ฉันนี่แหละคือซูเปอร์สตาร์ I’m really a superstar 1415-1422

 บทที่ 1415 : จางเย่ทุบรถ! (ท้าย)

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


หนึ่งวินาที


สองวินาที


สามวินาที


ในที่สุดกลุ่มคนก็ระเบิดแล้ว!


“พระเจ้า!”


“แตกแล้ว!”


“แม่งแตกแล้วจริงๆ!”


“เชี่ย ฉันเพิ่งเห็นอะไรไปเนี่ย?”


“นี่มันพลังอะไรกัน? มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


“เป็นไปไม่ได้! เมื่อกี้คนยี่สิบกว่าคนทุบด้วยไม้เบสบอล กระจกกันกระสุนยังไม่มีรอยร้าวเลยแม้แต่นิด! ทำไมจางเย่ทุบแค่สองครั้งก็แตกแล้วล่ะ?”


“ที่สำคัญคือใช้แค่ฝ่ามือฟาดลงไป!”


“ใช่แล้ว สวรรค์! ใช้มือทุบกระจก!”


“อย่างเทพเลย! สุดยอดมาก!”


“จางเย่ไร้เทียมทาน!”


“อาจารย์จางของฉันร้ายกาจมากค่ะ!”


“สองฝ่ามือนี้หล่อเกินห้ามใจ!”


ทุกคนในงานต่างร้องออกมาด้วยความตกใจ!


เฉินเฉินตะโกน “จางเย่! ทุบได้ดี! จางเย่! ทำได้ดีมาก!”


ฮาฉีฉีอ้าปากตาค้าง!


จางจั่วตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก!


พวกเสี่ยวหวังเสี่ยวโจวก็อึ้งไปแล้ว!


เป็นไปได้ไง!


นี่มันเป็นไปได้ยังไง!


พวกเราเองก็พอรู้ว่าผู้กำกับจางต่อสู้เป็น อย่างน้อยเมื่อจางเย่ลงมือเองเขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน แต่หากจะบอกว่าจางเย่ร้ายกาจขั้นไหน พวกเขาเองก็ไม่รู้อย่างแน่ชัด อีกอย่างตอนนี้แม่งไม่ใช่เรื่องที่จะมาวัดว่าร้ายกาจหรือไม่ร้ายกาจแล้วมั้ง?  นี่มันกระจกกันกระสุนเชียวนะ! คนจะสามารถทุบแตกได้เหรอ? แล้วยังใช้แค่ฝ่ามืออีก? สำหรับพวกเขา นี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทำได้!


น่าตกใจเกินไปแล้ว!


นี่มันน่ากลัวเกินไป!


ที่สำคัญคือหลังจากที่ทุบรกเสร็จจางเย่ก็หันไปมองผู้จัดการและพนักงาน แล้วพูดกับพวกเขาว่า “พวกคุณให้ผมลองทุบเองนะ”


ผู้จัดการ “…”


จางเย่พูดอย่างไร้เดียงสา “คุณดูสิ ผมก็บอกอยู่ว่ารถของพวกคุณมันไม่มีคุณภาพ”


ผู้จัดการ “…”


จางเย่ชี้ไม้ชี้มือ “นี่ถือว่าทุบแตกใช่ไหม?”


ผู้จัดการ “…”


จางเย่ “ทุบหนึ่งคันได้หนึ่งคัน ผมก็ขับออกไปได้คันหนึ่งเลยใช่ไหม?”


ผู้จัดการ “…”


พวกเขากลัวจนฉี่จะราดแล้ว!


กลัวจนฉี่จะราดแล้วจริงๆ!


ตอนนี้เหล่าพนักงานทั้งหลายเกือบจะยืนไม่อยู่แล้ว แข้งขาอ่อนแรงไปหมด พวกเขาร่ำไห้อยู่ในใจว่า : เชี่ย! นายยังเป็นมนุษย์อยู่ไหม!


พนักงานชายคนหนึ่ง “เป็นไปได้ยังไง!”


พนักงานหญิงคนหนึ่ง “นี่มันกระจกกันกระสุนนะ!”


ตอนนี้ผู้จัดการเสียใจจนอยากตายเสียให้ได้ เขาพูดในใจว่า ฉันอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจนคิดอยากจะสร้างกระแสทำไมกัน กระแสร้อนยังไม่มา แบรนด์กลับกำลังจะพังแล้ว ในใจของเขารู้ดี นี่ไม่ใช่ปัญหาแค่แจกหรือไม่แจกรถแล้ว แต่นี่คือปัญหาใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ และคุณภาพของแบรนด์รถยนต์ของพวกเขา รถระดับไฮเอนด์ที่เน้นเรื่องกันกระสุน กลับถูกเด็กผู้หญิงวัยเก้าขวบคนหนึ่งทุบประตูรถจนเสียหาย ถูกดาราคนหนึ่งตบกระจกจนแตกละเอียด นี่จะไม่เป็นเรื่องขายหน้าครั้งใหญ่หรือ? หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป พวกเขาจะกลายเป็นตัวตลกไปชั่วชีวิต! เรื่องตลกนี้เพียงพอให้คนในแวดวงอุตสาหกรรมหัวเราะพวกเขาไปอีกร้อยปี!


ประชาชนตะโกนโห่


“แจกรถ!”


“แจกรถ!”


“แจกรถ!”


“แจกรถ!”


เดิมทีพวกเขาไม่ได้เตรียมการสำหรับสถานการณ์แบบนี้!


พวกเขาไม่มีแผนที่จะแจกรถออกไปด้วยซ้ำ!


ผู้จัดการรู้ดีว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก เขาเห็นผู้คนรอบตัวที่กำลังบันทึกวีดิโอและถ่ายภาพ เห็นคนมุงดูมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบเต็มลาน เขากัดฟันตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เขาควานอยู่นานมากกว่าจะหากุญแจรถออกมาได้ จากนั้นก็มอบให้จางเย่ทั้งหัวใจที่เลือดไหลซิบ


จางเย่หัวเราะก่อนจะรับกุญแจมาและโยนให้เสี่ยวหวัง “อีกเดี๋ยวขับรถไปนะ”


เสี่ยวหวังตื่นเต้นและมีความสุขมาก “ได้เลยค่ะ!”


ผู้จัดการเริ่มแก้ไขสถานการณ์ทันที เขาแสร้งทำเป็นเดินไปตรวจสอบเศษกระจกที่ตกอยู่ จากนั้นก็ทำหน้าคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหันไปหยิบไมโครโฟนขึ้นมาพูด “เพื่อนที่รักทุกท่าน เมื่อกี้เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย ไม่ใช่คุณภาพรถของเราที่มีปัญหา ทุกคนสามารถมั่นใจได้ มันเป็นเพราะก่อนหน้านี้มีการใช้งานมากเกินไป นอกจากนี้เรายังจะทดสอบความแข็งแรงของกระจกก่อนออกจากโรงงานทุกครั้ง เมื่อนำมันมาไว้ที่ร้าน พนักงานของเราก็ทดสอบและทดลองทุบมันหลายครั้ง และคันที่อยู่ในงานนี้ก็ถูกผู้ชมยี่สิบกว่าคนทุบมันอย่างแรงหลายต่อหลายครั้ง แม้จะเป็นกระจกกันกระสุนแต่มีข้อจำกัด ตัวอย่างเช่นเมื่อทุบในจุดเดียวกันมากเกินไปก็จะทำให้กระจกสึกหรอ นี่ถือเป็นเรื่องปกติครับ”


ผู้ชมกระซิบกระซาบกัน


“กระจกปลอมหรือเปล่า?”


“กันกระสุนอะไรกันล่ะ!”


“ตอกหน้าไปเต็มๆ! ฉันล่ะเจ็บแทนพวกนายเลย!”


“คำอธิบายนี้มันไม่ใกล้เคียงเลยว่าไหม?”


“อาจารย์จางตัวผอมบางเหมือนลิงยังทุบกระจกแตกได้ คุณภาพของรถคันนี้คงผิดปกติแล้วล่ะ! แล้วยังเป็นรถกันกระสุนอีก? แบบนี้ก้อนอิฐลอยมายังต้องหลบเลย!”


“แต่คำอธิบายนี้ก็สมเหตุสมผลเหมือนกันนะ อาจเป็นเพราะกระจกถูกใช้งานมากเกินไป ฉันว่าจางเย่ทุบมันด้วยมือเปล่าไม่ได้หรอก นั่นมันต้องใช้พลังขนาดไหนกัน?”


“ก็จริง”


มีคนที่เหน็บแนม


มีคนที่เชื่อและคนที่สงสัย


ผู้จัดการรีบอธิบาย “เมื่อกี้แค่บังเอิญน่ะครับ กระจกกันกระสุนไม่ใช่ของใหม่ มันถูกเคาะมาแล้วหลายร้อยครั้ง ที่จริงมันมีรอยแตกอยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่ปรากฏขึ้นมาบนพื้นผิวกระจก ดังนั้นอาจารย์จางเย่จึงใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ บังเอิญตบลงบนพื้นผิวกระจกที่มีรอยแตกพอดีจึงทำให้แตก ไม่ใช่ปัญหาเรื่องคุณภาพรถเลยครับ แต่ว่าไม่เป็นไร เราสัญญาว่าทุบหนึ่งได้หนึ่ง ยังไงพวกเราก็ทำให้ได้ หากทุกคนยังมีข้อสงสัย? งั้นพวกเราเอารถออกมาอีกหนึ่งคัน รถใหม่เอี่ยมที่ยังไม่เคยโดนทุบมาก่อน ให้ทุกคนดูว่ากระจกกันกระสุนมีลักษณะอย่างไรเมื่อไม่มีร่องรอยสึกหรอ เป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์จะสามารถทุบจนแตกได้!”


พนักงานขับรถคันใหม่เข้ามาแล้ว


ผู้จัดการหัวเราะ “ดูสิครับ นั่นคือคันใหม่ ทุกคนสามารถมาทุบดูได้ เมื่อกี้เป็นแค่เรื่องบังเอิญพอดี ที่จริงไม่ว่าใครมาทุบกระจกคันที่แล้วก็ต้องแตกอยู่แล้วครับ แบรนด์ของเรารับประกัน โปรดไว้วางใจแบรนด์เรา ไว้วางใจอาจารย์ลีอันซูที่เป็นพรีเซนเตอร์ของเรา รถกันกระสุนรุ่นใหม่นี้จะไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน มีใครอยากลองไหมครับ?”


ในเวลานี้เองก็มีคนเดินไปข้างหน้า


เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง


เธอชื่อเหราอ้ายหมิ่น


ใครบางคนในฝูงชนจำเธอได้


“เฮ้ย”


“นั่นมันนางงามน้ำแข็งนี่!”


“เธอเป็นผู้จัดการของจางเย่”


“ฉันรู้จักเธอ เคยเห็นในทีวี!”


ฮาฉีฉีตกตะลึง


จางจั่วก็ตะลึงเช่นกัน


ไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้าของบ้านและผู้จัดการของจางเย่จะขึ้นไป!


ถงฟู่อึกอัก “ผู้กำกับจาง เจ๊เหราเธอ?”


จางเย่กลับหัวเราะ “เจ๊คนนี้โลภกับของราคาถูกอีกแล้ว”


ถงฟู่ฟังไม่เข้าใจ “หา? โลภกับของราคาถูกอะไรนะครับ?”


เมื่อผู้จัดการเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมา “โอเค มีอาสาสมัครปรากฏตัวแล้ว สาวสวยคนนี้อยากลองดูใช่ไหมครับ? เยี่ยมเลย คุณสามารถทดลองได้ ด้านนั้นมีอุปกรณ์ มีค้อน มีไม้เบสบอล คุณสามารถเลือกอะไรก็ได้ตามต้องการ คุณจะทุบกี่ครั้งก็ได้ แต่คุณไม่ต้องคาดหวังว่าจะโชคดีนะครับ เพราะนี่เป็นรถกันกระสุนคันใหม่เอี่ยม ไม่เหมือนคันเมื่อกี้แล้วนะ งั้นก็ขอให้คุณเพลิดเพลินไปกับความทนทานของกระจกกันกระสุนรุ่นล่าสุดของเรา อ้อ ระวังมือด้วยนะครับ อย่าให้โดนตัวเอง ถ้าบาดเจ็บขึ้นมาพวกเราไม่…” เขายังพูดไม่จบ


ทันใดนั้นเหราอ้ายหมิ่นก็เดินไปที่รถด้วยสีหน้าเย็นชา


หลายคนสับสนมึนงง


หมายความว่ายังไง?


อุปกรณ์เสริมล่ะ?


คุณไม่หยิบไม้เบสบอลมาสักหน่อยเหรอ?


จากนั้นพวกเขาก็เห็นเหราอ้ายหมิ่นยกมือขึ้นเบาๆ จากนั้นก็ตบฝ่ามือลงบนกระจกด้านที่นั่งข้างคนขับ มีเสียงดังปังหนึ่งครั้ง เสียงนั้นสามารถเรียกได้ว่าสะท้านสะเทือนพื้นดิน รถทั้งคันเกือบจะพลิกคว่ำด้วยแรงมหาศาล เหมือนว่าล้อรถฝั่งหนึ่งลอยขึ้นจากพื้นไปแล้ว!


