ฉันนี่แหละคือซูเปอร์สตาร์ I’m really a superstar ตอนพิเศษ 1-6
ตอนพิเศษ : คำตาม 1 จางเย่ไต่สู่จุดสูงสุดของทวีปเอเชีย!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพลงจบแล้ว
สัญญาณถ่ายทอดสดตัดไปแล้ว
คอนเสิร์ตจบสิ้นลง
จางเย่ผ่อนคลายลง ยิ้มแล้วหันไปทางพวกผู้อำนวยการต่ง “ไปกันเถอะ”
ตำรวจนายหนึ่งเอาใบนำจับออกมา ใบนำจับนั้นไม่ได้ประทับตราโดยสถานีย่อยหรือสถานีประจำเมือง แต่เป็นการประทับตราโดยกระทรวงพิทักษ์สันติราษฎร์ “จางเย่ ทางเราอาศัยอำนาจตามใบประกาศจับผู้ต้องสงสัยเพื่อสอบสวนคุณต่อไป ขอให้ร่วมทางไปกับเราด้วยครับ” พูดจบก็นำกุญแจมือออกมา
ฟ่านอิงอวิ๋นร้องทันที “ใครกล้าทำร้ายอาจารย์จาง!”
เมิ่งอี้และฟางเสี่ยวสุ่ยรวมถึงคนอื่นๆ ก็จ้องเขาเขม็ง!
นายตำรวจว่า “เจ้าหน้าที่ฟ่าน พวกเราทำตามขั้นตอน คุณ…”
ผู้อำนวยการต่ง “เก็บกุญแจมือคุณกลับไป!”
นายตำรวจลังเลก่อนเก็บกุญแจมือ
จากนั้น ผู้อำนวยการต่งก็เดินเข้ามาหาจางเย่ด้วยสีหน้าซับซ้อน “อาจารย์จาง เดิมทีการจับกุมตัวครั้งนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรา แต่ว่าคุณเคยร่วมงานกับพวกเรา ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมงามและสหายร่วมรบคนหนึ่ง ผมคิดว่าในตอนสุดท้าย คุณต้องไม่อยากให้คนอื่นมาแน่ๆ ดังนั้นผมถึงขอคำสั่งจากผู้บัญชาการให้รับหน้าที่นี้เอง”
จางเย่ยิ้ม “ขอบคุณครับ”
เขาลงจากเวที
ขึ้นรถตำรวจ
จางเย่ไปแล้ว
ไปอย่างเรียบง่ายและผ่อนคลาย
คอนเสิร์ตครั้งนี้ ถูกกำหนดไว้แล้วให้บันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ เพราะไม่เคยมีคอนเสิร์ตครั้งไหนจัดขึ้นบนเวทียิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทั้งไม่เคยมีดาราคนไหนอำลาเวทีด้วยวิธีนี้ มีเพียงจางเย่เท่านั้น แม้แต่ยามจากลา ยังจากลาอย่างฮึกหาญ กระทั่งปิดม่านก็ต้องปิดม่านอย่างอลังการ!
……
ชั่วขณะนี้
ทั่วโลกต้องฮือฮา!
ทั่วเอเชียต้องระเบิด!
ทุกอย่างกะทันหันจนไม่มีใครได้ตั้งตัว เพื่อนและญาติของจางเย่ สตูดิโอของเขา วงการบันเทิงจีน รวมถึงสื่อทั่วเอเชียก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย บ้างถึงกับมองหน้าจอไลฟ์ที่สัญญาณตัดไปอย่างเหม่อลอย ทำใจรับข่าวนี้ไม่ได้ นี่คือคอนเสิร์ตครั้งใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย นี่สมควรเป็นช่วยเวลาที่เปล่งประกายที่สุดของจางเย่! คนทั้งหลายต่างก็รับไม่ได้!
‘จางเย่ถูกจับ!’
‘ตัวจริงของ 2!’
‘ตะลึง! จางเย่คือแฮ็กเกอร์ที่มีค่าหัวสูงที่สุดในโลก!’
‘แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์วงการบันเทิงของเอเชีย!’
‘ตำรวจเผย จางเย่มอบตัวด้วยตนเอง!’
‘นักกฎหมายวิเคราะห์ : จางเย่อาจได้รับโทษจำคุกหลายปี!’
……
บนเวยป๋อ
“เขากำลังจะเป็นพ่อคนนะ!”
“อาศัยอะไรมาจับเขาน่ะ!”
“ตอนนั้นพวกแฮ็กเกอร์เกาหลีต่างหากที่เริ่มก่อน!”
“ปล่อยเขา!”
“ปล่อยเขา!”
“ขอเข้าชื่อร้องเรียน!”
“ใช่! ฉันจะร้องเรียน!”
“ฉันด้วย!”
……
โลกออนไลน์ของญี่ปุ่นก็วุ่นวาย!
“จางเย่?”
“แฮ็กเกอร์ 2?”
“เป็นเขาเอง?”
“ไม่ใช่ว่าเขาเป็นนักวาดการ์ตูนหรอกเหรอ?”
“ไม่ใช่ว่าเขาเป็นพิธีกรหรอกเหรอ?”
……
สำนักพิมพ์โชเน็น
“สวรรค์ เขาคือ 2!”
“ทำไมมีความสามารถรอบด้านแบบนี้!”
“จริงๆ แล้วหมอนี่เป็นใครกันแน่?”
“หลังตัดจบมังงะแล้วก็ไปวุ่นในวงการแฮ็กเกอร์ต่องั้นเหรอ?”
……
ที่เกาหลี
ประชาชนต้องงุนงง
“เป็นเขาไปได้ไง?”
“ทำไมเป็นหมอนี่อีกแล้ว?”
“การระบาดของแพนด้าจุดธูปนั่นเป็นเพราะเขาหรอกเรอะ?”
“พระเจ้า!”
“ทำไมหมอนี่ต้องหาเรื่องเราตลอดด้วย?”
“ศัตรูของประเทศตัวใหญ่ทั้งสองอย่างจางเย่กับ 2 แม่งเป็นคนเดียวกัน? เป็นไปได้ยังไง! หมอนี่มันร้ายกาจขนาดนี้ได้ยังไงกัน!”
