเพิ่งอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น เพียงนำลูกบอลคริสตัลออกมาใส่ไว้ในกระเป๋าของซิล
หลังจากฝากสิ่งของ เธอก้มหน้าและพยายามหยิบไม้กางเขนทองแดงอย่างระมัดระวัง
ในคราวนี้ แม้ว่าปลายนิ้วจะสั่นเบาๆ แต่ความรู้สึกราวกับถูกไฟแผดเผามิได้เกิดขึ้น มันปล่อยให้เธอหยิบจับอย่างง่ายดาย
เป็นอย่างที่คิด ไม้กางเขนอันนี้ไม่ต้องรับสมบัติวิเศษภายนอกทั้งหมด ไม่ยอมอยู่ร่วมกัน… หืม… แต่ในตัวเรายังมีกระดาษคนจันทราและพลังวิญญาณตกค้างของวิญญาณอาฆาตโบราณ แต่มันไม่ตอบสนอง… หมายความว่า มันจะกีดกันเฉพาะตะกอนพลัง แต่ไม่สนใจวัตถุแฝงพลังวิญญาณ? ถ้าเป็นแบบนั้นจริง แปลว่ามันต้องปฏิเสธตะกอนพลังในร่างกายเราด้วย แต่ผลลัพธ์อาจยังไม่ปรากฏในทันที… หรือว่าจะเป็นผลข้างเคียงด้านลบที่ต้องใช้เวลาสักพักในการออกฤทธิ์? ฟอร์สประเมินไม้กางเขนทองแดงเบื้องต้น จากนั้นก็นำมันใส่ไว้ในช่องลับสำหรับเก็บอุปกรณ์ประกอบพิธีกรรมอย่างระมัดระวัง
จัดการเสร็จ ฟอร์สชำเลืองไปทางสร้อยข้อมือสีเงิน ยืนยันว่ามันว่างเปล่า ไม่หลงเหลืออัญมณีอีกต่อไป
หินทั้งห้าก้อนที่มีพลังในการ ‘เทเลพอร์ต’ ถูกใช้จนหมดแล้ว
แต่ฟอร์สมิได้แสดงความกังวลเหมือนเมื่อก่อน แม้ว่าการใช้งานแต่ละครั้งจะยิ่งทำให้ ‘เสียงเพรียกขณะจันทร์เต็มดวง’ ทวีความรุนแรง แต่เธอเองก็ทราบดี ขอเพียงมีความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูล เรื่องดังกล่าวก็ไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะผ่านมาแล้วเกือบหนึ่งปี หากไม่ใช่คืนจันทร์เต็มดวงหรือปรากฏการณ์จันทราโลหิต เธอเกือบลืมไปแล้วว่าเคยต้องทุกข์ทรมานจาก ‘เสียงเพรียกขณะจันทร์เต็มดวง’
หวังว่าในสักวัน คำสาปนี้จะหายไปโดยสมบูรณ์… หลังจากละสายตาจากกำไลเงิน ฟอร์สถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
จากนั้น เธอรีบขอบคุณมิสเตอร์ฟูลในใจจากก้นบึ้ง
ไม่ว่าจุดประสงค์ของท่านจะเป็นสิ่งใด แต่อย่างน้อย ท่านก็เคยช่วยเราไว้มาก ไม่ใช่แค่เรื่องเสียงเพรียกขณะจันทร์เต็มดวง…
ดูเหมือนว่าไม้กางเขนอันนี้จะมีมูลค่าไม่ธรรมดา… ไม่แน่ใจว่ามิสเตอร์ฟูลจะสนใจมันไหม อยากรับการสังเวยจากเราหรือไม่… เราไม่เคยมีสมบัติวิเศษดีๆ หรือข้อมูลล้ำค่ามาก่อน ไม่มีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณเสียที จนในที่สุดโอกาสก็มาถึง…
อึก… ไม้กางเขนอันนี้เป็นส่วนแบ่งของเรากับซิล เรามีสิทธิ์เพียงครึ่งเดียว ไม่รู้ว่ามิสเตอร์ฟูลจะเต็มใจรับวัตถุที่มีสิทธิ์ครอบครองเพียงครึ่งเดียวไหม… ไม่สิ… ซิลเองก็เคยติดหนี้บุญคุณท่าน…
ฮุฮุ… บางที มันอาจเป็นสิ่งที่ทำให้มิสเตอร์ฟูลพึงพอใจก็ได้… หากท่านพอใจมาก เราอาจรบกวนให้ช่วยบันทึกพลังลงไปในสมุดสักสองสามชนิด… ไม่สิ… สมุดเล่มนี้รองรับพลังระดับทวยเทพของท่านไม่ไหวแน่… อา… อย่างน้อยเทวทูตใต้อาณัติของท่านก็ยังดี… ไม่สิ… แค่พลังของมิสเตอร์เวิร์ลก็พอแล้ว…
ฟอร์สปล่อยความคิดฟุ้งกระจาย สร้างความคาดหวังในมโนภาพ
นี่คือนิสัยที่ดีของนักเขียนนิยายขายดี
ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมเธอถึงไม่เรียกร้องอย่างอื่นนอกจากการบันทึกพลังลงในสมุดเวทมนตร์ เพราะเธอเพิ่งได้ตระหนักถึงความสำคัญและน่าสะพรึงกลัวของพลังในระดับครึ่งเทพกับตาตัวเองมาเมื่อครู่
