Library Of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร 1650-1653

 ตอนที่ 1650

 

การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์

สุดท้าย จางเซวียนก็ล้มเลิกความคิด


ความศักดิ์สิทธิ์ของความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์นั้นเป็นสิ่งที่ควรรักษาไว้ ในเมื่อฟงสืออี้เป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์หยาง ก็คงไม่เหมาะสมหากเขาดึงตัวชายหนุ่มมาเป็นศิษย์


ดูเหมือนในอนาคตเขาจะต้องหาเฟ้นหาบุคคลที่เหมาะสมเพื่อมาเป็นศิษย์ของเขาให้ได้


ด้วยความทรงพลังของหน้าหนังสือสีทอง คงจะดีที่สุดหากจางเซวียนสามารถสะสมมันไว้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


ถ้าเขามีหน้าหนังสือสีทองสัก 2-3 ร้อยหน้าอยู่ในหอสมุดเทียบฟ้า ก็คงเอาชนะเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียว!


เดี๋ยวก่อน…ปรมาจารย์ขงมีลูกศิษย์ 3000 คนใช่ไหม? เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเหตุผลที่เขารับลูกศิษย์มากขนาดนี้ก็เพื่อหน้าหนังสือสีทอง? จางเซวียนพลันนึกขึ้นได้


ปรมาจารย์ขงมีศิษย์สายตรงเพียง 72 คนแต่มีลูกศิษย์ธรรมดาสามัญรวมแล้วก็ 3,000 คน เป็นไปได้หรือไม่ว่าปรมาจารย์ขงมีหอสมุดเทียบฟ้าเหมือนกัน และเหตุผลที่เขารับลูกศิษย์ก็เพื่อสร้างหน้าหนังสือสีทองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้?


บางที ปรมาจารย์ขงอาจเอาชนะไอ้โหดได้ด้วยการขว้างหน้าหนังสือสีทองใส่มัน ทำให้มันเละกลายเป็นเนื้อบด!


การเอาชนะผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังได้นั้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่เอาชนะได้ด้วยหนังสือเพียงหนึ่งเล่ม ก็แน่นอนว่าไอ้โหดจะต้องเผชิญกับความช้ำใจครั้งใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของมัน!


ต่อไปเราควรจะศึกษาภารกิจของปรมาจารย์ขงให้มากกว่านี้ และดูว่ามีประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่าเขาใช้หนังสือเป็นอาวุธบ้างหรือเปล่า น่าจะเป็นเงื่อนงำที่บอกได้ว่าเขามีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ในครอบครองหรือไม่…


ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นแค่สมมติฐานของจางเซวียน เขาจึงต้องศึกษาต่อไปเพื่อให้แน่ใจ


จางเซวียนสลัดความคิดเบ็ดเตล็ดเหล่านั้นออกจากสมอง เขาเพ่งสมาธิอยู่กับการถ่ายทอดแก่นสารของหนังสือเล่มนั้นให้กับเจียงเฟยเฟยและอธิบายข้อสงสัยของเธอ ซึ่งกว่าเธอจะเข้าใจหนังสือได้ทั้งเล่มก็ล่วงเลยเข้าดึกดื่นแล้ว


ยังพอมีเวลาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ลองดูดีกว่าว่าเราจะยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติได้หรือเปล่า! รู้ดีว่ายังพอมีเวลา จางเซวียนระบายลมหายใจยาวก่อนจะลุกขึ้นยืน


เหตุผลหลักที่เขามาเยือนตระกูลเจียงก็เพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณให้สามารถเข้าสู่ร่างของศพเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณตัวนั้น ในเมื่อเขาประมวลศิลปะแห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าขั้นการพักฟื้นภายในและร่างอันทรงเกียรติขึ้นแล้ว ทั้งยังมีทรัพยากรอยู่ในมือด้วย ก็สมควรจะฝ่าด่านวรยุทธให้เร็วที่สุด


จางเซวียนให้เจียงฟังโหย่วจัดเตรียมที่พักเงียบๆให้ เขาเข้าไปในห้องหนึ่งของบ้านพักหลังนั้น จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งและถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกจากกายเนื้อ และเริ่มปรับสภาวะตัวเอง


เอาล่ะ เริ่มได้แล้ว!


เมื่อรู้สึกว่าสภาวะของเขาแข็งแกร่งถึงขีดสุด จางเซวียนก็สะบัดมือ แล้วทรัพยากรเพื่อการฝึกฝนวรยุทธที่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้นที่เขานำมาจากขุมสมบัติตระกูลเจียงก็ร่วงลงมากองอยู่กับพื้น แผ่รังสีเจิดจ้าออกมา


ฟิ้ววววว!


พลังจิตวิญญาณพุ่งเข้าสู่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนอย่างดุเดือด


รังสีของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ภายใน 1 เวลาน้ำชา จางเซวียนก็มาถึงจุดสูงสุดของวรยุทธขั้นการพักฟื้นภายใน พร้อมที่จะก้าวข้ามขั้นสุดท้ายได้ทุกขณะ


ดังนั้นเขาจึงพยายามฝ่าด่านวรยุทธ แต่หลังจากผ่านความพยายามไป 2-3 ครั้ง ก็พบว่าด่านคอขวดที่ปิดกั้นตัวเขาไว้แข็งแกร่งเกินไป


จางเซวียนวิเคราะห์พร้อมกับขมวดคิ้ว คงเป็นเพราะเราเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายในและยังไม่ได้ขัดเกลาวรยุทธของจิตวิญญาณ ดังนั้นพลังจิตวิญญาณของเราจึงยังไม่เข้มข้นพอ


เขาเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายในได้ไม่ถึงครึ่งวัน พลังจิตวิญญาณจึงยังไม่เข้าที่ แล้วยังมาพยายามฝ่าด่านวรยุทธเอาตอนนี้อีก ต่อให้จางเซวียนทำสำเร็จ รากฐานวรยุทธที่อ่อนแอก็จะมีผลในการบั่นทอนอนาคตของเขา


ความยากในการยกระดับวรยุทธของจางเซวียนเพิ่มสูงขึ้นอีกมากตั้งแต่เขาเข้าถึงระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาไม่อยากทำให้อะไรๆยากไปกว่านี้อีก


แปลว่าเราต้องใช้เวลาอีก 2-3 วันในการขัดเกลาวรยุทธของจิตวิญญาณหรือ? จางเซวียนนวดขมับอย่างหงุดหงิด


ใช้เวลาอีก 2-3 วันเพื่อขัดเกลาวรยุทธ…นั่นช้ามาก ช้าเกินไป!


ด้วยสถานการณ์คับขันที่บีบรัดเข้ามา เขาต้องยกระดับวรยุทธให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


ไม่อย่างนั้น ต่อให้มีอาวุธที่ทรงพลังอย่างหอกสวรรค์กระดูกมังกร เขาก็ไม่อาจสำแดงพละกำลังเต็มพิกัดได้อยู่ดี


“ถ้ามีอะไรที่ทำให้เราบีบอัดพลังจิตวิญญาณเข้าด้วยกันได้ เราคงทำได้เร็วกว่านี้…” ถึงจุดหนึ่ง ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวสมองของจางเซวียน เขาตาโตด้วยความตื่นเต้น “ใช่แล้ว ฉนวนแห่งจิตวิญญาณ!”


ต่อให้ไม่ใช้ความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณ แรงกดดันที่ฉนวนแห่งจิตวิญญาณแผ่เข้าใส่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาก็ยังคงหนักหน่วงและยากจะต้านทานอยู่ดี หากเขาต้องขัดเกลาวรยุทธของจิตวิญญาณเพียงลำพัง ความเร็วในการพัฒนาก็ย่อมต่ำมาก หากปราศจากการฝึกฝนอย่างหนัก 3 วันเป็นอย่างต่ำ ก็คงยากที่เขาจะขัดเกลารากฐานของวรยุทธให้พร้อมสำหรับขั้นการพักฟื้นภายใน แต่ด้วยการใช้แรงกดดันของฉนวนแห่งจิตวิญญาณ กระบวนการดังกล่าวจะสำเร็จได้เร็วขึ้นมาก บางทีเขาอาจทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นได้ภายในคืนนี้!


“ออกมาเลย!”


