Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 1000-1004

ราชันเร้นลับ 1,000 : โหมโรง

 

เหนือหมอกสีเทา ภายในวังที่งดงาม


อาศัยแสงสว่างแห่งการสวดวิงวอนของเอ็นยูน ไคลน์มองเห็นเหตุการณ์ในห้องบุรุษรับใช้ของตน


ภาพฉายถูกเลื่อนขึ้นและค่อยๆ ขยายออก ฉากทั้งหมดของถนนเบิร์คลุนค่อยๆ ปรากฏในสายตา ด้านล่างเป็นอาคารขนาดเล็กมากมายรายล้อมด้วยดอกไม้และสวนเขียว มีต้นเมเปิ้ลอินทิสคอยบดบังแสงแดด ผู้คนเดินผ่านไปมาอย่างไม่รีบร้อน หลายหลังมีรถม้าที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา มีคนหนุ่มสาวกำลังขี่จักรยานอย่างมีความสุข


จนกระทั่ง ไคลน์ให้ความสนใจไปที่บ้านเลขที่ 39 บ้านพักของส.ส. มัคท์ จากนั้นก็เลื่อนภาพลงไป เพ่งมองคนและสัตว์ภายใน เผื่อว่าอาจจะพบชายผมดำ ดวงตาสีดำ และสวมแว่นตาขาเดียว


ฟู่ว… ตอนนี้ยังไม่มองไม่เห็นการปลูกถ่ายชะตากรรม… ราวสิบนาทีถัดมา ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก


ทันใดนั้น รถม้าแล่นเข้าไปในบ้านของมัคท์ หยุดอยู่หน้าประตู


เด็กสาวผมสีเขียวยาวสลวย หยักศกตอนปลาย ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม เดินลงจากรถม้า ไม่ใช่ใครนอกจากเฮเซลที่กลับถึงบ้าน


เธอสวมชุดสีเขียวเข้มปิดไหล่ มุมปากกดลงเล็กน้อย เผยให้เห็นกลิ่นอายความสุขเล็กๆ น้อยๆ


ได้เช่นเฮเซลในสภาพนี้ หัวในไคลน์พลันเต้นแรง


นี่คือเรื่องผิดปรกติอย่างไร้ข้อกังขา!


จากมุมมองของไคลน์ หลังจากหนูครึ่งเทพเผชิญหน้ากับร่างโคลนของอามุนด์ ผลลัพธ์สามารถออกมาได้เพียงสองหน้าเท่านั้น หนึ่ง หนูตัวนั้นยังเหลือไพ่ตาย สามารถหลบหนีสำเร็จโดยต้องแลกมากับหลายสิ่ง และสอง หนูตัวนั้นถูกเปลี่ยนให้เป็นตะกอนพลัง ช่วยให้ร่างโคลนของอามุนด์พัฒนา โดยไม่ว่าจะออกหน้าไหน เฮเซลไม่มีทางหาอาจารย์พบ เธอต้องเศร้า ดำดิ่ง เจ็บปวด ไม่มีทางผ่อนคลายและมีความสุข!


เป็นที่แน่ชัดว่า เฮเซลเดินทางไปที่คฤหาสน์เพื่อแจ้งข่าวกับอาจารย์ เธอไม่ใช่คนใจดำ… คำอธิบายเดียวในตอนนี้ก็คือ เฮเซลได้พบกับอาจารย์ที่สบายดี แถมยังได้รับรางวัลบางอย่าง หรือไม่ก็ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับเพิ่มเติม… ขัดแย้งกับข้อสันนิษฐานของเราที่เชื่อว่าหนูครึ่งเทพตัวนั้นจะตาย… ไม่สิ… เรากำลังคิดไปเองว่าขัดแย้ง… ถ้าลองตัดความเป็นไปไม่ได้ออกทั้งหมด สิ่งที่เหลืออยู่คือความจริง… ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้ ภายในใจครุ่นคิดบางสิ่ง:


ไม่เพียงอามุนด์จะดูดซับตะกอนพลังของหนูครึ่งเทพ แต่ยังขโมยชะตากรรมมาด้วย และสวมรอยแทนที่หนูตัวนั้น!


ส่งผลให้ ในสายตาเฮเซล อาจารย์ของเธอยังคงสบายดี แค่ต้องซ่อนตัวไปสักพัก… เมื่อยืนยันได้ ไคลน์ถอนหายใจเงียบ สบายใจขึ้นเล็กน้อย


สำหรับมัน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับอามุนด์ก็คือ ไม่มีใครทราบว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัวอย่างไรหรือในลักษณะใด อยู่ดีคืนดี ส.ส. มัคท์อาจหยิบแว่นตาขาเดียวออกมาสวม หรือไม่ก็พวกยุงในสวนต่างหันกลับมามองโดยมีแว่นตาขาเดียวประดับอยู่ ดังนั้น เมื่อเข้าใจเบื้องต้นว่าอามุนด์จะปรากฏตัวในลักษณะใด ไคลน์ย่อมสบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก


สำหรับเรื่องที่ว่า เฮเซลจะพบความผิดปรกติในตัวอามุนด์หรือไม่ ไคลน์เชื่อว่าเรื่องแบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะท้ายที่สุด ราชาเทวทูตตนนี้เก่งกาจในด้านการหลอกลวง ต่อให้พูดในสิ่งที่หนูครึ่งเทพไม่เคยพูด หรือพูดผิดไปจากที่เคยพูด แต่ก็สามารถอ้างได้ว่า ‘นั่นเป็นบททดสอบ’ และปัจจุบันคือการมอบความรู้ที่แท้จริง หรือในทำนองเดียวกัน


แน่นอน เมื่อพิจารณาจากคำอธิบายของ พาลีส·โซโรอาสเตอร์ อามุนด์อาจไม่ปรากฏตัวในร่างหนูครึ่งเทพเสมอไป เราห้ามประมาทเด็ดขาด… ไคลน์เฝ้าจับตามองสักพัก ถอนสายตากลับและส่งตัวเองออกจากมิติเหนือสายหมอก


ณ ห้องกึ่งเปิดโล่งที่มีเตียงขนาดใหญ่ ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้เอนหลัง ดื่มชาดำกับมะนาวฝาน หลับตาลงครึ่งหนึ่ง ครุ่นคิดหาวิธีสานสัมพันธ์กับโจนาส·โคลเกอร์ให้แนบแน่นกว่าเดิม


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ไคลน์ลืมตาขึ้นพร้อมกับเปิดเนตรวิญญาณ


หลังจากกลายเป็นครึ่งเทพ มันสามารถเปิดเนตรวิญญาณได้ตามใจนึกคิด


แทบจะในเวลาเดียวกัน ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เจ้าของสี่หัวทองตาสีแดง เดินออกจากความว่างเปล่า ปากข้างหนึ่งงับจดหมาย


“จากใคร?” ไคลน์เหยียดมือขวาออกพลางถาม


“ชารอน…” ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ตอบด้วยหนึ่งในศีรษะ


ชารอน? เธอควรจะกำลังเตรียมตัวขั้นสุดท้ายสำหรับเลื่อนลำดับ แล้วทำไมถึงยังว่างเขียนถึงเรา? ไคลน์รับจดหมายจากมิสผู้ส่งสารด้วยความฉงน


หลังจากคลี่กระดาษจดหมาย มันพบว่าเนื้อหาด้านในค่อนข้างสั้น:


“เอ็มลิน·ไวท์กำลังมองหาใครสักคนจากโรงเรียนกุหลาบ”


เอ็มลินกำลังตามหาคนของโรงเรียนกุหลาบ? ไคลน์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ


ตามความเห็นของมัน เอ็มลินเป็นผีดูดเลือดที่กลัวปัญหา หากไม่จำเป็นก็แทบจะไม่ออกจากบ้าน แล้วทำไมถึงคิดตามหาคนของโรงเรียนกุหลาบ?


นี่ต้องไม่ใช่ความตั้งใจของเอ็มลินแน่นอน… อา… เอ็มลินเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ คนใหญ่คนโตของตระกูลต้องการเข้าพบหน้าเขา… ภารกิจใหม่จากผีดูดเลือด? ต้องใช่แน่! แต่ทำไมถึงไม่เล่าให้ชุมนุมทาโรต์ฟัง? อา… อาจเป็นเพราะกำลังวุ่นอยู่กับปฏิบัติการสั่งสอน หรือไม่ก็ยังขาดข้อมูล ทำให้ตัดสินใจไม่นำเรื่องนี้มาปรึกษา? ไคลน์ครุ่นคิด โน้มตัวไปข้างหน้า ท่ามกลางสายตาทั้งแปดของมิสผู้ส่งสาร มันวางกระดาษจดหมายลงบนโต๊ะกาแฟ จับปากกามาเขียน


มันไม่สงสัยว่าทำไมชารอนถึงเขียนมาเล่าเรื่องเอ็มลิน เพราะเนื้อหาชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว:


ปัจจุบัน เมื่อชารอนทราบว่าเอ็มลินกำลังตามหาคนของโรงเรียนกุหลาบ เธอตัดสินใจปรึกษาพวกพ้องอย่างเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ เรื่องนี้ทำให้ยืนยันได้ว่า ผีดูดเลือดตนดังกล่าวจะต้องติดต่อมาทางเอียน พ่อค้าอาวุธเถื่อนในผับวีรบุรุษ


และนั่นยังมีความหมายทางอ้อมว่า ในการจ้างงานครั้งก่อน เอ็มลินสัมผัสถึงตัวตนของชารอนหรือมาริค ไม่อย่างนั้นคงไม่เอ่ยชื่อของโรงเรียนกุหลาบต่อหน้าคนธรรมดา


เรายังไม่ค่อยมีข้อมูลของเส้นทางนักปรุงยา ยังไม่ทราบว่าทำไมเอ็มลินถึงสามารถตรวจจับวิญญาณอาฆาตหรือซอมบี้… ไคลน์ไขว่ห้างขวาทับซ้าย วางกระดาษจดหมายบนตัก ตวัดปากกาเขียน:


“คงเป็นภารกิจที่เบื้องบนของผีดูดเลือดมอบให้ พวกเขาเกลียดชังสาวกของดวงจันทร์บรรพกาลที่แฝงตัวอยู่ในโรงเรียนกุหลาบ จึงต้องการร่วมมือกับอีกฝ่ายหนึ่งของโรงเรียน…”


เขียนถึงตรงนี้ ไคลน์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเสริม


“สิ่งที่ผมสงสัยก็คือ ทั้งที่มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายต้องการยึดครองเส้นทางดวงจันทร์ แล้วทำไมสาวกของดวงจันทร์บรรพกาลถึงยังเข้าร่วมโรงเรียนกุหลาบ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกมันกับมารดาพฤกษาแรงกระหายฟังดูซับซ้อนมาก แม้จะเกลียดชัง แต่ก็ยังให้ความร่วมมือ เป็นการยากที่จะคาดเดา”


วางปากกาลงและพับกระดาษ ไคลน์จ้องมิสผู้ส่งสารตรงหน้า ยิ้มและถาม


“คุณทราบได้ยังไงว่าผมจะตอบทันที?”


หนังในศีรษะของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ตอบห้วน


“ความรู้สึก…”


ทันทีหลังจากนั้น ทั้งสี่หัวของไรเน็ตต์พูดเรียงกัน


“พักหลัง…” “เจ้าดู…” “มีชีวิตชีวา…” “ขึ้นเล็กน้อย…”


“อารมณ์ก็ยัง…” “เข้มข้นขึ้น…” “จากเดิม…” “มาก…”


ไคลน์หยิบกล่องที่เชื่อมกับนาฬิกาพกสีทอง เหรียญทองออกจากมัน จากนั้นก็หัวเราะเจือยิ้ม


“การสวมหน้ากากหนาๆ ตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องดีกับสุภาพกายและจิตใจ หลังจากกลายเป็นครึ่งเทพ ผมใส่ใจกับเรื่องนี้มากขึ้น”


ดังนั้น หากไม่จำเป็นจริงๆ มันจะไม่ปิดบังสีหน้าของตัวเอง แถมยังลดจำนวนครั้งที่ใช้พลังตัวตลกเพื่อควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้า


ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ไม่กล่าวสิ่งใด งับเหรียญทองและจดหมายตอบกลับ หายตัวไปกับความว่างเปล่า


ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์เอนหลัง พึมพำสองสามคำในใจ


ชักน่าสนใจว่าชารอนกับมาริค จะร่วมมือกับผีดูดเลือดเพื่อกวาดล้างคนของโรงเรียนกุหลาบในกรุงเบ็คลันด์หรือไม่…


ปัจจุบัน ชารอนคงกำลังทุ่มสมาธิให้กับการเลื่อนลำดับ เธออาจไม่เข้าร่วม แต่กับมาริคแล้วไม่แน่…



เอ็มลินถอดชุดนักบวชของโบสถ์พระแม่ธรณี สวมสูททางการสีดำ หมวกผ้าไหม เดินออกจากวิหารฤดูเก็บเกี่ยว ขึ้นรถม้าเช่าที่จอดริมถนน


หลังจากแจ้งปลายทาง มันมองออกนอกหน้าต่างโดยไม่ตั้งใจ


ทันใดนั้น เอ็มลินรู้สึกได้ว่า ร่างกายของมันเคลื่อนไหวกะทันหัน ขยับออกจากจุดเดิมจนเกิดเป็นภาพตกค้าง ฉากหลบไปด้านข้าง


ทันใดนั้น มันเห็นอีกร่างขึ้นปรากฏขึ้นในฝั่งตรงข้าม


อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่สวมเสื้อนอกไม่ติดกระดุม เผยให้เห็นเชิ้ตสีขาวและกั๊กสีดำด้านใน ผมสีดำยุ่งเหยิงเล็กน้อย คล้ายกับขาดการจัดทรง ดวงตาสีน้ำตาลเปี่ยมไปด้วยความยับยั้ง คล้ายกับกำลังหักห้ามแรงปรารถนาภายในใจ


เอ็มลินจ้องหน้าขาวซีดราวกับศพของอีกฝ่าย เชิดคางเล็กน้อย ยิ้มอย่างไม่ประหม่า


“ในที่สุดพวกเจ้าก็มาหาข้า”


“ไม่คิดว่าหรือว่าผมอาจจะเป็นคนของโรงเรียนกุหลาบ และมาที่นี่เพื่อเก็บคุณ?” ชายหนุ่มกล่าวด้วยร่างกายที่ค่อนข้างโปร่งใส


เอ็มลินพ่นลมหายใจ


“เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยศึกษาประวัติของโรงเรียนกุหลาบหรือไง? รวมไปถึงฝ่ายที่ฝักใฝ่การระงับแรงปรารถนาซึ่งทรยศและหลบหนีออกมา… อา… เจ้าชื่ออะไร?”


“มาริค” ชายหนุ่มตอบ “นั่นคือข้อมูลที่รู้มาจากเบื้องบนของตระกูลผีดูดเลือด?”


เอ็มลินชะงักเล็กน้อย


“เจ้าฉลาดกว่าที่ข้าคิด”


มันใช้วิธีนี้เพื่อยืนยันคำพูดอีกฝ่ายทางอ้อม


มาริคสูดลมหายใจเชื่องช้า โน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อยและกล่าว


“รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเอียนได้ยังไง?”


เอ็มลินเอนหลังพิงกำแพง กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“มนุษย์มีกลิ่นของมนุษย์ วิญญาณอาฆาตก็มีกลิ่นของตัวเอง”


มาริคเงียบงันสักพัก


“ตระกูลผีดูดเลือดของคุณต้องการกวาดล้างคนของโรงเรียนกุหลาบในเบ็คลันด์จริงหรือ?”


“แค่สมาชิกคนสำคัญ” เอ็มลินตอบเน้นเสียง


“หากเป็นเช่นนั้น ผมสามารถใช้ตัวเองเพื่อล่อให้คนของโรงเรียนกุหลาบโผล่หัวได้ แต่ผมอยากได้คำยืนยันที่ชัดเจนกว่านี้” มาริคลูบตาเล็กน้อย “ผมทราบดีว่าคุณไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ กลับไปถามเบื้องบนของตระกูล ให้ทางรับตกปากรับคำ จากนั้นค่อยติดต่อกลับมาหาเรา คุณรู้วิธีอยู่แล้ว”


กล่าวถึงตรงนี้ มันยื่นแฟ้มเอกสารในมือให้


“จากเอียน การสืบสวนเบื้องต้นเกี่ยวกับเออร์เนส·โบยาร์เกิดผลลัพธ์แล้ว นักล่าเงินรางวัลหลายคนช่วยกันทำงานจนสำเร็จ”


เอ็มลินหยิบแฟ้มเอกสาร พยักหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม


“ตกลง”

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1,001 : ความเคลื่อนไหวแรก

 

รอจนกระทั่งวิญญาณอาฆาตฝั่งตรงข้ามหายไป เอ็มลินถอนสายตากลับ คลายเกลียวเชือกของถุงเอกสาร ดึงข้อมูลด้านในออกมา


ไล่อ่านทีละหนึ่ง เอ็มลินสามารถกะเกณฑ์กิจวัตรของเออร์เนส·โบยาร์ได้เบื้องต้น


ตามปรกติแล้ว ไวเคาต์ผีดูดเลือดรายนี้มีกิจวัตรไม่ค่อยซ้ำหน้า บ้างอยู่บ้าน บ้างเยี่ยมชมนิทรรศการ บ้างชิมไวน์ที่คฤหาสน์นอกเมือง บ้างเที่ยวห้างใหญ่กับเพื่อนสาว บ้างวาดภาพโดยให้สตรีมาเป็นแบบ ทำตัวเหมือนเศรษฐีทั่วไป


แต่ในระยะหลัง เออร์เนสแวะไปแถวย่านนักบุญจอร์จวันเว้นวัน คอยกำกับดูแลงานบำรุงซ่อมแซมโรงงานเครื่องเรือนที่ลงทุนไป หวังเปิดกิจการใหม่โดยเร็ว


ด้วยเหตุนี้ วิถีชีวิตไวเคาต์ผีดูดเลือดจึงค่อนข้างจำเจ ต้องไปยังสถานที่เดิมๆ วันเว้นวัน ไปทางตามเส้นทางเดิมๆ และกินอาหารกลางวันในร้านเดิมๆ


เอ็มลินยกมือขึ้นพลางกดหน้าผาก ฉากที่เหมาะสมสามแห่งดึงถูกออกจากข้อมูลมาขบคิด


แห่งแรก ภายในหรือทางหน้าเข้าโรงงานเครื่องเรือนที่เออร์เนส·โบยาร์เป็นเจ้าของ แห่งที่สอง จัตุรัสนักบุญฮิลลันที่อีกฝ่ายมักแวะให้อาหารนกและรับประทานอาหารระหว่างทางกลับบ้าน และสาม สะพานเบ็คลันด์ – เว้นเสียแต่เออร์เนส·โบยาร์อยากอ้อมไกล ไม่อย่างนั้นมันก็ต้องผ่านสามแห่งนี้ระหว่างทางไปกลับคฤหาสน์และเขตนักบุญจอร์จอย่างมิอาจเลี่ยง


จากทั้งสามแห่ง ทั้งหมดเข้าเงื่อนไขที่ต้องการผู้คนหนาแน่น แต่สำหรับสะพานเบ็คลันด์ เส้นทางผ่านเข้าออกมีน้อยเกินไป ปลายทางทั้งสองมีคนคอยควบคุมดูแล ทางหนีเดียวคือการกระโดดลงแม่น้ำ เป็นทางเลือกของพวกงี่เง่า… จัตุรัสนักบุญฮิลลันเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหารนักบุญฮิลลัน วิหารของเทพจักรกลไอน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเบ็คลันด์ ไม่สิ อาจทั้งโลเอ็น ถูกขนานนามให้เป็น ‘สันตะตำหนัก’ แห่งที่สองของศาสนา ตรงตามข้อเสนอมิสเตอร์แฮงแมน… ที่นี่จะไม่เกิดการปะทะอย่างรุนแรง อีกทั้งยังรบกวนผลการทำนายและสืบสวนขยายผล… เอ็มลินค่อยๆ เอนเอียงไปยังตัวเลือกหนึ่ง


เมื่อมีความเอนเอียง สิ่งมีชีวิตจะมองหาเหตุผลมาสนับสนุนโดยไม่รู้ตัว กับเอ็มลินก็เช่นกัน ยิ่งครุ่นคิดมากเท่าไร ก็ยิ่งพบว่าจัตุรัสนักบุญฮิลลันตรงตามเงื่อนไขที่มันต้องการเกือบทั้งหมด:


ประการแรก เออร์เนสจะหยุดอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน เพื่อรับประทานอาหารกลางวันในภัตตาคารสไตล์ซิลวารัส – ไวเคาต์ผีดูดเลือดรายนี้เกิดที่แคว้นซิลวารัส


ประการที่สอง ในละแวกดังกล่าวมีป้ายรถม้าหลายจุด ผู้คนเดินเท้าจึงขวักไขว่ โดยส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นกลางและล่าง มักมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น


ประการที่สาม จากที่นั่น หากไม่ตรงไปยังสะพานเบ็คลันด์ ก็ต้องวิ่งไปยังถนนฝั่งทิศใต้ของสะพานเบ็คลันด์ ซึ่งค่อนข้างใกล้กับวิหารฤดูเก็บเกี่ยว


และประการสุดท้าย ยามเที่ยงตรง วิหารนักบุญฮิลลันจะทำการพ่นไอน้ำและโยกคันโยกเพื่อตีระฆังใหญ่ ผู้คนส่วนใหญ่จะถูกหันเหความสนใจอย่างมิอาจเลี่ยง


เอาที่นี่แหละ… เอ็มลินตัดสินใจหนักแน่น ยกมือขวาขึ้น ตัดแต่งโบหูกระต่ายด้วยดวงตาสีแดงที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง


แต่ทันใดนั้น มันขมวดคิ้วทันที สังเกตเห็นความผิดปรกติ


จัตุรัสนักบุญฮิลลันเหมาะสมเกินไปที่จะลงมือ!


เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบและจอมโจทย์ทุกข้อ!


เออร์เนสจะไม่ระวังการแก้แค้นของเราเชียวหรือ? เจ้านั่นจะยอมปล่อยให้ตัวเองอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน? ถึงมันจะโง่จนคิดไม่ออก แต่ท่านเอิร์ลก็ต้องเตือนแน่… มุมปากเอ็มลินยกขึ้นเล็กน้อย เริ่มเข้าใจเหตุและผล


จัตุรัสนักบุญฮิลลันคือสถานที่ซึ่งเบื้องบนของตระกูลผีดูดเลือด ‘เลือกให้ตน’ !


