Library Of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร 1648-1649

 ตอนที่1648

 

ทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวน

เผ่าพันธุ์ปีศาจผู้เชี่ยวชาญตัวนั้นสามารถทำให้ปรมาจารย์ขงจนมุมได้ถึงขั้นที่อีกฝ่ายไม่มีทางเลือก นอกจากต้องสังเวยอาชีพทั้งอาชีพเพื่อแฝงตัวเข้าไปเป็นสายลับในกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ในเมื่อเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นจะต้องทรงพลังขนาดไหน?


ประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันน่าจะเหนือชั้นกว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจทั่วๆไป


เจียงฟังโหย่วไม่คิดว่าจางเซวียนจะตั้งคำถามแบบนี้ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตอบช้าๆ “ชื่อของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นผู้เชี่ยวชาญตัวนั้นหายสาบสูญไปในประวัติศาสตร์ ทั้งหมดที่เรารู้ก็คือมันมีพละกำลังที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานและเห็นชีวิตของคนอื่นไม่ต่างอะไรกับผงธุลี มันโหดร้าย และหากอารมณ์เสียขึ้นมาก็สามารถสังหารได้แม้กระทั่งเผ่าพันธุ์ของตัวเอง…”


“ด้วยเหตุนี้ ทั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจและมวลมนุษย์จึงเลือกที่จะเรียกมันว่า…ไอ้โหด!”


“ไอ้โหด?” จางเซวียนถึงกับอึ้ง


นึกแล้วเชียว!


ตอนที่เขาได้รู้ว่าปรมาจารย์ขงถูกกักขังไว้ที่เฉินข่าย ก็คาดเดาไว้แล้วว่าน่าจะเป็นฝีมือของใคร แต่ก็ยังอดตะลึงไม่ได้เมื่อรู้คำตอบ


ไม่น่าเชื่อว่าไอ้โหดน้อยที่เขาขังมันไว้ในหนังสือเทียบฟ้า ครั้งหนึ่งเคยเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ไร้เทียมทานถึงขนาดทำให้ปรมาจารย์ขงจนมุมได้!


เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณต้องยอมสังเวยด้วยชื่อเสียงที่ด่างพร้อยจนถึงทุกวันนี้เพื่อสังหารมัน…


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ไอ้โหดมีความโหดเหี้ยมร้ายกาจตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาพบมัน เรื่องจริงก็คือมันมีพละกำลังที่สมกับความโอหังของตัวเองในยุคสมัยอันรุ่งเรืองนั้น


“ใช่ ตามข่าวที่ผู้ก่อตั้งตระกูลเจียงของเราได้รับจากประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ปรมาจารย์ขงได้วางแผนไว้ล่วงหน้าหลังจากที่รู้การเคลื่อนไหวของไอ้โหด และเตรียมการที่จะซุ่มโจมตีมัน การต่อสู้ในครั้งนั้นถือเป็นมหากาพย์ แม้แต่ท้องฟ้าและพื้นดินก็ถึงกับแยกออกจากกันเพราะพละกำลังอันน่าทึ่งของพวกเขา ลงท้ายไอ้โหดก็ถูกปรมาจารย์ขงเล่นงานจนถึงขั้นที่แม้แต่ศพของมันก็ยังไม่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้” เจียงฟังโหย่วพูด


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนเงียบกริบ


เป็นความจริงที่ว่าศพของไอ้โหดถูกแยกส่วนเป็นชิ้นนับไม่ถ้วน เพราะตัวเขามีชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายของไอ้โหดอยู่หลายชิ้น จึงรู้ดีกว่าใคร แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องราวล้ำลึกมากมายอยู่เบื้องหลังแบบนี้


การเอาชนะไอ้โหดต้องลงเอยด้วยการสังเวยชีวิตไปมากมาย


“เท่าที่ดูจากความเชื่อถือที่คุณมีให้ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ผมคิดว่าก็ยังคงเป็นปริศนาว่าแม้แต่สภาปรมาจารย์จะรู้เรื่องดังกล่าวหรือไม่ แล้วคุณแน่ใจได้อย่างไรว่าข้อมูลที่คุณได้มาจะไม่ได้ถูกบิดเบือนตามระยะเวลาที่ล่วงเลยไป?” จางเซวียนตั้งคำถาม