ด้วยการสะบัดมือ ฉนวนก็ปรากฏที่ใจกลางห้อง ทันทีที่มันปรากฏขึ้น จางเซวียนก็พลันรู้สึกได้ถึงแรงกดดันหนักหน่วงที่โถมทับเข้าใส่เขา ราวกับว่าจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาถูกบีบอัดอย่างไม่ลดละภายใต้แรงกดดันนั้น


จางเซวียนไม่ใช้การขับเคลื่อนความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งจิตวิญญาณ จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาค่อยๆเข้าใกล้ฉนวนแห่งจิตวิญญาณทีละน้อย


ซรืดดดดด!


ราวกับกำลังคืบคลานเข้าหาภูเขาไฟที่กำลังปะทุ จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาถูกแผดเผาด้วยแรงกดดันหนักหน่วง อยู่ในสภาพที่ใกล้จะสูญสลายเต็มที


ศิลปะแห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า!


จางเซวียนคำรามและเริ่มขับเคลื่อนศิลปะแห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า และจิตวิญญาณต้นกำเนิดที่ใกล้จะสูญสลายของเขาก็เริ่มมั่นคงขึ้น


สิ่งนี้เหมือนกับการที่เขาใช้แรงกดดันจากหอกสวรรค์กระดูกมังกรเพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาในครั้งนั้น


ทฤษฎีที่อยู่เบื้องหลังวรยุทธขั้นการพักฟื้นภายในสำหรับวรยุทธของจิตวิญญาณนั้นเหมือนกันกับวรยุทธของพลังปราณ มันให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของจิตวิญญาณเพื่อให้แข็งแกร่งและทรงพลังขึ้น


ด้วยแรงกดดันนี้ พลังจิตวิญญาณของเขาจะถูกบีบอัดให้เข้มข้นกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว ทำให้จิตวิญญาณต้นกำเนิดมีขนาดเล็กลงและทรงพลังขึ้นกว่าเดิม ประกายสีทองจางๆเริ่มแผ่ออกมาจากผิวหน้าของจิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียน เป็นสัญญาณว่าเขากำลังเข้าสู่กระบวนการของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติ


หรือนี่คือร่างอันทรงเกียรติ?


เมื่อรู้สึกได้ถึงประกายสีทองที่แผ่ออกมาจากจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา จางเซวียนรีบสำรวจการเปลี่ยนแปลง และพบว่าชิ้นส่วนของจิตวิญญาณส่วนที่เรืองแสงสีทองออกมานั้นแข็งแกร่งกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับส่วนอื่นๆ


ความแข็งแกร่งถือเป็นคำที่ไม่ค่อยใช้กันในการพรรณนาถึงจิตวิญญาณที่ไร้รูปแบบและจับต้องไม่ได้ แต่หลังจากที่ได้ซึมซับประกายสีทองนั้น จิตวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงขั้นที่เหนือกว่าของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงสุดเสียอีก


“น่าทึ่งจริงๆ!”


จางเซวียนอุทานด้วยความตื่นเต้นขณะดำเนินการบ่มเพาะจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาโดยใช้แรงกดดันจากฉนวนแห่งจิตวิญญาณต่อไป


4 ชั่วโมงต่อมาเขาก็หยุดพัก


หลังจากผ่านกระบวนการการฝึกฝนอย่างหนัก จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาที่ออกจะพองตัวขึ้นเล็กน้อยหลังจากสำเร็จขั้นตอนการพักฟื้นภายในก็ถูกบีบอัดให้เล็กลงอีกครั้ง ในเวลาเดียวกัน รูปลักษณ์ของจางเซวียนก็เปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่ง หากมองจากที่ไกลๆ ก็จะรู้สึกได้ถึงความสง่าราวกับเทพเจ้าจากสวรรค์


มีเส้นบางๆกั้นอยู่ระหว่างนักรบระดับเซียนกับนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ การก้าวข้ามเส้นแบ่งนั้นหมายถึงการเติบโตขึ้นอีกระดับหนึ่ง


ตอนนี้จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนมีเส้นสายสีทองพาดอยู่เต็มไปหมด หากเขาขับเคลื่อนประสิทธิภาพการต่อสู้ขึ้นถึงขีดสุด แสงสีทองเหล่านี้จะระเบิดออกจากตัวเขา ดูราวกับพระพุทธเจ้าที่มีรัศมีรอบตัว


“ไปต่อ!”


รู้ดีว่าเขาขัดเกลาวรยุทธของจิตวิญญาณได้จนถึงระดับแล้ว จางเซวียนจึงเก็บฉนวนแห่งจิตวิญญาณและเริ่มซึมซับพลังจิตวิญญาณเข้าสู่จิตวิญญาณต้นกำเนิดอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ซึ่งตอนนี้ ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นอีกมาก


เกิดเสียงหึ่งดังสนั่นขึ้นที่ด่านคอขวดซึ่งจำกัดวรยุทธของเขาไว้ จากนั้นมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เส้นสายสีทองที่พาดผ่านจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาหลอมละลายและครอบคลุมจิตวิญญาณทั้งหมดของเขาไว้ ก่อให้เกิดประกายสีทองที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง


ร่างอันทรงเกียรติ, สำเร็จแล้ว!


“ไร้เทียมทานจริงๆ…” เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณต้นกำเนิด จางเซวียนตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น


ด้วยระดับวรยุทธของเขาในตอนนี้ เขาสามารถเดินทางข้ามสิ่งกีดขวางและสำแดงการทะลุมิติได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกลัวว่าจิตวิญญาณต้นกำเนิดจะได้รับผลกระทบจากการบีบอัดของมิติ


ดูเหมือนลู่ชงจะสำเร็จวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติเช่นกัน…จางเซวียนคิดอย่างละอายใจ


มันเป็นเรื่องที่รบกวนจิตใจของเขาเสมอมากับการที่ลูกศิษย์ของเขาพัฒนาระดับวรยุทธของตัวเองได้รวดเร็วกว่าเขาเสียอีก แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะสภาวะพิเศษของคนเหล่านั้นและทรัพยากรล้นเหลือที่พวกเขามี แต่ก็ยังทำให้จางเซวียนอดรู้สึกท้อใจไม่ได้


ครืนนนน!


ขณะที่ความคิดของจางเซวียนกำลังล่องลอยไป สายฟ้าฟาดก็ดังสนั่นอยู่ด้านนอก จางเซวียนรีบออกไป และเห็นหมู่เมฆรวมตัวกันอยู่เหนือตระกูลเจียง พลังงานมหาศาลจากพื้นที่โดยรอบเข้ามารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว


“การทดสอบสายฟ้า? การฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติจะนำการทดสอบสายฟ้ามาด้วยหรือ?” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ


ครู่ต่อมา หอกสวรรค์กระดูกมังกรที่รัดรอบเอวของเขาอยู่ก็อุทาน “นี่ไม่ใช่การทดสอบสายฟ้า แต่เป็นการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์! การทดสอบสายฟ้ามีไว้เพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณต้นกำเนิด ขณะที่เปลวเพลิงสวรรค์มีไว้บ่มเพาะร่างอันทรงเกียรติ!”


“การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์?”


จางเซวียนอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น “เดี๋ยวก่อน…นั่นหมายความว่าผมจะแก้ไขสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดได้แล้วใช่ไหม?”

 

 

 


ตอนที่ 1651

 

เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด

ครั้งหนึ่งปรมาจารย์ขงเคยพูดไว้ว่าในการแก้ไขสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิด จะต้องแผดเผามันด้วยเปลวเพลิงสวรรค์ เขาคิดว่าตัวเองคงต้องยกระดับวรยุทธของพลังปราณไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ให้ได้เสียก่อน แต่ใครจะไปคิดว่าจะเรียกมันมาได้ด้วยวรยุทธของจิตวิญญาณ?


หากเขาสามารถใช้เปลวเพลิงสวรรค์บ่มเพาะกายเนื้อของเขาได้ ก็น่าจะแก้ไขปัญหาที่ทำให้เขากังวลใจตลอดปีที่ผ่านมาได้สำเร็จ?


“การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์จะแผดเผาจิตวิญญาณต้นกำเนิดของฉันโดยตรงหรือเปล่า?” จางเซวียนถามหอกสวรรค์กระดูกมังกรด้วยความร้อนใจ


การทดสอบสถาปนาเซียนนั้นแบ่งออกเป็นการทดสอบจิตวิญญาณ การทดสอบร่างกาย และการทดสอบหัวใจ ในเมื่อการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ก็เป็นการลงทัณฑ์ชนิดหนึ่งที่สวรรค์มีต่อเหล่านักรบ แล้วมันจะมาในรูปแบบเดียวกันไหม?


