Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1005-1010
ราชันเร้นลับ 1005 : การเคลื่อนไหวที่สี่
ในสภาพสวมแว่น อามุนด์ที่ใช้ใบหน้าของ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนดูไม่เหมือนผู้บุกรุก แต่เป็น ‘แขก’ ที่เปิดปากเล่าเกี่ยวกับการเตรียมตัวล่วงหน้าและต้นกำเนิดของกระจกวิเศษ
ยังไม่ทันจะกล่าวจบ มันเห็นดอน·ดันเตสฝั่งตรงข้ามกลายเป็นหนูสีเทาสกปรก
หนูยกอุ้งเท้าข้างขวาขึ้น กดเบ้าตาตัวเอง
ขณะเดียวกัน ภายในสวนของบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน เกอร์มัน·สแปร์โรว์เจ้าของใบหน้าผอมเพรียว ผมสีดำขลับ ดวงตาสีน้ำตาล โผล่ออกมาจากกึ่งกลางดงกุหลาบ
เมื่อครู่ ขณะอามุนด์กำลังเกริ่นหัวหัวข้อที่น่าสนใจ มันแอบแบ่งหนอนกาลเวลาออกมาบุกรุกร่างไคลน์เพื่อฝังตัวเป็นปรสิต แต่ไคลน์ตื่นตัวตลอดเวลาและพบเห็นการเปลี่ยนแปลงจากด้านวิญญาณ จึงรีบสลับตำแหน่งตัวของกับหุ่นเชิดที่สร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว!
แต่เพียงพริบตา อามุนด์ที่อยู่ในร่างลูกครึ่ง ปรากฏตัวต่อหน้าไคลน์อีกครั้ง
ด้านหลังมัน หนอนแมลงโปร่งใสที่มีสิบสองปล้องตกลงมาจากชั้นสาม ย้อนกลับเข้าร่างของมัน
ในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะไส้เดือนในสวน แมลงและพืชบนต้นไม้ หนูในเงามืด บ้างคลานออกมารุมล้อมเกอร์มัน·สแปร์โรว์และอามุนด์ บ้างวิ่งหนีออกไปจากบริเวณ
สาเหตุที่ไคลน์ตั้งใจฟังอามุนด์อย่างอดทน เพราะมันฉวยโอกาสดังกล่าวสร้างหุ่นเชิด!
สำหรับจอมเวทพิสดาร การไม่มีหุ่นเชิดจะถือว่าไม่สมบูรณ์!
อามุนด์มิได้เร่งรีบลงมือ บีบจับแว่นตาขาเดียว มองไปรอบๆ พร้อมกับยกมุมปากพูด
“พฤติกรรมคือเครื่องบ่งชี้ปัญหา… ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้าแห่งการหลอกลวง พฤติกรรมของเจ้าช่วยให้ข้าเข้าใจจุดอ่อน… ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดละอันตราย เหยื่อที่เจ้าเลือกเปลี่ยนเป็นหุ่นเชิดประกอบด้วยหนู หนอน นก และไส้เดือน มิได้สนใจจะเปลี่ยนแม่บ้านพ่อบ้านให้เป็นหุ่นเชิด… สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเจ้าเป็นคนจิตใจงดงาม ยังมองว่าตัวเองเป็นมนุษย์และไม่อยากทำร้ายพวกเขา… เมื่อจับจุดได้ แม้ว่าร่างโคลนของข้าจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับเจ้า แต่ก็สามารถเล่นงานจุดอ่อนได้สบาย ต่อให้เจ้าอยากตายก็ทำไม่ได้… อา… แล้วก็… ข้าแนะนำให้เจ้าเลิกแอบควบคุมด้ายวิญญาณของข้าจะดีกว่า เพราะนั่นเท่ากับเจ้ากำลังควบคุมด้ายวิญญาณของพ่อบ้าน แม้บ้าน และคนขับรถม้าที่ข้าขโมยมา หากถลำลึกกว่านี้ เจ้าอาจจะเสียใจภายหลังเอาได้”
ขโมยด้ายวิญญาณได้ด้วยหรือ? อา… น่าจะเป็นการปลูกถ่ายมากกว่า… ใบหน้าไคลน์ตึงขึ้นเล็กน้อย ยกเลิกการเข้าควบคุมด้ายวิญญาณของอามุนด์
การที่มันอดทนยอมฟังอามุนด์พูดพล่าม เพราะไคลน์ต้องการเปลี่ยนให้ร่างโคลนของอามุนด์เป็นของหุ่นเชิดตัวเอง
สำหรับจอมเวทพิสดาร การยืดเวลาและต่อสู้ด้วยการแผ่อิทธิพลอย่างลับๆ เป็นสิ่งที่มันโปรดปรานแทบจะในทุกสถานการณ์ แต่น่าเสียดาย ปัจจุบันไคลน์กำลังเผชิญหน้ากับ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเส้นทางนักจารกรรมในปัจจุบัน แม้จะเป็นแค่ร่างโคลน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก
ไคลน์เองก็สงสัยว่าคำพูดอามุนด์อาจเป็นเพียงการบลัฟ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน จึงไม่กล้าเสี่ยง
ในเวลาแบบนี้ สิ่งที่มันต้องการคือความช่วยเหลือจาก ‘ผู้ชม’ !
“พูดมากแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเพราะกำลังหาทางสิงร่างของฉันในฐานะปรสิตหรอกหรือ? ทางนั้นเองก็คงรู้ตัวอยู่แล้วกระมัง หากไม่ทำให้ฉันบาดเจ็บหนัก ก็คงยากจะสิงร่างจอมเวทพิสดารที่สามารถมองเห็นด้ายวิญญาณ” ไคลน์ที่กำลังใช้ใบหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ จ้องหน้าอามุนด์และกล่าวอย่างใจเย็น
อามุนด์หัวเราะและพูด
“รู้ตัวจนได้สินะ”
“คิดจะขโมยชะตากรรมของฉัน?” เป็นอีกครั้งที่ไคลน์สลับตำแหน่งกับหุ่นเชิด คราวนี้มันกระโดดไปมาระหว่างหุ่นเชิดจำนวนมากในสวน
“เปล่า…” อามุนด์ส่ายหน้า ใช้มือล้วงกระเป๋า ยิ้มผ่อนคลาย “การที่อาโรเดสยอมเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าในฐานะข้ารับใช้ นั่นแปลว่าเจ้าเองก็ไม่ธรรมดา… ข้าไม่ใช่คนของเส้นทางทรราช ไม่หุ่นหันขโมยชะตากรรมด้วยความประมาทแน่นอน… หึหึ… ลางสังหรณ์กำลังบอกกับข้าว่า หากขโมยชะตากรรมของเจ้าตอนนี้ ผลลัพธ์จะไม่ใช่สิ่งที่ข้ายินดีนัก”
“นายรู้ได้ยังไงว่าอาโรเดสยอมเชื่อฟังคำสั่งฉัน? เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะมีบอกในชะตากรรมของฟลอร่า·เจคอป” ไคลน์ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ปรากฏตัวบนต้นไม้
มันยังคงเปลี่ยนตำแหน่งกับหุ่นเชิดอย่างต่อเนื่อง
อามุนด์ยกมือขึ้นมาจับคางและกล่าว
“ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ? ทางนี้เสียเวลาหลายวันในการสืบหาต้นตอความผิดปรกติ… อา… ข้าแวะไป ‘คุย’ กับอาโรเดสที่วิหารจักรกลไอน้ำมา แต่เจ้านั่นไม่ยอมปริปาก เลือกจะถูกทรมานมากกว่าเปิดเผยต้นกำเนิดของเจ้า น่าเสียดาย ที่นั่นอยู่ภายใต้ความดูแลของโบสถ์จักรกลไอน้ำ ไม่อย่างนั้นข้าคงสิงร่างและเรียนรู้ทุกสิ่ง”
แม้แต่สมบัติปิดผนึกก็สามารถถูกสิงได้เช่นกัน? หากอาโรเดสรักษากฎอย่างเคร่งครัด พิจารณาจากคำตอบในอดีต เจ้านั่นเองก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของเรา มีเพียงการคาดเดาอย่างคลุมเครือ… ดวงตาไคลน์เบิกกว้างเล็กน้อย ขณะเตรียมกล่าวบางสิ่ง มันได้ยินอามุนด์หัวเราะและถาม:
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รีบ… กำลังรอสิ่งใดอยู่หรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าลำดับ 2 ของเส้นทางข้ามีชื่อว่า ‘ม้าไม้ชะตากรรม’ ? แม้จะเป็นแค่ร่างโคลนธรรมดา พลังบางชนิดก็ยังสามารถใช้การได้ เช่นการทำให้ชะตากรรมของเจ้ายุ่งเหยิง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความผิดพลาดอาจเกิดขึ้นกับเจ้าช่วงเวลาหนึ่ง ถึงจะร้องขอความช่วยเหลือมากเพียงใดก็ไม่มีใครได้ยิน… หึหึ… นั่นรวมไปถึงการกระตุ้นเข็มกลัดรัตติกาลในมือเจ้าด้วย สิ่งเดียวที่จะได้รับคือผลแห่งการปกปิดของมัน แต่มิอาจข้อความช่วยเหลือไปหาปลายทางได้ ถึงจะตกลงกันล่วงหน้าแล้วก็ตาม นอกจากนั้น การตะโกนหรือการสร้างระเบิดก็จะไม่เกิดประโยชน์ คนที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่มีทางได้ยินสิ่งใด… นั่นคือเหตุผลที่ข้าต้องพูดมาก สำหรับร่างโคลนธรรมดา เรื่องแบบนี้ใช้เวลานานทีเดียว… เอาล่ะ ถึงเวลาที่เจ้าต้องตอบคำถามบ้างแล้ว”
ไคลน์ไม่ตอบ เอาแต่สลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดอย่างต่อเนื่อง ทว่า อามุนด์ก็มาโผล่ตรงหน้าเรื่อยๆ เช่นกันเพื่อคอยรักษา ‘การสนทนา’
ทันใดนั้น ชายหนุ่มบังคับให้หนึ่งในหุ่นเชิดถามกลับ
“ในเมื่อเสร็จสิ้นการควบคุมชะตากรรมแล้ว ทำไมถึงยังไม่ลงมือสักที? กำลังรอบางสิ่งเหมือนกันสินะ”
ยังไม่ทันที่เสียงของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ในร่างกระดาษคนแผ่นบางเลือนหาย กระแสลมอันเกรี้ยวกราดพลังมาจากระยะไกล
เลียวนาร์ดในชุดกันลมสีดำ กำลังถูกไม้เท้าเลี่ยมเงินลากให้ลอยไปในอากาศ ตรงมายังถนนเบิร์คลุนด้วยความเร็วสูง!
ไคลน์ที่หายตัวมาโผล่ข้างอามุนด์ กล่าวในทันที
“นี่คือสิ่งที่ฉันกำลังรอ!”
กล่าวจบ มือหนึ่งทำการกระตุ้นตราศักดิ์สิทธิ์แห่งรัตติกาล
ขณะเดียวกัน มือข้างซ้ายดีดนิ้วเพื่อจุดไฟต้นไม้ที่สูงที่สุดในสวน ส่งผลให้เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศ
แต่ผิดคาด แม้จะสร้างสิ่งที่คล้ายกับคบเพลิงยักษ์จนสามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งหมด แต่กลับไม่มีผู้ใดตระหนักถึงเลย ไม่ว่าจะสาวใช้ที่กำลังเช็ดหน้าต่างชั้นหนึ่ง คนเดินเท้าใต้ต้นเมเปิ้ลอินทิส แม้กระทั่งเลียวนาร์ด·มิเชลในอากาศก็ยังไม่แยแส เอาแต่มุ่งหน้าไปยังบ้านเลขที่ 39 ถนนเบิร์คลุน
ทันใดนั้น เสียงค่อนข้างชราดังขึ้นในหัวถุงมือแดง
“ย้อนกลับ ตรงไปที่บ้านเลขที่ 160”
เลียวนาร์ดฉงนเล็กน้อย แต่เนื่องจากมีประสบการณ์ในโลกเร้นลับมากมาย จึงมิได้ไต่ถาม เพียงหันหัวไม้เท้าวาจาสมุทรเพื่อเปลี่ยนทิศทางทันที
ภายในสวนของบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน อามุนด์เงยหน้าขึ้น มือยังคงจับแว่นตาขาเดียว หัวเราะในลำคอเล็กน้อย
“ข้าเองก็รอสิ่งนี้เช่นกัน”
มันมิได้หันไปมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ ฉีกกว้าง กล่าวโดยมิอาจเก็บงำความตื่นเต้น
“สามารถค้นพบความผิดปรกติของที่นี่… เป็นใครไปไม่ได้นอกจากพาลีส!”
กล่าวจบ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทันที มือข้างหนึ่งขยับกรอบแว่น
แต่ทันใดนั้น ถนนทั้งบล็อกพลันถูกปกคลุมด้วยความมืดประหลาด คล้ายกับที่นี่ถูกแยกออกจากโลกแห่งความจริง กลายเป็นสถานที่แห่งความลับ
ภายในห้องนั่งเล่นของบ้านเลขที่ 39 ถนนเบิร์คลุน เฮเซลมองออกไปนอกหน้าต่าง พึมพำด้วยความสงสัย
“ฝนจะตกหรือ?”