หนึ่งฝ่ามือ!


หนึ่งครั้ง!


แค่หนึ่งครั้งเท่านั้น!


กระจกกันกระสุนแตกกระจายไปทั่ว!


“เช็ดเข้!”


“เชี่ย!”


“สวรรค์!”


ผู้ชมต่างตกตะลึง!


พนักงานในสตูดิโอจางเย่ช็อกไปแล้ว!


ไม่มีใครอยากเชื่อสายตาตัวเอง!


ท่วงท่าเดียวกับจางเย่!


เคลื่อนไหวเช่นเดียวกับจางเย่!


ความแตกต่างมีเพียงหนึ่งฝ่ามือ และสองฝ่ามือ!


ที่เหมือนกันคือกระจกกันกระสุนแตกละเอียด!


พนักงานของแบรนด์ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น!


ผู้จัดการที่ถือไมโครโฟนคุยโวเรื่องรถกันกระสุน ไมโครโฟนพลันร่วงลงบนพื้น เกิดเสียงดังเสียดหู ทันใดนั้นเขาก็คล้ายสูญเสียจิตวิญญาณ และทรุดลงนั่งที่พื้นคล้ายคนเป็นอัมพาต เขามองกระจกรถที่ถูกผู้จัดการจางเย่ตบแตกอย่างอึ้งๆ จากนั้นก็หันไปมองกระจกรถคันแรกที่ถูกจางเย่ตบแตก ในใจอุทานหนึ่งประโยค ‘เชี่ยแม่งเอ็งสิ!’


เขาพลันหลั่งน้ำตาออกมาเต็มใบหน้า!


แม่งเอ๊ย! คนพวกนี้เป็นสัตว์อสูรประเภทไหนกันแน่!



บทที่ 1416 : ฉันอยากฟาดสิบคัน!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทั้งบริเวณวุ่นวายขึ้นมาแล้ว!


มีคนร้องโวยวาย!


“อ๊า!”


“โคตรเท่เลย!”


“ตาฉันบอดไปแล้ว!”


“ฮีโร่สาว! ฮีโร่สาว!”


“โคตรตื่นตาเลย!”


“เพิ่งเปลี่ยนเป็นกระจกกันกระสุนแผ่นใหม่ไม่ใช่เหรอ?”


“นี่มันใครกันเนี่ย!”


“สัตว์อสูร! อสูรแท้ๆ เลย!”


“อาจารย์จางกับเธอยังเป็นคนปกติรึเปล่าน่ะ?”


“เชี่ยเอ๊ย สองคนนี้แม่งประกอบขึ้นจากเหล็กเรอะ? แม่หนูน้อยนั่นก็เหมือนกัน เห็นแรงตอนเธอปาอิฐรึเปล่า? นั่นไม่ใช่กำลังของเด็กเก้าขวบเลยสักนิด! ลูกฉันสิบสี่แล้วยังไม่มีแรงขนาดนั้นเลย! แถมยังเป็นลูกชายด้วยนะ!”


“ครอบครัวนี้มาเพื่อตอกหน้าชาวบ้านจริงๆ!”


“ขอคารวะแล้ว!”


ฮาฉีฉีเองก็ตะลึง เธอเบือนหน้าไปด้านข้าง “ผู้กำกับจาง!”


จางจั่วเองก็ขาอ่อน “ผู้กำกับจาง เจ๊ เจ๊เหรา!”


เสี่ยวหวังเสี่ยวโจวเองก็ร้องลั่น “เจ๊เหราร้ายกาจมาก!”


จางเย่ใช้แค่สองฝ่ามือก็ฟาดจนกระจกกันกระสุนแตก เรื่องนี้พวกเขายังรับกันไม่ได้เลย แต่ตอนนี้ เหราอ้ายหมิ่นที่ปกติปากร้ายไม่สนใจใครก็ยังฟาดกระจกกันกระสุนแตกได้ด้วย ทั้งยังฟาดไปแค่ครั้งเดียวเท่านั้น! พวกเขาจึงได้แต่ตกตะลึง!


เกิดอะไรขึ้น!


นี่มันเรื่องอะไรกัน!


พวกเขายังเป็นมนุษย์โลกอยู่รึเปล่า?


มีแต่เฉินเฉินที่ไม่ได้ตกตะลึงไปด้วย ทั้งยังร้องเชียร์ “ป้า! เอาอีก! เอาอีก!”


เหราอ้ายหมิ่นเหลือบมองผู้จัดการที่ยืนเซ่อ “ฟาดหนึ่งฟรีหนึ่ง แล้วรถฉันล่ะ?”


ผู้จัดการคนนั้นมองเธออย่างโง่งม แล้วยื่นกุญแจรถคันใหม่ให้เธอโดยไม่รู้ตัว พนักงานคนอื่นๆ เองก็มองเหราอ้ายหมิ่นเหมือนเห็นเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น


แต่พริบตาต่อมา พวกเขาก็ต้องกระอักเลือด!


เหราอ้ายหมิ่นเก็บกุญแจไปด้วยความพึงพอใจ กำหมัดขึ้นแล้วประกาศลั่น “เอาอีก! ฉันจะฟาดอีกสิบคัน!”


ฟาดสิบคัน…


สิบคัน…


สิบ…


ผู้จัดการที่เพิ่งลุกขึ้นยืนขาอ่อนลงไปนั่งอีกรอบ!


น้องสาวเธอเซ่!


ยังจะฟาดอีก?


เธอยังฟาดได้อีก?


เสพติดไปแล้วงั้นเรอะ?


พวกเรามีรถไม่พอให้เธอฟาดหรอกนะ!


เหล่าพนักงานเองก็หน้าถอดสี!


“ไม่ได้แล้ว!”


“ฟาดไม่ได้แล้วครับ!”


“ใช่ค่ะ หนึ่งคนได้หนึ่งคันเท่านั้น!”


“เรื่องนี้พวกเราเขียนกฎไว้ชัดเจนนะคะ!”


พอฟัง เหราอ้ายหมิ่นก็เสียใจอย่างยิ่ง “อ้อ” คำหนึ่งก็เดินลงจากเวทีไป


ผู้จัดการกับเหล่าพนักงานจึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก


ชั่วขณะนั้นเอง มีผู้หญิงอีกคนเดินใกล้เข้ามา


หยางซูมาถึงแล้ว “ศิษย์พี่!”


จางเย่หันหน้ากลับไป พอเห็นเธอก็ยินดี “ทำไมเพิ่งมาถึงล่ะ?”


หยางซูบ่น “รถติดน่ะสิคะ พอข้าไปถึงที่ร้าน แต่พวกท่านทำไมกลับออกมากันแล้วล่ะ? เด็กเสิร์ฟบอกว่าท่านมาที่จัตุรัสนี่แล้ว เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?”


จางเย่ส่งเสียงอ้อคำหนึ่ง “มีอีเวนต์ฟาดรถน่ะ ฟาดได้หนึ่งคันได้รถฟรีหนึ่งคัน”


หยางซูตาเป็นประกาย “ท่านฟาดแล้ว?”


จางเย่ยิ้ม “ฉันกับเหล่าเหราฟาดกันไปคนละคันแล้ว”


หยางซูตื่นเต้น “งั้นฉันจะลองด้วย!”


เธอไม่ได้ทำเพื่อเงิน ยิ่งไม่ได้ต้องการรถด้วย แต่คิดว่านี่เป็นความท้าทาย ศิษย์น้องของจางเย่คนนี้ไม่เคยมีความคิดเรื่องอื่นๆ นอกจากเรื่องวิทยายุทธ์!


พอฝูงชนเห็นก็ขำจนแทบบ้า!


“เธอนี่เอง!”


“บอดี้การ์ดของจางเย่!”


“ใช่ๆๆ!”


“บอดี้การ์ดจางเย่มาแล้ว!”


“พรืด!”


“ต้องดุดันแบบนี้เลยเหรอ?”


“นัดชุมนุมยุทธภพเรอะ!”


พอได้ยินดังนั้น ผู้จัดการกับทีมงานก็สะพรึงไปแล้ว ชั่วขณะนั้นทุกคนต้องยอมแพ้!


อะไรนะ?


บอดี้การ์ด?


ถล่มย่าของลุงสามแกน่ะสิ!


จางเย่กับผู้จัดการส่วนตัวเขาเป็นแบบนี้ งั้นบอดี้การ์ดจะขนาดไหน!


แกจะฆ่าพวกเราให้สิ้นซากเลยเรอะ!


ทันใดนั้นผู้จัดการไม่รู้ว่าไปเค้นเรี่ยวแรงมาจากไหน รีบกระเสือกกระสนเข้ามาหยิบไมโครโฟน ก่อนประกาศลั่น “งานจบแล้วครับ! ขอประกาศว่าอีเวนต์ฟาดหนึ่งฟรีหนึ่งจบแล้วครับ! ไม่มีแล้ว! ไม่ฟาดแล้ว!”


ผู้ชมส่งเสียงหัวเราะและโห่ร้องทันที!


“บู่ว!”


“อี๋!”


“บู่วว!”


“ยอมแพ้แล้ว!”


“ฮ่าๆๆๆ!”


“ขำเป็นบ้าเลย!”


แต่หยางซูไม่พอใจนัก “แต่ฉันยังไม่ได้ฟาดเลยนะ!”


ผู้จัดการเหงื่อตก “ไม่มีแล้วครับ งานจบแล้ว!”


หยางซูไม่ค่อยยินยอม “ช้าไม่ได้ต้องการรถของพวกคุณสักหน่อย ฉันแค่อยากลองดูเท่านั้น!”


ผู้จัดการคนนั้นแทบร้องไห้แล้ว!


เจ๊!


เจ๊ที่รักคร้าบ!


คุณสามคนได้โปรดอย่าแกล้งพวกเราอีกได้ไหม!


จางเย่มองเขา “จบแล้วเหรอ?”


ผู้จัดการรีบว่า “ใช่ๆ จบแล้วครับ!”


จางเย่ชี้ไปที่รถคันก่อนหน้านี้ “งั้นที่หลานผมทำประตูรถคุณเสียล่ะ เราต้องจ่ายชดใช้เท่าไหร่?”


ผู้จัดการนั้นน้ำตานอง “ไม่ต้องชดใช้แล้วครับ ไม่ต้องแล้ว เรื่องนี้เป็นเพราะเราจัดการไม่ดีเอง จะไปว่าเด็กไม่ได้ ว่าไม่ได้!”


เหราอ้ายหมิ่นถลึงตาใส่ “งั้นเมื่อครู่คุณพูดอะไรกับหลานฉัน?”


ผู้จัดการนั้นรีบพูดกับเฉินเฉิน “ขอโทษนะ ขอโทษนะ เมื่อกี้อาใช้น้ำเสียงไม่ดีกับหนู ขอโทษนะ เห็นไหมว่างานเราจบแล้ว ไม่เหลืออะไรให้เล่นแล้ว อ้อ มีงานแสดงรถที่ห้างอยู่นะ ไม่ให้ผู้ปกครองพาหนูไปดูล่ะครับ?”


เฉินเฉินพูดเสียงเรียบ “ทางนั้นไม่เห็นน่าสนุกเลย”


เธอสนุก!


แต่พวกเราไม่สนุกด้วยเลยสักนิด!


พวกเราโดนคุณหนูอย่างเธอทำจนกลัวตัวสั่นแล้ว!


ผู้จัดการขอโทษขอโพย ขอร้องกระทั่งพวกเขายอมจากไป แต่ในใจรู้ดีว่าคลื่นลมเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น!


ฝูงชนเริ่มขยับแล้ว!


โทรศัพท์!


โพสต์เวยป๋อ!


ข่าวกระจายออกไปในทันที!


……


อีกด้านหนึ่ง


รถใหม่สองคันอยู่ตรงหน้า ล้วนเป็นรถกันกระสุนเจ็ดที่นั่ง


จางเย่หัวเราะ “ดูสิว่าเรื่องไปถึงไหน ออกมากินข้าวแท้ๆ กลับได้รถกลับไปสองคัน สตูดิโอเราอยากได้รถพอดีนี่นะ ไม่ต้องซื้อแล้ว เหล่าฮา เหล่าจั่ว เอารถไปคนละคันเถอะ ถือว่าให้พวกคุณสองคนได้รถประจำตำแหน่งก็แล้วกัน ไม่มีอะไรก็เอาไปใช้ที่บ้านได้”


ทว่าคนของสตูดิโอกลับยังคงตกตะลึงไม่หาย!


ฮาฉีฉีพูดขึ้นทันที “คุณทำได้ยังไงน่ะ?”


จางเย่ขำ “ผมบอกแล้วว่าผมกับเหล่าเหราความจริงเป็น ‘ยอดฝีมือในยุทธภพ’ พวกคุณเชื่อรึยัง?”


“อี๋!”


“แหยะ”


ทุกคนต่างเบ้ปากใส่


แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่เชื่อ และคิดว่าต้องมีเทคนิคหรือเคล็ดลับอะไรแน่นอน!