เรื่องนี้ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด ถึงขั้นที่แม้กระทั่งสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ยังไม่รู้ พูดอีกอย่างก็คือตระกูลเจียงน่าจะเป็นกลุ่มอำนาจเดียวที่เก็บข้อมูลดังกล่าวไว้


เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะยังคงเป็นความลับ ตระกูลเจียงคงไม่โง่เง่าพอที่จะทำสำเนาเพื่อเก็บรายละเอียดของข้อมูลไว้ เพราะนั่นจะกลายเป็นหลักฐานชั้นดีให้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น และนั่นก็คงเป็นเหตุผลที่ทำให้จางเซวียนยังคงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นแม้จะอ่านหนังสือทั้งหมดที่มีอยู่ในคลังหนังสือของตระกูลเจียงแล้ว


ดังนั้น โอกาสที่เรื่องนี้จะถูกถ่ายทอดในตระกูลเจียงจากรุ่นสู่รุ่นก็คือการบอกเล่าเท่านั้น แล้วการบอกเล่าต่อๆกันมาเป็นระยะเวลาหลายหมื่นปีจะเชื่อถือได้หรือไม่? มีโอกาสที่ในแต่ละปีข้อมูลจะถูกบิดเบือน ลงท้ายเรื่องราวต่างๆก็อาจถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตัวเอง


“มันถูกบันทึกไว้ในฉนวนแห่งจิตวิญญาณ โดยปรมาจารย์ขงเป็นผู้บันทึกเอง” เจียงฟังโหย่วตอบ “เพียงแค่หัวหน้าตระกูลเจียงนำตราสัญลักษณ์ไปแตะที่ฉนวนแห่งจิตวิญญาณ เขาก็จะได้รับข้อมูลเรื่องประวัติศาสตร์ของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณผ่านทางโทรจิต ด้วยระบบการถ่ายทอดข้อมูลแบบนี้ สมาชิกตระกูลเจียงของเราจึงจดจำการเสียสละของเหล่าบรรพบุรุษได้แม้เวลาจะล่วงเลยมาแล้วกว่าหลายหมื่นปี”


“ผมเข้าใจแล้ว” จางเซวียนพยักหน้ารับ


ดูเหมือนปรมาจารย์ขงจะได้คิดเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแล้วและเตรียมการป้องกันไว้ เพื่อที่เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจะได้ไม่ตกต่ำไปตามระยะเวลาของประวัติศาสตร์


ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณได้เสียสละตัวเองเพื่อมวลมนุษย์และเพื่อผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า หากทายาทของพวกเขาต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความอับอายในตัวบรรพบุรุษและไม่ล่วงรู้ถึงความจริง ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจะทุกข์ระทมสักแค่ไหน?


แต่หากเรื่องนี้ถูกบันทึกไว้บนแผ่นกระดาษ ก็มีความเสี่ยงที่ข้อมูลจะรั่วไหล ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้ข้อมูลไปด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่แฝงตัวเข้าไปในเผ่าพันธุ์ปีศาจได้สำเร็จก็จะต้องเผชิญกับโชคชะตาอันน่าสังเวช


เรื่องนี้เป็นความย้อนแย้งอย่างมาก การเสียสละของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไม่ควรถูกเก็บไว้เป็นความลับ แต่การบันทึกเรื่องนี้ไว้ก็จะทำให้การเสียสละของพวกเขาต้องสูญเปล่า ดูเหมือนปรมาจารย์ขงจะคิดเรื่องนี้เช่นกัน เขาจึงทำได้เพียงแค่เลือกที่จะเก็บข้อมูลไว้ในฉนวนแห่งจิตวิญญาณและส่งต่อมันให้กับทายาทของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจากรุ่นสู่รุ่น


ปรมาจารย์ขงคงจะมีความหวังว่าสักวันเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นน่าจะถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น และเมื่อถึงวันนั้น เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณก็จะได้พ้นมลทินที่ทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาต้องด่างพร้อย


