Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1015-1018

ราชันเร้นลับ 1015 : เสียงฝีเท้าของสงคราม

 

กรุงเบ็คลันด์ ณ บ้านของพ่อค้าเครื่องเรือน สตีเฟ่น·ฮันเพรส


เป็นอีกครั้งที่ออเดรย์ได้พบกับเฮอร์วิน·แรมบิส คณะกรรมการของสมาคมแปรจิต


ชายชรายังคงอ่อนโยนและสง่างาม ผมสีขาวดกหนาถูกหวีอย่างเรียบร้อย ดวงตาสีน้ำเงินเข้มอัดแน่นไปด้วยองค์ความรู้มหาศาล


ทันทีที่เห็นหน้าอีกฝ่าย ดวงตาของออเดรย์เผยความสับสนในตอนแรก แต่ไม่นานก็ตื่นจากภวังค์อันยาวนาน ฟื้นฟูความทรงจำที่หายไป


แต่เธอมิได้แปลกใจกับเรื่องนี้ ยอมรับความจริงแต่โดยดีและไม่ต่อต้าน ราวกับมันคือเรื่องปรกติ


“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์แรมบิส” ออเดรย์ทักทายตามมารยาทอันไร้ที่ติ


เฮอร์วินพยักหน้า ตอบด้วยรอยยิ้ม


“ทิวาสวัสดิ์ สาวน้อยของพวกเรา”


ในการนัดพบหลายครั้งตลอดเดือนที่ผ่านมา มันค่อยๆ ชี้นำว่าออเดรย์มีความสำคัญในระดับ ‘ความภาคภูมิใจของสมาคมแปรจิต’ และ ‘สาวน้อยคนสำคัญ’ ”


ออเดรย์ก้มมองเข็มกลัดบนหน้าอกเล็กน้อย ยิ้มและหาที่นั่ง รอให้เฮอร์วิน·แรมบิสเป็นฝ่ายเริ่มพูด


สำหรับการชี้นำทางจิต เธอเตรียมพร้อมทุกครั้งและไม่เคยได้รับผลกระทบ ดังนั้น ทุกทีที่ได้ยินเฮอร์วิน·แรมบิสเรียกตนว่าสาวน้อย ออเดรย์อยากจะละทิ้งมารยาททั้งหมดและกลอกตามองบน แต่ท้ายที่สุดก็ต้องอดทนไว้โดยไม่เผยอาการ


เฮอร์วิน·แรมบิสจ้องหน้าออเดรย์สักพัก ฉีกยิ้มกว้างขณะกล่าว


“พักหลังมานี้คุณทำได้ดีทีเดียว เพื่อเป็นรางวัล ทางเราตัดสินใจที่จะมอบสูตรโอสถให้คุณ”


กล่าวจบ มันหยิบกระดาษที่พับไว้ออกจากกระเป๋าเสื้อนอก วางบนโต๊ะกาแฟ ผลักให้สตรีขุนนางฝั่งตรงข้ามในแนวเฉียง


ออเดรย์จับชายกระโปรงพลางลุกขึ้นเล็กน้อย รับกระดาษแผ่นดังกล่าวมาคลี่อ่านต่อหน้าเฮอร์วิน·แรมบิส


สายตาของเธอจ้องไปยังวัตถุดิบหลักเป็นอันดับแรก ตามด้วยพิธีกรรม


“วัตถุดิบหลัก: หัวใจของนักล่าฝัน, ผลึกภูตจิต หรือ สมองที่สมบูรณ์ของมังกรจิตโตเต็มวัย”



“พิธีกรรม: ตามหากินรีโลกวิญญาณ ทำพันธสัญญากับมัน จากนั้นก็จับขนแพนหางไว้หนึ่งเส้น ดื่มโอสถท่ามกลางมวลอารมณ์โกรธหรือความสุขที่เข้มข้น”


คล้ายกับสัมผัสถึงความสงสัยจากออเดรย์ เฮอร์วิน·แรมบิสยิ้มและอธิบาย


“กินรีโลกวิญญาณสามารถสร้างฝันร้าย ช่วยให้ผู้คนตื่นจากความฝัน ดังนั้น จุดประสงค์สำคัญของพิธีกรรมก็คือ ท่ามกลางดินแดนความฝันที่มัวเมาจนยากจะตื่น คุณจำเป็นต้องถูกปลุกจากพลังภายนอก ไม่อย่างนั้นอาจต้องหลับไปตลอดกาล คลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาดคาที่”


ออเดรย์พยักหน้าครุ่นคิด


“เงื่อนไขที่ให้ดื่มโอสถด้วยอารมณ์เข้มข้น ทำเพื่อกระตุ้นไม่ให้ตัวเองหลับลึกจนเกินไปใช่ไหมคะ?”


“ถูกต้อง จับประเด็นได้เก่งมาก” เฮอร์วิน·แรมบิสยิ้มตอบ “หากคุณไม่ชำนาญโลกวิญญาณ ไม่มีความสามารถในการหากินรีโลกวิญญาณ ทางเราสามารถช่วยได้”


หากแก่นสำคัญของพิธีกรรมคือการปลุกตัวเองให้ตื่นจากความฝัน เราก็ไม่จำเป็นต้องตามหากินรีโลกวิญญาณ เพราะพรจากเทวทูตของมิสเตอร์ฟูลก็ให้ผลแบบเดียวกัน จะตื่นตอนไหนก็ได้ทั้งนั้น… ดวงตาออเดรย์หันไปหาอีกฝ่าย ซักถามด้วยอารมณ์คาดหวัง


“ดิฉันขอพยายามด้วยตัวเองก่อน”


“ตกลง” เฮอร์วินไม่สนใจนิสัยรักการผจญภัยของอีกฝ่ายมากนัก


มันเว้นวรรค ตามด้วยกล่าว


“คราวนี้ผมมีงานใหม่มาให้คุณทำ ถ้าผ่านไปด้วยดี เราจะช่วยจัดเตรียมวัตถุดิบทั้งหมดสำหรับปรุงโอสถนักท่องฝันให้”


“งานอะไรหรือคะ?” ออเดรย์ทำตัวตามปรกติ ซักถามอย่างด้วยความใคร่รู้


เฮอร์วิน·แรมบิสตอบด้วยสีหน้าขึงขัง


“หามาให้ได้ว่า เอิร์ลฮอลล์ ดยุคนีแกนคนปัจจุบัน พลเรือเอกอมิรุส และขุนนางใหญ่คนอื่นๆ มีทัศนคติอย่างไรกับสงครามที่ค่อนข้างใหญ่”


สงคราม… ออเดรย์ทวนซ้ำคำที่เคยได้ยินแต่ไม่บ่อย ภายในใจสัมผัสถึงระลอกคลื่นเล็กๆ ภายใต้ผิวทะเลสาบที่เงียบสงบ



สงคราม… เหนือมิติหมอกเทา ไคลน์ที่ฟังคำสวดวิงวอนของมิสจัสติส ตกอยู่ในภวังค์เป็นเวลานาน


มันมิอาจระบุได้ว่า สมาคมแปรจิต หรือชายชราเฮอร์มิส หรือกระทั่งอาดัมที่คอยบงการอยู่เบื้องหลัง มีท่าทีอย่างไรต่อสงคราม ต่อต้านหรือยินดี?


ในส่วนของกษัตริย์โลเอ็น นายกรัฐมนตรี ขุนนางใหญ่บางคน และสมาชิกสภา พวกมันมีทัศนคติเป็นเช่นไร คำตอบค่อนข้างชัดเจน


ในปีที่แล้ว แฮงแมนเคยถามมิสจัสติสในสิ่งที่คล้ายคลึงกัน และคำตอบของเธอก็คือ กษัตริย์และนายกรัฐมนตรีเอนเอียงไปทางการทำสงคราม แต่ตัดสินใจปฏิรูปอาณาจักรจากภายในก่อน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ในทุกด้าน


ปัจจุบัน ผ่านมาแล้วเกือบหนึ่งปี นโยบายต่างๆ ที่วางไว้ถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่องตามแผนงาน


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่จะเปิดฉากทำสงคราม ทวงคืนไบลัมตะวันออกที่กองทัพโลเอ็นเคยพ่ายแพ้!