หึหึ… เอ็มลินหัวเราะในลำคอ มุมปากยกค้างไม่ตก


มันตัดสินใจแจ้งกับเดอะฟูลทันที ขอเรียกประชุมด่วนกับสมาชิกทุกคนที่เข้าร่วมปฏิบัติการ และเชิญมิสเตอร์แฮงแมนมาเป็นที่ปรึกษา!


แตกต่างจาก ‘กรอบงาน’ ที่เคยได้ข้อสรุปไปในคราวก่อน หนนี้ต้องเจาะจงทุกรายละเอียด พิจารณาทุกปัญหาที่เป็นไปได้!



สิบเอ็ดโมงสี่สิบห้า เขตนักบุญจอร์จ จัตุรัสนักบุญฮิลลัน


ณ ชั้นสามของร้านอาหารฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจัตุรัส


ร่างหนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง ถือแก้วไวน์เลือดสีแดงสด มองดูน้ำพุที่ห่างออกไปไม่ไกลและผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา


รูปร่างของชายคนดังกล่าวค่อนข้างสูงและผอม ปัจจุบันกำลังสวมสูทสุภาพราวกับจะเข้าร่วมงานเลี้ยง เส้นผมสีเงินซีด ดวงตาสีแดงสด มอบความงดงามเจือความน่าสะพรึงเล็กๆ มุมปากเผยรอยยิ้มที่ไม่เด่นชัด


“ท่านเอิร์ล จะไม่เป็นอะไรแน่หรือ? เอ็มลินแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก เห็นได้จากการแข่งล่าสาวกดวงจันทร์บรรพกาล” ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีเข้ม ถามพลางเดินมาที่หน้าต่างด้วยสีหน้าเจือความกังวล


ชายคนที่ถูกเรียกว่าท่านเอิร์ล ยืนมองไปทางเอ็มลิน·ไวท์ พลางฟังการบรรเลงไวโอลินที่แสดงขึ้นริมถนนจัตุรัส ยิ้มในลำคอและกล่าว


“การรับมือของพวกเราป้องกันได้แม้กระทั่งครึ่งเทพ นับประสาอะไรกับเจ้าตัวน้อยที่ยังไม่ได้เป็นไวเคาต์ตนนี้? นอกจากนั้น พวกเราไม่ต้องทำอะไรเลย แค่คอยยืนยันบางสิ่ง ง่ายกว่าการป้องกันไม่ให้ใครสักคนหลบหนีเสียอีก”


ขณะกล่าว ชายผมสีซีด ดวงตาสีดำแดง ยกมือขวาขึ้นเล็กน้อย บิดหมุนแหวนที่นิ้วนางมือซ้าย


ตัวแหวนทำจากเงิน ฝังอัญมณีสีน้ำเงินแปลกตา



ภายในรถม้าที่มุ่งหน้าไปยังจัตุรัสนักบุญฮิลลัน เออร์เนส·โบยาร์เลื่อนมือขวามาหามือซ้าย หมุนแหวนบนนิ้วนางที่ฝังอัญมณีสีน้ำเงินอย่างเป็นธรรมชาติ


มันมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่ใส่ใจ เห็นรถม้าสาธารณะไร้รางกำลังเล่นเข้ามาอย่างเชื่องช้าจากระยะไกล เห็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ที่สูงกว่า 1.6 เมตรเล็กน้อย กำลังสะพายกระเป๋าและพยายามขายหนังสือพิมพ์ไปทั่วท้องถนน เห็นจักรยานจำนวนมากมาแทนที่รถม้า แล่นผ่านฝูงชนที่ขวักไขว่


สำหรับที่นี่ มีคนสวมชุดคนงานสีฟ้าอ่อนหรือเทาน้ำเงินและหมวกแก๊ป มากกว่าคนที่สวมสูทสุภาพและหมวกทรงสูง


เออร์เนสถอนสายตากลับ หัวเราะในลำคอ ไม่กังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ตรงกันข้าม มันค่อนข้างคาดหวัง


มันเชื่อว่า การเตรียมตัวของตนดีพออยู่แล้ว


แหวน ‘คำสาบานแห่งกุหลาบ’ ที่มันสวมอยู่ในมือซ้าย ช่วยให้เออร์เนสแบ่งกับทัศนวิสัยกับเอิร์ลมิสทราลได้จากระยะไกล รวมไปถึงการได้ยินและดมกลิ่น รับประกันได้ว่า ต่อให้เกิดเหตุร้าย อีกฝ่ายก็จะได้รับความคุ้มครอง


ในกระเป๋าเดียวกับที่เก็บนาฬิกาพกสีเงิน มันพก ‘กระดาษคนจันทรา’ เพื่อโอนถ่ายอาการบาดเจ็บรุนแรงหรือความเสียหายที่เกิดกับร่างกาย ช่วยให้ไม่ตายคาที่


นอกจากนั้นยังสวมเข็มกลัด ‘คู่ปรับเหล้า’ เพื่อช่วยให้มีพลังงานและจิตใจแจ่มใส สามารถอดทนต่อเวทมนตร์ประเภทจิตใจได้ดี


บริเวณเอวคาด ‘ผ้าคาดแสงจันทร์’ สามารถลดความเสียหายจากขอบเขต ‘แสงอาทิตย์’ และ ‘สายฟ้า’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


สมบัติวิเศษเหล่านั้นมีทั้งที่มาจากเงินออมของเออร์เนสเอง และของขวัญจากเอิร์ลมิสทราล ช่วยให้เออร์เนสกลายเป็น ‘เป้าหมาย’ ที่ยากจะจัดการหรือควบคุมได้ในเวลาอันสั้น


ผนวกกับพลังทางธรรมชาติของไวเคาต์ผีดูดเลือดที่สามารถต้านทานฝันร้ายได้ในระดับหนึ่ง เออร์เนสแทบไม่มีจุดอ่อนเลยในปัจจุบัน แม้กระทั่งในยามที่เผชิญหน้าครึ่งเทพ ขอเพียงศัตรูไม่เผยร่างสัตว์ในตำนาน ก็ยังสามารถอดทนได้ในระดับหนึ่ง


ปัญหาเดียวก็คือ ผลข้างเคียงจากสมบัติวิเศษเหล่านี้รุนแรงเอาเรื่อง… กล้ามเนื้อบนใบหน้าเออร์เนสกระตุกแผ่วเบา ก่อนจะสงบลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง


แหวน ‘คำสาบานแห่งกุหลาบ’ จะทำให้ความคิดของมันไปปรากฏในใจเอิร์ลมิสทราลเป็นครั้งคราว และถ้าสวมไว้ต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์โดยไม่ถอดออกเลย มีโอกาสอย่างมากที่ทั้งสองฝ่ายจะกลายเป็นคู่รักกันจริงๆ โดยไม่คำนึงถึงเพศและเผ่าพันธุ์


‘กระดาษคนจันทรา’ เป็นของใช้แล้วทิ้ง แทบไม่มีผลเสีย เพียงทำให้ร่างกายเย็นลงเล็กน้อยเท่านั้น


ผลข้างเคียงของเข็มกลัด ‘คู่ปรับเหล้า’ ก็คือ มันจะสร้างความเสียหายต่อตับและสมองอย่างต่อเนื่อง หากติดไว้นานเกินไป มีโอกาสสูงที่จะสูญเสียความคิดความอ่าน ส่งผลให้ต้องคอยถอดออกทุกครึ่งชั่วโมง


หลังจากสวม ‘ผ้าคาดเอวแสงจันทร์’ ประสาทสัมผัสต่างๆ จะรุนแรงเป็นทวีคูณ ง่ายต่อการเห็นในสิ่งที่ไม่ควร ได้ยินในสิ่งที่ไม่ควร และยังทำให้ผู้สวมมีอาการคันเป็นระยะ


ได้แต่หวังว่าเจ้าพวกนั้นจะไม่ปอดแหกและยืดเวลาออกไป… เออร์เนส·โบยาร์ตรวจสอบสภาพตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะมองไปยังจัตุรัสนักบุญฮิลลันที่อยู่ไม่ไกลด้วยสายตาคาดหวัง



อีกด้านหนึ่งของจัตุรัสฮิลลัน เอ็มลิน·ไวท์ที่กำลังชื่นชมการแสดงของนักดนตรีริมถนน พลันเงยหน้าขึ้นกะทันหัน จ้องมองนกที่บินมาใกล้ๆ


จากนั้น มันยกมือขึ้นและกดหมวกทรงสูงไว้บนหัว ก้มศีรษะเล็กน้อย เดินด้วยความเร็วสูงไปยังใจกลางจัตุรัส ขยับเข้าใกล้น้ำพุ


ระหว่างทาง ร่างของเอ็มลินผลุบๆ โผล่ๆ ตลอดเวลา ปะปนไปกับฝูงชน


แต่นั่นก็มิอาจขจัดการแกะรอยจากเอิร์ลมิสทราลได้


เอิร์ลเจ้าของผมสีเงินซีด หมุนแหวนสีน้ำเงินที่นิ้วนางซ้ายอีกครั้ง เปิดปากกล่าวอย่างสงบ


“บันทึก”



ณ ทางเข้าจัตุรัสนักบุญฮิลลัน หัวใจเออร์เนส·โบยาร์เริ่มเต้นแรง พบว่าสิ่งที่มันรอคอยกำลังจะเกิด


เอ็มลินเลือกจัตุรัสนักบุญฮิลลันจริงๆ … เออร์เนสมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าอีกครั้ง เฝ้ามองผู้คนเดินถนนอย่างใจเย็น มีทั้งรถม้าสาธารณะไร้รางที่กำลังจะแซงไป เด็กส่งหนังสือพิมพ์ธรรมดาๆ ที่คอยเร่ขายหนังสือพิมพ์ และยังเห็นบ้านเรือนมากมายและส่วนหน้าของร้านค้า


มันอาจไม่ได้คิดว่าผู้สมรู้ร่วมคิดของเอ็มลินจะซ่อนตัวอยู่ภายในนั้น เพราะในจัตุรัสนักบุญฮิลลันมีสถานที่ซึ่งเหมาะสมกว่าที่จะซ่อนตัว อย่างไรก็ตาม มันยังไม่ลดความระแวงลง


ทันใดนั้น ร่างกายของมันขยับเล็กน้อย โน้มตัวไปด้านหน้าจนเกือบจะลุกยืน


รถม้าหยุดลงโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย!


ทันทีหลังจากนั้น คล้ายกับม้าลากรถกำลังเผชิญฝันร้าย มันดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งจนรถม้าคว่ำ


ระหว่างนี้ เออร์เนส·โบยาร์มีเวลาและพลังมากพอจะช่วยให้คนขับรถม้ากลับมาควบคุมสถานการณ์ แต่มันก็ไม่ได้ทำ เพราะกำลังเห็นวิญญาณที่คล้ายกับหมาป่าโปร่งใส พุ่งเข้าหาจากทางหน้าต่างพร้อมกับโยนดอกกุหลาบในลำตัวให้กับมัน


กุหลาบ!


ดวงตาเออร์เนส·โบยาร์พลันเบิกกว้างขณะรถม้ากำลังตะแคงข้าง


มันรีบกระโจนออกจากรถม้าในอีกทางหนึ่ง เสกกุญแจมือสีดำมายาขึ้นจากความว่างเปล่า เล็งพันธนาการวิญญาณหมาป่า!