“ตระกูลเจียงเป็นผู้สืบเชื้อสายของประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ สายเลือดของเขาไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของพวกเรา ดังนั้น หากใครสักคนสามารถควบคุมฉนวนแห่งจิตวิญญาณได้ ก็จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานสมาคมคนใหม่ และสมาชิกทุกคนของตระกูลเจียงก็พร้อมจะทำตามคำสั่งของเขาโดยปราศจากเงื่อนไข” เจียงฟังโหย่วอธิบาย


จางเซวียนคิดหนักเมื่อได้ยินคำนั้น


ในเวลาเดียวกัน ผู้อาวุโสจำนวนมากของตระกูลเจียงต่างก็ก้มศีรษะอย่างครุ่นคิด


พวกเขารู้ว่าสายเลือดตระกูลเจียงมีต้นกำเนิดมาจากผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ แต่ก็ไม่แน่ใจในรายละเอียดเท่าไรนัก จนเมื่อได้ยินเจียงฟังโหย่วเปิดเผยทุกอย่างจนหมดเปลือก คำถามที่ค้างคาอยู่ในใจพวกเขามานานหลายปีก็ได้รับคำตอบ


“ไม่น่าเชื่อเลยว่าแท้ที่จริงบรรพบุรุษของพวกเราเป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ…” เจียงเฟยเฟยก็อัศจรรย์ใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน


ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอภาคภูมิใจในตัวเองในฐานะปรมาจารย์คนหนึ่ง และมีความจงเกลียดจงชังอย่างล้ำลึกต่อผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ เธอมองว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนชั่วร้ายที่ไม่ควรจะได้รับโอกาสให้มีชีวิตอยู่


แต่เมื่อได้รู้ว่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณเคยเสียสละมากแค่ไหนให้กับมวลมนุษย์ ก็รู้แล้วว่ามุมมองที่เธอมีต่อพวกเขาตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นผิดพลาดไปหมด


หากไม่มีเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นก็คงยังเป็นกลุ่มอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปแห่งปรมาจารย์ และมวลมนุษย์ก็คงมีชีวิตอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย


“ปรมาจารย์จางได้สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณและครอบครองฉนวนแห่งจิตวิญญาณได้สำเร็จ ไม่ว่าจะมองจากมุมมองของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณหรือตระกูลเจียง ผมก็เชื่อว่าคงไม่มีข้อสงสัยว่าไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าตระกูลของเรายิ่งกว่าเขาอีกแล้ว!” เจียงฟังโหย่วมองเหล่าผู้อาวุโสและประกาศ


“ถูกต้อง ข้อเท็จจริงที่ว่าปรมาจารย์จางสำเร็จความเข้าใจทั้งแก่นสารของเวลา มิติ และจิตวิญญาณ แถมยังสร้างวีรกรรมอันน่าทึ่งแม้แต่กับสภาปรมาจารย์ เขาน่าจะสามารถชำระมลทินให้กับชื่อเสียงของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ และทำให้พวกเขาก้าวขึ้นมายืนอย่างสง่าผ่าเผยได้อีกครั้งโดยไม่ต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของใคร”


“ในฐานะทายาทของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ นี่คือสิ่งที่พวกเรารอคอยมาชั่วชีวิต”


“ปรมาจารย์จาง ได้โปรดนำพาพวกเราไปสู่อนาคตที่รุ่งเรืองกว่าเดิมด้วยเถอะ!”


…..


เหล่าผู้อาวุโสต่างลุกขึ้นยืนและประสานมือด้วยความเคารพ


ตระกูลเจียงคือสายเลือด แต่สมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณนั้นไม่ใช่


การที่จางเซวียนครอบครองฉนวนแห่งจิตวิญญาณได้ ก็หมายความว่าเขาได้การยอมรับโดยชอบธรรมว่าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ และเขาก็เป็นเพียงคนเดียวที่ทำสิ่งนี้ได้สำเร็จตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา


ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณถูกเข้าใจผิดมานานแล้ว ในฐานะทายาทของพวกเขา เหล่าสมาชิกตระกูลเจียงไม่อยากเห็นสถานการณ์แบบนี้ดำเนินต่อไป ต่อให้บรรพบุรุษของพวกเขาไม่ได้รับการยกย่องจากการเสียสละอย่างวีรบุรุษในครั้งนั้น แต่ก็ไม่ควรจะต้องแบกรับความจงเกลียดจงชังของทั้งโลกไว้อย่างทุกวันนี้!