ตอนนี้เป็นยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลง ความขัดแย้งระหว่างอาณาจักรเริ่มคุกรุ่น เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น มันจะรุนแรงและลุกลามจนยากจะควบคุม… นอกจากนั้น อาดัม อามุนด์ และราชาเทวทูตตนอื่นๆ เริ่มทยอยกลับมา บ้างได้รับวัตถุสำคัญ บ้างกำลังเล็งการเลื่อนลำดับ ทางด้านโลกของผู้วิเศษก็กำลังมีพายุก่อตัวขึ้นไม่น้อยหน้า… ไคลน์ถอนหายใจเล็กๆ ส่งตัวเองกลับโลกความจริง


วันถัดมา มันยังคงรักษากิจวัตร เดินทางไปยังวิหารนักบุญแซมมวลและบริจาคเงินหลายสิบปอนด์ จากนั้นก็เดินทางมายังอาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์ ตั้งใจจะเข้าร่วมกิจกรรมของ ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’


ทันทีที่ย่างกรายเข้าไปในตึก ไคลน์เห็นมิสออเดรย์·ฮอลล์กำลังเดินลงมาชั้นล่างพร้อมกับเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่ง ตรงมาทางประตูหน้า


สตรีตระกูลขุนนางใหญ่รายนี้แต่งตัวเรียบง่าย ผมเกล้ามวยธรรมดา ไม่สวมเครื่องประดับใดให้เห็น เดรสเป็นสีเขียวอ่อน มีเพียงข้อมือที่พองขึ้นเล็กน้อย แต่ปราศจากลายลูกไม้


“อรุณสวัสดิ์ มิสออเดรย์” ไคลน์ถอดหมวกออกตามมารยาท กล่าวทักทายและพยักหน้าให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคน


รอจนกระทั่งออเดรย์ตอบสนอง ไคลน์ถามเป็นกันเอง


“คุณกำลังจะไปไหน?”


มันทราบว่า งานหลักของมิสจัสติสคือการประสานงานและระดมทุนจากบรรดาตระกูลขุนนางใหญ่


ออเดรย์ตอบพลางยิ้ม


“เยี่ยมชมตามมหาวิทยาลัยต่างๆ คอยติดตามผลนักศึกษาที่เคยช่วยเหลือไป”


เล่าถึงตรงนี้ หญิงสาวกะพริบตา ฉีกยิ้มกว้างกว่าเก่า


“มิสเตอร์ดันเตส ไปด้วยกันไหมคะ? ไปดูความสำเร็จที่คุณสร้างขึ้น เป็นเพราะความใจกว้างและแนวคิดของคุณ ชะตาชีวิตของเด็กๆ เหล่านั้นจึงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี จริงสิ… บางคนก็โตเป็นหนุ่มสาวแล้ว”


แม้ว่าไคลน์จะไม่ได้หวังผลกำไรจากการก่อตั้งกองทุน แต่มันก็หวังจากก้นบึ้งว่าเงินทุนในส่วนนี้จะช่วยเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเด็กๆ ได้บางส่วน ดังนั้น มันเองก็สนใจความคืบหน้าและสถานการณ์ปัจจุบัน หลังจากลังเลเล็กน้อย มันยิ้มและพยักหน้า


“คำเชิญแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ลง”


ทุกคนเดินออกจากตัวอาคาร และตามคำแนะนำของมิสออเดรย์ พวกมันเดินทางด้วยรถม้าสาธารณะแบบไร้ราง


“ดูเหมือนว่า คุณจะเคยชินกับมันแล้วสินะครับ” เมื่อขึ้นมาบนรถ ไคลน์ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษโดยการให้มิสออเดรย์นั่งลงก่อน ส่วนตนนั่งลงฝั่งตรงข้ามพลางถามด้วยรอยยิ้ม


ออเดรย์หันไปมองเจ้าหน้าที่สองคนที่นั่งข้างๆ ก่อนจะตอบ


“ไม่ใช่ครั้งแรกค่ะ ฉันไม่ควรใช้รถม้าส่วนตัวเดินทางทุกครั้ง พวกเขาจึงพามาขึ้นระบบขนส่งสาธารณะ”


กล่าวจบ เธอชะงักเล็กน้อยด้วยใบหน้าเขินอาย


“ครั้งแรกที่ขึ้นรถแบบนี้ ดิฉันคิดจะจ่ายค่าโดยสารด้วยธนบัตรหนึ่งปอนด์ สุดท้ายก็ถูกคนเก็บเงินไล่ไปแลกเศษเหรียญกับเด็กส่งหนังสือพิมพ์… แต่มันสะอาดกว่าที่ฉันคิด อากาศก็ไม่ได้เลวร้ายนัก”


ไคลน์พยักหน้ารับ ช่วยเสริม


“เพราะถ้าเป็นคนที่ยากจนจริงๆ แม้แต่รถแบบนี้พวกเขาก็ไม่มีกำลังทรัพย์มากพอจะโดยสาร ส่วนใหญ่เลือกที่จะเดิน และในสถานการณ์ปรกติ พวกเขาไม่ค่อยต้องไปไหนไกลนัก”


“มิสเตอร์ดันเตส คุณคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้หรือ?” ออเดรย์มีคำตอบในใจอยู่แล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น เธอถามตามมารยาท


ไคลน์ยิ้มและตอบ


“ถึงจะไม่เคยประสบกับตัวเอง แต่ก็ได้เห็นในระยะใกล้ชิดมานับไม่ถ้วน”


ออเดรย์ไม่สานต่อหัวข้อ เปลี่ยนไปคุยเกี่ยวกับรายชื่อนักศึกษาที่เคยได้รับทุนและกำลังจะไปตรวจสอบความเป็นอยู่


ขณะสนทนา ทุกคนมาถึงสถานที่แรกที่ต้องเยี่ยมชม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเบ็คลันด์


ด้วยชาติตระกูลของออเดรย์และสถานะทางสังคมของดอน·ดันเตส พวกมันได้เข้าพบอธิการบดีของมหาวิทยาลัยใหม่ ชายคนนี้อาศัยในบ้านเลขที่ 100 ถนนเบิร์คลุน พอร์ตแลน·โมมงต์


ชายชรามีรูปร่างสูงและกำยำ ผิวแดงก่ำ เสียงดังโผงผาง ไม่ว่าจะเป็นการคุยกับเพื่อนบ้านอย่างดอน·ดันเตส หรือมิสออเดรย์ผู้สูงศักดิ์ มันมักจะแวะไปจิกกัดคณะกรรมการอุดมศึกษาเสมอ


ออเดรย์และไคลน์นั่งฟังอย่างยิ้มแย้มสงวนกิริยา ตอบสนองเป็นครั้งคราว


ในที่สุด พวกมันสบโอกาส ขอตัวไปทำงาน


ขณะพอร์ตแลนเตรียมเรียกเลขานุการส่วนตัว ใครบางคนเคาะประตูห้องทำงาน


“เชิญเข้ามาได้” อธิการบดีขานตอบเสียงดัง


ประตูถูกเปิดออกอย่างเงียบเชียบ ด้านหลังประตูเป็นสตรีผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล เธอไม่แต่งตัว ใบหน้าค่อนข้างซูบแต่ดูดี อายุราวสิบเจ็ดสิบแปด


สายตาไคลน์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะกลับเป็นปรกติในทันที


เด็กสาวคนดังกล่าวคาดไม่ถึงว่าในห้องทำงานของอธิการบดีจะมีแขก จึงรีบก้มหัวลงด้วยความประหม่าพลางกล่าว


“ขอโทษค่ะ”


“ไม่เป็นไร พวกเขากำลังจะออกไปพอดี” พอร์ตแลนตอบเสียงเรียบ “งานที่มอบหมายไปเมื่อสัปดาห์ก่อนเสร็จหรือยัง?”


“เสร็จแล้วค่ะ” เด็กสาวเดินผ่านประตูห้องและหยุดยืนข้างๆ โต๊ะทำงาน


พอร์ตแลน·โมมงต์ยิ้มให้ดอน·ดันเตสและออเดรย์


“เธอชื่อเมลิสซ่า·โมเร็ตติ เก่งกลศาสตร์มาก ผมพบเข้าโดยบังเอิญ จึงให้เธอมาช่วยงานในห้องวิจัยหลังเลิกเรียน แน่นอนว่าตอนนี้ทำได้แต่งานจิปาถะ”


“อนาคตไกลแน่” ไคลน์เงยหน้า กล่าวชมเชยด้วยรอยยิ้ม


ออเดรย์ชำเลืองชายหนุ่ม ยิ้มและกล่าว


“เหล่าบุรุษมักกล่าวอย่างหยิ่งผยองว่าสตรีไม่มีพรสวรรค์ด้านเครื่องจักร เด็กคนนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาคิดผิด”


พอร์ตแลนยิ้มพลางส่ายหน้า


“คำพูดไร้ราคาเหล่านั้น คุณหนูอย่าได้ใส่ใจนักเลย… เอาล่ะ… เดี๋ยวผมจะให้เลขานุการช่วยนำทางคุณไปหานักศึกษาที่ได้รับทุน”


ออเดรย์และไคลน์ไม่มัวแช่อยู่นาน รีบออกจากห้องทำงานทันที


เมื่อทั้งสองเดินพ้นกรอบประตู ออเดรย์ชำเลืองดอน·ดันเตสด้วยหางตา แต่มิได้กล่าวคำใด

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1016 : ข่าวจากนิกายวิญญาณ

 

บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน คฤหาสน์ของดอน·ดันเตส


ไคลน์ยืนริมหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน เฝ้ามองสายฝนที่โปรยปรายมาตามสายลม ตกกระทบพื้นและหน้าต่าง


นับตั้งแต่เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง กรุงเบ็คลันด์เริ่มมีฝนตกอีกครั้ง สร้างบรรยากาศหนาวเย็นและชื้น


