Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1011-1014

ราชันเร้นลับ 1011 : อีกหนึ่งคำเตือนจา...

 

ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดที่เมฆบดบังดวงจันทร์ เหนือสะพานเบ็คลันด์กำลังปกคลุมด้วยมวลความมืด


ทั้งที่ไคลน์เพิ่ง ‘เทเลพอร์ต’ มาถึง แต่เมื่อมองไปรอบตัว มันกลับพบเถาวัลย์สีเขียวหล่นมาจากฟ้าพร้อมกับปกคลุมทุกหย่อมหญ้าประหนึ่งฝนตกหนัก


เถาวัลย์ทุกเส้นถักสานจนกลายเป็นผืนป่าหนาทึบ มองไม่เห็นด้านบน


ไคลน์ปล่อยมือความจากหมวกทรงกึ่งสูง เดินไปทางเส้นทางที่เถาวัลย์สร้างไว้ให้ด้วยความเคยชิน


เพียงไม่นาน มันได้พบกับชิงช้าธรรมชาติที่ถักจากเถาวัลย์เขียว และยังเห็น ‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดต กำลังยืนข้างๆ ชิงช้านั่น


บุตรสาวคนโตของจักรพรรดิโรซายล์มีผมยาวสีเกาลัด สวมเสื้อเชิ้ตทรงสตรีที่มีลูกไม้คล้ายโบ จับคู่กับกระโปรงสีเทายาวคลุมเข่าและรองเท้าบูตหนังยาว สวมหมวกอ่อนที่ติดกับตาข่ายสีดำเนื้อละเอียดห้อยปกคลุมใบหน้า


“พัฒนาการของคุณทำให้ฉันรู้สึกทึ่ง” ร่างของเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังสะท้อนบนกระจกตาที่ซ่อนอยู่ด้านหลังตาข่ายเนื้อละเอียด


ไคลน์ตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


“มิสเตอร์ฟูลจงเจริญ”


ขณะกล่าว มันรำพันในใจ


สิ่งนี้เรียกว่าการดิ้นรนที่จะแข็งแกร่ง เลือกพึ่งพาตัวเองมากกว่าคนอื่น!


‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดตพยักหน้าแผ่วเบา กล่าวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์


“ฉันรู้ว่าคุณอยากพบฉันทำไม”


โดยไม่รอให้ไคลน์ตอบ เธอเอียงคอเล็กน้อย จ้องมองเถาวัลย์ที่แกว่งไปมาตรงมุมสายตา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงดุจดังทะเลสาบน้ำนิ่งที่ใต้ผิวน้ำเต็มไปด้วยกระแสคลื่น


“ฉันรู้สึกว่า… เขายังไม่ร่วงหล่นโดยสมบูรณ์”


สรุปก็คือ คุณคิดว่าจักรพรรดิโรซายล์ยังไม่ตายไปโดยสมบูรณ์? เขายังมีชีวิตที่ใดสักแห่งบนโลกใบนี้ และยังมีโอกาสกลับมาได้? ไคลน์ไม่คิดว่าตนจะได้ยินประโยคที่เถรตรงและเปี่ยมด้วยอารมณ์เช่นนี้ตั้งแต่วินาทีแรกที่พบหน้า จึงตอบสนองไม่ถูกไปสักพัก


ขณะเดียวกัน แบร์นาแดตเลือกใช้สรรพนามว่า ‘เขา’ แทน ‘ท่าน’ เพื่อเรียกจักรพรรดิโรซายล์ สำหรับสิ่งนี้ ไม่ว่าจะในภาษาฟุซัคโบราณ หรือภาษาอินทิสและโลเอ็นที่เป็นภาษาลูก ทั้งสองสรรพนามมีความนัยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในหัวใจของราชินีเงื่อนงำ เธอไม่ได้มองว่าบิดาเป็นเทวทูต แต่เป็นพ่อแท้ๆ … ไคลน์ผ่อนคลายอารมณ์ ก่อนจะตั้งคำถาม


“ทำไมถึงคิดเช่นนั้น?”


แบร์นาแดตจ้องมองเถาวัลย์ ยังคงกล่าวด้วยเสียงเบา


“ในวาระสุดท้ายของชีวิต แม้ว่าเขาจะเสียสติและเกรี้ยวกราด แต่ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ถูกเตรียมไว้ล่วงหน้า ฉันเชื่อว่า เขาได้เตรียมการบางอย่างไว้สำหรับตัวเอง… คุณคงทราบดี เขาพยายามเปลี่ยนเส้นทางในช่วงบั้นปลายชีวิต เล็งบัลลังก์ของจักรพรรดิมืดที่ว่างอยู่ และเพื่อการนั้น เขาต้องสร้างอนุสาวรีย์บรรจุศพที่คล้ายกับพีระมิดอย่างลับๆ เก้าแห่ง… หลังจากเขาเสียชีวิตที่วังเมเปิลขาว โบสถ์สุริยันเจิดจรัสและจักรกลไอน้ำได้ร่วมมือกันเพื่อค้นหาและทำลายสุสานไปแปดแห่ง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่พบแห่งที่เก้า ไม่มีใครทราบว่าซ่อนอยู่ที่ใดของโลก… หากกลายเป็นจักรพรรดิมือสำเร็จ เขาจะคืนชีพในสุสานแห่งนั้น แต่ถ้าล้มเหลว ฉันก็คิดว่ามีโอกาสที่จะคืนชีพที่นั่นได้เช่นกัน…”


แบร์นาแดตกล่าวด้วยเสียงที่ค่อยๆ แผ่วลง จนกระทั่งล่องลอยจนแทบฟังไม่ออก


เธอเองก็ไม่มีหลักฐานยืนยัน… ทำได้แค่คาดหวัง… ไคลน์ถอนหายใจ


ทันใดนั้น มันนึกถึงสิ่งที่ ‘ราชาแห่งห้าห้วงทะเล’ นาสเคยกล่าวไว้:


จักรพรรดิโรซายล์ชอบยืนอยู่ริมหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน มองไปยังทิศตะวันตก


และจากไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์ ไคลน์ทราบว่าทะเลหมอกอยู่ทางฝั่งทิศตะวันตกของอินทิส โดยที่นั่นมีทางเข้านรก รวมถึงเกาะโบราณลึกลับที่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด ควรค่าแก่การสำรวจ


หรือว่า… จักรพรรดิโรซายล์จะสร้างสุสานลับสุดท้ายในนรกหรือไม่ก็บนเกาะโบราณแห่งนั้น? ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก หันไปยกมุมปากและกล่าว


“ดูเหมือนคุณจะรู้จักเส้นทางจักรพรรดิมืดเป็นอย่างดี”


มันสงสัยว่า จักรพรรดิโรซายล์จงใจทิ้งไพ่จักรพรรดิมืดไว้เป็นที่คั่นหนังสือ และใช้รหัสปลดผนึกเป็นชื่อแบร์นาแดตในภาษาฟุซัคโบราณ ส่วนหนึ่งเพราะต้องการบอกใบ้ลูกสาวเกี่ยวกับพิธีกรรม และดูเหมือนว่า แบร์นาแดตจะได้ทราบข้อมูลนี้จากแหล่งอื่น


ริมฝีปากของราชินีเงื่อนงำที่ไม่ถูกตาข่ายบดบัง ยกโค้งเล็กน้อย


“ฉันสืบเรื่องนี้มานานกว่าร้อยปีแล้ว และเพื่อให้ได้รายละเอียด ฉันจำเป็นต้องอดทนต่อการอัดฉีดความรู้จากปราชญ์เร้นลับ… ขณะเดียวกันก็สามารถบอกได้ว่า มิสเตอร์ฟูลที่อยู่เบื้องหลังคุณ มีความเข้าใจในเรื่องเดียวกันอย่างลึกซึ้ง… ฉันนึกสงสัยมาตลอดว่า เหตุใดท่านถึงสนใจเรื่องราวของเขา?”