จางเย่โบกมืออย่างจนปัญญา “เอาล่ะ งั้นก็ไม่พูดแล้ว ไปๆ ขึ้นรถ”


แต่เมื่อขึ้นรถทุกคนก็ยังคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นต่อ


มีแค่หยางซูที่ยังยืนนิ่ง แล้วยืนหน้ารถ เคาะๆ ตรงกระจกรถด้วยสันหมัด


จางเย่ตระหนก “เธอคิดจะทำอะไร? นี่รถเหล่าฮากับเหล่าจั่วนะ เธออย่าคิดจะฟาดเชียวนะ” พูดจบเขาก็ยิ้ม “เอ้า หยุดมองได้แล้ว เธอฟาดไม่ไหวหรอก”


หยางซูไม่ยอมเชื่อ “ข้าทำไมจะฟาดไม่แตก?”


จางเย่หัวเราะ “นี่กระจกกันกระสุนนะ”


หยางซูยังคงดื้อดึง “แต่ข้าขอลองหน่อยสิ!”


ขณะนั้นเองเหราอ้ายหมิ่นก็พูดขึ้น “เธอฟาดไม่แตกหรอก”


พอหยางซูได้ยินดังนั้นก็ทั้งเคืองทั้งอับอาย ศิษย์พี่พูดอะไรก็ช่างเถอะ แต่ปรมาจารย์เหรากลับยังพูดแบบนั้นด้วย งั้นตัวเธอก็คงฟาดกระจกไม่แตกแน่ๆ พอคิดแล้วเธอก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไร แต่ก็ทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ตัวเธอยังห่างชั้นกับจางเย่และเหราอ้ายหมิ่นอีกมากนัก



บทที่ 1417 : การถกเถียงทั่วประเทศ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


ตอนบ่าย


ข่าวกระจายไปทั่วหมดแล้ว!


……


CCTV


“อะไรนะ?”


“จางเย่ทุบรถเหรอ?”


“ขนาดกระจกกันกระสุนยังแตก?”


“เชี่ย!”


“เร็วๆ รีบทำข่าวเลย!”


……


บริษัทสื่อบันเทิงแห่งหนึ่ง


“ว่าไงนะ?”


“จางเย่ก่อเรื่องเรอะ?”


“เป็นไปได้ยังไง!”


“จางจอมตอกหน้าลงมืออีกแล้ว?”


……


ทีมงานของลีอันซู


“เชี่ย!”


“จางเย่!”


“ไอ้นักเลงเหม็นเน่านั่น!”


“มันจงใจ! มันจงใจแน่!”


“บีบเราเข้าทางตันชัดๆ!”


“บัดซบ! เลวไร้คุณธรรมสิ้นดี!”


……


พริบตาเดียว ข่าวที่รถกันกระสุนซึ่งลีอันซูเป็นพรีเซนเตอร์ถูกฟาดจนกระจกแตก ก็เข้ายึดพื้นที่สื่อ!


บนเวยป๋อ เว็บบอร์ด หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ทุกที่ล้วนรายงานข่าวนี้ บางแห่งยังมีภาพและคลิปเหตุการณ์ด้วย!


ประชาชนต่างฮือฮา!


ชาวเน็ตขำจนแทบบ้า!


“ฉันว่าแล้ว! ฉันว่าแล้ว!”


“จางเย่ลงมืออีกแล้ว!”


“ฮ่าๆๆๆ ฉันควรจะรู้อยู่แล้วว่าหมอนี่ไม่มีทางทำตัวดีๆ ได้หรอก!”


“กระจกกันกระสุนเหรอ? หมอนั่นฟาดแตกได้ยังไงน่ะ?”


“จะไปรู้เรอะ? มีลูกไม้อยู่มั้ง!”


“ใช่ๆ ใช้แรงอย่างเดียวไม่มีทางแตกได้แน่!”


“ผู้หญิงสวยๆ นั่นเป็นใครน่ะ?”


“ผู้จัดการส่วนตัวเขา ชื่อเหราอ้ายหมิ่น!”


“โคตรเท่เลย! เทพธิดาจริงๆ!”


“แต่ละคนเป็นอสูรเรอะไง? มือเปล่าทุบกระจกกันกระสุนแตกเนี่ยนะ?”


“อาจารย์จางดังอีกแล้ว!”


“ใครว่าจางจอมตอกหน้าจะยั้งมือเพราะกำลังจะเป็นพ่อคนนะ? ใคร? ออกมาเลย ฉันสัญญาว่าจะไม่ตีจนตาย! หมอนั่นแม่งเหมือนเดิมไม่ผิดชัดๆ!”


“ฮ่าๆๆ หมอนั่นคงเป็นแบบนี้ไปชั่วชีวิตแล้วล่ะ!”


“ความไม่กลัวใครของเขาไม่เกี่ยวอะไรกับที่จะเป็นพ่อคนเลย บ้าลึกถึงกระดูก! มีลูกอีกสิบคนก็ไม่เปลี่ยน!”


“ตอกหน้าอีกแล้ว!”


“หน้าบวมกันหมดแล้ว! หน้าบวมช้ำกันไปหมดแล้ว!”


“รถยี่ห้อนั้นซวยโคตร เชิญใครไม่เชิญ ไปเชิญเอาลีอันซูมาทำไมกัน งี่เง่า!”


“รถนั่นไม่มีคุณภาพด้วยแหละ”


“จางจอมตอกหน้าตอกแรงขึ้นอีกขั้นแล้ว!”


“ชอบดูอาจารย์จางตอกหน้าคนจริงๆ!”


ความวุ่นวายยิ่งมายิ่งใหญ่โต เรื่องร้อนขนาดนี้ปกติไม่มีทางดับลงง่ายๆ ยิ่งกว่านั้นนี่ยังเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครพบเจอมาก่อน สดใหม่มาก! ถ้าบอกว่าจางเย่ไปพังร้านคน ทุกคนยังพอคาดเดาได้ บอกว่าจางเย่ไปเจาะลมยางล้อคน คนก็ยังพอนึกออก แต่บอกว่าไปฟาดกระจกรถกันกระสุนตอนมีคนท้าให้ทุบด้วยอีเวนต์ฟาดหนึ่งฟรีหนึ่ง? คนธรรมดาจะไปทำได้ยังไง? คนทั่วๆ ไปจะไปคิดถึงได้หรือ!


มีก็แต่จางเย่นั่นแหละ!


มีแต่เขาที่ไม่เคยเล่นตามเกมเท่านั้นที่ทำอะไรแบบนี้ได้!


ทั้งประชาชน


คนในวงการ


สื่อบันเทิง


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนและครอบครัวของจางเย่


แต่ละคนพอเห็นข่าวก็ตกตะลึงกันถ้วนหน้า!


ทางบริษัทรถยนต์ออกแถลงการณ์ฉุกเฉินอย่างรวดเร็วเพื่อชี้แจงกรณีนี้ ใจความสำคัญก็คือ รถยนต์ของพวกเขาไม่มีปัญหาเรื่องคุณภาพ แต่ปัญหาก็คือพนักงานใช้รถผิดรุ่น รถที่นำไปนั้นไม่ใช่รุ่นกันกระสุน แต่เป็นรุ่นเทียบเท่าที่มีรูปทรงเดียวกัน ทำให้พวกเขาเข้าใจผิดไป


“ที่แท้ก็เพราะเอารถไปผิดคัน!”


“ฉันก็ว่าทำไมจางจอมตอกหน้าถึงมีพลังขนาดนั้น!”


“ก็ถือว่าร้ายกาจพอแล้วน่า แค่สองฝ่ามือก็ฟาดกระจกนิรภัยแตกเนี่ยนะ? คนธรรมดาทำได้ที่ไหน? ต้องทรงพลังพอตัวเลย!”


“เอามาผิดรุ่นจริงเหรอ?”


“ทำไมถึงไม่ค่อยอยากเชื่อเลยนะ?”


“นั่นสิ ไม่ใช่ว่าให้คนเอาไม้เบสบอลฟาดไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าเป็นกระจกปกติแค่ฟาดทีสองทีก็แตกแล้วไม่ใช่เหรอ?”


“ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาพูดจริงหรือโกหก”


“บริษัทนี่เคยมีคดีเรื่องหลอกลวงผู้บริโภคในจีนด้วย เดิมประวัติก็ไม่ดีอยู่แล้ว ฉันไม่เชื่อหรอก!”


ทุกคนต่างพูดคุยวิเคราะห์กันอยู่ทั้งวัน ก็ได้ข้อสรุปสองข้อ หนึ่งคือคุณภาพของกระจกรถยนต์ยี่ห้อนี้มีปัญหาแน่นอน ไม่อย่างนั้นแล้วจางเย่กับผู้จัดการของเขาไม่มีทางฟาดแตกได้เด็ดขาด สองคือจางเย่ต้องมีเคล็ดบางอย่างในการฟาดกระจกกันกระสุน แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร แม้พยายามหาข้อมูลกันอยู่นานแต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้


……


ประเทศจีน


ปักกิ่ง


ที่ออฟฟิศรถยนต์เกาหลี


ทุกคนในบริษัทเป็นกังวล เป็นกังวลจนหน้าเขียว!


ขณะนั้นคนจากบริษัทแม่ก็มาถึงอย่างเร่งร้อน พอพบคนที่รับผิดชอบงานนี้ก็ด่าทันที


“เป็นบ้าอะไรของนาย?”


“ขอโทษครับประธานคิม!”


“รู้ไหมว่าเรื่องนี้ส่งผลกับภาพลักษณ์ของบริษัทแค่ไหน? รู้ไหมว่าบริษัทขาดทุนไปเท่าไหร่? เราแทบจะเสียตลาดจีนไปแล้ว!”


“แต่ว่าผม…”


“ผมอะไร? ยังจะแก้ตัวอะไรได้อีก! งานง่ายๆ แค่นี้ยังจัดการไม่ได้ เอารถรุ่นธรรมดาไปปนกับรุ่นกันกระสุนได้ยังไง! โง่เง่าสิ้นดี!”


ผู้จัดการนั้นน้ำตาไหลนองหน้า “แต่ผมไม่ได้เอาไปผิดนะครับ”


คนของบริษัทแม่ตะลึงไป “หมายความว่ายังไง?”


ผู้จัดการคนนั้นรีบพาพวกเขาไปที่โรงรถซึ่งเก็บรถที่ถูกฟาดแตกสองคันนั้นเอาไว้


คนจากสำนักงานใหญ่เข้าไปดู


ทั้งดีไซน์ภายใน


รูปทรงภายนอก


ความหนาของกระจก


รถรุ่นปกติกับรุ่นกันกระสุนนั้นแตกต่างกันแน่นอน


ทุกคนตะลึงไป “นี่มันรุ่นกันกระสุนนี่?”


ผู้จัดการนั้นว่า “ใช่ครับ เราเอาเรื่องที่เอารถไปผิดรุ่นเป็นข้ออ้างเท่านั้น!”


ประธานคิมตะลึง ขณะชี้ไปที่กระจกรถ “คุณบอกว่าสองคนนั้นฟาดกระจกกันกระสุนเราแตกจริงๆ?”


ผู้จัดการ “ใช่ครับ”


ประธานคิม “……%¥#%¥###@@!!!”


พวกมันทำไปได้ยังไง?


สรุปแม่งทำได้ยังไงกัน?


……


โลกภายนอกเองก็วุ่นวายไม่น้อย


ชั่วขณะนั้น มีแต่คนในยุทธภพเท่านั้นที่ยังคงสงบนิ่ง


เส้าหลิน


“อาจารย์อา ท่านเห็นคลิปนี้หรือยังครับ?”


“เห็นแล้ว”


“จางเย่นั่น…”


“อืม เขาใกล้สำเร็จวิชาพลังภายในแล้ว”


“อย่างนั้นก็ไม่ห่างจากระดับปรมาจารย์แล้ว…”


“เกรงว่าอีกไม่นานแล้ว”


“อีกไม่นานคือแค่ไหนครับ?”


“เรื่องนี้ไม่ใช่ขอบเขตที่ฉันจะประเมินได้ อย่างสั้นคือสองสามปี อย่างช้าคือแปดเก้าปี ใครจะไปทราบได้?”


คนในยุทธภพหลายคนก็เห็นคลิปนี้แล้วเช่นกัน


ค่ายเล็ก


พรรคใหญ่


ไร้สังกัด


ทุกคนต่างทราบแน่แก่ใจ


เห็นคนธรรมดาในอินเทอร์เน็ตพยายามคาดเดาว่าจางเย่ใช้วิธีการไหน คาดเดาว่ากระจกกันกระสุนมีปัญหาด้านคุณภาพอย่างไร พวกเขาก็ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความไม่เห็นด้วย ดูจากแรงที่จางเย่ใช้ การสะเทือนของรถและองค์ประกอบอื่นๆ พวกเขาต่างทราบว่านั่นเป็นกระจกกันกระสุนแน่ๆ แม้อาจไม่ใช่เกรดการทหาร แต่แค่เกรดล่างสุดก็เหลือเฟือแล้ว ปัญหาไม่ใช่ที่กระจก แต่เป็นที่คน


บริษัทรถยนต์รายนี้โชคไม่ดีเอามากๆ!