ไคลน์ไม่ขยับตัวเป็นเวลานาน เอาแต่เฝ้ามองฉากสายฝนพรำอย่างเหม่อลอย


จนกระทั่งสัมผัสวิญญาณถูกกระตุ้น มันระงับความคิดที่กำลังพรั่งพรูราวกับละอองฝน หันไปมองข้างๆ


สี่หัวสีทองตาสีแดง ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เดินออกจากความว่างเปล่า


“จากใคร?” ไคลน์ถามมิสผู้ส่งสาร


จดหมายฉบับล่าสุดที่มันได้รับเป็นของชารอน อีกฝ่ายแจ้งว่า พิธีกรรมเลื่อนลำดับประสบความสำเร็จอย่างราบรื่น กลายเป็น ‘หุ่นกระบอก’ ลำดับ 4 แห่งเส้นทางนักโทษสำเร็จ


ไคลน์แสดงความยินดีเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ขอโทษและแจ้งว่า ตนไม่มีความจำเป็นต้องไปเยือนเมืองกัลเดรอนอีกสักพัก


แน่นอน มันกล่าวเสริมไปว่า ที่นั่นมีความลับมากมายซ่อนอยู่ อาจเกี่ยวข้องกับตนและต้องไปเยือนในสักวัน เมื่อถึงตอนนั้น หากชารอนยินดี มันก็ไม่เกี่ยงที่จะขอความช่วยเหลือ


สำหรับไคลน์ ในแง่หนึ่ง มันอาจต้องไปตามล่าวัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถที่นั่น ในอีกแง่หนึ่ง มันมองว่าเมืองวิเศษแห่งนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเทพมรณาบรรพกาล ‘ต้นตระกูลฟีนิกซ์’ เกรจารี อาจมีวิธีการรักษาภาวะ ‘ดวงวิญญาณไม่สมบูรณ์’ ของมิสเตอร์อะซิก แม้ว่ากงสุลมรณะรายนี้จะหมดสิทธิ์เลื่อนลำดับแล้ว แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ต้องทุกข์ทรมานจากภาวะความจำเสื่อมหนแล้วหนเล่า


แน่นอน สำหรับปัญหานี้ ไคลน์เตรียมแผนไว้แล้ว นั่นคือการรอให้ตัวเองพัฒนาไปเป็น ‘ปราชญ์โบราณ’ ลำดับ 3 แห่งเส้นทางนักทำนาย จากนั้นก็สร้างยันต์ ‘วันวานอีกครั้ง’ ให้มิสเตอร์อะซิก หรือใช้พลังตรงๆ เพื่อให้อีกฝ่ายฟืนคืนจากภาวะความจำเสื่อมทันที


ขณะไคลน์รับจดหมาย ศีรษะทั้งสามของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์พูดเรียงกัน


“อมรณา…” “ปัญญา…” “นิ่ม…”


แพทริค·เบรนแห่งนิกายวิญญาณฝ่ายมรณาเทียม… ไคลน์เข้าใจทันทีว่ามิสผู้ส่งสารหมายถึงใคร เพราะตลอดสองเดือนที่ผ่านมา แพทริค·เบรนเขียนจดหมายหาตนบ่อยที่สุด มีทั้งการรายงานเรื่องสำคัญและขอคำแนะนำ


หลังจากผ่านไปหลายครั้ง ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เริ่มตั้งฉายา


เมื่อก่อนมิสผู้ส่งสารไม่เคยมีงานอดิเรกแบบนี้… เริ่มตั้งแต่ตอนไหนกันนะ… คนที่เขียนถึงเราบ่อยๆ ส่วนใหญ่ได้รับฉายากันหมด ยกเว้นชารอน… ไคลน์พึมพำ คลี่จดหมายออกและอ่านรวดเร็ว


ภายในจดหมาย แพทริค·เบรนเล่าว่า คำสั่งจากทวีปใต้ในคราวนี้มิได้ให้มันพยายามปลุกเทพมรณาเหมือนทุกครั้ง แต่เป็นการเตรียมพิธีกรรมพิเศษเพื่อช่วยเหลือเทวทูตในขอบเขตความตายที่กำลังหมกตัวอยู่ในอนุสาวรีย์บรรจุศพ ผู้นำนิกายวิญญาณฝ่ายมรณาเทียม ไฮเทล ให้สามารถเดินทางออกจาก ‘ดินแดนที่ถูกปิดผนึก’ ได้ในระยะเวลาสั้นๆ


หากมองเพียงผิวเผิน คำสั่งดังกล่าวอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่ดูกะทันหันไปสักนิด แต่ไคลน์กลับสังเกตเห็นความผิดปรกติ


พวกนิกายวิญญาณฝ่ายมรณาเทียมมักสั่งให้แพทริครวบรวมวัตถุดิบและประกอบพิธีกรรมเสี่ยงๆ เพื่อปลุกเทพมรณาหลายครั้ง เราจึงแนะนำให้เขาโกหกไปว่า การรวบรวมวัสดุไม่คืบหน้า รวมถึงพิธีกรรมประสบความล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง ส่งผลให้ทางนั้นเริ่มสงสัยว่าแพทริคมีปัญหา? ไคลน์พยักหน้าไตร่ตรอง


มันสงสัยว่า อีกฝ่ายอาจกำลังทดสอบแพทริค – ทดสอบด้วยการประกอบพิธีกรรมถึงเทวทูตโดยตรง!


และขอบเขตการตอบสนองของเทวทูตคือโลกทั้งใบ


อา… ขอแค่พวกมันไม่ฉุกคิดถึงความผิดปรกติของมรณาเทียมก็พอ… ใครจะไปรู้ สำหรับองค์กรที่ได้รับมรดกจำนวนมากจากจักรวรรดิไบลัม พวกมันอาจมีวิธีรบกวนขั้นตอนการฮุบกลืน ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางมรณาของเทพธิดา ไม่ปล่อยให้พระองค์ได้ประโยชน์… ไคลน์วิเคราะห์สักพักก่อนจะโล่งใจ


สำหรับบททดสอบของเทวทูตในขอบเขตความตาย ชายหนุ่มไม่มองว่าเป็นปัญหาใหญ่ เพราะเดอะฟูลสามารถระดมพลังของมิติหมอกในระดับที่ใกล้เคียงกันได้ สามารถรบกวนผลของพิธีกรรมด้วย ‘อ้อมกอดเทวทูต’ ตราบใดที่หัวหน้าใหญ่อย่างไฮเทลมิได้ ‘เสด็จเยือน’ ด้วยตัวเอง เพียงส่งอิทธิพลจากระยะไกล มันสามารถตบตาอีกฝ่ายได้อย่างแนบเนียน


คิดถึงตรงนี้ ไคลน์สะบัดข้อมือและเผาจดหมายของแพทริคด้วยเปลวไฟสีแดง เดินกลับไปยังโต๊ะอ่านหนังสือ หยิบปากกาและกระดาษออกมาตวัดเขียน


“ทำตามที่อาจารย์ของคุณสั่ง แต่ก่อนจะเริ่มพิธีกรรม อย่าลืมรายงานให้ผมทราบและรอการอนุญาต”


เนื่องจากมันตอบกลับทันที แพทริค·เบรนคงยังไม่ออกจากตำแหน่งเดิม ไคลน์จึงไม่ได้อัญเชิญผู้ส่งสารของอีกฝ่าย แต่ฝากไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์กลับไปส่งแทน



ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ซิลสวมเสื้อกันฝนธรรมดา ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด จ้องประตูรั้วคฤหาสน์ของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด


ปัจจุบันยังไม่ตกเย็นด้วยซ้ำ แต่โคมไฟถนนส่องสว่างแล้ว แสงทรงกลดหลายจุดสว่างท่ามกลางสายฝน


ผ่านไปสักพัก รถม้าเช่าคันหนึ่งแล่นมาจอด หยุดลงตรงหน้าประตูฝั่งด้านข้างที่ห่างออกไปไกล


บุรุษรับใช้ของไวเคาต์ที่ซ่อนตัวอยู่ในร่ม กระโดดออกมาพร้อมกับกางร่ม


มันคอยอำนวยความสะดวกให้สตรีสวมเสื้อคลุมที่ลงจากรถม้า ผ่านเข้าไปในประตูด้านข้างของคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว ส่วนรถม้าเช่ายังคงจอดในตำแหน่งเดิมประหนึ่งรอรับกลับ ราวกับว่าถูกจ่ายด้วยเงินก้อนโต


ซิลยังคงไม่เห็นหน้าของสตรีคนดังกล่าว แต่ถึงอย่างนั้นก็มิได้เสียกำลังใจ รอคอยอย่างอดทนท่ามกลางสายฝนอันหนาวเหน็บ ดูคล้ายกับรูปปั้นไม่มีผิด


เธอตั้งใจรอให้อีกฝ่ายกลับออกมา จากนั้นค่อยเริ่มสะกดรอย


นี่เป็นทั้งโอกาสที่จะได้รับสูตรโอสถ ‘ผู้พิพากษา’ และจุดประสงค์หลักของการมาที่เบ็คลันด์ – สืบหาความจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของบิดา!