พิจารณาจากสถานการณ์ หากจะนับญาติกันจริงๆ เธอต้องเรียกฉันว่าลุง… เพราะจักรพรรดิโรซายล์เป็นเหมือน ‘เพื่อนข้างห้อง’ ที่อยู่ด้วยกันมานานหลายปี… ไคลน์บรรเทาอาการหม่นหมองในใจด้วยถ้อยคำติดตลอด ตามด้วยตอบเสียงเรียบ


“คุณสามารถถามสิ่งนี้กับมิสเตอร์ฟูล”


ปัจจุบัน มันไม่คิดที่จะบอกแบร์นาแดตเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่สุสานแห่งที่เก้าจะซ่อนอยู่ในทะเลหมอก ไม่ว่าจะเป็นนรกหรือเกาะโบราณ เพราะคำถามเช่นนี้ คงจะเหมาะกว่าหากให้เดอะฟูลเป็นผู้ตอบ


ราชินีเงื่อนงำมิได้ประหลาดใจกับคำตอบของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เพียงหันไปทางทิศตะวันตก มองออกไปยังจุดห่างไกล


แม้ว่าจะไม่เห็นแววตาของแบร์นาแดต แต่ไคลน์สัมผัสได้ว่า เธอกำลังมองไปยังบ้านเกิดสมัยยังเด็ก บ้านเกิดของจิตวิญญาณ บ้านเกิดที่มิอาจหวนกลับไป


ขณะเดียวกัน ภายในป่าเถาวัลย์สีเขียวเข้ม คล้ายกับมีอารมณ์มากมายกำลังอัดแน่น


ผ่านไปไม่กี่วินาที ราชินีเงื่อนงำถอนสายตากลับ อ้าปากเปล่งเสียงแผ่วเบา


“ไว้รอให้เรื่องราวในเบ็คลันด์จบลงก่อน ฉันจะให้แคทลียาส่งไดอารีให้สองสามหน้าพร้อมกับแนบคำถามดังกล่าว”


“ทำไมไม่ถามสัปดาห์หน้าเลย?” ไคลน์ไม่เก็บซ่อนความสงสัย


แบร์นาแดตตอบใจเย็น


“ฉันคิดว่าคำตอบจะส่งผลต่ออารมณ์ของฉัน และอารมณ์จะนำพาไปสู่ความล้มเหลว”


อารมณ์จะนำพาไปสู่ความล้มเหลว? ต้องเป็นเหตุการณ์แบบใดถึงเข้มงวดกับตัวเองขนาดนี้? ศึกระหว่างครึ่งเทพขอบเขตจิตใจ? หรือว่าหลังจากที่เธอคลายปมในใจสำเร็จ จะมีความมั่นใจมากพอที่จะเลื่อนลำดับเป็นเทวทูต? ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด ไม่ถามสิ่งใดเพิ่ม


เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับของอีกฝ่าย หากไม่จำเป็นก็ไม่ควรถาม


ราชินีเงื่อนงำหันมากล่าว


“มีอยู่วันหนึ่งในตอนที่เขาเขียนไดอารี ฉันเองก็นั่งฝั่งตรงข้าม และต้องการให้เขาสอนวิธีตีความสัญลักษณ์ดังกล่าว แต่เขาปฏิเสธและทำเพียงลูบผม… ในตอนนั้น ฉันก็มีอายุพอสมควรแล้ว… ฉันสามารถบอกได้ว่า ในตอนที่เขาเขียนหน้าดังกล่าว ภายในใจเต็มไปด้วยความกังวล อับอาย และหวาดกลัวในบางสิ่ง จนกระทั่งเขาพูดกับฉันว่า หากตัวฉันสามารถเป็นดั่งคำทำนายของซาราธ กลายเป็นคนใหญ่คนโตในโลกผู้วิเศษ ถึงตอนนั้น ต้องระวัง ‘ผู้ชม’ ไว้ให้ดี”


ระวังผู้ชม… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะทวนคำของโรซายล์ในใจ


มันเชื่อว่า จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่รายนี้คงมิได้หมายถึงเส้นทางผู้ชมทุกคนบนโลก แต่เป็นการอ้างถึงตัวตนพิเศษสักคน หรือวัตถุวิเศษ หรือไม่ก็ทั้งคู่


จักรพรรดิโรซายล์เป็นสมาชิกขององค์กรลับเก่าแก่นั่นด้วย… และผู้ก่อตั้งก็คือ… เปลือกตาไคลน์พลันกระตุก ไม่กล้าคิดไปมากกว่านี้ เนื่องด้วยกังวลว่าอาจมีใครได้ยินเสียงของตน


“บางที ในหน้านั้นอาจมีคำอธิบายอย่างละเอียดเขียนไว้” ชายหนุ่มกระตุ้น ภายในใจหวังจะได้อ่านไดอารีหน้าดังกล่าวเร็วๆ


“ฉันทราบ” แบร์นาแดตพยักหน้า


เธอมิได้กล่าวต่อทันที เงียบไปสองวินาทีก่อนจะพูด


“ฉันอยากจะขอบคุณมิสเตอร์ฟูลแทนแคทลียา… การได้รับเลือดของอสรพิษแห่งชะตา วันข้างหน้าของเธอจะต้องสดใสมากแน่… แม้ว่าพิธีกรรมเลื่อนลำดับของ ‘ปราชญ์พิศวง’ จะไม่ได้กำหนดเส้นทางของเจ้าของเลือดไว้ตายตัว แต่หากเป็นไปได้ ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือเส้นทางโชคชะตา เพราะนั่นจะทำให้เธอเลื่อนเป็นลำดับ 3 ง่ายขึ้นมาก”


“ทำไม?” ไคลน์ถามเพราะต้องการความรู้ใหม่ๆ


แน่นอนว่า แม้แต่ข้ารับใช้ของเทพก็มิได้รู้ไปเสียทุกเรื่อง! และแม้แต่เทพก็ไม่เสมอไป!


ดวงตาแบร์นาแดตเหม่อลอยเล็กน้อย


“การส่องความลับชะตากรรม ถือเป็นอีกหนึ่งความหมายของ ‘ผู้หยั่งรู้’ อา… ลำดับ 3 ของเส้นทางผู้ส่องความลับมีชื่อว่า ‘ผู้หยั่งรู้’ และนั่นคือเหตุผลที่ฉันอยู่ในเบ็คลันด์”


เพราะหยั่งรู้บางอย่าง? ไคลน์คาดเดาคลุมเครือ


“ดูเหมือนว่าหลายๆ เส้นทางจะสามารถมองเห็นอนาคต…”


มุมปากราชินีเงื่อนงำกระตุกแผ่วเบา ถอนหายใจเล็กๆ


“ในอดีตกาล สัตว์วิเศษจำนวนมากเข้าใจว่า หากรวบรวมพลังที่เหมือนกันเอาไว้มากๆ จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพและพัฒนาไปอีกขั้น แต่ผลลัพธ์ก็คือ ทั้งหมดเสียสติและคลุ้มคลั่งอย่างไม่มีข้อยกเว้น จนกระทั่งศิลาเย้ยเทพแผ่นแรกปรากฏขึ้น สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจึงเข้าใจถึงสมดุล เข้าใจว่าการเสี่ยงเดินขอบหน้าผา คือกุญแจนำไปสู่หนหางแห่งการพัฒนาที่แท้จริง”


ดังนั้น พลังที่เหมือนๆ กันจึงถูกกระจายออกไปในหลายเส้นทาง โดยแต่ละเส้นทางจะเน้นความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ ส่วนความสามารถที่เหลือจะเป็นเพียงปัจจัยรอง? อา… ตัวอย่างที่เห็นภาพได้ชัดเจนก็คือ ราชาแห่งแดนเหนือ ยูลิเซี่ยน ในการเดินทางของกรอซาย… ไคลน์ครุ่นคิดโดยไม่ตั้งคำถามต่อ


ผ่านไปสักพัก ‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดตทำลายความเงียบ


“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว วันนี้พอแค่นี้”


ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะกล่าว


“ตกลง หากมีเรื่องใดที่คุณต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อผ่านพลเรือเอกดวงดาวได้ทุกเมื่อ”


เพียงแบร์นาแดตพยักหน้ารับ ร่างของเธอโปร่งใสในพริบตา กลายเป็นฟองสบู่จำนวนมาก


ฟองสบู่แตกออกและหายไป ป่าเถาวัลย์สีเขียวก็เช่นกัน


คล้ายกับไคลน์ถูกรองด้วยมือที่มองไม่เห็น ค่อยๆ ร่อนลงบนสะพานเบ็คลันด์


มันยกมือขึ้นมาจับหมวก มองไปรอบตัวในลักษณะวงกลม พบบ้านเรือสองฝั่งเรียงรายตามตลิ่ง แสงสลัวเล็ดลอดออกมาเล็กน้อย มีเพียงเสียงเบาๆ ของแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว เป็นค่ำคืนที่ค่อนข้างสงบสุข


“ได้แต่หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ถูกทำลาย…” ไคลน์ถอนหายใจ ก่อนจะเปลี่ยนร่างตัวเองให้โปร่งใสและหายไป

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1012 : วันแรกของเดือนกัน...