……
ที่ CCTV
“นี่…นี่มัน…”
“อาจารย์จางเขา…”
“จะไปแบบนี้น่ะเหรอ?”
“เป็นเขาไปได้ยังไง!”
……
ที่สตูดิโอของจางเย่
“ทำไงดี!”
“เจ๊ฮา พี่จั่ว ทำยังไงดี?”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ไปบ้านผู้กำกับจางก่อนแล้วกัน พ่อแม่เขาต้องเพิ่งรู้เรื่องนี้แน่ๆ พวกท่านอายุมากแล้วอาจจะรับไม่ไหว ไป เสี่ยวหวังเอารถมา!”
……
ที่บ้านเหล่าเหยา
“กล้ามาจับศิษย์พี่ข้าได้ยังไง? ข้าจะไปเอาตัวเขาออกมา!”
“เสี่ยวหยาง กลับมาเดี๋ยวนี้!”
“แต่ว่าศิษย์พี่…ไม่ ข้าจะไปช่วยเขา!”
“ฝีมือแมวสามขาอย่างเธอ คิดว่าจะไปช่วยใครได้? ไปที่นั่นก็มีแต่เรื่องวุ่นวาย ฝีมือระดับไอ้เด็กนั่น ถ้าเขาอยากหนีคิดว่าพวกนั้นจะหยุดเขาได้งั้น?”
“แต่ว่า แต่ว่า…”
……
บ้านของต่งซานซาน
เหล่าเพื่อนร่วมชั้นต่างรวมตัวกัน
“ไอ้บัดซบนั่น!”
“คิดจะออกจากวงการ สะบัดก้นไปแบบนี้งั้นเหรอ?”
“ไอ้หมอนั่นมันจะทุเรศไปหน่อยแล้ว! ไม่คิดถึงคนอื่นเลยเรอะ!”
……
บ้านของสวีเหม่ยหลัน
“เจ๊สวี นี่มัน…”
“เธอรีบไปที่สตูดิโอของจางเย่ตอนนี้เลย”
“ค่ะ!”
“มีอะไรช่วยได้ก็ให้พวกเขาบอกมา”
……
สำนักงานความมั่นคงทางไซเบอร์
“อาจารย์จางเป็นยังไงบ้าง?”
“เรื่อง CIH น่ะไม่เท่าไหร่ ทั่วโลกจัดการแจ้งเตือนระดับสูงสุดเลยควบคุมไว้ได้ไม่แพร่กระจาย แต่แพนด้าจุดธูปนั่น…”
“ความจริงแล้วการจับอาจารย์จางถือว่าเป็นการปกป้องเขาในทางหนึ่ง ทางเกาหลีกับอเมริกาก็ต้องการตัวเขา พวกเรามอบให้ไม่ได้แน่ เบื้องบนก็เลยตกลงกันแบบนี้”
“แต่ว่า…”
“แบบนี้คือหนทางที่ดีที่สุดแล้วที่เบื้องบนทำให้เขาได้”
“แต่ แต่ฉันชอบเขาจริงๆ นะ”
“ฉันก็ด้วย จางเย่น่ะพิเศษจริงๆ”
……
มีคนร้องไห้
มีคนร้องด่า
มีคนร้องโวยวาย
ทั้งยังมีคนจะพยายามแหกคุก
คืนนี้ถูกกำหนดไม่ให้สงบสุข ทั่วทั้งทวีปเอเชียตกอยู่ในความวุ่นวายเพราะชื่อเพียงชื่อเดียว!
จางเย่!
จางเย่!
และยังคงเป็นจางเย่!
ญี่ปุ่น
เกาหลี
จีน
ทั่วทั้งทวีปเอเชียเต็มไปด้วยข่าวลือและเรื่องเล่าของเขา
แม้แต่ศัตรูทั้งหลายของจางเย่ยังเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนปนเป ชื่อนี้เคยทำให้พวกเขาต้องกัดฟันด้วยความเคียดแค้นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อพบว่าจางเย่กำลังจะจากไป เมื่อได้ยินว่าชื่อนี้จะไม่อยู่ในวงการบันเทิงอีก ทุกคนก็ต้องถอนหายใจ ขณะเดียวกันก็อิจฉาเขาเล็กน้อย คอนเสิร์ตครั้งใหญ่ที่สุดในเอเชีย มีผู้ชมนับแสนอยู่ร่วมกับเขา ทั้งถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ ภายใต้สายตาของคนทั้งทวีปนี้ เขากลับเลือกที่จะสิ้นสุดหนทางในวงการบันเทิง แน่นอน เขายังคงเป็นจางเย่คนนั้น แม้แต่ตอนสุดท้าย จางเย่ก็ยังจากไปด้วยความสะท้านสะเทือน สุดท้ายก็ไม่มีใครเอาชนะเขาได้สักคน
วงการบันเทิงไม่เคยมีดาราแบบนี้มาก่อน!
ก่อนนี้ไม่เคยมี!
ต่อไปนี้ก็คงไม่มีอีกแล้ว!
……
คืนวันนั้น
ท่ามกลางความวุ่นวาย อันดับในทำเนียบดาราทวีปเอเชียก็อัปเดตแล้ว!
เมื่อประชาชนจีนเห็นเข้า ก็ต้องตะลึงไป
เมื่อประชาชนเกาหลีเห็นเข้า ก็ต้องหน้าซีด!
เมื่อประชาชนญี่ปุ่นเห็นเข้า ก็ต้องซึมเซ่อ!
“ทำเนียบดาราทวีปเอเชียอัปเดตแล้ว!”
“ไปดูเร็ว! อัปเดตแล้ว!”
“เป็นยังไง?”
“ขึ้นระดับเอสแล้ว!”
“อาจารย์จางขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว!”
“อาจารย์จางขึ้นสู่จุดสูงสุดของทวีปเอเชียแล้ว!”
ในวันนี้
ค่ำคืนนี้
ชื่อเสียงของจางเย่ที่แทบจะถล่มทลายส่งเขาข้ามจากอันดับสามในระดับ A ขึ้นสู่ระดับ S กลายเป็นสตาร์คิงคนใหม่ของทวีปเอเชีย นี่คือเกียรติยศสูงสุดในวงการบันเทิงเอเชีย เป้าหมายที่จางเย่ทุ่มเทให้ได้มานั้น ในที่สุดก็สำเร็จในวันที่เขาอำลาจากวงการบันเทิงไป!