ในโลกใบนี้ คนที่สามารถฟาดกระจกกันกระสุนแตกด้วยมือเปล่าได้ อย่างมากก็ไม่เกินแปดคนเท่านั้น แต่เผอิญว่าเหราอ้ายหมิ่นกับจางเย่กลับเป็นหนึ่งในนั้น!



บทที่ 1418 : ลีอันซูโดนส่งกลับ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


วันต่อมา


เช้าวันจันทร์ จางเย่ไปทำงาน


“อรุณสวัสดิ์ครับผู้กำกับจาง!”


“เมื่อวานคุณดังอีกแล้วนะ”


“นั่นสิ ทุกคนพูดถึงแต่คุณเต็มไปหมด!”


“ทั้งพาดหัวข่าว ข่าวหน้าหนึ่ง มีแต่คุณทั้งนั้นเลย!”


“ลีอันซูซวยเลยคราวนี้”


“รถนั่นซวยกว่าอีก คราวนี้แบรนด์มีปัญหาแน่!”


“ใช่ ทุกคนรอดูผลงานอยู่แน่ะ”


“ผู้กำกับจาง คุณกับเจ๊เหราฟาดจนกระจกแตกได้ยังไงน่ะ?”


“นั่นสิ บอกหน่อยๆ ในเน็ตมีคนเดากันจนวุ่นวายไปหมดแล้ว”


บรรยากาศในสตูดิโอคึกคัก ทีมงานทุกคนต่างชอบบรรยากาศเช่นนี้ ทั้งยังรู้สึกผูกพันกับที่นี่เป็นพิเศษ คนที่ลาออกเปลี่ยนงานมีน้อยอย่างยิ่ง ก็เพราะเหตุผลว่า สตูดิโอของดาราคนอื่นๆ หรือเอเจนซี่ดาราบริษัทอื่นๆ มีที่ไหนจะได้เห็นเรื่องบันเทิงและน่าตื่นตาตื่นใจแบบนี้ทุกวันบ้าง? เงินเดือนดี งานเรียบง่าย ถ้าบอกคนอื่นๆ ว่าพวกเขาเป็นทีมงานของจางเย่สตูดิโอ พี่น้องเพื่อนฝูงในวงการต่างก็ต้องตื่นเต้นกันทั้งนั้น


จางเย่คุยกับพวกเขาอยู่นาน


ฮาฉีฉีพลันเดินเข้ามา “ผู้กำกับจาง”


จางเย่มองเธอแล้วหัวเราะ “เหล่าฮา มีอะไรเหรอ?”


ฮาฉีฉีปาดเหงื่อ “เอ่อ มีเรื่องนิดหน่อยค่ะ”


จางเย่ถาม “เรื่องอะไรบอกมาได้เลย”


ฮาฉีฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ตอนฉันมาทำงานตอนเช้า จอดรถไว้ชั้นล่าง เสี่ยวหยางก็ยืนรอฉันอยู่แล้ว ไม่ได้พูดอะไร แค่ยืนจดๆ จ้องรถฉัน รถกันกระสุนที่คุณให้เหล่าจั่วกับฉันน่ะค่ะ เธอจ้องซะจนฉันขนลุก น่ากลัวจริงๆ”


จางเย่ถอนใจ “มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ?”


จางจั่วเองก็เพิ่งมาทำงาน สีหน้าดูหงุดหงิดเล็กน้อย


จางเย่มองเขา “เกิดอะไรขึ้นเหล่าจั่ว?”


“ไอ้หยาผู้กำกับจาง ผมมาหาคุณนี่แหละ” จางจั่วพูดด้วยความกริ่งเกรง “เมื่อกี้ผมใจหายวาบเลย เพิ่งจอดรถชั้นล่างก็มีสายเข้า ผมเลยรับสายบนรถ คุยๆ อยู่ห้านาทีก็มีเงาจากด้านนอกมาเคาะกระจกรถลูบกระจกรถผม คิดว่าเป็นคนจะมาขโมยรถ แต่พอผมเดินออกมาก็เห็นว่าเป็นเสี่ยวหยาง ถามเธอว่าเธอทำอะไรเธอก็ไม่บอก ยังกับโดนผีสิงอย่างนั้นแหละ!”


จางเย่ “…”


ศิษย์น้องคนนี้นี่!


ทำให้คนต้องวุ่นวายใจจริงๆ นะเธอ!


จางเย่พูดขึ้น “ได้ ผมทราบแล้ว ผมจะตำหนิเธอเอง”


แล้วเขาก็โทรเรียกหยางซูขึ้นมาชั้นบน “เธอทำอะไรข้างล่าง?”


หยางซูทำแก้มป่อง “ข้าเปล่าสักหน่อย”


จางเย่ทำสีหน้าจริงจัง “อย่าเอาแต่เดินมองเดินวนรอบรถเหล่าฮาเหล่าจั่วแบบนั้นสิ ทำคนเขาตกใจหมดแล้ว”


หยางซูรับคำทีหนึ่ง


จางเย่ “เข้าใจไหม?”


หยางซูรับคำ “ข้าได้ยินแล้วศิษย์พี่”


“อืม นี่สิถูกต้อง” จางเย่จึงยิ้มออกมาได้


พอหยางซูออกไป จางเย่ก็ให้ฮาฉีฉ๊กับจางจั่วเดินเข้ามา “เอาล่ะ ผมบอกเสี่ยวหยางแล้ว ไม่ต้องห่วง เธอเชื่อฟังคำพูดผมอยู่บ้าง”


ฮาฉีฉียิ้ม “ฉันล่ะกลัวว่าเธอจะมาฟาดรถฉันจริงๆ นะคะ”


จางเย่หัวเราะ “ไม่หรอก เสี่ยวหยางอาจจะใจร้อนสักหน่อย แต่ว่า…”


พูดมาถึงตรงนี้ ชั้นล่างก็มีเสียงดังลั่นเหมือนมีคนต่อยอะไรบางอย่าง จากนั้นก็มีสัญญาณกันขโมยของรถดังขึ้น!


เป็นเสียงที่ทุกคนคุ้นเคย BMW X5 ของจางเย่เอง!


จางเย่หน้าเปลี่ยนสี เปิดหน้าต่างในทันที!


ทุกคนมองนอกหน้าต่างด้วยความตื่นตาตื่นใจ!


เห็นเพียงหยางซูกำหมัดด้วยความเจ็บปวด ยืนอยู่ข้าง BMW


จางเย่คำรามลั่น “หยางซู! ขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”


สองนาทีให้หลัง หยางซูก็ขึ้นมา


จางเย่ชี้หน้าเธอแล้วดุ “อยากให้ฉันโมโหตายหรือยังไง! บอกแล้วไงว่าอย่าไปแตะรถน่ะ?”


หยางซูพูดเสียงเรียบ “ไม่ได้แตะรถของเหล่าฮาเหล่าจั่วนี่”


จางเย่แทบกระอักเลือด “รถฉันก็ไม่ควรไปแตะเหมือนกัน!”


ทุกคนยิ่งขำใหญ่!


BMW ของผู้กำกับจางเองก็เป็นรถกันกระสุนเหมือนกัน!


หยางซูพึมพำ “ข้าก็แค่อยากทดลองเท่านั้นเอง”


จางเย่ “ทดลองอะไร! ให้ข้าวกิน ให้ที่อยู่ เธอยังจะมาทุบรถฉันอีก? อยากตายเรอะ! ทำไมไม่ไปทุบรถคนอื่น?”


หยางซู “รถคนอื่น ข้าทุบเข้าก็ต้องชดใช้น่ะสิ”


จางเย่โมโหจนแทบเป็นลม “ถ้าเป็นรถฉันแล้วเธอไม่ต้องเสียอะไรงั้นสิ?”


ศิษย์น้องที่เขาไม่เคยต้องการคนนี้ ทำไมไม่มีสามัญสำนึกเลยสักนิด!


ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรทำ จางเย่เลยด่าหยางซูทั้งเช้า ลงโทษให้เธอยืนนั่งม้าในออฟฟิศ สุดท้ายมีคนไปฟ้องเหราอ้ายหมิ่น เธอทนดูไม่ได้จึงเข้ามา ‘ช่วย’ หยางซูออกไป ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจางเย่จะลงโทษเธอไปอีกนานแค่ไหน


……


โลกภายนอก


ในที่สุดเรื่องนี้ก็ถึงบทสรุปแล้ว!


และผลลัพธ์นั้นก็ทำให้เกิดความวุ่นวายใหญ่อีกครั้ง!


SARFT ออกมาแล้ว!


สำนักงานควบคุมคุณภาพ ตรวจสอบ และกักกันโรคแห่งประเทศจีนออกมาแล้ว


สมาคมผู้บริโภคแห่งประเทศจีนออกมาแล้ว!


หลายองค์กรเปิดการสอบสวน ลงมือกับบริษัทรถยนต์เกาหลีในเรื่องของคุณภาพ การโฆษณาเกินจริง การทำตลาดเกินจริง และยังมีเรื่องอื่นๆ อีก


บ่ายวันนั้น


ทั้งโฆษณาทีวี


โฆษณาที่ป้ายรถเมล์


โฆษณาในรถไฟใต้ดิน


โฆษณาที่ลีอันซูรับทุกชิ้นต่างถูกปลดลงทั้งหมด!


ลีอันซูเพิ่งจะกลับเข้าตลาดจีนด้วยโฆษณานี้ได้แค่สองวัน ก่อนโดนจางเย่จัดการส่งกลับบ้านไปเรียบร้อย ยิ่งกว่านั้น ด้วยปัญหาเรื่องแบรนด์รถยนต์ ภาพพจน์ของลีอันซูเองก็กระทบไปด้วย จางเย่ลงมือครั้งนี้ เรียกได้ว่าทำเอาลีอันซูคงเข้าตลาดประเทศจีนไม่ได้อีกหลายปีทีเดียว!


……


บริษัทรถยนต์


“เชี่ย!”


“ตลาดจีนดาร์กเกินไปแล้ว!”


“แม่งโคตรไม่เป็นมิตร!”


“เล่ห์เหลี่ยม แม่งเล่นเล่ห์เหลี่ยมชัดๆ!”


……


ทีมงานของลีอันซู


“ปลดจริงๆ เหรอ?”


“เป็นงี้ได้ไง?”


“โหดเหี้ยม! จางเย่แม่งโคตรโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”


“เราจะเข้าตลาดจีนไม่ได้เลยเหรอ?”


“โมโหจนจะร้องไห้แล้ว! ทำไมถึงมีคนแบบหมอนี่อยู่ได้กัน!”


……


เวยป๋อ


ชาวเน็ตจีนต่างยินดีปรีดา


“สะใจจริงๆ!”


“ไอ้รถยี่ห้อนี้เมื่อก่อนก็เคยโกงคนจีนไปครั้งหนึ่งแล้ว!”


“ใช่ๆ คิดว่ารีแบรนด์แล้วเราจะไม่รู้งั้นเรอะ?”


“ลีอันซูซวยมาก!”


“ตอนนั้นกล้าทำร้ายแฟนคลับจีน ก็ต้องเตรียมใจอยู่แล้วว่ามีโอกาสโดนไล่!”


“โคตรตอกหน้า!”


“ใช่ โฆษณาเพิ่งออกมาได้สองวันก็โดนจางจอมตอกหน้าปลดแทบในทันที!”


……


ข่าวแพร่ไปถึงญี่ปุ่นและเกาหลีอย่างรวดเร็ว


สื่อเกาหลีออกมาด่าและวิพากษ์วิจารณ์ในทันที!


‘แบรนด์เกาหลีถูกกีดกันจากประเทศจีน!’


‘จางเย่ก่อเรื่องอีกแล้ว!’


‘จางเย่ทุบกระจกกันกระสุนด้วยมือเปล่า?’


‘จางเย่ อันธพาลที่หยุดไม่ได้!’


เมื่อศิลปินจากเกาหลีและญี่ปุ่นเห็นว่าโฆษณาของลีอันซูในจีนไม่มีปัญหา ต่างก็คิดจะกลับเข้าตลาดจีนอีกครั้ง แต่พอได้ข่าวเรื่องนี้ ทุกคนก็รู้สึกเหมือนโดนน้ำแข็งราดรดศีรษะ!


จางเย่!


จางเย่อีกแล้ว!


ทำไมเขาถึงได้ก่อเรื่องบ่อยขนาดนี้!


ทำไมถึงได้สร้างความวุ่นวายมากขนาดนี้!


ปาร์คแจซังโดนส่งกลับ!


คิมจีซานโดนส่งกลับ!


คิมูระ คาสึยะโดนส่งกลับ!


ตอนนี้ แม้แต่ลีอันซูเองก็โดนส่งกลับไปด้วย!


แล้วยังจะเล่นกันยังไงต่ออีก?