หากไม่ได้คัดลอก ‘ทอร์นาโด’ ไว้ใน ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ วันนี้เธอและซิลคงหมดโอกาสจับกุมตัวไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด บางทีอาจเอาชีวิตรอดกลับมาไม่ได้ด้วยซ้ำ
ต่อให้ไม่นับไม้กางเขนทองแดง แต่ตัวไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดก็เป็นผู้วิเศษที่แข็งแกร่ง หากไม่ได้รับบาดเจ็บล่วงหน้าจากแรงกระแทกของพายุทอร์นาโดจนศีรษะเกิดอาการวิงเวียน มีโอกาสสูงมากที่แผนลอบโจมตีของเธอและซิลจะไม่ประสบความสำเร็จ บางทีอาจถูกตอบโต้จนเสียท่า
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าการจับ ‘ไม้กางเขนเจิดจ้า’ แยกกับไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดคือกุญแจสำคัญของศึกนี้ และความดีความชอบย่อมต้องตกเป็นของพายุทอร์นาโด
เมื่อลองคิดดูให้ดี หากสถานการณ์ไม่ฉุกละหุกมากนัก ในสมมติฐานที่ตัดทั้งพลังครึ่งเทพของเราและไม้กางเขนนั่นออกไป เรากับซิลมีโอกาสสูงที่จะลอบโจมตีไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดสำเร็จ…
พลังพิเศษในสมุดเวทมนตร์ทั้งหลากหลายและเข้ากันได้ดี รวมๆ แล้วค่อนข้างแข็งแกร่ง ผนวกกับพลังทะลวงจิตของซิลและมีดเหมันต์ หากสู้กันตรงๆ โดยที่ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดมิได้พกพาสมบัติวิเศษ ความพ่ายแพ้ของเขาก็นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว
นักบันทึกที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ ถือเป็นหนึ่งในผู้วิเศษที่ทรงพลังอย่างไร้ข้อกังขา… ยิ่งครุ่นคิด ฟอร์สก็ยิ่งพบความแปลกประหลาด
เธอรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาก!
ย้อนกลับไปในตอนที่จัดการกับวิญญาณอาฆาตโบราณ เธอเคยรู้สึกแบบเดียวกันมาก่อน แต่หลังจากนั้นกลับถูกพลังกัดกร่อนลึกลับเล่นงาน จนความรู้สึกดังกล่าวเลือนหายไปพร้อมกับความกลัว และในตอนที่ทุกคนช่วยกันลงมือสั่งสอนเออร์เนส·โบยาร์ ฟอร์สและซิลมิได้ออกแรงสู้ตรงๆ จึงไม่เคยวัดพลังตัวเอง
จนกระทั่งการต่อสู้เมื่อครู่ ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดเป็นถึงหัวหน้าองครักษ์หลวงแห่งโลเอ็น มีลำดับ 6 เป็นอย่างน้อย และอาจสูงถึงลำดับ 5 แถมยังพกพาสมบัติวิเศษระดับครึ่งเทพที่ทรงพลัง ศึกดังกล่าวช่วยให้ฟอร์สสามารถ ‘ประเมิน’ ฝีมือของตัวเองในโลกผู้วิเศษอย่างเห็นภาพ แม้ผลการต่อสู้จะเกิดจากการลอบโจมตีเป็นส่วนใหญ่ แต่การที่สามารถปิดฉากอีกฝ่ายได้อย่างหมดจด ถือเป็นเครื่องพิสูจน์สติปัญญาและฝีมือได้ไม่มากก็น้อย
ตอนนี้เราเป็นนักบันทึกแล้ว ถ้าจับคู่พลังพิเศษอย่างลงตัว ผนวกเข้ากับความหลากหลายของ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ เราจะแข็งแกร่งเทียบเท่าลำดับ 5 ที่ค่อนข้างทรงพลัง… ติดตรงที่เรายังมีประสบการณ์จริงน้อยเกินไป… ฟอร์สถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน มองไปทางซิลที่กำลังสอบสวนไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด
ปัจจุบัน คำถามของซิลเริ่มเข้าสู่ส่วนสำคัญ และการต่อต้านจากอีกฝ่ายก็เริ่มต้นขึ้น
“เมสัน·เดียร์ตายด้วยสาเหตุใด?”