ฮาฉีฉีปาดน้ำตา!
ทีมงานของสตูดิโอจางเย่ร้องไห้!
ผู้กำกับจาง คุณขึ้นสู่จุดสูงสุดได้แล้วนะ!
ทั้งในประเทศ ทั้งทวีปเอเชีย คุณขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว!
คุณเห็นรึยัง?
ผู้กำกับจาง คุณเห็นรึยัง?
ตอนพิเศษ : คำตาม 2 หนึ่งเดือนให้หลัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หนึ่งเดือนให้หลัง
ในตอนเช้า
ณ เรือนจำแห่งหนึ่ง
เป็นห้องขังเดี่ยวที่เครื่องมือเครื่องไม้เก่าเต็มที แต่ว่ากลับสะอาดไม่เลว ภายในไม่มีคนนอก มีเพียงแค่จางเย่ นี่เป็นวันที่สามแล้วที่จางเย่มาอยู่ที่นี่ ไม่มีใครรบกวน ไม่มีทีวี ไม่มีอินเตอร์เน็ต โคตรเงียบสงบเลยจริงๆ เสียอย่างเดียวคือวันเวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อไปหน่อย หลายวันนี้นอกจากนอนแล้วก็คือนอน ไม่มีอะไรทำทั้งนั้น คนอื่นๆ เป็นอย่างไรเขาไม่รู้ แต่สำหรับจางเย่ที่ไม่ได้ต่อยตีกับคน ไม่ได้ด่าคนอื่นสักวันแล้วอยู่ไม่ติดนี่ เขารู้สึกเบื่อแทบตายจริงๆ
ข่าว?
แฟนคลับ?
สื่อ?
ทุกสิ่งในโลกภายนอกถูกแยกขาดไปด้วยลูกกรงเหล็ก
จางเย่เองก็หาเรื่องทำอะไรสักอย่าง พอว่างมากๆ เขาก็ร้องเพลง
ซึ่งความจริงก็คือ…ไอ้หมอนี่ร้องเพลงอีกแล้ว
“ประตูเหล็กลูกกรงตรวนโลหะ
จับลูกกรงมองออกไปนอกรอบ
ชีวิตด้านนอกนั้นช่างงดงาม
วันใดจะได้กลับคืนบ้านเรา
วันใดจะได้กลับคืนบ้านเรา
โซ่ตรวนแท่งเหล็กกักฉันไว้
เพื่อนเอ๋ยฟังฉันร้องสักเพลง…”
ด้านนอกนั้น พัศดีหนุ่มเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “อาจารย์จาง ทำไมร้องเพลงนี้อีกแล้วล่ะครับ? เปลี่ยนเพลงได้ไหม? หลายวันนี้ร้องมายี่สิบกว่ารอบแล้วนะ”
เพลงเพลงนี้เป็นเพลงดังจากยุค 80 ในโลกของจางเย่ ‘น้ำตาหลังลูกกรง’ ทุกวันต้องทรมานเหล่าพัศดีรอบหนึ่ง
จางเย่ผายมืออย่างเบื่อหน่าย “ไม่ร้องเพลงจะให้ผมทำอะไรล่ะ?”
พัศดีหนุ่มสนับสนุน “แต่งนิยายดีไหม? เขียนบทละครโทรทัศน์ก็ได้? หรืออะไรก็ได้ ผมชอบงานเขียนคุณมากเลย”
จางเย่รับคำ “บทละครโทรทัศน์จะลองคิดๆ ดูนะ”
พัศดีหนุ่มตื่นเต้น “อยากเขียนเรื่องแบบไหนล่ะครับ?”
จางเย่ถาม “อ้อ เรื่องแหกคุกมีคนเขียนไว้รึยังล่ะ?”
พัศดีหนุ่มแทบร่วงลงไปทรุกกองกับพื้น “คุณร้องไอ้น้ำตาหลังลูกกรงต่อเถอะ!”
“ฮ่าๆๆ ล้อเล่นน่า” จางเย่ขำ
พัศดีหนุ่มเปิดประตูให้ “อย่าขู่ผมแบบนี้สิ มีคนมาเยี่ยมแน่ะ คุณเตรียมตัวด้วยนะครับ”
“ใครกัน?” จางเย่ฟังแล้วก็ตื่นเต้น
พัศดีหนุ่มนั้นยิ้ม “พ่อแม่กับพ่อตาแม่ยายคุณน่ะ”
จางเย่ได้ยินเข้าก็โบกมือปฏิเสธทันที “งั้นผมไม่ไปละ”
พัศดีหนุ่ม “เอ๋”
แต่ถึงจะพูดอย่างนี้ จางเย่ก็ยังลุกขึ้นเดินออกมา “เฮ้อ พวกเขามายังจะมีเรื่องดีอีกเหรอ? พนันกับคุณเลย คุณเชื่อไหมว่าต้องมารุมด่าผมแน่!”
พัศดีหนุ่มได้แต่หัวเราะ “อาจารย์จาง พูดจริงๆ นะ ผมอยู่ในคุกนี้มาก็หลายปี เจอนักโทษมาก็มาก คุณเป็นคนที่สภาพจิตใจดีที่สุดเลย หลายคนมาที่นี่แล้วนิสัยก็เปลี่ยนไปทั้งนั้น ไม่เคยเห็นใครมาร้องเพลงเล่นตลกสบายใจอย่างคุณสักคน คุณนี่เป็นไอดอลของผลเลย”
จางเย่เหลือกตาใส่ “ผมร้องเพลงน้ำตาหลังลูกกรง คุณยังจะบอกว่าสภาพจิตใจยังดีได้อีกเรอะ ไปกันเถอะ”
ด้านนอก
หลังจากเลี้ยวเจ็ดแปดรอบก็มาถึงห้องเข้าเยี่ยม
จากกันยาวนาน ในที่สุดจางเย่ก็ได้เห็นครอบครัวของตน
ไม่มีการตะโกนโวยวาย
ไม่มีการร้องไห้คร่ำครวญ
ผ่านมาหนึ่งเดือน ทุกคนสงบลงแล้ว
แม่ยังไม่รอให้บุตรชายนั่งลงก็ฮึ่มใส่ “ก็ดูสิ แกวุ่นวายไปมา ฉันจะมาดูซิว่าแกยังจะไปตีกับชาวบ้านได้ยังไง ไหนลองทำให้ฉันดูหน่อยสิ”
“หา?” อู๋ฉางเหอโมโห “แกยังจะหาเรื่องวุ่นวายกับเค้าอีกเรอะ?”