เป็นเพราะมีแรงจูงใจส่วนตัว ซิลจึงยืนกรานที่จะสะกดรอยไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดจวบจนปัจจุบัน สำหรับสายข่าวคนอื่นๆ ของ MI9 แทบไม่เคลื่อนไหวเลยตลอดหลายเดือนหลัง บางคนปิดภารกิจไปแล้ว แม้กระทั่งชายสวมหน้ากากสีทองที่เป็นคนจ้างซิล ก็ยังไม่ได้ถามถึงความคืบหน้าของภารกิจนี้มาหลายสัปดาห์ เห็นได้ชัดว่าถูกลดระดับความสำคัญ


ภายในห้องนอนของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด เด็กสาวผมสีน้ำตาลใบหน้าสะสวย สวมชุดนอนผ้าไหม กำลังนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งและหยิบจับผลิตภัณฑ์ความงามราคาแพง ประหนึ่งได้พบกับขุมสมบัติ


ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด ชายวัยกลางคนที่อยู่ในชุดนอนชาย เดินตามหลังสตรีผมเปียก ยิ้มให้เธอในกระจกพร้อมกับกล่าว


“เชอร์มาเน่ ไม่จำเป็นของมีพวกมัน คุณก็งดงามในตัวเองอยู่แล้ว”


“นี่เป็นสัญชาตญาณของสตรี” หญิงสาวที่ชื่อเชอร์มาเน่ยิ้มพลางยกแขน จับฝ่ามือของไวเคาต์โอบไหล่ของตนในฝั่งตรงข้าม


ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดยิ้มอ่อนโยน


“ในตอนที่คุณเล่นกับพวกมัน ผมสัมผัสได้ถึงความไร้เดียงสา… หึหึ… คุณทำให้ผมย้อนนึกถึงความทรงจำเก่าๆ สมัยอายุสิบเจ็ดสิบแปด”


โดยไม่รอคำตอบจากเชอร์มาเน่ มันพึมพำกับตัวเอง


“ภรรยาของผมเสียไปหลายปีแล้ว เคยคิดว่าจะใช้ชีวิตเช่นนี้ไปจนกว่าพระองค์จะมารับตัว ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่ง ผมจะได้เจอนางฟ้าแบบคุณ ไว้รอให้ความตึงเครียดที่สั่งสมอยู่ภายในเบ็คลันด์ถูกปลดปล่อยเสียก่อน ถึงตอนนั้น ผมจะมองหาโอกาสแต่งงานกับคุณในวิหารอย่างยิ่งใหญ่”


“แต่งงาน… คุณต้องการแต่งงานกับฉัน?” เชอร์มาเน่ผงะเล็กน้อย ถามอย่างไม่เชื่อหู


ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดยิ้มและพูด


“การได้พบคุณถือเป็นของขวัญจากพระองค์ แม้ว่าชาติตระกูลของคุณจะยังสูงส่งไม่พอ แต่ผมเองก็เคยผ่านการสมรสแล้ว ประเด็นดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องเคร่งครัด อา… และแน่นอน ผมจะหาวิธียกระดับชาติตระกูลให้คุณ เอาแบบนี้เป็นไง… หาพ่อค้าที่ร่ำรวยสักคนมารับคุณเป็นลูกสาวนอกสมรส”


มันสาธยายเกี่ยวกับแผนการในอนาคตอย่างละเอียด จนกระทั่งเห็นว่าดวงตาของเชอร์มาเน่ในกระจกเริ่มพร่ามัว


“สิ่งสำคัญที่ผมมองเห็นในตัวคุณก็คือ คุณดีกับผมมากกว่าที่ผมดีกับคุณนับสิบเท่า… คุณปิดบังผมไม่ได้หรอก” ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดยิ้มและโน้มตัวลง จุมพิตหน้าผากของเชอร์มาเน่


เชอร์มาเน่ขยับปาก ดูไม่ออกว่ากำลังหัวเราะหรือร้องไห้


จนกระทั่งสายฝนหยุดลง ตกกลางดึก ในที่สุดซิลก็เห็นสตรีสวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มเดินออกมาขึ้นรถม้า


หลังจากจดจำลักษณะเด่นของรถม้าเช่า ซิลสะกดรอยตามอยู่ห่างๆ อาศัยพลังพิเศษของ ‘เจ้าพนักงาน’ และความเปียกชื้นของถนนในยามค่ำคืน ไล่ตามเป้าหมายด้วยการเดินสลับวิ่ง


เธอตามตั้งแต่เขตราชินีไปจนถึงย่านสะพานเบ็คลันด์ เรี่ยวแรงของซิลเกือบจะหมดลง แต่โชคดีที่รถม้าถึงจุดหมายก่อน


ซิลรู้สึกสดชื่นทันที เปลี่ยนเป้าหมายจากรถม้าเช่าเป็นสตรีที่สวมเสื้อคลุมสีแดงเข้ม


ระหว่างนี้ เธอค่อนข้างประหลาดใจที่เป้าหมายมีทักษะต่อต้านการสะกดรอยค่อนข้างดี บ้างก็เดินอ้อมและวนเวียน บ้างก็ใช้อุปสรรคเพื่อกีดขวาง


อย่างไรก็ตาม ของแค่นี้ไม่สามารถสลัดซิลหลุด เธอเป็นถึงเจ้าพนักงานมากประสบการณ์ ย่อมทิ้งระยะห่างจากเป้าหมายค่อนข้างไกล


ขณะที่พบว่าอีกฝ่ายใกล้ถึงจุดหมาย วางแผนเตรียมเข้าประชิดตัว ซิลพลันได้กลิ่นที่หอมหวานและล่องลอย


ท่ามกลางกลิ่นหอม ซิลรู้สึกสับสนจนปล่อยเป้าหมายหลุดมือไปโดยสมบูรณ์


จากนั้น กลิ่นหอมค่อยๆ จางหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่


รูม่านตาซิลขยายออกเล็กน้อย ไม่กล้าสำรวจต่อ


ภายในบ้านเช่า ทริสซี่เจ้าของใบหน้าอ่อนหวานและนุ่มนวลจนไม่ว่าใครก็ตามยากจะละสายตาออก จ้องหน้าเชอร์มาเน่ในกระจกและกล่าว


“อารมณ์ดีไม่เบา… ตัดสินใจได้รึยัง? ภารกิจสุดท้ายไม่ยากเกินกำลังใช่ไหม? หากจัดการเสร็จเมื่อใด เธอสามารถออกจากเบ็คลันด์และไปใช้ชีวิตที่ต้องการได้ทันที”


เชอร์มาเน่ผงะเล็กน้อย สีหน้าเผยอารมณ์ซับซ้อน เหม่อลอยสักพัก ประหนึ่งถูกปลุกให้ตื่นจากความฝันอันแสนหวาน


เธอมิได้หันกลับมา พะงาบริมฝีปากสักพักก่อนจะตอบ


“เขาบอกว่าอยากแต่งงานกับฉัน…”


ทริสซี่เลิกคิ้ว


“ในเวลาอย่างว่า ห้ามเชื่อคำพูดพวกผู้ชายเด็ดขาด ฉันคิดว่าเธอน่าจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร… ถ้าเขาอยากแต่งงานกับเธอ เขาจะไม่ป้องกัน และแสดงท่าทีอยากมีลูกอย่างชัดเจน… หึหึ… แล้วเขาได้ทำแบบนั้นไหม?”


ได้ยินคำถาม สีหน้าเชอร์มาเน่หม่นหมองลงเล็กน้อย


ทริสซี่ลุกขึ้น กล่าวพลางยิ้ม


“ฉันจะไม่ขัดขวางความรักของเธอ ถ้าต้องการเปลี่ยนเส้นตายของภารกิจนี้ให้เป็นชั่วชีวิต ก็ควรคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องทำในอนาคต”


กล่าวจบ หญิงสาวเดินไปที่ประตู ออกจากบ้านเช่า


ขณะเดินลงบันได ทริสซี่ก้มมองรองเท้าตัวเอง หัวเราะในลำคอพลางพึมพำจิกกัดตัวเอง:


“ความรัก…”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1017 : คฤหาสน์เพลงกุหลาบ

 

เบ็คลันด์ เขตราชินี บริเวณรอบนอกฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือ การจะมาที่นี่ด้วยรถม้าต้องใช้เวลาอย่างต่ำหนึ่งชั่วโมง คฤหาสน์เพลงกุหลาบตั้งอยู่ริมแม่น้ำทัสซอค ส่งผลให้วิวทิวทัศน์งดงาม เต็มไปด้วยดอกไม้และพืชพรรณนานาชนิด


ค่อนข้างน่าประหลาด ทั้งที่กรุงเบ็คลันด์มีฝนตกชุดตลอดทั้งปี มีแดดชนิดนับวันได้ แต่เมื่อออกมาทางชานเมืองไม่ไกลมาก สภาพอากาศกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง จากบรรดาทั้งหมด ชานเมืองแถมตะวันตกเฉียงเหนือมีความชัดเจนที่สุด ที่นี่เป็นสถานที่ปลูกองุ่นชื่อดังของทวีปเหนือ แต่เมื่อเดินทางเลียบแม่น้ำทัสซอคต่อไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณห้าสิบกิโลเมตร สภาพอากาศจะกลับไปเป็นเหมือนเบ็คลันด์อีกครั้ง