สิ้นเสียงกึก วิญญาณหมาป่าทรุดตัวลง ปราศจากการต่อสู้


และในวินาทีที่เออร์เนส·โบยาร์ตั้งหลักยืนมั่นคง การเคลื่อนไหวร่างกายพลันชะงัก ไม่กระดุกกระดิกแม้แต่น้อย ดวงตาของมันเหม่อลอยกะทันหัน


เขากำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา


ภายในรถม้าสาธารณะไร้รางที่เพิ่งแล่นผ่านไป ชายผมดำดวงตาสีเขียวที่สวมเสื้อกันลมตัวบางๆ และนั่งหันหลัง กำลังอ่านสมุดบันทึกปกแข็งที่มีคราบสกปรกอย่างตั้งใจ


รอบๆ ตัวมัน ผู้โดยสารส่วนใหญ่บ้างอ่านหนังสือพิมพ์ บ้างพูดคุยกัน บ้างมองออกไปข้างนอกและเห็นม้าเสียสติตัวหนึ่งที่กลับเป็นปรกติภายในเวลาไม่นาน


ฉึบ! ชายผมดำตาสีเขียวพลิกสมุดในมือไปอีกหน้าหนึ่ง


รถม้าสาธารณะไร้รางยังคงแล่นต่อไป จนกระทั่งเลือนลับสายตา

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1,002 : การเคลื่อนไหวที่สอง

 

ณ จัตุรัสนักบุญฮิลลัน ฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือ บนชั้นสามของภัตตาคาร


เมื่อวิญญาณหมาป่าและดอกกุหลาบปรากฏขึ้นในการมองเห็นของเออร์เนส·โบยาร์ มิสทราลเจ้าของผมสีเงินซีดและดวงตาแดงก่ำ ถอนสายตาจากเอ็มลิน·ไวท์ทันที แผ่นหลังของมันแผ่กระแสความมืด ภายในความมืดมีค้างคาวตัวเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน


ติดสินบน… ขณะเอิร์ลผีดูดเลือดกำลังพึมพำ มัน ‘เห็น’ รถม้าคว่ำ ‘ได้ยิน’ เสียงคำรามของม้า ‘ได้กลิ่น’ อีกหลากหลายชนิด แต่กลับไม่พบต้นตอของอุบัติเหตุและความโกลาหล


ทันใดนั้น ‘วิสัยทัศน์’ ของมันพลันดำมืด คล้ายกับ ‘ดวงตา’ สูญเสียการรับรู้แสง ภายใน ‘หู’ เองก็ได้ยินเสียงบางสิ่งดังลั่น!


เอิร์ลมิสทราลพ่นลมหายใจเงียบ จากนั้น มันผสานเป็นหนึ่งเดียวกับค้างคาวจำนวนมากด้านหลัง ก่อนที่ร่างกายจะค่อยๆ เลือนหายและเตรียมไปโผล่ข้างๆ เออร์เนส·โบยาร์


แต่ทันใดนั้น ท่ามกลางวิสัยทัศน์ที่ดำมืด จุดแสงหนึ่งสว่างขึ้น


แสงดังกล่าวขยายขนาดอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ สว่างขึ้นทีละนิด ตามด้วยการปรากฏกายของร่างสีทองที่มีปีกสีดำสนิทสิบสองคู่บนแผ่นหลัง!


ปีกค่อยๆ กางออกทีละคู่ ปกคลุม ‘การมองเห็น’ ของมิสทราลท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยแสงสว่างและความมืด บนร่างแสงสีทองเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่ลึกลับและซับซ้อน แฝงความรู้สึกทั้งศักดิ์สิทธิ์และเลวทราม ทั้งด้านสว่างและด้านมืด


เทวทูต! รูม่านตามิสทราลพลันเบิกกว้าง รีบยกเลิกการกระทำของตนอย่างลนลาน



เออร์เนส·โบยาร์ตื่นขึ้นด้วยความงุนงง มองเห็นดวงตาคู่หนึ่งที่ใสราวกับอัญมณี ราวกับน้ำในทะเลสาบ และรู้สึกคล้ายกับ มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งถูกสอดเข้ามาในมือ


ภายในดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้น ระลอกคลื่นกระเพื่อมแผ่วเบา ลึกลงไปมีวังวนของกระแสน้ำ คล้ายกับสามารถดูดกลืนวิญญาณของผู้ที่จ้องมอง


เออร์เนส·โบยาร์ถูกแช่แข็งทันที มิอาจละสายตาจากภาพนี้ได้


จากนั้น เสียงสตรีที่นุ่มนวลและล่องลอย ดังกังวานในโสตประสาทของมัน:


“ถือหนังสือพิมพ์ ไล่ตามเอ็มลิน·ไวท์…”


“ถือหนังสือพิมพ์ ไล่ตามเอ็มลิน·ไวท์…”


เสียงดังกล่าวซ้อนทับหลายชั้น กังวานในห้วงการได้ยินของเออร์เนส·โบยาร์ ผ่านเข้าไปในสมองและจิตใจ


เออร์เนส·โบยาร์พยักหน้าเหม่อลอย สัมผัสได้ว่ายังมีคำอื่นอยู่อีก แต่กลับได้ยินไม่ชัดด้วยเหตุผลบางประการ


เด็กส่งหนังสือพิมพ์คนที่นำหนังสือพิมพ์มายัดมือ หมุนตัวกลับหลังและวิ่งแทรกเข้าไปในกลุ่มจักรยานอย่างรวดเร็ว หายไปพร้อมกับฝูงชน


‘เด็กชาย’ คนนั้นมีใบหน้าสะสวย ผมสีเทายุ่งเหยิงปรกคิ้ว ขณะก้าวเดิน ‘เขา’ ถอดถุงมือผ้าสีดำที่สวมอยู่ในมือซ้าย พับหนึ่งทบก่อนจะยัดลงในกระเป๋าสะพายใส่หนังสือพิมพ์


สายลมพัดผ่าน ส่งผลให้เสื้อผ้าของ ‘เขา’ พัดกระพือ เผยให้เห็นสิ่งที่กำลังโป่งขึ้นจากข้อมือ


ไม่กี่วินาทีถัดมา เออร์เนส·โบยาร์กระโดดถอยหลังกะทันหัน คล้ายกับพยายามหลบหลีกบางสิ่ง


ท่าไม่ดีแล้ว! เราถูกพลังฝันร้ายเล่นงาน! มันรีบตั้งหลักมั่นคง รูม่านตาขยายออก มองไปรอบตัวด้วยความระมัดระวัง พร้อมรับมือทุกการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น


แม้เออร์เนส·โบยาร์จะฉงนในเรื่องที่ตนถูกดึงเข้าความฝันได้ง่ายดายนัก แต่มันก็ทราบว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลามัวใส่ใจรายละเอียด สิ่งที่สำคัญคือช่วงเวลาหลังจากนี้ ห้ามฟุ้งซ่านโดยเด็ดขาด


กริ๊ง!


จักรยานหลายคันแล่นผ่านมาใกล้ ส่งเสียงกริ่งเพื่อเตือนให้สุภาพบุรุษกลางถนนหลบ


เออร์เนส·โบยาร์หรี่ตาลงและจ้องมองพวกมัน เตรียมซัดกำปั้นใส่ทุกวินาที


จักรยานคันแล้วคันเล่าขับผ่านไป ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาตามปรกติ แต่บ้างเริ่มเดินช้าลงและชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง


ก๊อง! ก๊อง! ก๊อง!


เสียงระฆังดังสิบสองหนรวด ไอน้ำสีขาวถูกพ่นออกจากปล่องไฟด้านบนสุดของวิหารนักบุญฮิลลัน เพลงสรรเสริญดังขึ้นพร้อมกับเสียงเฟืองและคันโยก ดังกังวานทั่วสารทิศ


ณ จัตุรัส ทุกคนชะงักฝีเท้าทันที บ้างหลับตาลงและสวดวิงวอนในช่วงเวลาอันแสนศักดิ์สิทธิ์นี้ บ้างฟังเสียงระฆังอย่างเงียบงัน ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นสาวกของโบสถ์จักรกลไอน้ำหรือไม่ มีเพียงนกพิราบที่อิ่มท้องเท่านั้นที่กระพือปีกบิน ลอยขึ้นไปในอากาศ



ก๊อง! ก๊อง! ก๊อง!


เสียงระฆังดังก้อง ไม่มีใครขยับเขยื้อนร่างกาย แม้แต่เอิร์ลมิสทราลในห้องอาหารก็เช่นกัน มันไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย


‘ทัศนวิสัย’ ของมันฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง ทว่า สิ่งที่เห็นมีเพียงคนงานในสุดสีเทาน้ำเงิน คนงานในชุดสีฟ้าอ่อน บ้างเดินเท้าบ้างปั่นจักรยาน นอกจากนั้นก็ไม่พบสิ่งใดเลย และเออร์เนส·โบยาร์ก็มิได้บาดเจ็บ


แน่นอน พิจารณาจากหนังสือพิมพ์ที่ไวเคาต์ผีดูดเลือดกำลังถือ มันเชื่อว่าเด็กส่งหนังสือพิมพ์คนนั้นต้องไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่คิดจะไล่ตาม


เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พลังระดับเทวทูตที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้วิเศษลำดับต่ำถึงกลางจะสร้างขึ้นมาได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง พรรคพวกที่อยู่เบื้องหลังเอ็มลิน·ไวท์ จะต้องมีครึ่งเทพอย่างน้อยหนึ่งตนกำลังซ่อนตัวในบริเวณใกล้เคียง และมิสทราลเชื่อว่า หากตนเปิดหน้าลงมือ อีกฝ่ายคงยับยั้งได้ทัน หรือแม้กระทั่งทำอันตรายกับตน


เมื่อตนอยู่ที่แจ้ง ส่วนอีกฝ่ายอยู่ในที่ลับ มิสทราลซึ่งเป็นเอิร์ลผีดูเลือด ย่อมมองออกว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดี การไล่ตามไปยังแต่จะสร้างปัญหา


นอกจากนั้น สำหรับเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด นี่เป็นเพียงบททดสอบ ต่อให้ทางพรรคพวกของเอ็มลินลงทุนนำครึ่งเทพออกปฏิบัติการ เออร์เนส·โบยาร์ก็ยังพอจะยื้อชีวิตได้ด้วยสมบัติวิเศษในตัว และช่วงเวลาดังกล่าวจะช่วยให้มิสทราลมองผ่าน ‘คำสาบานแห่งกุหลาบ’ และยืนยันตัวผู้โจมตี – พวกมันไม่ได้คิดจะทำให้ความขัดแย้งบานปลายด้วยเรื่องแค่นี้ ตามแผนที่วางไว้ในตอนต้น อย่างมากที่สุด มิสทราลมีหน้าที่คอยยับยั้งการปะทะ ช่วยให้เออร์เนส·โบยาร์ไม่ถึงแก่ความตาย


แต่ในสถานการณ์พวกมันสูญเสียความได้เปรียบไปแล้ว หากฝืนไล่ตามไป มีโอกาสสูงมากที่จะเกิดสงครามครึ่งเทพ และในกรุงเบ็คลันด์ โดยเฉพาะรอบๆ วิหารนักบุญฮิลลัน การทำเช่นนั้นมีค่าเท่ากับขุดหลุมฝังศพ