แต่นั่นก็มิดได้สลักสำคัญ เมื่อกล่าวจบ หญิงสาวเอื้อมมือไปทางถาดสามชั้นเพื่อหยิบชายามบ่าย
จากนั้น เธอเห็นบิดาของตน ส.ส. มัคท์ กางมือขวาออกด้วยท่าทีแปลกๆ
จุดแสงสว่างขึ้นจากอากาศว่างเปล่า และในมือข้างนั้น ปรากฏแว่นตาผลึกที่มีขาเดียว
ส.ส. มัคท์สวมแว่นไว้ที่ดวงตาข้างขวา
นี่มัน… เฮเซลสังเกตเห็นความผิดปรกติอย่างชัดเจน ภายในใจเริ่มตื่นตระหนก รีบมองหน้าคนอื่นๆ ที่อยู่ภายในห้อง
มารดาของเธอ มาดามลีอานน่า ถอดเครื่องประดับแว่นตาบนสันจมูก แทนที่ด้วยแว่นตาขาเดียวที่เอามาจากไหนก็มิอาจทราบได้ รวมถึงสาวใช้ข้างๆ ก็หยิบแว่นตาขาเดียวออกมาสวมในเวลาเดียวกัน
ตึง!
เฮเซลที่ลุกพรวดและก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ เผลอสะดุดเก้าอี้ล้มลงกับพื้น
เสียงดังกล่าวทำให้ทุกคนในห้อง ไม่ว่าจะส.ส. มัคท์ มาดามลีอานน่า และสาวใช้ ต่างมองหน้าเฮเซลเป็นตาเดียว
ทุกคนเผยรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
“อ๊า!”
เฮเซลสติแตกพร้อมกับแหกปากไม่เป็นภาษา
เสียงกรีดร้องดังออกจากตัวบ้าน ผ่านสวนด้านนอก จนกระทั่งถึงถนน คนที่เดินผ่านไปมาต่างได้ยินและหันมามอง ในขณะเดียวกัน อามุนด์ลดมือขวาที่จับแว่นลง แหงนหน้ามองท้องฟ้าและยิ้ม
“พาลีส… นี่มันปี 1350 ของยุคสมัยที่ห้าแล้ว เทคนิคการรวบรวมร่างโคลนเพื่อยกระดับพลังมันล้าสมัย”
ด้านหลังเฉียงออกไป ไคลน์ไม่มัวพล่ามไร้สาระ มือขวาล้วงหยิบบางสิ่งออกจากเสื้อ มือซ้ายเปลี่ยนให้ยุบพองหิวโหยกลายเป็นสีใส สร้างหนังสือมายาขึ้นกลางอากาศตรงหน้า
แต่เพียงอามุนด์ยกมือขึ้นแผ่วเบา ถุงมือหนังมนุษย์พลันอันตรธานหาย
ทว่า สิ่งที่หายไปมิได้มีเพียงถุงมือหนัง แต่ยังรวมไปถึงเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วย
แปะ!
สิ่งที่ตกลงบนฝ่ามืออามุนด์มิใช่ถุงมือ หากแต่เป็นหนู หนูที่ตายแล้วและถูกปลดจากการเป็นหุ่นเชิดหลังจากถูกขโมย
อีกฝั่งหนึ่งของอามุนด์ ไคลน์ที่มิได้สวมหมวก เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตและเสื้อกั๊ก โผล่ออกจากความว่างเปล่าและโยนสิ่งที่เพิ่งหยิบออกมาไปทางอีกฝ่าย
นกกระเรียนกระดาษ
ราชันเร้นลับ 1006 : การเคลื่อนไหวสุดท...
มันเป็นเพียงนกกระเรียนกระดาษธรรมดา โดยทันทีที่ถูกขว้างออกไป เปลวไฟสีแดงเข้มพลันลุกโชนและแผดเผาจนเริ่มกลายเป็นขี้เถ้า
ในท่าแหงนมองฟ้า อามุนด์ก้มหน้าลงและจ้องมองเปลวไฟสีแดง ตามด้วยยกมือขึ้น
ด้านหลังแว่นตาขาเดียว แสงเย็นเยียบสว่างขึ้น
เพียงพริบตา เปลวไฟที่แผดเผานกกระเรียนกระดาษหายไป พลังในการสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดหายไป พลังควบคุมเพลิงหายไป พลังกระโจนเพลิงหายไป พลังปืนใหญ่อัดอาการหายไป!
มันถูกขโมยพลังพิเศษทั้งสิ้นหกชนิด สี่จากหกเป็นพลังที่สำคัญมาก!
หากอามุนด์ขโมยเพิ่มได้อีกสักนิด ไคลน์อาจกลายเป็นเพียงคนธรรมดา
นี่คือ ‘การขโมย’ ระดับเทวทูต!
ท่ามกลางเปลวไฟที่ดับมอด นกกระเรียนกระดาษยังคงลอยอย่างช้าๆ
…
เบ็คลันด์ บ้านของนายแพทย์อลัน ภายในรถเข็นเด็กสีดำ
วิล·อัสติน·คริสที่ถูกห่อด้วยผ้าไหมสีเงิน เช็ดปากและดวงตา พึมพำเสียงแผ่ว
“ทำไมชีวิตมันเหนื่อยแบบนี้…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง มันหยิบไม้เท้าออกจากที่ใดไม่มีใครทราบ ส่วนหัวฝังพลอยสีใส
แสงที่บริสุทธิ์ค่อยๆ สร้างขึ้น เผยให้เห็นปฏิทินในห้องอย่างชัดเจน
วันนี้เป็นวันอังคาร
…
บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ภายในสวนของดอน·ดันเตส
นกกระเรียนกระดาษที่ถูกเผาไปบางส่วนจนกลายเป็นสีดำ จู่ๆ ก็ลอยค้างกลางอากาศ สัญลักษณ์สีเงินอันซับซ้อนพุ่งออกมาทีละตัว ก่อนจะกลายเป็นงูไร้เกล็ดขนาดมหึมา
บนผิวของงูยักษ์สีเงินสว่างตัวนี้ สัญลักษณ์เริ่มก่อตัวเป็นกงล้อที่เชื่อมต่อหัวถึงหาง โดยที่แต่ละกงล้อจะมีสัญลักษณ์ต่างกัน
ดวงตาสีแดงสดและเย็นเยียบมองไปรอบๆ หนึ่งครั้ง ก่อนที่งูยักษ์จะลอยสูงขึ้นไปในอากาศเหนือถนนเบิร์คลุน ขดตัวงับหางตัวเอง
เงาของมันแผ่ปกคลุมทั่วทั้งบล็อกถนน ดูคล้ายกับกงล้อมายาอันลึกลับซับซ้อน
เพียงพริบตา ไม่ว่าจะส.ส. มัคท์ในห้องนั่งเล่นของบ้านเลขที่ 39 ถนนเบิร์คลุน มาดามลีอานน่า และสาวใช้กับคนรับใช้อีกจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดพลันหุบยิ้ม ถอดแว่นตาขาเดียวออกจากตาขวา เก็บกลับเข้าไปในมือ ก่อนที่แว่นจะกลายเป็นเพียงจุดแสงสว่าง
ทันทีหลังจากนั้น บ้างสวมแว่นตากรอบทองที่ดูคล้ายเครื่องประดับ บ้างขยี้ตา บ้างมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทีผ่อนคลาย ย้อนกลับไปยังสถานะก่อนหน้า
เฮเซลที่กำลังนั่งก้นจ้ำเบ้าบนพื้น ได้เห็นฉากตรงหน้า เธอรู้สึกราวกับโลกทั้งใบกำลังถล่ม รีบใช้มือทั้งสองข้างพยุงร่างกายให้ลุกยืนและรีบก้าวถอยหลัง
ดวงตาอันแสนเย็นชาของอามุนด์หายไปจากหุ่นเชิด ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน แว่นตาขาเดียวบิดงอเล็กน้อย สายตาเอ็นยูนมิได้ดูแคลนไคลน์เหมือนในตอนต้น
นอกจากนั้น บางสิ่งถูกขับออกจากร่างของมันอย่างเชื่องช้า ไม่ใช่อะไรนอกจาก ‘หนอนกาลเวลา’ ตัวใสที่เต็มไปด้วยลวดลายหนาและชัดเจน หนอนตัวดังกล่าวปรากฏขึ้นด้านบนศีรษะ
และภายในมิติแห่งความลับนี้ หนอนกาลเวลาตัวดังกล่าวกลายสภาพเป็นชายผมดำ ดวงตาสีดำ หน้าผากกว้าง ใบหน้าผอมเพรียว
นี่ไม่ใช่ภาวะ ‘กระแสเวลา’ ในถนนเบิร์คลุนไหลถอยหลัง เพราะทั้งไคลน์และเลียวนาร์ดต่างไม่ได้รับผลกระทบ หากแต่เป็นการย้อนกลับสถานะของอามุนด์กลับไปเมื่อหลายนาทีก่อน!
อสรพิษโชคชะตา ‘เริ่มต้นใหม่’ !
แม้ว่าวิล·อัสตินจะคาดคะเนความผันผวนของชะตากรรมไว้ช้ากว่านี้เล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดก็ปรากฏกายพร้อมกับสร้างอิทธิพลได้ทันเวลา
และเพื่อแลกกับความช่วยเหลือของอสรพิษแห่งชะตา ไม่เพียงไคลน์ต้องเตรียมไอศกรีมห้าลูกที่มีรสชาติแตกต่างกัน แต่ยังสัญญาว่าจะตอบแทนอย่างเหมาะสม ผลของการพูดคุยเบื้องต้นก็คือ ไคลน์ต้องหาสมบัติวิเศษที่จะช่วยให้วิล·อัสตินฟื้นคืนพลังกลับมาในช่วงเวลาสั้นๆ อย่างน้อยสองชิ้น
เมื่ออามุนด์เผชิญกับเหตุไม่คาดฝัน ไคลน์ไม่ลังเลที่จะชักลูกโม่ลางมรณะออกมาง้างนก เล็กปากกระบอกไปทางอีกฝ่าย
ปัง!
มันลั่นไกลางมรณะอย่างใจเย็นและเด็ดขาด ปลดปล่อย ‘กระสุนคุมวิญญาณ’ ที่เตรียมไว้นานแล้ว
ลำแสงสีเงินเข้มสว่างวาบ กระสุนพุ่งปะทะร่างอามุนด์ที่สวมหมวกปลายแหลมและชุดคลุมสีดำทรงโบราณ ทะลวงผ่านร่าง ‘หนอนกาลเวลา’ ที่มีขนาดใหญ่และคมชัดกว่า ‘หนอนกาลเวลา’ ตัวใดที่ไคลน์เคยเห็นมาทั้งหมด!
ท่ามกลางแสงกระจัดกระจาย ร่างอามุนด์ในอากาศพลันสั่นสะท้านและแข็งทื่อ ล้มเหลวในการแสดงอารมณ์ทางสีหน้า
และในขณะเดียวกัน เลียวนาร์ดที่เพิ่งมาถึงด้านบนตามคำแนะนำของชายชรา ทำการเหยียบไม้เท้าวาจาสมุทรและลอยตัวบนอากาศ เหยียดแขนเล็กน้อย ผ่อนคลายร่างวิญญาณของตน
ภายในดวงตาสีเขียวคู่นั้น แสงสว่างจางๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกับหนอนกาลเวลาสิบสองปล้อง
หนอนกาลเวลาทั้งสองตัวต่างขดหัวชนหาง กลายเป็นรูปทรงกงล้อแนวตั้ง
กงล้อหมุนอย่างเชื่องช้า ภาพมายาที่มีร่องรอยโบราณปรากฏขึ้นด้านหลังเลียวนาร์ด
ภาพมายาดูคล้ายกับนาฬิกาแขวนที่สลักจากหิน แบ่งออกเป็นสิบสองส่วน แต่ละส่วนเป็นสีเทาขาวหรือน้ำเงินเข้มโดยแบ่งขอบเขตอย่างชัดเจน สัญลักษณ์ในแต่ละส่วนมีความแตกต่างกัน เพียงไคลน์จ้องมองก็รู้สึกว่าชีวิตของตนไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ก๊อง!