 

“ถึงมิสเตอร์อะซิก…”


“ตั้งแต่ย่างเข้าเดือนกันยายน อุณหภูมิในเบ็คลันด์ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เริ่มมองเห็นคนแก่สวมถุงมือออกจากบ้านกันแล้ว”


“เหมือนกับปีก่อน หมอกเริ่มปกคลุมเมืองแล้ว เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดอย่างน้อยหนึ่งถึงสองวันต่อสัปดาห์หรือมากกว่านั้น การฟื้นฟูมลพิษทางอากาศจะยังไม่เห็นผลภายในหนึ่งถึงสองปีข้างหน้า อย่างเร็วที่สุดก็คงห้าปี แต่ข่าวดีก็คือ กลิ่นไม่พึงประสงค์ในอากาศบรรเทาลงมากแล้ว ผีดูดเลือดที่เป็นเพื่อนของผมพึงพอใจกับสภาพอากาศแบบนี้มาก…”


“การเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดีอีกหนึ่งเรื่องก็คือ ทั้งเด็กนักเรียน บุรุษไปรษณีย์ และแรงงานมีฝีมือเริ่มซื้อจักรยานมากขึ้น จำนวนรถม้าสาธารณะบนท้องถนนลดลงมาก ซึ่งนั่นแปลว่ามูลม้าและกลิ่นเหม็นบางส่วนจะหายไปจากกรุงเบ็คลันด์ แต่แน่นอน รถม้าเหล่านี้ยังคงบทบาทสำคัญกับวิถีชีวิต เพราะอย่างที่คุณทราบ บรรดาสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีคงไม่ยินดีที่จะเปลี่ยนรสนิยมของตัวเอง แต่จากที่ผมสังเกตเห็น เด็กๆ ของตระกูลเริ่มหันมาสนใจจักรยานมากขึ้น…”


“ในช่วงหลัง ชีวิตของผมดำเนินไปอย่างราบรื่น มีโอกาสแวะไปยังวิหารนักบุญแซมมวลและกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็นหลายวันต่อสัปดาห์ เข้าร่วมกิจกรรมของพวกเขาและบริจาคเงินสดเรื่อยๆ นอกจากนั้นก็ยังแวะไปชมการแข่งม้าเป็นครั้งคราว ชมละครเวที การแสดงดนตรี แวะไปที่สโมสรเพื่อเล่นไพ่ ตีกอล์ฟ ได้เป็นทั้งเจ้าภาพและแขกในงานเลี้ยงสุดสัปดาห์ งานเต้นรำ และซาลอน”


“ลืมบอกไป ผมซื้อคฤหาสน์แล้ว เดิมทีเป็นของตระกูลดยุคนีแกน ชื่อของมันคือ ‘เพลงกุหลาบ’ มีไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์คุณภาพสูงเป็นของตัวเอง นอกจากนั้นยังกินพื้นที่ป่าและทุ่งกว้าง สามารถเพาะปลูกและล่าสัตว์ อาคารหลักเป็นบ้านหลังใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีสี่ชั้น มีห้องหลายห้อง จากที่ผมลองสำรวจดู กว่าจะเดินจนทั่วก็ต้องอย่างน้อยหนึ่งหมื่นก้าว โดยยังไม่ได้ออกจากตัวอาคารแม้แต่ก้าวเดียว นอกจากนั้นก็ยังมีประติมากรรม จิตรกรรม และเครื่องเรือนที่งดงามอีกจำนวนมาก งดงามราวกับพระราชวัง”


“บางที คำอธิบายของผมอาจฟังดูเกินจริง เพราะท้ายที่สุด ผมยังไม่เคยเห็นวังจริงๆ มาก่อน นี่เป็นคฤหาสน์ใหญ่หลังแรกที่มีโอกาสครอบครอง ย้อนกลับไปสมัยอยู่ทิงเก็น ผมยังไม่ลืม ตอนนั้นผมอาศัยอยู่ในห้องเช่าที่มีเพียงสองห้องย่อย ใช้ชีวิตร่วมกับพี่ชายและน้องสาว ต้องนอนหลับไปพร้อมกับกลิ่นถ่านทุกวัน”


“คฤหาสน์หลังนี้ถูกแนะนำมาโดยรองผู้อำนวยการ MI9 โจนาส·โคลเกอร์ ค่าใช้จ่ายรวมสองหมื่นปอนด์ แต่คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของผม การไปเยือนทวีปใต้ได้สร้างกำไรมหาศาล นอกจากนั้นยังมีการขายสมบัติวิเศษออกไป ปัจจุบันจึงมีเงินสดมากกว่าหนึ่งหมื่นเจ็ดพันปอนด์ ทองคำแท่งอีกหนึ่งหมื่นห้าพันปอนด์ และเหรียญทองอีกมาก”


“ผมค่อนข้างพึงพอใจกับคฤหาสน์เพลงกุหลาบ อดีตบุรุษรับใช้ส่วนตัวของผม ริชาร์ดสัน ถูกส่งไปเป็นคนดูแลคฤหาสน์ที่นั่น ปัจจุบันเป็นฤดูใบไม้ร่วง ผมเฝ้ารอที่จะเชิญแขกพิเศษมาร่วมใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์อันแสนสุขที่นั่นด้วยกัน หวังว่าริชาร์ดสันจะพร้อม”


“โลกผู้วิเศษในกรุงเบ็คลันด์ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ผมหวังว่าจะเป็นแบบนี้ต่อไปนานๆ”


“กระจกวิเศษที่ผมเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ ปัจจุบันได้รับการฟื้นฟูจนดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังคงหลงเหลืออาการเครียดจากการถูกอามุนด์ทารุณ หากผมถามเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น มันจะเปลี่ยนสีของตัวอักษรทันที เอาแต่ตอบมั่วๆ และขอให้ผมชมเชยมัน”


“นอกจากนั้น มันยังมีมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการออกจากวิหารของเทพจักรกลไอน้ำ ดูเหมือนว่ากระจกบานนั้นคิดจะอยู่ต่อไปอีกสักพัก เนื่องจากไม่มีที่ใดปลอดภัยกว่าเดิม โดยมันวางแผนที่จะยกระดับการแสดงภัยคุกคาม เพื่อให้ทางโบสถ์เลื่อนไปเป็นสมบัติปิดผนึกระดับ 1 และถูกเก็บรักษาด้วยความปลอดภัยที่สูงกว่าเดิม ความคิดของมันทำให้ผมประหลาดใจได้เสมอ”


“ต้องขอบใจคำตอบบางส่วนของมัน ผมพบวิธีสร้างความมืดที่บริสุทธิ์ด้วยตัวเอง นั่นคือการสร้างยันต์ในขอบเขตรัตติกาลที่มีคุณสมบัติความฝัน ต้องได้รับการตอบสนองจากเทพธิดารัตติกาลโดยตรง พลังชนิดนี้ถูกจำแนกให้เป็นความมืดบริสุทธิ์ นอกจากนั้น หลังจากเผชิญความล้มเหลวหนแล้วหนเล่า ในที่สุดผมก็เชี่ยวชาญการสลักสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยการเข้าฌาน สามารถสร้างวัตถุที่ต้องการสำเร็จ”


เขียนถึงตรงนี้ ไคลน์ที่กำลังนั่งบนโซฟาและใช้ต้นขารองกระดาษ ยกปากกาขึ้นและใช้มือลูบหน้าผาก


ความล้มเหลวหนแล้วหนเล่าหมายถึงการสูญเสีย ‘หนอนวิญญาณ’ จำนวนมากอย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งที่หนอนวิญญาณถูกแบ่งออกจากร่าง สำหรับมัน นั่นคือความเจ็บปวดแสนสาหัสราวกับร่างวิญญาณแหลกสลาย ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะฟื้นฟูกลับมา


ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาทและเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ไคลน์จะไม่แบ่งหนอนวิญญาณจนร่างกายถึงขีดจำกัด เมื่อครบสามถึงสี่ตัว มันจะพักสองถึงสามวัน จากนั้นก็พยายามฝึกสลัก ทำๆ หยุดเช่นนี้จนกระทั่งเข้าใจกระบวนการอย่างถ่องแท้ ประสบความสำเร็จในการสร้างวัตถุ


ชำเลืองไปทางแผ่น ‘เพชร’ สี่เหลี่ยมผืนผ้าข้างๆ พิจารณาจากแสงหักเหที่ซ้อนทับ เมื่อมันเห็นชั้นของอักขระลึกลับที่ถูกขยายเข้าไปในความว่างเปล่า ศีรษะพลันวิงเวียน คล้ายกับกำลังจ้องมองส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์


เราจะเรียกมันว่า ‘ยันต์วันวานอีกครั้ง’ … ไคลน์ถอนสายตากลับ เขียนต่อไป


“พายุเข้าฝั่งอีกแล้ว ทั้งสองสภาของอาณาจักรกำลังประชุมตามวาระเพื่อร่างพระราชบัญญัติที่สำคัญ ปีใหม่เริ่มใกล้เข้ามาทุกที ผมมีลางสังหรณ์บางอย่างและเกิดความกังวลอย่างอธิบายไม่ถูก”


“ผมขอให้คุณฟื้นตัวและตื่นขึ้นมาโดยเร็ว”


“จากศิษย์ของคุณตลอดไป ไคลน์·โมเร็ตติ”


วางปากกาลง พับกระดาษจดหมาย ไคลน์เป่านกหวีดทองแดงเพื่ออัญเชิญผู้ส่งสารกระดูกที่สูงเกือบสี่เมตร