“เอ่อ…” จางเซวียนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ผมเต็มใจที่จะเป็นหัวหน้าตระกูลเจียง แต่ก่อนจะถึงตรงนั้น หัวหน้าเจียงฟังโหย่ว, ผมมีข้อสงสัยที่หวังว่าคุณจะให้คำตอบได้”


“เชิญพูดมาเลย” เจียงฟังโหย่วตอบ


“ตอนที่ผมเพิ่งมาถึงตระกูลเจียง ผมบังเอิญเห็นคุณพูดคุยกับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนหนึ่ง บอกคุณตามตรงเลยนะ ผมเคยพบชายหนุ่มคนนั้นมาก่อน เราเคยปะทะกันสองครั้ง ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เขาน่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ!” จางเซวียนพูดก่อนจะส่งสายตาทะลุทะลวงใส่เจียงฟังโหย่ว


ถ้าทุกอย่างที่เจียงฟังโหย่วพูดมาเป็นเรื่องจริง ถ้าเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณได้เสียสละอย่างมากเพื่อมวลมนุษย์ ก็ดูไม่สมเหตุสมผลเลยที่ทายาทของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจะทรยศมวลมนุษย์และทำในสิ่งที่ขัดกับเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษของพวกเขา


แต่…ไม่ว่าจางเซวียนจะมองอย่างไร ก็ไม่อาจให้เหตุผลกับความสัมพันธ์ที่ดูจะสนิทสนมระหว่างเจียงฟังโหย่วกับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้นได้


“ชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาด?” เจียงฟังโหย่วชะงัก เขาครุ่นคิดก่อนจะตั้งคำถาม “คุณหมายถึงเหยียนเฉว่หรือ?”


“เหยียนเฉว่?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“ใช่แล้ว นั่นคือชื่อของชายหนุ่มที่มาพบผมก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น แต่เป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ เขาสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 4 ชั่วกัลปาวสาน-โลกจารึกแล้ว ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังแม้แต่ในสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ อันที่จริง พูดได้เลยว่าชื่อของเขาคงถูกจารึกไว้แม้กระทั่งบนสวรรค์” เจียงฟังโหย่วอธิบาย


“นักปราชญ์โบราณจื่อหยวน…คุณหมายถึงศิษย์สายตรงคนแรกของปรมาจารย์ขง, นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนน่ะหรือ?” จางเซวียนอึ้งด้วยความประหลาดใจ “จะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร?ผมเห็นเขาร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นมากับตา!”


จางเซวียนงงมากกับสิ่งที่ได้ยิน


ครั้งแรกที่เขาพบชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้นก็คือที่ภูเขาห้วยขาว ขณะที่กำลังปะทะกันเพื่อแย่งชิงเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน ชายหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มของ 4 คนนั้นได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงว่าเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


ส่วนครั้งที่สองที่ทั้งคู่พบกันคือที่สมาคมผู้หยั่งรู้ของเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยว ในตอนนั้น ไม่เพียงแต่จะมีนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่จำนวนหนึ่ง จางเซวียนยังถึงกับปะทะกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่เป็นนักปราชญ์โบราณด้วย


ถ้าชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้นเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนจริงๆ ทำไมถึงไปเข้าร่วมกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากขนาดนั้น? ที่สำคัญ เขายังช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ปีศาจในการฉกฉวยเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานด้วย!