ได้ยินคำถาม หอกสวรรค์กระดูกมังกรครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์นั้นมี 3 ช่วง มีชื่อว่าการทดสอบแผดเผาวิญญาณ การทดสอบแผดเผาจิต และการทดสอบแผดเผาหัวใจ สำหรับระดับของคุณ คุณน่าจะผ่านการทดสอบแผดเผาวิญญาณไปได้ แต่เกรงว่าคงไม่เป็นแบบนั้นกับการทดสอบแผดเผาจิตและการทดสอบแผดเผาหัวใจ ความประมาทเพียงนิดเดียวอาจส่งผล ให้คุณเสียชีวิตได้!


“โดยเฉพาะสำหรับขั้นสุดท้าย คือการทดสอบแผดเผาหัวใจ บรรดาปีศาจใต้สำนึกจะพยายามทำลายความตั้งใจของคุณ และเมื่อเจตจำนงสูญสลายไป ทุกอย่างที่เหลือก็จะสูญสลายไปด้วย หากกายเนื้อของคุณสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 ร่างอันทรงเกียรติพร้อมๆกันกับประสิทธิภาพของจิตวิญญาณต้นกำเนิดที่เพิ่มขึ้น คุณก็น่าจะรับมือกับปีศาจใต้สำนึกได้ แต่ในสภาวะของคุณตอนนี้ ผมเกรงว่าคงยังยากที่คุณจะต่อต้านบรรดาปีศาจใต้สำนึกได้ด้วยจิตวิญญาณต้นกำเนิดเพียงอย่างเดียว! ในยุคสมัยโบราณ มีผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนที่ต้องตายเพราะการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ มีแต่ผู้ที่สวรรค์ประทานโชคให้และมีความปราดเปรื่องสูงสุดเท่านั้นที่จะรอดพ้นจากการทดสอบนี้ได้…”


หอกสวรรค์กระดูกมังกรได้เห็นจางเซวียนขัดเกลาจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาโดยใช้แรงกดดันหนักหน่วงมากับตา จึงรู้เรื่องที่ชายหนุ่มฝึกฝนวรยุทธของจิตวิญญาณ


“แกกำลังจะบอกฉันว่า…จะปลอดภัยกว่าที่จะเข้ารับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์หากระดับวรยุทธของพลังปราณของฉันเข้าถึงขั้นร่างอันทรงเกียรติแล้วใช่ไหม?” ได้ฟังคำพูดของหอกสวรรค์กระดูกมังกร จางเซวียนตั้งคำถาม


“ใช่แล้ว กายเนื้อนั้นรับมือกับปีศาจใต้สำนึกได้ดีกว่ามากหากเปรียบเทียบกับจิตวิญญาณ เมื่อมีกายเนื้อแบกรับแรงปะทะและได้รับความช่วยเหลือจากจิตวิญญาณ โอกาสที่จะผ่านการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ไปได้ก็จะมีสูงขึ้น ถ้าคุณเข้าท้าทายมันโดยใช้จิตวิญญาณต้นกำเนิดเพียงอย่างเดียว…พูดตามตรงนะ ผมยังไม่เคยพบใครที่ประสบความสำเร็จมาก่อน!” หอกสวรรค์กระดูกมังกรลอยออกจากเอวของจางเซวียนและตั้งข้อสังเกตอย่างกังวล


ในฐานะสมาชิกของเผ่าพันธุ์มังกร ไม่มีวันที่มันจะปล่อยให้นายท่านของมันซึ่งกว่าจะหาตัวพบก็ลำบากยากเย็นต้องถูกมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ไม่อย่างนั้น หากใครรู้เข้า มันจะต้องอับอายขายหน้าสักแค่ไหน!


ถึงตอนนี้มันจะเป็นแค่กระดูกกองหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีศักดิ์ศรี


“ตอนนี้กายเนื้อของฉันยังอ่อนด้อยอยู่…” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึมเมื่อได้ยินคำนั้น


เขายังไม่ได้กรรมวิธีฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงของปรมาจารย์ขงเพื่อยกระดับของพลังปราณไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายใน จึงยังไม่อาจฝ่าด่านวรยุทธได้ตอนนี้


หรือต่อให้เขาฝ่าด่านวรยุทธของพลังปราณได้ตอนนี้ ก็ยังคงห่างจากขั้นร่างอันทรงเกียรติอยู่อีกขั้นหนึ่งเต็มๆ และเขายังไม่ได้ประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าขั้นร่างอันทรงเกียรติขึ้นมา จึงไม่อาจแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ได้


“ก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้นเถอะ! ฉันอยากเห็นเหมือนกันว่าการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์จะไร้เทียมทานสักแค่ไหน!”


ครั้งหนึ่งหอกสวรรค์กระดูกมังกรเคยสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักปราชญ์โบราณหรันชิว แม้มันจะสูญเสียพละกำลังและความทรงจำไปมากหลังจากที่ถูกสกัดกั้นวรยุทธไว้ แต่ความสามารถในการหยั่งรู้และความรอบรู้ของมันก็ยังเหนือชั้นกว่านักรบส่วนใหญ่ในโลกใบนี้


ในเมื่อมันพูดแล้วว่าการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์เป็นเรื่องที่รับมือได้ยาก ก็น่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ


แต่ในฐานะผู้ฝึกฝนศิลปะแห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า จางเซวียนมีความไร้เทียมทานกว่าเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณทุกคนในระดับขั้นของเขา การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์อาจทรงพลัง แต่เขาก็มั่นใจว่าเขาจะผ่านมันไปได้


ถ้าเคยมีผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่เอาชนะการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ได้ เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน!


ครืนนนน!


ระหว่างการสนทนาของทั้งคู่ เมฆดำที่รวมตัวกันอยู่กลางอากาศก็เสร็จสิ้นกระบวนการของมัน


ก็เหมือนกับหมู่เมฆที่ก่อตัวกันเป็นพายุในการทดสอบสายฟ้า หมู่เมฆของการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์นั้นก็เป็นสีดำสนิท หากเข้าไปมองใกล้ๆ ก็จะรู้สึกได้ว่ามันกำลังสะบัดเร่าๆราวกับเปลวไฟ แม้เมื่อมองจากระยะไกล ก็ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนแผดเผาที่ลามเลียผิวหนัง บรรยากาศบริเวณนั้นค่อยๆระอุขึ้นจนยากจะทนทาน


ฟึ่บ!


ลูกไฟลูกหนึ่งร่วงลงมาจากกลางอากาศ พุ่งเข้าใส่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียน


มันไม่เหมือนกับเปลวเพลิงทั่วไปที่มีสีแดงก่ำ เปลวเพลิงนั้นเป็นสีดำสนิทเหมือนกับหมึก ถ้าไม่ใช่เพราะความร้อนแผดเผาที่มันแผ่ออกมา ก็อาจถูกเข้าใจผิดได้ว่าเป็นหย่อมหมึกที่ลอยอยู่กลางอากาศ


“นั่นคือเปลวเพลิงสวรรค์หรือ?”


ยังไม่ทันที่เปลวเพลิงจะร่วงลงมาถึงพื้น รอยแยกแห่งมิติก็เกิดขึ้นทั่วพื้นผิวบริเวณนั้น รังสีอันทรงพลังระเบิดออกมาจากเปลวเพลิง สร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับผู้ที่อยู่ด้านล่าง จางเซวียนรู้สึกว่าเส้นผมของเขาตั้งชันไปหมด


เขาเคยพบกับเปลวเพลิงมากมายตลอดปีที่ผ่านมา เคยเผชิญหน้าแม้กระทั่งกับเปลวเพลิงปฐพีที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ยังไม่เคยพบกับเปลวเพลิงที่มีอำนาจโจมตีและดูน่าขยะแขยงแบบนี้มาก่อน!


มันดำสนิทราวกับหมึก ไม่มีแสงสว่างเรืองออกมาแม้แต่น้อย แต่ความร้อนที่มันแผ่ออกมานั้นมหาศาลเสียจนพื้นดินแทบจะต้านทานมันไม่ไหว สิ่งนี้เองหรือที่เรียกว่าเปลวเพลิงสวรรค์?