แตกต่างจากคราวก่อน ผู้ส่งสารโผล่ออกมาแค่หัวและแขน ส่วนที่เหลือจมอยู่ใต้พื้น


ฉากตรงหน้าทำให้อีกฝ่ายดูเตี้ยกว่าไคลน์มาก


นั่นสินะ ตอนนี้เราอาจถูกจำแนกให้เป็นข้ารับใช้ของมรณาแล้วก็ได้… ไคลน์ยื่นจดหมายให้ผู้ส่งสาร เฝ้ามองมันแตกตัวกลายเป็นน้ำตกกระดูกสีขาว ร่วงหล่นลงไปใต้พื้น


จนกระทั่งหมดเสร็จ ชายหนุ่มหยิบยันต์ ‘วันวานอีกครั้ง’ ขึ้นมาวางบนที่พักแขนโซฟา


นี่คือผลผลิตที่ประสบความสำเร็จชิ้นแรก ไคลน์จึงต้องการทดลองใช้ดูก่อน เพราะการสร้างใหม่หลังจากนี้ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป


ส่วนคำถามที่ว่า การยืมพลังของตัวเองจากในประวัติศาสตร์จะเป็นอันตรายหรือไม่ ไคลน์ลองทำนายเบื้องต้นบนมิติเหนือสายหมอกแล้ว แต่มิได้คาดหวังมากนัก เพราะถ้าเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเดอะฟูลหรือเจ้าของประตูแห่งแสง พลังของมิติหมอกอาจคอยกีดขวางผลทำนาย


อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ระบุว่า: ปลอดภัยมาก


จดจ้องแผ่นเพชรสักพัก ไคลน์สลัดความลังเล พ่นถ้อยคำเฮอร์มิสโบราณ:


“ประวัติศาสตร์!”


สาเหตุที่มันทดลองบนโลกความจริงมากกว่าบนมิติหมอก เพราะกังวลว่าพื้นที่ลึกลับแห่งนั้นจะกีดขวางการย้อนอดีต


ท่ามกลางเสียงขึงขัง ไคลน์ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในยันต์วันวานอีกครั้ง


ริ้วแสงสว่างออกจากยันต์ในลักษณะคล้ายเส้นผม ก่อนจะปกคลุมโดยรอบอย่างชัดเจนและหมดจด


ฉากแล้วภาพเล่าปรากฏต่อหน้าไคลน์อย่างคลุมเครือ


ภาพของตนกำลังเต้นกับดาลีย์·ซิโมเน่ข้างศพอินซ์·แซงวิลล์


ภาพของดอน·ดันเตสเจ้าของจอนสีขาวที่มีบุคลิกสง่างาม


ภาพของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่กำลังกดหมวกทรงกึ่งสูงและร่อนลงบนเรือทิวลิปดำ


ภาพของอุกกาบาตตกลงมาจากท้องฟ้า โดยมีเชอร์ล็อก·โมเรียตี้กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอด


ภาพของทารกที่กำลังแผดเสียงร่ำไห้ในบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬ โดยมีไคลน์·โมเร็ตติกำลังใช้ยันต์เพลิงสุริยัน


ภาพของนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังใช้ปืนลูกโม่เล็งขมับตัวเอง


หลังจากฉากเหล่านี้จบลง ภาพเดียวที่เหลืออยู่คือสายหมอกสีเทา


และจนกระทั่งพลังของยันต์เหือดแห้ง ไคลน์ก็ยังไม่พบจุดสิ้นสุดของสายหมอก


เป็นอย่างที่คิด การเดินทางข้ามโลกของเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับมิติสายหมอกและประตูแห่งแสงนั่น… ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า เราเคยนอนในรังไหมที่ถูกแขวนเหนือประตูแสง แต่ไม่รู้ว่านานแค่ไหน… เทียบกับเมื่อครั้งที่ได้เห็นประตูแห่งแสงครั้งแรก ไคลน์ในปัจจุบันค่อนข้างสงบ คล้ายกับทำใจไว้บ้างแล้ว


ฟู่ว… ถัดไป เราจะสร้างยันต์วันวานอีกครั้งให้วิลสองแผ่น… ยันต์ชนิดนี้ไม่มีประโยชน์กับเรา… ช่วงนี้คงต้องหยุดแวะไปที่บ้านหมอนั่นและป้อนไอศกรีมสัปดาห์ละครั้ง สาวใช้ในบ้านเริ่มมองเราด้วยสายตาแปลกๆ แล้ว… ตอนนี้เราเข้าใจเทคนิคการ ‘สลักด้วยการเข้าฌาน’ แล้ว สามารถพิจารณาถึงการใช้หนอนกาลเวลาเพื่อสร้างเป็นกระสุนวิเศษ… อา… เลียวนาร์ดแจ้งว่า ในอีกไม่กี่วัน เขาจะเดินทางไปที่ทิงเก็นและพยายามขโมยพลังจากตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันที่กลายพันธุ์… ไคลน์ยกมือขึ้นลูบหน้าผาก ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากโซฟา


ในการชุมนุมทาโรต์ครั้งล่าสุด เลียวนาร์ดแสดงสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์และอักขระเวทมนตร์สี่ชนิดที่พาลีส·โซโรอาสเตอร์มอบให้ ทั้งหมดเป็นของเส้นทางนักจารกรรม ชนิดแรกสามารถทำให้ศัตรูเข้าใจผิด เกิดข้อผิดพลาดในการตัดสินใจ ชนิดที่สองจะทำการขโมยพลังพิเศษสามอย่างล่าสุดที่เป้าหมายใช้ออกมา ชนิดที่สาม หากศัตรูไม่สามารถต้านทาน สามารถสูบอายุขัยของเป้าหมายได้ในปริมาณมหาศาล เข้าสู่ภาวะแก่ชราในชั่วพริบตา และชนิดสุดท้าย ทำการสร้าง ‘หนอนกาลเวลา’ ตัวจริงที่มีอายุขัยสั้น สามารถส่งเข้าไปในร่างกายเป้าหมายในฐานะปรสิต จากนั้นก็ควบคุมจากภายใน


หนอนกาลเวลาเจ็ดตัวที่ไคลน์เคยมี สามตัวถูกนำไปสร้างเป็นยันต์โจรปล้นดวงล่วงหน้า หนึ่งแผ่นแบ่งให้มิสจัสติสตามสัญญา อีกสองแผ่นเก็บไว้ใช้เอง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไคลน์ยังเหลือหนอนกาลเวลาอีกสี่ตัวพอดี สามารถทดลองสร้างวัตถุวิเศษทั้งสี่ชนิดได้อย่างละหนึ่งครั้ง อย่างไรก็ตาม สัญชาตญาณได้บอกกับมันว่า อาจมีบางชิ้นที่ไม่ประสบความสำเร็จ


สำหรับหนอนกาลเวลาสองตัวที่เลียวนาร์ดได้รับ ตัวหนึ่งกลายเป็นยันต์โจรปล้นดวง – เลียวนาร์ดทำตามคำแนะนำของ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ สวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลและได้รับการตอบสนอง ส่วนอีกหนึ่งแผ่น มันอาศัยความช่วยเหลือจากพาลีส·โซโรอาสเตอร์ สร้างเป็นยันต์ปรสิต


หลังจากหมกตัวเองเพื่อทำการทดลองอยู่พักใหญ่ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตกเย็น ไคลน์ประสบความสำเร็จทั้งสิ้นห้าครั้ง และล้มเหลวหนึ่งครั้ง ได้รับยันต์วันวานอีกครั้งสองแผ่น ได้รับกระสุนปรสิต กระสุนหลอกลวง และกระสุนช่วงชิง


สิ่งที่ล้มเหลวคือกระสุนชราภาพ สาเหตุน่าจะเป็นเพราะว่า ปริมาณพลังของมิติเหนือสายหมอกที่ตัวมันในปัจจุบันสามารถรวบรวมได้ ยังมีระดับไม่เพียงพอสำหรับการสร้าง


นั่งจ้องกระสุนวิเศษทั้งสามนัดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน โปร่งใส่ผสมโปร่งแสง ไคลน์ถอนหายใจโล่งอกพร้อมกับนำลูกโม่ลางมรณะออกมาถือ บรรจุกระสุนทั้งสามนัดลงไปทีละหนึ่ง – ในโม่มีกระสุนคุมวิญญาณถูกบรรจุอยู่ก่อนแล้วสามนัด


เก็บกวาดแท่นบูชาเสร็จ มันเดินออกจากห้องนอน ลงไปยังห้องอาหารที่ชั้นสอง กล่าวกับพ่อบ้านวอลเตอร์ที่กำลังยืนรอ:


“ตามรายชื่อที่ผมส่งให้ รบกวนเชิญบรรดาแขกพิเศษมาล่าสัตว์ที่ชานเมืองในช่วงสุดสัปดาห์ด้วย”


“ครับ นายท่าน” วอลเตอร์เตรียมพร้อมแล้ว ตอบเสียงขึงขัง



เมืองทิงเก็น บ้านเลขที่ 36 ถนนซุตแลนด์


เลียวนาร์ดลงจากรถม้า มองไปยังอาคารที่สร้างขึ้นใหม่ด้วยสีหน้าซับซ้อน ลืมที่จะเดินเข้าไป