“เขามาหาผมเพื่อปรึกษาเรื่องที่จะสร้างสายสัมพันธ์กับเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจ ผมเป็นเพียงผู้ส่งข่าวเท่านั้น จึงไม่แน่ใจในเจตนาที่แท้จริงของเขา แต่พวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็ไม่เคยเปิดเผยการกระทำของตัวเองให้ใครรู้อยู่แล้ว” เจียงฟังโหย่วพูด

 

 

 


ตอนที่ 1649

 

รับเจียงเฟยเฟยเป็นศิษย์

“เขาพยายามจะสร้างความสัมพันธ์กับเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจหรือ?” จางเซวียนออกจะสับสนเล็กน้อย


ถ้าเหยียนเฉว่คนนั้นเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนจริงๆ การแปรพักตร์ของสมาคมผู้หยั่งรู้ก็อาจจะไม่ใช่การแปรพักตร์อย่างที่เห็น ทำนองเดียวกันกับการทรยศของสภาปรมาจารย์ แต่ก็นั่นแหละ มันยังดูไม่สมเหตุสมผลอยู่ดีที่ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


อีกอย่าง กลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็เป็นทายาทสายตรงของศิษย์สายตรงทั้ง 72 คนของปรมาจารย์ขง จึงไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะทรยศมวลมนุษย์ได้ หรือต่อให้พวกเขาทรยศจริง เผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนั้นจะยอมไว้ใจหรือ?


ที่สมาคมผู้หยั่งรู้แห่งเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยว พวกเขาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณ เรื่องนี้ถือว่าเหลือเชื่อสุดๆ


ไม่ว่าจางเซวียนจะพิจารณาอย่างไร ก็ไม่อาจทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้ หลังจากตั้งคำถามอีกเล็กน้อย ก็พบว่าเจียงฟังโหย่วไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้น ความรับผิดชอบของเขามีเพียงแค่การสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เท่านั้น


“บรรพบุรุษของเราได้เสียสละมากมายเพื่อมวลมนุษย์ ในฐานะทายาท เราจะบ่อนทำลายความเป็นวีรบุรุษของพวกเขาหรือ? อีกอย่าง ตระกูลเจียงของเราก็ก่อตั้งขึ้นบนความตายของบรรพบุรุษมากมายนับไม่ถ้วนในอาณาจักรใต้ดินตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา พวกเราคงไม่คู่ควรกับการเป็นมนุษย์แล้วล่ะหากทรยศต่อการเสียสละนั้นและไปเข้าร่วมกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!” เมื่อรู้สึกได้ว่าจางเซวียนกำลังสงสัยพวกเขา เจียงฟังโหย่วลุกขึ้นยืนประสานมือและประกาศด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก


“ผมขออภัยในความหุนหันพลันแล่นของผมด้วย ผมไม่ควรด่วนสรุปแบบนั้น” จางเซวียนรีบลุกขึ้นยืนและกล่าวตอบ


ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณได้เสียสละมากมายเพื่อมวลมนุษย์ แต่เขากลับแคลงใจในความภักดีของผู้สืบทอด จะบอกว่าเขาเสียใจกับการกระทำของตัวเองก็ไม่ใช่ เพราะเขาคงจะสงสัยอีกหากมีความจำเป็นต้องทำแบบนั้น เมื่อมีชะตากรรมของมนุษย์เป็นเดิมพัน การปลอดภัยไว้ก่อนย่อมดีกว่าเสียใจภายหลัง แต่ในเมื่อพิสูจน์ได้แล้วว่าเขาทำผิดพลาด ก็ควรจะกล่าวคำขอโทษอย่างจริงใจ


“ด้วยชื่อเสียงด่างพร้อยและมลทินของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่มีต่อโลกใบนี้ ผมไม่แปลกใจหรอกที่คุณจะด่วนสรุปอย่างนั้น…” เจียงฟังโหย่วนัยน์ตาเบิกโพลงขึ้นอย่างกะทันหันขณะถามต่อ “นั่นคือเหตุผลที่คุณยกเค้าขุมสมบัติของพวกเราหรือเปล่า? คุณคิดว่าพวกเราร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจใช่ไหม?”