นี่คือสิ่งที่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจะต้องรับทมือให้ได้ใช่ไหม?


อย่าว่าแต่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาเลย ต่อให้กายเนื้อของเขาซึ่งมีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงสุดโดยทั่วไป ก็คงต้องหลอมละลายหากสัมผัสกับมัน


“นี่-นี่…ไม่ใช่เปลวเพลิงสวรรค์ทั่วไป แต่เป็นเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด!”


ขณะที่จางเซวียนกำลังพรั่นพรึงกับอานุภาพของเปลวเพลิงสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้า หอกสวรรค์กระดูกมังกรก็ตัวสั่นด้วยความไม่อยากเชื่อ


“เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด มันคืออะไร?” จางเซวียนถาม


“เปลวเพลิงสวรรค์ก็มีระดับขั้นเหมือนกัน เปลวเพลิงสวรรค์ชั้น 3 เป็นเพลิงที่มีสีแดงก่ำ ส่วนใหญ่จะถูกเรียกมาโดยนักรบที่มีวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติ เป็นเปลวเพลิงสวรรค์ที่อ่อนแอที่สุด”


“ส่วนเปลวเพลิงสวรรค์ขั้น 2 จะมีสีขาวขุ่นเหมือนขี้เถ้า มักถูกเรียกมาโดยยอดขุนพลและเหล่าปรมาจารย์ที่มีความเก่งกาจขึ้น”


“ส่วนเปลวเพลิงสวรรค์ขั้น 1 จะมีสีน้ำเงินเข้ม มีแต่นักรบที่ได้ฝึกฝนเทคนิควรยุทธที่ดีที่สุดและมีพลังปราณที่บริสุทธิ์ที่สุดเท่านั้นถึงจะเรียกมันมาได้ ที่ผ่านมา คนกลุ่มเดียวที่ผมเคยเห็นว่าทำแบบนี้ได้ก็คือนักปราชญ์โบราณหรันชิวกับศิษย์สายตรงคนอื่นๆของปรมาจารย์ขง แน่นอนว่ายิ่งเปลวเพลิงสวรรค์มีระดับขั้นสูงเท่าไหร่ ความยากในการก้าวข้ามมันไปที่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติจะต้องเผชิญก็มีมากขึ้นเท่านั้น…”


“แต่ตำนานกล่าวไว้ว่ายังมีเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดที่เหนือชั้นไปกว่าเปลวเพลิงสวรรค์ขั้น 1 อีก เป็นที่รู้จักกันในชื่อเปลวเพลิงแห่งเส้นทางสู่สวรรค์ ลักษณะพิเศษก็คือความมืดมิดและสีดำสนิท เท่าที่ผมรู้ ปรมาจารย์ขงคือคนเดียวที่เรียกเปลวเพลิงแห่งเส้นทางสวรรค์มาได้และผ่านการทดสอบนั้นไปได้ด้วย อีกอย่าง มันจะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อระดับวรยุทธของพลังปราณของนักรบเข้าถึงขั้นร่างอันทรงเกียรติแล้วเท่านั้น…แล้วคุณเรียกมันมาได้อย่างไร?”


หอกสวรรค์กระดูกมังกรลอยอยู่กลางอากาศด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตาของมันซึ่งอยู่ที่ปลายหอกกระพริบปริบๆด้วยความพรั่นพรึง


เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดคือแรงกดดันจากธรรมชาติที่ทำลายทุกสิ่งที่ขวางทาง อย่าว่าแต่จิตวิญญาณต้นกำเนิดเลย แม้แต่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานก็ต้องถูกแผดเผาจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านเพราะอานุภาพของมัน!


ชายหนุ่มเพิ่งจะฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณได้สำเร็จ แล้วเขาเรียกเปลวเพลิงสวรรค์อันน่าสะพรึงขนาดนี้มาได้อย่างไรกัน?


การก้าวข้ามเปลวเพลิงสวรรค์แบบธรรมดาก็ยากเย็นพออยู่แล้ว แต่การทดสอบที่เขาจะต้องเผชิญคือเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด…เรื่องนี้ ในทางปฏิบัติแทบจะเรียกว่าเป็นไปไม่ได้


ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นในตอนนี้!


“ผมจะไปรู้ได้อย่างไร?” นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเปลวเพลิงสวรรค์ที่เขาเรียกมา จางเซวียนร้องด้วยความเสียขวัญ “มันควรจะเป็นแค่การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์แบบธรรมดาเท่านั้น”


มันเรื่องอะไรโลกถึงต้องมอบ ‘การคุกคามแบบพิเศษ’ ให้เขาด้วย?


จางเซวียนอกคับใจอยู่ข้างใน แต่ก็รู้ดีว่าไม่ใช่เวลาที่จะตีโพยตีพาย หลังจากรวบรวมความแข็งแกร่งแล้ว เปลวเพลิงสวรรค์สีดำก็มาถึงตรงหน้าจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาและล้อมรอบมันไว้


ทันทีที่เปลวเพลิงสีดำสัมผัสกับจิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียน มันก็เริ่มมอดไหม้ ความเจ็บปวดแสนสาหัสทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวขณะที่ร่างกายสั่นสะท้านไม่หยุด


เขาเคยคิดว่ามันคงจะใกล้เคียงกับการทดสอบสายฟ้าที่เขาพอจะต้านทานไหว แต่เปลวเพลิงสีดำนี้มีอานุภาพร้ายแรงกว่าที่จางเซวียนคิดไว้มาก หากเขาสูญเสียสมาธิในการควบคุมจิตวิญญาณต้นกำเนิดไปเพียงนิดเดียว มันจะต้องมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านและไม่หลงเหลืออะไรไว้เลย


“ศิลปะแห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า!”


รู้ดีว่าต้องรีบลงมือทำอะไรสักอย่าง จางเซวียนกัดฟันกรอดและรวบรวมพลังงานทั้งหมดที่เขามีอยู่เพื่อต้านทานเปลวเพลิงสีดำ


วิ้งงง!


เส้นสายสีทองเรืองแสงออกมาและห่อหุ้มจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาไว้


จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนกลายเป็นสีทองทันที ทำให้จางเซวียนดูเหมือนกับพระพุทธเจ้าที่มีรัศมีเรืองรอง


อานุภาพของเส้นสายสีทองนั้นไร้เทียมทานมาก แต่เปลวเพลิงสีดำก็ยังแข็งแกร่งกว่า แม้จะสัมผัสกับเส้นสายสีทองแล้ว มันก็ยังฉีกกระชากพื้นที่โดยรอบให้แหลกเป็นชิ้นๆ ดูเหมือนพร้อมจะลากจางเซวียนเข้าสู่คลื่นรบกวนของมิติ


“สกัดกั้น!”


จางเซวียนเคาะนิ้วไปข้างหน้าโดยไม่ลังเลและสำแดงความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติของเขา


วิ้ง!


รอยแยกแห่งมิติสมานตัวเข้าหากันอีกครั้ง


แต่พละกำลังของเปลวเพลิงสีดำก็ยังคงไร้เทียมทานอย่างเดิม มันแผดเผาเส้นสายสีทองที่อยู่ล้อมรอบจางเซวียน ทำให้สีทองเหล่านั้นกลายเป็นสีดำสนิท


 

 

 


ตอนที่ 1652

 

บ่มเพาะร่างอันทรงเกียรติ

ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เราตายแน่…


รู้ดีว่าตัวเองจะไม่มีอะไรเหลือหากปล่อยให้เปลวเพลิงแผดเผาจนหมด จางเซวียนจึงรีบขับเคลื่อนแก่นสารของจิตวิญญาณ


ด้วยการรวบรวมพละกำลัง เขาระเบิดพลังจิตวิญญาณตรงเข้าใส่ลูกไฟสีดำสนิทที่อยู่รอบตัว


ขณะที่การระเบิดของพลังจิตวิญญาณปะทะกับเปลวเพลิงสีดำสนิท เปลวเพลิงนั้นก็แตกกระจายออกเป็นเมล็ดไฟขนาดเล็กนับไม่ถ้วน แต่ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะได้ทำอะไร มันก็รวมตัวกันกลับมาโอบล้อมตัวเขาเหมือนเดิม และยังคงโจมตีจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาอย่างต่อเนื่อง


“เราทำให้เปลวเพลิงสีดำแตกได้ก็จริง แต่การสมานตัวของมันก็เร็วมาก…” จางเซวียนวิเคราะห์อย่างเคร่งเครียด


การที่จางเซวียนใช้แก่นสารของจิตวิญญาณเข้าโจมตีนั้นเป็นการทดสอบว่าพลังจิตวิญญาณจะเล่นงานเปลวเพลิงสีดำได้หรือไม่ ซึ่งก็ต้องยอมรับตามตรงว่าเขาเองก็ไม่คิดว่ามันจะทรงพลังขนาดนี้ แต่โชคไม่ดีที่เปลวเพลิงสีดำสมานตัวกลับคืนกันได้อย่างรวดเร็วจนการโจมตีแทบจะไม่ก่อให้เกิดผลอะไร


ใช่แล้ว! เราใช้แก่นสารของเวลาได้นี่…จางเซวียนเกิดความคิดขึ้นมา


ต่อให้เปลวเพลิงสีดำจะสมานตัวกลับคืนได้รวดเร็วแค่ไหน มันก็ต้องใช้เวลา หากมีการเหลื่อมของระยะเวลา เขาก็สามารถใช้แก่นสารของเวลารับมือกับมันได้


จัดการ!