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1013 : ต่างคนต่างเติบโต

 

ในอดีต อาคารหมายเลข 36 ถนนซุตแลนด์จะมีฐานเป็นซีเมนต์ หน้าต่างสองบานในแต่ละชั้นจะเป็นทรงหัวมนซึ่งถูกปิดมิดชิด มีกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมในยุคสมัยที่ห้าช่วงก่อนปีหนึ่งพันสามร้อย แสงจากธรรมชาติส่องผ่านเข้าไปได้น้อย


แต่หลังจากสร้างใหม่ ชั้นล่างมีเฉลียงขนาดเล็กรอบทางเข้า ซ้ายขวาเป็นมุขหน้าต่างสองบานสูงจากชั้นหนึ่งถึงชั้นสอง กรอบหน้าต่างและต้นเสาหินคั่นกลางที่ถูกตกแต่งอย่างประณีต คอยค้ำจุนคานหินแนวนอนที่มั่นคงแข็งแรง ถัดขึ้นไปจากมุขหน้าต่างเป็นกำแพงอิฐสูงถึงชั้นสาม


นี่คือสถาปัตยกรรมอาคารสามชั้นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีหลัง


ขณะจิตใจเริ่มเหม่อลอย เลียวนาร์ดรู้สึกราวกับตนมาผิดที่


มันได้สติหลังจากผ่านไปสิบวินาที ในสภาพถือไม้ค้ำเลี่ยมเงิน เลียวนาร์ดก้าวเข้าสู่อาคารหมายเลข 36 ถนนซุตแลนด์ เดินขึ้นบันไดวนจนกระทั่งเห็นประตูสีดำและป้ายแนวตั้ง


“บริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬ”


อา… คล้ายกับมันได้รับความรู้สึกเก่าๆ กลับคืน เลียวนาร์ดเร่งความเร็ว ผลักประตูที่เปิดค้างไว้


ขณะกำลังอ่าน ‘ทิงเก็นซื่อตรง’ เมื่อสตรีผมสีน้ำตาลได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่ว เธอรีบขยับหนังสือพิมพ์ในมือจนเผยให้เห็นหน้าผากขาวเนียน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน และใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดู


“…ทิวาสวัสดิ์ โรแซน” เลียวนาร์ดทักทายด้วยความลังเลเล็กน้อย


โรแซนเผยสีหน้าตกตะลึงในตอนต้น ก่อนจะทำหน้าซึมและกล่าวเสียงเย็นชา


“ทิวาสวัสดิ์… ขอแสดงความยินดีที่ได้แก้แค้นให้หัวหน้ากับไคลน์”


เลียวนาร์ดอ้าปาก แต่ไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไร ไม่แม้แต่จะถอดหมวก ทั้งที่มันไม่ชอบใส่หมวก


มันฝืนยิ้ม พยักหน้าเล็กๆ และเดินผ่านโรแซน เข้าไปในประตูหลังฉากกั้น


ขณะจะเดินผ่านเข้าเขตสำนักงาน มันได้ยินเสียงโรแซนกล่าวแผ่วเบามาจากด้านหลัง


“ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข…”


เลียวนาร์ดลดความเร็วลง ผงกศีรษะหนักแน่น


มาถึงเขตด้านใน เพียงไม่นานมันก็ได้พบกับฟรายที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องหัวหน้า


ผู้เก็บซากศพยังคงมีผิวสีซีดเนื่องจากไม่ได้ตากแดดเป็นเวลานาน ผมสีดำ ตาสีฟ้า จมูกโด่งตั้งตรง ริมฝีปากบาง บรรยากาศเยือกเย็นและมืดมน


เลียวนาร์ดประสานสายตากับอีกฝ่ายสองวินาทีเต็ม ตามด้วยถอนหายใจ ยิ้มกว้างและพูด


“ไม่ได้เจอกันนาน”


“ทิวาสวัสดิ์ ไม่เจอกันนาน” ฟรายชี้ไปทางห้องทำงานของหัวหน้า “ผมได้รับโทรเลขและทราบความต้องการของคุณแล้ว จะมีเหยี่ยวราตรีสองคนออกไปทำภารกิจร่วมกับคุณ… แต่ก่อนอื่น คุณต้องกรอกเอกสารสำหรับเบิกสมบัติปิดผนึก”


เลียวนาร์ดยิ้มเล็กๆ เจือความประหลาดใจ


“คุณเป็นหัวหน้าแล้วหรือ? ไม่เงียบเหมือนเหมือนก่อนแล้วสินะ”


อันที่จริง เลียวนาร์ดย่อยโอสถนักปลอบวิญญาณเสร็จแล้ว สามารถเลื่อนเป็นลำดับ 5 จอมอาคมวิญญาณได้ทันที แต่เพื่อโอกาสในการขโมยหยดเลือดสุริยันเจิดจรัส มันจงใจรายงานเท็จและไล่ปลอบวิญญาณรอบๆ เบ็คลันด์จนหมด ในที่สุดก็มีข้ออ้างมาเยือนทิงเก็น


“ใช่” ฟรายพยักหน้า “อันที่จริง ผมก็ยังไม่ชอบพูดเหมือนเดิม แต่มันจำเป็นในฐานะหัวหน้า”


เลียวนาร์ดพยักหน้า


“คุณได้เป็นหัวหน้าตอนไหน? ผมไม่ได้ยินข่าวเลย…”


“เมื่อไม่นานมานี้เอง” ฟรายตอบห้วนในตอนต้น “หลังจากคุณออกไป ผมได้เลื่อนเป็นนักขุดสุสาน และประสบความสำเร็จในการเลื่อนเป็นผู้สื่อวิญญาณเมื่อเดือนก่อน… ประจวบเหมาะกับการที่หัวหน้าคนก่อนย้ายออกไปพอดี”


“เร็วมาก…” ยังไม่ทันจะกล่าวจบประโยค มันกำหมัดและทุบหัวตัวเองเบาๆ “ผมลืมไปได้ยังไงว่าไคลน์เคยแบ่งปันเรื่องนั้นกับทุกคนแล้ว”


มันลดมือลง หันไปยิ้มให้ฟราย


“ถ้าอย่างนั้น อนาคตของคุณค่อนข้างสดใสทีเดียว อาจไปถึงระดับอาวุโส”


ฟรายชำเลืองเล็กน้อย ถอนสายตากลับและตอบ


“ผมคิดว่าจะไม่เลื่อนลำดับอีกแล้ว”


“เพราะอะไร?” เลียวนาร์ดเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว หยุดลงข้างๆ ฟรายด้วยสีหน้าประหลาดใจ


ฟรายแหงนมองเพดาน ตอบเสียงต่ำและเชื่องช้า


“ผมอยากอยู่ที่นี่… ปกป้องที่นี่… ตลอดไป”


เลียวนาร์ดแน่นิ่งไปพักใหญ่ ไม่มีการตอบสนองใดๆ


เมื่อมองไปรอบตัว มันพบว่าแม้ที่นี่จะถูกปรับปรุงครั้งใหญ่ แต่ลึกๆ แล้วยังมีบางสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง


หลังจากเงียบไปนาน ฟรายกล่าวต่อ


“ผมจะส่งคนไปกับคุณสองคน”


กล่าวจบ มันเดินไปยังห้องใต้ดิน เลียวนาร์ดตามหลังไปในสภาพเหม่อลอย


ในห้องสำนักงานด้านล่าง เมื่อประตูเปิดออก สิ่งที่เลียวนาร์ดเห็นคือเหยี่ยวราตรีหลายคนกำลังจับกลุ่มเล่นไพ่ – พิชิตจอมมาร


เมื่อตระหนักถึงการมาเยือนของหัวหน้า ทุกคนวางไพ่ลงและลุกขึ้นยืน


เลียวนาร์ดกวาดสายตาไปรอบๆ และพบใบหน้าที่คุ้นเคยสองคน หนึ่งคือรอยัล เจ้าของเส้นผมสีดำขลับ และอีกหนึ่งคือซิก้า ผมสีขาวดวงตาสีดำ


ขณะเดียวกัน มันได้พบกับคนที่ไม่รู้จักอีกจำนวนหนึ่ง พบเงินและไพ่วางอยู่บนโต๊ะ มีทั้งเหรียญเพนนีและซูล


เพียงพริบตา มันดำดิ่งสู่ห้วงภวังค์ การมองเห็นพร่ามัวในทันที



น่านน้ำของหมู่เกาะรอสต์ ภายในท่าเรือเล็กๆ ที่มีหมู่บ้านชาวประมง บนอนาคตกาล ภายในห้องโดยสารชั้นล่าง


แฟรงค์·ลีม้วนแขนเสื้อขึ้น ยืนกอดอกและตรวจสอบเห็ดตรงหน้าด้วยความระมัดระวัง


เห็ดเบื้องหน้า เมื่อนับรวมกับหมวกเห็ดจะมีความสูง 1.8 เมตร บนผิวสีขาวมีจุดสีแดงหลายจุด ลักษณะคล้ายดวงตา จมูก และปาก