“ผม…เกรงว่าจะเป็นอย่างนั้น” จางเซวียนหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย


ได้ฟังคำตอบ เจียงฟังโหย่วถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดว่า “เอาเถอะ อย่างน้อยผมก็เข้าใจว่าทำไมคุณถึงทำแบบนั้น ถ้าพวกเราร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจริงๆล่ะก็ คงจะโง่เง่าเต็มทีที่ปล่อยทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไว้ให้พวกเราใช้”


ทรัพย์สมบัตินั้นควรจะมีอยู่เมื่อโลกมีสันติสุข หากชีวิตของมวลมนุษย์แขวนอยู่บนเส้นด้าย ก็คงโง่เง่าเต็มทีหากจะมัวทำตัวสุภาพและมีมารยาทกับศัตรูของตัวเอง


ถ้ามีกลุ่มอำนาจไหนในโลกที่ทรยศมวลมนุษย์เพื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจริงๆ การปล้นทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพวกเขาไปก็ถือเป็นการกระทำที่ยุติธรรมดี


“ผมจะคืนทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้พวกคุณนะ” จางเซวียนรีบตอบ


เมื่อรู้แล้วว่าตระกูลเจียงไม่ได้ทรยศมวลมนุษย์ และถึงกับเสียสละมากมายเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้ ต่อให้จางเซวียนจะหน้าด้านหน้าทนแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่เขาจะบังอาจฉกฉวยเอาทรัพย์สมบัติเหล่านี้มาเป็นของตัวเอง


ส่วนเจียงฟังโหย่ว เมื่อเห็นสีหน้าของจางเซวียน ก็อดหัวเราะหึๆไม่ได้


ถึงการกระทำของจางเซวียนจะดูขัดหลักการไปบ้าง แต่เขาก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นการเดินหมากที่มีประสิทธิภาพ ถ้าตระกูลเจียงทรยศมวลมนุษย์จริงๆ สิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างใหญ่หลวง


หลังจากพูดจากันเข้าใจแล้ว เรื่องอื่นๆที่เหลือก็ไม่ยุ่งยาก


จางเซวียนตอบรับที่จะรักษาการณ์ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเจียงไปก่อน จนกว่าเรื่องราวเกี่ยวกับผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจะได้รับการแก้ไข จะไม่มีการเปิดเผยว่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมีความสัมพันธ์ใดๆกับตระกูลเจียง และหลังจากนั้น เขาตั้งใจว่าจะให้ลู่ชงมารับตำแหน่งแทน


ในเมื่อลูกศิษย์ของเขาพบอาณาจักรโบร่ำโบราณของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณและได้รับมรดกตกทอดของพวกเขามาด้วย ก็น่าจะเป็นผู้นำที่ดีได้ในอนาคต


พูดถึงอาณาจักรโบร่ำโบราณของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ เรื่องจริงก็คือจางเซวียนมีข้อสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับมันมาเป็นเวลานานแล้ว


ในเมื่อสภาปรมาจารย์ทุ่มเททุกวิถีทางเพื่อกำจัดผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ แล้วทำไมพวกเขาถึงละเว้นอาณาจักรโบร่ำโบราณของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไว้? เท่าที่เห็น ดูเหมือนปรมาจารย์ขงจะช่วยปกปิดอาณาจักรดังกล่าวไว้เพื่อรักษาสายเลือดและมรดกตกทอดของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไม่ให้ขาดสะบั้น


ไม่อย่างนั้น ด้วยอำนาจของสภาปรมาจารย์ มันน่าจะถูกถอนรากถอนโคนและถูกทำลายจนสิ้นซากไปเนิ่นนานแล้ว


กว่าพิธีสถาปนาจะเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงเข้าดึกดื่น


จางเซวียนรีบคืนทรัพย์สมบัติทั้งหมดกลับสู่ขุมสมบัติตระกูลเจียง ยกเว้นข้าวของไม่กี่ชิ้นที่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้น จากนั้นเขาก็เรียกเจียงเฟยเฟยมาและยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้


“สิ่งที่บันทึกอยู่ในนี้คือความเข้าใจของผมที่มีต่อแก่นสารของจิตวิญญาณ ขอแค่คุณฝึกฝนวรยุทธตามนี้ คุณก็จะสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาและเสียแรงไปกับอักษรหยกของตระกูลเจียงอีก” จางเซวียนพูด


“ความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งจิตวิญญาณของคุณ?” เจียงเฟยเฟยพลิกดูหนังสืออย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก


แต่เมื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย เธอก็ตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ


เพราะจิตวิญญาณนั้นปราศจากรูปแบบและจับต้องไม่ได้ การฝึกฝนวรยุทธของจิตวิญญาณจึงยากกว่ากันมากหากเปรียบเทียบกับการฝึกฝนวรยุทธของกายเนื้อ แม้เธอจะมีความถนัดในศิลปะแห่งจิตวิญญาณ แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณได้ อันที่จริง เธอรู้สึกว่าต่อให้ทุ่มเทเวลาทั้งชีวิต โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็ยังมีน้อยเต็มที


แต่หนังสือที่หัวหน้าตระกูลคนใหม่เพิ่งมอบให้เธอนั้นบรรจุเอาแก่นสารของวรยุทธของจิตวิญญาณไว้ มันไม่ได้ซับซ้อนเกินความจำเป็น และมีโครงสร้างที่ช่วยเสริมรากฐานความเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณของเธอก่อนจะนำไปสู่ความรู้ในระดับที่ยากขึ้น…ด้วยหนังสือเล่มนี้ เธอมั่นใจว่าจะสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณได้ภายในเวลา 1 เดือนหากฝึกฝนอย่างหนัก!


ใครๆก็รู้ว่านี่เป็นภารกิจที่บรรพบุรุษมากมายนับไม่ถ้วนได้พยายาม แต่ก็คว้าน้ำเหลว


“นะ-นี่…มันล้ำค่าเกินไป!” เจียงเฟยเฟยอุทานด้วยมือที่สั่นเทา เธอกัดริมฝีปาก ดูเหมือนกำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญบางอย่างก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาจางเซวียน “ฉันจะตอบแทนคุณสำหรับหนังสือล้ำค่าเล่มนี้อย่างไรดี…หากคุณต้องการ ฉันตกลงหมั้นหมายกับคุณก็ได้นะ…”


เธอยังคงไม่ชอบหน้าชายหนุ่มคนนี้ แต่รู้ดีว่าเขามีความสำคัญต่อตระกูลเจียงแค่ไหน คงเป็นเรื่องดีมากหากเขาได้ผูกพันกับตระกูลเจียง แม้จะเป็นเพียงการแต่งงานอย่างเป็นพิธีก็ตาม


อย่างมากที่สุด เธอก็แค่ยอมเสียสละตัวเองเพื่อการนี้


ถึงชายหนุ่มจะบอกไว้ว่าเขามีคนรักแล้ว ในกรณีเลวร้ายที่สุด เธอก็คงเป็นนางบำเรอของเขา


ด้วยรูปร่างหน้าตาและสถานภาพของเธอ เธอเชื่อว่าไม่น่าจะมีเหตุผลใดที่จะทำให้ชายหนุ่มปฏิเสธ


“หมั้นหมาย? คุณคิดมากไปแล้วล่ะ ถึงหนังสือที่ผมเพิ่งถ่ายทอดให้คุณจะดูง่าย แต่ก็มีโอกาสสูงที่วรยุทธของคุณจะถูกธาตุไฟเข้าแทรกหากคุณฝึกฝนโดยปราศจากคำชี้แนะของผม!” ได้ยินคำนั้น จางเซวียนส่ายหน้าและพูดต่อ “เอาเถอะ ผมจะรับคุณเป็นศิษย์และชี้แนะคุณเกี่ยวกับวรยุทธเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณ”


“ลูกศิษย์?” เจียงเฟยเฟยถึงกับชะงัก


เธอคิดว่าเหตุผลที่จางเซวียนเต็มใจมอบหนังสือล้ำค่าให้เธอก็เพื่อบีบบังคับให้เธอตอบตกลงแต่งงานกับเขา ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงแล้วเขาตั้งใจจะรับเธอเป็นศิษย์!