หลังจากถามออกไป สีหน้าของซิลพลันซับซ้อน เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง บ้างวิตกกังวล บ้างตื่นเต้นและหวาดกลัว
นี่เป็นคำถามที่ซิลอยากรู้มาตั้งแต่แปดปีก่อน เป็นเวลากว่าสามพันวันที่เธอไม่เคยหยุดหาคำตอบ แต่ใจหนึ่งก็กลัวว่าคำตอบจะไม่ใช่สิ่งที่ตนอยากฟัง กลัวว่าบิดาของเธอจะเป็นกบฏ แผ่นดินที่ถูกประหารชีวิต นั่นยิ่งสร้างความเสื่อมเสียให้วงศ์ตระกูล
ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดมิได้ตอบคำถามของซิลทันที เงียบงันไปสักพักคล้ายกับพยายามดิ้นรน จนกระทั่งเปิดปากพูด
“เขาค้นพบความลับของฝ่าบาทและพยายามแจ้งให้ศาสนจักรทราบ แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จและถูกประหารชีวิตในการปะทะ”
ซิลแน่นิ่งไปหลายวินาที ก่อนจะยืนยันว่านั่นคือคำตอบที่เธอตามหา
แม้จะเป็นสิ่งที่ทำให้เธอตกตะลึง แต่จิตใจกลับสงบนิ่งอย่างบอกไม่ถูก
“ความลับ… ของฝ่าบาท” หญิงสาวกระซิบกระซาบ รีบถามต่อไป
“ความลับอะไร?”
ฟอร์สที่อยู่ไม่ไกลออกไปเริ่มเผยสีหน้าประหวั่น คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะซับซ้อนถึงเพียงนี้
ทันใดนั้น กล้ามเนื้อบนใบหน้าของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด ตามด้วยการพ่นออกมาสองสามคำ
“ความลับที่ว่าก็คือ…”
ทันใดนั้นเอง ร่างกายของมันเกิดชักกระตุกอย่างมิอาจหักห้าม ดวงตาที่เคยสับสนได้รับความแวววาวกลับคืนมา
แต่ในวินาทีถัดมา ร่างกายของมันพลันแยกออกจากกันในระดับอณูเซลล์ จากนั้นก็บีบอัดจนกลายเป็น ‘ดอกไม้ไฟ’ มนุษย์ลูกใหญ่
‘ดอกไม้ไฟ’ สีเลือดลอยขึ้นไปบนฟ้า เกิดระเบิดและมอบแสงสว่างในยามค่ำคืน ฉากทั้งหมดสะท้อนอยู่บนกระจกตาของฟอร์สและซิล
นี่มัน… จากประสบการณ์ที่เคยสั่งสมมา ดวงตาของฟอร์สเหม่อลอยเพียงครู่เดียวก่อนจะรีบลงมือกระทำบางสิ่ง นั่นคือการหมอบลงและคว้าร่างเชอร์มาเน่และน่องของซิล
ทั้งสามร่างกลายเป็นสีใสและหายไปจากตำแหน่งดังกล่าวอย่างรวดเร็ว เป็นการ ‘เทเลพอร์ต’ ไปยังย่านทิศใต้ของสะพาน
…
เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ที่กำลังถือคทาเทพสมุทร มองเห็น ‘ดอกไม้ไฟ’ ที่ย้อมท้องฟ้าให้กลายเป็นสีแดงฉาน