นอกจากนั้น ลำต้นของมันยังมีสปอร์ยื่นออกมา รวมถึงเส้นใยสีขาวที่แข็งแรงพอๆ กับหนวดรยางค์


แฟรงค์จ้องเห็ดยักษ์หัวจรดเท้า จากนั้นก็มองไปรอบๆ ตามผนังที่เต็มไปด้วยเห็ดน้อยใหญ่มากมาย ตามด้วยการกล่าวกับ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ด้านข้าง


“ไม่เลว การทดลองมีความคืบหน้าอีกครั้ง เห็ดต้นนี้มีความปรารถนาที่จะขยายพันธุ์อย่างแรงกล้า และนั่นยิ่งทำให้มันหิว เมื่อหิวก็จะหาเลือดเนื้อของสัตว์ประหลาดกิน… แต่เมื่อถูกนำไปย่างหรือต้มจนสุก พฤติกรรมเหล่านี้ก็จะหยุดลง ไม่หลงเหลือความน่ากลัว… หืม… รสชาติเป็นยังไงบ้าง? เมื่อกี้นายลองชิมแล้วใช่ไหม? ผลผลิตของมันจะมีรสชาติแบบสุ่ม ประกอบด้วยเนื้อ ปลา และข้าวสาลี ในบางครั้งก็เป็นเห็ดที่เต็มไปด้วยนมสด เห็ดหนึ่งต้นเทียบเท่าอาหารเช้าหนึ่งมื้อ… ไม่ต้องดูที่ไหนไกล ลูกเรือของเรือลำนี้เลิกดื่มเหล้ากันหมดแล้ว เพราะมีเห็ดให้เด็ดเต็มไปหมด… ฉันกำลังคิดว่า ในหลายๆ ครั้ง การต้องไปเยือนถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกลความเจริญ ลำพังการพกเห็ดแห้งยังไม่พอ แต่ต้องหาสัตว์ประหลาดเพื่อจัดการด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีอาหารให้เห็ดเจริญเติบโต ฟังดูยุ่งยากชะมัด… คงจะดีกว่านี้ถ้าพัฒนาเห็ดสามารถเติบโตบนร่างกายของเรา เพราะนั่นจะเป็นการขจัดปัญหาหลายๆ เรื่องในคราวเดียว นายก็คิดแบบนั้นใช่ไหม?”


‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ผอมกว่าสมัยที่อยู่ในบายัมมาก ดวงตาก็หมองคล้ำ ขาดชีวิตชีวา


ได้ยินคำพูดแฟรงค์ คล้ายกับมันนึกถึงเรื่องราวในอดีต ร่างกายพลันสั่นเทาพร้อมกับนั่งยองลง อ้าปากกว้างและส่งเสียงอาเจียน


“นายยังไหวไหม? ฉันรู้ว่านายทำงานหนักกว่าใคร และรู้สึกขอบคุณจากก้นบึ้ง” แฟรงค์กล่าวกับช่างฝีมือด้วยความจริงใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะนาย เห็ดของฉันคงไม่มีแนวโน้มในการขยายพันธุ์มากขนาดนี้ แถมยังมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษท่ามกลางแสงจันทร์ สามารถชำระล้างร่างกายตัวเองได้ ขจัดสารพิษตกค้างที่สั่งสมหลังจากกินซากศพสัตว์ประหลาด… แต่ปัญหาเดียวก็คือ ในความมืดมิดย่อมไม่มีแสงจันทร์ นั่นคือสิ่งที่ยังต้องปรับปรุงต่อไป”


ชาฟฟ์มิได้กล่าวคำใด หลังจากอาเจียนเสร็จ มันรีบลุกขึ้นยืนและหันหลัง เตรียมวิ่งออกไปนอกห้อง แต่กลับถูกเส้นใยสีขาวหนาๆ แผ่ออกมาพันร่างและดึงกลับ


“อ…เอาสมบัติวิเศษของฉันคืนมา! ปล่อยให้ฉันตายไปพร้อมกับเห็ดพวกนี้!” มันแหกปากอย่างบ้าคลั่ง น้ำเสียงหรี่ลงเรื่อยๆ เมื่อปากถูกปิดสนิท


ในเวลาเดียวกัน ที่ใดสักแห่งด้านนอกหมู่บ้านชาวประมง เถาวัลย์สีเขียวเข้มหัวตัวอย่างรวดเร็ว คล้ายกับเป็นการเติบโตแบบย้อนกลับ


‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาเดินออกมาจากม่านเถาวัลย์ ดวงตาสีม่วงเข้มเจือแสงสีเงินสว่าง


เสียงเพรียกที่ดังมาจาก ‘ปราชญ์เร้นลับ’ ยังคงกังวานในหัว แต่หญิงสาวกลับไม่พบว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสยดสยองอีกต่อไป สามารถอดทนได้ดีกว่าเมื่อก่อน และในการมองเห็นปัจจุบัน ร่างมายาจำนวนมากที่ยากจะอธิบายกำลังลอยวนเวียน ซ้อนทับราวกับม่านแผ่นหนา มอบความรู้สึกคล้ายกับถูกจ้องมองจากที่ใดสักแห่ง


เมื่อเทียบกับอดีต ตัวเธอในตอนนี้สามารถมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังม่านทึบได้ชัดเจน และยังสามารถมองเห็นหลากสีสันบนดวงจันทร์เหนือท้องฟ้า ไม่ว่าจะสีแดงเลือด สีเงิน สีน้ำตาลเข้ม สีน้ำเงินสว่าง ดูคล้ายกับดวงตาที่จ้องมองลงมายังโลก


แคทลียาพึมพำเล็กน้อยก่อนจะถอนสายตากลับ ไม่กล้ามองนาน


อาศัยการวิเคราะห์และจำแนกโลหิตของอสรพิษแห่งชะตา แคทลียาเสร็จสิ้นพิธีกรรมและได้รับเศษเสี้ยวความเป็นเทพ กลายเป็น ‘ปราชญ์พิศวง’ ลำดับ 4 แห่งเส้นทางผู้ส่องความลับ


อย่างไรก็ตาม เธอยังไม่ลืมในสิ่งที่ราชินีเงื่อนงำเตือน:


จากยี่สิบสองเส้นทางทั้งหมด ลำดับ 4 ของเส้นทางผู้ส่องความลับต้องเผชิญความเสี่ยงมากกว่าใคร เพราะมักจะได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควร ได้ยินในสิ่งที่ไม่ควร และสัมผัสในสิ่งที่ไม่ควร


ดังนั้น หากปราชญ์พิศวงอยากมีอายุยืน ต้องรู้จักระงับความอยากรู้อยากเห็น ต้องควบคุมพฤติกรรมอย่างเคร่งครัด


หลังจากนำแว่นที่ห้อยบนเสื้อมาสวมดั้งจมูก แคทลียาพบว่า ภาพเหนือธรรมชาติที่ไม่ควรมีอยู่บนโลกความจริง มิได้เลือนหายไปจากการมองเห็น


เธอส่ายหน้าเล็กน้อย เกิดเป็นความพอใจกึ่งรำพัน ยอมรับชะตากรรมว่าแว่นตาอันนี้ไม่สามารถปิดกั้นเนตรส่องความลับได้อีกต่อไป


เธอหลับตาลงและลืมขึ้นใหม่ ดวงตาของหญิงสาวกลับไปเป็นสีเข้มตามปรกติ ปราศจากแสงสีม่วงเข้มและเงินสว่าง


ฟู่ว… แคทลียาถอนหายใจโล่งอก เดินกลับไปทางอนาคตกาลอย่างไม่รีบร้อน ประหนึ่งแค่ออกมาเดินเล่นกินลมชมวิว


หญิงสาวมิได้คิดจะประกาศตัวว่าตนกลายเป็นครึ่งเทพ และไม่รีบร้อนที่จะเลื่อนตำแหน่งไปเป็นราชาคนที่ห้าแห่งท้องทะเล เพราะสำหรับเธอ นี่เป็นหนึ่งในไพ่ตายแสนสำคัญบนโลกที่เต็มไปด้วยอันตราย หากไม่จำเป็นก็ไม่ควรรีบเผย



ย่านทิศใต้ของสะพานเบ็คลันด์ ถนนกุหลาบ


ขณะรถม้าของเอ็มลินเลี้ยวเข้ามาในถนน มันเห็นร่างอันพร่ามัวปรากฏขึ้นบนที่นั่งฝั่งตรงข้าม เป็นชายผมกระเซิง สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีดำ ไม่ใช่ใครนอกจากวิญญาณอาฆาตหนุ่ม


“ไม่ได้พบกันนาน มิสเตอร์มาริค” เอ็มลินเผยรอยยิ้มสงบนิ่ง


มาริคพยักหน้ารับ


“ผมมาเพื่อแจ้งว่า ทางเราพร้อมแล้ว สามารถปรึกษาแผนได้ทันที”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1014 : พัฒนาการของแต่ละคน