สถานการณ์ข้างต้นทำให้แม้แต่นักอุตุนิยมวิทยาก็ยังเต็มไปด้วยคำถาม มิอาจหาทฤษฎีมารองรับ แต่สำหรับไคลน์ มันพอจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือ


ในยุคสมัยที่สี่ แถบนี้คือเมืองหลวงของจักรวรรดิร่วม ‘ทูดอร์-ทรันซอสต์’ แต่ในภายหลัง ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์ได้ละทิ้งความเป็นมนุษย์และกลายเป็นเทพเสียสติ ส่งผลให้สภาพอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรในพื้นที่เล็กๆ สิ่งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ปรกติในโลกผู้วิเศษ – ทฤษฎีนี้สอดคล้องกับข้อมูลที่เลียวนาร์ด·มิเชลเล่าในช่วงเวลาแลกเปลี่ยนอิสระของชุมนุมทาโรต์


นอกจากนั้น เนื่องจากเป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน อาจเป็นจุดแรกๆ ที่มีมนุษย์อาศัย ส่งผลให้ใต้ดินของ ‘ดินแดนแห่งความหวัง’ แห่งนี้เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง โดยพวกมันมีแนวโน้มที่จะสร้างอิทธิพลต่อสภาพอากาศ


รถม้าแล่นเข้าสู่คฤหาสน์เพลงกุหลาบ ผ่านบ่อน้ำพุและสวนเล็กๆ ที่รายล้อมด้วยบ้านหลังใหญ่ จนกระทั่งหยุดลงที่ด้านนอกประตูหลัก


ขณะไคลน์และพ่อบ้านวอลเตอร์ลงจากรถม้า มันเห็นริชาร์ดสัน คนดูแลคฤหาสน์ นำคนใช้และสาวใช้ออกมายืนเรียงแถวต้อนรับหน้าประตู


เทียบกับบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ที่นี่มีคนรับใช้มากกว่า แต่เป็นเกรดต่ำกว่า


ชำเลืองริชาร์ดสันที่แต่งกายสุภาพในรูปลักษณ์ใหม่ ไคลน์ยิ้มและพยักหน้า


“ทำได้ดี”


โดยไม่รอให้ริชาร์ดสันตอบ มันถอดหมวกและยื่นไม้ค้ำให้บุรุษรับใช้เอ็นยูน พลางเอ่ยปากถาม


“เตรียมห้องพูดคุยสำหรับสตรี และห้องเล่นไพ่สำหรับบุรุษไว้หรือยัง?”


“เตรียมแล้วครับ พร้อมกับไพ่โปเกอร์ ไพ่ทาโรต์ และเกมกระดานอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงเปียโนและเครื่องดนตรีพื้นฐานอย่างไวโอลินก็ถูกย้ายเข้าไปแล้วเช่นกัน” ริชาร์ดสันรายงาน


ไคลน์เดินผ่านเข้าไปในประตู พยักหน้ารับและกล่าว


“ห้องสูบบุหรี่ของบุรุษอยู่ไหน?”


“เช่นเดียวกันกับห้องของสตรี ทั้งหมดอยู่บนชั้นสอง แบ่งออกเป็นห้าห้อง” ริชาร์ดสันตอบโดยไม่ต้องหันไปถามคนรับใช้ของคฤหาสน์ ไม่แม้แต่จะทำหน้านึก


เพื่อให้กิจกรรมล่าสัตว์ครั้งแรกของนายจ้างออกมาสมบูรณ์แบบ ริชาร์ดสันจัดการทุกสิ่งอย่างประณีต ไม่ปล่อยให้มีรายละเอียดเล็กน้อยตกหล่น แม้จะเป็นงานที่เหนื่อยกายมาก แต่ภายในใจกลับตื่นเต้น


ไคลน์ถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาหารค่ำและห้องพักแขก ทั้งหมดถูกยืนยันว่าจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว


ผ่านไปสักพัก แขกกลุ่มแรกนับตั้งแต่คฤหาสน์หลังนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเริ่มทยอยมาถึง – ชื่อของมันถูกเปลี่ยนจากคฤหาสน์เพลงกุหลาบเป็นคฤหาสน์ดันเตส


แขกกลุ่มที่ว่าก็คือ: ครอบครัวมัคท์!


“ใหญ่กว่าคฤหาสน์กวางมูสของผมเสียอีก” มัคท์ยิ้มพลางถอดเสื้อนอก ส่งต่อให้บุรุษรับใช้พร้อมกับกล่าวชื่นชม “ผมได้ยินมาว่าไวน์ของเพลงกุหลาบนั้นเป็นของชั้นเลิศ แต่ไม่มีโอกาสได้ลิ้มลองสักที วันนี้โอกาสนั้นมาถึงแล้ว”


“หวังว่าจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง” ไคลน์ยิ้มตอบอย่างสุภาพ


เนื่องจากเป็นไร่องุ่นที่โด่งดังของทวีปเหนือ แชมเปญ ไวน์แดง และไวน์ขาวล้วนมีคุณภาพสูง แต่คฤหาสน์ส่วนใหญ่มีขุนนางเป็นเจ้าของ เครื่องดื่มชนิดต่างๆ จึงไม่ถูกนำไปวางขายทั่วไป ส่งผลให้มีคนจำนวนไม่มากที่เคยได้ยินเรื่องนี้ กำจัดวงเฉพาะชนชั้นสูงและบรรดาผู้เชี่ยวชาญ


เพลงกุหลาบคือหนึ่งในคฤหาสน์ที่โด่งดังที่สุดด้านนี้ ไวน์ที่บ่มเองถูกยกย่องอย่างกว้างขวางว่ามีรสชาติยอดเยี่ยม ไวน์แดงชนิดพิเศษในบางปีจะมีราคากว่าหลายร้อยปอนด์ในสายตานักสะสม


ทว่า ไคลน์ที่สามารถซื้อคฤหาสน์หลังนี้ได้ในราคาเพียงสองหมื่นปอนด์ ย่อมต้องตกลงเงื่อนไขเพิ่มเติมกับผู้ขาย นั่นก็คือ ไวน์ชนิดพิเศษจากเหล้าองุ่นทั้งหมดที่คฤหาสน์ผลิตได้ ต้องถูกมอบให้ตระกูลดยุคนีแกน


ส.ส. มัคท์ย่อมทราบข้อมูลดังกล่าว จึงไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ชิมไวน์ชนิดพิเศษที่แสนโด่งดัง ทำเพียงยิ้มให้อีกฝ่ายและกล่าว


“คุณลองเปิดไวน์ที่เหลือและแบ่งใส่แก้วให้ผม ทางนี้จะช่วยจำแนกว่าแก้วใดโดดเด่นที่สุด”


แม้จะอยู่ในแวดวงชนชั้นสูง แต่ส.ส. มัคท์ก็ยังไม่เคยดื่มไวน์ของคฤหาสน์เพลงกุหลาบมาก่อน เหตุผลก็ไม่ซับซ้อน มันเป็นสมาชิกของพรรคหัวก้าวหน้า ส่วนดยุคนีแกนอดีตเจ้าของคฤหาสน์ เป็นถึงเสาหลักของพรรคอนุรักษนิยม


“ไม่มีปัญหา” ไคลน์ตกปากรับคำ สายตาชำเลืองไปทางใบหน้าเฮเซลด้านข้าง


เทียบกับช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวคนนี้ร่าเริงขึ้นมาก เลิกประหม่าในยามที่ต้องพบเจอคนแปลกหน้า เมื่อก่อนแทบไม่อยากเข้าร่วมงานเลี้ยงใดๆ จนคนอื่นคิดว่าเธอป่วย


และความดีความชอบทั้งหมดต้องยกให้ ‘จัสติส’ ออเดรย์ ในตอนที่ได้คุยกับดอน·ดันเตสในสำนักงานกองทุนการกุศล เธอเล่าว่าตนเพิ่งได้พบกับมิสเฮเซลมาสองครั้ง


หากฟังผ่านๆ ประโยคของหญิงสาวจะไม่มีสิ่งผิดปรกติ เพราะเฮเซลเป็นคนรู้จักของทั้งออเดรย์และดันเตส เป็นจุดร่วมของคนทั้งสอง ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะหยิบยกมาพูดคุยในบทสนทนา แต่ไคลน์สามารถอ่านความนัยแฝงได้ว่า มิสจัสติสเพิ่งได้พบกับมิสเฮเซลมาสองครั้งในงานเลี้ยง และทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง


หลังจากพาครอบครัวมัคท์ไปยังห้องพัก ไคลน์ต้อนรับแขกกลุ่มที่สองที่เข้าร่วมกิจกรรมล่าสัตว์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้


พลตรีโจนาส·โคลเกอร์ มาพร้อมกับเพื่อนที่ระบุไว้ล่วงหน้า


สำหรับเพื่อนคนนี้ ไคลน์รู้จักอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายไม่รู้จักดอน·ดันเตส ชื่อของมันคือฟามี่·เคจ เจ้าของธุรกิจรถยนต์พลังไอน้ำ และยังเป็นหุ้นส่วนหลักในบริษัทจักรยาน มันอาศัยทนายที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้วิเศษเส้นทางนักกฎหมาย เจรจาซื้อหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์จากเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ในราคาต่ำ


เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับนักกฎหมาย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเป็นเพื่อนกับ ‘เคาต์แห่งการร่วงหล่น’ … ไคลน์ยิ้มและก้าวไปข้างหน้า กอดทักทายกับพลตรีโจนาสและฟามี่·เคจ


“ยินดีต้อนรับ”


จากนั้น มันถอยหลังกลับเล็กน้อย กล่าวกับชายร่างสูงอวบที่เป็นลูกเสี้ยวฟุซัค ฟามี่·เคจเจ้าของดวงตาสีฟ้าอ่อน


“ผมได้ยินกิตติศัพท์ของรถพลังไอน้ำของมาไม่น้อย ทำไมวันนี้ถึงไม่ขับมาหรือ?”