จางเย่ถาม “พ่อ เมียผมล่ะ? ทำไมมีแต่พวกคุณมากันเนี่ย”
อู๋ฉางเหอเคือง “แกไม่อยากให้พวกเรามากันหรอกเรอะ?”
“แน่นอน”
แน่นอนว่าคำนี้จางเย่ไม่กล้าพูดออกจากปากหรอก
หลี่ฉินฉินเอ่ย “เจ๋อชิงบอกว่าอยากมาด้วย”
พ่อเขาถลึงตาใส่ “เจ๋อชิงใกล้คลอดแล้ว เวลาแบบนี้ใครกล้าให้เธอไปไหนมาไหนกัน? ยังไงพวกเราก็ต้องห้ามสิ”
“เธอสบายดีใช่ไหม?” จางเย่กังวล
แม่ฮึ่ม “นอกจากแกแล้วคนอื่นๆ ก็สบายดีทั้งนั้นแหละ”
จางเย่ยิ้ม “งั้นผมก็สบายใจแล้ว”
หลี่ฉินฉินวิจารณ์ “เธอนี่นะ คราวนี้ทำพวกเราใจหายจริงๆ นะ เจ๋อชิงก็ใจกว้าง ไม่กังวลอะไรสักนิด เธอรู้ไหมว่าฉันกับพ่อแม่เธอกระวนกระวายแค่ไหน? ก่อนพิจารณาคดียังมีสื่อบอกว่าอาจจะให้เธอจำคุกตลอดชีวิต ทำพวกเรานอนไม่หลับไปตั้งสองวัน”
จางเย่ถอนใจคำหนึ่ง “แม่ สื่อเจ้าไหนเขียนเนี่ย? บอกผมหน่อย พอผมออกไปได้จะไปจัดการ ตลอดชีวิตอะไรกันเล่า ไม่ได้ฆ่าคนวางเพลิงสักหน่อย ผมสู้เพื่อชาติเพื่อประชาชน พ่อแม่อยู่กันให้สบายเถอะ ถ้าไม่มีเรื่องพวกนี้ผมจะได้ขึ้นระดับท็อปของวงการเหรอ? ต่อให้ทำได้ก็คงอีกปีสองปีโน่น รึอาจจะสามถึงห้าปีก็ยังไม่แน่ นี่น่ะเรียกว่าประหยัดแรงเลยนะ แค่ไม่กี่ปีหรอก ผมนอนๆ เก็บแรงไว้ในนี้ ออกไปแล้วจะขึ้นเป็นระดับท็อปของโลกเลย!”
แม่เบ้ปาก “แกอย่าโม้เหม็นหน่อยเลย”
หลี่ฉินฉินมองนาฬิกา “เวลาเยี่ยมใกล้หมดแล้วเหรอ?”
“แม่ ไม่ต้องกังวลหรอก” จางเย่โบกมือ “ผมชินกับที่นี่แล้ว คุยต่ออีกกี่ชั่วโมงก็ไม่มีใครว่า แต่ว่าพ่อกับแม่ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่ต้องเข้ามาหรอก ทางอู๋กำลังอยู่ในเวลาสำคัญ พ่อแม่มานี่ให้อู๋อยู่บ้านคนเดียวเหรอ? รีบกลับไปเถอะ ผมสบายดี ไม่ต้องห่วง”
เหล่าผู้ใหญ่ล้วนมองเขา ดูดีอย่างยิ่ง เปรียบกับตอนอยู่ข้างนอกแลัวยังดูคึกคักยิ่งกว่า ก่อนมาพวกเขายังกังวลใจว่าจะเห็นจางเย่ที่ไร้พลังงานไร้ชีวิตชีวา แต่ดูเหมือนพวกเขาจะคิดมากไป เด็กคนนี้มีลมฝนครั้งไหนไม่เคยผ่านมาบ้าง ที่ล้มเขาลงได้มีไม่มากจริงๆ ดูสิ เพิ่งอยู่ที่นี่มาสามวันก็คุ้นเคยกับพัศดีสนิทกับพวกผู้คุมแล้ว ตอนเข้ามา พัศดีถึงกับมารับเขาด้วยตนเองด้วยซ้ำ
ดีมาก
อืม ดีแล้วล่ะ
ตอนพิเศษ : คำตาม 3
โดย
Ink Stone_Fantasy
เช้าวันหนึ่ง
ในคุก
จางเย่ยืดเหยียดตัวหลังจากตื่น ไม่มีงาน ไม่มีใครให้เล่นด้วย ดังนั้นพอนอนอิ่มร่างกายก็ตื่นขึ้นเอง พอตื่นแล้วเขาก็เดินไปเดินมาในห้องขัง เอามือไพล่หลัง ฝึกท่านั่งม้าและวิทยายุทธ์อื่นๆ บางครั้งก็ร้องเพลง ‘น้ำตาหลังลูกกรง’ ออกมาด้วยความคุ้นเคยกับชีวิตที่นี่
“วันใดจะได้กลับคืนบ้านเรา
วันใดจะได้กลับคืนบ้านเรา
โซ่ตรวนแท่งเหล็กกักฉันไว้
เพื่อนเอ๋ยฟังฉันร้องสักเพลง…”
ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา
ผู้คุมหนุ่มเดินเข้ามา พูดยิ้มๆ “อาจารย์จาง ร้องเพลงอีกแล้วเหรอ?”
“อืม” จางเย่ว่า “วอร์มเสียงน่ะ จะได้ไม่ลืมพื้นฐานไง”
ผู้คุมหนุ่มพูดด้วยความนับถือ “คุณนี่เป็นมืออาชีพจริงๆ อ้อ เตรียมตัวหน่อยครับ มีคนมาเยี่ยม”
จางเย่แค่นเสียง “มากันทำไมอีกเนี่ย?”