 

“ตกลง” เอ็มลินขานรับอย่างใจเย็น


มาริคไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงหายตัวไปทั้งอย่างนั้น


มันเองก็ทราบว่าแผนการใหญ่เช่นนี้ไม่สามารถพูดคุยให้จบในคราวเดียว เอ็มลินจึงตัดสินใจกลับไปขอคำแนะนำจากเบื้องบนก่อน


นี่อาจเป็นโอกาสที่เราจะได้เป็นเอิร์ลและครอบครองเศษเสี้ยวความเป็นเทพ… เอ็มลินยิ้ม เฝ้ามอง ‘วิญญาณอาฆาต’ มาริคจากไปอย่างเงียบงัน


แน่นอน มันยังย่อยสูตรโอสถของปราชญ์สีชาดไม่เสร็จ แต่โอกาสที่ว่านั้นหมายถึง คำมั่นสัญญาที่จะช่วยประกอบพิธีกรรมหรือสูตรโอสถที่เกี่ยวข้อง


รถม้าแล่นไปจนกระทั่งหยุดลงที่วิหารฤดูเก็บเกี่ยว เอ็มลินชำเลืองหมอกสีเทาบนท้องฟ้าด้วยสายตาพึงพอใจ ลงจากรถอย่างไม่รีบร้อน เข้าไปทางประตูหน้าของวิหาร


เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนักบวชสีน้ำตาลเสร็จ มันหยิบผ้าขี้ริ้วและถังน้ำสะอาด เช็ดผิวเชิงเทียนอย่างระมัดระวังทั้งสองฝั่ง


เมื่อเห็นหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ที่ดูเหมือนจะสูงขึ้นจากเดิม เสร็จการเทศนาธรรมช่วงเช้า เอ็มลินหยุดมือพร้อมกับหันไปถาม


“ทำไมเออร์เนสถึงได้รับอนุญาตให้กลับ?”


“เขาขอเป็นอาสาสมัครแค่หนึ่งเดือน” หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ตอบคำถามเอ็มลินห้วนๆ ไม่แสดงท่าทีเบื่อหน่ายคำถามซ้ำๆ ของอีกฝ่าย


เมื่อนึกทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เอ็มลินรู้สึกไม่ยุติธรรม อดไม่ได้ที่จะบ่น


“เจ้านั่นถูกบังคับให้เป็นอาสาสมัคร มิได้มาด้วยความสมัครใจ ไม่ควรกำหนดเวลาเองได้ อย่างน้อยก็ต้องทำงานสักครึ่งปี!”


หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ตอบด้วยรอยยิ้ม


“เขาทำงานได้ดี เป็นการทำงานอย่างหนักตลอดทั้งเดือน คัดลอกพระคัมภีร์และคอยชี้ทางสว่างแก่สาวก ผมสัมผัสได้ว่า เขาตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตและการเก็บเกี่ยวเป็นอย่างดีแล้ว”


กล้ามเนื้อใบหน้าเอ็มลินกระตุกเล็กน้อย


“เจ้านั่นเอง… เอ่อ… กำลังจะกลายเป็นสาวกของพระแม่ธรณีเหมือนกันใช่ไหม?”


“ไม่ ผมไม่ได้บังคับให้เขาเปลี่ยนความเชื่อ” หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ตอบเสียงอ่อนโยน “ผมแค่สอนให้เขารู้จักหลักคำสอนของพระแม่ สัมผัสถึงคุณค่าแห่งชีวิต และหากในอนาคตเกิดหลงทาง ผมหวังว่าเขาจะหวนนึกถึงบ้านเกิดของดวงวิญญาณ – อ้อมกอดของพระแม่”


ริมฝีปากเอ็มลินกระตุกสองสามหน แต่สุดท้ายก็มิได้กล่าวคำใด เพียงก้มหน้าลงและเช็ดต่อไป



เขตเชอร์วู้ด ภายในบ้านหลังหนึ่ง


ฟอร์สนั่งบนเก้าอี้พนักสูง มองขวดแก้วเปล่าบนโต๊ะตรงหน้า


ในที่สุดเธอก็ประสบความสำเร็จในการย่อยโอสถโหราจารย์ และสำหรับวันนี้ ภายใต้การคุมครองของซิล ฟอร์สนำสมองของอัสมานและวัตถุต้องสาปของวิญญาณอาฆาตโบราณ ปรุงเป็นโอสถ ‘นักบันทึก’ และรวบรวมความกล้าหาญดื่มลงไป


ทันใดนั้น หญิงสาวพบว่าสมองของตนขยายออกอย่างรวดเร็ว รอยหยักสีเทาและของเหลวสีขาวข้นเพิ่มจำนวนขึ้นมหาศาล ร่างกายซีดจางลงและแบ่งออกมาเป็นเซลล์ย่อยเล็กๆ


เซลล์เหล่านั้นเรียงตัวกันเป็นประตูแสงทรงกลดรอบๆ สมอง


ฟอร์สได้ยินเสียงเพียงอันคลุมเครือที่คุ้นเคยอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่เด่นชัดมากนัก มิอาจจำแนกความหมายของประโยค สำหรับเธอที่มีประสบการณ์นับไม่ถ้วน ของแค่นี้ไม่สามารถทำอะไรได้


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ในที่สุดฟอร์สก็สามารถควบคุมสมองและเซลล์ ตระหนักถึงการมีอยู่ของร่างกายตัวเอง


แทบจะในเวลาเดียวกัน องค์ความรู้มากมายพรั่งพรูเข้ามาในสมอง ช่วยให้เธอเข้าใจวิธีการใช้พลังชนิดต่างๆ ของนักบันทึก


‘สมอง’ พิเศษชนิดนี้สามารถเลียนแบบพลังที่เป้าหมายเพิ่งใช้งานออกมา จากนั้นก็บังคับเซลล์ให้เรียงตัวเป็นสัญลักษณ์ อักขระ ลวดลายที่เกี่ยวข้อง และจัดเก็บไว้เอาไว้ในร่างกาย


นี่คือ ‘ข้าบรรลุ ข้าประจักษ์ ข้าบันทึก’ ที่ใช้ดวงวิญญาณเป็นปากกา และร่างวิญญาณเป็นกระดาษ!


ในปัจจุบัน เราสามารถบันทึกพลังที่มีเศษเสี้ยวความเป็นเทพได้หนึ่งชนิด ยิ่งเป้าหมายมีลำดับสูง โอกาสล้มเหลวก็ยิ่งสูงตาม แม้ว่าจะเป็นแค่ลำดับ 4 แต่สิบครั้งก็อาจไม่สำเร็จเลยสักครั้ง… พลังของลำดับ 6 และ 5 สามารถบันทึกได้แปดครั้ง ประสิทธิภาพเทียบเท่าครึ่งหนึ่งของต้นฉบับ ส่วนลำดับ 7 ถึง 9 สามารถบันทึกได้ยี่สิบครั้ง ประสิทธิภาพใกล้เคียงของจริงมาก… ไว้โอสถถูกย่อยมากกว่านี้ ทุกด้านจะถูกยกระดับ… ฟอร์สซึมซับความรู้เข้ามาในร่างกาย พึมพำบางสิ่งอย่างเงียบงัน


แม้จะค่อนข้างซ้ำซ้อนกับ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ แต่ฟอร์สรู้สึกว่าการมีพลังพิเศษมากเกินไปนั้นไม่ใช่ปัญหา และทั้งสองแบบก็ยังส่งเสริมกันและกัน นอกจากนั้น เธอสามารถให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์เช่า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ได้ แต่พลังพิเศษของตัวเองนั้นไม่สามารถให้ใครยืม


เมื่อก้าวถึงลำดับ 6 เส้นทางผู้ฝึกหัดเริ่มมีพลังในการต่อสู้บ้างแล้ว! ฟอร์สรวบรวมสติ หันไปหาซิลด้านข้างและถอนหายใจ


เธอหยิบปากกาและกระดาษที่วางอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ เริ่มเขียนจดหมาย


“ถึงอาจารย์”


“ฉันมีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่า ตอนนี้ฉันกลายเป็นนักบันทึกเรียบร้อยแล้ว ห่างจากลำดับในฝันอย่างนักท่องเที่ยวเพียงแค่ก้าวเดียว”


หลังจากเขียนไปได้ไม่กี่ประโยค ฟอร์สมองเห็นจากหางตาว่าซิลกำลังเดินตรงไปที่ประตู เธอจึงตะโกนเรียกไล่หลัง


“นี่… วันนี้จะไม่ไปหาร้านอร่อยๆ ฉลองกันหรือ?”