แต่ที่ทำให้คนญี่ปุ่นและเกาหลีต้องยิ่งเดือดดาลยิ่งขึ้น ก็คือเมื่อทำเนียบศิลปินระดับเอเชียได้รับการอัปเดต ชื่อเสียงของจางเย่กลับยังคงเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง!



บทที่ 1419 : จับล็อตเตอรี่!

โดย

Ink Stone_Fantasy

วันต่อมา


ที่บ้านพ่อแม่คุณอู๋


ในลานบ้าน แดดกำลังดี พอจางเย่กับอู๋เจ๋อชิงมาถึง หลี่ฉินฉินก็ดึงตัวบุตรสาวไปคุยด้วย แล้วให้อู๋ฉางเหอเล่นหมากล้อมกับจางเย่


ไม่เกินความคาดหมาย ผู้ชายทั้งสองคนถกเถียงกันอีกแล้ว


“พ่อ ทำไมชอบถอยหมากล่ะ?”


“ฉันพยายามให้แกเห็นความเป็นไปได้อื่นๆ บนกระดานไง!”


“ไอ้หยา พ่อไวๆ หน่อยสิ”


“แกจะบ่นทำไม? พูดยังกะฉันกำลังเล่นกับแกจริงๆ จังๆ งั้นล่ะ”


“ผมต่อให้สี่หมากแล้ว พ่อยังไม่เอาจริงอีกเหรอ?”


“แกพูดเหมือนถ้าฉันต่อให้แกสี่หมากแล้วฉันจะแพ้ยังงั้นล่ะ!”


“เหอะๆ พ่อก็ไม่ชนะจริงๆ นั่นแหละ”


“เฮ้ย แกกล้าท้าฉันเรอะ มาลองกัน!”


“ผมว่าผมต่อให้พ่อห้าหมากดีกว่า!”


“ไม่ต้อง! ฉันต่อให้แกสิบหมากเลย!”


“ผมต่อให้ยี่สิบ!”


“ฉันต่อให้สามสิบ!”


“ผมต่อให้ห้าสิบ!”


“ฉันต่อให้แกร้อยนึงเลย!”


สรุปว่าหมากไม่ได้เล่นแล้ว ทั้งสองคนต่างวางหมากมั่วๆ ปากก็โม้ใส่กันไปเรื่อย


หลี่ฉินฉินกับอู๋เจ๋อชิงเห็นจนไม่แปลกใจแล้ว จึงนั่งหัวเราะคุยกันด้านข้าง ทำเป็นมองไม่เห็น ไม่สนใจนายท่านทั้งสองคนนี้แล้ว


สุดท้ายเถียงกันจนเหนื่อย ทั้งสองถึงหยุดปาก


หลี่ฉินฉินยิ้ม “เย่น้อย เธอนี่ทรงพลังจริงๆ นะ?”


จางเย่ยินดี “แน่นอนครับ รูปร่างแบบผม หุ่นแบบนี้ แม่มองไม่ออกเหรอ?”


อู๋ฉางเหอหัวเราะเยาะ “เออ มองไม่ออกจริงๆ นั่นแหละ”


หลี่ฉินฉินถาม “แต่นั่นกระจกกันกระสุนนะ ต่อให้เอารถมาผิดคันก็ยังเป็นกระจกนิรภัย ทำให้ฟาดแค่ครั้งเดียวก็แตกแบบนั้นล่ะ?”


จางเย่หัวเราะ “แม่ดูถูกผมใช่ไหมครับ? ว่ากันตรงๆ คือแบบนี้ แผ่นเหล็กหนาหรือไม่หนา ผมก็ฟาดยุบได้ในฝ่ามือเดียวเหมือนกันหมด! ผมมีวรยุทธ์นะ คนธรรมดาสามสิบห้าสิบคนยังเอาผมไม่ลงด้วยซ้ำ ตอนนั้นที่มีเรื่องกันในยุทธภพ พวกพรรคใหญ่สิบกว่าพรรคหาเรื่องผม ผมเดินไปเคาะประตูทีละสำนัก จัดการเรียบ! ทำลายป้ายสำนัก จัดการจ้าวสำนักจนหนีหน้าผมไม่กล้าส่งเสียงกันหมด ตอนผมรู้ว่าป้ายสำนักหัวซานทำงานไม้เนื้อแข็ง ผมก็เลยทำเป็นกำไลประคำไม้ขาย พวกนั้นโมโหมากแต่ก็ทำอะไรผมไม่ได้ ดูสิว่าผมแข็งแกร่งแค่ไหน อย่าว่าแต่แค่ทุบกระจกรถเลยครับ”


ยุทธภพ?


พรรคใหญ่?


ทำลายป้ายสำนัก?


ทำเป็นกำไลข้อมือ?


แกนี่มันโม้เก่งนะ! ไม่บอกว่าเหาะขึ้นฟ้าไปเลยล่ะ!


อู๋ฉางเหอฟังแล้วก็เบ้ปาก ส่วนหลี่ฉินฉินปิดปากหัวเราะ


จางเย่พูดติดตลก ทุกคนก็ฟังเป็นเรื่องตลก


แต่ที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ สิ่งที่จางเย่พูดนั้น เป็นเรื่องจริง


ตอนเที่ยง


หลังมื้ออาหาร อู๋ฉางเหอออกไปเล่นหมากล้อม ส่วนหลี่ฉินฉินยืนยันให้อู๋เจ๋อชิงพักผ่อนสักครู่แล้วลากเธอเข้าไปนอนในห้อง เหลือแค่จางเย่นั่งว่างไม่มีอะไรทำ จึงเดินไปห้องฝั่งตะวันตกเพื่อเอนตัวนอนเล่น เปิดมือถือดูข่าวของตัวเองบนเน็ต


สถานการณ์ตอนนี้นับว่ากำลังคุมเชิงกันอยู่


จางเย่บุกตลาดเกาหลีญี่ปุ่นไม่ได้ เหล่าศิลปินของทางนั้นเองก็กังวล จางเย่ตีตั๋วกลับบ้านให้พวกเขามาสี่คนแล้ว ในเวลาแบบนี้ ไม่มีใครกล้าเป็นนกยื่นหน้าออกไปเป็นตัวแรกอีก ต่างก็ลังเลรอดูว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ขณะที่จางเย่ยังคงคึกคักเข้มแข็ง ถึงจะโดนด่าจนชื่อเสียงย่อยยับ แต่อันดับในทำเนียบของเขาก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง วันเวลาช่วงนี้ผ่านไปอย่างสวยงาม


ทว่าจางเย่ยังไม่พอใจกับสถานการณ์เช่นนี้ นี่ไม่ใช่แผนระยะยาว เขากำลังจะเป็นพ่อคน แรงกายแรงใจของเขาก็เพิ่มขึ้นเปี่ยมล้น เขาคิดจะทดลองชิงชัยในระดับ S ของทวีปเอเชียดูบ้าง เขาตั้งเป้าไว้แล้ว ก่อนที่ลูกของเขาจะเกิดมา เขาต้องได้เป็นอย่างน้อยสตาร์คิงของทวีปเอเชียและยืนอยู่จุดสูงสุดของทวีปนี้ก่อนไปยังระดับโลก ไม่อย่างนั้นทุกอย่างคงเสียแรงเปล่า


จะหลุดออกไปได้ยังไง?


จะหลุดจากการแบนของญี่ปุ่นและเกาหลีได้ยังไง?


จะเพิ่มชื่อเสียงในระดับเอเชียให้ทะยานต่อไปได้ยังไง?


เขานึกถึงจางหย่วนฉี ฉีเหม่ยหลัน และคนอื่นๆ ที่อยู่ ณ จุดสูงสุดในวงการของประเทศ พวกเขาและเธอต่างก็เป็นสตาร์คิงสตาร์ควีนของทวีปด้วย เว้นแต่จางเย่ แม้ว่าวงการบันเทิงเกาหลียังมีอิทธิพลที่สุดในทวีปเอเชีย เพราะรายการโชว์ ซีรี่ย์และภาพยนตร์ล้วนเจาะตลาดจีนได้อย่างง่ายดาย กอบโกยเงินทองและแฟนคลับไปได้มหาศาล แต่หนัง ละครและรายการโชว์ของจีนกลับยากจะเจาะตลาดญี่ปุ่นเกาหลี แต่เพราะประชากรของจีนจมีมาก ตลาดมีขนาดใหญ่ คนที่สามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดของรายการในประเทศ ต่างก็ไปถึงจุดสูงสุดของทวีปนี้ด้วย อย่างน้อยๆ ก็ไม่มีปัญหาที่จะขึ้นสู่ระดับ S


ทำไมจางเย่ถึงเป็นข้อยกเว้น?


เป็นเพราะเขาเลือกเดินทางที่แตกต่างจากอีกหกคนที่เหลือ แต่ละคนต่างโด่งดังหน้าตาดี มีมาดไอดอล ถ่ายหนังทำละครร้องเพลง เป็นดาราในกระแส ขณะที่จางเย่ไม่เคยเข้าไปวุ่นวายกับกระแสหลักหรือเป็นดาราที่หน้าตาหล่อเหลา เรื่องนี้เป็นข้อสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นจางหย่วนฉีหรือฉีเหม่ยหลัน ทางของพวกเขานั้นไม่ใช่สิ่งที่จางเย่จะเดินตามได้


ถ้าอยากเป็นระดับสตาร์ของเอเชีย?


อย่างนั้นเขาก็ต้องหาทางของตนเอง!


หนทางที่แตกต่างจากคนอื่นๆ!


……


ครุ่นคิดอยู่ครึ่งชั่วโมง


ดื่มชาแก่ๆ ไปสามถ้วย


จางเย่ก็ยังไม่มีไอเดียอะไร เขาจึงตัดสินใจดูระบบล็อตเตอรี่ ค่าชื่อเสียงสะสมได้ขนาดนี้ ได้เวลาใช้อีกครั้งแล้ว ไม่อย่างนั้นทิ้งไว้ก็เปล่าประโยชน์


เปิดแหวนเกม


เปิดหน้าร้านค้า


เปิดใช้งานรัศมีแห่งโชค (อัปเกรด)


เปิดหน้าล็อตเตอรี่ เพิ่มเดิมพัน


เขาทำทุกอย่างด้วยความชำนิชำนาญ


คราวนี้เขายังคงเลือกเล่นล็อตเตอรี่ระดับสอง ของที่ได้จากหีบระดับกลางนั้นดีกว่าและมีระดับสูงกว่า แม้จะแพงกว่าในราคาถึงครั้งละสิบล้านแต้มก็ตามที ทุกเดิมพันที่เพิ่มคืออีกสิบล้านเช่นกัน ทว่าจางเย่ไม่ขาดแคลนค่าชื่อเสียงสักนิด ปีนี้ยังไม่ค่อยได้ใช้ค่าชื่อเสียงที่ได้มาแม้แต่น้อย ขณะที่ยังคงได้ค่าชื่อเสียงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายวันนี้มีค่าชื่อเสียงเพิ่มขึ้นนับไม่ถ้วนจนเรียกได้ว่าขอแค่เขายังอยู่ในวงการบันเทิง ค่าชื่อเสียงเขาไม่เคยจะหยุดเพิ่มขึ้น ดังนั้นจางเย่จึงใช้ไปอย่างง่ายดาย เพิ่มเดินพันไปอีกเก้าครั้ง รวมเป็นสิบเดิมพัน ค่าชื่อเสียงใช้ไปรวมหนึ่งร้อยล้าน ไม่รวมค่าชื่อเสียงที่ใช้ไปกับรัศมีแห่งโชค (อัปเกรด) มหาศาลด้วยซ้ำ


เริ่มการจับล็อตเตอรี่!


เปิดใช้งานสล็อตแมชชีน!


หนึ่งรอบ…


สามรอบ…


ห้ารอบ…


ติ๊ง ของรางวัลออกมาแล้ว


จางเย่มองด้วยความสงสัยใคร่รู้ หีบสมบัติระดับกลางที่คุ้นเคยวางอยู่ในช่องเก็บของของแหวน เขาเอาออกมาอย่างระมัดระวัง เปิดดูภายใน ก่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ไม่ใช่กล่องเปล่า ค่าชื่อเสียงเขาไม่ได้เสียเปล่าแล้ว


ภายในเป็นหนังสือทักษะ


เป็นหนังสือทักษะระดับสูง


‘หนังสือทักษะวาดภาพ’x10 : เพิ่มพูนความสามารถการวาดภาพ


ทักษะของหนังสือทักษะจากล็อตเตอรี่ระดับสองนั้น เทียบเท่าหนังสือทักษะระดับหนึ่งร้อยเล่ม ยิ่งไปกว่านั้นจางเย่ยังไม่พบเลยว่าระดับทักษะมีขีดจำกัด นี่คือเหตุผลที่เขาชอบเล่นล็อตเตอรี่ระดับสองมากกว่า ถ้าเล่นระดับหนึ่งมากไป ทักษะหรือค่าสถานะของเขาเต็มไปแล้ว สิ่งที่ได้มาก็สูญเปล่า แต่ในหนังสือทักษะระดับสูงนั้นไม่มีปัญหาเช่นนี้ ดังนั้นเมื่อจางเย่มีค่าสถานะและทักษะเต็มไปหลายอย่าง ทั้งค่าความแข็งแรง ความว่องไว เขียนพู่กัน คณิตศาสตร์ และหมากล้อม ก็ชัดเจนว่าล็อตเตอรี่ระดับสองเป็นตัวเลือกทีดีในการเพิ่มทักษะที่เต็มจนหนังสือทักษะระดับต้นเพิ่มต่อไปไม่ได้แล้ว


วาดภาพ?