ในตอนที่ฟอร์สสวดวิงวอนถึงตน ไคลน์บังเอิญอยู่บนวังสายหมอกเพื่อจับตามองพฤติกรรมของโจนาส·โคลเกอร์อยู่พอดี จึงเสกไพ่นักบวชสีชาดและผสานเข้ากับกระดาษคนตัวแทน ส่งอ้อมกอดเทวทูตลงไปหาสองสาว
ระหว่างนั้น มันพบว่าคนที่กำลังนอนอยู่ข้างๆ มิสเมจิกเชี่ยนและมิสจัดจ์เมนต์คือไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่มันต้องการสอบสวน แม้จะไม่ได้บาดหมางเป็นการส่วนตัว แต่ก็พอจะทราบว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา หลังจากที่ทราบว่าแม่มดทริสซี่กำลังหมายตาชายคนนี้ ไคลน์พยายามจดจำใบหน้าและลักษณะเด่นของอีกฝ่ายในงานเลี้ยงเต้นรำ
ไคลน์ย่อมไม่ทราบว่าสองสาวของชุมนุมทาโรต์คิดจะทำอะไร แต่เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด มันจะไม่ละเลยความสำคัญเด็ดขาด จึงเฝ้าจับตามองผ่านดาวแดงที่เกี่ยวข้อง สังเกตความเคลื่อนไหวถัดไปของมิสเมจิกเชี่ยนและมิสจัดจ์เมนต์
หลังจากเลื่อนลำดับเป็นครึ่งเทพ หลังจากได้รับอำนาจบนมิติหมอกมากขึ้น โดยไม่ต้องรอให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์สวดวิงวอนมาก่อน ไคลน์สามารถจับตามองพฤติกรรมของอีกฝ่ายผ่านดาวแดงของแต่ละคน ช่วยให้มองเห็นบริเวณใกล้เคียง คล้ายกับการ ‘มอง’ ผ่านจุดแสงของสาวกที่สวดวิงวอนหรือทำเครื่องหมาย อย่างไรก็ตาม ไคลน์ระงับความคิดที่จะทดสอบมาตลอด
ด้วยความสามารถดังกล่าว ชายหนุ่มจึงได้ยินบทสนทนาระหว่างซิลและไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด
และเนื่องจากเป็นคนที่เข้าใจเรื่องราวมากถึงระดับหนึ่ง ไคลน์จึงไม่ประหลาดใจกับคำถามที่ว่า ‘มันจงรักภักดีกับใคร’ และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ
เมื่อผนวกกับเรื่องที่เมสัน·เดียร์ อดีตหัวหน้าองครักษ์หลวงที่ล่วงรู้ความลับของกษัตริย์ ชายผู้พยายามแจ้งให้สามโบสถ์หลักทราบแต่ล้มเหลวและถูกสังหาร ไคลน์สรุปข้อมูลเบื้องต้นได้ทันที:
มันสงสัยว่า ตัวการที่ใหญ่ที่สุดเบื้องหลังโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ แท้จริงแล้วไม่ใช่ใครอื่นนอกจากกษัตริย์แห่งอาณาจักรโลเอ็น พระเจ้าจอร์จที่สาม!