ซิลตอบเสียงขรึม


“พลังวิญญาณของเธอยังไม่เสถียร ต้องใช้เวลาหลายวันในการปรับสภาพและเข้าฌาน… ห้ามสูบบุหรี่และดื่มเหล้าเด็ดขาด อย่าตามใจตัวเองมากเกินไป”


เมื่อเตือนเสร็จ เธอเสริมหนึ่งประโยค


“ฉันยังมีงานที่ต้องทำ ตอนนี้ใกล้จะแลกสูตรโอสถผู้พิพากษาได้แล้ว”


“…ก็ได้” ฟอร์สโบกมือ


เดินออกจากตัวบ้าน ซิลปลดล็อกโซ่และขึ้นขี่จักรยานที่ออกแบบมาสำหรับเยาวชน ปั่นไปยังเขตฮิลสตัน


จากข้อมูลที่เธอได้รับล่วงหน้า ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดได้จองโต๊ะไว้ในภัตตาคารสุดหรูละแวกดังกล่าว


หลังจากมาถึงภัตตาคาร ซิลล็อกจักรยานไว้กับโคมไฟแก๊สริมถนน หามุมซ่อนตัว เฝ้าสังเกตผู้คนที่เดินผ่านไปมา


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ท่ามกลางบรรยากาศหมอกบางๆ รถม้าคันหนึ่งโผล่ออกมาบนถนน ตราสัญลักษณ์ด้านข้างเป็นลวดลายดอกไม้และแหวนสองวง


ซิลเพ่งสมาธิทันที จนกระทั่งเห็นรถม้าหยุดลงที่หน้าทางเข้าภัตตาคาร และเห็นไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดในวัยกว่าสี่สิบเดินลงมาเป็นคนแรก ตามด้วยการหันไปยื่นมือให้ผู้โดยสารด้านหลังด้วยมาดของสุภาพบุรุษ


เป็นสตรีที่สวมเสื้อคลุมสีแดงเข้ม


ซิลมองไม่เห็นหน้าของสตรี พบเพียงคางมนๆ และผิวพรรณขาวกระจ่าง



ทะเลโซเนีย น่านน้ำทิศเหนือ บนโทสะสีคราม


ปลายเท้าของอัลเจอร์·วิลสันกำลังลอยสูงจากพื้น ร่างของมันอยู่ชิดริมหน้าต่างห้องกัปตัน สายตาจ้องมองไปยังดาดฟ้าด้านนอกและคลื่นทะเลไกลออกไป


ปัจจุบัน มันย่อยโอสถผู้ขับขานสมุทรไปได้บางส่วนแล้ว แต่เมื่อสองสัปดาห์ก่อน อัลเจอร์ตัดสินใจสะสมคะแนนผลงานจนครบและแจ้งไปยังเบื้องบนของโบสถ์วายุสลาตันว่า ตนพร้อมแล้วที่จะเลื่อนลำดับเป็นลำดับ 6 ‘ข้ารับใช้วายุ’ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง มันเพิ่งถูกลงทะเบียนให้เป็นลำดับ 6 ‘อย่างเป็นทางการ’ และแน่นอน ต้องเสียเวลาย่อยโอสถข้ารับใช้วายุใหม่อีกครั้ง แต่ก็นั่นไม่ใช่ปัญหา


เฮ้อ… ปัญหาก็คือ ทุกครั้งที่ผู้ขับขานสมุทรย่อยโอสถคืบหน้า สัญญาณบ่งชี้จะปรากฏออกมาอย่างเด่นชัดเกินไป… เราน่าจะซื้อไม้เท้าวาจาสมุทรนั่นมากลบเกลื่อน โยนความผิดทั้งหมดเกี่ยวกับเสียงเพลงไปให้มันแทน… อัลเจอร์ถอนหายใจเงียบ มันมิได้เสียใจกับเรื่องนี้มากนัก เพราะในตอนนั้น ถึงอยากจะซื้อก็มีเงินไม่พอ


นอกจากนั้น มันยังพบกุญแจสำคัญที่จะช่วยย่อยโอสถผู้ขับขานสมุทรแล้ว


เราต้องรีบสืบหาว่า นายทหารเรือฟุซัคที่มิสเตอร์ฟูลต้องการทราบข้อมูลเป็นใครกันแน่… อัลเจอร์ถอนสายตากลับ ลอยไปยังโต๊ะทำงานที่มีอุปกรณ์เดินเรือทองเหลืองทำเครื่องหมายไว้


ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงลูกเรือสองคนคุยกันบนดาดฟ้าในสภาพเมามาย


“แถวนี้ต้องมีสัตว์ทะเลอยู่แน่ๆ ฉันมักได้ยินพวกมันร้องเพลงในตอนกลางคืน” ลูกเรือคนหนึ่งตั้งข้อสงสัย


เพื่อนของมันหัวเราะทันที


“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง? เสียงร้องของพวกไซเรนไม่มีทางห่วยขนาดนั้นแน่ คงเป็นเสียงโหยหวนของสัตว์ทะเลที่พยายามทำอะไรสักอย่างมากกว่า!”



เมืองเงินพิสุทธิ์ ณ ลานฝึกที่ไม่คึกคักเท่าตอน ‘กลางวัน’


กองน้ำแข็งสีฟ้าถูกวางซ้อนกันเป็นภูเขา


เดอร์ริคที่ไม่ได้พกอาวุธคู่กายมาด้วย ยืนสวดมนต์มือเปล่าหน้ากองน้ำแข็ง


“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”


หลังจากท่องพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์และแจ้งความประสงค์ มันชำเลืองไปทางโคลิน·อีเลียด ผู้นำแห่งหกสภาอาวุธที่กำลังเดินเข้าหากองน้ำแข็งจากไกลๆ


ในสภาพสะพายดาบคู่ไว้ด้านหลัง โคลินเดินถือขวดบรรจุของเหลวสีทองที่เปล่งแสงและความร้อน ขยับเข้ามาใกล้และเฝ้ามองเดอร์ริคใช้พละกำลังขุดกองน้ำแข็งเพื่อฝังตัวเองอย่างมิดชิดโดยปราศจากช่องว่าง


ความมืดสนิทแผ่ปกคลุมทันที แม้บนท้องฟ้าจะมีฟ้าผ่าเป็นระยะ แต่ก็มิอาจมอบแสงสว่างแก่เบื้องล่าง


เพียงพริบตา บรรยากาศแปลกประหลาดพลันท่วมท้นทั่วบริเวณ คล้ายกับมีดวงตาคู่หนึ่งมองออกจากส่วนลึกของความมืด


โคลิน·อีเลียดตระหนักว่าเดอร์ริคกำลังหลับสนิท ในสภาพถูกแช่แข็งท่ามกลางก้อนน้ำแข็งที่ไม่ละลายตามปรกติ ใบหน้าเด็กหนุ่มเผยความซีดเซียว ร่างกายสั่นเทาเล็กๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ตื่น


มันขจัดความลังเล โยนขวดโอสถไปด้านหน้า โดยมีร่างหนึ่งที่คล้ายวิญญาณอาฆาตลอยมาห่อหุ้มไว้


ร่างดังกล่าวทะลุผ่านกองน้ำแข็งสีฟ้าอ่อน ตรงเข้าไปในพื้นที่เล็กๆ ที่เดอร์ริคกำลังหลับ นำโอสถออกมากรอกปากเด็กหนุ่ม


เมื่อจัดการเสร็จ ร่างดังกล่าวถอนตัวออกจากกองน้ำแข็งทันที


ฉึบ!


โคลิน·อีเลียดชักดาบยาวออกมาฟันไปทางด้านหลังฝั่งขวา ร่างของสัตว์ประหลาดที่เต็มไปด้วยดวงตาพลันขาดกระจายพร้อมกับหนองสีเหลืองสาดกระเซ็น


ไม่มีใครรู้ว่ามันโผล่มาจากไหน!


ทันใดนั้น ภายในกองน้ำแข็งสีฟ้าอ่อน โคลิน·อีเลียดของเห็นแสงสว่างค่อยๆ ทวีความเจิดจ้า เป็นแสงที่บริสุทธิ์แตกต่างจากแสงของฟ้าผ่า ทั้งอบอุ่นและสว่างไสว เต็มไปด้วยชีวิตชีวา


ฉากตรงหน้าทำให้โคลินหวนนึกถึงภาพถ่ายสมัยก่อนที่จะเกิดยุคมืด


เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์เฝ้ามองโดยไม่ละสายตาเป็นเวลานาน จนกระทั่งมีสัตว์ประหลาดตัวใหม่โผล่ออกจากความมืด



เหนือสายหมอกสีเทา ภายในวังโบราณ


เดอะซันน้อยเองก็ลำดับ 5 แล้ว… ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ถอนสายตากลับจากดาวแดงตัวแทนเดอะซันน้อย ตามด้วยการหันไปมองดาวแดงอีกดวง


เป็นดาวแดงตัวแทนมิสจัสติส ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หญิงสาวทำงานหลายชิ้นให้สมาคมแปรจิตจนสามารถนำคะแนนผลงานไปแลกเป็นสูตรโอสถ ‘นักท่องฝัน’


กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอจะต้องเผชิญหน้ากับเฮอร์วิน·แรมบิสอีกครั้ง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)