ประหนึ่งเสียงระฆังที่ดังก้องห้วงประวัติศาสตร์ กังวานไปทั่ว ‘มิติ’ อันว่างเปล่าและถูกปกปิด
ทุกสิ่งในการมองเห็นไคลน์เคลื่อนที่ช้าลงมาก รวมถึงภาพมายาของอามุนด์เหนือศีรษะ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน
กระแสน้ำที่มองไม่เห็นและอธิบายไม่ได้ปรากฏขึ้น พัดพาร่างอามุนด์เข้าไปในนาฬิกาแขวนหินมายาขนาดใหญ่
‘หนอนกาลเวลา’ ตัวดังกล่าวซึ่งเป็นร่างโคลนของอามุนด์ที่สวมแว่นตาขาเดียว ยื่นแขนออกไปจับเกอร์มัน·สแปร์โรว์
เพียงพริบตา ไคลน์พบว่าหลังมือของตนเหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็ว ร่องรอยของอายุปรากฏขึ้น
ร่างโคลนของอามุนด์ถูกดูดกลืนช้าลงเล็กน้อยทันที แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมิอาจหลีกเลี่ยงชะตากรรม จนกระทั่งมันเปลี่ยนกลับไปอยู่ในร่างของหนอนสิบสองปล้องตามเดิม ตามด้วยการถูกดูดเข้าไปในนาฬิกาแขวนหินด้านหลังเลียวนาร์ด
ก๊อง!
เสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้ง บนนาฬิกาที่มีสีเทาอ่อนสลับน้ำเงินเข้ม ร่องรอยความเก่าแก่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งจุด
เข็มสั้นขยับไปสามครั้ง ส่งผลให้ระฆังร้องกังวานดังขึ้นเรื่อยๆ
ภายในบ้านเลขที่ 39 และ 160 ของถนนเบ็คลันด์ ดวงแสงอันเจิดจ้าทยอยถูกดูดเข้าไปในนาฬิกาหินแขวนผนังมายาทีละหนึ่ง
กฎการดึงดูดของพลังพิเศษ!
มันอาศัยกฎการดึงดูดของพลังพิเศษ สร้างแรงดึงดูดที่รุนแรงกว่าด้วยพลังของตน!
ก๊อง!
จุดแสงลอยมาจากสถานที่ต่างๆ ภายในกรุงเบ็คลันด์
จนกระทั่งทุกสิ่งจบลง ไคลน์มองเห็นภาพของตัวเองภายในใจ
ผมสีขาวมากกว่าดำ ตามหน้าผาก มุมดวงตา และรอบปากมีริ้วรอยชัดเจน ผิวแก้มหย่อนยาน ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยของอายุ มองผ่านนึกว่าสุภาพบุรุษชราที่ใกล้ตายเต็มที
เสียงระฆังดังอีกครั้ง
บนนาฬิกาแขวนหินโบราณมายา เข็มสั้นสีเทาเริ่มหมุนไปในทิศทางตรงกันข้าม!
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง ไคลน์พบว่าผิวหนังของตนค่อยๆ กลับมาเต่งตึงอีกครั้ง ร่องรอยความแก่เลือนหายไปทีละหนึ่ง
ผ่านไปไม่กี่วินาที มันกลับมาอยู่ในรูปลักษณ์เดิมอีกครั้ง ชีวิตชีวากลับมาชุ่มฉ่ำร่างกาย
พลังของเทวทูตนับว่าใกล้เคียงกับเทพมาก… เราสัมผัสโดยเพียงครู่เดียว เกือบต้องแก่ตายคาที่… ไม่แน่ใจว่าการตายแบบนี้จะคืนชีพได้ไหม… หลังจากตรวจสอบสภาพร่างกายตัวเอง ไคลน์รีบเงยหน้าคุยกับเลียวนาร์ดบนท้องฟ้า
“จะช่วยคนที่เคยถูกอามุนด์สิงได้ยังไง?”
ทันใดนั้น นาฬิกาโบราณมายาด้านหลังเลียวนาร์ด เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว กระจัดกระจายกลายเป็นจุดแสงและกลับไปรวมในตัวนักกวีหนุ่ม
เลียวนาร์ดเอียงคอเล็กน้อย คล้ายกับกำลังตั้งใจฟังบางอย่าง จากนั้นก็กล่าว
“ตะกอนพลังของ ‘หนอนกาลเวลา’ ในร่างกายพวกเขาถูกขจัดออกไปหมดแล้ว แต่ยังหลงเหลือร่องรอยบางอย่างที่ยังไม่หมด แต่นั่นก็ส่งผลกระทบไม่มากนัก… ไม่สิ… การที่ตาแก่บอกว่าไม่มาก นั่นอาจเป็นในมุมมองของเทวทูต… สรุปโดยสั้น คุณสามารถบอกให้พวกเขาสวดวิงวอนถึงเทพที่ตัวเองศรัทธา ร้องขอการขจัดปัดเป่า แต่ถ้าไม่อธิบายให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น เกรงว่าเทพก็คงไม่ตอบสนอง… ถ้ากังวลเกี่ยวกับปัญหาที่จะตามมา คุณสามารถพิจารณาแนะนำให้เขา… เอ่อ… สวดวิงวอนถึง… ตัวตนลึกลับ… วัตถุทุกชิ้นที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการดังกล่าว ตาแก่ยกให้พวกคุณทั้งหมด”
บางที อาจเป็นเพราะประสบการณ์การปะทะกันระหว่างเทวทูต หรือไม่ก็การได้เห็นภาพมายาของอสรพิษแห่งชะตาอย่างใกล้ชิด เลียวนาร์ดยังมิอาจขจัดอาการตื่นเต้นและสั่นคลอนภายในใจ
ชาวเมืองในละแวกนี้ส่วนใหญ่นับถือเทพธิดา แล้วจะโน้มน้าวยังไงให้สวดวิงวอนถึงเดอะฟูล? เราไม่อยากถูกลักพาตัวเข้าไปในหมู่บ้านสายหมอกนั่นอีกแล้ว… อา… เทพธิดาทราบเรื่องนี้แล้ว พระองค์น่าจะตอบสนองและช่วยเหลือ… หลังจากนั้น เราก็ขอให้มาดามอาเรียนน่าคืนซาก ‘หนอนกาลเวลา’ ที่แต่ละคนพ่นออกมาให้เรา… เอ่อ… แบ่งให้พวกเขาสักนิดด้วยดีกว่า… ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์เริ่มโล่งใจ
มันถามโดยไม่มองหน้า
“หลังจากขจัดปัดเป่าอย่างสมบูรณ์ จะยังเหลือผลข้างเคียงอีกไหม?”
แม้มันจะเคยมีประสบการณ์ในกรณีของเดอะซันน้อยมาแล้ว แต่ผลลัพธ์อาจไม่เหมือนกัน เพราะเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นผู้วิเศษ
เลียวนาร์ดทำหน้าฟังสักพักก่อนจะตอบ
“ก็นิดหน่อย… เนื่องจากเป็นการ ‘สิงร่าง’ ในฐานะปรสิตโดยสมบูรณ์ ถึงคนธรรมจะถูกฟื้นฟูจนกลับเป็นปรกติ แต่ก็จะยังหลงเหลือผลกระทบบางอย่าง เช่นการชอบสวมแว่นตาขาเดียว”
“…ตกลง คุณกลับไปก่อน ผมจะจัดการที่เหลือเอง” ไคลน์พยักหน้ารับ โชคดีที่ไม่มีผู้เกี่ยวข้องคนใดใช้พลังทำลายล้างออกมา ไม่อย่างนั้น อย่าว่าแต่ถนนเบิร์คลุน เกรงว่าเขตเหนือทั้งเขตอาจถูกลบออกจากแผนที่
…
ท่าเรือพริสต์ ชายหนุ่มผมดำ ตาสีดำ ใบหน้าผอมเพรียว สวมแว่นตาขาเดียว ขี่จักรยานกลับบ้านด้วยท่าทีสบายใจ
ใบหน้าของมันกำลังเผยรอยยิ้ม หลังจากเปิดตู้จดหมาย มันนำหนังสือพิมพ์และจดหมายข้างในออกมา
ขณะเดินเข้าบ้าน ชายหนุ่มใช้มือขวาจับแว่นตาขาเดียว อีกมือหนึ่งแกะซองและอ่านจดหมาย จนกระทั่งได้พบกับจดหมายที่ไม่ได้ลงนาม
“หากพวกเราทุกคนในเบ็คลันด์ขาดการติดต่อ หมายความว่าพาลีส·โซโรอาสเตอร์ซ่อนตัวอยู่ใกล้กับถนนเบิร์คลุนทางเขตเหนือ… อย่าได้ถามว่าทำไมพวกเราถึงต้องเสี่ยง ชีวิตคนเราต้องการแรงกระตุ้น ความสนุกสนาน และความตื่นเต้นเสมอ”
………………………
ราชันเร้นลับ 1007 : ควันหลง
บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน หลังจากยืนมองเลียวนาร์ดบินออกจาก ‘โลกแห่งความลับ’ ด้วยไม้เท้าวาจาสมุทร ไคลน์หันกลับมาสนใจสิ่งรอบตัว
สิ่งแรกที่สนใจก็คือ หุ่นเชิด ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนที่เคยถูกอามุนด์เข้าไปเป็นกาฝาก มันคิดว่าตนคงต้องแยกจากหุ่นเชิดตัวนี้ไปตลอดกาล แต่กลับกลายเป็นว่า ปัจจุบันสามารถกลับมาควบคุมด้ายวิญญาณได้อีกครั้ง!
หรือว่า… ไคลน์ผงะในตอนต้น ก่อนจะเริ่มเข้าใจถึงเหตุผล
‘เริ่มต้นใหม่’ ของ ‘อสรพิษแห่งชะตา’ วิล·อัสตินที่ทำการย้อนกลับสถานภาพของอามุนด์ ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงในตัวร่างโฮสต์ทั้งหมด ส่งผลให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนกลับมาเป็นหุ่นเชิดอีกครั้ง!
สมแล้วที่เป็นลำดับ 1 ของเส้นทางสัตว์ประหลาดอันแสนทรงพลัง… ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ตามด้วยการเปลี่ยนร่างตัวเองให้โปร่งใส หายไปจากจุดที่เคยยืน
มันเทเลพอร์ตกลับไปยังห้องนอนใหญ่ พร้อมกับทิ้งหุ่นเชิดไว้รอบๆ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
ทันทีหลังจากนั้น ไคลน์เข้าไปในห้องน้ำ ส่งตัวเองเข้าสู่หมอกสีเทา อาศัยจุดแสงจากการสวดวิงวอนของ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน ตรวจสอบทั้งบล็อกถนนด้วยคทาเทพสมุทร
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เป้าหมายของชายหนุ่มคือคฤหาสน์ของตัวเองบ้านเลขที่ 39 ซึ่งประกอบด้วยพ่อบ้านวอลเตอร์ แม่บ้านทาเนญ่า ส.ส. มัคท์ มาดามลีอานน่า และสาวใช้อีกหลายคนที่มีร่องรอยปรสิตจางๆ
และสำหรับเฮเซล จิตใจเธอแตกสลายเกือบสมบูรณ์ กำลังอยู่ในสภาพนั่งชิดมุมห้อง ขดตัวเป็นก้อนกลม
ส.ส. มัคท์และคนที่เหลือต่างพบความผิดปรกติเกี่ยวกับเฮเซล ต่างกรูเข้ามาล้อมวง ถามถึงสาเหตุด้วยความห่วงใย
แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกมันพยายามเข้าใกล้ เฮเซลจะแหกปากกรีดร้องเสียงดัง ตวาดขึงขัง จนทุกคนทำได้เพียงอยู่ห่างๆ ด้วยความตื่นตระหนก ทำตัวไม่ถูกไปสักพัก
ระหว่างนี้ บางคนใช้มือจับกรอบแว่นตาขวา บางคนใช้มือจับเบ้าตาขวาเปล่าๆ นั่นยิ่งทำให้เฮเซลสติแตกยิ่งกว่าเก่า อีกเพียงนิดเดียวก็จะคลุ้มคลั่ง
ไคลน์ที่อยู่บนมิติเหนือสายหมอกสีเทา หวาดผวาอย่างอธิบายไม่ได้ ทำได้เพียงจินตนาการตาม:
แม่อามุนด์ แม่อามุนด์ พ่อบ้านอามุนด์ แม้บ้านอามุนด์ คนใช้อามุนด์ คนขับรถม้าอามุนด์ ทุกคนพยายามรุมล้อมเฮเซล อยากปลอมประโลมแต่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง โดยทุกคนสวมสีหน้าแบบเดียวกัน แว่นตาขาเดียวเหมือนกัน และต่างเครื่องแต่งกาย
แม้ว่าเฮเซลจะอดทนได้และไม่คลุ้มคลั่ง แต่ก็คงหลีกเลี่ยงอาการทางจิตไม่พ้น… จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด้วย… ไคลน์ครุ่นคิดหลายสิ่ง ก่อนจะส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง
ถนนเบิร์คลุนและบริเวณโดยรอบยังคงปกคลุมไปด้วยความมืด บรรยากาศสุขสงบและลุ่มลึก
ที่นี่คือโลกซึ่งถูกปกคลุมด้วย ‘ความลับ’
ไคลน์หยิบหมวกทรงสูงขึ้นมาสวมศีรษะ ใช้พลังเทเลพอร์ตส่งตัวเองไปยังอาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์ ภายในห้องทำงานของผู้อำนวยการกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา
ปัจจุบัน ออเดรย์เปลี่ยนกลับไปเป็นเดรสสีเขียวอ่อนเรียบร้อยแล้ว กำลังถือปากกาด้วยสีหน้างุนงง นึกทบทวนรายละเอียดเกี่ยวกับปฏิบัติการสั่งสอนเมื่อตอนเที่ยง ส่วนซูซี่ สุนัขโกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่ เมื่อเสร็จงานก็ออกไปเดินเล่น
ทันใดนั้น สตรีขุนนางผู้เลอโฉมถูกกระตุ้นสัมผัสวิญญาณ จึงเงยหน้ามอง
บนกระจกตาสีเขียวสดใสของเธอพลันสะท้อนภาพบุรุษผมดำดวงตาสีน้ำตาล หน้าเรียว ชัดลึก
บุคคลดังกล่าวสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีดำ กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าหนังสีดำ สีหน้าเย็นชา มือข้างหนึ่งกดหมวกพลางโค้งคำนับ
ออเดรย์ตกใจในตอนต้น ก่อนจะนึกได้ว่าเป็นใคร
เกอร์มัน·สแปร์โรว์!
