ฉันนี่แหละคือซูเปอร์สตาร์ I’m really a superstar 1360-1367
ตอนที่ 1360
ภาค 10
บันทึกสัมภาษณ์หนึ่งวันกับจางเย่!
โดย
Ink Stone_Fantasy
วันที่ 4 ของปีใหม่
ตอนเช้าตรู่ หนังสือพิมพ์ก็ออกจำหน่าย
‘กำเนิดสตาร์คิง!’
‘จางเย่สุดแข็งแกร่งบนจุดสูงสุด!’
‘วงการบันเทิงอาจเข้าสู่ยุคใหม่!’
‘เหล่าดาราต่างพากันอวยพรผ่านเวยป๋อ!’
‘จางเย่ต้อนรับคะแนนนิยมสูงสุดใหม่!’
เมื่อเปิดโทรทัศน์ดูก็มีแต่ข่าวของจางเย่
CCTV : คืนนี้ รายการ ‘นัดกับเหยียนเหมย’ จะมีโปรแกรมพิเศษค่ะ พิธีกรรายการทอล์กโชว์ชื่อดังอย่างเหยียนเหมยจะเข้าไปเยี่ยมเยือนจางเย่ที่บ้าน เพื่อนำตัวตนที่แท้จริงของจางเย่มาเปิดเผยให้ผู้ชมดูกันค่ะ เราจะใช้กล้องบันทึกการทำงานและชีวิตประจำวันของเขาตลอดหนึ่งวัน การปรากฏตัวครั้งแรกของจางเย่ในฐานะสตาร์คิง พวกคุณเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?
บนเวยป๋อ
“ว้าว!”
“มาแล้ว มาแล้ว!”
“ฮ่าๆ ‘นัดกับเหยียนเหมย’ มาแล้ว!”
“ฉันตั้งตารอเลย”
“ใช่ ฉันยังไม่เคยเห็นชีวิตประจำวันของจางเย่มาก่อนเลย”
“รายการแรกในฐานะสตาร์คิง!”
“รายการนี้ฉันดูอยู่ตลอด น่าสนใจนะ!”
“ฉันแค่อยากดูอู๋เจ๋อชิงเท่านั้นแหละ!”
“พรูด ที่จริงฉันก็เหมือนกัน รองบังคับการอู๋สวยมากจริงๆ!”
“ถ้าปีนี้ภรรยาของจางเย่ลาออกแล้วมาเข้าวงการบันเทิง ความนิยมต้องสูงกว่าไอ้หมอนี่แน่นอน!”
“ฮ่าๆๆๆ เห็นด้วย!”
“เพราะรองบังคับการอู๋ ฉันถึงเป็นแฟนคลับของสมาคมสื่อฯ!”
“พรูด นี่เป็นการสัมภาษณ์จางเย่นะ พวกนายคุยให้ถูกเรื่องหน่อยสิ”
“น่าจะเริ่มการบันทึกเทปแล้วมั้ง?”
“คืนนี้จะรอดูนะ!”
“+1!”
……
ในบ้าน
เวลาเจ็ดโมงกว่า
วันนี้จางเย่ตื่นเช้าเพราะนัดสัมภาษณ์เอาไว้ แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าเหยียนเหมยและทีมงานจะมาเร็วกว่า เขาเพิ่งลืมตา เสียงกริ่งชั้นล่างก็ดังขึ้นแล้ว
“พวกเขามากันแล้วเหรอ?”
“น่าจะใช่”
“คุณไปเปิดประตูเถอะอู๋”
“โอเค”
อู๋เจ๋อชิงมาเปิดประตู
จางเย่เดินอ้าปากหาวลงบันไดมา เขากับเหยียนเหมยเป็นคนคุ้นเคย ตอนทำรายการคืนส่งปีก็ได้ร่วมงานกัน
นอกประตู เหยียนเหมยแต่งตัวในชุดลำลองยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น ด้านหลังมีเพียงตากล้องหนึ่งคนกำลังแบกกล้องอยู่ เลนส์กล้องถูกเปิดใช้งานแล้ว มีไฟสีแดงขึ้นอยู่ ตั้งแต่วินาทีที่เหยียนเหมยกดกริ่ง กล้องก็ได้เริ่มการบันทึกแล้ว พวกเขาต้องการบันทึกชีวิตประจำวันและการทำงานหนึ่งวันของจางเย่ ดังนั้นจึงต้องบันทึกทุกอย่างไว้
เหยียนเหมยยิ้มทักทาย “รองบังคับการอู๋ สวัสดีปีใหม่ค่ะ”
อู๋เจ๋อชิงยิ้ม “มาแล้วเหรอคะ? เชิญเข้ามาด้านในก่อนค่ะ”
กล้องแพลนไปถ่ายที่เธออยู่ครู่หนึ่ง
“ไอ้หยา รบกวนด้วยนะคะ” เหยียนเหมยเดินเข้าไปในบ้าน ก้มหน้ามอง “ฉันต้องเปลี่ยนรองเท้าไหมคะ?”
จางเย่เดินเข้ามาพอดี เขาพูดอย่างไม่อินังขังขอบ “โอ๊ย ไม่จำเป็นหรอก ตามสบายเลย ทำเหมือนอยู่บ้านตัวเองนั่นแหละ”
ตากล้องหันกล้องไปทางจางเย่ทันที
เหยียนเหมยยิ้ม “ผู้กำกับจาง วันนี้ฉันต้องอยู่กับคุณทั้งวันเลย คุณไปที่ไหนฉันไปที่นั่น คุณกินอะไรฉันกินอันนั้น ขอกินอาหารฟรีนะคะ”
จางเย่ขำ “นั่นต้องดูว่าคุณกินเยอะขนาดไหนแล้วล่ะ”
เหยียนเหมยหัวเราะ “ฉันกินจุไม่เบาเลยค่ะ”
จางเย่ร้องโอ้ “งั้นผมต้องขอคิดก่อนแล้ว”
ทุกคนต่างหัวเราะร่วน
เหยียนเหมย “การสัมภาษณ์วันนี้ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกค่ะ ปกติคุณทำอะไรก็ทำอย่างนั้นเหมือนเดิม คุณมีเวลาก็หันมาคุยกับฉันสักสองประโยค เวลายุ่งก็ไม่ต้องสนใจฉัน ฉันยืนดูอยู่ด้านข้างก็พอแล้วค่ะ”
จางเย่กะพริบตา “ปกติทำอะไร วันนี้ก็ทำอย่างนั้นเหรอ?”
เหยียนเหมยยิ้มและพยักหน้า “ใช่ค่ะ พวกเราต้องการรูปแบบการดำเนินชีวิตประจำที่แท้จริงของคุณ”
จางเย่หมุนตัวเดินจากไป “โอเค”
“หืม? คุณจะไปไหนคะ?” เหยียนเหมยตกใจ
จางเย่ตอบ “ผมจะไปนอนอีกสองชั่วโมง ปกติผมนอนถึงเก้าโมงน่ะ”
เหยียนเหมย “พรูด!”
ตากล้องก็หัวเราะจนท้องแข็งแล้ว!
อู๋เจ๋อชิงยิ้มอย่างอ่อนใจ “อย่าสนใจเขาเลย เขาก็เป็นแบบนี้แหละ”
จางเย่ล้อเล่นเท่านั้น ไม่ได้กลับไปนอนจริงๆ
เหยียนเหมยมองไปทางคุณอู๋ “ปกติแฟนของคุณก็เป็นแบบนี้เหรอคะ?”
อู๋เจ๋อชิงหัวเราะ “ปกติเขาก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ น่าเหนื่อยหน่ายนะคะ”
เหยียนเหมย “ฉันขอเดินชมบ้านหน่อยได้ไหมคะ?”
“ได้สิคะ เชิญตามสบายเลยค่ะ” อู๋เจ๋อชิงก็ไม่ได้สนใจพวกเขาอีก เธอเดินไปทำกับข้าวแล้ว
ชั้นบน
เหยียนเหมยขึ้นมาพร้อมกับตากล้อง
จางเย่กำลังแปรงฟันอยู่ในห้องน้ำเห็นเธอขึ้นมาก็งับแปรงสีฟันไว้ในปาก ก่อนจะพูดงึมงำ “เหล่าเหยียน ยังไม่ได้กินข้าวเช้าใช่ไหม?”
เหยียนเหมย “ยังไม่ได้กินค่ะ”
จางเย่อารมณ์ดี “ไม่ใช่ผมขี้โม้นะ อีกเดี๋ยวถ้าคุณได้ลองชิมฝีมือทำอาหารของแฟนผม รับรองได้เลยวันนี้คุณมาบ้านพวกเราหนึ่งวันแล้วคุณจะไม่อยากกลับเลยล่ะ” เขาคายฟองยาสีฟันออกมาอย่างลวกๆ ก่อนจะบ้วนปาก และพ่นน้ำออกมา “คุณต้องเชื่อผมนะ ไม่ได้หลอกคุณจริงๆ”
เหยียนเหมยก็ตั้งตารอ “พูดจนฉันหิวเลยค่ะ”
จางเย่เช็ดหน้า แล้วใส่รองเท้าแตะเดินออกไป “หิวแล้วเหรอ? งั้นไปกันเถอะ”
พอลงไปถึงอาหารเช้าก็เตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เหยียนเหมยพูดอย่างเกรงใจ “ขอบคุณนะคะรองบังคับการอู๋”
อู๋เจ๋อชิง “ไม่ต้องเกรงใจค่ะ”
เหยียนเหมยถาม “ปกติคุณเป็นคนทำกับข้าวเหรอคะ?”
อู๋เจ๋อชิงยิ้ม “ฉันก็ทำได้ไม่กี่มื้อค่ะ เขางานยุ่ง ฉันก็งานเยอะ น้อยมากที่จะกินข้าวพร้อมกัน”
จางเย่เร่ง “ชิมสิ รีบชิมดู”
“โอเค” เหยียนเหมยคีบอาหารเข้าปาก ทันใดนั้นก็ต้องตะลึง “อร่อยมากเลยค่ะ!”
จางเย่หัวเราะฮาๆ เสียงดัง “ไม่ได้หลอกคุณจริงๆ ใช่ไหมล่ะ?”
เหยียนเหมยหันหน้าไปทางกล้องทันที “ฉันไม่ได้ยอนะคะ มันอร่อยมากจริงๆ”
จางเย่โม้ “คุณยังไม่เคยเจออาหารจานพิเศษของแฟนผม รอตอนกลางวันจะให้คุณกิน”
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
จางเย่รับสาย “เหล่าฮา มีอะไรเหรอ โอเค ได้ อืม ผมรู้แล้ว เดี๋ยวผมไปถึงค่อยคุยกัน อืม โอเค”
หลังจากวางสายเรียบร้อย
จางเย่พูดกับคุณอู๋ “มีเรื่องนิดหน่อย ผมกลับไปที่สตูดิโอนะ”
อู๋เจ๋อชิง “กลับมากินมื้อเที่ยงไหม?”
จางเย่พูดอะไรไม่ถูก “ค่อยบอกนะครับ ถ้ายุ่งมากก็ไม่แน่แล้ว”
หลังจากทานข้าว จางเย่สวมเสื้อแจ็กเกตเสร็จก็ออกไป
เหยียนเหมยกับตากล้องก็ขึ้นรถไปกับเขา
บนรถ จางเย่เหยียบคันเร่งขับรถออกจากชุมชน เขาหันมาพูดกับเหยียนเหมยที่นั่งด้านข้างคนขับ “มีบางเวลาที่ผมรู้สึกผิดต่อภรรยาผม บ่อยครั้งที่เธอเตรียมอาหารเสร็จแล้ว ผมหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้ว แต่มีสายโทรเข้า มีธุระด่วนผมก็ต้องรีบออกบ้าน มีบางครั้งที่ผมรู้สึกอยากจะพักผ่อนสักครึ่งปี แต่ก็ทำไม่ได้ พวกเราทำอาชีพนี้ จะพักผ่อนได้ยังไง? ไม่เอาผู้ชมแล้วเหรอ? ไม่ทำงานแล้วเหรอ? ไม่เอาแฟนคลับแล้วเหรอ? มีคนมากมายแค่ไหนที่รอคุณอยู่ มีคนเยอะขนาดไหนที่ชี้มาทางคุณที่กำลังกินข้าวอยู่ คุณจะไม่สนใจไม่ถามได้เหรอ? ต่อให้เป็นอัมพาตอยู่คุณก็ต้องลุกขึ้นมา!”
เหยียนเหมยถอนหายใจ “ฉันดีกว่าคุณนิดหน่อย งานไม่ได้เยอะมาก แต่มีเวลาที่งานยุ่งมากจริงๆ ออกนอกสถานที่อยู่บ่อยครั้งก็กลับบ้านไม่ได้”
จางเย่ถาม “เหล่าเหยียนคุณโสดหรือเปล่า?”
เหยียนเหมยหัวเราะ “ตอนนี้โสดค่ะ การแต่งงานครั้งสุดท้ายจบลงเพราะความไม่เข้าใจกันเรื่องหน้าที่การงาน ดังนั้นก่อนเกษียณ ฉันจึงไม่คิดจะมีครอบครัวแล้วค่ะ”
บรรยากาศค่อนข้างอึมครึม
ทั้งสองคนต่างจมอยู่กับความคิด
จางเย่ขับรถ ทันใดนั้นเขาก็พูดกับตัวเอง
“ใคร่บำเพ็ญ พาลเกรงกลัว ต้องร้างรา”
“ขอวิงวอน หากสวรรค์ ยังเมตตา”
“ให้ข้ามีรัก แลคงอยู่ คู่พระธรรม”
เหยียนเหมยนิ่งเงียบ ในใจรู้สึกประทับใจกับบทกวีนี้อย่างยิ่ง!
ตากล้องก็สูดหายใจลึก
“ผู้กำกับจางคะ”
“หืม?”
“ขอผลงานการเขียนอักษรของคุณหน่อยนะคะ”
“การเขียนอักษรอะไรครับ?”
“กวีบทนี้ค่ะ”
“ได้สิ กลับไปผมเขียนเสร็จแล้ว จะส่งไปให้คุณนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ”ตอนที่ 1361
ภาค 10
บทเพลง ‘โจ๊กเกอร์’ ขับขาน!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนเช้า
ตรงประตูตะวันออก สวนเถาหรานถิง
สตูดิโอตั้งอยู่นอกเขตที่พักอาศัย รถของจางเย่เพิ่งขับเข้ามาก็ถูกนักข่าวล้อมเอาไว้แล้ว
แล้วก็ยังมีแฟนคลับกลุ่มใหญ่เบียดเสียดกันอยู่ตรงนั้นพลางตะโกนชื่อจางเย่
“จางเย่!”
“ขอลายเซ็นให้ฉันหน่อย!”
“ยินดีด้วยนะ!”
“สตาร์คิง!”
“สตาร์คิง!”
“จางเย่ฉันรักคุณ!”
ในเขตที่อยู่อาศัยคึกคักสุดขีด
เหยียนเหมยที่อยู่ในรถลอบประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ประสบกับความนิยมของจางเย่แบบต่อหน้าต่อตาในระยะประชิดถึงเพียงนี้ “ตอนนี้จะทำยังไงดี?”
เห็นได้ชัดว่าจางเย่รับมืออย่างคุ้นเคยมาก “คุณอยู่ในรถไปแล้วกัน”
เขาเปิดประตูลงจากรถก่อนเดินไปเบื้องหน้าแฟนคลับ เซ็นลายเซ็นให้พวกเขาทีละคน ปากเองก็ไม่ได้ว่าง เขาเผชิญหน้ากับปากกาและไมโครโฟนของนักข่าวที่อยู่ด้านข้างพลางตอบคำถามไปด้วย ไม่นาน ฮาฉีฉี จางจั่วและคนอื่นๆ เองก็รีบร้อนเดินมา รับผิดชอบจัดการกับนักข่าวไป ทางฝั่งจางเย่ก็เซ็นชื่อให้แฟนคลับเสร็จพอดีแล้วก็ถ่ายรูปคู่ตามคำขอร้องไปทีละคนจนพอใจ สุดท้ายก็เอ่ยขอตัว เหล่าแฟนคลับเองก็เข้าใจดี ค่อยๆ เว้นที่ว่างหน้าประตูใหญ่จนเกิดเป็นทางสายหนึ่ง
“ขอบคุณ!”
“ขอบคุณจางเย่!”
“รักคุณมากเลยนะ!”
“ท่านจาง จะสนับสนุนคุณตลอดไปเลย!”
“อาจารย์จาง ชอบดูคุณด่าคนนะ!”
“ฮ่าๆๆ ได้รูปคู่กับอาจารย์จางมาแล้ว!”
“ฉันได้ลูบมือเขาด้วยนะ! คิกๆ ฉันตัดสินใจแล้วว่าสามวันนี้จะไม่ล้างมือ!”
จางเย่ขึ้นรถแล้วก็ขับเข้าไป
เหยียนเหมยไม่เข้าใจเล็กน้อย “คุณทำแบบนี้ทุกวันเหรอ?”
จางเย่เอ่ยยิ้มๆ “หมายถึงอะไรเหรอ?”
เหยียนเหมยถาม “ไม่หลบนักข่าวเหรอ?”