ยังไม่ทันที่ฟามี่·เคจจะตอบ โจนาส·โคลเกอร์มาดดุดันกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“อย่า… คุณอย่าเปิดโอกาส… ไม่อย่างนั้นเขาจะโอ้อวดสรรพคุณของรถพลังไอน้ำไม่หยุด… น่าเสียดายที่รถคนนั้นหนักไปหน่อย ติดอยู่ในหล่มโคลนจนขับไปไหนไม่ได้ โชคดีที่ผมไม่เคยเชื่อในคำคุย ตัดสินใจขับรถม้าตามหลังมา ไม่อย่างนั้น เขาต้องเดินเท้าต่อจนกระทั่งถึงคฤหาสน์”


“ปัญหาหลักก็คือ ถนนของบ้านเมืองเรามันย่ำแย่ต่างหาก จำเป็นต้องมีการบำรุงรักษาและสร้างใหม่ เหมือนกับรถจักรไอน้ำที่ต้องมีราง!” ฟามี่ตอบโต้ ก่อนจะหันมาพูดกับไคลน์ “ผมต้องการเงินลงทุนจากคุณ ฮะฮะ! ไว้ค่อยคุยกันเรื่องนี้ทีหลัง”


เมื่อก่อนนายเคยออกทุนให้ฉัน แต่ตอนนี้กลับมาขอให้ฉันช่วยออกทุน… ไคลน์เริ่มตระหนักถึงเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ ตนได้กลายเป็นเศรษฐีที่ค่อนข้างโด่งดังในแวดวงชนชั้นสูงไปแล้ว!


นอกจากจะบริจาคหุ้นราคาหนึ่งหมื่นปอนด์ ยังซื้อคฤหาสน์ราคาแพง ได้ทำธุรกิจกับกองทัพ ประสบความร่ำรวยในพริบตา!


แต่อันที่จริง ทรัพย์สินของเราในปัจจุบันมีเพียงห้าถึงหกหมื่นเหรียญทองเท่านั้น บางทีอาจไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของมิสจัสติส… ไม่รู้ว่าจะเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ตอนไหน… ไคลน์รำพันจิกกัดตัวเอง ครุ่นคิดสักพักก่อนตอบกลับ


“ได้เสมอครับ ผมเองก็สนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีจักรกลไอน้ำ ไว้ว่างเมื่อไรจะหาโอกาสไปชมรถยนต์พลังไอน้ำของคุณ”


“สายตาเฉียบแหลม” ฟามี่ฉีกยิ้มทันที “หากไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าคุณบริจาคเงินจำนวนมากให้กับโบสถ์รัตติกาล ผมคงคิดว่าคุณเป็นผู้ศรัทธาของจักรกลไอน้ำ”


ก็ถูกส่วนหนึ่ง… ในอดีตก็เคยวาดสัญลักษณ์สามเหลี่ยมบนหน้าอกบ่อยเหมือนกัน… ไคลน์ไม่กล่าวต่อ ด้วยกังวลว่าโจนาสจะค้นพบความผิดปรกติ


มันชี้ไปทางบันไดและกล่าว


“แวะไปที่ห้องสูบบุหรี่ก่อนไหม? ผมเตรียมซิการ์ไว้ให้ลองมากมาย… หากไม่ได้ซื้อคฤหาสน์หลังนี้ ผมคงไม่มีวันรู้ว่าตามคฤหาสน์ใหญ่จะมีห้องเก็บซิการ์โดยเฉพาะ เป็นการรักษาอุณหภูมิและความชื้นให้คงที่… ค่อนข้างน่าเสียดาย ถึงผมจะสูบได้ แต่ก็ไม่ค่อยชอบการสูบสักเท่าไร”


“เยี่ยมเลย… มี ‘หัวหน้าเผ่า’ ไหม?” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าโจนาส


“แน่นอน” ไคลน์ตอบอย่างมั่นใจ


จุดประสงค์หลักของการจัดกิจกรรมล่าสัตว์มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการ ‘ล่า’ รองผู้อำนวยการ MI9 พลตรีโจนาส·โคลเกอร์ จึงต้องจัดเตรียมสิ่งที่มันชอบไว้ทั้งหมด


อย่างไรก็ตาม ไคลน์ยังไม่คิดจะลงมือในการล่าสัตว์รอบนี้ เพราะยังไม่รู้จักสุภาพบุรุษที่เก็บซ่อนพลังครึ่งเทพดีพอ ต้องคอยรวบรวมข้อมูลจากการล่าสัตว์อีกหลายครั้ง ทำความเข้าใจกับรสนิยมอีกฝ่าย รวมไปถึงความระแวงและสมบัติวิเศษ


นักฐานะนักมายากล มันจะไม่ลงมือโดยไม่เตรียมความพร้อม!



เขตเชอร์วู้ด ภายในบ้านหลังหนึ่ง


ฟอร์สวางหนังสือในมือลง ชำเลืองไปทางซิลที่เดินไปเดินมาในห้องนั่งเล่น อดไม่ได้ที่จะถาม


“เครียดเรื่องอะไร?”


ซิลชำเลืองสายตา ตามด้วยกล่าว


“ฉันกำลังลังเลว่า ควรรายงานพฤติกรรมระหว่างไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดกับสตรีแปลกหน้าดีหรือไม่ หรือควรรอให้มีพัฒนาการมากกว่านี้”


“แล้วทำไมต้องรอ?” ฟอร์สย้อนถาม ก่อนจะคิดคำตอบให้ตัวเอง “ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดเกี่ยวข้องกับสาเหตุการตายของพ่อเธอ และเธอการเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายมาตลอดในตอนที่ยังไม่พร้อม ด้วยกังวลว่าตัวตนจะถูกเปิดเผยจนแม่และน้องชายเดือดร้อน แต่ปัจจุบัน อีกฝ่ายกำลังอ่อนแอเนื่องจากสตรีแปลกหน้า สบโอกาสให้ลงมือ จึงเกิดความลังเล?”


ซิลเงียบสักพักก่อนจะตอบ


“ใช่”


ฟอร์สปิดหนังสือ จ้องเข้าไปในดวงตาเพื่อนสนิท ตอบขึงขัง


“นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ลังเล แปลว่าหัวใจของเธอมีคำตอบอยู่แล้ว”


ซิลพยักหน้ารับ


“ใช่”


ฟอร์สสางผมยาวหยักศกเล็กๆ ของตน ลุกขึ้นยืนพลางเหยียดมือขวาไปหาอีกฝ่าย


“ฉันรู้คำตอบในใจเธอแล้ว… ต้องการคนช่วยไหม?”


เมื่อเห็นซิลลังเล ฟอร์สยิ้มและกล่าว


“ฉันเป็นผู้วิเศษลำดับ 6 แล้วนะ!”