จางเซวียนรวบรวมพลังจิตวิญญาณเข้าด้วยกันเพื่อปล่อยการโจมตีเข้าใส่เปลวเพลิงสีดำ ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยกนิ้วขึ้นและเคาะพื้นที่ว่างตรงหน้าอย่างแผ่วเบา


วิ้ง!


ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเขากลับเชื่องช้าลงอย่างน่าทึ่ง เปลวเพลิงสีดำค่อยๆแตกกระจายออกเป็นเมล็ดไฟเล็กๆจำนวนนับไม่ถ้วน และเมื่อมันอยู่ห่างจากเขาระยะหนึ่ง มันก็เริ่มสมานตัวเข้าหากัน


แตกกระจาย!


จางเซวียนเพ่งสมาธิสุดกำลัง แล้วปลดปล่อยพลังจิตวิญญาณเข้าใส่เมล็ดไฟลูกที่เล็กกว่าและผลักดันให้มันกระเด็นออกไปจากเมล็ดอื่นๆ


เมื่อเขาจัดการเสร็จ การเร่งเวลาก็สิ้นสุดลง ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดไว้ ความร้อนแผดเผาที่เขารู้สึกได้กับจิตวิญญาณต้นกำเนิดเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด


อานุภาพของเปลวเพลิงสีดำลดลงจริงๆ…จางเซวียนคิดขณะถอนหายใจอย่างโล่งอก


แม้จะมีอุณหภูมิเท่ากัน แต่เปลวเพลิงที่แผดเผาอยู่นั้นมีอานุภาพแผดเผารุนแรงกว่าหากจะเปรียบเทียบกับลูกไฟธรรมดา 2-3 ลูก


หลังจากดำเนินกระบวนการแบบเดิมอีกหลายครั้ง เปลวเพลิงสีดำก็แตกกระจายจนเหลือขนาดเพียงหนึ่งในร้อยของขนาดเดิม ในที่สุด ความรู้สึกแผดเผาก็ลดลงจนถึงระดับที่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนสามารถต้านทานได้


“เวลา มิติ และจิตวิญญาณ นี่คือแก่นสาร 3 รูปแบบที่ทำความเข้าใจได้ยากที่สุด…เขาคงจะเป็นคนเดียวในโลกที่เชี่ยวชาญแก่นสารทั้ง 3 รูปแบบ…” นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นการตอบโต้ด้วยวิธีแบบนี้ หอกสวรรค์กระดูกมังกรพึมพำด้วยความทึ่ง


ครั้งแรกที่มันเห็นเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดพุ่งลงมาจากกลางอากาศ มันแน่ใจว่าชายหนุ่มจะต้องมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน แต่ใครจะไปคิดว่าเขาสามารถหาวิธีการรับมือกับเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดได้ด้วยการควบคุมแก่นสารอันทรงพลังทั้ง 3 รูปแบบนั้นอย่างมีทักษะ


“แต่ถึงอย่างไร การทดสอบของวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติก็ยังไม่สิ้นสุด ต่อให้เขาต้านทานการทดสอบแผดเผาวิญญาณได้ ก็ยังยากที่จะผ่านการทดสอบแผดเผาจิตและการทดสอบแผดเผาหัวใจ…”


หอกสวรรค์กระดูกมังกรส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มจะเก่งกาจพอที่จะรับมือกับการทดสอบครั้งนี้


…..


แบบนี้ดีกว่าเยอะเลย!


จางเซวียนไม่รู้ว่าหอกสวรรค์กระดูกมังกรกำลังกังวลเรื่องอะไร ใจที่เต้นตึกตักค่อยสงบลงหลังจากพบว่าความร้อนแผดเผาที่โลมเลียจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาอยู่ลดลงจนถึงระดับที่เขารับได้ เขาอดรู้สึกขอบคุณไม่ได้ที่ตัวเองเชี่ยวชาญทั้งแก่นสารของมิติ เวลา และจิตวิญญาณ ไม่อย่างนั้น หากตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ก็คงจนปัญญา


วิ้ง!


เกิดแสงสีทองเจิดจ้าเป็นประกายบนผิวหน้าของจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา ทำให้เมล็ดไฟที่กระจัดกระจายเหล่านั้นหยุดนิ่งอยู่กับที่ แสงสีทองได้ลดความรุนแรงของเปลวไฟลง และความเจ็บปวดแสนสาหัสที่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาได้รับก็ลดลงมาก


ขณะที่จางเซวียนดำเนินการขับเคลื่อนพลังจิตวิญญาณของเขาต่อไป แสงสีทองนั้นก็เจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไหร่ที่เมล็ดไฟสีดำเริ่มจะรวมตัวกันอีกครั้ง เขาก็จะใช้แก่นสารของจิตวิญญาณทำลายพวกมันให้แตกสลายออกจากกัน แน่นอนว่ามันเป็นกระบวนการที่สร้างความเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย แต่ก็โชคดีที่จางเซวียนยังคงรับมือได้เพราะมีจิตวิญญาณต้นกำเนิดที่ทรงพลัง


ขอลองใช้ความร้อนของเปลวเพลิงสวรรค์ขับไล่สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดหน่อยเถอะ…เมื่อเห็นว่าสุดท้ายเขาก็รอดพ้นจากอันตราย จางเซวียนรู้ทันทีว่าโอกาสของเขากำลังเข้ามา


นี่เป็นโอกาสหายากที่จะได้ทดลองขับไล่สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดในร่างของเขาออกไป


ตราบใดที่มันยังคงอยู่ อายุขัยของเขาก็ยังคงนับถอยหลังอย่างต่อเนื่อง ในเมื่อสบโอกาสแล้ว ก็เป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่จะได้ทดลองดูสักหน่อย


จางเซวียนรวบรวมสติสัมปชัญญะอีกครั้ง และปล่อยการระเบิดของพลังจิตวิญญาณเพื่อทำลายเมล็ดไฟที่มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วให้แตกสลายจนเหลือขนาดเท่าเมล็ดงา ด้วยเจตจำนงของเขา เขาค่อยๆดึงเอาเมล็ดไฟที่แตกกระจายแล้วเข้าสู่บริเวณที่สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดอาศัยอยู่


จากนั้น จางเซวียนก็ส่งความร้อนแผดเผาจากเมล็ดไฟผ่านลำแสงสีทองและเข้าสู่จิตวิญญาณต้นกำเนิด


ซรืดดดดด!


ความเจ็บปวดแสนสาหัสจนจับขั้วหัวใจเข้าโจมตีจางเซวียนทันที แต่เขากัดฟันอดทนไว้ ถ้านี่คือความเจ็บปวดที่เขาต้องแบกรับเพื่อรักษาสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิด เขาก็จะต้องอดทนให้ได้


แต่หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง จางเซวียนย่นหน้าผาก “ทำไมมันถึงไม่ได้ผลล่ะ?”


ครั้งหนึ่งปรมาจารย์ขงเคยพูดไว้ว่าเปลวเพลิงสวรรค์จะทำลายสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดได้ แต่เขาก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าพลังแผดเผาจากเมล็ดไฟนั้นดูจะไม่ส่งผลต่อสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนมันไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ!