แม้ว่าจะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่อีกฝ่ายก็เคยลงหนังสือพิมพ์หลายฉบับ แถมเธอยังเคยเห็นภาพเหมือนบนใบค่าหัว
พิจารณาจากท่าทีของมิสจัสติส ไคลน์เพิ่มรู้ตัวเมื่อสายว่าตนลืมเปลี่ยนกลับไปเป็นดอน·ดันเตส แต่มันมิได้ใส่ใจมากนัก เพียงปล่อยมือออกจากหมวก พยักหน้าและกล่าว
“ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”
แม้ว่าพลังแปลงโฉมจะถูกอามุนด์ขโมยไปแล้ว แต่ทันทีที่อีกฝ่ายถูก ‘เริ่มต้นใหม่’ พลังก็กลับคืนมาอยู่กับไคลน์ตามเดิม การลืมเปลี่ยนร่างเป็นเพียงความหลงลืม
มิสเตอร์เวิร์ลเป็นถึงครึ่งเทพ แต่กลับต้องการความช่วยเหลือจากเรา? อาการทางจิตของเขากำเริบและต้องการการรักษา? ไม่สิ… ดูไม่เหมือนแบบนั้น… ออเดรย์เม้มริมฝีปาก วางปากกาลงด้วยความอยากรู้อยากเห็น ลุกขึ้นยืนและตอบขึงขัง
“ตกลงค่ะ”
ไคลน์มิได้สาวความยืด เดินเข้ามาใกล้และคว้าแขนทันที ตามด้วยการทำให้ร่างของทั้งสองหายไป
ผ่านไปครู่เดียว คนทั้งสองปรากฏตัวที่ด้านนอกประตูห้องนั่งเล่นของบ้านเลขที่ 39 ถนนเบิร์คลุน
เทเลพอร์ต? ออเดรย์หันหน้ามามองเล็กน้อยคล้ายกับต้องการถาม แต่หลังจากตระหนักถึงบรรยากาศอันตึงเครีงด หลังจากได้ยินเสียงกรีดร้อง สีหน้าของเธอพลันตึงเครียด
“คนไข้อยู่ข้างใน?” เธอถามกึ่งมั่นใจ
การคุยกับผู้ชมสะดวกชะมัด… ไคลน์พยักหน้าและอืมในลำคอ
“เธอเพิ่งเผชิญกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ หวาดกลัวจนเกือบจะคลุ้มคลั่ง… คุณมีวิธีทำให้คนอื่นภายในห้องไม่เห็นคุณไหม?”
อันที่จริง ประโยคหลังไม่จำเป็นต้องถามก็ได้ มันสามารถสร้างภาพลวงตาขนาดใหญ่เพื่อปกปิด หรือไม่ก็รอให้ ‘พรแห่งการปกปิด’ คลายออก ความทรงจำระหว่างนั้นของคนธรรมดาก็อาจจะเหลือไม่มาก อย่างไรก็ตาม ไคลน์ที่เคยประจักษ์พลังในการ ‘พรางตัว’ ของอาดัม จึงสงสัยว่าลำดับ 6 อย่างมิสจัสติสก็อาจมีพลังที่คล้ายกัน
มิสเตอร์เวิร์ลกำลังสงสัย… เขากำลังสงสัย หายากมาก! ดูเหมือนว่าเขาจะเลิกสวมหน้ากากหนาๆ นั่นแล้ว เปลี่ยนเป็นสิ่งที่บางลง ช่างเป็นคนไข้ที่น่าชื่นชม ทำตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด… ออเดรย์ขยับกรามเล็กน้อย พยักหน้าและกล่าว
“ทำได้”
กล่าวจบ เธอชำเลืองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่ได้รับคำตอบเล็กน้อย ตามด้วยเหยียดฝ่ามือจับลูกบิดและหมุนผลักประตูเข้าไป
ส.ส. มัคท์กับมาดามลีอานน่ามิได้สนใจสตรีเลอโฉมผู้นี้แม้แต่น้อย เอาแต่ถกเถียงเรื่องอาการของลูกสาวอย่างแตกตื่น ลังเลว่าจะเรียกหมอดีไหม ส่วนเฮเซลเอาแต่ขดตัวอยู่ในห้อง ประหนึ่งลูกที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง
“มิสเฮเซล…” ในฐานะผู้ชมมากประสบการณ์ ออเดรย์ไม่มีปัญหาด้านความทรงจำ
หญิงสาวตรวจสอบสภาพปัจจุบันของเฮเซล ขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์
“เอ่อ… มิสเตอร์สแปร์โรว์ ช่วยเล่าให้ฟังคร่าวๆ ได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ? แค่เบื้องต้นก็พอ ดิฉันต้องการทราบสถานการณ์”
ไคลน์เตรียมคำตอบไว้แล้ว ตอบกระชับและรวดเร็ว
“เธอเป็นผู้วิเศษเส้นทางนักจารกรรม เป็นลูกศิษย์ของครึ่งเทพนิสัยไม่ดีคนหนึ่ง อาจารย์ของเธอยั่วยุร่างโคลน ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์จนถูกฝ่ายตรงข้ามสังหารและสวมรอยชะตากรรม… หลังจากนั้น อามุนด์ทำการบุกรุกบ้านของเธอ เมื่อทางเรากวาดล้างร่างโคลนดังกล่าวสำเร็จ เธอพบว่าบิดาของตนกลายเป็นอามุนด์ มารดากลายเป็นอามุนด์ สาวใช้และคนรับใช้ทั้งหมดกลายเป็นอามุนด์… เอ่อ… เธอยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคืออามุนด์ ทราบเพียงว่าเป็นตัวตนประหลาด… หากคุณต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมที่ไม่จำเป็นต่อการรักษาอาการทางจิต สามารถถามผมได้ในชุมนุมทาโรต์ครั้งถัดไป”
‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์? มิสเตอร์เวิร์ลและพรรคพวกกวาดล้างร่างโคลนของอามุนด์สำเร็จ… เดี๋ยวนะ ร่างโคลน? ออเดรย์เกิดความผวาในใจ สัญชาตญาณเบี่ยงเบนความสนใจไปยังส.ส. มัคท์และคนที่เหลือ อดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่าคนเหล่านี้กลายเป็น ‘ร่างโฮสต์’ ให้อามุนด์เรียบร้อยแล้ว
พ่อถูกทำให้เป็นโฮสต์ แม่ถูกทำให้เป็นโฮสต์ สาวใช้และคนรับใช้ถูกทำให้เป็นโฮสต์… ออเดรย์จินตนาการคำพูดของเดอะเวิร์ล ความหวาดกลัวผุดขึ้นภายในใจ
ฉากดังกล่าวทำให้เธออึดอัด ต้องรีบใช้พลัง ‘ปลอบโยน’ กับตัวเอง
“โลกเหนือธรรมชาติโหดร้ายกับพวกเราตลอดเวลา… หรือเป็นแค่ครั้งคราวกันนะ?” ออเดรย์พึมพำหลังจากจิตใจกลับมาสงบนิ่ง
เธอมิได้รอคำตอบจาก ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ เพราะเคยเห็นและได้ยินหลายสิ่งมาจากชุมนุมทาโรต์:
ตลอดเวลา!
เมื่อหันไปมองเฮเซล ออเดรย์เดินเข้าไปด้วยความเห็นใจ ก้มลงและใช้พลังปลอบโยน
ด้วยดวงตาที่เหม่อลอย เฮเซลมองเห็นใบหน้าที่งดงามจนไร้ที่ติ เห็นดวงตาสีเขียวมรกตคู่หนึ่ง
วินาทีนี้ ราวกับเธอได้ย้อนกลับไปในงานเลี้ยงเต้นรำเมื่อในอดีต เมื่อครั้งได้เห็นสตรีผู้เลอโฉมปรากฏกายประหนึ่งนางฟ้าจากสวรรค์
จิตใจของเธอเริ่มสงบลง ภายในดวงตาสีเขียวกระจ่างใสมีระลอกคลื่นกระเพื่อมเล็กๆ อย่างสงบนิ่งและอ่อนโยน
“ไม่ต้องกลัว ทุกอย่างจบลงแล้ว” ออเดรย์ใช้พลังสะกดจิตเพื่อสื่อสารเข้าไปในจิตใจเฮเซลโดยตรง ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกและกรีดร้องที่สูงยิ่งกว่าภูเขา ลึกยิ่งกว่าน้ำทะเล
เมื่อผนวกอาการของเฮเซลและเรื่องราวที่เธอเผชิญเข้าด้วยกัน ออเดรย์รีบวางแผนรักษา เริ่มด้วยการสะกดจิตให้เฮเซลลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลืมว่าเคยมีอาจารย์ จดจำได้เพียงเรื่องที่ตัวเองยังเป็นผู้วิเศษและความรู้พื้นฐานอีกจำนวนหนึ่ง
เฮเซลเริ่มสงบลง ก่อนจะค่อยๆ หลับไป
“หลังจากตื่นขึ้นมา ประสบการณ์อันเลวร้ายทั้งหมดจะหายไป รวมถึงเรื่องของฉันด้วย” ออเดรย์กล่าวเสียงแผ่วเบาอ่อนโยน เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการสะกดจิต
จากนั้น เธอลุกขึ้นยืนอย่างไม่รีบร้อน จ้องหน้าเฮเซลต่ออีกสักพัก
หญิงสาวเม้มปาก พึมพำโดยไม่มองหน้า
“ดิฉันทำให้เธอลืมความทรงจำเหล่านั้นไปชั่วคราว แต่พวกมันยังไม่ได้หายไป หลบซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกส่วนลึก ในอนาคต ดิฉันจะช่วยรักษาเธออย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ ชักนำให้เธอยอมรับและอยู่ร่วมกับความทรงจำเหล่านั้น เพราะหากไม่แล้ว ต่อให้วันนี้เธออาการทางจิตของเธอหายไป แต่เมื่อใดที่ถูกกระตุ้นด้วยคำพูดอันคุ้นเคย พวกมันอาจตื่นขึ้นมาและทำให้เธอคลุ้มคลั่งคาที่”
มิสจัสติสเป็นมืออาชีพมาก… พัฒนาขึ้นอีกแล้ว… ไคลน์ถอนหายใจเล็กๆ และกล่าว
“ถ้าอย่างนั้น คุณต้องสะกดจิตทุกคนที่เคยเป็นโฮสต์ให้ไม่เผยงานอดิเรกอย่างการสวมแว่นตาขาเดียว… นอกจากนั้น ชักนำให้พวกเขาสวดวิงวอนถึงเทพธิดาในอีกสิบห้านาทีข้างหน้า เพื่อให้ได้รับการชำระล้างที่แท้จริง”
ออเดรย์พยักหน้าขึงขัง
“ตกลง”
ไคลน์หลบฉากออกมา เฝ้ามองสตรีขุนนางรายนี้ ‘ชี้นำทางจิต’ อดีตร่างโฮสต์ทุกคนในบ้านด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจเป็นล้นพ้น
ราชันเร้นลับ 1008 : แบ่งส่วนแบ่ง
ไม่กี่นาที่ถัดมา ไคลน์ที่อยู่ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์และมิสจัสติส เดินออกจากบ้านเลขที่ 39 ถนนเบิร์คลุน ตระเวนไปตามจุดต่างๆ ที่มีคนเคยถูกปรสิตเข้าไปอาศัย
หลังจากเดินอย่างเงียบงันสักพัก ไคลน์มองไปข้างหน้าและพูด
“เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผู้วิเศษไร้สังกัด หากปราศจากคำแนะนำที่ถูกต้อง ก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินบนขอบเหว สามารถตกลงไปได้ทุกเมื่อ”
ออเดรย์อืมในลำคอ ตามด้วยกล่าว
“ฉันทราบ… เทียบกับเมื่อก่อน ฉันไม่เหมือนเดิมแล้ว… ตอนนี้ไม่ได้…”
เธอครุ่นคิดสักพักก่อนจะยกมุมปาก พบคำคุณศัพท์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตน กล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งเย้ยหยันตัวเอง
“ไร้เดียงสา…”
“เฮ้อ…” หญิงสาวถอนหายใจโดยไม่ปิดบัง มองไปข้างหน้าและพูดต่อ “ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมิถุนายนปีก่อน หากทราบว่าโลกเหนือธรรมชาติจะน่ากลัวและโหดร้ายเช่นนี้ บางทีอาจตัดสินใจไม่เป็นผู้วิเศษ”
ไคลน์เอียงคอเล็กน้อย ชำเลืองไปทางสตรีขุนนางผู้สูงศักดิ์ ถามอย่างเป็นกันเอง
“ถ้าตอนนี้มีวิธีทำให้คุณกลับไปเป็นคนธรรมดาได้… จะทำไหม?”