ก็ได้ มีทักษะเพิ่มอีกแขนงก็ดี


จางเย่ไม่ได้สนใจ เล่นล็อตเตอรี่ต่อไป


สล็อตแมชชีนหมุนต่อ


หมุน…


หมุน…


เขาเบือนหน้าหนีไม่มอง เพราะเขาเองก็ทราบว่าจะมองหรือไม่ก็ไม่มีประโยชน์ สู้ไม่มองแล้วรอลุ้นเอาดีกว่า


เสียงติ๊งดังขึ้น ของรางวัลออกมาแล้ว


คราวนี้เป็นหีบสมบัติขนาดกลางสิบกล่อง


แต่เมื่อเห็นของภายใน จางเย่ก็ชะงักไป


‘หนังสือทักษะภาษาญี่ปุ่น’x10 : เพิ่มพูนความสามารถการใช้ภาษาญี่ปุ่น


ญี่ปุ่น?


วาดภาพ?


จางเย่ฉุกคิดขึ้นมา


หรือว่าสวรรค์กำลังบอกอะไรฉัน?



บทที่ 1420 : ไอเดียชั่วช้าของจางเย่!

โดย

Ink Stone_Fantasy

บ่าย


จางเย่กลับสตูดิโอ


ทุกคนกำลังทำงานอยู่ พอเห็นเขาแล้วก็ประหลาดใจ


“ผู้กำกับจาง?”


“มาทำไมกันครับ?”


“ไหนว่าจะพักสักสองวันไม่ใช่เหรอ?”


“นั่นสิ เพิ่งครึ่งวันเองนะ”


“อ๊ะ หรือว่ามีเรื่องอีกแล้ว?”


“มีคนมาหาเรื่องอีกแล้วเหรอคะ?”


ถ้าเป็นที่สตูดิโอดาราอื่น แต่ละวันไหนเลยจะมีเรื่องมากแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่มีใครทนให้เกิดขึ้นแบบนั้นได้ ครึ่งปีมีเรื่องใหญ่ครั้งหนึ่งก็พอให้วุ่นวายมากแล้ว แต่ว่าสตูดิโอของจางเย่นั้นไม่เหมือนกัน ถ้าสัปดาห์หนึ่งไม่เกิดเรื่องสักครั้งสองครั้งก็ไม่ใช่จางเย่สตูดิโอแล้ว ที่นี่คือศูนย์กลางของปัญหาในวงการบันเทิงเอเชีย


จางเย่ยิ้ม “ไม่มีเรื่องอะไรหรอก”


ทุกคนจึงค่อยระบายลมหายใจอย่างโล่งอก “ทำพวกเราตกใจหมด”


จางเย่พูดขึ้นทันที “มา ประชุม”


ในห้องประชุม


ทุกคนนั่งลง


จางเย่ถาม “เหล่าจั่ว สถานการณ์พวกเราตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”


จางจั่วหัวเราะเบาๆ “ถึงทางญี่ปุ่นเกาหลีจะออกข้อจำกัดมา เราก็ยังทำได้ดีครับ เมื่อวานชื่อเสียงในระดับเอเชียเราก็เพิ่มขึ้นอีกแล้ว”


ฮาฉีฉีหัวเราะ “ยิ่งโดนด่าเราก็ยิ่งดังค่ะ”


เสี่ยวหวังยกยอ “ผู้กำกับจางเกรียงไกร! ผู้กำกับจางไร้เทียมทาน!”


จางเย่ขำ “พอๆๆ ฟังยังไงก็ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องดีเลยสักนิด”


จางจั่วว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้ทางญี่ปุ่นเกาหลียังมีคำสั่งแบน เราก็ยังรักษาความยิ่งใหญ่ในทำเนียบได้ อาจจะขยับขึ้นได้ทีละเล็กละน้อย แต่ถ้าอยากขึ้นสู่จุดสูงสุดของทวีปนั่นยากมาก ยังต้องใช้เวลาอีกมากกว่าจะสำเร็จ”


จางเย่รับทราบ “เพราะงั้นตอนนี้ยังไม่พอ เราจะพอใจกับการหยุดนิ่งแบบนี้ไม่ได้”


ฮาฉีฉีมองเขา “คุณหมายความว่า?”


จางเย่ “ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ ไม่มีวิธีจะจัดการ งั้นพวกเราก็ลุยกับมันไปตรงๆ แต่เราจะทำแบบนี้ไม่ได้ แบบนี้ไม่มีความหมาย ไม่แก้ปัญหาอะไรเลย แน่นอนว่าชื่อเสียงเราเพิ่มขึ้น แต่ถ้าต้องการขึ้นสู่จุดสูงสุดในระดับทวีป ชื่อเสียงแค่นี้ถือว่าไม่สนใจ เราต้องทำอะไรที่ใหญ่พอให้เราดังขึ้นในชั่วพริบตา ฉันว่าเราต้องเปลี่ยนวิธีการ จะนิ่งเฉยรอโดนตีอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องถือโอกาสบุกไปทางนั้นก่อน!”


จะนิ่งเฉยรอโดนตีไม่ได้?


ฟังดูแล้วก็มีเหตุผล แต่ว่า…


อู่อี้ตะลึง “เราจะโจมตีก่อน?”


ถงฟู่ก็ว่า “แต่จะสู้ยังไง?”


จางจั่ว “ทางโน้นแบนมาแล้วนี่ครับ?”


จางเย่ยิ้ม “หาทางเลี่ยงข้อจำกัดนั่นเถอะ พวกเขาแบนชื่อผม ถ้าผมเปลี่ยนชื่อล่ะ? ใครจะรู้ว่านั่นคือผม?”


ไม่มีใครเข้าใจความหมายของเขา


เปลี่ยนชื่อ?


จะเปลี่ยนยังไง?


ใช้นามปากกาเหรอ?


ฮาฉีฉี “งั้นจะไปที่จุดไหนคะ?”


จางเย่ยิ้ม “ตอนนี้มีสองทางเลือก หนึ่งคือญี่ปุ่น สองคือเกาหลี ทุกคนให้ความเห็นกันหน่อยว่าจะไปที่ไหนกันก่อน?”


อู่อี้ “ถ้าอยากทำจริงๆ ผมว่าเกาหลีดีกว่า”


ถงฟู่พยักหน้า “เราคุ้นเคยกับทางนั้นมากกว่า เพราะยังไงก็เคยตีกันมานานแล้ว”


จางจั่วก็ว่า “ใช่ครับ ทางเกาหลีพวกเราคุ้นเคยกว่าหน่อย”


จางเย่พูดขึ้น “เยี่ยม งั้นผมตัดสินใจแล้ว ญี่ปุ่นก่อน!”


ทุกคนแทบเป็นลม!


พรืด!


งั้นคุณจะถามพวกเราทำอะไร?


คุณไม่คิดจะฟังความเห็นเราอยู่แล้วนี่!


ฮาฉีฉีถาม “งั้นจะโจมตียังไงคะ?”


ก่อนนี้จางเย่ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปอย่างไร แต่ว่าการจับลอตเตอรี่เมื่อตอนเที่ยงทำให้เขามีแนวคิดใหม่ เปิดโลกกว้าง จุดไฟให้สายตาเบิกเนตร ในเมื่อเขาเองก็ทำอะไรไม่ตามแบบแผนอยู่แล้ว อย่างนั้นเขาก็ควรทำเช่นนั้นต่อไป หนทางของดาราคนอื่นๆ ไม่เหมาะกับเขา เขาก็แค่ต้องหาทางไปของตัวเอง!


ภาษาญี่ปุ่น?


วาดภาพ?


คำตอบน่ะชัดเจนอยู่แล้ว!


รอยยิ้มของจางเย่ชวนพิศวง “ถ้าจะเล่นก็ต้องเล่นใหญ่ เรื่องเล็กทางน้อยเราไม่เดิน ยังไงก็ไม่ได้ชื่อเสียงโด่งดังอะไรนัก พวกคุณคิดดูนะ ในญี่ปุ่นอะไรดังที่สุด มีคนสนใจมากที่สุดจนนำหน้าประเทศอื่นๆ ไปช่วงใหญ่ ทั้งยังส่งขายไปทั่วเอเชีย กลายเป็นสื่อที่ถูกรับชมมากที่สุด?”


จางจั่วตะลึง “คุณหมายความว่า?”


จางเย่ฉีกยิ้ม “ใช่”


ฮาฉีฉีตาค้าง “คุณจะเอาอย่างนั้น?”


จางเย่ยิ้มพลางพยักหน้า “ไม่ผิด”


เสี่ยวหวังตะลึง “คุณจะถ่ายเอวีเหรอคะ?”


อะเฮื้อ…!


จางเย่แทบทรุดลงไปกับเก้าอี้ คำราม “ฉัน? เอวี? น้องสาวเธอสิ!”


เสี่ยวหวัง “ก็คุณบอกว่าคืออุตสาหกรรมที่เรียกความสนใจจากผู้คนได้มากที่สุด?”


จางเย่แทบโมโหตาย “เธอคิดออกแต่เรื่องนี้เรอะ? ฉันสั่งเลยนะ! ต่อไปดูหนังแบบนี้ให้มันน้อยๆ ลงหน่อย!”


เสี่ยวหวังหน้าแดงก่ำ “ฉันไม่เคยดูนะคะ!”


“ฮ่าๆๆๆ!”


“ฮ่าๆๆๆๆๆ!”


ทุกคนในห้องประชุมต่างหัวเราะลั่น


เสี่ยวหวังรีบถาม “งั้นคุณหมายถึงอะไรกัน?”


จางเย่ตบโต๊ะแล้วว่า “ดูสิ! ดูเธอสิเหล่าฮา! ฉันหมายถึงการ์ตูนญี่ปุ่น! มังงะน่ะที่รัก! ฉันจะใช้มันเป็นจุดเริ่มต้นให้คนญี่ปุ่นรู้จักฉัน ฉันจะพลิกฟ้าที่โน่นเอง! ตัดสินใจแล้ว เราจะเริ่มที่การ์ตูน ตั้งแต่วันนี้เลย!”


จางจั่วเหงื่อตก “คุณไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม?”


จางเย่ยิ้ม “เธอว่าฉันเหมือนพูดเล่นเรอะ?”


เสี่ยวหวัง “แต่ว่าคุณไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นนี่”


จางเย่อ้าปาก “#%$@%$¥¥#@。”


เสี่ยวโจวชะงัก “ภาษาญี่ปุ่น?”


ถงฟู่ร้องอุทาน “คุณไปเรียนมาตอนไหนน่ะ?”


จางเย่ยิ้ม “เพิ่งเรียน ความสามารถในการเรียนรู้ของฉันน่ะสูงนะ ภาษาญี่ปุ่นน่ะถือว่าง่าย เรียนไม่ยากหรอก”


เรียนไม่ยาก?


แต่ยังไงก็เรียนเร็วขนาดนี้ไม่ได้!


ทุกคนงุนงงไปหมด


เสี่ยวหวังปาดเหงื่อ “แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นคุณวาดรูปนะคะ?”


จางเย่ “เธอน่ะยังไม่เคยเห็นอีกมาก ยังไงซะก็ถือว่ากำหนดแนวทางแล้ว ภายในปีนี้ เราต้องกลายเป็นดาราเอเชียระดับเอสให้ได้ ฉันรู้ว่าเราไม่เคยจับงานการ์ตูนมาก่อน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา พอลองทำก็ทำดีเอง ทุกคน ฉันอยากให้ทุกคนเปิดทางติดต่อตามช่องทางที่ตัวเองมี เตรียมงานเอาไว้ให้ดี แต่ต้องเป็นความลับ อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้ พอเราติดต่อทางญี่ปุ่น ทางนั้นต้องไม่รู้ตัวตนของเรา ไม่งั้นเราก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”


เขายังพล่ามต่อไปอีกนาน


ทุกคนจึงเพิ่งจะสูดลมหายใจหนาวเหน็บ


เอาจริงสิ?


จะเอาแบบนี้จริงสิ?


แต่ว่าผู้กำกับจางวาดการ์ตูนเป็นได้ยังไง? ก็เรื่องนี้ยังไงทางญี่ปุ่นชำนาญที่สุดไม่ใช่เหรอ?


แต่พอเห็นจางเย่มั่นใจขนาดนี้ก็ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ถ้าเขาอาศัยมังงะเจาะตลาดญี่ปุ่นสร้างชื่อมาได้จริงๆ ก็ถือว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่ง แบบนี้ชื่อเสียงของเขาก็จะก้าวกระโดดไปข้างหน้า! อย่างนั้นก็ทดลองดูเถอะ!


แต่ประโยคต่อมาของจางเย่ก็ทำให้ทุกคนต้องทรุด!