หรือว่า…ต้องนำเมล็ดไฟทั้งหมดเข้าสู่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเรา? จางเซวียนหรี่ตาด้วยความพรั่นพรึง


เมื่อครู่นี้เขาแค่ส่งผ่านพลังงานแผดเผาจากเปลวเพลิงสีดำเข้าสู่ร่าง ส่วนตัวเปลวเพลิงยังคงถูกสกัดกั้นด้วยลำแสงสีทอง อันที่จริง ทำแบบนี้ก็เหมือนกับการเกาขาข้างหนึ่งด้วยขาอีกข้างที่ยังคงใส่รองเท้า หรือว่านี่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดไม่ได้รับผลกระทบ?


แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็…


เป็นความจริงที่ว่าจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาไม่ได้อ่อนไหวต่อความร้อนมากนัก ไม่เหมือนกับผู้พยากรณ์จิตวิญญาณโดยทั่วไป แต่เปลวเพลิงสีดำนี้ก็ไม่ใช่เปลวเพลิงธรรมดา มันคือเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเปลวเพลิงสวรรค์ทั้งหมด!


หากเขานำบางสิ่งที่สามารถทำลายได้แม้แต่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานเข้าสู่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของตัวเอง ก็มีโอกาสที่เขาจะตายเสียก่อนที่จะได้กำจัดสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิด!


ช่างมันเถอะ! ถึงอย่างไรตอนนี้เราก็เสี่ยงตายอยู่แล้ว…รู้ดีว่าเขาไม่มีทางได้นอนหลับอย่างเป็นสุขตราบใดที่สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดยังอยู่ จางเซวียนจึงใช้เวลาคิดไม่นานก่อนจะตัดสินใจ


เขาขับเคลื่อนศิลปะแห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าอย่างดุเดือดและพยายามรักษาประกายแสงสีทองให้โอบล้อมจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาไว้เพื่อป้องกันเปลวเพลิงสีดำนั้น และในเวลาเดียวกันก็เปิดช่องเอาไว้เล็กน้อยเพื่อนำเมล็ดไฟเข้าสู่จิตวิญญาณต้นกำเนิด


ฉ่าาาาาา!


ราวกับเนื้อสดๆที่ถูกวางไว้บนก้อนถ่านที่กำลังร้อนแดง เกิดเสียงฉี่ฉ่าดังก้องไปทั่ว มันเป็นความเจ็บปวดที่จางเซวียนไม่เคยเผชิญมาก่อน เหมือนมีบางอย่างกำลังกัดกินเขาจากภายใน ทำให้เขาต้องสะเปะสะปะไปโดยควบคุมตัวเองไม่ได้ จางเซวียนรู้สึกว่าสติสัมปชัญญะค่อยๆเลือนหายไปจากร่างของเขา


เขารีบก้มลงมอง และเห็นว่าพื้นที่ที่สัมผัสกับเมล็ดไฟนั้นกลายเป็นรู ในเวลาเดียวกัน พื้นที่ของจิตวิญญาณต้นกำเนิดที่อยู่รอบๆรูนั้นก็ดูจะเสื่อมสลายไปบางส่วน ถ้าเป็นอย่างนี้ ภายในเวลาไม่นาน จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาจะต้องแตกสลายไปจนหมดแน่


แล้วเราควรทำอย่างไร? จางเซวียนหน้าเสียด้วยความหมดหวัง


เขาแค่นำเมล็ดไฟที่มีขนาดเท่าเมล็ดงาเข้ามา ซึ่งมันก็สร้างบาดแผลสาหัสไว้บนจิตวิญญาณกำเนิดของเขาแล้ว หากเขาซึมซับอะไรที่มากกว่านั้น คงต้องมอดไหม้กลายเป็นฝุ่นควันแน่!


จะทำอย่างไรดี?


จางเซวียนกำลังคิดว่าจะผ่านเปลวเพลิงสวรรค์นี้ไปได้และแก้ไขสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดของเขาได้อย่างไร แต่มันก็เป็นเกมที่ยากเย็น ราวกับเปลี่ยนจากโหมดง่ายเข้าสู่โหมดนรกอย่างกะทันหัน


เราไม่มีทางเลือกแล้ว ถ้าเมล็ดไฟที่มีขนาดเท่าเมล็ดงาใช้การไม่ได้ ก็ต้องแบ่งมันให้เล็กลงอีกจนมีขนาดเท่ากับหัวเข็ม! จางเซวียนกำหมัดแน่น


การลดขนาดของเปลวเพลิงสีดำจะลดความเข้มข้นของความร้อนแผดเผาลงได้มาก ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็จะต้องลดขนาดของมันจนถึงระดับที่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาทนทานไหว


เมื่อเกิดความคิดนั้นขึ้น จางเซวียนก็ใช้พลังจิตวิญญาณลดขนาดของเมล็ดเปลวเพลิงสีดำอย่างต่อเนื่อง


ด้วยระดับวรยุทธของเขา แม้เพียงแค่ฝุ่นผง เขาก็มองเห็นมันได้อย่างง่ายดายโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ ด้วยความสามารถในการควบคุมพลังจิตวิญญาณที่จางเซวียนมี เขาจึงปฏิบัติภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้นได้อย่างรวดเร็ว


หลังจากทำการลดขนาดอีก 3 ครั้ง เมล็ดไฟที่มีขนาดเท่าเมล็ดงาก็ถูกลดขนาดลงจนเหลือเท่าหัวเข็ม แม้จะเล็กขนาดนี้ แต่ก็สามารถหลอมละลายทุกสิ่งที่อยู่ในโลกได้


“ซึมซับ!”


จางเซวียนนำเมล็ดไฟที่มีขนาดเท่าหัวเข็มเข้าสู่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาอย่างรวดเร็วและเริ่มซึมซับมัน


เมื่อเห็นเมล็ดไฟ สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดก็ถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว


แต่ก็โชคร้ายที่เมล็ดไฟนั้นเล็กเกินไป ถึงจะทำให้สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดหวาดกลัวได้ แต่เมล็ดไฟก็ไม่อาจสร้างความเสียหายที่รุนแรงพอให้กับมัน


มันได้ผลนี่! เราต้องทำต่อไป!


จางเซวียนนำเมล็ดไฟที่มีขนาดเท่าหัวเข็มเข้าสู่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาอีกครั้ง ทำให้สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดต้องล่าถอยด้วยความพรั่นพรึงอีกรอบ แต่เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน เมล็ดไฟก็สูญสลายไปด้วย


เอ๊ะ? ดูเหมือนจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเราจะแข็งแกร่งขึ้นนะ?


จางเซวียนรู้สึกได้ว่าหลังจากซึมซับเมล็ดไฟเข้าไป 2 ครั้ง พื้นที่ของจิตวิญญาณต้นกำเนิดบริเวณที่เมล็ดไฟซึมซับผ่านนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นมาก ราวกับมันได้รับการบ่มเพาะเป็นพันครั้ง ในเวลาเดียวกัน แสงสีทองที่เจิดจ้าออกมาจากบริเวณนั้นก็ดูจะเจิดจ้ากว่าเดิมด้วย


เปลวเพลิงสวรรค์สามารถบ่มเพาะร่างอันทรงเกียรติได้! จางเซวียนตาโต


ตอนนี้เราปล่อยสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดไว้ก่อนดีกว่า เมื่อเราบ่มเพาะจิตวิญญาณต้นกำเนิดทั้งหมดได้สำเร็จ หมอนั่นก็หนีไปไหนไม่ได้หรอก ต่อให้อยากหนีแค่ไหนก็เถอะ!


จางเซวียนตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น เขากำลังจะนำเมล็ดไฟที่มีขนาดเท่าหัวเข็มเข้าสู่จิตวิญญาณต้นกำเนิดเพื่อบ่มเพาะมัน ก็พอดีกับแหวนเก็บสมบัติที่อยู่กับกายเนื้อของเขาสั่นสะท้านขึ้นมา จากนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้า


มันคือตัวโคลนของจางเซวียน!


ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ตัวโคลนออกมาจากรังนางพญามดโดยไม่บอกไม่กล่าว


“กะอีแค่เปลวเพลิงสวรรค์ คุณก็รับมือไม่ไหวหรือ? ผมทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว…” ตัวโคลนชำเลืองมองจางเซวียนด้วยสายตาเยาะหยัน จากนั้นก็พุ่งขึ้นสู่หมู่เมฆสีดำที่อยู่ด้านบน


ฟิ้วววว!