ออเดรย์ผงะเล็กน้อย ค่อยๆ หุบริมฝีปากและพูด
“ไม่…”
หลังจากตอบออกไป คล้ายกับเธอผ่อนคลายตัวเองลง ยิ้มและพึมพำ
“ฉันหมายถึงตัวเองในช่วงมิถุนายนปีที่แล้ว แต่ไม่ใช่กับตอนนี้… บางที นี่อาจเป็นราคาของการเติบโต”
“ผมเข้าใจที่คุณจะสื่อ” ไคลน์ยังคงเดินต่อไป ไม่เร็วไม่ช้า หันไปพูดกับอีกฝ่าย “บรรดาเหยื่อของปรสิต จะมีจำนวนหนึ่งที่คายหนอนกาลเวลาออกมา สิ่งนั้นสามารถนำไปสร้างเป็นยันต์โจรปล้นดวง มีพลังอยู่ในระดับครึ่งเทพ สามารถแลกเปลี่ยนชะตากรรมระหว่างผู้ใช้งานกับเป้าหมายเป็นเวลาสั้นๆ เมื่อถึงตอนนั้น ผมจะยกให้คุณหนึ่งแผ่น เป็นค่าที่ปรึกษาของวันนี้”
ขณะออเดรย์เตรียมปฏิเสธ เธอชะงักเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าแผ่วเบา:
“ตกลง”
กล่าวจบ เธอชำเลืองไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านข้าง ยิ้มด้วยสีหน้าค่อนข้างซับซ้อน
“ดิฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณถึงคำถามคำถามนั้น”
ไคลน์ยิ้ม ไม่ตอบเพิ่ม
ออเดรย์ถอนสายตากลับ สีหน้าแววตาดูแจ่มใสขึ้นมาก รำพันกับตัวเองเล็กๆ
“ตอนเที่ยงเข้าร่วมปฏิบัติการสั่งสอน ตอนบ่ายช่วยจัดการกับผลข้างเคียงอามุนด์… วันนี้ช่างเป็นวันแห่งทาโรต์”
เธอกล่าวด้วยความหมายสองมุม พลางถอนหายใจเปี่ยมอารมณ์
ตามความคิดของหญิงสาว ตอนเที่ยงเป็นความร่วมมือของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ที่ประกอบด้วยเดอะมูน เดอะสตาร์ จัสติส จัดจ์เมนต์ และเมจิกเชี่ยน โดยที่แต่ละคนมีบทบาทและความสำคัญต่างกันไป ถัดมาในช่วงบ่าย เดอะเวิร์ลทำการกวาดล้างร่างโคลนของอามุนด์ และจัสติสช่วยขจัดผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น ถือเป็นวันที่น่าจดจำอีกวันหนึ่ง คู่ควรแก่การถูกเรียกว่าวันแห่งทาโรต์
ไคลน์พยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดของหญิงสาว แต่มิได้บอกกับเธอว่า ในภารกิจกว้างล้างอามุนด์ เดอะสตาร์เองก็เข้าร่วมด้วยในฐานะกำลังหลัก
“ร่างโคลนของอามุนด์รับมือได้ยากใช่ไหมคะ…” เมื่อสบโอกาส ออเดรย์ยิงคำถาม
หญิงสาวจ้องไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ความอยากรู้อยากเห็นเต็มเปี่ยมภายในดวงตาโดยไม่ปิดบัง
ไคลน์ยิ้มและตอบ
“ถ้าผมต้องสู้ตัวคนเดียว ตอนนี้คนที่คุณกำลังคุยด้วยจะไม่ใช่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ แต่เป็นอามุนด์”
“ช่วงชิงชะตากรรมและตัวตน?” ออเดรย์ถามกะทันหัน
ไคลน์อืมในลำคอ
“ไว้ค่อยเล่ารายละเอียดภายหลัง สรุปโดยสั้น ในปฏิบัติการกวาดล้างร่างโคลนอามุนด์คราวนี้ ทางเราต้องส่งเทวทูตมาจำนวนหนึ่ง… หากเผชิญหน้ากับร่างโคลนของอามุนด์ในอนาคต อย่ามัวคิดหาวิธีจัดการกับมันให้เสียเวลา รีบสวดวิงวอนทันที… อา… ลักษณะเด่นของมันก็คือ ชอบสวมแว่นตาขาเดียว ชอบแกล้งคนด้วยรสนิยมพิสดาร”
ต้องส่งเทวทูตมาจำนวนหนึ่ง… จะใช่กงสุลมรณะไหมนะ? หรือเป็นเทวทูตในขอบเขตชะตากรรม… หรือว่า… ออเดรย์แหงนมองฟ้า พบก้อนเมฆที่กำลังหยุดนิ่ง ไม่กระดุกกระดิก ราวกับเป็นของประดับฉากหลังที่ค่อนข้างคล้ำ
เฉกเช่นนักเรียนที่กำลังฟังครูสอน ออเดรย์พยักหน้าขึงขัง
“จะจำใส่ใจไว้ค่ะ”
ทั้งสองยังคงเดินเท้าต่อไป บ้างเงียบงัน บ้างคุยกันสบายๆ จนกระทั่งเข้าสู่บ้านเลขที่ 169 ถนนเบิร์คลุน
ผ่านไปหลายนาที ภายในห้องนั่งเล่นของบ้านเฮเซล
ส.ส. มัคท์และคนที่เหลือพลันเกิดความรู้สึกอยากสวดวิงวอนอย่างแรงกล้า รีบหาที่นั่งและประสานมือไว้ใต้ปาก สวดวิงวอนถึงเทพธิดารัตติกาลด้วยพระนามเต็ม
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ พวกมันไอกระแอมพร้อมกัน ไอจนน้ำหูน้ำตาไหล
แค่ก! แค่ก! แค่ก!
พอรู้ตัวอีกที แต่ละคนต่างพากันกระอักหนอนสิบสองปล้องออกจากปาก
ในวินาทีที่แมลงตกถึงพื้น พวกมันอันตรธานหายโดยไม่มีใครมองเห็น
เหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นกับทุกซอกมุมของถนนเบิร์คลุน แต่เพียงไม่นานก็กลับสู่สภาวะปรกติ ความมืดบนท้องฟ้าจางหายไปตอนไหนไม่มีใครทราบ กระแสเมฆไหลไปตามสายลมอีกครั้ง
ท่ามกลางเสียงไอของพ่อแม่ เฮเซลค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นด้วยความฉงน พบว่าตนกำลังอยู่ในช่วงเวลาดื่มชายามบ่าย ส่วนตนเผลอหลับไปบนโซฟา
เธอคิดว่าตนควรจะมีความสุข แต่กลับยิ้มไม่ออก คล้ายกับมีความเศร้าและความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ได้อัดแน่นภายในใจ
เมื่อเห็นสายตาเป็นกังวลจากพ่อแม่ ไม่เพียงเธอจะไม่ขยับ แต่ยังเผยท่าทีสั่นกลัวเล็กๆ เหมือนกับเด็กเก็บตัวที่ไม่คุ้นเคยกับการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
เฮเซลตระหนักว่านี่ไม่ใช่บุคลิกของเธอ แต่ก็มิอาจควบคุมตัวเองได้
ถึงอย่างนั้น หญิงสาวไม่ประหลาดใจนานนัก ยังคงดื่มด่ำไปกับชายามบ่าย
เช่นเดียวกันกับส.ส. มัคท์ มาดามลีอานน่าและคนที่เหลือ พวกมันรู้สึกว่าความทรงจำของตนค่อนข้างคลุมเครือในบางส่วน แต่ก็จำอะไรไม่ได้
…
บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ภายในห้องนอนใหญ่ที่ขึงผ้าม่านปิดสนิท
ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะกาแฟ สวมชุดคลุมเรียบง่าย เข็มขัดเปลือกไม้ ไม่ใช่ใครนอกจากผู้นำของเหล่านักบวชที่อยู่ในสภาพเท้าเปล่า หัวหน้าสำนักชีรัตติกาล ประมุขแห่งสิบสามอาร์ชบิชอปของโบสถ์รัตติกาล
บนกระจกตาของเธอสะท้อนภาพดอน·ดันเตสเจ้าของจอนสีขาวที่กำลังเอนตัวลุกจากโซฟา บนโต๊ะกาแฟข้างๆ มีหนอนแมลงโปร่งจำนวนเก้าตัว
“ทิวาสวัสดิ์ พระคุณเจ้าอาเรียนน่า” ไคลน์โค้งคำนับนอบน้อม “เป็นเพราะความช่วยเหลือจากท่าน ร่างโคลนของอามุนด์ในเบ็คลันด์จึงถูกกวาดล้างทั้งหมด ท่านสามารถเลือกส่วนแบ่งจากกองรางวัลเหล่านี้”
มันได้ส่งหุ่นเชิดของตนไปอยู่ข้างๆ ร่างโฮสต์ทุกคน จากนั้นก็ใช้ภาพลวงตาเพื่ออำพรางและนำหนอนกาลเวลากลับมา
ได้ยินคำพูดดังกล่าว อาเรียนน่าเคาะหน้าอกสี่จุด ตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เทพธิดาจงเจริญ”
เธอมิได้ปฏิเสธ ไม่มากพิธี เพียงเหยียดมือขวาออก หนอนกาลเวลาสองตัวก็ลอยขึ้นไปบนมือ
“อามุนด์คงได้รับเบาะแสบางอย่างจากเหตุการณ์นี้ เจ้าต้องระวังตัวเองให้มาก” หลังจากกล่าวประโยคสั้นกระชับ ร่างของอาเรียนน่าเลือนหายไปราวกับถูกเช็ดออกจากอากาศ
เมื่อเห็นอาร์ชบิชอปจากไป ไคลน์หยิบปากกาและกระดาษ เขียนถึงเลียวนาร์ด·มิเชล
มันอยากทราบว่า สำหรับหนอนกาลเวลา นอกจากยันต์โจรปล้นดวงแล้ว ยังนำไปสร้างอะไรได้อีก!
มันคิดว่าตนไม่ควรเปลี่ยนหนอนกาลเวลาทั้งหมดให้เป็นยันต์โจรปล้นดวง เพราะนั่นจะขาดความหลากหลายและง่ายแก่การถูกดักทาง ไม่สามารถใช้รับมือกับสถานการณ์ได้ครอบคลุม จึงควรมองหาช่องทางอื่นสำรองไว้
หากมีหนอนกาลเวลาเป็นภาชนะ การวาดสัญลักษณ์อื่นที่แตกต่างจากของเดอะฟูล ย่อมมีโอกาสสร้างผลลัพธ์ใหม่ๆ ให้กับยันต์ และสำหรับเรื่องนี้ พาลีส·โซโรอาสเตอร์ย่อมชำนาญกว่าใคร
เขียนจดหมายเสร็จ ไคลน์หยิบฮาร์โมนิก้านักผจญภัยออกมาจ่อปากเป่า
ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เจ้าของสี่หัวทองตาแดงเดินออกจากความว่างเปล่า ดวงตาทั้งแปดชะงักและหันไปทางหนอนกาลเวลาที่เหลืออีกเจ็ดตัวบนโต๊ะกาแฟ
ผู้ส่งสารสาวจ้องพวกมันนานสามวินาทีเต็ม ก่อนจะถอนสายตากลับ งับกระดาษจดหมายและเหรียญทองที่ไคลน์ส่งให้
“บ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์เหมือนเดิม” ไคลน์ตอบห้วน
อีกสามหัวที่เหลือของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ตอบกลับ
“ในอนาคต…” “เจ้าสามารถ…” “ขอความช่วยเหลือ…”
“จากข้าได้…” “โดยมี…” “ค่าตอบแทน…”
“เป็นส่วนแบ่ง…” “จากศัตรู…”
ไคลน์ผงะเล็กน้อย ตามด้วยกล่าว
“ตกลง”
จนกระทั่งมิสผู้ส่งสารกลับสู่โลกวิญญาณ มันขมวดคิ้วและพึมพำ
ถ้าเธอตระหนักถึงคุณค่าของหนอนกาลเวลา… แปลว่าเธอย่อมทราบว่า การต่อสู้ในอนาคตอาจพัฒนาไปถึงสงครามเทวทูต…
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่กลัวเลยสักนิด…
มิสผู้ส่งสารแข็งแกร่งกว่านี้เราคิด?