นอกจากนั้น สำหรับมิสทราล เนื่องจากครึ่งเทพของอีกฝ่ายยังไม่ได้เปิดหน้าลงมือ แต่เป็นการสนับสนุนจากระยะห่าง ถ้าตนยอมเปิดหน้าช่วยเหลือ นั่นจะถือเป็นสิ่งที่น่าละอาย เสื่อมเสียชื่อเสียงของเอิร์ลผีดูดเลือดอย่างมาก


ฮึ! ข้าเองก็อยากจะรู้นักว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป! กล้ามเนื้อใบหน้าของมิสทราลกระตุกแผ่วเบา หมุนแหวนสีน้ำเงินบนนิ้วนางซ้ายอีกครั้ง



หลังจากเสียงระฆังดังสิบสองครั้ง เอ็มลินเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง วนรอบน้ำพุ ไปยังจุดที่นักพิราบขาวร่อนลง มาถึงทางเข้าอีกด้านหนึ่งของจัตุรัสนักบุญฮิลลัน


มันได้พบเออร์เนส·โบยาร์ที่กำลังยืนตัวงอเล็กน้อย ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่ครึ่งก้าว เห็นรถม้าที่กำลังคว่ำ เห็นม้าที่กำลังคำราม เห็นคนขับรถม้าที่กำลังแสดงสีหน้าเจ็บปวด


เอ็มลินเดินเข้าไปใกล้ นำกระเป๋าสตางค์ออกจากอ้อมแขน ดึงเงินสด 100 ปอนด์และยื่นให้คนขับรถม้า


“ค่าเสียหาย”


“อะ…?” คนขับรถม้าเผยสีหน้ามึนงงและประหลาดใจ


มันไม่ใช่เจ้าของรถม้า เป็นเพียงลูกจ้างทั่วไป เมื่อเห็นม้าแตกตื่นจนรถม้าเสียหาย มันเกิดความลำบากใจและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เจือความตื่นตระหนกและสิ้นหวัง


อ้างอิงจากสิ่งที่เรียกว่าสัญญา รวมถึงประสบการณ์ที่มันเคยเห็นตลอดหลายปีที่ผ่านมา นี่คือความรับผิดชอบที่มันต้องชดใช้ และเมื่อพิจารณาจากรายได้และสถานการณ์ครอบครัว มันกำลังจะล้มละลาย!


ภายในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อครู่ ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองคนขับรถม้า แบ่งออกเป็นสามทางเลือกใหญ่ ทางเลือกแรก ข่มขู่สุภาพบุรุษที่เอาแต่ยืนตัวแข็งรายนี้ให้ชดใช้ ลูกๆ ของตนจะได้ไม่ต้องเข้าเรือนทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย ทางเลือกที่สอง รีบพาม้าไปขายให้กับสมาชิกแก๊งอันธพาลขาย จากนั้นก็กลับบ้าน นำเงินก้อนหนังกล่าวหนีออกจากเบ็คลันด์พร้อมกับภรรยาและบุตร ทางเลือกที่สาม พาครอบครัวย้ายออกจากสถานที่เก่า จากนั้นก็ไปหาเจ้าของรถม้าเพื่อขอร้อง หวังชดใช้คืนเป็นงวดๆ หากอีกฝ่ายไม่ยอม มันจะยอมติดคุกโดยไม่จ่ายเงิน


แต่ปัจจุบัน เงินสดจำนวนหนึ่งร้อยปอนด์ตรงหน้า สร้างอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อหัวใจของคนขับรถม้าจนมิอาจพรรณนา ศีรษะเกิดอาการวิงเวียน ตอบสนองไม่ถูกไปสักพัก


หนึ่งร้อยปอนด์นี้เพียงพอที่จะซื้อห้องโดยสารใหม่ แถมยังเหลืออีกเพียบ!


เอ็มลินมิได้แยแสคนขับรถม้า เพียงจ้องหน้าเออร์เนสและกล่าว:


“ตอนนี้เจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว”


เจ้านั่นแหละตัวปัญหาที่ใหญ่ที่สุด! การที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ มันจะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร? เออร์เนสรำพันด้วยความฉุนเฉียว หมุนแหวนสีน้ำเงินในมือซ้าย


แต่ด้วยเหตุผลบางประการ มันรู้สึกว่าคำพูดของเอ็มลิน·ไวท์ฟังดูเข้าท่า ขณะเดียวกันก็รู้สึกอยากเข้าไปใกล้อีกฝ่าย


เอ็มลินชำเลืองมองเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังกลับและเดินเข้าไปในตรอกข้างๆ อย่างรวดเร็ว


เออร์เนสก้าวตามโดยไม่รู้ตัว ในมือยังถือหนังสือพิมพ์


ผีดูดเลือดสองตนอย่างออกวิ่ง การไล่ล่าเริ่มต้นขึ้นด้วยความเร็วสูง แต่มิได้ผิดแผกไปจากมนุษย์ปรกติ


เอิร์ลมิสทราลอยู่ห่างจากสองคนนั้นพอสมควร ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยพลังวิญญาณ จึงอาศัยความช่วยเหลือของ ‘คำสาบานแห่งกุหลาบ’ สร้างการเชื่อมต่อและไล่ตามไปอย่างไม่รีบร้อน


เอ็มลินบ้างวิ่งอ้อม บ้างวิ่งเฉียง บ้างวิ่งวนกลับมายังสถานีเดิม ทำให้ยากจะคาดเดาปลายทาง ส่วนเออร์เนสก็ทำตัวราวกับวัวตัวผู้มองเห็นธงแดง ตามติดใกล้ชิดอย่างไม่ลดละ


กว่าจะรู้ตัวอีกที ผีดูดเลือดทั้งสองมาถึงถนนกุหลาบทางตอนใต้ของสะพาน


ทันใดนั้น เอ็มลินเร่งฝีเท้ากะทันหัน ไม่กลัวว่าคนธรรมดาจะมองเห็นภาพตกค้างที่เกิดขึ้นขณะตนเดินเข้าไปในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว


เออร์เนสก็กำลังทำในสิ่งเดียวกัน


ท่าไม่ดีแล้ว! ขณะเอิร์ลมิสทราลที่ตามอยู่ห่างๆ กำลังจะเผยตัวเพื่อหยุดสถานการณ์ ร่างของเออร์เนสได้ลับสายตาเข้าไปในประตูวิหารฤดูเก็บเกี่ยว


เปรี้ยะ!


หินใต้ฝ่าเท้าของมิสทราลพลันแตกละเอียด


หลังจากเข้ามาในวิหาร เออร์เนสได้สติกลับมาบางส่วน แต่ทันใดนั้น ณ ที่นั่งแถวหน้าสุด มันหันไปเห็นบุคคลหนึ่งในชุดนักบวชสีน้ำตาล กำลังยืนขึ้นด้วยร่างกายที่ใหญ่มหึมาราวกับภูเขา


ขณะเดียวกัน วิหารทั้งหลังดูมั่นคงแข็งแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน คล้ายกับกำลังเชื่อมต่อกับผืนโลก!


ท่ามกลางจิตใจที่สั่นสะท้านของเออร์เนส อีกเสียงหนึ่งดังก้อง:


“เมื่อตื่นจากการสะกดจิตขั้นแรก จงขว้างปาสิ่งของใส่เอ็มลิน·ไวท์”


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! เออร์เนสถอนผ้าคาดเอว ถอดเข็มกลัด และขว้างปาทุกสิ่งไปทางเอ็มลิน·ไวท์ฝั่งตรงข้ามทีละชิ้น รวมไปถึงนาฬิกาพกสีเงินและกระเป๋าสตางค์ที่เต็มไปด้วยธนบัตร


แปะ!


หนังสือพิมพ์ในมือของมันหล่นลงพื้น ไพ่ที่สอดไว้ด้านในกระเด็นออกมา


บนหน้าไพ่ บุคคลหนึ่งกำลังนั่งบนเก้าอี้หิน เป็นเทพธิดาแห่งความยุติธรรมที่กำลังถือดาบกับตาชั่ง


ไพ่ทาโรต์ ‘จัสติส’

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1003 : คั่นกลาง

 

หลังจากไม่เหลืออะไรเลยนอกจากเสื้อผ้า เออร์เนส·โบยาร์พลันตกตะลึง สติสัมปชัญญะกลับคืนมาโดยสมบูรณ์


เรากำลังทำอะไร? ที่ผ่านมาทำอะไรลงไป? ในที่สุดไวเคาต์ผีดูดเลือดก็จดจำสิ่งที่เคยหลงลืมได้ โดยเฉพาะดวงตาสีเขียวใสกระจ่างคู่นั้น


การชี้นำทางจิต… ไม่สิ… พลังสะกดจิต… เออร์เนส·โบยาร์มองไปรอบตัวด้วยความขุ่นเคือง เจือความกลัวเล็กๆ ที่พยายามสะกดไว้ ตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันโดยสัญชาตญาณ


จากนั้น มันจ้องไปยังร่างที่เหมือนกับขุนเขา บิชอปยูทรอฟสกี้เจ้าของคิ้วบางและจาง


ชั่วพริบตาดังกล่าว กระแสความคิดมากมายถาโถมเออร์เนส·โบยาร์ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นอย่างเข้มข้น


มันมิได้ต่อต้าน เพียงกล่าวไปตรงๆ


“ข้าจะมาทำงานอาสาสมัครที่นี่เป็นเวลาหนึ่งเดือน!”


ประสบการณ์ของเอ็มลินได้แพร่กระจายไปในแวดวงผีดูดเลือดประจำเบ็คลันด์มานานแล้ว และเออร์เนส·โบยาร์ย่อมรู้จักบิชอปยูทรอฟสกี้ รู้ว่าต่อให้พยายามขัดขืนก็คงมิอาจรอดพ้นจากชะตากรรมการเป็นอาสาสมัคร คงเป็นการฉลาดกว่าหากจะเป็นฝ่ายประกาศยอมแพ้ เลือกเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง


อย่างน้อยก็ไม่ถูกฝังการชี้นำทางจิต ไม่ถูกเปลี่ยนให้เป็นสาวกของพระแม่ธรณี… ขณะเออร์เนสเกิดความคิดเช่นนี้ มันพบว่าในมือหลวงพ่อยูทรอฟสกี้กำลังถือโคมไฟ ด้านในมีเทียนไขประหลาดที่ห่อหุ้มด้วยผิวหนังมนุษย์


ท่ามกลางแสงเทียนสลัว รูม่านตาเออร์เนสขยายกว่าอีกครั้ง ภายในใจเหลือเพียงความคิดเดียว ดังก้องกังวานไม่สิ้นสุด:


อีกหนึ่งการชี้นำทางจิต…


ทันใดนั้น มันพบว่าความมืดกำลังเกาะกินหัวใจตน


“ตกลง” หลวงพ่อยูทรอฟสกี้พยักหน้า เห็นด้วยกับข้อเสนอของเออร์เนส·โบยาร์


เอ็มลินกำลังยืนยิ้มอย่างภาคภูมิใจและมีความสุข เฝ้ามองสิ่งของต่างๆ ที่เพิ่งรวบรวมได้ คล้ายกับชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลิตผลได้เป็นกอบเป็นกำ



ณ จัตุรัสนักบุญฮิลลัน บนชั้นสามของภัตตาคารสไตล์ซิลวารัส ภายในห้องห้องหนึ่ง แสงหรี่ลงพร้อมกับการปรากฏกายของเงาขนาดใหญ่


ค้างคาวตัวน้อยจำนวนมากบินออกจากบ่อความมืด รวมกันเป็นร่างกาย


ควันพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศ เอิร์ลมิสทราลเจ้าของเส้นผมสีเงินซีดและดวงตาสีแดงสด เผยร่างในจุดที่มีค้างคาวรวมตัวกันหนาแน่น จากนั้น บรรยากาศภายในห้องกลับคืนสู่ปรกติ


คนรับใช้ของมัน ชายวัยกลางคนในสูทสีเข้ม ก้าวออกมาข้างหน้าและถามพลางคำนับ


“ท่านเอิร์ล จะรับประทานอาหารเลยไหมขอรับ?”