จางเย่ตอบ “ถ้ามีเรื่องรีบร้อนก็ช่วยไม่ได้ ที่ควรหลบก็ต้องหลบ แต่เวลาที่ไม่มีเรื่องด่วนอะไร ถ้าสามารถตอบคำถามสักสองสามคำถามได้ก็จะตอบน่ะ หนังสือพิมพ์หัวใหญ่ๆ หรือสถานีโทรทัศน์รายใหญ่ๆ ยังมีโอกาสได้ติดต่อกับคุณ อย่างเช่นพวกการสัมภาษณ์ แต่ว่าหนังสือพิมพ์หรือสื่อรายเล็กๆ แม้กระทั่งโอกาสได้ติดต่อยังไม่มีเลย คนเขาก็ลำบากเหมือนกัน มีบางคนหน้าหนาววันหิมะตกแต่ก็ยังมารอในเขตที่พักตั้งแต่ตีห้า บางทีรอทั้งวันแต่ก็อาจไม่ได้อะไรกลับไป ผมไม่ได้ทำอะไรนอกจากตอบคำถามคนเขาไม่กี่คำถาม ให้สัมภาษณ์เร่งด่วนสักครั้งก็ไม่ใช่เรื่องสิ้นเปลืองอะไร บางทีหนึ่งประโยคของคุณอาจจะเป็นการช่วยรักษางานของเขาเอาไว้ก็ได้ ทำให้คนเขาได้กินข้าว ได้เลี้ยงครอบครัว ซื้อเสื้อผ้าเพิ่มให้ลูกสักชุด ซื้อเครื่องสำอางเพิ่มให้ภรรยาสักอย่าง แบบนั้นผมจะพูดเพิ่มสักประโยคสองประโยคมันจะเป็นไรไป?”
ได้ฟังคำนี้เหยียนเหมยก็นิ่งงันไป!
เธอนิ่งไปจริงๆ!
เหยียนเหมย “ผู้กำกับจาง คำพูดนี้ของคุณ ฉันเพิ่งเคยได้ยินจากปากดาราเป็นครั้งแรก คุณนี่จิตใจดีจริงๆ”
จางเย่ยิ้มนิดๆ “จิตใจดี? น้อยคนนะที่จะมองผมแบบนี้”
เมื่อรถจอดพวกเขาก็ลงจากรถ
เหยียนเหมยส่ายหน้า “ไม่มีใครที่สามารถเซ็นลายเซ็นกับถ่ายรูปคู่ให้แฟนคลับทีละคนๆ ได้อย่างนี้ โดยเฉพาะกับดาราระดับคุณ ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินมาว่าคุณไม่เคยปฏิเสธการขอลายเซ็นหรือขอถ่ายรูปคู่ของแฟนคลับมาก่อนเลย ฉันยังคิดว่าเป็นข่าวลือเสียอีก แต่วันนี้ได้มาเห็นกับตาตัวเอง ฉันเชื่อแล้ว คุณนี่ใจกว้างจริงๆ”
จางเย่เอ่ยยิ้มๆ “คนเขาจะชอบคุณสักครั้งมันไม่ง่ายนะ เพราะแบบนี้ถ้าเขาต้องการลายเซ็นคุณ คุณจะไม่ให้เขาได้เหรอ? นี่ไม่ใช่เรื่องใจดีอะไร ฮ่าๆ ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนใจดี วันๆ เอาแต่ยั่วโมโหคน คุณไม่เคยเห็นเวลาคนเขาด่าผมน่ะสิ”
พวกฮาฉีฉีตอบคำถามนักข่าวจบแล้ว
ทุกคนจึงพากันขึ้นไปบนตึก
จางเย่เดินไปพลางพูดไปพลาง “ผมน่ะ ถ้ามีคนทำให้ผมไม่พอใจ ผมก็จะต้องทำให้พวกเขาไม่พอใจด้วยเหมือนกัน ถ้าใครทำให้ผมมีความสุข ผมก็ต้องทำให้พวกเขามีความสุข ตำแหน่งของพวกเราทุกวันนี้ล้วนเป็นพวกเขาโอบอุ้มเอาไว้ เป็นการสนับสนุนจากแฟนคลับและประชาชนทุกคน ไม่งั้นพวกเราไม่ได้กินดีอยู่ดีขนาดนี้หรอก ถ้าชาวบ้านเจอคุณบนถนนแล้วตะโกนว่า ‘เฮ้ จางเย่ คุณถ่ายรูปกับฉันสักรูปสิ’ แต่คุณหมุนตัวแล้วเดินจากไป? แบบนั้นเขาอาจผิดหวังกับคุณไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ คุณเสียเวลาไปไม่กี่นาที คุณเหนื่อยนิดหน่อยให้คนอื่นเขาได้มีความสุขจะเป็นอะไรไป? คุณว่าใช่ไหมล่ะ?”
เหยียนเหมยตอบอย่างจริงใจว่า “ได้เรียนรู้แล้วค่ะ”
ในที่สุดตอนนี้เธอก็ค้นพบแล้วว่า จางเย่กับเหล่าดาราทั้งหมดที่เธอเคยสัมภาษณ์นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!
ไม่เสแสร้ง
ไม่ดัดแปลง
ไม่ปั้นแต่ง
นี่เป็นคนจริงคนหนึ่ง ถึงแม้เขาจะมีข้อเสียแบบนั้นแบบนี้ก็ตาม
บนตึก จางเย่เริ่มต้นทำงานแล้ว
เหยียนเหมยดูอยู่ด้านข้าง ไม่มีใครมาสนใจเธอเช่นกัน
งานของวันนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน หัวหน้าผู้กำกับของรายการเทศกาลหยวนเซียวที่ใกล้จะมาถึงของ CCTV มาขอศึกษางานกับจางเย่ แม้ว่าผู้กำกับเฉินจะอายุมากกว่าจางเย่ไม่น้อย แล้วก็เป็นผู้กำกับรายการมากประสบการณ์ แต่ว่าคนเขากลับหอบเอาท่าทีถ่อมตัวมาขอคำชี้แนะด้วย
“จางน้อย เธอจะต้องช่วยฉันดูนะ!”
“เหล่าเฉิน เชิญนั่งก่อนครับ เชิญนั่งก่อน”
“เธอช่วยดูละครตลกเรื่องนี้ให้ฉันหน่อย”
“ได้ครับ ขอผมดูหน่อย”
“ฉันรู้สึกว่าโอเคอยู่นะ แต่ยังขาดไปนิดหน่อย”
“อ้อ ละครตลกเรื่องนี้ของเหล่าเหอผมเคยเห็นมาก่อน”
“ใช่ เป็นละครตลกเรื่องแรกของรายการคืนส่งปีที่ได้ลงหนังสือพิมพ์”
“งั้นผมจะบอกความเห็นของผมให้คุณฟัง ปัญหาของละครตลกเรื่องนี้อยู่ตรงนี้–”
พริบตาเดียวก็ยุ่งวุ่นวายกันจนถึงเที่ยง
ผู้กำกับเฉินกลับไปแล้ว
จางเย่เอ่ยกับเหยียนเหมยว่า “ไป กลับไปกินข้าวที่บ้านผมกัน”
ฮาฉีฉีกลับเอ่ยว่า “ผู้กำกับจาง อีกเดี๋ยวบริษัทโฆษณาก็จะมาแล้วนะคะ”
จางเย่ตอบ “ยังมีงานอีกเหรอ?”
ฮาฉีฉีร้องอืม “คุณเพิ่งขึ้นสู่ระดับเอส มีโฆษณาสองโฆษณาที่พวกเราเป็นพรีเซนเตอร์อยากเปลี่ยนภาพโฆษณา อาศัยเรื่องนี้ของคุณขึ้นไปแทน แต่ว่าโฆษณาของพวกเขาล้วนเป็นคุณรับผิดชอบมาตลอด ดังนั้นพวกเขาต้องเชิญคุณไปดูก่อน ถ้าคุณอนุญาตพวกเขาถึงกล้าขึ้น”
จางเย่มองนาฬิกา “พวกเขาจะมาถึงกี่โมง?”
ฮาฉีฉีตอบ “อีกสิบห้านาทีค่ะ”
จางเย่มองเหยียนเหมยแบบไม่มีทางเลือก “ทานข้าวกล่องได้ไหมครับ?”
“คุณกินอะไรฉันก็กินอันนั้นแหละค่ะ” เหยียนเหมยตอบยิ้มๆ
จางเย่เรียกเสี่ยวหวัง “รีบไปเอาอาหารมาหน่อย กินเสร็จแล้วยังมีงานต่อ”
จากนั้นเขาก็โทรศัพท์หาเจ๊อู๋
“อู๋ กลับไปไม่ได้แล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไร”
“คุณกินเลยนะ ไม่ต้องรอผม”
“ได้ มื้อเย็นล่ะ?”
“ไว้ค่อยว่ากัน ยังไม่แน่ใจเลย”
ตอนบ่ายสองครึ่ง
ในที่สุดงานโฆษณาก็เสร็จสิ้นลง
จางเย่เพิ่งได้พัก แต่กลับมีเรื่องเกิดขึ้นอีกจนได้
เวยป๋อของเขาและเว็บไซต์ทางการถูกแฮกเกอร์โจมตี ไม่แน่ว่าอาจเป็นการจงใจกระทำของแฟนคลับของอดีตสตาร์คิงที่ถูกเขาขึ้นมาแทนที่
“ความสูญเสียเป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่มีอะไรสูญเสียแต่ว่าผลกระทบค่อนข้างมาก”
“คราวนี้บัญชีเวยป๋อถูกแฮ็กไปจริงๆ”
“พรืด ใครให้ก่อนหน้านี้ผู้กำกับโวยวายว่าโดนแฮ็กไอดี โดนแฮ็กไอดีกันล่ะ หนนี้เลยโดนแฮ็กเข้าจริงๆ เลยไง!”
“พวกคุณยังมีเวลาว่างมาหัวเราะอีกนะ เฮ้อ รีบไปจัดการเร็วเข้า!”
บ่ายสามโมงกว่า
ในที่สุดปัญหาก็ได้รับการแก้ไข
จางเย่เอ่ยกับเหยียนเหมยว่า “เป็นยังไงบ้าง? สัมภาษณ์ผมวันนี้น่าเบื่อมากเลยใช่ไหม? ผมอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอย่างอื่น แค่เรื่องจุกจิกเยอะมากเท่านั้น”
เหยียนเหมยตอบยิ้มๆ “ก็ไม่ค่อยต่างกับที่ฉันจินตนาการไว้เท่าไหร่ค่ะ”
จางเย่ดูนาฬิกา “การสัมภาษณ์ใกล้จบแล้วใช่หรือเปล่า?”
เหยียนเหมยพยักหน้า “วันนี้ขอบคุณมากนะคะ ผู้กำกับจาง ขอแสดงความยินดีกับคุณอีกครั้งที่ได้ขึ้นเป็นดาราระดับเอสของประเทศ แล้วก็ขอให้ในภายภาคหน้าคุณสามารถก้าวไปได้ไกลกว่านี้”
จางเย่หัวเราะแล้วตอบว่า “ขอบคุณ”
เหยียนเหมยมองเขา เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องสุดท้ายของสุดท้ายแล้ว ยังมีคำถามสุดท้ายอีกข้อ นี่เป็นคำถามที่วันนี้ตอนสัมภาษณ์ฉันคิดมากเท่าไหร่ก็ยังไม่เข้าใจ แล้วก็ยังคิดคำตอบที่เหมาะสมไม่ออก ดังนั้นจึงอยากสอบถามคุณว่า คุณคิดว่าดาราคืออะไรคะ?”
ดาราคืออะไร?
อะไรคือดารา?
คำถามนี้ตอบยากจริงๆ
ฮาฉีฉีมองจางเย่
เสี่ยวหวังตั้งใจจ้องมองมา
พวกจางจั่วแล้วก็อู่อี้เองก็นั่งลงฟัง
จางเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เงยหน้าขึ้น มองไปยังหน้ากากชิ้นหนึ่งที่แขวนแสดงอยู่บนกำแพง นั่นคือหน้ากากโจ๊กเกอร์ เป็นหน้ากากของเขาใน ‘เดอะแมสก์ซิงเกอร์’ เขาเก็บรักษามันไว้มาตลอด แขวนเอาไว้ที่นี่ เขาเอ่ยถามว่า “เหล่าเหยียน คุณรู้จักหน้ากากนี้ไหม?”
เหยียนเหมยตอบยิ้มๆ “เป็นหน้ากากโจ๊กเกอร์อันนั้น”
ทันใดนั้นจางเย่ก็พลันเอ่ยว่า “อยากฟังเพลงไหมครับ?”
เหยียนเหมยตามความคิดเขาไม่ทัน “ฟังเพลง?”
จางเย่เอ่ยยิ้มๆ “อยากฟังไหม?”
เสี่ยวหวังชูมือ “ฉันอยากฟังค่ะ!”
อู่อี้หัวเราะฮ่าๆ “ฟังครับ!”
ถงฟู่ปรบมือ “จัดมาเลยผู้กำกับจาง!”
เหยียนเหมยเองก็มองเขา “อยากฟังแน่นอนค่ะ”
จางเย่เดินไปด้านข้าง หยิบกีตาร์มาตัวหนึ่ง ไม่ได้นั่งลงทว่าพิงกำแพงแบบสบายๆ วาดมือดีดสายกีตาร์
คนทั้งหมดปรบมืออย่างยินดี รอคอยการโชว์ลูกคอของจางเย่!
……
คืนนั้น
‘นัดกับเหยียนเหมย’ ออกอากาศ
บทความสัมภาษณ์พิเศษของจางเย่ถูกตัดเป็นหนึ่งชั่วโมง คนจำนวนมากนั่งดูอยู่หน้าโทรทัศน์ รอการปรากฏตัวหลังขึ้นสู่จุดสูงสุดของจาง รอว่าจางเย่จะพูดกับโลกใบนี้ว่าอย่างไร
แม่กำลังดู
พ่อกำลังดู
เหล่าน้องสาวกำลังดู
อู๋เจ๋อชิงกำลังดู
จางหย่วนฉีกำลังดู
จางเสียกำลังดู
หนิงหลันกำลังดู
เหยาเจี้ยนไฉกำลังดู
เหล่าสตาร์คิงสตาร์ควีนกำลังดู
คนในวงการบันเทิงกำลังดู
ประชาชนในประเทศกำลังดู
พวกเขาคิดว่าจางเย่จะดีใจจนควบคุมตัวเองไม่ได้!
พวกเขาคิดว่าจางเย่จะเปี่ยมชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก!
พวกเขาถึงขั้นคิดว่า จางเย่อาจจะพูดจาอวดดีออกมากลางรายการ ขึ้นสู่จุดสูงสุดของวงการบันเทิง นี่คือสิ่งที่ดารามากมายเท่าไหร่ไม่อาจทำสำเร็จได้ตลอดชั่วชีวิตนี้!
ทว่าไม่มีเลย!
ไม่มีเลยสักอย่างเดียว!
ตอนที่เสียงดนตรีของเพลงนั้นดังขึ้น ตอนที่ตัวโน้ตอันแสนเจ็บปวดแถวนั้นปรากฏขึ้นในโทรทัศน์ คนจำนวนมากล้วนนิ่งงันไป มองดูจางเย่ที่ดีดกีตาร์เองร้องเพลงเองบนหน้าจออย่างเหม่อลอย! ความเจ็บปวด? ทำไมถึงเป็นท่วงทำนองอันเจ็บปวดล่ะ? ดารา? ตกลงแล้วอะไรคือดารากันแน่?
เสียงของจางเย่กดต่ำ
“เสียงปรบมือท่ามกลางความยินดีดังขึ้น”
“น้ำตาไหลรินในรอยยิ้ม”
“หน้าม่านส่งความสุขแก่คุณ”
“หลังม่านเหลือเพียงความเปลี่ยวเหงาให้ตัวเอง”
“อดทนมาแค่ไหน น้ำตามากน้อยเท่าใด”
“ถึงมากพอจะมายืนตรงนี้”
“ความขื่นขมจากความพ่ายแพ้ กำลังใจจากการคว้าฝัน”
“จะมีใครรู้ว่าสั่งสมมาแล้วกี่ขวบปี”
“โจ๊กเกอร์”
“โจ๊กเกอร์”
“ความเศร้าระทมของเขาแปรเป็นความสุข”
“มอบให้แด่คุณ”
ในโทรทัศน์
กล้องหมุนไปทางเหยียนเหมย ทุกคนล้วนเห็นว่าเหยียนเหมยน้ำตาไหลอาบแก้มแล้ว!
หน้าโทรทัศน์
ใบหน้าของฟ่านเหวินลี่ปรากฏแววสั่นสะท้าน!
ขอบตาของจางเสียแดงเรื่อ!
เฉินกวงสะอื้นขณะมองไปนอกหน้าต่าง!
จางหย่วนฉีหลับตา นึกถึงเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมาได้มากมาย!
เหยาเจี้ยนไฉทอดถอนใจแล้วสูดจมูก!
แม่มองที่ลูกชาย ปวดใจแทบตาย!
ต่งซานซานนิ่งงันไปแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมน้ำตาถึงร่วงรินลงมา!
“โจ๊กเกอร์”
“โจ๊กเกอร์”
“ความเศร้าระทมของเขาแปรเป็นความสุข”
“มอบ ให้ แด่ คุณ”
‘นัดกับเหยียนเหมย’ จบลงแล้ว
แต่คนที่อยู่หน้าจอกลับไม่อาจสงบลงได้ไปอีกนาน!
คนจำนวนมากถูกเพลง ‘โจ๊กเกอร์’ ของจางเย่ทำให้ประทับใจอย่างลึกล้ำ!