การพลิกผันเหตุการณ์อย่างกะทันหันทำให้เธอถึงกับจังงังไป


“รีรออะไรอยู่ล่ะ? รีบคารวะอาจารย์ของเจ้าสิ! ต่อให้เจ้าเป็นแค่ลูกศิษย์ธรรมดาของหัวหน้าตระกูล แต่ไม่ช้า มันจะกลายเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของเจ้าเลยทีเดียว!” เจียงฟังโหย่วอุทานด้วยความตื่นเต้นขณะฉุดลูกสาวของเขาออกจากภวังค์


นอกจากเป็นหัวหน้าตระกูลจาง ตระกูลหลัว และปูชนียสถานนักปราชญ์แล้ว บรรดาลูกศิษย์ของจางเซวียนก็ยังเป็นทายาทยอดขุนพล หัวหน้าศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง ประธานสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณ หัวหน้าตระกูลหยวน…ในบรรดาลูกศิษย์ของเขา ไม่มีใครที่มีสถานภาพธรรมดาสามัญเลยแม้แต่คนเดียว


หากลูกสาวของเขากลายเป็นศิษย์ของจางเซวียน ต่อให้เป็นเพียงในนาม ก็จะส่งผลดีต่อเธออย่างมากในอนาคต บางที เธออาจไปได้ไกลกว่าตัวเขาเองก็ได้!


ได้ยินคำพูดของท่านพ่อ เจียงเฟยเฟยชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบพยักหน้า “ได้ ฉันเข้าใจแล้ว!”


เธอยังคงจดจำภาพของจางเซวียนว่าเป็นอัจฉริยะที่มาท้าทายเธอที่ปูชนียสถานนักปราชญ์ ไม่คิดเลยว่าผ่านไปเพียงไม่ถึง 1 เดือน ชายหนุ่มคนนั้นจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของทวีปแห่งปรมาจารย์ สถานภาพของทั้งคู่ไม่ได้ทัดเทียมกันอีกต่อไป


นอกจากตัวตนอื่นๆของเขา ลำพังแค่การที่เขาเป็นศิษย์พี่ของปรมาจารย์หยาง ก็คงจะไม่มากเกินไปหากเจียงเฟยเฟยจะเรียกเขาว่าอาจารย์ปู่!


“เจียงเฟยเฟยคารวะท่านอาจารย์!” เจียงเฟยเฟยทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและกล่าวคำแสดงความเคารพ


“ดี ลุกขึ้นเถอะ!” จางเซวียนพูดยิ้มๆ


เมื่อครู่นี้ ตอนที่สาวน้อยคุกเข่าลง หน้าหนังสือสีทองได้ก่อตัวขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก


คู่ต่อสู้ที่เขาจะต้องเผชิญหน้าไม่ใช่นักรบระดับเซียนอีกต่อไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะต้องเข้าสู่การปะทะกับนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หรือแม้แต่นักปราชญ์โบราณอีกครั้งในอนาคตอันใกล้


เมื่อมีหนังสือสีทอง อย่างน้อยเขาก็ยังอุ่นใจได้ว่าตัวเองจะปลอดภัย ต่อให้มีนักปราชญ์โบราณสักคนมาเล่นงานเขาตอนนี้ เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถจัดการอีกฝ่ายได้ด้วยหน้าหนังสือสีทองที่มีอยู่


เราควรจะรับลูกศิษย์ให้มากกว่านี้ไหม เพื่อให้ได้หน้าหนังสือสีทองมากกว่านี้? ศิษย์สายตรงของศิษย์น้องหยาง, ฟงสืออี้ ก็ไม่เลวนะ เอ๊ะ…หรือว่าเราควรจะเจรจากับศิษย์น้องหยางให้ยกฟงสืออี้ให้เรา? จางเซวียนลูบคางขณะครุ่นคิดเรื่องสำคัญ


ด้วยสถานภาพของเขาในตอนนี้ ลำพังแค่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ลูกศิษย์ของจางเซวียน’ ก็มากพอที่จะทำให้คนคนหนึ่งได้รับการยกย่องแล้ว ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องเลือกเฟ้นลูกศิษย์อย่างถี่ถ้วน แต่การหาลูกศิษย์ดีๆสักคนนั้น การพูดย่อมง่ายกว่าทำ


เพราะถึงอย่างไร ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความโดดเด่น ประนีประนอม ชอบธรรม และสูงส่งแบบเขา…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)