ราชันเร้นลับ 1024 : ทักษะแบบดั้งเดิม
เหนือสายหมอกสีเทา ภายในพระราชวังโอ่อ่า ไคลน์ที่กำลังถือคทาเทพสมุทร จ้องไปที่ไพ่จักรพรรดิมืดและทรราชบนโต๊ะตรงหน้า แววตาค่อนข้างเคร่งขรึม
แม้คำตอบของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดจะช่วยให้พิสูจน์ได้ว่า พระเจ้าจอร์จที่สามมีความลับที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ และน่าจะเป็นตัวการสำคัญในโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ แต่ก็มิอาจฟันธงได้ว่ามันคือผู้ที่กุมอำนาจเหนือเรื่องราวทั้งหมด ผู้บงการที่แท้จริงอาจเป็นคนอื่น โดยพระเจ้าจอร์จที่สามเป็นเพียงหุ่นเชิด แต่สำหรับไคลน์ เท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว เป้าหมายของมันเริ่มชัดเจนว่าต้องตรวจสอบใคร และอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใดกันแน่
เมื่อเห็นว่ามิสเมจิกเชี่ยนและมิสจัดจ์เมนต์อยู่ห่างจากจุดที่เกิดความวุ่นวาย สามารถยืนยันความปลอดภัยได้ส่วนหนึ่ง ไคลน์ถอนสายตากลับและหันมาสนใจเรื่องเดิมของตน เฝ้าจับตามองการกระทำของรองผอ. MI9 โจนาส·โคลเกอร์
ผ่านไปสักพัก หลังจากสร้างอาณาเขตเสร็จและยืนยันว่าไม่มีใครไล่ตามมา โจนาส·โคลเกอร์เดินไปที่กำแพงริมภูเขา หยิบสิ่งหนึ่งออก
ร่างกายของมันถูกฉาบด้วยแสงสีฟ้าสว่างทันที ค่อยๆ เลือนรางและพร่ามัว
ถัดมา มันหายไปกับความว่างเปล่า ไม่มีใครทราบว่าไปไหน
เป็นรูปแบบของพลัง ‘เทเลพอร์ต’ ที่พิเศษกว่าปรกติ สามารถกระทำผ่านพิธีกรรมหรือวัตถุบางชนิด ผลลัพธ์คือการเทเลพอร์ตระหว่างสองจุดที่ไม่ห่างกันมากนัก… ในตอนที่หนีออกจากซากปรักหักพังใต้ดินซึ่งอินซ์·แซงวิลล์แอบเข้าไปกระทำบางสิ่ง เราเคยผ่าน ‘ประตู’ ที่คล้ายคลึงกัน… อา… แถวนี้อยู่ไม่ไกลจากภูเขาที่มิสเตอร์ A ไล่ฆ่าเรา…
การใช้วิธีผ่านเข้าออกแบบนี้จำเป็นต้องมีพื้นที่ที่ลับสุดยอด และหากไม่ได้รับอนุญาตจากภายใน การฝืนเปิดจากภายนอกจะไม่มีวันสำเร็จ และเมื่อเห็นท่าไม่ดี การทำลายพิธีกรรมสำหรับผ่านเข้าออก ยังช่วยป้องกันไม่ให้ศัตรูบุกรุกได้ง่ายนัก จำเป็นต้องค้นหาสถานที่เฉพาะเจาะจง… ไคลน์พยักหน้ากับตัวเอง
เมื่อผนวกเข้ากับ ‘คำสารภาพ’ ของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด ไคลน์เชื่อว่าความลับของกษัตริย์จะต้องถูกซ่อนอยู่ใต้ซากปรักหักพัง หากสามารถลอบแทรกซึมเข้าไปได้และตรวจสอบอย่างละเอียด มีความเป็นไปได้สูงที่จะค้นพบความจริงของเรื่องนี้
แต่ยิ่งครุ่นคิด มันก็ยิ่งพบว่านี่เป็นงานสืบสวนที่ยากมาก เนื่องจากอันดับแรก มันต้องมีวัตถุสำหรับผ่านเข้าออกแบบเดียวกันเสียก่อน เพื่อที่จะได้ใช้พลังของผู้ไร้หน้าปลอมตัวหลอกลวงคนคุ้มกันและเทเลพอร์ตเข้าไป ไม่ว่าจะมองมุมใดก็ไม่ใช่งานง่าย
จากคำบอกเล่าของ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดส ไม่เพียงโจนาส·โคลเกอร์จะเป็นครึ่งเทพของเส้นทางจักรพรรดิมืด แต่มันยังพกพาสมบัติปิดผนึกที่ทรงพลังไว้กับตัวด้วย
แม้ว่าไคลน์จะเตรียมตัวเป็นอย่างดีและมีความช่วยเหลือจากเทวทูต แต่การปลิดชีพรองผอ. แห่ง MI9 ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น จึงไม่ต้องพูดถึงความพยายามในการลอบสังหาร และเหนือสิ่งอื่นใด เทวทูตแต่ละตนก็มีปัญหาของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องไปเสียทุกเรื่อง
หรือต่อให้จัดการโจนาส·โคลเกอร์สำเร็จ ยังคงมีอันตรายอื่นให้ต้องคำนึงถึง… จากประสบการณ์ในอดีตพวกมันคงเตรียมวิธีรับมือกับการบุกรุกของผู้ไร้หน้าไว้แล้ว… เป็นถึงแผนการใหญ่ที่รวมกันระหว่างกษัตริย์ สมาคมแปรจิต และนิกายแม่มด ต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่นอน มีโอกาสสูงมากที่ใต้ซากอาคารใต้ดินจะมีเทวทูตคอยเฝ้า… ไคลน์ขมวดคิ้ว พบว่าตนยังไม่มีวิธีสืบสวนขยายผลที่มีประสิทธิภาพ
ระหว่างเคาะนิ้วลงบนโต๊ะทองแดงยาว ชายหนุ่มตัดสินใจหลุดจากกรอบความคิดเมื่อครู่ เปลี่ยนมุมมองในการวิเคราะห์
ผ่านไปสักพัก มันผุดไอเดียหนึ่ง
แล้วทำไมเราถึงต้องทำทุกขั้นตอนด้วยตัวเอง?