อะไรคือดารา?
บางที นี่แหละคือดารา!
ภาค 10
ตอนที่ 1362
การประชันรางวัลสูงสุดจำนวนมหาศาล!
โดย
Ink Stone_Fantasy
วันต่อมา
บนเวยป๋อทั้งหมดล้วนเป็นการแชร์!
ในกระดานข่าววีแชตเองก็ระเบิดแล้ว!
บทสัมภาษณ์ของจางเย่ดังแล้ว!
กลอนบทนั้น เพลงเพลงนั้น ประทับจิตใจผู้คนแล้ว!
คนจำนวนมากมีภาพจำว่าจางเย่เป็นคนบ้า วันๆ เอาแต่ก่อเรื่อง วันๆ เอาแต่ยั่วโมโหชาวบ้าน สนแต่ตอกหน้าคนอื่น สร้างความบันเทิงให้ผู้คนอยู่บ่อยๆ แล้วก็ยังผลิตผลงานสะเทือนฟ้าออกมาบ่อยๆ บางทีก็มีเสน่ห์ บางทีก็ขำกลิ้ง บางทีก็แปลกประหลาด มักนำพาเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขมาให้ผู้คนอยู่เสมอ ดังนั้นทุกคนแค่เห็นจางเย่ก็อยากยิ้มแล้ว จึงคิดไปโดยอัตโนมัติว่าชีวิตของจางเย่เองก็คงเป็นแบบนี้
ทว่าตอนที่ได้ดู ‘นัดกับเหยียนเหมย’
ตอนที่ได้เห็นชีวิตจริงหนึ่งวันของจางเย่
ตอนที่กลอนไต่ถามตัวเองบทนั้นถูกเอ่ยออกมา
ชั่วขณะที่เพลงนั้นได้เสียงอันเจ็บปวดขับขานขึ้น
คนมากมายก็เงียบงันไป แล้วก็มีคนมากมายที่หลั่งน้ำตาออกมา เพลงเพลงหนึ่งที่จางเย่ร้องไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่ได้เตรียมการอะไรที่อยู่สตูดิโอ ได้สร้างความประทับใจให้ผู้คนมหาศาล!
……
ที่สตูดิโอ
ทุกคนกำลังดูบทสัมภาษณ์เมื่อวานซ้ำ ไม่รู้ว่าดูกันไปกี่รอบแล้ว
พอจางเย่มาถึง ทุกคนก็รุมล้อมเข้ามาแล้วส่งเสียงเซ็งแซ่
“ผู้กำกับจาง อรุณสวัสดิ์!”
“ผู้กำกับจางมาแล้ว ผู้กำกับจางมาแล้ว!”
“คุณดูสัมภาษณ์เมื่อวานหรือยัง?”
“ผลลัพธ์ยอดเยี่ยมมากเลย!”
“เมื่อวานฉันร้องไห้ไปตั้งสองรอบ ตอนฟังคุณร้องสดร้องไปรอบหนึ่ง ตอนเย็นกลับไปดูในโทรทัศน์ก็ร้องอีกรอบ เพลง ‘โจ๊กเกอร์’ นั่นร้องได้วิเศษที่สุดไปเลย!”
“ใช่ ประทับใจมาก!”
“บนอินเทอร์เน็ตเองก็พูดคุยกันใหญ่!”
“เมื่อคืนนี้ดารามากมายก็ออกมาแชร์กัน”
“สัมภาษณ์นี้ของคุณผลตอบรับสุดยอดมากเลย”
“การปรากฏตัวของสตาร์คิงของพวกเราประสบความสำเร็จอย่างงดงาม!”
ความจริงแล้วจางเย่เองก็ไม่ได้คิดว่าสัมภาษณ์เมื่อวานจะเป็นกระแสถึงขนาดนี้ ในโลกเดิมของเขา เขาชอบเพลง ‘โจ๊กเกอร์’ มาก แต่เพลงนี้ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักอะไรมากนัก ระดับความโด่งดังไม่เท่าเพลงคลาสสิคพวก ‘เพราะความรัก’ ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ อะไรพวกนี้ ตอนที่ได้ยินเหยียนเหมยถามว่า ‘ดาราคืออะไร’ เขาก็เกิดความประทับใจอยากถ่ายทอดออกมา แล้วก็นึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาได้ ถึงได้ร้องให้พวกเขาฟัง ใครจะไปคิดว่าจะเกิดปฏิกิริยาตอบรับยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
จางเย่ตอบยิ้มๆ “ถ้ารู้เร็วกว่านี้หน่อยว่าจะเป็นแบบนี้ ผมจะตั้งใจร้องให้ดีๆ”
ฮาฉีฉีเอ่ย “ดีมากอยู่แล้วล่ะค่ะ”
“ดีอะไรกัน” จางเย่ยักไหล่ “ผมยังไม่ได้ตั้งเสียงกีตาร์เลย ไม่ได้ดีดแบบตั้งใจขนาดนั้นด้วย ก่อนร้องก็ยังไม่ได้วอร์มเสียงเลย”
จางจั่วกลับไม่เห็นด้วย “แต่ว่านี่สิครับถึงเป็นของจริง”
เสี่ยวหวังเห็นด้วย “ใช่ค่ะ แบบนี้ถึงได้ประทับใจคนไง!”
ฮาฉีฉีเอ่ย “ถูกต้อง เพลงนี้เดิมทีก็ไม่เหมาะกับการร้องแบบ ‘พิถีพิถัน’ อยู่แล้ว”
จางเย่ยิ้ม “ก็ได้” เขาดูนาฬิกา “มอบรางวัลกี่โมง?”
ฮาฉีฉีตอบ “ยังเช้าอยู่เลย แต่ว่าพวกเรามาแต่งหน้าก่อน ช่างแต่งหน้าของทางฝั่งผู้มอบรางวัลน่ะไม่ไหว พวกเราแต่งไปเลยแล้วกัน”
จางเย่ร้องเฮ้อออกมา “ผมไม่ใช่ไอดอลสักหน่อย จะแต่งหน้าไปทำไมกัน”
เสี่ยวหวังรีบตอบว่า “แบบนั้นได้ที่ไหนกันคะ ตอนนี้คุณเป็นสตาร์คิงแล้วนะ สถานะไม่เหมือนเดิมแล้ว”
ฮาฉีฉีเองก็ตอบยิ้มๆ “ใช่ค่ะ รู้ว่าคุณไม่ชอบการแต่งหน้า แต่ว่าเรื่องนี้มันช่วยไม่ได้จริงๆ งานประกาศรางวัลช่วงนี้ล้วนสำคัญมาก จำเป็นต้องแต่งตัวหรูหราไปออกงานนะคะ คุณเป็นที่เคารพนับถือนะ”
จางเย่หัวเราะเหอๆ “ก็ได้ พวกคุณจัดการเถอะ”
ทีมของสตูดิโอนับวันยิ่งขยายใหญ่ มีช่างแต่งหน้าของตัวเองเรียบร้อยแล้วด้วย
ช่างแต่งหน้าเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง มาอยู่ในทีมของจางเย่ได้สักพักแล้ว ทว่าตลอดมาก็ไม่ค่อยได้ทำประโยชน์อะไร เธอเพิ่งเคยพบดาราที่ไม่ชอบแต่งหน้าเป็นครั้งแรก ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ชอบถึงขั้นแค่ยกเรื่องแต่งหน้าขึ้นมาบางทีก็ถลึงตาใส่คุณแล้ว ทำให้ช่วงนี้เธอแทบไม่ได้ทำงานอะไรเลย ตลอดวันได้แต่นั่งทึ่มทื่ออยู่ตรงนั้น นั่งจนใกล้จะซื่อบื้ออยู่แล้ว จนตอนนี้ในที่สุดก็มีโอกาส ดวงตาเธอเป็นประกายทันที
แต่งหน้า
ลบเครื่องสำอาง
แต่งหน้าใหม่อีกรอบ
เปลี่ยนทรงผมอีกรอบ
ทำประมาณสามสี่รูปแบบ
ช่างแต่งหน้าหญิงถึงพอใจ
จางเย่กลอกตา อดทนให้เธอดึงผมไปมา
ฮาฉีฉีมองอยู่ด้านข้างแล้วพูดกับเขาว่า “ผู้กำกับจาง สัมภาษณ์เมื่อวานถือว่าเป็นฝนที่ตกลงมาทันเวลา ช่วยดับไฟที่ไหม้หางคิ้วอยู่ให้พวกเราพอดี คืนก่อนหน้านั้นคุณขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นดาราระดับเอส ฉันดูทำเนียบความนิยมแล้ว สำหรับดาราระดับเอสในประเทศ พวกเราถูกจัดไว้ลำดับท้ายสุด ซึ่งก็คืออันดับที่เจ็ด สตาร์คิงคนนั้นที่ถูกคุณขึ้นมาแทนที่ ความจริงก็ไม่ได้อยู่ต่ำกว่าพวกเราสักเท่าไหร่ แค่เล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเขาเคลื่อนไหวแรงๆ ก็มีโอกาสที่จะตามทันได้ ดังนั้นตอนนี้ตำแหน่งนี้ยังถือว่าสุ่มเสี่ยงมากอยู่ ไม่ปลอดภัย เลยยังผ่อนคลายไม่ได้จริงๆ ถึงในประวัติศาสตร์จะไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ดาราเพิ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดได้แป๊ปเดียวแล้วก็ตกอันดับ เพราะว่ายังมีปัจจัยอื่นๆ อยู่ แต่ใครจะกล้ารับรองละคะ”
เสี่ยวหวังกะพริบตา “พวกเราจะไม่กลายเป็นดาราระดับเอสที่อายุสั้นที่สุดหรอกนะคะ?”
ถงฟู่มองค้อนเธอทางสายตาแวบหนึ่ง “ปากพาซวยของเธอนี่นะ!”
เสี่ยวหวังเองก็รีบถุยทิ้งไปสองที “ดูปากฉันนี่สิ!”
จางเย่ร้องเอ้อออกมา ไม่ได้คิดถึงจุดนี้เลย “ห่างกันเท่าไหร่?”
“ไม่มากค่ะ” ฮาฉีฉีตอบ “แต่ว่าสัมภาษณ์เมื่อวานดังแล้ว ช่วยจุดไฟเพิ่มให้พวกเราได้ ก่อนหน้านี้ก็ผลักดันไปรอบหนึ่ง ดึงระยะห่างให้เพิ่มขึ้น แต่ว่าถ้าอยากให้มั่นคงล่ะก็ ยังไงก็ต้องคุมให้ระยะห่างอยู่ที่แปดสิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นไปถึงจะใช้ได้ ดังพวกเราเลยต้องคว้ารางวัลจากช่วงงานมอบรางวัลมาให้ได้มากๆ”
จางจั่วเอ่ยยิ้มๆ “ดีว่าผลงานในปีนี้ของผู้กำกับจางค่อนข้างเยอะ”
ฮาฉีฉีพูด “ใช่ พวกเราเลยเข้ารอบรางวัลมากมาย มีโอกาสไปท้าชิงมาได้สักหน่อย”
จางเย่ตอบ “รางวัลพวกนี้ยังเป็นกุญแจสำคัญจริงๆ สินะ ก็ได้ ชิงมาได้ก็เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น ยังไงพวกเราก็ไม่เสียหายอะไร!”
ช่วงตรุษจีนเป็นช่วงเวลาแห่งการประกาศรางวัล รางวัลสูงสุดมากมายจะประกาศในช่วงนี้ เกียรติยศของรางวัลสูงสุดมีมากแค่ไหนไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว นี่เป็นการรับรองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของดาราคนหนึ่ง บนทำเนียบความนิยมจะนับรวมรางวัลเข้าไปด้วย ดังนั้นช่วงเวลานี้อาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นได้จริงๆ อย่างเช่น ถ้าหากอดีตสตาร์คิงคนนั้นคว้ารางวัลสูงสุดมาได้สองสามรางวัล เพิ่มเปอร์เซ็นต์ความนิยมขึ้น หากเพิ่มสักสามสิบเปอร์เซ็นต์ ก็อาจจะก้าวข้ามความนิยมของจางเย่ และคว้าบัลลังก์สตาร์คิงของเขากลับมาได้อีกครั้ง! แน่นอนว่าเรื่องรางวัลนี้เพิ่มความนิยมเฉพาะในประเทศเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับทำเนียบดาราของเอเชียกับระดับโลกด้วย ทำเนียบเอเชียเองจะเพิ่มความนิยมกับรางวัลระดับเอเชียหรือรางวัลที่ระดับสูงกว่านั้นเท่านั้น
……
อีกด้านหนึ่ง
ทีมของอดีตสตาร์คิงคนนั้น
ตอนนี้กลายเป็นทีมดาราของดาราอันดับหนึ่งในระดับเอไปเสียแล้ว
“ยังสามารถขึ้นไปได้อยู่ไหม?”
“ยังมีหวัง!”
“ใช่ ยังมีโอกาสอยู่!”
“ถ้าหากสามารถคว้ารางวัลมาได้สักสองสามรางวัล พวกเราก็คว้าตำแหน่งกลับมาได้แล้ว!”
“รางวัลละครและภาพยนตร์จางเย่ไม่มีผลงาน!”
“ทุกคนสู้!”
“จะต้องไม่มีปัญหาแน่!”
“ไปสู้กับจางเย่กัน!”
“จะต้องคว้าระดับเอสคืนมาให้ได้!”
……
การประชันเพื่อรางวัลสูงสุดเริ่มขึ้นแล้ว!
สื่อ ประชาชน คนในวงการ ทุกคนต่างล้วนตั้งตาคอย!
ภาค 10
ตอนที่ 1363
ประกาศรางวัลดาราที่ได้รับความนิยมสูงสุดแห่งปี!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ข่าวต่างพาดหัว
‘ถึงเทศกาลประกาศรางวัลจำนวนมาก!’
‘จางเย่จะสามารถนั่งบนบัลลังก์สตาร์คิงอย่างมั่นคงได้หรือไม่?’
‘ดาราที่ได้รับความนิยมสูงสุดแห่งปีกลายเป็นรางวัลที่ได้รับการจับตามองมากที่สุด!’
‘ปีนี้ใครจะเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด?’
‘ค่ำนี้ การประชันรางวัลเปิดม่านแล้ว!’
‘เวลาแห่งการทดสอบผลสำเร็จของดารามาถึงแล้ว!’
‘ใครจะคว้าตำแหน่งแชมป์มาได้?’
……
ตอนค่ำ
ด้านนอกสถานที่จัดพิธีมอบรางวัล
ทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยนักข่าวนับไม่ถ้วน เหล่าดารามารวมตัว แฟนคลับร้องตะโกน
รถของเหล่าดาราทยอยเคลื่อนเข้ามา ดาราลงจากรถแล้วเข้าไปในสถานที่จัดงาน
“อ๊า!”
“พี่จางมาแล้ว!”
“พี่จางสวยมากเลย!”
“พี่จาง พี่จาง ฉันรักพี่!”
“ว้าว นั่นเจี่ยงฮั่นเวย!”
“เหล่าเจี่ยงสู้ๆ!”
“ฉันรักคุณ!”
“อ๊า ประมุขฮั่ว!”
“ประมุขฮั่วโบกมือให้ฉันด้วย!”
“สวรรค์ ประมุขฮั่วมองฉันด้วย!”
กล้องเอสแอลอาร์ในมือเหล่านักข่าวระดมถ่ายรูปกันแบบไม่คิดชีวิต
เหล่าแฟนคลับที่อยู่วงล้อมด้านนอกกรีดร้องกันอย่างบ้าคลั่ง
รถของจางเย่เองก็อยู่ในแถวด้านนอก เมื่อเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตานอกหน้าต่างรถ เขายังยิ้มแล้วโบกมือทักทายคนอื่นด้วย วันนี้เขาพาฮาฉีฉีและหยางซูผู้รับตำแหน่งคนขับควบตำแหน่งบอดี้การ์ดมาเท่านั้น ไม่ได้พาคนอื่นมาอีก เดิมทีพอเห็นดาราคนอื่นพาครอบครัวมาเดินพรมแดงด้วย จางเย่เองก็คิดว่าน่าจะลากอู๋มาด้วย ต่อจากนั้นก็คิดได้ว่าช่างมันเถอะ อย่าโอ้อวดเลย คนเขาเป็นผู้บริหารระดับสูงของ SARFT ถ้าเป็นสถานการณ์เป็นส่วนตัวยังไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นตอนทำงานคงไม่ดีแน่ จางเย่เกรงว่าจะทำให้คนทางฝั่งผู้จัดงานตกใจเอาได้
ด้านข้างมีรถขับเข้ามาคันหนึ่ง กระจกหน้าต่างถูกลดลง
เป็นใบหน้ายิ้มแย้มของหนิงหลัน “ไง อาจารย์จาง”
จางเย่เองก็ลดกระจกรถลง แกล้งตอบกลับแบบมีมารยาทว่า “ไง อาจารย์หนิง”
หนิงหลันยิ้ม “เป็นสตาร์คิงแล้วรู้สึกยังไงบ้าง?”
จางเย่ร้องเฮ้อ “ไม่แน่ใจว่าจะรักษาไว้ได้ไหมน่ะสิ”
“ขอพูดกับคุณหน่อยสิ” หนิงหลันพลันเอ่ยออกมา
จางเย่ถาม “คุยเรื่องอะไร?”