พิจารณาจากสีหน้า มันมิอาจบอกได้ว่าเรื่องราวผ่านไปด้วยดีหรือไม่ ผลลัพธ์ออกมาสำเร็จหรือล้มเหลว ไม่กล้าถามออกไปแม้แต่คำเดียว


มิสทราลพยักหน้ารับ:


“ตกลง”


มันเดินไปที่โต๊ะอาหารด้วยท่าทีสำรวม ถอดแหวนสีน้ำเงินออกอย่างสุขุม นั่งลงบนเก้าอี้ มิได้เสียอาการแม้แต่น้อย คล้ายกับเมื่อครู่เพียงแค่ออกไปให้อาการนกพิราบ



เจ้านี่มีกลิ่นแรง แถมยังเป็นกลิ่นประหลาด แต่ก็ไม่เลว… ในห้องส่วนตัวข้างๆ ห้องเอิร์ลมิสทราล ไคลน์ที่กำลังสวมใบหน้าแสนธรรมดา เพลิดเพลินไปกับการพิจารณารสชาติอาหารอันโอชะของซิลวารัส เครื่องในลูกแกะ


แม้ว่าปฏิบัติการสั่งสอนจะเกิดขึ้นโดยเหล่าสมาชิกของชุมนุมทาโรต์ ไม่จำเป็นต้องมีเดอะเวิร์ลหรือเดอะฟูลเข้าร่วม แต่ไคลน์ยังมองว่ามิสจัสติสและ ‘เดอะมูน’ เอ็มลินต่างก็ขาดประสบการณ์ในทำนองนี้ จึงตัดสินใจแอบมาดูอย่างเงียบๆ คอยยืนยันว่าจะไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น


มันสั่งให้หุ่นเชิดสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลบนโต๊ะอาหาร ส่วนร่างต้นเข้าห้องน้ำภายในห้องส่วนตัว ส่งตัวเองเข้าสู่หมอกสีเทา อาศัยจุดแสงการวิงวอน ขยายขอบเขตการมองเห็นให้ครอบคลุมจัตุรัสและพื้นที่โดยรอบ


ขณะเดียวกัน มันคือคทาเทพสมุทรตลอดเวลา หากพบเหตุไม่คาดฝัน สายฟ้าจะผ่าลงไปทันที ตักเตือนให้อีกฝ่ายหยุดการกระทำ


แต่ในท้ายที่สุด มันไม่ต้องทำอะไร เรื่องราวดำเนินไปอย่างราบรื่นกว่าที่คิด


สำหรับ ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ด ไม่ต้องอธิบายก็คงจะทราบว่ามีประสบการณ์ช่ำชองมากเพียงใด แต่ในกรณีของมิสจัสติส เธอเพิ่งเคยทำอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่กลับทำได้ยอดเยี่ยมผิดคาด ไม่มีอาการสั่นไหวหรือตื่นตระหนก!


อย่างที่คิด… ลำดับ 6 ของเส้นทางผู้ชม สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าผู้วิเศษส่วนใหญ่ในลำดับต่ำถึงกลางของเส้นทางอื่น หรือต่อให้มีเรื่องกังวลเล็กน้อย แต่ก่อนจะเงินงาน ก็สามารถใช้พลังพิเศษของตัวเองช่วยระดับความตื่นเต้น… ไคลน์พยักหน้าเล็กๆ ชิมของอร่อยจานอื่นต่อ


ด้านนอกหน้าต่าง ภายในจัตุรัสนักบุญฮิลลัน เสียงขลุ่ย ไวโอลิน หีบเพลง และพิณ ต่างดังซ้อนทับกับอย่างไพเราะ



ณ จัตุรัสนักบุญฮิลลัน รถม้าเช่าคันหนึ่งแล่นผ่านไปอย่างช้าๆ ริมชายขอบ


เลียวนาร์ด·มิเชลที่กำลังจะไปยังเขตเหนือของสะพานเบ็คลันด์ ชำเลืองนกพิราบใจกลางจัตุรัส ก่อนจะลดเสียงลงและกล่าว


“ตาแก่ คุณคิดว่าปฏิบัติการคราวนี้จะลุล่วงไหม?”


หลังจากดึงเออร์เนส·โบยาร์เข้าสู่ความฝัน มันพลิก ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ และกระตุ้นเวทมนตร์ ‘อ้อมกอดเทวทูต’ จากนั้นก็แล่นรถม้าออกจากจุดเกิดเหตุ ไม่มีทางทราบว่าผลลัพธ์จะออกมาราบรื่นหรือไม่


ภายในใจ พาลีส·โซโรอาสเตอร์ตอบด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์


“ในยุคสมัยที่สี่ มีภาษิตกล่าวไว้ว่า ‘จงเชื่อในพลังของเหล่าทวยเทพ’ ”


กำลังจะบอกว่า หากแผ่นการได้รับการอนุมัติจากมิสเตอร์ฟูล มันจะออกมาทำเสร็จอย่างแน่นอน? แต่ตาแก่ยังไม่รู้จักชุมนุมทาโรต์ดีพอ ส่วนใหญ่มิสเตอร์ฟูลเป็นเพียงสักขีพยาน ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการอนุมัติ… เลียวนาร์ดพึมพำในใจ ซักถามเปลี่ยนประเด็น


“ทำไมภาษิตที่ว่าถึงฟังดูไม่สมบูรณ์?”


มันไม่เคยเล่าสถานการณ์ปัจจุบันของชุมนุมทาโรต์ให้พาลีส·โซโรอาสเตอร์ทราบ เพียงเอ่ยถึงเรื่องทั่วไปและเรื่องที่มิสเตอร์ฟูลอนุญาต


พาลีสพ่นลมหายใจ


“ใช่แล้ว… มันยังมีครึ่งหลังอยู่… ‘อย่าหลงเชื่อในความใจดีของพวกท่าน’ ”


จงเชื่อในพลังของทวยเทพ แต่อย่าหลงเชื่อในความใจดี? เลียวนาร์ดพึมพำกับตัวเองสักพัก ก่อนจะก้มศีรษะลง ชำเลืองสมุดบันทึกปกแข็งในมือ


จากนั้น มันกระซิบถามด้วยความครุ่นคิด


“สิ่งนี้เทียบเท่าสมบัติปิดผนึกระดับ 1 อย่างที่คิด… แถมยังมีผลข้างเคียงต่ำมาก”


ก่อนจะเริ่มลงมือ เมื่อพิจารณาจากขอบเขต ‘จันทรา’ มีความเกี่ยวข้องกับขอบเขตความมืดอยู่ไม่น้อย ส่งผลให้เป้าหมายสามารถต้านทานผลของฝันร้ายได้ดีในระดับหนึ่ง เดิมทีเลียวนาร์ดจึงต้องการยืมยุบพองหิวโหยจาก ‘เดอะเวิร์ล’ ไคลน์·โมเร็ตติ แต่หลังจากปรึกษาหารือ มิสเมจิกเชี่ยนได้เล่าถึงความพิเศษของ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ จึงพบทางออกที่ดีกว่า


ดังนั้น ตัวมันที่รับผิดชอบการใช้ ‘อ้อมกอดเทวทูต’ ตัดสินใจยืมยุบพองหิวโหยจากไคลน์เป็นเวลาสามชั่วโมง บันทึกความสามารถที่มีประโยชน์หลายชนิดลงไป เช่น ‘ติดสินบน อ่อนแอ’


“สิ่งนี้เป็นของตระกูลอับราฮัม” พาลีส·โซโรอาสเตอร์กล่าวพลางถอนหายใจ


เลียวนาร์ดที่ทราบอยู่ก่อนแล้ว พยักหน้าเล็กๆ และถามต่อ


“ตาแก่ สมบัติวิเศษที่เคยเล่าให้ฟังไปก่อนหน้านี้ คุณมีวิธีบรรเทาผลข้างเคียงไหม?”


“เรียกว่าสมบัติวิเศษได้หรือ? นั่นมันสมบัติปิดผนึก!” พาลีสแก้คำเลียวนาร์ด ก่อนจะเสริม “ถ้ามันมีสัญญาณชีพอย่างที่เจ้าบอกจริง นั่นก็แก้ไขได้ง่ายมาก”


เลียวนาร์ดผ่อนคลายลงทันที มองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ชื่นชมความงดงามของมหาวิหารนักบุญฮิลลันที่มีลักษณะคล้ายโรงงาน



บนถนนเฟลป์ในเขตเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารนักบุญแซมมวล ณ ทางเข้ากองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา


หลังจากเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ออเดรย์ที่ดูเหมือนเด็กผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ลงจากรถม้า


เธอสลัดคราบเด็กส่งหนังสือพิมพ์และทิ้งเสื้อผ้าไว้ในห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง เป็นห้องที่ถูกจองโดยเอ็มลิน จึงไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ


ปัจจุบัน มีผู้คนผ่านไปผ่านมาหน้าประตูกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาหลายคน แต่ออเดรย์ก็เดินผ่านไปอย่างเยือกเย็น


ไม่มีใครมองเธอแม้แต่น้อย ราวกับหญิงสาวอาศัยอยู่ในโลกคนละใบ


ออเดรย์เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วผ่านห้องโถง ขึ้นไปยังชั้นสอง เดินเข้าไปในห้องคณะกรรมการที่เป็นของตัวเอง โดยระหว่างทาง ผู้คนทั้งหมดคล้ายกับกำลังเล่นเกมกับเธอ เกมที่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นหญิงสาว ไม่แปลกใจที่สตรีแปลกหน้าคนนี้เดินเข้ามาข้างในตึก


ขณะยืนอยู่หน้าประตูห้องทำงานและกำลังจะเปิดเข้าไป ออเดรย์ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจากด้านใน


“มิสออเดรย์ นี่คือยอดบริจาคทั้งหมดที่รวบรวมได้ในสัปดาห์นี้…”


ออเดรย์อดไม่ได้ที่จะยกมุมปาก เปิดประตูอ้ากว้าง เดินเข้าไปข้างใน


ภายในห้องทำงาน ทีมงานคนหนึ่งกำลังถือแฟ้มเอกสาร แสดงให้บุคคลด้านหลังโต๊ะทำงานอ่าน


ด้านหลังโต๊ะคือสุนัขโกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่ ห้อยแว่นตากรอบทองไว้ตรงคอคู่หนึ่ง


มันกำลังนั่งในตำแหน่งผู้อำนวยการ พลิกเปิดเอกสารด้วยท่าทีผ่อนคลายพลางกล่าวกับทีมงาน


“ไม่มีปัญหา”


จากนั้น ทีมงานหยิบเอกสารกลับ ยิ้มให้สุนัขโกลเดนรีทรีเวอร์


“ถ้าอย่างนั้น ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ มิสออเดรย์”


ที่ด้านหลัง ออเดรย์พยายามกลั้นยิ้ม เดินไปนั่งที่โซฟาด้านข้าง มองดูทีมงานจากไปโดยปล่อยให้สุนัขโกลเดนรีทรีเวอร์นั่งอ่านเอกสารอื่นๆ


ซูซี่กำลังก้มหน้าอ่านเอกสารต่างๆ อย่างตั้งใจ ด้วยกังวลว่าการแสดงของเธอจะมีปัญหา ส่งผลเสียไปถึงออเดรย์


ถัดมาไม่นาน เธอเหลียวซ้ายแลขวาด้วยสีหน้าสงสัย:


“ออเดรย์ กลับมาแล้วหรือ?”