จางเย่กำลังจะเดินออกจากห้องประชุมก็หันกลับมา “เอ๊ะ จะวาดการ์ตูนนี่ เราต้องใช้เครื่องมือแบบไหนบ้างนะ?”


“หา?”


“นี่ว่าคุณไม่รู้หรอกเหรอ?”


“เป็นลมแล้ว!”




บทที่ 1421 : ผลงานมังงะตอนที่หนึ่งออกมาแล้ว!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ที่สตูดิโอ


มีคนออกไปติดต่อกับทางญี่ปุ่น


ขณะเดียวกันคนที่เหลือก็คอยแนะนำเสนอข้อคิดเห็นต่อจางเย่ คุยกันเรื่องเครื่องมือ สำนวนว่าช่างรองเท้าอัปลักษณ์ 3 คนยังเหนือกว่าขงเบ้ง ดังนั้นพวกเขาจึงระดมความคิดกัน


ฮาฉีฉี “ใช้ปากกาคอแร้งใช่ไหม?”


มีคนเถียง “ผมว่าดินสอมั้ง”


จางเย่ส่ายหน้า “ไม่ใช่ดินสอแน่นอน”


เสี่ยวโจวพูดขึ้น “รู้แล้ว เคยได้ยินคนบอกว่าใช้จีเพ็น ทางญี่ปุ่นใช้แบบนี้ น่าจะมีหลายแบบเหมือนกันนะคะ”


จางเย่ตาเป็นประกาย “ใช่ๆๆ อันนี้ๆ! ฉันก็เคยได้ยิน เอาล่ะเสี่ยวโจว จีเพ็น ได้ๆ เอ้าๆ จดไว้นะ”


เสี่ยวหวังนั่งข้างเขา จดรายละเอียดอย่างจริงจัง


จางจั่ว “กระดาษเอสี่ด้วย”


จางเย่ตบขาฉาด “ใช่ อันนี้ด้วยๆ”


อู่อี้ “ไม้บรรทัด อย่าลืมไม้บรรทัด”


“ใช่ ไม้บรรทัด” จางเย่พยักหน้าแรง


เสี่ยวหวังเงยหน้าขึ้น “ถ้าวาดผิดละคะ? ทำยังไง?  ต้องมีลิควิดด้วยสิ!”


จางเย่ชี้ไปทางเธอ “ดูสิว่าเสี่ยวหวังรอบคอบขนาดไหน ใช่แล้ว ลิควิดด้วย!”


เสี่ยวหวังได้รับคำชมก็ยินดี “เป็นเพราะผู้กำกับจางชี้แนะได้ดีต่างหากละคะ!”


คนทั้งกลุ่มกระตือรือร้น ทำให้รายการของที่ต้องซื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


ที่มุมหนึ่งของสตูดิโอ เด็กใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมสตูดิโอตาค้าง เขามองจางเย่ ฮาฉีฉี และคนอื่นๆ ในใจนึกถล่มบรรพบุรุษของคนเหล่านี้! คำพูดแต่ละคำที่ออกมาเหมือนจะนำเขาคืนสู่อดีตสมัยเด็ก!


ไม้บรรทัด?


กระดาษเอสี่?


ลิควิดอีก???


เชี่ย นี่มันของโบราณสมัยไหนกันแล้วเนี่ย?


ทำผิดเขาใช้เทปลบคำผิดกันหมดแล้ว!


เสี่ยวซุนลังเล ก่อนจะยกมือขึ้น “ผู้กำกับจางครับ เรื่องนี้…”


ฮาฉีฉีถาม “ว่ายังไงเสี่ยวซุน?”


เสี่ยวซุนยิ้มเจื่อน “ตอนนี้ทางญี่ปุ่นวาดการ์ตูนไม่ได้ใช้ของแบบนี้แล้วครับ เปลี่ยนไปใช้คอมพิวเตอร์กับโปรแกรมวาดภาพนานแล้ว”


จางเย่ “หือ?”


ฮาฉีฉี “อ้าว?”


จางจั่ว “เชี่ย จริงเหรอ?”


เสี่ยวซุนปาดเหงื่อ “ที่พวกคุณพูดถึงกัน เป็นเครื่องมือวาดรูปที่ไม่ได้ใช้มาหลายปีแล้วครับ ผมมีญาติอยู่ญี่ปุ่น คุ้นชินกับสถานการณ์ทางโน้น ว่างๆ ผมก็วาดการ์ตูนเหมือนกัน ของพวกนี้ผมก็เคยใช้ ไม่ต้องมีพวกลิคงลิควิดอะไรแล้วครับ!”


เหล่าระดับสูงในสตูดิโอหน้าแดง


จางเย่โพล่งขึ้นมา “ดูสิ ทุกคนออกความเห็นวุ่นวาย แต่เสี่ยวซุนเป็นมืออาชีพด้านการวาดรูป งั้นเราต้องฟังความเห็นมืออาชีพแล้วนะเรื่องนี้!”


พวกเราออกความเห็นวุ่นวาย?


คุณนั่นแหละที่เห็นด้วยกับทุกอย่างน่ะ!


ทุกคนกลอกตาใส่


จางเย่หัวเราะ “เอาล่ะเสี่ยวซุน เรื่องนี้ผมให้คุณจัดการ ต้องใช้อะไร ซอฟต์แวร์อะไรก็บอกเสี่ยวหวัง เธอจะจัดการติดตั้งให้”


เสี่ยวหวังรีบรับคำสั่ง “ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เองค่ะ!”


……


คืนนั้น


อุปกรณ์ เครื่องมือ แม้แต่โต๊ะและเก้าอี้พิเศษก็พร้อมแล้ว


จางเย่ร้องขอมาสองชุด หนึ่งจะตั้งไว้ที่คฤหาสน์ของเขา อีกหนึ่งจะอยู่ที่สตูดิโอ


คอมพิวเตอร์เป็นรุ่นจอสัมผัสตัวล่าสุดจากบริษัทชั้นนำ เขาใช้งานและวาดลงบนจอได้ทันที ไม่ต้องมีอะไรเชื่อมต่อ ซอฟต์แวร์ดาวน์โหลดได้จากอินเทอร์เน็ต เลือกได้ตามใจ ไม่มีอะไรให้ชวนพิศวง


ที่บ้าน


สายจากอู๋เจ๋อชิงมาถึง


“ถึงบ้านแล้วเหรอ?”


“อ๊ะ ผมยังติดงานน่ะ”


“คืนนี้จะไปกินข้าวที่บ้านพ่อกับแม่ฉันไหม?”


“ไม่ได้แล้ว พวกเธอกินกันไปก่อนเลย”


“งั้นกลับไปแล้วค่อยทำกับข้าวไว้ให้เธอนะ”


“ไอ้หยา ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมสั่งข้าวเอง”


“ที่บ้านมีอะไรน่ะ?”


“อ้อ ผมกำลังทำห้องวาดรูป เลยต้องย้ายของเยอะหน่อย ห้องอ่านหนังสือเล็กนั่นคุณไม่ค่อยได้ใช้ไม่ใช่เหรอ? ผมขอทำเป็นห้องวาดรูปนะ โอเคไหม?”


“หึๆ เอาเลย”


“โอเค”


คุณอู๋มีข้อดีตรงนี้เอง จางเย่ทำอะไรเธอก็ไม่เคยวุ่นวาย


คุณอู๋จะอยู่ที่บ้านของพ่อแม่อยู่แล้ว จางเย่จึงตัดสินใจจะลองวาดสักเล็กน้อยก่อนเลือกเรื่อง สุดท้ายก็สั่งอาหารข้างนอกมากินเป็นมือเย็น พอเหล่าคนงานจัดห้องเสร็จเขาก็กินเสร็จพอดี หลังพวกเขาออกไป จางเย่ก็อาบน้ำอุ่นอยู่ครึ่งชั่วโมง จัดเรียงความคิดก่อนเริ่มงาน


……


แปดโมงครึ่ง


ในห้องวาดรูป


จางเย่นั่งบนเก้าอี้ทำงานตัวใหม่ของตน เปลี่ยนแปลงโหมดทำงานในทันที


เปิดคอมพิวเตอร์ เปิดโปรแกรมเฉพาะทางการวาดภาพ เริ่มขยับมือ ภาพวาดไม่จริงจัง แต่ตัวเขาเองกลับต้องตกใจ!


ปลา?


นก?


บ้าน?


รถ?


ขอเพียงจินตนาการได้ เขาก็สามารถลอกเลียนออกมาได้เหมือนจริงที่สุด ไม่มีอะไรหยุดยั้งเขาได้ ความรู้สึกนี้ยังยิ่งกว่าอัศจรรย์เสียอีก ท่าทางเขาไม่มีทางมีปัญหาถ้าจะวาดการ์ตูนจากโลกเดิมแน่ๆ ปัญหาเดียวคือเรื่องซอฟต์แวร์ จางเย่ใช้เวลาค้นหาและทำความคุ้นเคยกับวิธีการใช้งานเป็นชั่วโมง ทั้งการเติมสี ลบจุดผิดพลาด และบันทึกไฟล์


หนึ่งชั่วโมงต่อมา


เทคนิคไม่มีปัญหา


เขาไม่มีปัญหากับการวาดภาพแม้แต่น้อย


ที่ขาดไปคือเรื่องที่จะวาด?


จางเย่เปิดแหวนเกม เปิดหน้าจอร้านค้า ซื้อแคปซูลความทรงจำอย่างบ้าคลั่ง กินเข้าไปทีละเม็ดอย่างต่อเนื่องแล้วหลับตาลง ทันใดเขาก็จดจำการ์ตูนที่เคยอ่านในโลกเก่าได้ทั้งหมด จำได้ทุกรายละเอียดของทุกบทของการ์ตูนทุกเรื่องในสมอง ในโลกใบก่อน จางเย่เองเป็นแฟนการ์ตูนและอนิเมะเช่นกัน ตั้งแต่เด็กก็เริ่มดูการ์ตูน โตมาก็อ่านมังงะ แม้จะไม่ใช่แฟนคลับอะไรขนาดนั้น ทั้งยังไม่ได้อ่านงานหลายชิ้นนัก แต่ก็ยังชมชอบที่ได้อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นดังๆ


เลือกเรื่องไหนดีนะ?


ใช้งานชิ้นไหนดีนะ?


จางเย่ครุ่นคิดไปมาก็ยังตัดสินใจไม่ได้ เรื่องนั้น? เรื่องนั้นก็ดี! เรื่องนี้? เรื่องนี้ก็ไม่เลว! จะใช้เรื่องไหนดี? แต่คิดๆ ไป จางเย่ก็หัวเราะ เชี่ย จะเรื่องไหนก็เหมือนกันนี่ ยังไงก็ไม่มีในโลกใบนี้อยู่แล้ว จะเอาเรื่องไหนมาก็เหมือนกันนั่นแหละ!


เอาล่ะ งั้นก็เริ่มด้วยอันนี้นี่แหละ!


จางเย่ตัดสินใจแล้วก็เริ่มวาดในทันที!


……


วันพีซ (ONE PIECE)


ตอนที่ 1 : รุ่งสางของการผจญภัย


ความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และอำนาจ ชายผู้ซึ่งได้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกไว้ในครอบครอง เมื่อครั้งอดีตจ้าวแห่งโจรสลัดโกลด์โรเจอร์ ประโยคหนึ่งที่เขาได้พูดไว้ก่อนตาย ได้ทำให้ประชาชนทั่วทุกมุมโลกมุ่งหน้าสู่น่านน้ำทะเล “สมบัติของข้ารึ? ถ้าอยากได้ข้าจะยกให้! ก็ลองหาดูซี่ ข้าได้เอาทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ไว้ ณ ที่แห่งนั้นแล้ว!” [1]


โลก…


ได้อ้าแขนรับยุคสมัยแห่งโจรสลัดแล้ว


……


แกรกๆๆ


แกรกๆๆ


มีแต่เสียงปากกาวาดรูปวาดผ่านหน้าจอ


หนึ่งชั่วโมง


สามชั่วโมง


ห้าชั่วโมง


เขาลงมือวาดทั้งคืน


จากไม่คุ้นชินในตอนแรก เขาก็ค่อยๆ คุ้นชิน ยิ่งวาดเร็วขึ้นเรื่อยๆ


จางเย่จมจ่อมจนหลงลืมเวลา เวลาเขาทำงานก็เป็นแบบนี้ประจำ ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่นอน ไม่มีใครหยุดเขาได้กระทั่งเขาพอใจหรือขยับไม่ได้แล้ว


หนึ่งบท


สองบท


พอฟ้าสว่าง เขาก็วาดจบไปสองตอนเต็มๆ แล้ว!


หลังจางเย่ถมพื้นหลังของช่องสุดท้ายตอนที่สองด้วยสีดำเสร็จ เขาก็มองผลงานที่ตนทำมาทั้งคืน ก่อนตกตะลึง นี่มันจะไวเกินไปไหม? แค่คืนเดียวก็วาดจบไปสองตอนแล้วเหรอ? ก่อนนี้เคยได้ยินแต่ชีวิตนักวาดนั้นล้วนแต่ทนทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือนก็ตามแต่ อย่างมากที่สุดก็ส่งงานได้แค่สัปดาห์ละตอนเท่านั้น? แถมกว่าจะเสร็จก็เหนื่อยรากเลือดอีก?