หนิงหลันตอบ “เพลง ‘โจ๊กเกอร์’ น่ะ ฉันชอบมาก เลยอยากร้องโคฟเวอร์แล้วก็อยากลองเดินบนเส้นทางสายดนตรีนี้ด้วย ชิมลางสักนิดหน่อย คุณจะอนุญาตไหม”
จางเย่ยักไหล่ “ได้ ร้องได้ตามใจเลย”
หนิงหลันตอบ “เยี่ยม ดีใจจัง ตกลงแล้วนะ”
จางเย่หัวเราะ “เรื่องเล็ก”
หนิงหลันโบกมือ “ตกลง ขอล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งนะ”
จางเย่งุนงง “เชี่ย นี่เธอแซงคิวเรอะ!”
“ฮ่าๆๆๆ” รถของหนิงหลันขับไปอยู่ด้านหน้าเขาแล้ว
จางเย่เหลือกตาใส่ทันที
ด้านหน้าในที่สุดก็เวียนมาถึงพวกเขา
หนิงหลันลงจากรถ โบกมือให้เหล่าแฟนคลับที่อยู่สองฝั่งของพรมแดงอย่างโดดเด่นสะดุดตา เพียงครู่เดียวก็ก่อให้เกิดเสียงกรีดร้องระลอกหนึ่ง
“หนิงหลัน!”
“เป็นหนิงหลัน!”
“เทพธิดาของฉัน!”
“หนิงหลันฉันรักคุณ!”
หนิงหลันในเดรสสีขาวสะดุดตามาก ขายาว ฝีเท้าก็ยาว ก้าวไปสองสามก้าวก็เดินไปสองสามเมตรแล้ว
รถของเธอไปแล้ว รถของจางเย่เองก็ได้โอกาสจอดเสียที หยางซูไม่ใช่คนขับผู้เชี่ยวชาญ ทักษะการขับรถก็อยู่ในระดับงั้นๆ จอดครืดคราดอยู่นานจนหยางซูเหงื่อผุดพรายบนหน้าผากถึงได้สามารถจอดรถแบบสั่นๆ อยู่ข้างพรมแดงได้ มองเห็นสตาฟของงานและนักข่าวกลอกตาทันที
ไอ้หมอนี่เป็นใครเนี่ย?
คุณจ้างคนขับดีๆ มาไม่ได้หรือไง?
ทำไมถึงจ้างคนขับผู้หญิงมาล่ะ?
พอประตูรถเปิดออกจางเย่ก็ปรากฏตัว!
เหล่านักข่าวปากอ้าตาค้าง!
อะไรนะ? นี่เป็นรถของจางเย่งั้นเหรอ?
พรืด! คุณเป็นสตาร์คิงแล้วนะ จะมาล้อเล่นแบบนี้ไม่ได้หรือเปล่า?
“เป็นจางเย่!”
“สตาร์คิงคนใหม่มาแล้ว!”
“ถ่ายรูปเร็วเข้า!”
“ถ่ายเพิ่มอีกหน่อย!”
ในวงการบันเทิงทุกวันนี้ เห็นได้ชัดว่าจางเย่เป็นดาราที่ได้รับการจับตามองที่สุดอันดับหนึ่งไม่มีสอง แน่นอนว่านักข่าวมากมายต้องให้ความสนใจกับเขามาก!
จางเย่รักษารอยยิ้มไว้ เดินไปพลางมองดูกลุ่มคนที่อยู่สองฝั่งพรมแดงไปพลาง เรียนรู้จะโบกมือแบบที่ดาราคนก่อนๆ ทำ
เหล่าแฟนคลับกรีดร้อง!
“จางเย่!”
“คนเจ้าเล่ห์มาแล้ว!”
“เรื่องการ์ดความสุขห้าประการคุณจะอธิบายยังไง?”
“ฮ่าๆๆ คุณยังกล้าโผล่หน้ามาอีกเหรอ?”
ทันใดนั้นเอง ไม่รู้ว่าใครทำเสียง ‘โห่’ ขึ้นมา!
ใครเป็นคนนำไม่สำคัญ เพราะทั้งบริเวณล้วนมีเสียงนี้ดังขึ้น!
“โห่!”
“โห่!”
“โห่!”
“ฮ่าๆๆๆ!”
ทุกคนส่งเสียงโห่ขึ้นมา!
เหล่านักข่าวงุนงง ล้วนผุดรอยยิ้มออกมาแล้ว!
หนิงหลันที่เดินอยู่ด้านหน้าเกือบยืนได้ไม่มั่นคง!
เฉินกวง จางเสียและคนอื่นๆ ที่เพิ่งเข้างานมาได้ยินเสียงนี้ก็หัวเราะยกใหญ่!
จางเย่หวิดจะเป็นลม! น้องสาวคุณสิ! ตอนดาราคนอื่นปรากฏตัวเป็นสถานการณ์แบบไหน? ล้วนเป็นเสียงต้อนรับ! ทำไมพอเป็นฉันมาที่นี่แม่งถึงเป็นเสียงโห่เล่า! นี่ยังมีการบันทึกภาพอยู่เลยนะ!
ผลคือทุกคนยังไม่พอใจ
“พวกเรายังไม่พร้อมเพรียงเลยนะ!”
“ใช่ ไม่พร้อมเพรียงกันมากๆ!”
“ฉันให้สัญญาณแล้วเอาอีกรอบนะ!”
“ได้!”
“ตกลง!”
“พร้อม!”
“ทุกคนพร้อม หนึ่ง สอง สาม”
“โห่!!!!!!!!!”
เสียงดังกระหึ่มทั่วทั้งงาน!
จากนั้นก็เป็นเสียงหัวเราะกึกก้อง!
ภาพเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
จางเย่เศร้าจนแทบกระอักเลือด
หนิงหลันมองเห็นแล้วก็หยุดรอเขาเล็กน้อย ตอนที่จางเย่เดินมาเธอก็ถือโอกาสดึงแขนเขาไว้เบาๆ เดินเคียงบ่าไปกับเขาบนพรมแดง สุดท้ายก็ช่วยคลายวงล้อมให้จางเย่
หนิงหลันเอ่ยเสียงเบา “ฉันเป็นเพื่อนที่ดีใช่ไหม?”
จางเย่เองก็หัวเราะ “ใช่ เพลงนั้นไม่ได้ยกให้โดยเปล่าประโยชน์จริงๆ”
หนิงหลันตอบ “ฮ่าๆๆๆๆ”
……
ที่ด้านหลัง
ในรถที่อยู่ไม่ไกลคันหนึ่ง
อดีตสตาร์คิงมีสีหน้าหนักอึ้ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
จากนั้นผู้จัดการของเขาและผู้ช่วยก็เห็นฉากนี้เข้า ทว่ากลับมีความสุขมากทีเดียว
“ดูสิ คนยังไม่ลืมเรื่องที่เขาก่อกวนคนอื่นนะ!”
“ใช่ นี่เป็นโอกาสจริงๆ”
“ขอเพียงจางเย่คว้ารางวัลดาราชายที่ได้รับความนิยมสูงสุดมาไม่ได้ ความหวังที่จะได้กลับสู่ระดับเอสของพวกเราก็ยิ่งมากขึ้น น้ำหนักของรางวัลนี้มากจริงๆ”
“ดูท่าทางที่แฟนคลับมีต่อเขาสิ เขาจะได้รับความนิยมอะไรกัน”
“อืม เขาน่ะล่วงเกินคนไว้เยอะเกินไป”
……
ในสถานที่จัดงานมอบรางวัล
เพื่อนๆ กำลังคอยเขาอยู่ด้านหน้า
เมื่อจางเย่มาถึงคนสองสามคนก็เดินมาเรียกเขา
จางเสียหัวเราะแล้วพูดว่า “เธอนี่เปิดตัวไม่เหมือนคนอื่นเขาจริงๆ นะ”
จางเย่โศกเศร้า “คุณย่าจางครับ พวกเราไม่พูดเรื่องนี้แล้วได้ไหม?”
เฉินกวงยิ้มกว้าง “ฉันเพิ่งเคยเห็นเรื่องแบบนี้ครั้งแรกเลย ไอ้หยา ให้ฉันหัวเราะต่ออีกหน่อยนะ!”
ฮั่วตงฟางเองก็มาแล้ว “อาจารย์จาง ความนิยมของคุณนี่มันน้อยไปหน่อยหรือเปล่า?”
เสี่ยวตง เอมี่แล้วก็หลี่เสี่ยวเสียนเองก็ยิ้มอยู่ตรงนั้น “ผู้กำกับจาง วันนี้คุณทำให้พวกเราทุกคนได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
จางเย่กลอกตาทั้งสองข้าง “หัวเราะไปเถอะ พวกคุณหัวเราะไป ลูกพี่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับพวกคุณแล้วสักหน่อย” หัวเราะเหอๆ ออกมาแล้วก็เดินไปหาที่นั่งของตนเอง
ลำดับที่ห้าแถวแรก
อยู่ไหนน่ะ?
โอ้ อยู่นี่เอง!
ผลคือเผชิญหน้ากับจางหย่วนฉีและผู้จัดการของเธอฟางเว่ยหงเข้า
จางหย่วนฉีเอ่ยยิ้มๆ “ได้ยินมาว่าตอนนายเดินพรมแดงโดนผู้ชมรวมกันโห่ใส่เหรอ?”
จางเย่ส่งเสียงรับในลำคอ “ทำไมทุกคนถึงได้รู้กันหมดล่ะเนี่ย? ใครเอาเรื่องผมมาพูด?”
ฟางเว่ยหงหัวเราะฮ่าๆ
เรื่องดีไม่เล็ดลอด เรื่องแย่แพร่พันลี้
ขณะนั้นดาราและสตาฟที่มาถึงในงานก็พูดคุยเรื่องนี้กันอย่างรื่นเริง
“เฮ้ รู้เรื่องหรือยัง?”
“เรื่องนั้นของอาจารย์จางน่ะเหรอ?”
“ใช่”
“ฮ่าๆๆๆๆ แน่นอนว่าได้ยินมาแล้ว”
“ขำแทบตายแล้ว”
“ใช่ ฉันเองก็ขำกลิ้งเลย!”
“อาจารย์จางสมแล้วที่เป็นตัวประหลาดที่สุดในวงการบันเทิงในประเทศ”
“เกิดขึ้นเรื่องแบบนี้กับเขาได้เหมือนกันสินะ”
“ไม่เห็นพวกนักข่าวที่ทึ่มทื่อกันไปแล้วเหรอ พวกเขาเองก็ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนเหมือนกัน!”
พิธีมอบรางวัลเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
การพูดคุย
สุนทรพจน์
การแสดง
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นกิจกรรมหลักก็ได้มาถึง!
รางวัลที่ใหญ่ที่สุดของวันนี้ ในที่สุดก็จะประกาศแล้ว
“ลำดับต่อไปนี้คือรางวัลที่คนส่วนใหญ่ตั้งตาคอยมากที่สุด แล้วก็เป็นรางวัลที่สำคัญที่สุดของวันนี้ พวกเราจะประกาศรางวัลดาราหญิงที่ได้รับความนิยมสูงสุดประจำปีแล้ว”
“ฉันขอประกาศว่าผู้ที่ได้รับรางวัลดาราหญิงที่ได้รับความนิยมสูงสุดแห่งปีก็คือ จาง! หย่วน! ฉี!”
ด้านล่างเวทีล้วนปรบมือเป็นเสียงเดียวกัน
“ยินดีด้วย!”
“พี่จาง ยินดีด้วย!”
“สมควรได้รับชื่อเสียงแล้ว!”
“เดาได้ตั้งนานแล้วว่าเป็นคุณ!”
“ยินดีด้วย ยินดีด้วย!”
ไม่นานหลังจากนั้น
“ลำดับต่อไปที่จะประกาศก็คือดาราชายที่ได้รับความนิยมสูงสุดแห่งปี!”
“ผู้ที่ได้รับก็คือ…”
“ผู้ที่ได้รับคือใครกันะ?”
“ผู้ที่ได้รับก็คือจาง! เย่!”
ชั่วพริบตาเสียงปรบมือก็ดังกระหึ่ม!
“ว้าว!”
“โดนผู้กำกับจางคว้าไปแล้ว!”
“ยินดีด้วย!”
“ผู้กำกับจาง ยินดีด้วย!”
“ยอดไปเลย ยอดไปเลย!”
“ฮ่าๆๆๆ เลี้ยงข้าวด้วย!”
“รางวัลนี้ยิ่งใหญ่มากเลยนะ!”
“อาจารย์จาง ปีนี้รางวัลนี้ถูกคุณคว้าไปแล้วนะ!”
จางเย่รู้สึกเหนือความคาดหมายสุดขีด!
คนมากมายในงานเองก็รู้สึกเหนือความคาดหมายสุดขีดเช่นเดียวกัน!
รางวัลดาราที่ได้รับความนิยมสูงสุดแห่งปีเป็นหนึ่งในรางวัลสูงสุดที่มีค่าดั่งทองในวงการบันเทิง คนที่เคยได้รับมัน ไม่มีใครเลยที่ไม่ใช่ดาราที่ความนิยมและคำชมเชยจากสาธารณชนอยู่บนจุดสูงสุด จางเย่? ความนิยมของเขาเพียงพอแล้ว คุณสมบัติก็มีเพียงพอ แต่ว่าคำชมเชย? พรืด! ในวงการบันเทิงยังมีดาราคนไหนที่ได้คำชมเชยน้อยไปกว่าเขาอีกเหรอ?
ตรงแถวที่สอง
อดีตสตาร์คิงคนนั้นไม่ได้พูดอะไรเลยสักประโยค
ผู้จัดการและผู้ช่วยที่อยู่ข้างเขามองด้วยแววตาทึ่มทื่อ!
“เป็นไปได้ยังไง!”
“ทำไมเป็นเขาได้?”
“เขา เขาได้รับความนิยมตรงไหนกัน?”
“ใช่ เมื่อกี้ชาวบ้านยังโห่ใส่เขาอยู่เลย!”
“นี่เป็นไปไม่ได้นะ!”
ตอนนั้นเองอดีตสตาร์คิงมองไปที่พวกเธอ สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง “หรือว่าพวกคุณมองไม่ออก คนทั่วไปแม้จะโห่ใส่เขาแต่ว่าล้วนชื่นชอบเขาจากก้นบึ้งหัวใจจริงๆ ทั้งนั้น!”
ผู้จัดการสับสนจนนิ่งงัน!
ผู้ช่วยเองก็เงียบไป!
ร้องโห่ก็เพราะว่าชอบหรือ?
ชื่นชอบจากก้นบึ้งหัวใจงั้นหรือ?
ภาค 10
ตอนที่ 1364
เป้าหมายคือระดับเอสของเอเชีย!
โดย
Ink Stone_Fantasy
สองวันหลังจากนั้น
ที่เซี่ยงไฮ้
งานประกาศรางวัลดนตรีประจำปีเริ่มแล้ว
เหล่าดารามารวมตัวกัน รางวัลแต่ละรางวัลทยอยปรากฏออกมา
“รายชื่อผู้ที่ผ่านเข้าชิงรางวัลประพันธ์เพลงดีที่สุดแห่งปี เฉินกวง ‘ใกล้ขอบฟ้า’ จางเย่ ‘เวอร์ไป’ จางเย่ ‘รักเธอจริงๆ’ จ้าวอวิ๋นจี๋ ‘ฝันหนึ่งฉาก’ ซุนเทียนตง ‘ไป๋ฮว่า’ ลำดับต่อไปนี้ฉันขอประกาศ ผู้ที่ได้รับรางวัลประพันธ์เพลงดีที่สุดแห่งปีก็คือ ชื่อของเขาก็คือจางเย่! ในเพลง ‘เวอร์ไป’!”
เสียงปรบมือดังขึ้น!
ทุกคนทยอยมาแสดงความยินดี
“ยินดีด้วย!”
“ฮ่าๆ ยินดีด้วยผู้กำกับจาง!”
“เริ่มต้นได้ดีนะ!”
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอาจารย์จางถึงได้รางวัลนี้!”
“ใช่ ปีนี้เขาเขียนเพลงดีๆ ออกมาเยอะมากจริงๆ”
“อืม ถ้าหากยึดตามคุณภาพเนื้อเพลงแล้วล่ะก็ รายชื่อที่ผ่านเข้ารอบปีนี้ จางเย่ผ่านสักสิบเพลงก็ไม่ถือว่ามากไปเลย”
“รางวัลนี้น่ะ เหล่าเฉินยังก้าวข้ามเขาไปไม่ได้เลย”
“จางเย่เหนือชั้นเกินไปจริงๆ”
“ต่อไปเป็นการแต่งทำนองเพลงแล้ว”
“มาดูกันว่าใครจะเป็นคนที่แต่งทำนองเพลงได้ดีที่สุด”
ลำดับต่อไป
ประกาศรางวัลอีกครั้ง
“รายชื่อผู้ที่ผ่านเข้ารอบการแต่งทำนองเพลงยอดเยี่ยมที่สุดแห่งปี จางเย่ ‘ฉัน’ ซูหาน ‘การเต้นรำเล็กๆ’ จางเย่ ‘เพราะความรัก’ สวีฉี ‘ลมวสันต์ไร้สิ้นสุด’ ลำดับต่อไปเป็นการประกาศ ผู้ที่ได้รับรางวัลแต่งทำนองยอดเยี่ยมที่สุดแห่งปี คนคนนั้นก็คือ อาจารย์จางเย่! ‘เพราะความรัก’!”