“รู้ได้ยังไง?” ออเดรย์ลุกจากโซฟา เผยตัวให้ซูซี่เห็น


เพื่อจะออกไปทำภารกิจ ออเดรย์ตกลงกับซูซี่ล่วงหน้า บอกให้อีกฝ่ายคอยทำหน้าที่แทนตัวเองในตึกสำนักงานของ ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ จากนั้นก็พาสุนัขโกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่เดินสะกดจิตทีมงานทุกคนเป็นเวลาหนึ่งวัน ให้พวกเขาทำเหมือนกับซูซี่เป็นออเดรย์


สำหรับผู้มาเยือนไม่คาดฝัน เธอบอกกับทีมงานว่า ขอเลื่อนนัดพบทั้งหมดไปตอนบ่าย


และสัญญาณที่จะสลายการสะกดจิตก็คือ เสียงระฆังของวิหารของบ่ายสองโมงตรง


หลังจากเห็นออเดรย์ ซูซี่กระโดดลงจากที่นั่ง กล่าวอย่างร้อนรน


“ใกล้จะบ่ายสองแล้ว”


นั่นสินะ… ออเดรย์เล่นหูเล่นตากับตัวเอง ก่อนจะรีบเข้าไปในห้องเล็กที่ไว้สำหรับงีบ สวมเสื้อผ้าชุดประจำของตน และใช้พลัง ‘ควบคุมไฟ’ จาก ‘คำลวง’ เพื่อแผดเผาร่องรอยการปลอมตัวทั้งหมด


กลับมายังห้องสำนักงาน นั่งประจำตำแหน่ง หญิงสาวผ่อนคลายตัวเอง ประสานมือเข้าหากัน เม้มปากริมฝีปากเล็กน้อย


ว่ากันตามตรง ออเดรย์ประหม่าอย่างมาก แต่ทั้งก่อนและหลังปฏิบัติการ เธอใช้พลัง ‘ปลอบโยน’ กับตัวเองเพื่อไม่ให้ทำตัวผิดปรกติ


เมื่อลองนึกย้อนกลับไป เรื่องที่น่าสนใจก็คือ เรายังพูดคุยเกี่ยวกับวิธีเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ… ออเดรย์ เธอทำได้เยี่ยม! ใบหน้าของสตรีผมทองพลันสดใส รอยยิ้มค่อยๆ ผลิบาน


หลังจากเหตุการณ์นี้ เธอพบว่าโอสถนักสะกดจิตของตนถูกย่อยไปหลายระดับ และอีกหนึ่งสิ่งที่ได้รับการยืนยันก็คือ พลังจากสมบัติวิเศษ ‘หัตถ์แห่งความกลัว’ อย่าง ‘ติดสินบน ลุ่มหลง’ เข้ากันได้อย่างดีกับพลังสะกดจิตของเธอ!


อา… นอกจากนั้นเรายังได้ทราบว่า มิสเตอร์มูนชื่อเอ็มลิน·ไวท์… ใจจริง เขาคงไม่อยากเปิดเผย แต่ถ้าไม่บอกกับเรา แผนการนี้ก็คงไม่สำเร็จ… ถึงการบอกชื่อของวิหารหลังนั้นจะเลี่ยงได้ แต่นั่นก็คงไม่พ้นการถูกล่วงรู้ตัวจริงอยู่ดี… เรายังแข็งเกินไป โดยเฉพาะระหว่างการสะกดจิต เลือกใช้คำที่ทื่อๆ ระหว่างการสะกดจิตเบื้องต้น… ออเดรย์ร่าย ‘ปลอบโยน’ ใส่ตัวเองเพื่อสงบความตื่นเต้นเล็กๆ พลางตรวจสอบพฤติกรรมทุกขั้นตอนของตัวเองอย่างรอบคอบ หวังจะได้เรียนรู้ประสบการณ์และบทเรียนจากมัน


ก๊อง! ก๊อง!


ระฆังรายชั่วโมงของวิหารนักบุญแซมมวลดังขึ้น เป็นสัญลักษณ์ของบ่ายสองโมงตรง


ภายในอาคารเลขที่ 22 ถนนเฟลป์ ที่ตั้งกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็น ทีมงานหลายคนที่ได้ยินเสียงระฆังบอกเวลา ร่างกายสั่นระริกเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปทำงานของตัวเองราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น



ก๊อง! ก๊อง!


ท่ามกลางเสียงระฆังวิหาร ไคลน์ซึ่งเปลี่ยนกลับไปเป็นดอน·ดันเตสอีกครั้ง เดินไปยังระเบียงใหญ่ของบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน เฝ้ามองสถานการณ์ของบ้านมัคท์


ทันใดนั้น รถม้าคันหนึ่งแล่นผ่านด้านหน้าประตูรั้วคฤหาสน์ของตน ตรงไปยังสุดถนน


เพียงพริบตา นิมิตลางสังหรณ์ของไคลน์ถูกกระตุ้น ภาพหนึ่งผุดขึ้นในใจ:


หนูสีเทาตัวหนึ่งกำลังนอนบนหน้าต่างรถม้า เฝ้ามองวิวทิวทัศน์บนถนนด้วยความระมัดระวัง

 

 

 


ราชันเร้นลับ 1004 : การเคลื่อนไหวที่สาม

 

หนูสีเทา… เปลือกตาไคลน์กระตุกเล็กน้อย รีบหันหลังกลับและเดินไปยังห้องกึ่งเปิดโล่ง เดินยาวจนกระทั่งถึงห้องนอนใหญ่ เข้าไปในห้องน้ำ


ทุกท่วงท่าที่เกิดขึ้น มันมิได้เร่งร้อน คล้ายกับทำในกิจวัตรที่เกิดขึ้นเป็นประจำ


ลงกลอนประตูห้องน้ำ ไคลน์ถอยหลังสี่ก้าว ผ่านสายหมอกสีเทาที่เต็มไปด้วยเสียงเพรียก นั่งลงบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล


และก่อนจะทำสิ่งเหล่านี้ มันให้บุรุษรับใช้เอ็นยูน ซึ่งยืนอยู่บนทางเดิน สวดวิงวอนถึง ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่าด้วยเสียงต่ำ


อาศัยจุดแสงไฟดังกล่าว ไคลน์ที่กวักมือเรียกคทาเทพสมุทร ขยายภาพการมองเห็นออก จากนั้นก็เพ่งเล็งรถม้าที่กำลังแล่นเข้าไปในบ้านส.ส. มัคท์ อาคารหมายเลข 39 ถนนเบิร์คลุน


และในครั้งนี้ สิ่งที่เอนกายลงบนกระจกหน้าต่างและเพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์ของถนนด้วยท่าทีผ่อนคลาย ไม่ใช่หนูสีเทาอีกต่อไป หากแต่เป็นชายหนุ่มในหมวกผ้าไหม สวมเสื้อกันฝนสีดำ


เส้นผมสีดำ ดวงตาสีดำ ใบหน้าเพรียว หน้าผากกว้าง สวมแว่นตาผลึกขาเดียว สวมรอยยิ้มจางๆ จนแทบจะมองไม่เห็น ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘ผู้เย้ยเทพ’ ‘เทวทูตกาลเวลา’ ‘บุตรแห่งพระผู้สร้าง’ อามุนด์!


แม้ว่าไคลน์จะเตรียมใจไว้นานแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะใจเต้นแรง เย็นยะเยือกไปทั้งตัว


อามุนด์ยังคงปรากฏตัวในรูปลักษณ์ปรกติ แต่เนื่องจากขโมยชะตากรรมของครึ่งเทพหนูสีเทามาแล้ว ในสายตาทุกคน มันจึงเป็นเพียงหนูสีเทาที่ไม่มีพิษมีภัย


มันและพี่ชายของมัน ‘เทวทูตจินตภาพ’ อาดัม มีความคล้ายคลึงกันในบางสิ่ง นั่นคือการทำให้ผู้คนหวาดผวาเมื่อยิ่งครุ่นคิดถึงพวกมัน แต่เป็นคนละแง่มุมโดยสิ้นเชิง!


หากไม่ใช่เพราะหมอก หากไม่ใช่เพราะเราหลอมรวมกับที่นี่ในระดับหนึ่ง คงหาอามุนด์ไม่เจอเหมือนกัน… ไคลน์โล่งใจแกมหวาดกลัว รีบขยาย ‘ทัศนวิสัย’ ออกไปด้านนอก ตามหาร่างโคลนอามุนด์


เมื่อเทียบกับการ ‘ปลูกถ่ายโชคชะตา’ ร่องรอยของ ‘ปรสิต’ หาได้ง่ายกว่ามาก


ทว่า ไคลน์กลับไม่พบสิ่งใดเลย


ไม่ว่าจะเป็นผู้โดยสารคนอื่น คนขับรถม้า หรือต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ ไม่มีสิ่งใดกลายเป็นโฮสต์!


ไม่เหมือนกับที่เลียวนาร์ดเล่าให้ฟัง… เมื่ออามุนด์ปรากฏตัว มันควรจะมาพร้อมกับอามุนด์อีกจำนวนมากไม่ใช่หรือ? หรือว่าจะตระหนักถึงเรื่องที่ตนถูกค้นพบโดยจอมเวทพิสดารของโบสถ์รัตติกาล เคลือบแคลงว่าถนนเบิร์คลุนอาจถูกจับตามอง จึงส่งร่างโคลนไปเพียงหนึ่ง ตรวจสอบสถานการณ์เบื้องต้น? ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กๆ ระหว่างคาดเดา ไม่กล้าลงมือในสถานการณ์ปัจจุบัน


แน่นอน มันยังไม่ลืมคำพูดของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ ตราบใดที่จัดการกับร่างโคลนอามุนด์ได้หนึ่งตัว การกวาดล้างร่างโคลนทั้งหมดในเบ็คลันด์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก และปัจจุบัน มีร่างโคลนของอามุนด์เพียงหนึ่งตัวในถนนเบิร์คลุน นับเป็นโอกาสทองที่เหมาะแก่การลงมือ!