ความลับและแผนการของกษัตริย์โลเอ็น มีความเป็นไปได้มากว่าจะขัดแย้งกับเจตจำนงของโบสถ์วายุสลาตัน รัตติกาล และจักรกลไอน้ำ ไม่อย่างนั้น เมสัน·เดียร์ อดีตหัวหน้าราชองครักษ์ คงไม่พยายามนำความลับไปแจ้งกับโบสถ์หลักทั้งสาม… ในฐานะข้ารับใช้ของเทพธิดารัตติกาล… อย่างน้อยก็ในตอนนี้… ทางเรามีตัวเลือกที่น่าสนใจอยู่ไม่ใช่หรือ?
และนี่อาจเป็นวิธีสะสมคะแนนผลงานเพื่อแลกเปลี่ยนกับสูตรโอสถ ‘ปราชญ์โบราณ’ ในอนาคต!
ไคลน์วาดแผนการอย่างชัดเจนได้ทันที เพียงไม่นานก็ส่งตัวเองลงจากมิติหมอก กลับมายังโลกความจริง
เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่สวมชุดนอนลายตารางหมากรุกสีน้ำเงินสลับขาว ทำการประสานมือและสวดวิงวอนเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“เทพธิดารัตติกาลผู้สูงส่งยิ่งกว่าดวงดารา ผู้ยืนยาวยิ่งกว่านิรันดร์ พระองค์ผู้เป็นสตรีสีชาด มารดาแห่งความลับ จักรพรรดินีแห่งเคราะห์กรรม และนายหญิงแห่งความสุขสงบ…”
สำหรับคราวนี้ ไคลน์มิได้ประกอบพิธีกรรมใด เพราะไม่ได้สังเวยหรือรอการตอบสนอง เพียงอธิบายคำสารภาพของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดและพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ ของโจนาส·โคลเกอร์ จึงทำเพียงสวดวิงวอนอย่างเรียบง่าย
สวดเสร็จ ไคลน์ถอนหายใจยาว ยืนซ่อนอยู่ในป่าไม้และภูเขาที่ห่างไกล รอคอยอย่างอดทนเผื่อว่าจะได้พบความคืบหน้า
ผ่านไปเพียงสิบนาที ร่างหนึ่งถูกวาดขึ้นตรงหน้า ราวกับภาพวาดที่เป็นรูปเป็นร่างในคราวเดียว
ผู้มาเยือนสวมชุดคลุมเรียบง่าย สวมเข็มขัดเปลือกไม้ เส้นผมยาวสลวยปล่อยตามธรรมชาติ ฝ่าเท้าเปลือยเปล่า ดวงตาแฝงความมืดมิดและเงียบสงบ ไม่ใช่ใครนอกจากผู้นำสูงสุดแห่งสิบสามอาร์ชบิชอป หัวหน้าคณะนักบวช ‘บริวารอำพราง’ อาเรียนน่า
“สายัณห์สวัสดิ์ มาดามอาเรียนน่า” ไคลน์ทำความเคารพโดยไม่เผยสีหน้าประหลาดใจ
อาเรียนน่าชำเลืองเล็กน้อย ตอบกลับในทำนองเดียวกัน
“สายัณห์สวัสดิ์”
เธอมิได้ชวนคุยตามมารยาท ถามเข้าประเด็นทันที
“โจนาส·โคลเกอร์อยู่แถวนี้ใช่ไหม?”