เสียงปรบมือดังกระหึ่มอีกครั้ง!
“ว้าว!”
“ได้อีกแล้ว!”
“อาจารย์จางสุดยอดไปเลย!”
“ผู้กำกับจาง เลี้ยงข้าวด้วยนะ ติดอยู่สามมื้อแล้ว!”
“คว้ารางวัลเขียนเนื้อร้องแต่งทำนองแห่งปีไปหมดแล้ว บนหน้าประวัติศาสตร์พิธีมอบรางวัลดนตรี มีคนแค่สองคนเท่าที่เคยทำได้!”
“ใช่ ตอนนี้มีแค่คนสองคนที่ทำได้!”
“อย่าเพิ่งร้อนรนไป ยังมีเพลงยอดนิยมแห่งปีอีกนะ”
“อืม บางทีจางเย่อาจจะกลายเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าสามรางวัลติดก็ได้!”
ในที่สุด รางวัลเพลงยอดนิยมแห่งปีก็ประกาศออกมา
“ผู้ที่ได้รับรางวัลนี้ก็คือ…”
“เพลงแรกที่ทุกคนนึกถึงในใจคืออะไรกันนะ?”
“จะใช่เพลงนั้นหรือเปล่า?”
“ฉันขอประกาศว่า เพลงที่ได้รับรางวัลบทเพลงยอดนิยมแห่งปีก็คือ… ‘ราชาคาราโอเกะ’!”
เสียงปรบมือดังก้องทั่วทั้งงานอีกครั้ง!
ถึงขั้นว่ามีคนจำนวนมากยืนขึ้น มอบเสียงปรบมือและเสียงแสดงความยินดีแก่จางเย่!
“เพลงนี้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ!”
“คว้าสามรางวัลติดเลย!”
“ครั้งแรกในประวัติศาสตร์!”
“รางวัลที่สำคัญมากทั้งสามรางวัลล้วนมอบให้จางเย่!”
“น่าเสียดายที่เขาไม่ได้คว้ารางวัลการเรียบเรียงเพลงยอดเยี่ยมไป”
“นอกจากรางวัลน้องใหม่ยอดเยี่ยม เรียบเรียงเพลงยอดเยี่ยม วงดนตรียอดเยี่ยม กลุ่มนักร้องยอดเยี่ยมอะไรพวกนี้แล้ว จางเย่ก็สามารถคว้าไว้ได้หมดเลย!”
“วันนี้ จางเย่เป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!”
……
วันต่อมา
ที่หนานจิง
พิธีมอบรางวัลประเภทภาพยนตร์และละครเริ่มขึ้น
รางวัลพระเอกยอดเยี่ยม นางเอกยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม เขียนบทละครยอดเยี่ยม ดัดแปลงบทยอดเยี่ยมเหล่านี้ทยอยประกาศออกมา
เดิมทีรางวัลพวกนี้ก็ไม่ได้มีวาสนาอะไรกับจางเย่อยู่แล้ว
……
วันต่อมาอีก
ตอนช่วงค่ำ
ถึงคราวประกาศรางวัลผู้กำกับแห่งปีแล้ว
นี่เป็นรางวัลที่แยกออกมาจากรางวัลประเภทภาพยนตร์และละคร
“ผู้ที่ได้รับรางวัลสูงสุดสาขาผู้กำกับรายการวาไรตี้แห่งปีก็คือ…จางเย่!”
“ผู้ที่ได้รับรางวัลสูงสุดสาขาภาพยนตร์แห่งปีก็คือ…ลี่เคอ!”
“ผู้ที่ได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมแห่งปีก็คือ…จาง! เย่!”
นี่คือการประกาศรางวัลสุดท้ายแล้ว มีคนในวงการมากมายที่ตะลึงค้าง!
“อะไรนะ?”
“รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมก็ให้จางเย่เหรอ?”
“หา?”
“นี่เหนือความคาดหมายมากจริงๆ!”
“ม้ามืดสุดๆ!”
“นี่เป็นรางวัลที่ทรงคุณค่าที่สุดในบรรดารางวัลประเภทผู้กำกับแล้ว ปกติมักจะมอบให้ผู้กำกับภาพยนตร์ อย่างไรศิลปะการกำกับภาพยนตร์ก็เหนือกว่าวาไรตี้และละครโทรทัศน์ ทุกปีล้วนเป็นแบบนี้ แต่ทำไมถึงให้ผู้กำกับรายการวาไรตี้ได้? ไม่เคยมีแบบนี้มาก่อนเลย!”
“ไม่ใช่ให้ผู้กำกับรายการวาไรตี้สักหน่อย”
“งั้นเป็นอะไรล่ะ?”
“รางวัลสูงสุดของผู้กำกับ มอบให้แก่ผู้กำกับรายการคืนส่งปีต่างหาก!”
“คุณหมายถึงรายการคืนส่งปี?”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง!”
“หนึ่งประโยคก็ทำให้คนตาสว่างจริงๆ!”
“พูดแบบนี้ก็เข้าใจแล้ว! ที่แท้ก็มอบให้ผู้กำกับหลักรายการคืนส่งปี!”
“ดูจากระดับของรายการคืนส่งปีของปีนี้ ก็สมควรแล้วจริงๆ!”
……
ค่ำวันนั้น
ณ พิธีมอบรางวัลอีกแห่งหนึ่งที่จัดขึ้นในเวลาเดียวกัน
“ผู้ที่ได้รับรางวัลการแสดงเต้นยอดเยี่ยมก็คือ…”
“รางวัลนี้แทบจะไม่ต้องเดาแล้วล่ะ”
“ผู้ที่ได้รับรางวัลนี้ก็คือ… การแสดง ‘กวนอิมพันมือ’!”
‘กวนอิมพันมือ’ ได้รับรางวัลสูงสุดประเภทการแสดงเต้น!
จางเย่ที่รับหน้าที่เป็นคนคิดท่าเต้นและวางแผนขึ้นรับรางวัลบนเวทีแทนฉีเสี่ยวเม่ยและทีมเต้น
……
วันต่อมา
ที่งานประกาศรางวัลอีกแห่งหนึ่ง
“ลำดับต่อไปขอประกาศรางวัลศิลปินที่โดดเด่นที่สุดแห่งปี”
“ผู้ที่ได้รางวัลก็คือ…จางเย่!”
……
หนึ่งรางวัล
ห้ารางวัล
สิบรางวัล
ระยะนี้มีงานประกาศรางวัลถี่มาก
ช่วงนี้ จางเย่เองก็รับรางวัลจนมือไม้อ่อนไปหมดแล้ว
ถึงจะมีรางวัลมากมาย ทว่าแท้จริงมีเพียงไม่กี่รางวัลที่เป็นรางวัลสูงสุดซึ่งทำเนียบดาราจะนับรวมเข้าไปด้วย รางวัลอื่นๆ อีกจำนวนมากไม่ได้ถูกนับรวมเข้าไป อย่างเช่นรางวัลศิลปินโดดเด่นแห่งปี ฟังแล้วดูน่าเกรงขามมาก แต่ความจริงเป็นการคัดเลือกจากหน่วยงานเอกชน ไม่ใช่รางวัลระดับประเทศ แล้วก็ยังมีรางวัลบุคคลที่เป็นที่พูดถึงบนอินเทอร์เน็ตอะไรนั่นอีก รางวัลบุคคลที่ได้รับความชื่นชอบที่สุดบนเวยป๋อเอย จางเย่ล้วนคว้ามาหมด ก็นับว่าเป็นเกียรติแบบหนึ่ง บ่งบอกว่าประชาชนและหน่วยงานเอกชนยอมรับเขา ถึงจะนับรวมหรือไม่นับรวมในทำเนียบดาราหรือไม่ก็ไม่ถือเป็นปัญหา
รางวัลจากประชาชนอันยิ่งใหญ่แต่ละรางวัล
รางวัลหลักอันยิ่งใหญ่แต่ละรางวัล
รางวัลสูงสุดอันยิ่งใหญ่แต่ละรางวัล
จางเย่คว้ามาแล้วหมดทั้งสิ้นยี่สิบกว่ารางวัล จนขึ้นนำอยู่ในสามอันดับแรกของอันดับดาราที่ได้รางวัล!
……
ชาวเน็ตเองก็อึ้งไปแล้ว
“จางเย่บ้าไปแล้ว!”
“ทำไมถึงเป็นเขาไปทุกอย่างเลย!”
“จะเก็บถ้วยรางวัลทั้งหมดไว้ในบ้านได้เรอะ? ฮ่าๆๆ!”
“ปีที่แล้วเป็นปีทองของจางเย่จริงๆ ขึ้นสู่ระดับเอส รางวัลกองเป็นภูเขา ในวงการบันเทิงไม่มีดาราคนไหนมีเกียรติไปกว่าเขาแล้ว”
“ใช่ แต่ถึงเจ๊จางจะคว้ารางวัลมามากกว่าจางเย่ แต่เกือบครึ่งก็เป็นรางวัลประเภทภาพยนตร์ ตอนนี้จางเย่ยังไม่ได้ถ่ายภาพยนตร์เลย แถมไม่เคยถ่ายละครเลยด้วย ถ้าหมอนี่อยากแสดงละครหรือภาพยนตร์จริงๆ แล้วเทคนิคการแสดงไม่ได้แย่ล่ะก็ เดาว่ารางวัลที่เขาคว้ามาในปีนี้คงเยอะกว่าเจ๊จางอีก”
“อดีตสตาร์คิงคนนั้นตามไม่ทันแล้วล่ะ!”
“อืม ความนิยมห่างกันมากแล้ว!”
“ในที่สุดจางเย่ก็นั่งบนระดับเอสได้อย่างมั่นคงแล้ว!”
“ปีใหม่แล้ว พวกคุณเดาสิว่าจางเย่จะทำอะไรอีก?”
“ใครจะไปรู้ล่ะ”
“ระดับประเทศก็ใกล้จะแตะจุดสูงสุดแล้วมั้ง?”
“หรือว่าจางเย่จะไปต่อในระดับเอเชีย?”
“ก็เป็นไปได้นะ!”
……
วันนี้
พิธีมอบรางวัลสุดท้ายในที่สุดก็เสร็จสิ้นลงแล้ว
ตอนเย็นจางเย่ขับรถกลับบ้าน ทันทีที่เข้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์ก็ถูกภาพตรงหน้าทำให้ตกใจจนสะดุ้ง บัดนี้คฤหาสน์ขนาดใหญ่ถูกตกแต่งด้วยโคมไฟสว่างไสวไปทั่ว!
ปัง!
ปัง!
กระดาษสายรุ้งมากมายปลิวว่อน!
ทุกคนต่างปรบมือพร้อมร้องตะโกน!
“ผู้กำกับจาง!”
“ยินดีด้วย!”
“ขอฉลองให้คุณ!”
“ทุกคนร้องเฮกัน!”
“เฮๆๆๆ!”
“เมื่อปีที่แล้วพวกเรายอดเยี่ยมมากจริงๆ!”
อู๋เจ๋อชิงยิ้มมองดูความคึกคักอยู่ทางฝั่งนั้น ฮาฉีฉี จางจั่ว เสี่ยวหวัง ถงฟู่ และคนจากสตูดิโอคนอื่นๆ ล้วนมากันหมด แต่ละคนมีท่าทีรื่นเริงเบิกบาน
จางเย่เองก็ยิ้มออกมา “ทำอะไรกันเนี่ย?”
ฮาฉีฉีตอบ “ฉลองให้คุณไงคะ”
จางเย่หัวเราะ “โอเค ขอบคุณนะ”
“มีเค้กด้วยนะคะ” เสี่ยวหวังฮัมเพลงพลางถือเค้กเข้ามา “ผู้กำกับจาง รีบตัดเร็วเข้าค่ะ”
จางเย่มองไปที่อู๋ “คุณก็ร่วมด้วยเหรอ?”
อู๋เจ๋อชิงยิ้มๆ “ฉันเปล่านะ พวกเขาเป็นคนจัดการ”
จางจั่วตอบยิ้มๆ “คุณขึ้นสู่จุดสูงสุดของวงการบันเทิงแล้ว พวกเรายังไม่ได้จัดงานเลี้ยงกันอย่างเป็นทางการเลย ครั้งนี้คว้ารางวัลมาได้ตั้งมากมาย ในนั้นมีถึงห้ารางวัลที่เป็นรางวัลสูงสุด ความนิยมของพวกเราก็เพิ่มขึ้นเยอะ จนไม่ต้องกังวลว่าจะถูกไล่บี้อีกแล้ว สามารถฉลองได้อย่างแน่นอนแล้ว”
“กินเค้กกันเถอะค่ะ”
“เหล้ามาแล้ว”
“มา ชนแก้ว”
“ทุกคนชนแก้ว!”
บรรยากาศในบ้านคึกคักสุดขีด ทุกคนล้วนตื่นเต้นกันมาก
คว้าตำแหน่งสตาร์คิงมาได้!
ได้รางวัลนับไม่ถ้วน!
นี่เป็นผลลัพธ์และความสำเร็จจากปีก่อนๆ ของจางเย่!
ฮาฉีฉีดื่มไวน์แดงไปสองคำ แล้วก็เริ่มพูดมากขึ้น “ผู้กำกับจางค่ะ เป้าหมายของปีที่แล้วพวกเราทำสำเร็จเกินกว่าที่คาดไว้ แผนงานสู่จุดสูงสุดก็เป็นจริงแล้ว ปีใหม่นี้ คุณช่วยกำหนดเป้าหมายใหม่ให้ทุกคน ปีนี้พวกเราจะเป็นยังไง? จะพัฒนาไปทางไหน? คุณว่ามาเลยค่ะ!”
จางเย่ตอบยิ้มๆ “ปีนี้ ตั้งเป้าไปสู่ระดับเอเชียเป็นไง?”
ดวงตาของทุกคนเปล่งประกาย
“เอเชีย?”
“ยอดเลย!”
“ควรมุ่งไปสู่ระดับเอเชียตั้งนานแล้ว!”
“เทียบกับความนิยมระดับประเทศ ในระดับเอเชียพวกเรายังขาดอีกเยอะ”
“ใช่ ถึงแม้ในเอเชียพวกเราจะเป็นระดับเอ แต่ความจริงแล้วก็อยู่ท้ายมากๆ ในทำเนียบดาราระดับเอของเอเชีย ยิ่งไปกว่านั้นพอออกนอกประเทศ ชื่อเสียงก็ไม่ได้โด่งดังขนาดนั้น เหมือนกับดาราระดับบีของเอเชียมากกว่า เพราะน้ำหนักความนิยมในเอเชียส่วนใหญ่ของพวกเรามาจากในประเทศ เป็นความนิยมในประเทศที่ดันพวกเราขึ้นไป”
“ใช่ ในระดับเอเชียยังมีงานต้องทำ!”
“อืม ยังต้องพัฒนาอีกมาก”
“ดีเลย งั้นก็เป็นอันตกลง!”
“ทุกอย่างฟังคำสั่งจากผู้กำกับจาง”
ทุกคนกระตือรือร้นกันเต็มที่ เปี่ยมล้นไปด้วยความเชื่อมั่นที่ไม่เคยมีมาก่อน
ฮาฉีฉีเองก็เอ่ยว่า “งั้นก็พอดีเลยค่ะผู้กำกับจาง สตูดิโอเพิ่งได้รับคำเชิญมา ยังไม่ได้พูดกับคุณเลย พอดีในระดับเอเชียมีงานอยู่งานหนึ่ง คุณไม่เคยออกนอกประเทศเลย ไม่สู้ใช้โอกาสนี้ไปเปิดเผยหน้าตาในระดับเอเชีย? เพิ่มระดับชื่อเสียงสักนิด? แล้วก็ไปสำรวจเส้นทางด้วย?”
จางเย่ฟังแล้วก็ตอบง่ายๆ ว่า “ก็ได้”
ฮาฉีฉีพยักหน้า “ตกลงค่ะ งั้นฉันจะได้ตอบกลับพวกเขา”
“มา! ชนแก้วกันอีกรอบ!”
“เป้าหมายคือระดับเอสของเอเชีย!”
“ดี เป้าหมายคือสตาร์คิงของเอเชีย!”
“ชนแก้ว!”
“ชน!”
และแล้วเป้าหมายของปีนี้ ก็ถูกกำหนดลงมาด้วยประการฉะนี้!
ภาค 10
ตอนที่ 1365
เดินทางสู่เกาหลี!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพียงพริบตาเดียวตรุษจีนก็ผ่านพ้นไปแล้ว
ปีใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว
วันนี้จางเย่ต้องพบกับงานแรกของปี เขาบินไปเกาหลีทันทีเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงการกุศลของเอเชียที่มีปีละครั้ง นี่เป็นงานประมูลการกุศลที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดงานหนึ่งของสภากาชาด มีดาราจากแต่ละประเทศในเอเชียมารวมตัวกัน ระดับความโด่งดังเป็นที่จับตามองของงานไม่เลว สามารถทำการกุศลแล้วก็เพิ่มชื่อเสียงในเอเชียไปด้วยได้ เป็นเรื่องดีทุกทาง ทางฝั่งผู้จัดงานจะหมุนเวียนกันไป ปีก่อนๆ เป็นประเทศจีน ปีที่แล้วเป็นญี่ปุ่น ปีนี้วนมาถึงเกาหลี สถานที่จัดงานอยู่ที่กรุงโซล
ณ สนามบิน
ที่ห้องพักรับรองผู้โดยสารระดับเฟิร์สคลาส
จางเย่เป็นคนแรกที่มาถึง ตอนที่เดินเข้ามาในห้องรับรองผู้โดยสารมีคนไม่น้อยมองเขา จากนั้นก็ค่อยๆ ชี้มือมา เห็นได้ชัดว่าจำเขาได้
“นั่นจางเย่นี่”
“เอ๋ เป็นเขาจริงๆ”
“เขามาทำอะไรที่นี่?”