ราวกับจะตอบโต้การใช้กำลังอย่างปุบปับของตัวโคลน เปลวเพลิงสวรรค์อีกลูกหนึ่งพุ่งลงมาจากกลางอากาศ ตัวโคลนอ้าปากกว้างและกลืนมันเข้าสู่ร่างของเขา


“….”


จางเซวียนถึงกับหน้าตาบิดเบี้ยว

 

 

 


ตอนที่ 1653

 

สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดหนีไป

จางเซวียนแทบปล่อยโฮ ถ้ามีหลุมมีรูให้เขามุดเข้าไปตอนนี้ เขาคงมุดเข้าไปทันทีโดยไม่ลังเล


เขาต้องใช้ทั้งแก่นสารของเวลา มิติ และจิตวิญญาณ แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำได้เพียงแค่ซึมซับเมล็ดไฟที่มีขนาดเท่าหัวเข็มเท่านั้น ซึ่งเขาก็ภูมิใจแล้วที่ตัวเองทำได้ขนาดนี้


แต่ในชั่วพริบตา ตัวโคลนของเขาก็โผล่มาและกลืนลูกไฟทั้งลูกลงไปในคราวเดียว…


แล้วยังสีหน้าท่าทางของหมอนั่นอีก หมอนั่นคิดอะไรกับเขา? กำลังดูถูกเขาอยู่ใช่ไหม?


ไปตายซะ! แกมันก็แค่ตัวโคลน! เข้าใจไหม? แค่ตัวโคลน!


มีส่วนไหนที่ทำให้แกยังไม่เข้าใจว่าแกเป็นตัวโคลน?


เปิดตาดูแล้วสำนึกไว้ด้วยว่าฉันคือร่างต้นแบบ เรามันคนละชั้นกัน รับรู้ไว้เสียด้วย!


จางเซวียนครุ่นคิดด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดยิ่งขึ้นกว่าเดิม


เขาได้ท้าทายหมอนั่นนับตั้งแต่มันปรากฏตัว แต่ดูเหมือนทุกครั้งก็จะลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ยับเยินของตัวเขาเอง ในแง่ของสถานภาพ ก็ดูไม่เหมือนว่าเขาจะมีอะไรที่เหนือชั้นกว่าตัวโคลนที่อยู่ตรงหน้า


ขณะที่จางเซวียนกำลังกล้ำกลืนความระทมลงไป เขาก็เงยหน้าขึ้นมองตัวโคลนด้วยสายตาที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ เป็นครั้งแรกที่จางเซวียนคิดว่ามันก็ไม่เลวร้ายเกินไปนักที่จะได้เห็นตัวโคลนของเขาถูกเปลวเพลิงสีดำนั้นแผดเผาจนตาย


แต่กลับตรงกันข้าม สิ่งที่เขาเห็นก็คือหมอนั่นเรอออกมาอย่างสบายอารมณ์ “อร่อยจัง!”


จากนั้น หมอนั่นก็ดำดิ่งเข้าสู่หมู่เมฆและหายตัวไป


“อะไรกัน?”


เห็นภาพนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ หอกสวรรค์กระดูกมังกรถึงกับชะงักด้วยความมึนงง มันรู้สึกราวกับว่า เรื่องน่าประหลาดใจที่ได้พบในวันนี้ก็มากพอที่จะใช้ไปได้ทั้งชีวิตแล้ว


อันที่จริง การที่นายท่านของมันมีตัวโคลนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญมากมายก็หลอมตัวโคลนของตัวเองขึ้นมา แม้แต่ปรมาจารย์ขงก็มีตัวหนึ่ง…แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้เห็นว่าตัวโคลนร้ายกาจกว่าร่างต้นแบบ!


ที่สำคัญกว่านั้น…นั่นคือเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดที่แม้ตัวมันยังหวาดกลัว แต่ไม่เพียงหมอนั่นจะไม่กลัวเกรงอะไรเลย ยังพุ่งเข้าใส่…เขาไม่กลัวว่าจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านหรือ?


ขณะที่หอกสวรรค์กระดูกมังกรกำลังตกตะลึง ก็เห็นขาคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากหมู่เมฆ และมืออีกข้างหนึ่งก็กำลังโบกไปมาอย่างสบายอารมณ์


บึ้มมมม!


เปลวเพลิงสีดำลูกใหญ่ลามเลียและกระจายตัวไปทั่วร่างนั้น เสียงระเบิดดังสนั่นได้ยินไปทั่ว แต่ก็ดูเหมือนเจ้าของร่างจะไม่ได้พรั่นพรึงเลยสักนิด กลับตรงกันข้าม เขาปล่อยเสียงครางอย่างพึงพอใจ เห็นได้ชัดว่า มีความสุขล้นเหลือกับกระบวนการทั้งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั่น…


“ขะ-เขา…ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?” หอกสวรรค์กระดูกมังกรถึงกับถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว


พูดตามตรง มันเคยลังเลเล็กน้อยว่าการที่มันยอมจำนนให้จางเซวียนนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นอาวุธคู่กายของนักปราชญ์โบราณหรันชิวผู้โด่งดัง บุรุษผู้เป็นตำนานของประวัติศาสตร์! แต่เมื่อได้เห็นความเก่งกาจของตัวโคลนของจางเซวียน หอกสวรรค์กระดูกมังกรพลันรู้สึกว่าความภาคภูมิใจทั้งหมดถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง


ถ้าแม้แต่ตัวโคลนยังไม่ภักดีกับร่างต้นแบบ แล้วตัวมันจำเป็นต้องภักดีหรือ?


เมื่อเกิดความคิดนั้น หอกสวรรค์กระดูกมังกรหันไปมองจางเซวียน และเห็นอีกฝ่ายตัวสั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว


“กลัวที่ไหนล่ะ? ฮึ่มมม!”


ฟิ้วววว!


ยังไม่ทันที่หอกสวรรค์กระดูกมังกรจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นจิตวิญญาณต้นกำเนิดของนายท่านพุ่งขึ้นสู่หมู่เมฆและหายวับไปในชั่วพริบตา


“….”


หอกสวรรค์กระดูกมังกรแทบคลั่ง


เหตุผลที่ตัวโคลนของนายท่านกล้าพุ่งเข้าใส่หมู่เมฆก็เพราะมันถูกหลอมขึ้นจากวัสดุที่แข็งแกร่ง แต่สำหรับนายท่านของมัน…เขาคิดอะไรถึงปล่อยให้จิตวิญญาณต้นกำเนิดพุ่งเข้าไปแบบนั้น


อยากตายมากนักหรือ?


ถ้าเขาตาย…เราควรจะยอมรับตัวโคลนของเขาเป็นเจ้านายแทนหรือเปล่า? หอกสวรรค์กระดูกมังกรคิดอย่างเคร่งเครียดขณะที่เริ่มวางแผนการในอนาคต


…..


จางเซวียนจะทนได้อย่างไรเมื่อเจอสายตาดูถูกเหยียดหยามของตัวโคลน?


เขาจึงพุ่งขึ้นสู่หมู่เมฆโดยไม่ลังเล


ฟิ้วววว!


ยังไม่ทันที่เขาจะรู้ตัว ลูกไฟมากมายนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าหาเขา


ตัวโคลนมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าเรามาก เพราะมันหลอมขึ้นจากบัวเก้าหัวใจ แต่ในแง่ของจิตวิญญาณ มันก็พอๆกันกับเรานี่แหละ ในเมื่อมันต้านทานเปลวเพลิงสีดำได้ เราก็ควรทำได้เหมือนกัน…


อาจจะดูเป็นการตัดสินใจปุบปับที่จางเซวียนพุ่งเข้าใส่หมู่เมฆแบบนั้น แต่จะเรียกว่าหุนหันพลันแล่นก็ไม่ใช่เสียทีเดียว


จางเซวียนคิดคำนวณความเสี่ยงและตัดสินใจแล้วว่าพอมีทางเป็นไปได้


หลังจากที่เขาสำเร็จศิลปะแห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าในระดับหนึ่งที่น่าพอใจแล้ว ศิลปะนั้นก็ถูกถ่ายทอดให้กับตัวโคลนเมื่อเขาเข้าสู่รังนางพญามด และขณะที่เขากำลังฝึกฝนวรยุทธของจิตวิญญาณ ตัวโคลนก็ทำแบบเดียวกัน พูดอีกอย่างก็คือตัวโคลนได้ฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นร่างทรงเกียรติแล้วเหมือนกันกับจางเซวียน


และในเมื่อตัวโคลนต้านทานเปลวเพลิงสีดำได้ ทำไมเขาจะทำไม่ได้?