“ใช่ครับ ห่างออกไปทางนั้นไม่ถึงสิบกิโลเมตร” ไคลน์ชี้นิ้วบอกทิศ “เขาใช้วัตถุชิ้นหนึ่งและหายตัวไปจากตำแหน่งเดิม ผมควรทำยังไงต่อ?”
อาเรียนน่าผงกศีรษะรับ ตามด้วยกล่าว
“รอให้เจ้านั่นออกมา จากนั้นก็ลงมือจับกุม”
ม…ไม่บุ่มบ่ามไปหน่อยหรือ? ทั้งที่เป็นคน… ไม่สิ เป็นเทวทูตที่ถูกสงบเสงี่ยมและเรียบง่าย สงวนกิริยาและสง่างาม แต่ทำไมถึงใช้วิธีป่าเถื่อนนัก? ถ้าเกิดผลออกมาว่า โจนาส·โคลเกอร์มิได้ไปเยือนซากปรักหักพังดังกล่าว แต่เป็นฐานลับอย่างอื่นแทน หรือไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องลึกซึ้งกับแผนการของกษัตริย์โลเอ็น การที่อาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์รัตติกาลลงมือกับบุคคลระดับสูงของ MI9 เรื่องนี้ต้องกลายเป็นขาวใหญ่แน่ และรอยร้าวภายในอาณาจักรจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น! ไคลน์ตอบสนองอาเรียนน่าไม่ถูกไปสักพัก
จริงอยู่ ไคลน์มีเหตุผลมากพอที่จะฆ่าโจนาส·โคลเกอร์ โดยเฉพาะการมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าทาส แต่ปัญหาก็คือ การที่ครึ่งเทพขององค์กรลับลงมือกับคนของกองทัพ นั้นเป็นคนละเรื่องกับการที่อาร์ชบิชอปของโบสถ์หลักลงมือกับคนของกองทัพ!
คล้ายกับอ่านความคิดไคลน์ออก อาเรียนน่าอธิบายอย่างสุขุม
“ผู้ที่จะลงมือคือเจ้า ไม่ใช่ข้า”
“…” ไคลน์ค่อนข้างกระอักกระอ่วนกับ ‘สไตล์’ ของเธอ
อาเรียนน่าพูดต่อ
“ข้าจะสร้างโลกแห่งความลับขึ้น และคอยสนับสนุนในสิ่งที่จำเป็น”
ต่อสู้ในโลกแห่งความลับ… โดยมีเทวทูตคอยสนับสนุน? ไคลน์พยักหน้าไตร่ตรอง
“แล้วจะให้ซุ่มโจมตีที่ไหน?”
อาเรียนน่าตอบห้วน
“ในคฤหาสน์เพลงกุหลาบของเจ้า”
ก็คิดจะทำแบบนั้นเหมือนกัน… แค่ไม่อยากพูดออกมาเอง… ไคลน์ถอนหายใจยาว
หลักในการเลือกสังเวียนซุ่มโจมตีนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน แค่ต้องลงมือในตอนที่โจนาส·โคลเกอร์รู้สึกผ่อนคลายและไร้การป้องกันตัวมากที่สุด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทันทีที่อีกฝ่ายทำภารกิจสำเร็จและกลับไปพักผ่อนในคฤหาสน์ มันจะต้องคิดว่าความยากลำบากของวันนี้จบลงแล้ว ส่งผลให้ความหวาดระแวงบรรเทาลงจากเดิมมาก!