“เข้าร่วมงานเลี้ยงการกุศลของเอเชียเหรอ?”
“เขาเองก็ไปเหรอ?”
“ใช่ คุณดูหนังสือพิมพ์สิ”
บนโต๊ะมีหนังสือพิมพ์อยู่สองสามฉบับ
‘งานประมูลการกุศลระดับเอเชียจัดอย่างยิ่งใหญ่!’
‘สตาร์ควีนฉีเหม่ยหลันยืนยันเข้าร่วม!’
‘ทัพดาราจีนเรียงแถวอย่างเจิดจรัส!’
‘ทีมดาราจีนจะคว้าอันดับหนึ่งมาได้หรือไม่?’
ด้านจางเย่ ในที่สุดเขาก็หาที่ที่ไม่มีคนนั่งลงได้เสียที
ตอนนั้นเองก็มีคนคุ้นเคยสองสามคนก้าวเข้ามา
พวกเขามองไปรอบทิศ
“เอ๋”
“อาจารย์จาง”
“ไปๆๆๆ เดินไปทางนั้น”
เป็นหญิงสาวแสนสวยทั้งสามจากวงสปริงการ์เด็นนั่นเอง
จางเย่ยิ้มพลางโบกมือ “มาแล้วเหรอ?”
เสี่ยวตงเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า “นี่คุณจะไปที่ไหนคะ?”
จางเย่กะพริบตา “โซลน่ะ”
“คุณเองก็ไปเหรอคะ?” เอมี่หัวเราะ “ไม่เห็นได้ยินมาก่อนเลย”
จางเย่ตอบยิ้มๆ “เพิ่งตอบรับไปเมื่อสองวันก่อนหน้าน่ะ”
หลี่เสี่ยวเสียนยิ้ม “อาจารย์จางเป็นดาราระดับเอของเอเชียแล้ว ความนิยมในเอเชียเทียบกับพวกเราแล้วยังสูงกว่า ทางนั้นจะไม่เชิญเขาได้เหรอ?”
จางเย่โบกมือ “ความนิยมในประเทศของผมขึ้นสู่จุดสูงสุด แต่ในเอเชียก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรขนาดนั้น”
หลังจากนั้นไม่นานเฉินกวงก็มาถึง
เสี่ยวตงโบกมือ “พี่เฉิน ทางนี้”
เฉินกวงงุนงง “จางเอ้อร์ก็อยู่ด้วย?”
จางเย่เหลือกตาใส่ “ใช่สิ”
เฉินกวงถาม “นายเองก็ไปเหรอ?”
จางเย่หัวเราะ “เฮ้ ทำไมทุกคนถึงถามแบบนี้กันหมดนะ ผมไปไม่ได้หรือไง? แต่ก็ใช่ นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกพี่ได้ไปทำงานต่างประเทศจริงๆ”
เฉินกวงเอ่ยด้วยความสนใจว่า “ฉันคิดว่าตลอดชีวิตนี้นายไม่คิดจะมุ่งไปสายต่างประเทศแล้วซะอีก ทำไม? ดูท่าแล้วคงอยากพุ่งไปทางเอเชียแล้วล่ะสิ?”
จางเย่ตอบยิ้มๆ “อยากลองไปดูน่ะ”
จากนั้นก็มีคนมาเพิ่มอีกสองสามคน
นักแสดงภาพยนตร์ระดับเอ หนิงหลัน
นักแสดงภาพยนตร์ระดับเอ เจี่ยงฮั่นเวย
นักแสดงภาพยนตร์ระดับเอ ต้าฉี
แล้วก็มีนักร้องที่เพิ่งหวนคืนวงการบันเทิง จ้าวอู่ลิ่ว
หนิงหลันนั้นไม่ต้องอธิบายแล้ว จ้าวอู่ลิ่วกับจางเย่เองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน รู้จักกันมาก่อนใน ‘เดอะแมสก์ซิงเกอร์’ เจี่ยงฮั่นเวยกับจางเย่เองก็ถือเป็นคนรู้จักเก่า เคยต่อยตีกันมาก่อน เคยชนรถกันมาก่อน เป็นประเภทที่พบหน้ากันก็ไม่พูดไม่จากัน ทว่าต้าฉีกับจางเย่นั้นไม่สนิทสนมกัน พบกันในงานประกาศรางวัลทุกปี แต่ไม่เคยคุยกันมาก่อน ตอนนี้ได้พบหน้ากัน ทั้งคู่จับมือกันแล้วก็พูดคุยสองสามประโยคก็ถือว่ารู้จักกันอย่างเป็นทางการ
ทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นดาราระดับประเทศที่มีอันดับในเอเชียไม่เลว คนที่อันดับสูงที่สุดคือหนิงหลัน เจี่ยงฮั่นเวยแล้วก็จางเย่ วงสปริงการ์เด็นรองลงมา เหล่าเฉินกับต้าฉีอันดับต่ำกว่านิดหน่อย ล้วนอยู่ต่ำกว่าดาราระดับบีของเอเชีย อ้อ ใช่ ยังมีคนที่นอกเหนือไปจากนี้อีก ก็คือจ้าวอู่ลิ่วที่ลาวงการเพลงไปหลายปี ร้างราความนิยมตั้งนานแล้ว แม้แต่สมัยรุ่งเรืองความนิยมของเขาก็ยังไม่ถึงระดับเอเชีย
เมื่อเห็นแววตาสงสัยของแต่ละคน จ้าวอู่ลิ่วก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ผมอาจไม่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมงานเลี้ยงการกุศลระดับเอเชีย แต่ที่อีกฝั่งของโซลมีอีกงานหนึ่ง เทศกาลดนตรีเฮฟวี่เมทัลนานาชาติ งานจัดค่ำวันนี้ เหล่าเฉินเองก็ไป”
เฉินกวงตอบยิ้มๆ “ใช่”
เอมี่ร้องเฮ้อออกมา “ทำไมถึงไม่เชิญฉันด้วยล่ะ?”
เฉินกวงตอบ “เธอไม่ได้ทำเพลงร็อกไม่ใช่เหรอ”
เอมี่หัวเราะคิกๆ “แต่ฉันมีหัวใจของเพลงร็อกนี่นา”
จ้าวอู่ลิ่วเอ่ย “ถ้าตอนเย็นไม่มีธุระอะไรทุกคนก็สามารถไปดูด้วยกันได้นะ”
หนิงหลันเอ่ยปากแล้ว “ได้ ถึงเวลาจะไปดู”
ต้าฉีเอ่ย “ได้ ไปด้วยกัน”
จางเย่ร้องเหอะออกมา “สปริงการ์เด็นน่ะช่างเถอะ แต่ลูกพี่ก็เคยทำเพลงร็อกนะ ทำไมถึงไม่เชิญฉันล่ะ?”
จ้าวอู่ลิ่วงุนงง “นั่นสิ ทำไมถึงไม่เชิญคุณล่ะ?”
หนิงหลันยิ้ม “เส้นสายเขามันด้อยเกินไปน่ะสิ”
ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น “อาจารย์จาง ไม่ต้องพูดถึงเทศกาลดนตรีร็อกหรอก ขนาดงานเลี้ยงการกุศลนี่คุณก็เกือบจะไม่ถูกเจ้าภาพเชิญแล้ว”
เป็นสตาร์ควีนฉีเหม่ยหลัน!
เป็นหญิงสาวที่งามล่มเมืองและดูเป็นธรรมชาติมากคนหนึ่ง!
เธอก็เหมือนกับจางเย่ เป็นหนึ่งในดาราระดับ S ทั้งเจ็ดของประเทศ!
เสี่ยวตงหัวเราะ “พี่หลัน พี่หมายความว่ายังไงคะ?”
ฉีเหม่ยหลันยิ้มบางๆ “ครั้งนี้เบื้องบนให้ฉันนำทีมดาราจีน ได้ใกล้ชิดเรื่องราวมากมาย ได้ยินมาว่าวีซ่าของอาจารย์จางถูกส่งขึ้นไปสองครั้งแล้วก็โดนตีกลับลงมาหมด ทางฝั่งนั้นบอกว่าเขามีแนวโน้มจะเป็นศัตรูกับเกาหลี เลยไม่อนุญาต สุดท้ายกลับไปกลับมาอยู่นานถึงยอมเซ็นให้”
หนิงหลัน “พรืด!”
เสี่ยวตง “ฮ่าๆๆ!”
หลี่เสี่ยวเสียน “เป็นศัตรูกับเกาหลีเหรอ?”
เฉินกวง “ก็ใช่ สองปีก่อนจางน้อยเคยมีเรื่องกับดาราเกาหลี เคยด่ากับพวกเขามาก่อน เมื่อไม่กี่เดือนก่อนตอนถ่ายทอดสดผ่านทางอินเทอร์เน็ต ในแพลตฟอร์มหมากล้อมเขาก็ไปยั่วโมโหคนเกาหลีไว้ไม่น้อย”
เอมี่ “ในวงการบันเทิงนี่ฉันยอมอาจารย์จางแล้วจริงๆ!”
ทุกคนหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
อาจารย์จางไปที่ไหนก็ไร้ความสงบ
หลายปีมานี้เขาล่วงเกินคนไว้เท่าไรกันแน่!
เจี่ยงฮั่นเวยกลอกตา เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน
ต้าฉีไม่ได้ร่วมวง อย่างไรก็ไม่ได้สนิทสนมกับจางเย่ เลยไม่สามารถล้อเล่นกับเขาได้
จางเย่ยิ้มเย็น “ยิ่งพวกเขาไม่อยากให้ไป ลูกพี่ก็ยิ่งอยากไปดูสักหน่อย”
ตอนนี้เองที่ฉีเหม่ยหลันยื่นมือออกมา “อาจารย์จาง เป็นเกียรติที่ได้พบกันค่ะ”
จางเย่เองก็จับมือกับเธอ “อาจารย์สวี่ เป็นเกียรติที่ได้พบกันเช่นกันครับ”
ฉีเหม่ยหลันเอ่ย “ครั้งนี้เดิมทีควรเป็นคุณที่นำทีม งานประเภทนี้เป็นผู้ชายทำจะเหมาะสมกว่า”
เฉินกวงเอ่ยขัดว่า “ใครจะกล้าให้จางน้อยนำทีมกัน”
เอมี่ “ถ้าอาจารย์จางเป็นคนนำทีมจะต้องพาพวกเราทั้งกลุ่มตกลงคูน้ำแน่ๆ”
เสี่ยวตงพยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่ค่ะ เป็นพี่หลันนำทีมฉันก็วางใจกว่า”
จางเย่ไร้คำพูดแล้ว
ทุกคนพากันหัวเราะ
อันที่จริงแล้วจางเย่ย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของสตาร์ควีนฉีเหม่ยหลันมาก่อน ตอนนี้ทั้งสองเพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งแรก ความประทับใจแรกพบที่จางเย่มีต่อเธอก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ไม่ได้ถูกตั้งกำแพงใส่ นี่ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว
ยังมีเวลาก่อนขึ้นเครื่อง
ทุกคนนั่งพูดคุยอยู่ด้วยกัน
คนที่มากับฉีเหม่ยหลันคือชายหนุ่มที่แต่งกายเรียบง่ายคนหนึ่ง เขายืนอยู่ข้างหลังเธอตลอดเวลาประหนึ่งเงาตามตัว มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบอดี้การ์ด
ไม่รู้ว่าจางเย่คิดไปเองหรือเปล่า แต่เขามักรู้สึกว่าคนคนนั้นมักมองมาทางเขาคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ ตั้งแต่นาทีแรกที่ฉีเหม่ยหลันกับเขาปรากฏตัวความรู้สึกนี้ก็ผุดขึ้นมา
จางเย่มองกลับไปโดยไม่คาดคิด
บอดี้การ์ดคนนั้นพลันตระหนก รีบร้อนเคลื่อนสายตาออกไป แถมยังปาดเหงื่อเย็นๆ ออกด้วย
จางเย่ประหลาดใจ นายทำอะไรเนี่ย? อยู่ดีๆ ทำท่าลนลานขึ้นมาทำไม?
หนิงหลันเอ่ย “พวกพี่จางจะมาพรุ่งนี้ใช่ไหมคะ?”
ฉีเหม่ยหลันตอบ “ใช่ พวกเราเป็นกลุ่มแรกที่ไป แล้วอีกกลุ่มก็จะมาถึงพรุ่งนี้ ถึงเวลาก็จะไปรวมกันที่โรงแรม พรุ่งนี้ฉันจะติดต่อกับพี่จางเอง”
ทันใดนั้นเอง ในห้องรับรองก็มีผู้โดยสารสองคนที่กำลังรอขึ้นเครื่องเดินมาทางพวกเขา
“อาจารย์จาง ขอลายเซ็นหน่อยสิคะ”
“พี่หลัน ขอถ่ายรูปคู่ด้วยหน่อยได้ไหมคะ?”
บอดี้การ์ดซุนอ้ายสี่พลันขยับมาขวางพวกเขาไว้ “ขอโทษด้วยครับ เชิญกลับไปเถอะ”
จางเย่มองดูแล้วเอ่ยว่า “เขาต้องการแค่ลายเซ็นเดียว จะขวางไว้ทำไมกัน”
ซุนอ้ายสี่นิ่งไปแล้วรีบลดมือลง ปล่อยให้ทั้งสองคนเข้ามา
ทุกคนเหงื่อตกเล็กน้อย คุณไม่ใช่บอดี้การ์ดของพี่หลันหรอกเหรอ? แล้วทำไมว่าง่ายกับคำพูดจางเย่ขนาดนี้เล่า? แต่ถึงพวกเขาจะประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไร
เซ็นลายเซ็นเสร็จ
ตอนนั้นเองเจี่ยงฮั่นเวยก็เอ่ยว่า “เหล่าสวี่ คุณพาบอดี้การ์ดมาแค่คนเดียวเหรอ? ผู้ช่วยก็ไม่พามา?”
ฉีเหม่ยหลันร้องอืม “ไปร่วมงานการกุศล ถ้าพาคนไปเยอะเกินก็ยากจะหลีกเลี่ยงการถูกซุบซิบ พวกคุณเองก็พาคนมาแค่สองสามคนเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
เฉินกวงตอบยิ้มๆ “ผมมาคนเดียว”
เสี่ยวตงเอ่ย “ผู้ช่วยของฉันบินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว”
หนิงหลันเองก็พาผู้จัดการมาแค่คนเดียวเช่นกัน
หลี่เสี่ยวเสียนประหลาดใจ “อาจารย์จางไม่ได้พาคนมาด้วยเหรอคะ?”
จางเย่ตอบยิ้มๆ “ผมชินกับการไปคนเดียวมากกว่า”
เฉินกวงตอบ “ต่างประเทศไม่เหมือนกับในประเทศนะ โดยเฉพาะเกาหลี มนุษยสัมพันธ์ของนายไม่ดี ถ้าไม่พาผู้ช่วยหรือผู้จัดการไปด้วย อย่างน้อยก็พาบอดี้การ์ดมาด้วยสักคนไหม?”
จางเย่ตอบสบายๆ ว่า “ไม่จำเป็นหรอก”
เจี่ยงฮั่นเวยเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง รู้ดีว่าไม่จำเป็นคำนี้หมายความว่าอย่างไร
ฉีเหม่ยหลันเอ่ย “ระวังสักหน่อยก็ไม่เสียหาย ทางฝั่งนั้นเองก็ไม่ปลอดภัย ถ้าเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ อาศัยคนน้อยนิดของผู้จัดงานก็ไม่แน่ว่าจะดูแลทั่วถึง”
ใกล้ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว
ทุกคนทยอยลุกขึ้นแล้วออกเดิน
ฉีเหม่ยหลันหันมาพูดกับบอดี้การ์ดว่า “ทุกคนไม่ได้พาบอดี้การ์ดมา ผู้ติดตามไม่มากเท่าไหร่ ทริปเกาหลีครั้งนี้คุณก็เหนื่อยหน่อยนะ นอกจากฉันแล้วก็ช่วยดูแลความปลอดภัยของทุกคนด้วย ฉันเป็นคนนำทีม ต้องพาคนออกไปแล้วก็พากลับมาอย่างปลอดภัย” หยุดไปครู่หนึ่งเธอก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “โดยเฉพาะอาจารย์จาง ความสัมพันธ์เขากับประเทศเกาหลีไม่ดี ฉันเกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้น คุณช่วยดูแลเขามากหน่อย”
เอมี่ได้ยินแล้วก็เอ่ยว่า “ใช่ค่ะ ต้องดูแลอาจารย์จางให้มากหน่อย”
บอดี้การ์ดชื่อซุนอ้ายสี่ เป็นลูกศิษย์รุ่นที่เจ็ดของสกุลซุน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ตระกูลใหญ่ แต่ก็เป็นสำนักวิชาศิลปะการต่อสู้ที่จริงจังสำนักหนึ่ง ฝึกฝนวิชามาตั้งแต่เล็กจนถึงทุกวันนี้ ฉีเหม่ยหลันจ่ายเงินไปมากถึงจ้างเขามาได้ แล้วเขาก็เป็นหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยของเธอด้วย ตลอดมาจึงได้รับความไว้วางใจจากสตาร์ควีนอย่างมาก
ทว่าเมื่อได้ฟังคำนี้ ซุนอ้ายสี่กลับปาดเหงื่อรอบหนึ่ง “ไม่จำเป็นมั้งครับ?”