ทำไมฉันไม่เหนื่อยเลยนะ?


ลูกพี่ไม่เหนื่อยเลยสักนิด


จางเย่เพิ่งวางปากกา เดินออกไปกินอาหารเช้าอย่างสดชื่น


เขาไม่เหนื่อยเลยสักนิด วาดอย่างรวดเร็ว แต่เพราะว่าเขาเต็มไปด้วยไอเดียของงานของคนอื่น ไม่ต้องมีร่าง ไม่ต้องวางพล็อต ไม่ต้องทำดีไซน์ตัวละคร แค่วาดไปเท่าที่รู้! แถมแม่งยังมีผลเพิ่มความไวกับผลเพิ่มความอึดอยู่ด้วย…


แล้วแม่งจะไม่เร็วได้ยังไง!


 [1] ตอนที่ 1 หน้าที่ 1 “ONE-PIECE” เออิจิโระ โอดะ, สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมมิก.




บทที่ 1422 : ‘วันพีซ’ เปิดตัว!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนเช้า


ที่สตูดิโอ


หลังนอนงีบที่บ้านไปสองสามชั่วโมง จางเย่ก็ไม่มีท่าทีอ่อนล้าอะไรอีก เขาตื่นมาอย่างสดใส ทั้งยังมาทำงานพร้อมฮัมเพลงฮึมฮัม


“ผู้กำกับจาง”


“อรุณสวัสดิ์ครับ”


“ผู้กำกับจาง มาแล้วเหรอครับ?”


ทุกคนยิ้มทักทาย


จางเย่ยิ้มกลับ “ยุ่งกันหรือเปล่า? ติดต่อกันเสร็จรึยัง?”


ฮาฉีฉี “กำลังจัดการค่ะ โชคดีที่เสี่ยวซุนมีญาติอยู่ในญี่ปุ่น หลายอย่างเลยง่ายขึ้นมาก”


เสี่ยวซุนเกาหัวด้วยความเขินอาย “สมควรทำอยู่แล้วครับ”


จางเย่ตบบ่าของเขา “ทำได้ดีมากเสี่ยวซุน ถึงเวลาเราอาจจะต้องขอให้ญาติของนายช่วยเป็นตัวแทนเราด้วยนะ ยังไงซะสื่อก็รู้จักทุกคนในสตูดิโอเราแล้ว ถ้ามีใครออกหน้าไปต้องโดนเปิดโปงแน่ อีกอย่างนอกจากฉันแล้วคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครรู้ภาษาญี่ปุ่นด้วย”


เสี่ยวซุนตอบในทันที “เรื่องนี้ไม่มีปัญหาครับ”


จางเย่ยิ้ม “เอาล่ะ งั้นก็ลำบากหน่อยละนะ”


เสี่ยวซุนรีบตอบ “ผู้กำกับจางเกรงใจไปแล้วครับ อ้อ ห้องวาดภาพของคุณเสร็จแล้วนะครับ”


เสี่ยวหวังตะโกนมาจากชั้นบน “ผู้กำกับจาง ทุกอย่างจัดการเสร็จแล้วค่ะ เริ่มวาดได้ตามใจเลย”


จางเย่ “เริ่มวาดอะไรกัน? ฉันทำเสร็จไปสองบทแล้ว”


เสี่ยวหวังแทบตกบันได!


ทุกคนตะลึงไป!


“หา?”


“อะไรนะ?”


“วาดเสร็จแล้ว?”


“สองตอน?”


“เชี่ย!”


“คุณต้องไวขนาดนี้เลยเรอะ!”


“ดูจากอัตราการผลิตผลงานแล้ว ผมแม่งต้องยอมคารวะคุณจริงๆ!”


ความสามารถจะต่างกันเกินไปแล้ว!


พอคิดถึงดาราคนอื่น คิดถึงสตูดิโอแห่งอื่น ทุกคนต่างก็เป็นคนในวงการเดียวกัน ล้วนแต่เคยติดต่อกัน ตอนคุยกันส่วนตัว ทุกคนก็บ่นแต่ว่าทำไมดาราคนนี้ถอนตัวจากงานนั้น ดาราคนนั้นไม่อยากรับงานนี้ เพลงใหม่บางเพลงโดนเลื่อนไปเป็นเดือน หรือเรื่องที่ทีมผลิตซีรีส์ทะเลาะกับดาราจนถ่ายต่อไม่ได้ คนที่ทำงานในสตูดิโอเหล่านั้นต่างก็ต้องคอยจัดการกับเรื่องพวกนี้ให้ดาราของตนอย่างลำบากยากเย็น!


แต่ที่สตูดิโอของพวกเขา?


ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยสักนิด!


ความจริงแล้วกลับตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง!


เหล่าทีมงานยังไม่ทันเตรียมตัวพร้อม ก็พบว่าผู้กำกับจางกลับทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว!


นี่มันอะไรกัน?


ไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์เช่นนี้ นอกจากจะเคยทำงานที่สตูดิโอของจางเย่มาก่อน!


ฮาฉีฉียิ้มเจื่อน “คุณไวเกินไปแล้ว!”


จางจั่วขำ “ผู้กำกับจางก็ใจร้อนแบบนี้ตลอด”


จางเย่หัวเราะฮ่าๆ “แน่นอน มาๆๆ ผมส่งฉบับไฟนอลให้ทุกคนแล้ว ลองอ่านแล้วออกความเห็นหน่อย!”


ทันใด ทุกคนก็เข้ามาล้อมคอมพิวเตอร์อ่าน


“หา!”


“มังงะจริงๆ!”


“ดูเหมือนจะเป็นของจริงนะ!”


“อ๊ะ ญี่ปุ่น!”


“ผู้กำกับจางรู้ภาษาญี่ปุ่นจริงๆ ด้วย!”


ทุกคนร้องด้วยความตื่นเต้น


จางเย่เห็นปฏิกิริยาของทุกคนแล้วก็ยิ้ม พึงพอใจอย่างยิ่ง


หลายนาทีให้หลังก็อ่านจบ


จางเย่พูดยิ้มๆ “เป็นยังไง? คิดว่าไงบ้าง?”


ฮาฉีฉี “เรื่องนั้น…”


จางจั่วเองก็อึกอักไม่กล้าพูด


จางเย่เบ้ปาก “วางใจเถอะน่า กล้าๆ พูดหน่อย บอกมาสิว่าคิดยังไงกัน”


ฮาฉีฉีออกปากก่อน “ฉันเองก็ไม่ได้ชอบการ์ตูนนักนะคะ ก่อนนี้ก็ไม่ค่อยได้อ่าน แต่แค่แวบแรกที่เห็นก็รู้สึกว่าออกจะประหลาดหน่อยๆ โจรสลัด? สมควรแล้วเหรอคะ? ก็แค่เรื่องของการปล้นชิง? ถ้าอยากให้ดังในญี่ปุ่น ให้เกาะกระแสสักหน่อยจะดีกว่าไหมคะ? แต่ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีการ์ตูนแบบนี้ในญี่ปุ่นมาก่อน หรือว่า…หรือว่ามันออกจะเป็นตลาดเฉพาะไปหน่อยไหมคะ?”


จางเย่ยิ้ม “ยังมีอีกไหม?”


เสี่ยวหวังกระแอม “เรื่องดีไซน์ตัวละคร ทำไมดูออกจะ…”


จางเย่ถาม “ออกจะทำไม?”


เสี่ยวหวัง “น่าเกลียดนิดหน่อย”


เสี่ยวโจวปาดเหงื่อ “รับไม่ค่อยได้สักหน่อยครับ ดูดีไซน์มันออกจะเรียบไปนิด”


เสี่ยวซุนมองสีหน้าผู้กำกับจางก่อนว่า “ผมอ่านการ์ตูนมามาก นิสัยใจคอจิตวิญญาณของตัวละครมักปรากฏอยู่ในดวงตาของตนเอง แต่ว่าตัวละครของคุณนี่ ทำไมตามีแค่จุดนิดเดียวละครับ? นี่มันเหมือนกับไม่มีลูกตาเลยนี่? จะได้เหรอครับ?”


พื้นหลัง


ตัวละคร


พล็อตเรื่อง


ทุกคนเริ่มวิจารณ์เรื่องนี้


“ผู้กำกับจาง เรื่องนี้ไม่ไหวหรอกมั้งคะ?”


“ไม่เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นแทนละคะ?”


พอจางเย่ได้ยิน เขาก็ยิ้ม “พอฟังความเห็นของทุกคน ผมก็ชักจะสบายใจ เอาล่ะ เราจะทำต่อไปแบบนี้แหละ ผมจะวาดอีกสักหลายตอนแล้วส่งไปญี่ปุ่นนะ!”


ทุกคน “…”


พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจางเย่จะสื่ออะไร


มีแค่เขาที่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น


ทำไมเขาถึงสบายใจกันนะ?


เพราะในโลกใบเก่าของเขา นี่คือการประเมินของทุกคนขณะที่วันพีซเปิดตัว!


แปลกประหลาด!


น่าเกลียด!


ตัวละครออกแบบมาพิกล!


เยี่ยม! ทั้งสองโลกดูเหมือนจะมีเซนส์ด้านความสวยงามในมังงะคล้ายกัน!


เยี่ยมเลย!


วันพีซต้องดังแน่นอน!


ทุกคนพยายามเกลี้ยกล่อมจางเย่อย่างระมัดระวัง แต่ก็ต้องยอมแพ้เมื่อพบว่าเขาไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด


ฮาฉีฉีถาม “งั้นคุณจะใช้นามปากกาว่าอะไรคะ?”


จางเย่ชะงัก “เอ จะใช้นามปากกาว่าอะไรดีนะ?”


จางเย่ใช้ชื่อจริงหรือชื่อภาษาจีนไม่ได้แน่ ดังนั้นต้องคิดชื่อที่เป็นญี่ปุ่นออกมาให้ได้


ชื่ออะไรดี?


ชื่อแรกลอยขึ้นมาในห้วงความคิดของเขา เป็นชื่อคนดังในญี่ปุ่น เขาพูดออกมาทันที “ชื่อโซระเถอะ”


โซระ?


ชื่ออะไรนั่นน่ะ?


ทีมงานไม่เข้าใจ


ฮาฉีฉี “เอาล่ะค่ะ งั้นให้ชื่อว่า…โซระ?”


ขณะที่กำลังคุยกัน


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น


จางเย่รับสาย เป็นสายจากคนของกาชาดแห่งเอเชีย


เป็นคนจีนนามว่าฉีหัวหัว หนึ่งในผู้จัดการของทางนั้น


“อาจารย์จาง”


“ครับ สวัสดีครับเจ๊ฉี”


“สัปดาห์หน้าพวกเราจะไปจัดงานการกุศลที่ญี่ปุ่นเลยอยากเชิญคุณไปด้วย ไม่ทราบว่าสะดวกรึเปล่าคะ?”


“ญี่ปุ่น?”


“ใช่ค่ะ”


“งานอะไรเหรอครับ?”


“งานประกาศรางวัลสื่อเพื่อสังคมของทวีปเอเชียค่ะ”


“มีผมด้วยเหรอ?”


“แน่นอนสิคะ”


“ทางนั้นไม่ให้ผมเข้าประเทศไม่ใช่เหรอ?”


“งานประกาศรางวัลของเรา ทางนั้นไม่กล้าหยุดคุณหรอกค่ะ”


“โอเค งั้นผมไป”


“ค่ะ ช่วยส่งรูปถ่ายพาสปอร์ตให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ? ฉันจะช่วยคุณจัดการเอกสาร”


“ได้ครับ ขอบคุณมาก”


พอวางสาย จางเย่ก็บอกฮาฉีฉีและคนอื่นๆ


ฮาฉีฉีบันทึกไว้ทันที “ได้ค่ะ ฉันจะจัดการให้”


เสี่ยวหวังกะพริบตาปริบ “จะไปญี่ปุ่นจริงเหรอคะ?”


จางเย่ยิ้ม “ทำไมล่ะ? ยังไงเราก็ต้องไปสู้กับพวกนั้นอยู่แล้ว ไปสำรวจสถานการณ์สักหน่อยสิ”


เขาเพิ่งกลับจากเกาหลี?


ยังจะไปญี่ปุ่นต่ออีก?


ทุกคนตัวสั่นเทิ้มเล็กน้อยด้วยความหวาดหวั่น!


ผู้กำกับจางมีปัญหากับเขาทั้งๆ ที่ประตูบ้านยังไม่เหยียบด้วยซ้ำ ถ้าออกไปแล้ว ถ้าไปถึงต่างประเทศแล้ว เขายังจะไม่ก่อปัญหาใหญ่โตยิ่งกว่านี้หรือไง? ดังนั้นทุกคนได้แต่ตัวสั่นกึกๆ เมื่อได้ยินว่าจางเย่จะไปต่างประเทศอีกแล้ว!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)