โดยไม่รอให้ซิลกล่าวสิ่งใด ฟอร์สมองไปรอบๆ


“หรือถ้าเธอยังกังวล พวกเรายังมีตัวช่วยอื่น”


ความหมายของเธอก็คือ สามารถขอความช่วยเหลือจากชุมนุมทาโรต์


ซิลครุ่นคิดสักพักก่อนจะถอนหายใจ


“ตอนนี้ยังไม่จำเป็น เราสองคนพยายามกันเองก่อน… เอ่อ… คงต้องคอยจับตามองพฤติกรรมของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดไปอีกสักพัก”


“ตอนนี้เลย?” ฟอร์สประหลาดใจเล็กน้อย “ตกลง แต่ก่อนอื่น ให้ฉันทำนายดวงชะตาของเราด้วยลูกบอลคริสตัลก่อน ตรวจสอบระดับความอันตรายเบื้องต้น”


เตรียมการเสร็จ หญิงสาวถือลูกบอลคริสตัลด้วยมือหนึ่งข้าง


“มีอันตรายบางอย่างรออยู่…”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1018 : ไม่คาดคิด

 

เขตราชินี ด้านข้างคฤหาสน์ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด


ฟอร์สสวมชุดสีดำ ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดพร้อมกับซิล สายตาจ้องมองไปทางประตูรั้วเหล็กที่ปิดสนิท รอคอยอย่างอดทนเพื่อให้เป้าหมายปรากฏตัว


คืนนี้ฝนไม่ตก พวกเธอจึงไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากเกินไป และเนื่องจากมีรถม้าจอดรออยู่ที่ริมโคมไฟถนน ฟอร์สและซิลจึงทราบว่า ความอดทนของพวกเธอจะไม่สูญเปล่า


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ประตูรั้วเหล็กส่งเสียงโลหะเสียดสี เปิดออกอย่างช้าๆ


ร่างในเสื้อคลุมสีดำเดินออกมาพร้อมกับก้มศีรษะลง เดินไปทางรถม้าเช่าด้วยความคล่องแคล่ว


“นั่นเธอหรือ?” ฟอร์สลดเสียง ซักถามซิลข้างๆ


เธอไม่มีพลังในการวาดภาพใบหน้าจากคำอธิบาย และไม่เคยเจออีกฝ่ายมาก่อน จึงมิอาจพึ่งพาสัมผัสวิญญาณของโหราจารย์เพื่อตัดสิน


ซิลพยักหน้ายืนยัน


“ใช่!”


ขณะทั้งสองคุยกันด้วยเสียงเงียบ รถม้าแล่นออกจากประตูข้างคฤหาสน์


ซิลออกจากจุดซ่อนตัวทันที เตรียมใช้พลังพิเศษของเจ้าพนักงานและเรี่ยวแรงที่เพิ่มขึ้นของนักสอบสวน เดินสลับวิ่งไล่ตามเป้าหมายไปห่างๆ


“คิดจะทำอะไร?” แต่ทันใดนั้น ฟอร์สกดไหล่และทำลายแผนการ


“ไล่ตามไป!” ซิลมองย้อนกลับมาที่เพื่อนสนิทด้วยสีหน้าสับสน


ฟอร์สชำเลืองรถม้าที่ยังแล่นไม่พ้นสายตาคนทั้งสอง ซักถามอย่างมีเหตุผล


“แล้วทำไมต้องตามหล่อน? นอกจากนั้น เธอเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือ เมื่อเข้าสู่ย่านสะพานเบ็คลันด์ เป้าหมายจะได้รับการคุ้มครองจากผู้วิเศษที่ทรงพลัง?”


“ก็ใช่…” ซิลตอบคำถามหลังก่อน “แต่ทำไมเธอถึงถามอะไรแปลกๆ? ที่ต้องไล่ตามเป้าหมายก็เพื่อยืนยันรูปลักษณ์ ตัวตน และจุดประสงค์ไม่ใช่หรือไง”


ฟอร์สนำมือซ้ายจับไหล่ซิล กล่าวพลางยิ้ม


“เนื่องจากเป้าหมายมีผู้วิเศษที่ทรงพลังคอยคุ้มครอง การสะกดรอยในย่านสะพานเบ็คลันด์จึงเป็นเรื่องยาก หมายความว่า หากไม่เอาชนะผู้วิเศษลึกลับคนนั้น เราก็จะไม่มีทางทราบที่อยู่ ใบหน้า และตัวตนของอีกฝ่าย เธอพร้อมจะทำศึกแล้วหรือ? จริงอยู่ที่ฉันช่วยได้ แต่ยืนยันความแข็งแกร่งของศัตรูได้หรือยัง? มั่นใจมากแค่ไหน? เสี่ยงมากแค่ไหน? และตราบใดที่การต่อสู้ปะทุขึ้น เป้าหมายก็จะไหวตัวทัน ไม่ต่างอะไรกับการโบกรถม้าให้หยุดและเปิดประตูเข้าไปคุย สิ่งนี้จะทำให้ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดพบความผิดปรกติ ทำลายสถานการณ์ที่เธอต้องการ หมดโอกาสชิงลงมือไปโดยปริยาย”


“ถ้าลงมือ มีโอกาสที่จะล้มเหลวก็จริง แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย โอกาสล้มเหลวคือหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์” ซิลเน้นย้ำว่าเธอเองก็เข้าใจสถานการณ์ เพียงแต่อยากลองเสี่ยง


ในเวลาเดียวกัน รถม้าเช่าหักเลี้ยวตรงหัวมุมสุดเส้นถนน ฟอร์สทำได้เพียงมองแผ่นหลังของมันเลือนหายไปพลางส่ายหน้าและยิ้ม


“ไม่ ไม่ ไม่! สิ่งที่พวกเราต้องทำคือเปลี่ยนวิธีคิด! สิ่งที่เราต้องทำมีแค่การตรวจสอบรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเป้าหมาย เมื่อถึงตอนกลางวัน ค่อยสืบสวนแบบธรรมดาในย่านสะพานเบ็คลันด์โดยมีรูปลักษณ์ดังกล่าวเป็นจุดตั้งต้น”


“วิธีพูดของเธอ… ฟังดูเป็นมืออาชีพมาก” ซิลกล่าวพลางครุ่นคิด


“แน่นอน ฉันเป็นนักแต่งนิยายนักสืบ!” ฟอร์สตอบโดยไม่ถ่อมตน


“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะทราบรูปลักษณ์ที่แท้จริงโดยไม่รบกวนอีกฝ่ายได้ยังไง?” ซิลถามในประเด็นที่สำคัญที่สุด


ฟอร์สหยิบ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ที่เตรียมไว้ออกมา กล่าวพลางยิ้ม


“ง่ายมาก ใช้พลัง ‘ล่องหนทางใจ’ ที่มิสจัสติสบันทึกไว้!”


‘จัสติส’ ออเดรย์ที่ไม่เคยเผชิญสถานการณ์ซึ่งต้องใช้ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ระงับความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวและตัดสินใจขอยืมสมุดเวทมนตร์สองสามครั้ง จุดประสงค์เพื่อศึกษาพลังวิเศษที่น่าสนใจและกลไกการทำงานของสมุด ในตอนที่คืนก็ช่วยบันทึกพลังของตัวเองลงไป หนึ่งในนั้นคือ ‘ล่องหนทางใจ’ ที่ค่อนข้างมีประโยชน์


สำหรับตัวตนที่แท้จริงของมิสจัสติส ซิลและฟอร์สมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทั้งคู่ตัดสินใจไม่สืบสวนลงลึกมากไปกว่าเดิม สิ่งนี้ถือเป็นมารยาทพื้นฐานภายในชุมนุมทาโรต์


ได้ยินคำตอบจากเพื่อนสนิท ซิลเริ่มได้รับมุมมองใหม่ๆ และมีไอเดียเพิ่มมากมาย


ฟอร์สกล่าวต่อ


“ด้วยพลังดังกล่าว เธอจะกลายเป็นจุดบอดทางประสาทสัมผัสของสิ่งมีชีวิตรอบตัว แม้จะกำลังห้อยหัวอยู่ตรงหน้า แต่ก็จะไม่มีใครมองเห็น ดังนั้น เธอสามารถขึ้นรถม้าได้ตรงๆ และมองหน้าเป้าหมายอย่างใจเย็น จดจำลักษณะเด่นอย่างละเอียด… ฮุฮุ… ในบางครั้งฉันก็คิดว่า หากใช้ล่องหนทางใจผิดจังหวะ ถ้าบังเอิญโชคร้าย ก็อาจถูกสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เหยียบตายเข้าเพราะมองไม่เห็น… อา… แล้วก็ อย่าทำเสียงดังมากเกินไป ห้ามพูดกับใครเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเป็นการดึงดูดความสนใจจนสภาวะล่องหนทางใจคลายออก”


“ตกลง!” ซิลพยักหน้า ตามด้วยการตั้งข้อสงสัยใหม่ “แล้วจะทำยังไงให้เป้าหมายมองไม่เห็นประตูห้องโดยสารที่เปิดออกอย่างกะทันหัน?”


โดยไม่รอคำตอบจากฟอร์ส เธอถามต่อทันที


“หรือว่าเธอบันทึกพลังเปิดประตูของตัวเองไว้?”