ฉีเหม่ยหลันงุนงง “ทำไมล่ะ?”
ปกป้องเขาเรอะ?
ให้ผู้อาวุโสท่านนี้มาปกป้องตนจะเหมาะสมกว่า!
คนเขาใช้แค่มือเดียวก็ตีตนสิบคนได้แล้ว!
กังฟูเล็กน้อยของตนอยู่ต่อหน้าคนเขาแล้ว นับเป็นขนเส้นเดียวยังไม่ได้เลย!
ซุนอ้ายสี่ยิ้มขื่น “พี่หลันครับ ไม่ต้องกังวลหรอก มีท่านปรมาจารย์จางอยู่ ขอเพียงสิ่งที่เอามาข่มขู่ไม่ใช่ปืน ทีมของพวกเราจะปลอดภัยไร้ปัญหาแน่นอน”
ฉีเหม่ยหลันมองไปจางเย่ “ท่านปรมาจารย์จาง?”
ซุนอ้ายสี่รีบปิดปากทันใด
ฉีเหม่ยหลันเอ่ย “เหล่าซุน คุณช่วยอธิบายได้ไหม?”
ซุนอ้ายสี่ปาดเหงื่อ “พี่หลัน เรื่องนี้ผมพูดไม่ได้”
ฉีเหม่ยหลันประหลาดใจ “ทำไมเรียกว่าท่านปรมาจารย์จางล่ะ?”
ซุนอ้ายสี่เงียบกริบ แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ฉีเหม่ยหลันเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ถามซ้ำอีก เธอมองเงาหลังของจางเย่ที่เดินห่างออกไป ในแววตาปรากฏความสงสัยเล็กน้อย คนคนนี้ ยังมีความลับอยู่อีกงั้นเหรอ? หัวหน้าทีมบอดี้การ์ดของตนกลับให้ความเคารพแก่เขาอย่างมาก? เห็นทีคนคนนี้คงไม่ธรรมดาแน่ น่าสนใจจริงๆ
ภาค 10
ตอนที่ 1366
ตำนานในยุทธภพของจางเย่!
โดย
Ink Stone_Fantasy
บนเครื่องบิน
จางเย่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดคุยกับแม่ขณะขึ้นเครื่อง สิ่งที่เขาพูดทำให้คนรอบข้างหัวเราะท้องแข็ง เขาพูดว่า “ไอ้หยา แม่ แม่เอาหัวใจไว้ที่ท้องเถอะ แค่ไปต่างประเทศเอง ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกน่า แม่วางใจได้ ผมออกมาครั้งนี้ต้องยึดหลักอดทนและเคารพผู้อื่นแน่นอนอยู่แล้ว พวกเขาไม่เคารพผมเหรอ? งั้นผมเคารพพวกเขา พวกเขายังไม่เคารพผม? งั้นผมยังเคารพพวกเขา พวกเขาก็ยังไม่เคารพผม? แต่ผมก็ยังจะเคารพพวกเขา ถ้ายังไงพวกเขาก็ไม่มีทางเคารพผม? เชี่ย งั้นผมจะด่าพวกเขาแม่งให้ตาย ทีนี้ก็ไม่อาจไม่เคารพผมแล้ว”
หนิงหลัน “ฮ่าๆๆๆๆ!”
เสี่ยวตง “ฮ่าๆๆๆ”
ฉีเหม่ยหลันก็อดหัวเราะไม่ได้
ที่ไหนมีจางเย่อยู่ ที่นั่นจะต้องมีความผ่อนคลายและเสียงหัวเราะ ไม่ว่าผู้ชายคนนี้จะไปที่ไหนก็ราวกับเขากำลังพูดเซี่ยงเซิงอยู่ทุกที่
พอพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเห็นเขาก็ตื่นเต้นไม่หยุด
“ว้าว!”
“อาจารย์จาง?”
“อาจารย์จางมาแล้วเหรอคะ?”
“ผมยกกระเป๋าให้ครับ!”
“อาจารย์จาง เอากระเป๋ามาให้ผมเลยครับ!”
นี่คือเครื่องบินของไชน่าแอร์ไลน์ จางเย่เพิ่งเข้าห้องโดยสารก็มีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสองสามคนมาล้อมรอบเพื่อบริการเขา กลุ่มดาราด้านหลังเขาถูกทิ้งให้อยู่ตรงนั้น
จางเย่ค่อนข้างเกรงใจ “ไม่ต้องครับ ไม่ต้อง”
เอมี่หมดคำพูด “ดูการปรนนิบัติต่อคนอื่นเขาสิ”
เสี่ยวตง “ก็เป็นผู้โดยสารเหมือนกันหมด ทำไมถึงแตกต่างกันขนาดนี้นะ”
ต้าฉีหัวเราะ “อาจารย์จางเป็นผู้โดยสารกิตติมศักดิ์ตลอดชีวิตของไชน่าแอร์ไลน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายในการบิน ปีนั้นเขาได้ช่วยชีวิตของผู้โดยสารและพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเอาไว้ การดูแลก็ต้องไม่เหมือนกันอยู่แล้ว”
หนิงหลันนึกออกแล้ว “อ้อ จริงด้วย ยังมีเรื่องนั้นอยู่นี่นะ”
พนักงานต้อนรับแจ้งให้กัปตันของเครื่องบินทราบ
กัปตันก็ออกมาต้อนรับ “อาจารย์จาง ยินดีต้อนรับครับ!”
จางเย่หัวเราะ “ผมบอกแล้วไงว่าระหว่างเราไม่ต้องเกรงใจ”
กัปตัน “ไม่ได้หรอกครับ ละเลยคนอื่นได้แต่ไม่อาจละเลยคุณ อาจารย์จาง ผมแต่งงานแล้วครับ เจ้าสาวเป็นพนักงานต้อนรับคนที่คุณช่วยชีวิตไว้เมื่อปีนั้น”
จางเย่ประหลาดใจ “อ้อ? คนผอมหรือคนอ้วนล่ะ?”
กัปตันยิ้ม “คนผอมครับ”
จางเย่ “โอ้ มันคือโชคชะตาจริงๆ ยินดีด้วยครับ”
กัปตัน “ขอบคุณครับ ต้องขอบคุณคำอวยพรจากคุณ อีกเดี๋ยวผมให้เธอเอาขนมงานแต่งมาให้นะครับ!”
จางเย่เองก็มีความสุขมาก รู้สึกคล้ายทำบางอย่างแล้วประสบความสำเร็จอย่างไรอย่างนั้น
ที่ชั้นเฟิร์สคลาส
ทุกคนนั่งลงแล้ว บอดี้การ์ดซุนอ้ายสี่ช่วยพวกเขายกกระเป๋าเก็บทีละคน
หลี่เสี่ยวเสียน “ขอบคุณค่ะพี่ซุน”
ซุนอ้ายสี่ยิ้มเซ่อๆ “เกรงใจไปแล้วครับ อาจารย์หลี่”
เสี่ยวตงเอาเท้ารองกระเป๋าไว้ “พี่ซุนคะ ของฉันก็ค่อนข้างหนักค่ะ”
“คุณไม่ต้องทำแล้วครับอาจาร์ยเสี่ยวตง ผมเก็บเองครับ” ซุนอ้ายสี่ขันอาสาทำให้
เสี่ยวตงยิ้ม “ขอบคุณค่ะ”
ซุนอ้ายสี่ “พี่สาวหลันเพิ่งมอบหมายให้ผมรับผิดชอบความปลอดภัยของทีมนี้ ระหว่างทางทุกคนมีเรื่องอะไรสามารถเรียกใช้ผมได้เต็มที่นะครับ”
หนิงหลันอยากรู้อยากเห็น “เหล่าซุนเป็นทหารผ่านศึกเหรอคะ?”
บอดี้การ์ดส่วนใหญ่ต่างเป็นทหารผ่านศึก
ฉีเหม่ยหลันฟังจบก็หัวเราะ “เหล่าซุนไม่ใช่ ท่านอาจารย์ซุนเป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริง ทักษะสูงมาก มีคนสามถึงห้าคนก็ไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้ง่ายๆ หรอกนะ”
เอมี่ประหลาดใจ “ร้ายกาจมากเลยเหรอคะ?”
ซุนอ้ายสี่หน้าแดงเล็กน้อย “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”
ต้าฉีถาม “มีศิลปะการต่อสู้ในโลกนี้จริงๆ เหรอ?”
ซุนอ้ายสี่อธิบาย “พวกเราส่วนใหญ่เรียกมันว่ากังฟูครับ”
เสี่ยวตงยิ้ม “แล้วระหว่างคุณกับลุงเจียงของฉันใครร้ายกาจกว่ากันคะ?”
ทุกคนในวงการบันเทิงต่างรู้กันดีว่าซูเปอร์สตาร์ด้านศิลปะการต่อสู้แห่งเอเชียอย่างเจียงฮั่นเวยเติบโตมาในครอบครัวที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ มีทักษะที่แท้จริง ทุกคนต่างมองว่าเจียงฮั่นเวยเป็นคนที่มีระดับกังฟูระดับสูงที่สุดในประเทศ เพราะพวกเขารู้จักแค่คนเดียว ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้เชี่ยวชาญคนอื่นอีก นี่เป็นสาเหตุที่เวลาสื่อจำนวนมากเขียนรายงานข่าวเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญด้านกังฟู ก็มักจะเขียนชื่อเจียงฮั่นเวยไว้อันดับแรก นี่ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางไปแล้ว
เจียงฮั่นเวยมองเขา “ท่านอาจารย์ซุนมาจากสำนักไหนเหรอครับ?”
ซุนอ้ายสี่ “ค่ายตระกูลซุนครับ”
เจียงฮั่นเวยไม่คาดฝัน “ฮะ ท่านอาจารย์ซุนเฮ่อซุนก็คือคุณเหรอครับ?”
ซุนอ้ายสี่ตอบ “นั่นคือลุงรองของผมครับ”
เจียงฮั่นเวยหัวเราะ “ถ้ามีเวลาว่างพวกเราต้องลับฝีมือกันหน่อยนะครับ”
ซุนอ้ายสี่ “ได้ครับ มีโอกาสขอท่านอาจารย์เจียงโปรดชี้แนะ”
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกปากถูกคอ
ส่วนจางเย่กลับไม่สนใจในหัวข้อนี้ ไม่แม้แต่จะฟัง ในขณะที่เครื่องบินยังไม่ขึ้นบิน เขาก้มหน้าหัวเราะเหอะๆ ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรคุยกับอู๋เจ๋อชิง
คนที่นั่งข้างเขาคือหนิงหลัน
หนิงหลันเหล่มองยิ้มๆ “คนอื่นเขาคุยเรื่องศิลปะการต่อสู้ นายไม่ฟังหน่อยเหรอ? ครั้งก่อนฉันไปถ่ายละครแล้วถูกล้อม นายไปช่วยฉันคลายวงล้อม ฉันได้ยินพวกที่เรียนศิลปะการต่อสู้ต่างเรียกนายว่าท่านอาจารย์จางนี่?”
จางเย่เหม่อลอย “หา? อา”
หนิงหลัน “นายได้กังฟูนิดหน่อยใช่ไหม?”
จางเย่พิมพ์ข้อความไปด้วยตอบกลับไปด้วย “อา ได้นิดหน่อย”
เสี่ยวตงหันกลับมาอย่างแปลกใจ “อาจารย์จางก็เป็นเหรอ?”
เฉินกวงขำ “เธอเชื่อคำขี้โม้เขาเหรอ”
เอมี่หัวเราะคิกคิก “ทำไมฉันถึงไม่เชื่อเลยล่ะ ดูร่างกาย ดูอารมณ์แล้ว อย่างท่านอาจารย์ซุนเขาถึงจะเรียกว่าผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริง”
เจียงฮั่นเวยไม่พูดอะไรสักคำ
แต่ซุนอ้ายสี่ตกใจฉี่แทบราด รีบร้อนพูดว่า “ไม่ครับ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก!”
พี่สาว! คุณอย่าหาเรื่องมาให้ผมได้ไหม! อยู่ต่อหน้าคนอื่นเขา ใครกล้าเรียกตัวเองว่าผู้เชี่ยวชาญ? คนอื่นเขาสิถึงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกังฟูของจริง! เป็นปรมาจารย์ไทเก๊กที่สาบสูญไปกว่าร้อยปีเชียวนะ! ไม่นับแค่ผมแล้ว ถึงผมจะร่วมมือกับอาจารย์เจียงพวกเราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา คนที่สามารถประมือกับปรมาจารย์กังฟูทั้งหลายแล้วยังยืนหยัดอยู่ได้ คนที่สามารถกวาดล้างสำนักศิลปะการต่อสู้ทุกสำนักกว่าสิบคนจากทั้งหัวซาน ง้อไบ๊ บู๊ตึ๊ง เส้าหลิน คงท้งทั้งหลายได้อย่างโหดเหี้ยม! ในยุทธภพนี้หากได้ยินชื่อของเขาก็ทำให้ผู้คนต้องสั่นกลัวแล้ว!
เอาผมไปเปรียบเทียบกับคนเขา?
นี่ไม่ใช่ว่าคุณกำลังหาความอัปยศมาให้ผมอยู่หรอกหรือ!
ซุนอ้ายสี่อับอายเป็นอย่างมาก แต่เป็นเรื่องของตัวจางเย่เองเขาก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ ซุนอ้ายสี่อยากจะหาช่องว่างและมุดลงไปใจจะขาด
เวลานั้นจางเย่คุยเสร็จพอดี เขาวางโทรศัพท์ไว้บนที่นั่งแล้วก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ
หนึ่งนาที
สองนาที
ทำธุระเสร็จเรียบร้อย
หลังจากเปิดประตูห้องน้ำและก้าวออกมา จางเย่ก็ต้องชะงัก
มีเงาดำทะมึนยืนขวางอยู่ด้านหน้าประตู
เป็นบอดี้การ์ดของสตาร์ควีนคนนั้นนั่นเอง
จางเย่นึกว่าเขาจะเข้าห้องน้ำเหมือนกันจึงเบี่ยงตัวไปด้านข้าง “คุณเข้าได้เลย”
รอบด้านไร้ผู้คน
ซุนอ้ายสี่กลับไม่ได้เดินเข้าไป เขาประกบหมัด และทักทายอย่างสุภาพ “ซุนอ้ายสี่ ศิษย์รุ่นที่เจ็ดของค่ายตระกูลซุน คารวะท่านอาจารย์จางครับ”
ค่ายตระกูลซุน?
สำนักย่อย?
จางเย่แปลกใจ “คุณรู้จักผมเหรอ?”
ซุนอ้ายสี่ยังคงประกบหมัด ก่อนตอบกลับอย่างนอบน้อม “โชคดีที่ผู้อาวุโสในตระกูลเล่าเรื่องราวของท่านอาจารย์จางให้ฟัง ศึกต่อสู้ทลายสำนักใหญ่ใต้หล้า ผู้เฒ่าในตระกูลก็ประสบด้วยตนเองเช่นกัน ทั้งยังโชคดีได้ร่วมต่อสู้เคียงข้างท่านอาจารย์จาง ได้เห็นการต่อสู้ของท่าอาจารย์จางด้วยตาตัวเอง ทุกครั้งที่นึกขึ้นมาก็ทำให้พวกเขาตื่นเต้นอย่างมาก” เขาชะงักครู่หนึ่ง แล้วรีบร้อนพูด “เมื่อกี้พี่สาวหลันถามผมเกี่ยวกับเรื่องของคุณ ผมรู้กฎของยุทธภพดี ผมไม่ได้พูดอะไรเลยครับ ขอให้คุณวางใจได้ ผมไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์”
กฎเกณฑ์?
นายเข้าใจเหรอ?
แต่ฉันไม่เข้าใจ!
กฎเกณฑ์ยุทธภพอะไรกัน?
จางเย่ หมอนี่ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนในยุทธภพแม้แต่นิด เขาเป็นศิลปินในวงการบันเทิง ปีนั้นที่บุกขึ้นยอดเขาสูงเทียมฟ้าก็เป็นเพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ใครจะคาดคิดว่าหลังจากครั้งนั้นเขาจะทิ้งตำนานของตนเองไว้ในยุทธภพ ทุกคนล้วนปิดปากเงียบ มันน่ากลัวชนิดที่แค่พูดถึงก็ต้องหน้าซีด
พวกนายพูดไปสิ!
ใครไม่ให้พวกนายพูดกัน!
พวกนายช่วยโฆษณาให้พี่ชาย คะแนนนิยมของพี่ชายจึงจะเพิ่มได้อีกไงล่ะ!
หากเหล่าคนในยุทธภพรู้ว่าจางเย่คิดอย่างไร คงต้องกระอักเลือดกันทุกคน!