ผู้คุม “ไม่ใช่ครอบครัวคุณครับ ครั้งนี้เป็นทางเรือนจำส่งมา น่าจะเป็นพวกระดับสูง แต่ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
จางเย่กลอกตา “ระดับสูง? งั้นผมไม่พบแล้วกัน”
ผู้คุม “อาจจะเป็นคนของพรรคฯ นะครับ”
“ก็ช่างสิ!” จางเย่โบกปัด “ปฏิเสธการเข้าพบ”
ผู้คุมหนุ่มยิ้มเจื่อน “งั้น ให้ผมไปถามดูก่อนนะครับว่าได้รึเปล่า?”
เขาจากไป
ไม่นานพัศดีก็มาด้วยตนเอง
พัศดีท่านนี้เป็นคนรูปร่างท้วม “อาจารย์จาง คนเข้าเยี่ยมรออยู่ครับ”
จางเย่ปฏิเสธ “ผมไม่ไปหรอก”
พัศดีนั้นพูดไม่ออก “คนจากวิทยาศาสตร์บัณฑิตสภาแห่งชาตินะครับ”
จางเย่เบ้ปาก “เหล่าเฉียน ถ้าเป็นครอบครัวผมผมต้องไปพบแน่นอน แต่ผมจะไม่พบกับใครอื่นทั้งนั้น จะเป็นสภาอะไรก็ไม่สนใจ ถ้ามีคนมาขอพบ แปลว่าผมต้องออกไปพบแต่โดยดีเหรอ? ใครมาก็ต้องไป? งั้นผมยังมีหน้ามีตาอะไรเหลืออีกกัน?”
พัศดีนั้นตะลึง “เพราะเหตุผลแบบนี้เหรอ?”
จางเย่ “แน่นอน ถึงผมจะไม่มีตำแหน่งอะไรเหลือมากแล้ว ผมก็ยังต้องมีศักดิ์ศรีบ้างสิ”
พัศดีนั้นว่า “ทางโน้นว่ามีเรื่องด่วนขอพบคุณจริงๆ ครับ ทางกระทรวงฯ โทรมาหาผมให้จัดการให้พบคุณให้ได้ ต้องการพบคุณด่วนที่สุด แต่ว่ากลางดึกจะให้ผมมาพบคุณได้ยังไง? ยังไงก็มาปลุกคุณไม่ได้จริงไหม? แบบนั้นก็ไม่ดีนักนะครับ”
จางเย่ถึงค่อยยินยอม “ก็ได้ นี่ผมไว้หน้าคุณนะเหล่าเฉียน”
***
สิบนาทีให้หลัง
ในห้องเข้าเยี่ยม จางเย่พบกับผู้มาเยือนแล้ว
เป็นชายหญิงคู่หนึ่ง ฝ่ายชายอายุราวหกสิบ สวมแว่นอ่านหนังสือคู่หนึ่ง ฝ่ายหญิงวัยสี่สิบกว่า ไม่สวยแต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร พอจางเย่เข้ามาในห้องปุ๊บ ฝ่ายหญิงก็ยิ้มให้ทันที ก่อนแจ้งชายสูงวัยด้านข้าง
ทั้งสองลุกขึ้นอย่างมีมารยาท
บัณฑิตโจวมองจางเย่ “สวัสดีครับศาสตราจารย์จาง ขออนุญาตแนะนำตัวนะครับ ผมชื่อโจวซื่อจากวิทยาศาสตร์บัณฑิตยสภา” ก่อนผายมือไปทางบุคคลด้านข้าง “นี่คือฉือ…”
“ฉือเสวีย นักวิจัยในภาคคณิตศาสตร์และวิทยาการระบบของสภาฯ” จางเย่ต่อให้
ฉือเสวียยิ้ม “ศาสตราจารย์จางรู้จักฉันเหรอคะ?”
จางเย่ “ในประเทศเรามีคนในวงการคณิตศาสตร์แค่หยิบมือ ถึงไม่เคยเจอกันผมก็ยังพอทราบอยู่ครับ”
บัณฑิตโจวยิ้ม “ในเมื่อพวกคุณรู้จักกันงั้นก็ง่ายแล้วครับ เชิญนั่งลงก่อนครับ”
บัณฑิตโจวกับฉือเสวียให้ความสำคัญกับการพบกันครั้งนี้มาก ทว่าจางเย่กลับไม่ค่อยสนใจนัก
บัณฑิตโจว “เสี่ยวฉือกับผมมาวันนี้ด้วยภารกิจสำคัญ นี่คือโครงการที่สำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ ตอนนี้ผมยังให้ข้อมูลกับคุณไม่ได้ แต่ว่าระหว่างดำเนินโครงการ เราพบกับปัญหาที่ค่อนข้างยากเอามากๆ ติดอยู่ที่การคิดอัลกอริธึมใหม่ให้โครงการครับ”
จางเย่ “ก็ให้คนอื่นคำนวณสิ”
บัณฑิตโจวถอนหายใจ “ไม่มีใครคำนวณได้น่ะสิครับ”
จางเย่ “บัณฑิตหยวนล่ะ?”
บัณฑิตโจว “ถามแล้วครับ ไม่ไหว”
จางเย่นึกชื่ออื่น “ศาสตราจารย์หู?”
บัณฑิตโจวส่ายหน้า “ศาสตราจารย์หูคิดอยู่ครึ่งเดือนแล้วก็ยังไม่ได้ครับ”
ฉือเสวียพูดอีกครั้ง “เอาอย่างนี้ดีกว่าค่ะ ศาสตราจารย์จาง ทุกท่านที่คุณนึกออก พวกเราติดต่อไปหมดแล้ว ไม่มีใครที่คำนวณได้เลย รวมถึงฉันด้วย”
บัณฑิตโจวมองเขา “มีนักวิจัยเกษียณของสภาฯ ดูแล้วบอกว่า ในโลกนี้มีคนไม่เกินห้าคนที่ทำได้ และทั้งหมดล้วนอยู่ในอเมริกา แต่ว่าพ่อของเสี่ยวฉือกับผมไม่เชื่อ สุดท้ายบัณฑิตฉือคนลูกก็บอกว่าไม่ใช่นักคณิตศาสตร์ทั้งหมดของโลกอยู่ในอเมริกา อย่างน้อยบ้านเรายังมีอยู่คนหนึ่ง”
จางเย่รีบพูด “อย่ายกผมสูงขนาดนั้นครับ ผมไม่คู่มควรกับตำแหน่งนี้เลย”
ฉือเสวีย “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ พวกเราเองก็มีนักคณิตศาสตร์จีนหลายท่าน แต่ถ้าต้องการนักคณิตศาสตร์ระดับโลกจริงๆ เกรงว่าตอนนี้จะมีคุณแค่คนเดียว เราแก้ปัญหานี้ไม่ได้จริงๆ พวกเราพยายามหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล ถึงได้มาขอความช่วยเหลือจากคุณ ช่วยเราและช่วยประเทศเราให้ก้าวข้ามความยากลำบากนี้ ได้ไหมคะ?”