“คิดว่ายังไงล่ะ?” ฟอร์สยิ้มพร้อมกับชื่อ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ให้เพื่อนสนิท ตามด้วยการเปิดไปที่หน้า ‘ล่องหนทางใจ’ และ ‘เปิดประตู’ ตามลำดับ


เมื่อจิตใจเริ่มกลับมาสงบ ซิลรีบวิ่งท่ามกลางเงามืดริมถนน ไล่ตามรถม้าเช่าคันดังกล่าว


ผ่านไปสักพัก เธอได้พบกับเป้าหมาย ทันใดนั้น มือขวาขยับเล็กน้อย พลิกหน้าสมุดบันทึกปกสีเขียวขี้ม้าไปยังกระดาษแผ่นสีเหลืองน้ำตาล


เมื่อเลื่อนปลายนิ้วลูบไล้ผิวกระดาษ คล้ายกับซิลมองเห็นแสงจำนวนมากบนผิวทะเลสาบลึก แสงสว่างค่อยๆ แผ่ออกไปรอบทิศ


รอจนกระทั่งการมองเห็นกลับเป็นปรกติ เธอรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของรถม้า


เพื่อความไม่ประมาท ซิลไม่ได้ลงมือทันที แต่แซงไปด้านหน้าม้าสองสามก้าว


เธอหันกลับมามอง ทำท่าคล้ายกับเตรียมข้ามถนน แต่คนขับรถม้ามิได้สังเกตเห็นแม้แต่น้อย ไม่มีการตะโกนเตือนหรือหยุดม้า


เมื่อยืนยันแน่ชัดว่าสภาวะล่องหนทางใจได้ผล หญิงสาวเร่งความเร็วและเบี่ยงตัวหลบม้า กระโดดขึ้นไปทางด้านข้างของห้องโดยสาร


ซิลสำรวจรอบตัวเล็กน้อย ตามด้วยการพลิกหน้า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ไปยังแผ่นกระดาษสีขาวที่เต็มไปด้วยลวดลาย จากนั้นก็เหยียดมือขวาออก กดลงบนผนังห้องโดยสาร


ร่างของเธอพลันโปร่งใสขณะที่ถูกส่งเข้าไปด้านใน


สตรีในเสื้อคลุมสีเข้มกำลังนั่งฝั่งตรงข้ามในแนวเฉียง มองออกไปนอกหน้าต่างข้างๆ ซิลประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง มิได้สนใจนักล่าเงินรางวัลที่บุกรุกเข้ามาแม้แต่น้อย


ในระยะใกล้เช่นนี้ แม้อีกฝ่ายจะดึงหมวกเสื้อคลุมลงมาต่ำ แต่ซิลก็ยังเห็นใบหน้าชัดเจน นอกจากนั้น อีกฝ่ายยังไม่ระวังตัวเหมือนกับตอนที่อยู่ข้างนอก ทำตัวตามสบายๆ และปล่อยให้หมวกเสื้อคลุมอยู่ในระดับดวงตา


เพียงพริบตา ใบหน้าของสตรีฝั่งตรงข้ามถูกสะท้อนบนกระจกตาของซิล ซ้อนทับกับใบหน้าของบางคนที่ยังหลงเหลือกลิ่นอายความเป็นชายจางๆ


นี่คือพลังพิเศษของเจ้าพนักงาน


ดวงตาของซิลเบิกกว้างทันที โพล่งออกมาอย่างมิอาจควบคุม


“เชอร์แมน?”


แม้จะไม่เคยเห็นหน้า แต่เธอก็พอจะเดาออกว่าสตรีที่เข้าออกบ้านไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดบ่อยๆ มีรูปลักษณ์งดงาม นั่นทำให้ซิลไม่คาดคิดว่า แท้จริงแล้วอีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนของตัวเอง หนุ่มน้อยเชอร์แมน!


บุรุษที่ห่างไกลกับความสวยในอดีตคนนั้น ปัจจุบันงดงามขึ้นมาก เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของสตรี!


ทันใดนั้น ซิลอดไม่ได้จ้องเชอร์แมนหัวจรดเท้า ซ้อนทับร่างของอีกฝ่ายเข้ากับชายหนุ่มที่ตนเคยรู้จัก


หากไม่ใช่เพราะพลังของเจ้าพนักงานและสัมผัสวิญญาณช่วยยืนยันว่านี่คือเชอร์แมน ซิลคงคิดว่าตนทักคนผิด อย่างไรก็ตาม ซิลยังไม่ปักใจเชื่อเต็มร้อย พิจารณาว่าอีกฝ่ายอาจเป็นน้องสาวของเชอร์แมนที่เกิดวันเดียวกันและมีพ่อแม่คนเดียวกัน


ได้ยินเสียงโพล่งเจือความประหลาดใจ เชอร์มาเน่เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนอยู่บนรถม้ากับเธอด้วย เป็นคนที่เธอคุ้นเคย


ซิล·เดียร์ชา นักล่าเงินรางวัล!


ตัวเธอที่เปลี่ยนชื่อเป็นเชอร์มาเน่ แตกตื่นในตอนต้น แต่เพียงไม่นานก็หวนนึกถึงคำที่ทริสซี่มักจะเอ่ย:


“ห้ามติดต่อกับอดีตคนรู้จักเด็ดขาด… ลองนึกภาพตาม หากสามีของเธอ คนที่เธอรัก ล่วงรู้ถึงอดีตของเธอ เขาคนนั้นจะคิดเช่นไร? มีเพียงการตัดอดีตให้ขาดเท่านั้น จึงจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ เธอต้องทำให้ได้เพื่อตัวเอง!”


เมื่อประโยคดังกล่าวแล่นเข้ามาในสมอง เชอร์มาเน่ผุดความคิดหนึ่งทันที:


“ฆ่าหล่อนซะ!”


ความคิดดังกล่าวเป็นราวกับปีศาจจากนรก คอยกระซิบข้างหูเชอร์มาเน่ตลอดเวลา


“ฆ่าหล่อนซะ! ฆ่าทุกคนที่จดจำเธอได้! มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น อดีตจึงจะถูกลบออกอย่างสมบูรณ์! มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ไม่สูญเสียปัจจุบัน! ฆ่าหล่อนซะ!”


เชอร์มาเน่ไม่ยอมตอบคำถามซิล เพียงกำมือซ้ายแน่นด้วยอาการสั่นระริก


เมื่อสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมีอารมณ์แปรปรวน ซิลมั่นใจว่าบุคคลฝั่งตรงข้ามคือเชอร์แมน จึงถามด้วยความเป็นห่วง


“นายกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? ที่ผ่านมาได้พบเจออะไรมาบ้าง? มีใครทำร้ายนายไหม?”


ริมฝีปากของเชอร์มาเน่กระตุกสองสามหน กำปั้นซ้ายคลายออกเล็กน้อย ตอบด้วยเสียงสะอื้น


“ฉันมีชีวิตใหม่แล้ว… ได้โปรดอย่ารบกวนกันอีก… ได้ไหม? ฉ…ฉันไม่อยากสูญเสียปัจจุบัน ฉันไม่อยากเจอคนรู้จักในอดีต!”


ยิ่งพรั่งพรู ทำนองการพูดก็ยิ่งเร็วขึ้น เปี่ยมไปด้วยการอ้อนวอนมากขึ้น


ซิลผงะเล็กน้อย ชำเลืองไปทางเชอร์แมนพร้อมกับเม้มปาก


“ตกลง…”


ซิลไม่แช่อยู่ต่อ เอื้อมมือไปเปิดหน้าต่างรถม้า กระโดดออกไปด้วยท่าร่อน


เชอร์มาเน่ที่เฝ้ามองเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ในที่สุดก็ถอนหายใจยาวอย่างไร้เรี่ยวแรง


การควบคุมปีศาจที่อยู่ในใจไม่ใช่เรื่องง่ายเลย


ทันใดนั้น เธอเห็นร่างหนึ่งถูกวาดขึ้นกลางอากาศบางๆ


บุคคลดังกล่าวสวมเดรสยาวสีเข้มทรงโบราณ แต่บรรยากาศและใบหน้าที่อ่อนโยนอ่อนหวานมิได้จางหายไปไหน เพียงแต่นั่งนิ่งๆ โดยไม่ต้องกล่าวคำใด ผู้คนก็ยากจะละสายตาออก


แม่มด ทริสซี่!


“ทำไมถึงไม่ฆ่าหล่อน?” ทริสซี่ถามด้วยใบหน้าค่อนข้างยิ้มแย้ม คล้ายกับถามว่าเมื่อคืนดื่มไวน์อะไร


“ธ… ธ…เธอคนนั้นเป็นเพียงไม่กี่คนที่ทำดีกับฉันเมื่อก่อน คอยช่วยฉันไว้หลายเรื่อง…” เชอร์มาเน่ตอบด้วยอาการตกใจ ก่อนจะขมวดคิ้วถาม “คุณมาทำอะไรที่นี่?”


ทริสซี่ยิ้มและตอบ


“คอยปกป้องเธอไง”


โดยไม่รอการตอบสนองของเชอร์แมน เธอกล่าวต่อ


“ดูเหมือนว่าเธอจะอารมณ์ดีในตอนที่เดินออกมา”


เมื่อนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เชอร์มาเน่ยิ้มอย่างเขินอาย


“บางที… ฉันอาจจะได้เป็นแม่คน…”


กล่าวจบ เธอเลื่อนมือขวามาลูบท้อง มุมปากยกขึ้นอาจมิอาจควบคุม


“ฉันรู้สึกเหมือนกับเด็กคนนี้กำลังเตะท้องอยู่…” เชอร์มาเน่พึมพำ ก่อนจะโพล่งขึ้น “…ทำไมถึงได้เร็วขนาดนี้?”


เมื่อไม่กี่วันก่อน เธอยังสับสนอยู่เลยว่าจะท้องได้ไหม!


เฝ้ามองท่าทีตอบสนองของอีกฝ่าย ทริสซี่เผยรอยยิ้มที่อัดแน่นไปด้วยเสน่ห์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)