…
บ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์ เลียวนาร์ดรับจดหมายจากไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์
มันค่อนข้างตื่นเต้น อดใจรอไม่ไหวที่จะคลี่กระดาษและกวาดสายตาอ่าน
จนกระทั่งผู้ส่งสารกลับไป มันหรี่เสียงลงและพึมพำ
“ตาแก่ ยังมีวิธีอื่นในการสร้างยันต์ใช่ไหม?”
ปัจจุบัน พาลีส·โซโรอาสเตอร์ตัดสินใจมอบหนอนกาลเวลาสองตัวจากอามุนด์ให้เลียวนาร์ด เพื่อเป็นรางวัลที่ยอมเสี่ยงชีวิต
ภายในใจเลียวนาร์ด เสียงค่อนข้างชราตอบอย่างมีชีวิตชีวา
“แน่นอน รอให้ข้าหลับพักผ่อนสักพักเพื่อย่อยผลประกอบการในวันนี้ เมื่อตื่นขึ้นมา ข้าจะสอนให้เจ้าเอง คราวนี้ใช้เวลาไม่นาน และระหว่างนั้นไม่ควรแวะไปที่ถนนเบิร์คลุน”
“ทำไม?” เลียวนาร์ดถามด้วยความประหลาดใจ
พาลีส·โซโรอาสเตอร์หัวเราะในลำคอ
“ร่างโคลนของอามุนด์ในเบ็คลันด์ถูกทำลายทั้งหมด เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก จึงเหลือผู้ต้องสงสัยอยู่เพียงไม่กี่ราย เจ้าพอจะเข้าใจไหม?”
หรือว่า… จิตใจเลียวนาร์ดตึงเครียดอีกครั้ง
พาลีสกล่าวต่อ
“แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ต้องกังวลมากไป ร่างจริงของเจ้านั่นเข้ามาในเบ็คลันด์ไม่ได้ และข้าเองก็ฟื้นพลังกลับคืนมามากแล้ว ลำพังร่างโคลนมิอาจทำอะไรได้… นอกจากนั้น จากความทรงจำของร่างโคลนสองสามตัว ข้าพบความคิดของฟลอร่า·เจคอปที่ระบุไว้ว่า: ที่ใดสักแห่งในเบ็คลันด์ มีสมบัติตระกูลเจคอปซ่อนอยู่… ไว้รอให้ถึงการชุมนุมในช่วงสิ้นปี เราจะปรึกษาเรื่องนี้กับทายาทเจคอปที่เหลือ ช่วยกันตามหาสมบัติและแบ่งอย่างเท่าเทียม เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้อามุนด์รวบรวมร่างโคลนได้เป็นจำนวนมากจนเข้าใกล้ลำดับ 1 ก็ยังไม่มากพอจะเอาชนะข้าได้… หึหึ… อา… เพื่อให้เกิดความสมดุล เราจะให้ดอน·ดันเตสเข้ามาเอี่ยวด้วยก็ได้”
ราชันเร้นลับ 1009 : ของขวัญที่ได้รับ...
หลังจากได้ยินคำพูดชายชรา เลียวนาร์ดรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที
มันกลับมาให้ความสนใจสงครามระดับเทวทูตที่เกิดขึ้นตอนบ่าย ซักถามด้วยความสงสัย
“ปีศาจงูยักษ์ตัวนั้นเป็นของเส้นทางใด?”
พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบไปสักพัก ถอนหายใจและตอบ
“อสรพิษแห่งชะตา ประธานสภาแห่งชะตาของโรงเรียนกุหลาบ เทวทูตลำดับ 1… ข้าเองก็ไม่คาดคิดว่าเจ้านั่นจะเข้าร่วมกับฝ่ายนี้…”
ประธานสภาแห่งชะตาของโรงเรียนกุหลาบ? ขณะเดียวกันก็เป็นข้ารับใช้มิสเตอร์ฟูล? หรือว่าไพ่ทาโรต์ของเขาจะเป็น ‘วีลล์ออฟฟอร์จูน’ ? ดวงตาเลียวนาร์ดขยายขึ้นเล็กๆ ภายในใจเริ่มรู้สึกว่ามิสเตอร์ฟูลมิได้น้อยหน้าเจ็ดเทพจารีตเลยสักนิด ลึกเกินกว่าจะหยั่งถึง
กงสุลมรณะ… อสรพิษแห่งชะตา… ผู้ส่งสารที่ไม่สมบูรณ์… ตอนนี้มีเทวทูตของมิสเตอร์ฟูลสามตนที่ถูกเผยตัวออกมาแล้ว… ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมไคลน์ถึงกลายเป็นครึ่งเทพได้เร็วนัก… เราเพิ่งเข้าร่วมได้ไม่นาน แต่กลับมีโอกาสได้เข้าร่วมในสงครามครึ่งเทพ… อนาคตหลังจากนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเดาได้เลย… เลียวนาร์ดถือกระดาษจดหมายเดินไปนั่งบนโซฟา ภายในใจเกิดแรงกระตุ้นที่จะย่อยโอสถ ‘นักปลอบวิญญาณ’ ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม
ในระยะหลัง มันมัวแต่ยุ่งอยู่กับการปลอบวิญญาณในเบ็คลันด์ และด้วยปริมาณงาน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้เสร็จโดยเร็ว ยากจะหาโอกาสแวะไปยังเมืองทิงเก็นและขโมยหยดเลือดของเทพสุริยันเจิดจรัส แถมร่างโคลนของอามุนด์ก็ยังปรากฏตัวเร็วกว่าที่คาดไว้
…
ย่านทิศใต้ของสะพานเบ็คลันด์ ถนนกุหลาบ ภายในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว
เอ็มลิน·ไวท์ในเครื่องแบบนักบวชสีน้ำตาล กำลังยืนข้างโต๊ะยาวที่มีเชิงเทียน สายตาจ้องไปทางเออร์เนส·โบยาร์ที่กำลังเช็ดแท่นบูชา ทันใดนั้น มันยกมือขวาขึ้นชี้พร้อมกับกล่าว
“ด้านข้าง… ฝั่งซ้าย… ตรงนั้นยังไม่สะอาด”
เออร์เนส·โบยาร์ที่กำลังสวมชุดนักบวชของโบสถ์พระแม่ธรณี หันไปทองเอ็มลินด้วยสายตาโกรธจัด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทำตามคำสั่ง เช็ดซ้ำบริเวณที่ยังไม่สะอาด
“ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธ แต่ก็เหมือนกับตอนที่ข้าโกรธเรื่องปราสาทที่เจ้าปกปิดข้อมูลสำคัญ” เอ็มลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม ไม่แยแสสีหน้าของอีกฝ่าย “นอกจากนั้น ข้าลืมบอกไป เมื่อสัปดาห์ก่อน ข้าได้เป็นไวเคาต์แล้ว”
สำหรับพิธีกรรมเลื่อนเป็นไวเคาต์ผีดูดเลือด หรือ ‘ปราชญ์สีชาด’ ลำดับ 5 แห่งเส้นทางจันทรา หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญก็คือ ต้องอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์เต็มดวง นอกจากนั้นยังต้องรวบรวมโลหะ อัญมณี และเลือดของสัตว์วิเศษที่แตกต่างกันซึ่งแสดงถึงดวงจันทร์ในแต่ละสถานะ เป็นงานที่ไม่ง่ายเลย
อย่างไรก็ตาม เอ็มลินได้รับคำสัญญาจากเบื้องบนของผีดูดเลือดมานานแล้ว ว่าจะช่วยประกอบพิธีกรรมเลื่อนเป็นไวเคาต์ให้ สิ่งที่ต้องทำจึงมีเพียงรอให้ถึงคืนจันทร์เต็มดวง
สำหรับการย่อยโอสถ ‘ปรมาจารย์โอสถ’ เอ็มลินแทบไม่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ สิ่งนี้ประสบความสำเร็จตามธรรมชาติอย่างราบรื่น เพราะมันมักสอนการปรุงยาจากสมุนไพรให้กับสาวกของวิหารฤดูเก็บเกี่ยว หรือแม้แต่การนำยาวิเศษมาจับคู่กัน หากไม่นับงานอดิเรกอย่างการสะสมตุ๊กตา ศึกษาประวัติศาสตร์ และเป็นอาสาสมัครให้กับโบสถ์พระแม่ธรณี เอ็มลินชอบใช้เวลาว่างคิดเกี่ยวกับยาวิเศษ เพื่อให้ใช้งานได้เกิดประโยชน์สูงสุดในการต่อสู้
“…เจ้าเป็นไวเคาต์แล้ว?” เออร์เนส·โบยาร์ทำหน้าประหลาดใจ
ในตระกูลผีดูดเลือด เนื่องจากเป็นเผ่าพันธุ์ที่อายุยืนยาว จำนวนของสมาชิกจึงมีมาก แต่ตะกอนพลังนั้นมีจำกัด จำนวนคนที่เลื่อนลำดับสามารถนับหัวได้ไม่ยาก ต้องรอคิวนานมาก บางคนอาจต้องรอทั้งชีวิต แต่เอ็มลิน·ไวท์กลับไต่เต้าจากบารอนมาเป็นไวเคาต์ได้ภายในครึ่งปี!
เออร์เนสยังคงจำแม่น จากบารอนมาถึงไวเคาต์ มันต้องใช้เวลาหกสิบปีเต็ม และนั่นเป็นเพราะบิดาของมันถูกแวมไพร์เทียมโจมตีจนเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร เหลือทิ้งมรดกไว้ให้ทายาท
“แน่นอน” เอ็มลินฉีกยิ้มกว้างขึ้น แต่ยังคงสงวนกิริยา “ข้าได้ตะกอนพลังของลำดับ 5 มาจากแวมไพร์เทียม”
เออร์เนส·โบยาร์เอาแต่จ้องหน้าเอ็มลิน ไม่กล่าวคำใดเป็นเวลานาน คล้ายกับผลกระทบที่ได้รับ หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าการต้องมาเป็นอาสาสมัครที่วิหารฤดูเก็บเกี่ยว
“สีหน้าดูไม่ได้เลยนะ” เอ็มลินหัวเราะในลำคอ “อาจมีสักวันที่เจ้าต้องเรียกข้าว่าท่านเอิร์ล”
“โอหังนักนะ!” เออร์เนสโพล่งขึ้น
นี่ถือว่าถ่อมตัวแล้ว ฉันไม่ได้พูดด้วยซ้ำว่าจะเป็นดยุค หรือกระทั่งเจ้าชาย… หึหึ… คนที่เป็นผู้กอบกู้ของเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด อย่างน้อยๆ ก็ต้องระดับเทวทูตไม่ใช่หรือ? และในชุมนุมของเรา มิสเตอร์เวิร์ลกลายเป็นครึ่งเทพเรียบร้อยแล้ว ส่วนมาดามเฮอร์มิทก็อีกไม่นาน… ในอนาคต ชุมนุมทาโรต์จะเต็มไปด้วยครึ่งเทพ… เอ็มลินอมยิ้ม มิได้โต้ตอบเออร์เนสเหมือนทุกครั้ง เพียงวางท่าราวกับเป็นผู้เหนือกว่า
แต่แน่นอน มันย่อมตระหนักว่า เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดจะสูญเสียความได้เปรียบที่เคยมีเหนือสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นหลังจากโอสถ ‘ปราชญ์สีชาด’ เป็นต้นไป ความยากลำบากในการเลื่อนเป็นเอิร์ล ไม่น้อยไปกว่าการที่แวมไพร์เทียมดิ้นรนที่จะเป็น ‘ราชาหมอผี’
การย่อยโอสถปราชญ์สีชาดไม่ใช่เรื่องยาก แค่การศรัทธาในดวงจันทร์ให้เหมือนกับศาสนา กราบไหว้ดวงจันทร์ ศึกษาดวงจันทร์ เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว ผีดูดเลือดตนอื่นๆ ก็ทำตามนี้ทั้งนั้น… แต่ส่วนที่ยากก็คือ พิธีกรรมเลื่อนลำดับตกอยู่ในมือของครึ่งเทพ หากไม่ได้รับอนุญาต เราก็คงจนปัญญา… ต่อให้เดอะซันหาตะกอนพลังมาได้ แต่เราก็ไม่สามารถเลื่อนเป็นเอิร์ลด้วยตัวเอง… แม้เอ็มลินจะหยิ่งทระนง แต่มันก็ตระหนักอย่างชัดเจนว่าหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยความยากลำบาก
ปราชญ์สีชาดมีพลังหลักๆ อยู่สองข้อ ประการแรก สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง หากศัตรูไม่ชำนาญการใช้พลังวิญญาณหรือโลกวิญญาณ มันสามารถผลของ ‘จันทร์เต็มดวง’ ขึ้นมาได้ในระยะเวลาหนึ่ง แต่ถ้าศัตรูเป็นประเภทตรงกันข้าม มันก็จะทำให้ดวงจันทร์หายไป ประการที่สอง ท่ามกลางแสงจันทร์ มันจะมีพลังเคลื่อนย้ายพริบตาและร่างวิญญาณแบบพิเศษ หรือต่อให้ถูกศัตรูจัดการจนแหลกละเอียด ก็ยังมีโอกาสคืนชีพกลับมาใหม่ภายใต้แสงจันทร์
ความสามารถเหล่านี้จะยิ่งแข็งแกร่ง ถ้าปราชญ์สีชาดศึกษาดวงจันทร์อย่างถ่องแท้และลึกซึ้ง
ในส่วนของการเพิ่มประสิทธิภาพให้มนต์ดำ เพิ่มคุณภาพของยาวิเศษ และเพิ่มความสามารถในการต้านทานฝันร้าย สิ่งเหล่านี้เป็นแค่ของแถม
เออร์เนสหงุดหงิดหัวทัศนคติของเอ็มลินมาก เตรียมพูดจาถากถาง แต่ทันใดนั้น มันบังเอิญเหลือบไปเห็นร่างครึ่งซีกของบิชอปยูทรอฟสกี้ที่เดินออกมาจากด้านหลังวิหาร
มันรีบก้มศีรษะลง ตั้งใจทำความสะอาดต่อ
เอ็มลิน·ไวท์หยิบผ้าขี้ริ้วและเชิงเทียนขึ้น เช็ดผิวโลหะอย่างชำนาญ
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ มันนึกถึงปัญหาข้อหนึ่ง นั่นก็คือ หากออกจากวิหารฤดูเก็บเกี่ยวตอนนี้ เบื้องบนของผีดูดเลือดจะบีบบังคับให้ตนคืนสมบัติวิเศษของเออร์เนสหรือไม่?