จางเย่มองพวกเขา “ไม่ล่ะ ผมไม่สนใจ”
ฉือเสวียและบัณฑิตโจวพูดไม่ออก
ตัดฉับ!
ไม่มีลังเล!
ผม! ไม่! สน! ใจ!
แล้วพวกเขายังจะพูดอะไรได้อีก? ไม่เหลืออะไรให้พูดแล้ว!
บัณฑิตโจวกระวนกระวาย “นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศและประชาชนเลยนะครับ ศาสตราจารย์จาง คุณจะมีจิตสำนึกต่ำขนาดนี้ไม่ได้สิ? คุณไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ”
จางเย่ผายมือ “ใช่ ผมไม่เคยลังเลถ้าเป็นหน้าที่เพื่อชาติและประชาชน ตอนที่พวกเกาหลีโจมตีประเทศเรา ผมเป็นคนไล่พวกมันกลับไป ไม่ใช่เพราะเพื่อชาติและประชาชนเหรอ? ดูสิ่งที่ผมได้กลับมาสิ เพราะงั้นผมเลยไม่สนใจแล้ว คุณสองคนไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเถอะ ผมอยู่ที่นี่ คอยปรับปรุงทบทวนตัวเองผมก็พอใจแล้ว”
บัณฑิตโจวว่า “คุณก็พูดเกินไปแล้ว อยู่ที่นี่มีอะไรดี? ถ้าคุณยอมไปกับเรา ผมจะให้เบื้องบนติดต่อขอย้ายตัวคุณไปที่สถาบันวิจัยเราทันที ถึงจะยังมีข้อจำกัดบางอย่าง ทั้งยังให้คุณกลับบ้านหรือติดต่อครอบครัวคุณไม่ได้ คุณก็ยังไปมาในสถาบันได้ตามใจ ไม่เหมือนที่นี่ที่ต้องนอนต้องเดินไปมาแค่ในห้องขัง…”
ผู้คุมเคาะประตู “อาจารย์จาง ยังคุยกันอยู่เหรอครับ?”
จางเย่หันไป “ใช่ๆ”
ผู้คุมยิ้ม “ถึงเวลาอาหารเช้าแล้วนะครับ วันนี้เรากินที่โรงอาหาร ถ้าพวกคุณยังคุยงานกันไม่จบ ผมจะเปิดประตูทิ้งไว้ ไปที่โน่นเองได้เลยครับ”
จางเย่ถาม “โรงอาหารโซนไหนนะ?”
ผู้คุม “โซนสองครับ”
จางเย่รับคำ “รู้แล้ว”
บัณฑิตโจวชะงัก “หือ? พวกคุณให้นักโทษไปมาได้อิสระเหรอ?”
ผู้คุมยิ้ม “สำหรับคนอื่นคือไม่ได้ครับ แต่สำหรับอาจารย์จาง แน่นอนว่าต้องเป็นข้อยกเว้น”
บัณฑิตโจวนัยน์ตากระตุก ตอนที่ผู้คุมออกไปเขาก็บอกกับจางเย่ทันที “ทางเราไม่มีข้อจำกัดเรื่องการสูบบุหรี่ในสถาบันวิจัยเหมือนกัน แน่นอนว่าคุณสูบในห้องไม่ได้ แต่คุณออกไปในสวนเพื่อ…”
ประตูเปิดกลับมาอีกครั้ง ผู้คุมกลับเข้ามา “ผมเกือบลืมไป พัศดีซื้อบุหรี่มาฝากครับ” ก่อนยื่นให้จางเย่มวนหนึ่ง “สูบที่นี่ได้ตามสบาย ไม่มีคนว่าครับ”
จางเย่ “ไอ้หยา จะดีเหรอ?”
ผู้คุมว่า “แน่นอนครับ”
จางเย่ “ได้ๆ ฝากขอบคุณเหล่าเฉียนด้วยนะ”
ใบหน้าของบัณฑิตโจวยิ่งบิดเบี้ยว “ที่สำคัญที่สุดคือทางสถาบันวิจัยเราไม่ได้มีการใช้แรงงานหรือการปรับปรุงพฤติกรรม คุณไม่ต้อง…”
ประตูยังไม่ปิด
ทั้งยังเปิดออกอีกครั้ง
ผู้คุมยืนอยู่ด้านนอก พูดขึ้นมา “อ้อ อาจารย์จาง หลังมื้อเช้าเป็นเวลาใช้แรงงาน เราจะทำเหมือนเดิมนะครับ ไม่ต้องสนใจกลับห้องขังคุณได้เลย”
จางเย่ “เฮ้ จะดีเหรอ ไม่เข้ากลุ่มกันแบบนี้น่ะ?”
ผู้คุมหัวเราะ “ผมไม่กล้าให้คุณต้องเหงื่อไหลหรอก! คุณจะทำร้ายผมเหรอ?”
คราวนี้ผู้คุมจากไปจริงๆ แล้ว
จางเย่หันกลับมา “เมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ? ผมได้ยินไม่ถนัด”
ฉือเสวียกับบัณฑิตโจวพูดไม่ออกอีกแล้ว
พูดอะไร?
ฉันแม่งยังพูดอะไรได้อีก!
บัณฑิตโจวแทบกระอักเลือด!
นี่คือชีวิตในคุกเรอะ?
อยู่บ้านฉันยังไม่สบายแบบนี้เลยโว้ย!