ก่อนหน้านั้น เราอยากฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ… ไคลน์ที่นั่งในตำแหน่งประธาน เสกร่างของ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ สั่งให้สวดวิงวอนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและเคารพ


“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ กรุณาแจ้งกับเลียวนาร์ด·มิเชลว่า อามุนด์ปรากฏตัวที่อาคารหมายเลข 39 ถนนเบิร์คลุน แต่มาแค่ร่างเดียว”


ขณะที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์สวดวิงวอน ไคลน์ไม่ละสายตาออกจากรถม้า จนกระทั่งเห็นเฮเซลซึ่งสวมเดรสยาวสีอ่อน เดินลงมาจากรถและเข้าไปในห้องโถงบ้าน


อามุนด์ที่ใส่แว่นขาเดียวและสวมเสื้อกันฝนสีดำ เดินตามหญิงสาวไปอย่างเงียบๆ ไม่มีการปลอมตัวแม้แต่น้อย แต่คนรับใช้และสาวใช้กลับไม่สังเกตเห็น ประหนึ่งด้านหลังเฮเซลมีเพียงอากาศอันว่างเปล่า


บางครั้ง สาวใช้ก้มมองพื้น ตามด้วยส่งเสียงตกใจและเตรียมกรี๊ด แต่หลังจากอ้าปากได้สักพัก พวกเธอกลับแน่นิ่ง ราวกับความคิดสูญหายไปกะทันหัน


อามุนด์เดินผ่านห้องโถง ขึ้นบันได พลางจับแว่นตาผลึกขาเดียว มืออีกข้างสอดเข้าไปในกระเป๋า


หนอนแมลงโปร่งใสตัวปล้องแผ่ออกจากร่างกายมัน พุ่งกระจัดกระจายไปทุกทิศ ก่อนจะเลือนหายไป


ไคลน์ซึ่งกำลังถือคทาเทพสมุทร เกิดความรู้สึกชาไปทั่วหนังหัว มันยังคงจดจำคำอธิบายของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ได้แม่นยำ เกี่ยวกับพังของ ‘ปรสิต’ ที่อามุนด์จะใช้:


การแพร่เชื้อแบบระบาด!



เฮเซลอารมณ์ดีขึ้นมากในช่วงหลัง เพราะอาจารย์ของเธอไม่ได้เสียสติไปจริงๆ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้าเป็นเพียงบททดสอบ และเธอก็สอบผ่านแล้ว


ผลลัพธ์ก็คือ เธอได้รับความรู้มากมายเกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับ เข้าใจแก่นแท้ของโอสถ เข้าใจวิธีการย่อยโอสถ และมีโอกาสเลื่อนลำดับเป็น ‘นักถอดรหัส’


ปัจจุบัน เธอกลายเป็นผู้วิเศษลำดับ 7 เรียบร้อยแล้ว!


โลกใบนี้มหัศจรรย์กว่าที่เราคิดไว้… ในสักวัน เราจะกลายเป็นครึ่งเทพและหลุดพ้นจากการเป็นสามัญชน… เฮเซลชำเลืองนาฬิกาแขวนบนผนัง นำมือลูบท้องเล็กน้อย เตรียมบอกให้แม่เริ่มช่วงเวลาชายามบ่าย เพราะที่บ้านไม่มีแขกเหลืออยู่แล้ว


ในตอนเที่ยง เธอกุเรื่องออกไปข้างนอกโดยให้เห็นผลว่า จะออกไปหาอะไรกิน แต่ความจริงแล้วเป็นการแอบพาอาจารย์กลับมา แต่จริงๆ แล้วยังไม่ได้กินอะไรเลย


ท่ามกลางความคิด เธอมองไปทางอาจารย์ที่นอนบนเบาะขนสัตว์ของโซฟา เห็นหนูสีเทากำลังยกอุ้งเท้าหน้าขึ้นมากดเบ้าตาขวา


“กินอะไรไหม?” เฮเซลถามด้วยความสุภาพ


หนูวางอุ้งเท้าหน้าลง ตอบอย่างไม่รีบร้อน


“ไม่จำเป็น”


“ค่ะอาจารย์” เฮเซลหันหลังกลับ เดินไปข้างหน้าและปิดประตูห้องนอน


บนทางเดิน สาวใช้ของเธอยืนอยู่ที่นั่น จ้องไปทางระเบียงสุดปลายทางเดิน ประหนึ่งกำลังชื่นชมทัศนียภาพท้องฟ้ายามบ่าย


เฮเซลขมวดคิ้วเล็กๆ และกล่าว:


“ช่วยเฝ้าตรงนี้ให้หน่อย อย่าให้ปล่อยคนเข้ามาทำความสะอาด”


สาวใช้ส่วนตัวมองหญิงสาว ยิ้มและกล่าว


“ค่ะ คุณหนู”


เฮเซลปิดประตูห้องนอน ลงไปยังห้องนั่งเล่นที่ชั้นสอง ได้พบกับมารดา มาดามลีอานน่า


สตรีเจ้าของผมสีเขียวเข้มรับแว่นตาฝังอัญมณีราคาแพงที่มีโซ่ทองเป็นสายคล้องมาจากสาวใช้ สิ่งนี้มองดูคล้ายเครื่องประดับ มิใช่อุปกรณ์สำหรับปรับสายตา


“เมื่อก่อนไม่ชอบไม่ใช่หรือ?” เฮเซลถามด้วยความงุนงง


ลีอานน่ายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย:


“แต่ตอนนี้ชอบแล้ว”


ขณะกล่าว เธอนำแว่นวางลงบนสันจมูก


ขณะเฮเซลรอฟังความเห็น เธอได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้


หญิงสาวหันไปมอง พบว่าเป็นบิดาของตน ส.ส. มัคท์ที่กลับบ้านเร็วกว่าปรกติ


“คุณพ่อ… ไม่ใช่ว่าต้องไปที่สโมสรนายทหารผ่านศึกหรือ?” เฮเซลถามอย่างเป็นกันเอง


“วันนี้ไม่มีใครอยู่ที่นั่น” ส.ส. มัคท์ยกมือขวาขึ้น ใช้ทั้งสองมือบีบเบ้าตาซ้ายขวา


เฮเซลพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ


“เยี่ยมเลย… นานแล้วสินะที่พวกเราไม่ได้ดื่มชายามบ่ายพร้อมหน้าเช่นนี้”


“ใช่” ส.ส. มัคท์และมาดามลีอานน่าต่างยิ้มเล็กๆ จนเกือบจะมองไม่เห็น



บ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์ เลียวนาร์ดที่เพิ่งกลับจากจัตุรัสนักบุญฮิลลัน ทิ้งตัวลงบนโซฟา พาดปลายเท้าลงบนโต๊ะกาแฟ


พิจารณาจากการที่มันไม่ได้รับ ‘ข่าว’ จนถึงตอนนี้ เป็นเหตุให้เชื่อได้ว่า ปฏิบัติการสั่งสอนประสบความสำเร็จไปด้วยดี สามารถคาดหวังกับส่วนแบ่งได้


“ตาแก่ คุณบอกใช่ไหมว่าไวเคาต์ผีดูดเลือดตนนั้นสวมสมบัติวิเศษมากมาย? ช่วยอธิบายอย่างละเอียดหน่อยได้ไหม?” เลียวนาร์ดถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น


ภายในใจ พาลีส·โซโรอาสเตอร์ ‘ฮึ่ม’ ก่อนจะกล่าว


“ระดับของพวกมันต่ำจนข้ามิได้ใส่ใจ”


ขณะเลียวนาร์ดคิดคำถาม เบื้องหน้าพลันพร่ามัว สายหมอกสีเทาไร้ก้นบึ้งปรากฏขึ้นพร้อมกับร่างของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ อีกฝ่ายกำลังสวดวิงวอนดังนี้:


“…อามุนด์ปรากฏตัวที่อาคารหมายเลข 39 ถนนเบิร์คลุน แต่มาแค่ร่างเดียว”


อามุนด์ปรากฏตัว? เร็วขนาดนี้เชียว? เลียวนาร์ดที่กำลังผ่อนคลายรีบหดขา นั่งหลังตรง ตึงเครียดยิ่งกว่าปฏิบัติการสั่งสอนเมื่อครู่เสียอีก


มันรีบถ่ายทอดคำพูดไปให้พาลีส·โซโรอาสเตอร์ จากนั้นก็ถาม


“ตาแก่ เราควรทำยังไงดี? ลงมือเลยไหม? แต่ร่างโคลนอามุนด์มาแค่ตัวเดียว!”


พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบสักพัก


“การที่อามุนด์ปรากฏตัวด้วยร่างเดียว แปลว่าทางนั้นคงมีเรื่องกังวลด้านอื่น แต่สำหรับเรา นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ… มีภาษิตจากยุคสมัยที่สี่กล่าวไว้ว่า: คันศรที่ถูกปล่อยออกไปจะไม่ย้อนกลับ ในเมื่อทางนั้นเริ่มลงมือแล้ว เราเองก็ไม่ควรชักช้า ไม่อย่างนั้นพื้นที่ในละแวกดังกล่าวจะถูกอิทธิพลของอามุนด์เล่นงาน จนกระทั่งความผิดปรกติของดอน·ดันเตสถูกเปิดเผย”



ไคลน์กลับสู่โลกความจริง เดินออกจากห้องน้ำ


จากนั้น มันรีบเตรียมความพร้อม มือซ้ายสวมยุบพองหิวโหย มือขวาถือเข็มกลัดผลึกดำ


จากนั้น มันบังคับให้หุ่นเชิดเอ็นยูนดีดนิ้ว ใช้พลังกระโจนไฟไปโผล่บ้านเลขที่ 39 ถนนเบิร์คลุน บ้านของส.ส. มัคท์ ด้วยใบหน้าของเกอร์มัน·สแปร์โรว์


ไคลน์จับความรู้สึกผ่านด้ายวิญญาณทันที แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นความรู้สึกคล้ายกับก้อนหินที่จมลงก้อนทะเล ไม่มีปฏิกิริยาใดตอบสนองกลับมา


ทันใดนั้น มันพบว่าตนสูญเสียหุ่นเชิดไปแล้ว!


นี่มัน… เปลือกตาไคลน์พลันกระตุก ประตูห้องนอนใหญ่เปิดออกด้วยเสียงเสียดสี


คนที่เปิดเข้ามาคือ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน


เด็กหนุ่มลูกครึ่งไบลัมโลเอ็นรายนี้ผลักประตู ย่างสามขุมเข้ามาในห้องโดยอยู่นอกเหนือความควบคุมของไคลน์


มันหยิบแว่นตาขาเดียวออกจากกระเป๋า เช็ดกับแขนเสื้อ จากนั้นก็บรรจงสวมไว้ที่ตาขวา


มันจ้องหน้าดอน·ดันเตส มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย


“เจอตัวแล้ว”


บรรยากาศภายในห้องนอนพลันเย็นเยียบ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนที่กำลังจับแว่นตา กล่าวกับตัวเอง


“ในชะตากรรมของฟลอร่า·เจคอปมีความผิดปรกติมากเกินไป และเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นบนถนนเส้นนี้ ข้าจึงสนใจและมาดูด้วยตัวเอง เสียเวลาไปสักพักกว่าจะค้นพบต้นตอ ขออภัยที่ทำให้เจ้าต้องรอหลายวัน… กระจกบานนั้น สำหรับข้าแล้วไม่ใช่ของแปลกใหม่ แต่การที่เห็นมันประจบสอพลอใครสักคนอย่างมาก ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน น่าสนใจจริงๆ … อา… หรือว่าข้าควรขโมยชะตากรรมของเจ้าและดูว่ามีอะไรกันแน่? หึหึ… เจ้าคงยังไม่รู้ต้นกำเนิดของมันสินะ… ขอบอกไว้ก่อน กระจกบานนั้นไม่ธรรมดา”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)