แย่ล่ะสิ… ถ้าพวกท่านออกปาก เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ เพราะสมบัติบางชิ้นก็ไม่ใช่ของเออร์เนส… หลังจากครุ่นคิดอย่างจริงจัง เอ็มลินตัดสินใจใช้โอกาสที่ตนกลับห้องพักหลังจากนี้ ประกอบพิธีกรรมสังเวยสมบัติวิเศษให้มิสเตอร์ฟูล จากนั้นก็แบ่งกันระหว่างจัสติส เดอะสตาร์ และคนที่เหลือ
อา… สำหรับแหวน ‘คำสาบานแห่งกุหลาบ’ คงไม่ต้องสังเวย เพราะเรามีเพียงวงเดียว หากใครได้ไปและสวมใส่ คนคนนั้นจะถูกค้นพบโดยผู้สวมแหวนอีกวง… คงต้องนับเป็นรางวัลในส่วนของเรา เมื่อตกเย็น เราจะนำไปคืนลอร์ดนีบาสและแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่น… สำหรับชิ้นที่เหลือ เราไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการแก่งแย่ง… เพียงไม่นาน เอ็มลินวางแผนอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับเรื่องที่ว่า ตนจะถูกเบื้องบนของผีดูดเลือดโกรธหรือไม่ เอ็มลินไม่เป็นกังวล เพราะในตอนที่คืนแหวนคำสาบานแห่งกุหลาบ มันจะเล่าแถมไปว่า คนของโรงเรียนกุหลาบฝ่ายระงับแรงปรารถนาต้องการร่วมมือกับผีดูดเลือด
ผลของการเจรจาลุล่วงมาตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้ว แต่ขณะประชุมย่อยกับชาวทาโรต์ แฮงแมนได้เสนอว่า ควรรอให้จบปฏิบัติการสั่งสอนเสียก่อน เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของตน และเพื่อบรรเทาความโกรธและขุ่นเคืองของเหล่าเบื้องบน
ตบหัวแล้วลูบหลัง? จู่ๆ เอ็มลินก็นึกถึงภาษิตที่สอดคล้องกันขึ้นมา
…
บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ภายในห้องนอนของดอน·ดันเตส
ส่วนแบ่งในคราวนี้ค่อนข้างดี หนึ่งเป็นเข็มกลัดเพชรที่เพิ่มพลังใจ และสามารถต้านทานการโจมตีทางจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ สองคือกระดาษคนตัวแทนที่ป้องกันอาการบาดเจ็บร้ายแรง สามคือเข็มขัดที่ช่วยบรรเทาความเสียหายจากการโจมตีประเภทแสงแดดและฟ้าผ่า สี่คือกระเป๋าสตางค์ที่มีเงินสดบรรจุอยู่มากกว่าสามร้อยปอนด์… ไคลน์ที่ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง ถอนหายใจเงียบงันพลางนำหนอนโปร่งใสออกมา
ทันทีที่เห็นหนอนตัวนี้ มันรู้สึกวิงเวียนศีรษะทันที หวนนึกถึงความเจ็บปวดที่ราวกับร่างกายและจิตใจแตกสลาย
นี่คือ ‘หนอนวิญญาณ’ ที่ไคลน์แบ่งออกจากตัวเองเพื่อเป็นรางวัลตอบแทน ‘อสรพิษแห่งชะตา’ วิล·อัสติน
สำหรับวัตถุที่ช่วยฟื้นฟูความแข็งแกร่งของผู้ใช้งานได้ชั่วคราว ไคลน์ผุดแนวคิดที่น่าสนใจ นั่นคือการใช้หนอนวิญญาณเป็นภาชนะ สลักสัญลักษณ์ที่เคยคัดลอกไว้และกระตุ้นด้วยพลังของมิติลึกลับเหนือสายหมอกสีเทา
ผลการทำนายสรุปออกมาว่า: สิ่งต่างๆ จะผ่านไปอย่างราบรื่น
แก่นแท้ของวัตถุดังกล่าว แท้จริงแล้วเป็นพลังของลำดับ 3 ‘ปราชญ์โบราณ’ เป็นการดึงตัวเองจากประวัติศาสตร์ ตัวเองในอดีต ออกมาใช้งานชั่วคราว การตอบสนองด้วยพลังของเดอะฟูลย่อมไม่สร้างปัญหา…
ปัญหาก็คือ สัญลักษณ์ดังกล่าวทั้งเป็นไปในเชิงสามมิติ ลึกลับซับซ้อน และแฝงไว้ด้วยอันตราย ไม่สามารถสลักลงบนแผ่นโลหะได้ส่งเดช… ตามคำแนะนำของวิล·อัสติน เราต้องเพ่งสมาธิอย่างมากและใช้เทคนิคการสลักด้วยพลังวิญญาณ บนลงร่างของหนอนวิญญาณ…
ถ้าวิธีนี้ประสบความสำเร็จ เราจะสร้างให้ตัวเองหนึ่งชิ้น อยากจะรู้เหมือนกันว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรหากใช้กับตัวเอง จะกลับไปเป็นไคลน์·โมเร็ตติวัยเด็ก หรือรังไหมที่ห้อยอยู่บนประตูแห่งแสง… หากเป็นอย่างหลัง อย่างน้อยก็อาจได้รู้ว่าเราถูกแขวนไว้กี่ปี… ไคลน์เข้าฌานด้วยสมาธิจดจ่อสุดขีด ร่างภาพสัญลักษณ์ดังกล่าวภายในใจ เพื่อให้พลังวิญญาณภายนอกสลักลงบนตัวหนอนวิญญาณ
เป็นงานที่ซับซ้อนและมีความยาก หากพลาดเพียงนิดเดียวจะล้มเหลวทันที
ขณะสัญลักษณ์ล่องหนค่อยๆ ถูกวางบนตัวหนอนวิญญาณ ร่างกายไคลน์เกิดขยับเล็กน้อย ส่งผลให้หนอนวิญญาณถูกแผดเผาจนกลายเป็นขี้เถ้าในพริบตา
มองดูฝ่ามือที่ว่างเปล่า ศีรษะไคลน์ปวดแปลบขึ้นมาทันที เกิดความเงียบเป็นเวลานาน จนกระทั่งมันพึมพำกับตัวเอง
ทำไมชีวิตมันถึงได้ยากแบบนี้…
ราชันเร้นลับ 1010 : ค่าที่ปรึกษา
หลังจากลูบหน้าผาก ไคลน์พยายามแบ่งหนอนวิญญาณตัวใหม่ออกจากร่าง แต่ทันใดนั้น มันเห็นไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ที่สวมเดรสยาวสีดำซับซ้อน เดินออกจากความว่างเปล่า ยืนข้างโต๊ะทำงาน
หนึ่งในปากของมิสผู้ส่งสารกำลังคาบจดหมายที่ถูกพับมาอย่างดีด
“จากใคร?” ไคลน์ถามอย่างเป็นกันเอง
ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ใช้สามศีรษะตอบกลับ
“เจ้านายของ…” ราชา…” “เห็ด…”
ราชาเห็ด? ไคลน์ผงะสองวินาที ก่อนจะนึกออกว่าหมายถึงแฟรงค์·ลี
และเจ้านายของแฟรงค์·ลีคือพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา
“ราชาเห็ดหมายถึงแฟรงค์·ลี?” ไคลน์เหยียดแขนไปรับจดหมาย ถามยืนยัน
สี่หัวที่เส้นผมห้อยลงมาจากมือทั้งสองข้าง ขยับขึ้นลงเล็กน้อย คล้ายกับพยักหน้า
มิสผู้ส่งสารถึงกับตั้งชื่อเล่น… น่าแปลก แฟรงค์ไม่ได้ชำนาญแค่เรื่องเห็ดสักหน่อย ‘ขอบเขต’ ของหมอนั่นรวมไปถึงวัวควาย ข้าวสาลี ปลา และนักบวชกุหลาบ… หรือจะเป็นเพราะแฟรงค์ประสบความก้าวหน้าในการพัฒนาเห็ด มิสผู้ส่งสารก็เลยเคยเห็นเรือที่เต็มไปด้วยเห็ด? ไคลน์ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ รีบคลี่กระดาษจดหมายออกมาอ่าน
มันกังวลว่านี่อาจเป็นจดหมายของความช่วยเหลือจากมาดามเฮอร์มิท
แต่แน่นอน มันมิได้กังวลมากนัก เพราะถ้าเป็นสถานการณ์วิกฤติโดยแท้จริง พลเรือเอกดวงดาวที่มีประสบการณ์โชกโชน ย่อมเลือกจะสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลมากกว่าส่งจดหมาย
ไม่ผิดจากที่คาด จดหมายฉบับนี้ถูกส่งมาจากแคทลียา กัปตันของอนาคตกาล เนื้อหาระบุไว้ว่า:
“องค์ราชินีกำหนดเวลาและสถานที่มาแล้ว คืนวันพุธห้าทุ่มตรง สถานที่เดิม… ฉันไม่ทราบว่าคุณบอกอะไรกับแฟรงค์ แต่เห็นได้ชัดว่าในระยะหลัง เขากระตือรือร้นอย่างมาก ลากช่างฝีมือไปทำการทดลองมากมาย บอกว่าผลลัพธ์อาจประสบความสำเร็จภายในสามถึงหกเดือน และกล่าวว่าหากได้รับโอสถ ‘ดรูอิด’ บางทีอาจข้ามขั้นตอนระหว่างกลางและมุ่งไปยังผลลัพธ์ได้โดยตรง… สิ่งเดียวที่ฉันพูดได้ก็คือ ขอให้คุณโชคดี… และขอภาวนาให้ช่างฝีมือของเราไม่สติแตกไปเสียก่อน ตอนนี้เขาเริ่มสำนึกเสียใจที่เคยหันไปนับถือดวงจันทร์บรรพกาล”
เราควรดีใจที่ปัญหาด้านอาหารของเมืองเงินพิสุทธิ์จะได้รับการแก้ไข หรือว่าต้องกังวลเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น? ไคลน์ลูบหน้าผากอีกครั้ง ตัดสินใจพับเก็บเรื่องนี้ไปก่อน เพราะบนเรือลำนั้นยังมี ‘เฮอร์มิท’ ที่กำลังจะกลายเป็นครึ่งเทพคอยเฝ้าจับตามอง หากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริง เธอคงไม่ลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ
ฟู่ว… ชายหนุ่มโล่งใจที่ราชินีเงื่อนงำยอมนัดพบ พลางดีดนิ้วเพื่อเผากระดาษจดหมายด้วยเปลวไฟสีแดง
หลังจากเฝ้ามองผู้ส่งสารจากไป ชายหนุ่มเตรียมแบ่งหนอนวิญญาณออกจากร่าง แต่ทันใดนั้นก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะมันรู้สึกว่ากระดาษจดหมาย หลังจากดูผู้ส่งสารจากไป, เขากำลังจะแยก “หนอนวิญญาณ” ต่อไป, จู่ๆ ก็ขมวดคิ้ว, ฉันรู้สึกว่าโต๊ะอ่านหนังสือและถังขยะทิ้งกระดาษ ดูเตะตาจนผิดปรกติ
โดยจิตใต้สำนึก ไคลน์ดึงกระดาษทิชชูออกมาเช็ดผิวโต๊ะ ตามด้วยปิดฝาถังขยะ
จัดการทั้งหมดเสร็จ มันก้มมองฝ่ามือที่เปื้อนคราบสกปรก จึงลุกขึ้นยืน เดินเข้าห้องน้ำและเปิดก๊อก
ขณะล้างมือ หางตาของมันชำเลืองไปเห็นโถส้วมด้านข้าง สองคิ้วถูกขมวดชนกันอีกครั้ง
“ยังสะอาดไม่พอ…” ไคลน์พึมพำกับตัวเอง ทันใดนั้นก็เริ่มพบความผิดปรกติ
ด้วยสัมผัสวิญญาณอันแรงกล้า มันค้นพบสาเหตุอย่างรวดเร็ว
นี่คือผลข้างเคียงของการใช้ลูกโม่ลางมรณะ!