บรรยากาศกลายเป็นแปลกพิกลอย่างยิ่ง
ภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้านั้นผิดจากที่บัณฑิตโจวคิดไว้โดยสิ้นเชิง ก่อนมาถึงเขาคิดว่าจางเย่คงลำบากอยู่ในคุก ต้องคุดคู้อยู่กับคนอีกหลายคน มีไม่พอกิน ไม่พอให้อบอุ่น ลำบากด้วยความทรมานทางใจ ทั้งยังต้องทำงานหนักเพื่อปรับปรุงพฤติกรรม บัณฑิตโจวคิดว่าขอแค่เขาเชิญจางเย่ไป อีกฝ่ายต้องตกลงแน่นอน คนปกติธรรมดาที่ไหนจะอยากอยู่ในคุกกัน?
แต่ความจริงคือ?
เขามีห้องขังเดี่ยว!
เดินไปเดินมาได้ตามสบายในคุก!
อยากสูบบุหรี่หรือดื่มอะไรก็ได้ ไม่ต้องทำงานหนักสักนิด!
บัณฑิตโจวเตรียมคำพูดมาแล้ว แต่ว่ากลับไม่มีโอกาสพูดแม้แต่น้อย!
จางเย่ “ทำไมพวกคุณสองคนไม่กลับไปก่อนล่ะ? ผมอยู่ที่นี่ก็สบายดี แค่อยากทำตัวเงียบๆ หาความสงบ ไม่อยากไปยุ่งกับอะไรแล้ว”
บัณฑิตโจวพูดเสียงขื่น “ศาสตราจารย์จางน้อย ประเทศนี้ต้องการคุณจริงๆ นะครับ คุณเป็นคนเดียวในประเทศที่จะคำนวณอัลกอริธึมนี้ออกได้ ทำไมคุณไม่…”
จางเย่โบกมือ “อย่าเรียกผมว่าศาสตราจารย์จาง ผมลาออกจากตำแหน่งที่เป่ยต้าและวิทยาลัยสื่อแล้ว ผมไม่ใช่ศาสตราจารย์อีกแล้ว ตอนนี้เป็นแค่นักโทษว่างงาน” เขาลุกขึ้น “เอาล่ะ โรงอาหารจะปิดแล้ว ผมคงต้องไปกินข้าวก่อนล่ะ สิ่งที่คุณต้องการผมคงช่วยอะไรไม่ได้ กลับไปเถอะครับ ผมออกจากที่นี่ไม่ได้ เพราะงั้นคงขอไม่ส่งล่ะนะ” เขาพูดพลางเดินออกไป
คณิตศาสตร์?
อัลกอริธึม?
เขาไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด
บัณฑิตโจวกังวลถึงขีดสุด
จางเย่เปิดประตูเรียบร้อยแล้ว
ตอนนั้นเอง ฉือเสวียก็เอ่ยขึ้น “ถ้าเราลดโทษให้คุณได้ละคะ?”
มือของจางเย่ชะงัก เขาหันหน้ากลับมาอย่างตื่นตะลึง “ลดเท่าไหร่?”
ฉือเสวีย “เท่าที่ทางรัฐจะยอมให้ค่ะ อาจจะเหลือหนึ่งปี? หรือสองปี? ทางสภาฯ จะยื่นขอลดโทษให้คุณ และผลักดันข้อเรียกร้องนี้อย่างเต็มที่!”
จางเย่ถลึงตา “เชี่ย แล้วทำไมคุณไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะ!”
ฉือเสวียอ้าปากค้าง “คะ?”
จางเย่พูดด้วยท่าทีภาคภูมิใจ “ในเมื่อประเทศต้องการความช่วยเหลือ ผมจะปฏิเสธได้ยังไง? ไม่ได้! สิ่งที่มีผลกระทบกับประเทศและประชาชนแบบนี้ ผม นายจางเย่ จะปฏิเสธที่จะไม่ช่วยได้ยังไง? แค่อัลกอริธึม? มันจะยากสักแค่ไหนกัน? ผมจะกลับไปเก็บของที่ห้องขังทันทีเลย เราจะออกไปกันเมื่อไหร่? ให้คนมารับผมได้เลยทันที!”
บัณฑิตโจวแทบเป็นลม!
ว่าไงนะ?!
ไอ้เด็กนี่ เมื่อกี้แกไม่ได้พูดแบบนี้นี่หว่า!
ฉือเสวีย “คุณตกลแล้วใช่ไหมคะ?”
จางเย่ “แน่นอน ประเทศตกอยู่ในความลำบาก ทุกคนก็ย่อมต้องมีหน้าที่รับผิดชอบสิ”
บัณฑิตโจวค่อยระบายลมหายใจอย่างโล่งอก “ได้คัรบ ผมจะแจ้งเบื้องบนให้จัดการทันที”
จางเย่ยิ้ม “ครับ ผมจะรอฟังข่าวของพวกคุณก็แล้วกัน”
แล้วเขาก็เดินไปกินข้าวเช้าอย่างสบายใจ
ลดโทษ!
คนโง่เท่านั้นล่ะที่จะปฏิเสธ!
พอออกไป ทั้งสองคนที่เหลือก็ยิ้มฝืดเฝื่อน
ฉือเสวียหัวเราะ “สมชื่อใช่ไหมคะ?”
บัณฑิตโจวถอนใจ “ใช่ นิสัยนั่นเป็นของจริงจริงๆ ถ้าไม่รู้ประวัติแล้วคุยกับเขาปกติล่ะก็ ดูไม่ออกเลยว่าจะเก่งขนาดนั้น”
ฉือเสวียยิ้ม “ศาสตราจารย์จางต่างจากนักวิชาการและนักวิจัยธรรมดาอย่างเราๆ ฝีมือของเขาไม่ได้แสดงออกบนตัวสักหน่อย”
บัณฑิตโจวกังวล “เราคงยังต้องดูว่าศาสตราจารย์จางน้อยจะสร้างอัลกอริธึมนี้ได้รึเปล่าน่ะสิ ถ้าทำไม่ได้ล่ะก็…เฮ้อ ความจริงฉันก็ไม่ได้มั่นใจนักว่าเขาจะทำได้”
ฉือเสวียว่า “ให้ศาสตราจารย์จางลองดูก่อนเถอะค่ะ”
บัณฑิตโจวมองจางเย่ที่เดินจากไป “หวังว่าความช่วยเหลือที่เราต้องการจะพลิกสถานการณ์ได้ละนะ”
ตอนพิเศษ : คำตาม 4
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในห้องโทรศัพท์
ผู้คุมกำลังยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้า
นี่คือโทรศัพท์เครื่องเดียวในสถาบันวิจัยที่ใช้ติดต่อกับโลกภายนอกได้ จากเย่นำใบอนุญาตที่บัณฑิตฉือลงนามส่งให้กับผู้คุมก่อนเข้าไป ฉือเสวียและโจวเสี้ยวเหอเองก็มาคอยควบคุมเขา
ความตื่นเต้น
ความเป็นกังวล
จางเย่ยกโทรศัพท์เก่าขึ้นมาด้วยมือสั่นเทิ้ม
แกร๊กๆๆ แกร๊กๆๆ เขาสูดลมหายใจก่อนโทร
ตู๊ดๆๆ
ตู๊ดๆๆ
รับสิ!