กฎเกณฑ์ยุทธภพแท้จริงคือ หากคุณรู้แล้วก็คือได้รู้แล้ว นั่นหมายความว่าคุณมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับรู้ หากคุณไม่รู้ นั่นเพราะเป็นเรื่องที่คุณไม่ควรรู้ อย่างเช่นพี่สาวหลัน อย่างเช่นดาราทั้งหลายในวงการบันเทิง พวกเขาไม่ได้อยู่ในยุทธภพ เป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครบอกเรื่องแบบนี้กับพวกเขา อย่างน้อยซุนอ้ายสี่ก็ไม่สามารถบอกได้ เพราะคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ยิ่งใหญ่เกินไป และอันดับอาวุโสของเขายังไม่พอ คุณสมบัติยังไม่เพียงพอ ไม่สามารถอวดดีไปพูดคุยเรื่องนี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเล่าให้คนนอกฟัง โลกยุทธภพมีเพียงคนในยุทธภพที่รู้ นี่คือกฎ
ซุนอ้ายสี่ทำความเคารพ “จากนี้หากมีโอกาส ขอท่านอาจารย์โปรดให้การชี้แนะด้วยนะครับ”
จางเย่ทำได้เพียงประกบหมัดตอบ “พูดได้ดี พูดได้ดี”
ซุนอ้ายสี่ยินดีกับสิ่งที่ไม่คาดคิด “งั้นคุณรับปากผมแล้วใช่ไหมครับ?”
จางเย่ “หา? อา ได้สิ“
ภาค 10
ตอนที่ 1367
ประเทศจีนไม่มีเพลงเฮฟวี่เมทัล?
โดย
Ink Stone_Fantasy
เครื่องบินบินขึ้นฟ้าแล้ว
ทะยานขึ้นไปที่ความสูงหนึ่งหมื่นเมตร
หนิงหลันหลับตาพักผ่อน
ฉีเหม่ยหลันอ่านหนังสือ
เฉินกวงและจ้าวอู่ลิ่วพูดคุยเกี่ยวกับเทศกาลดนตรี
“เหล่าจ้าว คุณเตรียมเพลงอะไรไว้เหรอ?”
“เพลง ‘BOBO’ น่ะ”
“อ่า เพลงนี้เหรอ”
“ก็ยากอยู่ รอดูสถานการณ์ก่อน คุณล่ะ”
“เพลงเฮฟวีเมทัลผมก็ได้ไม่กี่เพลงเอง น่าจะเป็น ‘CHARIOT’ นั่นแหละ”
“เราสองคนไม่ใช่สไตล์เฮฟวี่เมทัล ที่จริงก็ไม่ค่อยอยากร้องเท่าไร”
“ประเทศเราไม่มีเพลงเฮฟวี่เมทัลเป็นของตนเองนี่นะ”
“ใช่ไง เฮ้อ สุดท้ายก็ต้องเลียนแบบคนอื่น”
“ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีเพลงเฮฟวี่เมทัลจีนออกมาสองสามเพลง แต่ก็ไม่ดังสักเพลง พวกเราเพิ่งเริ่มเดิน ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ ยังไงก็ต้องมีผลงานที่ดีเข้าสักวัน”
“หวังว่าอย่างนั้นนะ”
จางเย่ที่กำลังสวมผ้าปิดตาหลับพักผ่อนก็ได้ยินการสนทนาของพวกเขา
เป็นไปไม่ได้มั้ง?
ประเทศจีนไม่มีแนวเพลงเฮฟวี่เมทัลของตนเองเหรอ?
ถ้าอย่างนั้นเพลงเฮฟวี่เมทัลของนานาชาติเป็นอย่างไรแล้วบ้าง?
เขาเองก็อยากรู้อยากเห็น ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ใช่คนของโลกนี้ เรื่องราวมากมายในประเทศช่วงหลายปีมานี้จางเย่ก็เรียนรู้อย่างช้าๆ แต่เรื่องราวระดับนานาชาติจางเย่ยังไม่เข้าใจอยู่มาก เนื่องจากเขาตัดสินใจที่จะพัฒนาไปจนถึงระดับนานาชาติ แน่นอนว่าต้องรู้สถานการณ์ของประเทศอื่นก่อน เช่นสไตล์เพลง วัฒนธรรม นี่คืออีกเป้าหมายหนึ่งที่จางเย่มาเกาหลีในครั้งนี้ เขามาเพื่อหาลู่ทางนั่นเอง
หนึ่งชั่วโมง
สองชั่วโมง
ในที่สุดเครื่องบินก็ลงจอด มาถึงเกาหลีแล้ว
ณ กรุงโซล
ที่สนามบิน
ทันทีที่ทุกคนออกมา ตัวแทนเจ้าภาพคอนเสิร์ตการกุศลที่มารับพวกเขาก็เข้ามาต้อนรับ และไม่รู้ว่ามีข่าวรั่วหรืออย่างไร เพราะมีแฟนคลับชาวเกาหลีและนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวจีนมารอรับด้วย
“กรี๊ด!”
“ฉีเหม่ยหลัน!”
“ฉีเหม่ยหลัน!”
“เจียงฮั่นเวย!”
“เสี่ยวตงนี่นา!”
หลายคนตะโกนเป็นภาษาเกาหลี
หลายคนชูป้ายต้อนรับ
จางเย่ฟังไม่ออกและอ่านภาษาเกาหลีไม่เข้าใจ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าในนั้นไม่มีคนตะโกนชื่อของเขาเลย นี่ก็สามารถแสดงถึงความต่างชั้นของคะแนนนิยมในเอเชียได้แล้ว ในประเทศจางเย่มีชื่อเสียงอยู่ในระดับเดียวกับสตาร์ควีนฉีเหม่ยหลัน ไปที่ไหนก็มีแต่แฟนคลับล้อมรอบ ยกตัวอย่างเช่นในห้องรับรองของสนามบิน มีผู้โดยสารสองคนวิ่งเข้ามาขอลายเซ็นของจางเย่และฉีเหม่ยหลัน แต่หลังจากมาถึงเกาหลี ฉีเหม่ยหลันยังคงโด่งดัง แต่ชื่อเสียงของจางเย่กลับมองไม่เห็นแล้ว คะแนนนิยมไม่พอ ไม่ต้องพูดถึงฉีเหม่ยหลัน แค่เจียงฮั่นเวยกับเสี่ยวตงเอมี่พวกเขายังได้รับการต้อนรับมากกว่าจางเย่ ในจำนวนคนมากมายไม่มีใครรู้จักจางเย่สักคน สายตาไม่แม้แต่จะเหลือบมองมาทางเขา
บนรถบัส
จางเย่มองไปที่ทิวทัศน์แปลกตาด้านนอกหน้าต่าง เขากลับรู้สึกผ่อนคลายมาก
หนิงหลันถาม “อารมณ์ดีไม่เลวนี่นาย?”
จางเย่หัวเราะ “ใช่สิ ยากนะที่จะมีสถานที่ที่คนไม่รู้จักผม”
เสี่ยวตงกลอกตา “คุณเป็นถึงดาราเอเชียระดับเอเชียวนะ”
จางเย่ขำ “ระดับเอปลายแถวน่า ทั้งยังอยู่บรรทัดสุดท้ายของระดับเออีก”
“ที่นี่มีคนรู้จักคุณเยอะแยะ” เฉินกวงพูด “เพียงแต่แฟนคลับมีไม่มาก ใครใช้ให้คุณไม่มีผลงานฉายต่างประเทศกันล่ะ แล้วยังไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมของแถบเอเชียเลยด้วย”
เอมี่ “แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผู้มีอิทธิพลและมีคะแนนนิยมมากที่สุดในเอเชีย ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นดาราเกาหลี ในบรรดาสตาร์คิงสตาร์ควีนของเอเชีย เป็นดาราเกาหลีซะเกินครึ่ง อุตสาหกรรมบันเทิงของเกาหลีใต้เป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก จากการฝึกฝน การคัดกรอง จนไปถึงการโฆษณา ล้วนแต่เป็นมืออาชีพ ตรงจุดนี้พวกเราเทียบกับพวกเขาไม่ได้เลย”
ในที่สุดเจียงฮั่นเวยก็พูดแล้ว “ดาราศิลปินเกาหลีเป็นที่นิยมจริงๆ แม้ว่าบนเวทีระดับโลกพวกเขาจะมีคนที่ประสบความสำเร็จน้อยมาก และไม่ใช่ดาราชั้นนำของนานาชาติ แต่ในเอเชียกลับโด่งดังอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงที่อื่น พูดถึงแค่ในจีน ดาราเกาหลีคนใดคนหนึ่งขอแค่มีผลงานที่โอเค รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาก็เป็นที่นิยมในจีนแล้ว อย่างน้อยก็เติบโตได้ไม่เลว แต่ว่าศิลปินของประเทศเราถ้าต้องการจะมีชื่อเสียงโด่งดังในเกาหลีและญี่ปุ่น นั่นเป็นเรื่องที่ยากมาก”
รถบัสเคลื่อนตัวแล้ว
ทุกคนคุยกันตลอดทาง
พวกเขาเข้าพักที่โรงแรม
จัดเก็บสัมภาระ
กินข้าว
กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จก็เป็นช่วงเย็นแล้ว
ตอนนี้เป็นเวลาส่วนตัว งานเลี้ยงการกุศลจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ทุกคนไม่มีอะไรทำจึงตัดสินใจไปกับเฉินกวงและจ้าวอู่ลิ่ว
“ไปกันไหม?”
“โอเค ไปดูเทศกาลดนตรีเฮฟวี่เมทัลนั่นกัน”
“เฮฟวี่เมทัล ฉันฟังมาน้อยมากจริงๆ”
“เหล่าเฉินเหล่าจ้าวก็จะขึ้นแสดงเหรอคะ?”
“ใช่สิ ขอแสดงความอ่อนด้อยแล้ว”
“ฮ่าๆ พวกเราจะอยู่ด้านล่างเชียร์คุณสองคนนะ”
หลังจากจัดการเรื่องรถ เรียกล่ามเรียบร้อย ทุกคนก็ออกไปพร้อมกัน
……
ตอนเย็น
ช่วงเวลาห้าโมงกว่า
ณ สถานที่แห่งหนึ่งในกรุงโซล มีเสียงเพลงอึกทึกดังไปทั่ว
พวกเขาได้ตั๋วเข้าผ่านประตูหลัง และนั่งบนที่นั่งวีไอพี
ทันทีที่เข้าไป หนิงหลันก็ต้องเอามือปิดหู “ยังไม่เริ่มอีกเหรอ? ทำไมเสียงดังแบบนี้?”
เอมี่หัวเราะฮาๆ “ที่ต้องการก็คือบรรยากาศแบบนี้แหละ เพลงเฮฟวี่เมทัลเพราะนะ ต้องใช้ใจฟัง น่าเสียดายที่ประเทศเราไม่มีผลงานอะไรเลย มีแต่ที่เลียนแบบต่างประเทศ อย่างมากก็ร้องเพลงที่แปลงมาจากภาษาต่างประเทศเท่านั้น”
ต้าฉีถาม “แล้วเกาหลีกับญี่ปุ่นล่ะ?”
เอมี่คือมืออาชีพด้านการทำเพลง เธอมีความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง “เกาหลี ญี่ปุ่นต่างก็มีสไตล์ดนตรีเฮฟวี่เมทัลเป็นของตัวเอง อย่างเช่นญี่ปุ่นนั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นสไตล์แรกเริ่มของเฮฟวี่เมทัลได้เลย ส่วนเกาหลี ที่จริงฉันคิดว่าสไตล์ไม่ชัดเจนมากนัก เป็นการเปลี่ยนจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาเกาหลีในการร้องเท่านั้น แต่หากจะบอกว่านี่คือดนตรีร็อกเฮฟวี่เมทัลของเกาหลีเอง ก็ไม่ผิด”
เสี่ยวตง “มีแต่ประเทศจีนที่ไม่มีสไตล์เฮฟวี่เมทัลเป็นของตัวเองนี่นา”
เอมี่ “นี่ก็ทำอะไรไม่ได้ พวกเราเพิ่งเริ่มต้นเส้นทางด้านนี้ ต้องลองดูว่าจะเอาวิธีการร้องของภาษาจีนมาทำเพลงเฮฟวี่เมทัลในสไตล์ตัวเองได้ยังไง พูดเหมือนง่ายนะ แต่ที่จริงมันยากมาก”
ประเทศจีนไม่มีเฮฟวี่เมทัล?
ประโยคนี้อีกแล้ว?
จางเย่ได้ยินเป็นครั้งที่สองของวันแล้ว
เขายิ่งอยากรู้ว่าดนตรีเฮฟวี่เมทัลในโลกนี้เป็นอย่างไรกันแน่มากขึ้นไปอีก
ผู้ชมทยอยเข้ามา มีนักเรียนแลกเปลี่ยนจากจีน มีคนเกาหลี มีคนมาจากทั่วทุกสารทิศ บรรยากาศคึกคักมาก การแต่งกายของแต่ละคนก็มีความโดดเด่นอย่างมาก บางคนอินดี้มาก บางคนเป็นชุดหนังทั้งตัว และยังมีคนที่ทำผมหลากสีสัน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่น ทุกคนต่างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
สามสิบนาทีให้หลัง
ทุกคนต่างเข้ามาหมดแล้ว
เทศกาลดนตรีเฮฟวี่เมทัลนานาชาติเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
วงดนตรีเกาหลีวงหนึ่งขึ้นแสดงแล้ว
เพียงแค่พวกเขาออกมา ด้านล่างก็มีเสียงตะโกนเชียร์ทันที!
“$%$#!”
“$%$#!”
“$%$#!”
ทุกคนต่างตะโกนหนึ่งประโยคเป็นภาษาเกาหลี
แน่นอนว่าพวกจางเย่ฟังไม่ออกสักนิด
ล่ามคนที่มาด้วยหัวเราะ “พวกเขาตะโกนชื่อวงอยู่ครับ สตรองวินด์”
จางเย่หยอก “พายุฝนไม่มาเหรอ?”
เอมี่กลอกตา “นี่เป็นหนึ่งในวงเฮฟวี่เมทัลที่ดังที่สุดในเกาหลีเชียวนะ”
เสี่ยวตง “มาแล้ว!”
ฉีเหม่ยหลันก็มองไปทางเวทีอย่างสนอกสนใจ เธอเองก็ไม่ค่อยได้ฟังเพลงเฮฟวี่เมทัลเช่นกัน
ทันใดนั้นแสงไฟก็สว่างเป็นประกายระยิบระยับ!
เสียงดนตรีอันหนักแน่นดังขึ้น!
กีตาร์!
เบส!
เสียงดังกระหึ่มทั่วงานทันที!
“&8((&…%!”
“&()(%$##@@!”
นักร้องร้องเป็นภาษาเกาหลี พวกเขาฟังไม่ออก ทำได้เพียงใช้ความรู้สึกรับฟัง
เอมี่คือผู้เดินสายทางด้านนี้ เธอพูดเสียงดังว่า “ไม่เลวเลยจริงๆ!”
เสี่ยวตงก็เข้าใจอยู่เล็กน้อย “เสียงดนตรี และเสียงนักร้องนำเยี่ยมมาก!”
ฉีเหม่ยหลันชื่นชมอย่างเงียบๆ
หนิงหลันนั่งไขว่ห้างเอามือปิดหู เสียงเพลงดังเกินไป
มีเพียงจางเย่คนเดียวที่แสดงออกไม่เหมือนคนอื่น เขาอึ้งไปแล้ว
วงที่สองขึ้นแสดงแล้ว!
วงเฮฟวี่เมทัลจากญี่ปุ่น!
จากนั้นวงดนตรีที่สามเป็นหนึ่งตัวแทนจากวงดนตรีเฮฟวี่เมทัลของอเมริกา!
วงที่สี่มาจากฟินแลนด์!
วงที่ห้าเป็นของอังกฤษ!
ด้านล่างมีนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวจีนหลายคนกำลังดื่มเหล้าและโบกแขนโยกตัวอย่างเมามัน!
“สุดยอดเลย!”
“เพราะมาก!”
“ฉันชอบวงสตรองวินด์!”
“ยังไงดนตรีสดก็ยอดเยี่ยมที่สุด!”
“ใช่แล้วใช่แล้ว มาวันนี้คุ้มแล้วล่ะ!”
“เฉินกวงกับจ้าวอู่ลิ่วออกมาหรือยัง?”
“ใกล้แล้วใกล้แล้ว!”
“น่าเสียดายพวกเราไม่มีเฮฟวี่เมทัลเป็นของตัวเอง!”
ฉีเหม่ยหลันแสดงความคิดเห็นหนึ่งประโยค
เจียงฮั่นเวยและต้าฉีก็กำลังคุยกันเรื่องนี้
มีเพียงจางเย่เท่านั้นที่ฟังการร้องเพลงของวงดนตรีบนเวทีด้วยท่าทางที่งุนงง!
นี่เหรอ?
นี่น่ะเหรอ?
เชี่ย พวกนายกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ ฉันยังนึกว่าเพลงเฮฟวี่เมทัลของโลกนี้พิเศษมาก ฉันยังนึกว่าเพลงเฮฟวี่เมทัลของโลกนี้แตกต่างจากโลกเดิมของฉันเสียอีก มันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? นี่มันไม่ใช่เพลงเฮฟวี่เมทัล แต่เป็นเพลงร็อกธรรมดาที่มีอยู่เกลื่อนกลาดหรอกหรือ?
แต่ประเทศจีนกลับไม่มีเนี่ยนะ?
นายกำลังล้อฉันเล่นอยู่เรอะไง??
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น