เนื่องจากกลายเป็นครึ่งเทพ ร่างวิญญาณมีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ กลายเป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งเทพ ผลข้างเคียงด้านลบจึงลดลงมากกว่าเก้าในสิบส่วน ส่งผลให้ความ ‘กลัวสกปรก’ พัฒนาไปเป็นความ ‘คลั่งสะอาด’
ในทำนองเดียวกัน ระยะเวลาของผลข้างเคียงลดลงจากหกชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง และปัญหาด้านความกระหายน้ำก็แทบไม่รู้สึก
“โชคยังดี…” ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ดึงแปรงขัดโถส้วมด้านข้างออกมาทำความสะอาดอย่างชำนาญ
…
ห้าทุ่มตรงของวันเดียวกัน เหนือสายหมอกสีเทา ตามข้อเรียกร้องของเอ็มลิน·ไวท์ สมาชิกทุกคนที่มีส่วนร่วมในปฏิบัติการสั่งสอนซึ่งประกอบไปด้วย มิสจัสติส มิสเตอร์สตาร์ มิสจัดจ์เมนต์ มิสเมจิกเชี่ยน และมิสเตอร์แฮงแมน ปรากฏตัวท่ามกลางวังโบราณที่สง่างาม
“นี่คือส่วนแบ่งทั้งหมด” ‘เดอะมูน’ เอ็มลินโยนเงินสดสามพันปอนด์ที่เพิ่งสังเวยขึ้นมาไว้ตรงกลางโต๊ะ ตามด้วยอธิบาย “หนึ่งในสมบัติวิเศษมีชื่อว่า ‘คำสาบานแห่งกุหลาบ’ เป็นแหวนคู่ มันจะช่วยแบ่งปันประสาทสัมผัสและความคิดระหว่างผู้สวมใส่ทั้งสองคนที่อยู่ห่างกันไม่เกินขอบเขตเมืองใหญ่ แน่นอนว่ามันมีมูลค่าสูงมาก แต่ข้าได้มาแค่วงเดียว ถึงใครจะได้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์ มีแต่จะได้รับอันตราย ข้าจึงนำไปคืนเบื้องบนของผีดูดเลือดและได้รับเงินสามพันปอนด์ตอบแทน”
ในตอนแรก มันต้องการเก็บเงินสามพันปอนด์ไว้เป็นส่วนแบ่งตัวเอง แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก มันเลือกจะสังเวยขึ้นมาบนมิติหมอก ยอมให้มันเป็นหนึ่งในตัวเลือก
เว้นวรรคสักพัก เอ็มลินเริ่มแนะนำสมบัติชิ้นอื่นๆ เล่าถึงข้อดีและผลข้างเคียงด้านลบ รวมถึงการอธิบายและมอบความรู้เชิงลึก – เป็นความรู้จากการชอบศึกษาประวัติศาสตร์ของมันเอง ผนวกกับสิ่งที่เออร์เนส·โบยาร์เล่าภายใต้การจับตามองของบิชอปยูทรอฟสกี้
ดูเหมือนว่าจะกำลังอวดภูมิ… ไม่อย่างนั้น พิจารณาจากนิสัยของมิสเตอร์ฟูล เขาคงไม่พูดยาวขนาดนี้ภายในลมหายใจเดียว… แล้วก็… การที่เขาผ่อนคลายเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งเพราะมิสเตอร์ฟูลไม่อยู่ที่นี่… ‘จัสติส’ ออเดรย์ทำตัวเป็นผู้ชมจากวงนอก ยังไม่เลือกส่วนแบ่ง
‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ชำเลืองมองกองรางวัล หันไปหา ‘เดอะมูน’ เอ็มลินและกล่าว
“ได้พบกับเบื้องบนของผีดูดเลือดแล้วใช่ไหม? เล่าถึงแผนการล่าสมาชิกระดับสูงของโรงเรียนกุหลาบหรือยัง? คืบหน้าบ้างไหม?”
“ได้ข้อสรุปเบื้องต้นแล้ว รวมถึงการติดต่อกับคนของโรงเรียนกุหลาบฝ่ายระงับแรงปรารถนา แต่ทางนั้นขอเลื่อนแผนออกไปเป็นช่วงหลังเดือนกันยายน” ‘เดอะมูน’ เอ็มลินไม่ปิดบัง เชื่อโดยสนิทใจว่าแฮงแมนจะต้องมอบคำแนะนำที่เป็นประโยชน์
ไม่เลว… ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์พยักหน้าและกล่าว
“ต้องรอหลังเดือนกันยายน? แปลว่าพวกเขากำลังรอบางสิ่งที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงผลการต่อสู้ได้อย่างมหาศาล…”
ที่ใดสักแห่งบนวังโบราณ ไคลน์ซึ่งกำลังรอให้ชุมนุมย่อยจบลง กระจ่างถึงเหตุผลทันที เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับการเลื่อนลำดับของชารอน
จากคำบอกเล่าของชารอน เธอจะลองประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับในเกือบกรกฎาคม… หมายความว่าพิธีกรรมกินเวลาหนึ่งเดือน? ถ้าเป็นจริง นับว่าค่อนข้างแปลกไปจากเส้นทางอื่น… ไคลน์คาดเดาคลุมเครือ ยังไม่มีเหตุผลรองรับ
“ก็อาจจะใช่” ‘เดอะมูน’ เอ็มลินเห็นด้วยกับ ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์
จากนั้น มันมองไปรอบตัว ยิ้มและกล่าว
“พวกเจ้าเชิญเลือก”
‘จัสติส’ ออเดรย์มียันต์โจรปล้นดวงที่เดอะเวิร์ลสัญญาว่าจะมอบให้ ส่วน ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดก็ได้รับรางวัลตอบแทนจากพาลีส·โซโรอาสเตอร์ ส่วนแบ่งของไวเคาต์ผีดูดเลือดจึงแทบไม่มีน้ำหนัก ทั้งสองต่างตัดสินใจไม่รีบเลือก ปล่อยให้สมาชิกคนอื่นเริ่มก่อนอย่างสงบเสงี่ยม
นอกจากนั้น คนหนึ่งยังได้ประจักษ์สงครามเทวทูตกับตา ส่วนอีกคนได้เผชิญความสยองขวัญที่เกิดจากฝีมือร่างโคลน ทั้งสองได้เห็นกับตาตัวเองว่าชุมนุมทาโรต์นั้นน่าเกรงขามเพียงใด และปัจจุบันกำลังประสบความอ่อนล้าทางจิตใจ
‘จัดจ์เมนต์’ ซิล มองไปทางขวา ตามด้วยหันกลับมามองฝั่งตรงข้าม เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างเกรงใจ จึงตัดสินใจทำลายความเงียบ
“ส่วนที่ดิฉันรับผิดชอบนั้นมีระดับความยากไม่สูง แถมไม่ต้องเสี่ยง นอกจากนั้นมิสเตอร์มูนยังจ่ายค่าจ้างล่วงหน้ามาแล้วหกสิบปอนด์ จึงขอรับเงินสดบางส่วนจากกระเป๋าสตางค์ใบนี้”
กล่าวจบ เธอหยิบกระเป๋าสตางค์และนำธนบัตรออกมานับ:
“สามร้อยสามสิบห้าปอนด์”
‘เดอะมูน’ เอ็มลินมองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นใครคัดค้านจึงพยักหน้า
“ตกลง”
สำหรับกระเป๋าสตางค์งานทำมือ ‘จัดจ์เมนต์’ ซิลโยนกลับไปที่กลางโต๊ะ ให้เดอะมูนจัดการกับมันต่อ
เมื่อซิลเปิดประเด็น ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สกล่าว
“ดิฉันเพียงแค่ให้ยืม ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ไม่ต้องเผชิญความเสี่ยงใด จึงขอรับเพียงกระดาษคนจันทรานั่น…”
เทียบกับสมบัติวิเศษ วัตถุวิเศษที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งจะมีมูลค่าค่อนข้างต่ำ
แต่สำหรับ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์ส ต่อให้เธอมีสิทธิ์เลือกสมบัติวิเศษ แต่ก็คงไม่ทำเช่นนั้น เพราะหากต้องการพลังใด เธอก็แค่จ้างให้สมาชิกช่วยบันทึกพลังนั้นลงบนสมุดบันทึก ‘กระดาษคนจันทรา’ จึงเป็นวัตถุใช้แล้วทิ้งที่มีมูลค่าสูงมาก สามารถกันตายและกันการทะลวงจิตใจ เป็นสิ่งที่สมุดเวทมนตร์มิอาจบันทึกได้
กล่าวจบ เธอรอสักพัก เมื่อยืนยันว่าไม่มีใครคัดค้านหญิงสาวหยิบกระดาษคนจันทรามาวางข้างตัว
ขณะเอ็มลินหันหน้าไปทางมิสจัสติส ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดเหยียดแขนออกมา กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เชิญสุภาพสตรีก่อน”
‘จัสติส’ ออเดรย์ไม่ปฏิเสธ กวาดสายตาสำรวจสมบัติวิเศษบนโต๊ะ ตามด้วยชี้ไปทางเข็มหมุดเพชรและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฉันเลือกสิ่งนั้น”
จากคำบรรยายของมิสเตอร์มูนเมื่อครู่ เธอทราบว่าสมบัติวิเศษชิ้นนี้ชื่อ ‘คู่ปรับเหล้า’ สามารถทำให้ผู้สวมใส่มีสติกระจ่างชัด สามารถต่อกรกับพลังจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โชคดีที่เราเน้นความแน่นอน เปิดฉากด้วย ‘ติดสินบน: หลงใหล’ เป็นหลักประกันไปก่อน นอกจากนั้น เออร์เนส·โบยาร์ก็ยังอยู่ในภาวะกึ่งกลับกึ่งตื่น การสะกดจิตจึงสำเร็จอย่างราบรื่น… สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีประโยชน์กับเราในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับสมาชิกระดับสูงของสมาคมแปรจิต เป็นอีกหนึ่งเครื่องรับรองความปลอดภัย… เมื่อไม่ต้องสวมใส่ในยามปรกติ ก็ไม่ต้องกังวลกับผลข้างเคียงด้านลบ… ออเดรย์นึกขอบคุณในใจพลางถอนสายตากลับ
หลังจากที่เธอกล่าวจบ ‘เดอะมูน’ เอ็มลินไม่ปล่อยให้ ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดพูด ชิงกล่าวตัดหน้า
“ผ้าคาดแสงจันทร์เป็นของเจ้า”
ตามความเห็นของมัน ผ้าคาดแสงจันทร์มีมูลค่าราวห้าพันปอนด์ จะต้องดีกว่าเงินสดสามพันปอนด์แน่นอน
อันที่จริง เราต้องการเงินสดสามพันปอนด์มากกว่า… เราเพิ่งซื้อไม้เท้าวาจาสมุทรต่อจากไคลน์ในราคาหนึ่งหมื่นปอนด์ถ้วน เป็นราคาที่ลดแล้ว… หลังจากจ่ายไปก้อนใหญ่ เงินออมของเราเหลือเพียงหกร้อยห้าสิบปอนด์เท่านั้น… แต่ในท้ายที่สุด เลียวนาร์ดไม่ปฏิเสธ เพียงพยักหน้ารับ
“ตกลง”
เมื่อ ‘เดอะมูน’ เอ็มลินจัดสรรส่วนแบ่งเสร็จ มันรับเงินสดที่เหลือสามพันปอนด์มาเป็นของตัวเอง จากนั้นก็แบ่งเป็นกองย่อย ดันกองหนึ่งไปทางด้านข้าง
“มิสเตอร์แฮงแมน นี่คือค่าตอบแทนของคุณ หนึ่งพันปอนด์”
“เรียกว่าค่าที่ปรึกษาจะเหมาะกว่า” เมื่อไม่มีมิสเตอร์ฟูล ฟอร์สเองก็ผ่อนคลายลงมาก
‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ไม่มากพิธี กางฝ่ามือออกมารับกองธนบัตร
“สำหรับความเสียหายที่เกิดกับคนขับรถม้า ข้าจะรับผิดชอบเอง” ‘เดอะมูน’ เอ็มลินมองไปรอบตัวอีกครั้งด้วยอารมณ์แจ่มใส
…
ห้าทุ่มตรงของคืนวันพุธ ทางขึ้นสะพานเบ็คลันด์ฝั่งทิศใต้
ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วในค่ำคืนอันมืดมิด มือข้างหนึ่งกดหมวก อีกข้างจับกระดุมอย่างสุภาพ
มันมีเส้นผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล ใบหน้าผอมเพรียวชัดลึก สีหน้าเย็นชา ไม่ใช่ใครนอกจากนักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุด เกอร์มัน·สแปร์โรว์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น