จางเซวียนจะไม่ยอมพลาดเหตุการณ์สำคัญแบบนี้เป็นอันขาด


ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงเริ่มส่องตัวโคลนของเขาที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก หมอนั่นถูกล้อมรอบด้วยเปลวเพลิงสีดำ ประเดี๋ยวหนึ่งก็ยืดหลัง เดี๋ยวก็โน้มตัวมาข้างหน้า เดี๋ยวก็นอนยืดอย่างสบายใจ ราวกับกำลังรื่นรมย์กับการใช้ชีวิตในวันหยุด


เปลวเพลิงสีดำสนิทยังคงแผดเผาทั่วทั้งร่างของเขา ไม่ช้าร่างนั้นก็เริ่มเรืองแสงสีทองออกมา จิตวิญญาณต้นกำเนิดของตัวโคลนแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก


เราเข้าใจแล้ว! จางเซวียนตาโตขณะที่นึกบางอย่างได้


หอกสวรรค์กระดูกมังกรพูดไว้ว่าการทดสอบร่างอันทรงเกียรติแบ่งออกเป็นการทดสอบแผดเผาวิญญาณ การทดสอบแผดเผาจิต และการทดสอบแผดเผาหัวใจ…เราคิดมาตลอดว่าการทดสอบแผดเผาวิญญาณคือด่านแรก และที่เหลือก็จะตามมา นั่นอาจเป็นความจริงสำหรับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์โดยทั่วไป แต่กับเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดนั้น ทั้ง 3 ด่านจะเกิดขึ้นพร้อมกัน!


ความร้อนของเปลวเพลิงสีดำนั้นอยู่ในจุดที่เรียกว่าแทบจะต้านทานไม่ไหว แต่สำหรับเรา ก็ไม่ถึงขั้นที่จะเรียกว่ารับไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรเราก็ได้ฝึกฝนวรยุทธของจิตวิญญาณด้วยศิลปะแห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า และจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเราก็ได้รับการบ่มเพาะจากการทดสอบสายฟ้ามาแล้วหลายครั้ง ในแง่ของความแข็งแกร่ง จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเราเทียบชั้นได้กับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว…


แต่เราก็กลับหวาดกลัวเปลวเพลิงสีดำ ใช้ทุกวิถีทางเพื่อจะหลีกเลี่ยงการซึมซับมัน…นี่คงเป็นการทดสอบความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นของเรา!


ตัวโคลนพุ่งเข้าใส่เปลวเพลิงสีดำโดยไม่ลังเลเพราะมันมั่นใจในความแข็งแกร่งของกายเนื้อของตัวเอง ประกอบกับในหัวใจของมันก็ปราศจากความหวาดกลัว อานุภาพของเปลวเพลิงสีดำจึงลดลงมาก สิ่งนี้ก็เหมือนกับการเดินทางในความมืด มันอาจเป็นประสบการณ์ที่น่าพรั่นพรึง สำหรับผู้ที่มีความกลัวอยู่ในหัวใจ พวกเขาจะคอยตรวจสอบบริเวณโดยรอบอยู่ตลอด เกรงว่าจะมีใครเข้ามาทำร้าย แต่หากมุ่งหน้าไปด้วยใจที่เปิดกว้าง ยามค่ำคืนก็จะไม่ใช่สิ่งที่น่าพรั่นพรึงสำหรับผู้นั้นอีกต่อไป…


เมื่อจางเซวียนคิดได้ เขาก็เปิดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกกว้างเพื่อรับลูกไฟสีดำสนิทที่กำลังพุ่งเข้ามา ในเวลาเดียวกัน เขาก็ทำลายลำแสงสีทองที่โอบล้อมจิตวิญญาณต้นกำเนิดไว้ ปลดปล่อยตัวเองให้พร้อมรับเปลวเพลิงสีดำ ประหนึ่งยอมพลีชีพ


ซรืดดดดด!


เปลวเพลิงเริ่มแผดเผาจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา แต่ด้วยสภาวะจิตที่สงบและสุขุม มันจึงไม่สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสแบบเดิม กลับตรงกันข้าม ด้วยการบ่มเพาะจากเปลวเพลิง จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว


เป็นอย่างที่เราคิดไว้เลย! เมื่อเห็นว่าได้ผล จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


เปลวเพลิงสวรรค์เป็นพลังอันลึกลับของธรรมชาติ มันไม่เพียงแต่แผดเผาร่างกาย แต่ยังแผดเผาจิตวิญญาณและสภาวะจิตด้วย


ยิ่งเขาหวาดกลัวมันมากเท่าไหร่ อานุภาพของมันก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น นั่นเป็นเพราะเป้าหมายของเปลวเพลิงไม่ได้อยู่ที่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นสติสัมปชัญญะและจิตใจด้วย


ความหวาดกลัวทำให้คนๆหนึ่งอ่อนแอ ง่ายต่อการที่จะปลูกฝังความคิดและความเข้าใจที่ผิดๆให้ สำหรับนักรบในระดับของจางเซวียน ความคิดไม่ได้เป็นเพียงแค่ความคิดอีกต่อไป


ดังนั้น เมื่อเขาละวางความกลัวทั้งหมดและพร้อมอ้าแขนรับเปลวเพลิงสีดำนั้น อานุภาพของเปลวเพลิงก็กลับลดลงมาก


แต่ถึงความร้อนแผดเผาของมันจะลดลงมาก จางเซวียนก็ยังคงรู้สึกได้ถึงการโจมตีและความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา ทำให้เขารู้สึกเหมือนจะถูกฉีกเป็นชิ้นได้ทุกขณะ


ตอนนี้เราควรเพ่งสมาธิกับการบ่มเพาะจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเราเสียก่อน…


ถึงจะรู้สึกเจ็บปวด แต่จางเซวียนก็เปิดจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาออกกว้างและซึมซับเปลวเพลิงที่ลามเลียอยู่โดยรอบอย่างดุเดือด


บึ้มมมม!


เปลวเพลิงสีดำพุ่งเข้าโอบล้อมจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา ด้วยความร้อนอันน่าทึ่งที่แผ่ออกมา จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีทอง และแสงที่เรืองออกมานั้นก็เจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเขากำลังจะกลายร่างเป็นพระพุทธเจ้าที่ยังมีชีวิต


ขอดูหน่อยเถอะว่าเราจะกำจัดสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดได้หรือไม่!


หลังจากที่รู้สึกว่าจิตวิญญาณต้นกำเนิดของตัวเองเริ่มจะคุ้นชินกับความร้อนของเปลวเพลิงสีดำแล้ว จางเซวียนก็เคลื่อนเปลวเพลิงสีดำนั้นเขาใส่สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิด


ราวกับเผชิญหน้ากับบางอย่างที่น่าพรั่นพรึง สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว


จางเซวียนตาโตขณะขับเคลื่อนเปลวเพลิงสีดำเข้าใส่สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดต่อไปเพื่อต้อนให้มันจนมุม


ฟิ้วววว!


สุดท้าย สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดก็ทนไม่ไหวและพุ่งออกจากจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา มันหลบหนีไปโดยแปรสภาพตัวเองเป็นควันสีดำก่อนจะหายวับไปกับตา


สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง ไม่อย่างนั้นมันคงไม่อาจหนีรอดจากการโจมตีของพลังปราณเทียบฟ้าได้


“ในที่สุด!” เมื่อเห็นว่าสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดหลบหนีไปแล้ว จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


สิ่งนี้เป็นระเบิดเวลาสำหรับเขาตลอดมา ตั้งแต่เขาค้นพบว่ามีมันอยู่ ก็ต้องมีชีวิตด้วยความหวาดกลัวว่าตัวเองจะตายได้ทุกขณะ และมันคือแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เขาไม่หยุดยั้งการฝึกฝนวรยุทธ


แต่วันนี้ เขาเป็นอิสระจากมันแล้ว!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)