ในทำนองเดียวกัน หากความลับและแผนการของกษัตริย์คือเรื่องที่สำคัญมาก ระหว่างที่โจนาส·โคลเกอร์เดินทางกลับจากซากปรักหักพังใต้ดิน อาจมีเทวทูตคอยจับตามองเพื่อให้ความคุ้มครองอย่างลับๆ การโจมตีในช่วงเวลาดังกล่าวจะเท่ากับฆ่าตัวตาย มีแต่ต้องรอให้โจนาส·โคลเกอร์กลับมาใช้ชีวิตตามปรกติ การเฝ้าระวังก็จะลดระดับลงจนหายไป เพราะเทวทูตไม่ใช่ตัวตนที่มีมากขนาดนั้น ไม่มีทางว่างผลัดเวรกันมาเฝ้าคนคนหนึ่งทั้งวัน
โชคดีที่เราเลือกสะกดรอยด้วยเทคนิคที่เงียบเชียบและตรวจสอบได้ยากที่สุด แถมยังทิ้งระยะห่างค่อนข้างไกล… หมายความว่า การที่มาดามอาเรียนน่ายกหน้าที่การต่อสู้ให้เรา ไม่ใช่เพราะท่านต้องการหลีกเลี่ยงอันตราย แต่การสร้างโลกแห่งความลับเพื่อปกปิดสายตาของเทวทูตในซากปรักหักพังใต้ดินนั้นกินพลังงานของท่านหลายส่วน… ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์เริ่มเข้าใจเรื่องราวภาพรวม
ทันใดนั้น อาเรียนน่าเสริมอีกหนึ่งประโยค
“การต่อสู้ในโลกแห่งความลับ จะไม่สร้างความเสียหายแก่โลกความจริง”
แบบนั้นก็เยี่ยมเลย… ไคลน์พึมพำในใจ ครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าว
“ถ้าอย่างนั้น ผมต้องกลับไปเตรียมตัว”
“ตกลง” อาเรียนน่าตอบเสียงเรียบ
เธอมิได้ถามว่าต้องเตรียมการอะไร ทั้งที่เราเตรียมคำตอบไว้แล้วว่า: เปลี่ยนเสื้อผ้าครับ! ไคลน์รำพันจิกกัดตัวเอง พลางก้มมองชุดนอนลายตารางหมวกรุกสีขาวสลับฟ้า
ถุงมือซ้ายของมันกลายเป็นสีใส คนทั้งคนหายไปกับความว่างเปล่า
ภายในคฤหาสน์เพลงกุหลาบ ร่างของไคลน์โผล่ออกจากอากาศ ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์เช่นเดิม มันรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและสวมหมวกทรงสูง
ทันทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มดึงกระดาษเปล่าออกมาและเขียนด้วยนิ้วมือ
เปลวไฟเล็กๆ สีแดงสว่างจากปลายนิ้ว สร้างรอยไหม้เล็กๆ บนกระดาษโดยไม่เผาทำลาย
รอยไหม้ถูกลากเป็นเส้น เพียงไม่นานก็กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ซับซ้อน เกิดจากการประกอบกันระหว่างสัญลักษณ์ ‘ส่องความลับ’ และ ‘การปกปิด’
ทันทีที่สัญลักษณ์ถูกวาดเสร็จ ผิวกระจกบานใหญ่ในห้องเกิดการกระเพื่อมคล้ายผิวน้ำ
แสงสีเงินสว่างขึ้น เรียงตัวกันเป็นประโยค
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ อาโรเดส ข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์และแข็งแกร่งของท่าน พร้อมที่จะช่วยเหลือท่านแล้ว! นายท่านมีเรื่องจะถามข้าใช่ไหม?”
“ใช่” ไคลน์พยักหน้า มองออกไปนอกหน้าต่างและพูด “โจนาส·โคลเกอร์มีพลังระดับครึ่งเทพแบบใด และพกพาสมบัติปิดผนึกใดไว้กับตัว?”
อันที่จริง มันมีข้อมูลเหล่านี้อยู่บ้างแล้ว เพราะนับตั้งแต่กำหนดให้โจนาสเป็นหนึ่งในเป้าหมาย มันก็เริ่มสืบหาข้อมูลที่สอดคล้องกัน เพียงแต่อยากได้ยินจากปากอาโรเดสเพิ่มเติม เผื่อว่าจะพบประเด็นใหม่ที่ตนตกหล่นไป
บนผิวกระจกเงาที่สูงเท่าคน ตัวอักษรสีเงินบิดเบี้ยวและเรียงตัวเป็นข้อความใหม่
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ โจนาส·โคลเกอร์คือ ‘เคาต์แห่งการเสื่อมถอย’ เพื่อที่จะปกปิดพลังครึ่งเทพของตัวเอง เขาพกพาสมบัติปิดผนึกเส้นทาง ‘นักกฎหมาย’ เช่นเดียวกับตัวเอง แต่มีการผสมผสานเส้นทาง ‘ผู้ตัดสิน’ เข้าไปด้วยบางส่วน ชื่อของมันคือ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น