รีบรับเข้า!
จางเย่กระวนกระวายมาก
ทันใดก็ต่อสายติด
ที่ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงที่คุ้นเคย “สวัสดีค่ะ? ใครโทรมาคะ?”
พอฟังเสียงนี้ จางเย่ก็หัวใจพองฟู “อู๋!”
“เย่น้อย?”
“คุณเป็นยังไงบ้าง?”
“ฉันรอคลอดอยู่ที่โรงพยาบาล ยังโอเคอยู่ เธอล่ะ?”
“ผมสบายดี”
“ดีแล้ว ทางนั้นไม่ให้เข้าเยี่ยมเลยเหรอ?”
“อื้ม ลำบากนิดหน่อยน่ะ”
“เธอโทรมาจากไหนน่ะ?”
“ผมบอกไม่ได้”
“อืม งั้นฉันจะไม่ถามมากความนะ”
“ผมคุยได้แค่สามนาที ได้ยินว่าคุณเข้าโรงพยาบาลรอคลอด ความจริงผมมีเรื่องที่อยากพูดมากมาย แต่ผมไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดออกมายังไง แต่ว่า อู๋ ไม่ต้องห่วงผมนะ ผมกำลังพยายามเต็มที่ที่จะให้ได้กลับบ้าน ผมต้องกลับบ้านให้ไวที่สุด!”
“ได้ ฉันจะรอคุณนะ”
ขณะนั้นฉือเสวียก็เตือนขึ้น “เหลืออีกสองนาทีค่ะ”
คุณอู๋คงได้ยินเช่นกัน
ทั้งสองเงียบไป
มีหลายอย่างเหลือเกินที่เขาอยากจะพูด
แต่จะให้พูดออกมาในเวลาสองนาทีได้อย่างไร?
“เย่น้อย”
“ครับ?”
“ร้องเพลงให้ฉันฟังหน่อยสิ”
“อยากฟังผมร้องเพลงอีกเหรอ?”
“ใช่ ฉันอยากฟัง”
“โอเค”
ถ้าอยากฟัง ฉันจะร้องให้ฟัง!
ฉันจะร้องให้ฟังทั้งชีวิตเลย!
จางเย่ขยับไมค์ให้เข้าใกล้ปาก มองออกไปนอกหน้าต่าง มองฟ้าสีคราม
ก่อนร้องออกมาอย่างอ่อนโยน
“อยากจะพาคุณโบยบินไป”
“มองโลกใบนี้ไปคู่กัน”
“ไม่มีความกังวล ไม่มีความโศกเศร้า
“ผ่อนคลาย เป็นของกันและกัน”
“ลืมความเจ็บปวด ลืมสถานที่แห่งนั้น
“เราสองเดินทางไปด้วยกัน”
“ไม่มีเสื้อผ้างามหรูหรา”
“แต่ในใจนั้นเต็มไปด้วยความหวัง”
“อยากจะบินไปที่ไกลแสนไกล”
“ชมว่าโลกนั้นไซร้ไม่ได้หดหู่”
“อยากจะบินไปมอง ยังที่ไกลแสนไกล”
“ว่าโลกยังคงสว่างไสวกว่าแสงตะวัน”
สามนาทีหมดไปแล้ว สายโดนตัดไปตอนไหนสักตอน
แต่จางเย่ก็ยังคงร้องต่อ ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง ร้องต่ออีกเนิ่นนาน
“อยากจะบินไปที่ไกลแสนไกล”
“ชมว่าโลกนั้นไซร้ไม่ได้หดหู่”
“อยากจะบินไปมอง ยังที่ไกลแสนไกล”
“ว่าโลกยังคงสว่างไสวกว่าแสงตะวัน”
ฉือเสวียตาแดงรื้นโดยไม่รู็ตัว
โจวเสี้ยวเหอยื่นมือออกไปสองครั้ง แต่ก็ไม่กล้ารบกวนจางเย่
พวกเขานั่งฟังเงียบๆ รู้สึกได้ว่าเสียงนั้นล่องลอยออกไปทางหน้าต่าง ไปยังที่ไกลแสนไกล หอบพาหัวใจของเขาโบยบินไปด้วย
ตอนพิเศษ : คำตาม 5
โดย
Ink Stone_Fantasy
สามปีต่อมา
วันที่สองของตรุษจีนปีใหม่
ผ่านตรุษจีนไปอีกปี ที่ฐานทัพอากาศซานย่า เครื่องบินทหารที่เพิ่งมาถึงลงจอดบนรันเวย์ช้าๆ ก่อนหยุดลง เมื่อช่องบรรทุกด้านหลังเปิดออก คนกลุ่มแรกที่เดินออกมาคือนายทหารระดับสูง ก่อนเป็นชายในวัยราวสามสิบที่เดินออกมาพร้อมหรี่ตาประหนึ่งแดดภายนอกนั้นจ้าเกินไป เขาใช้มือบังแสงแดดที่หน้าผาก อีกมือหนึ่งเอาแว่นกันแดดออกมา สวมลงพร้อมรอยยิ้มที่ยินดี
ฟ้าสีคราม
เมฆสีขาว
และอิสระ
ผ่านไปสามปี แต่ลูกพี่กลับมาแล้ว!
จางเย่ยิ้มก่อนว่า “งั้นผมไปก่อนนะครับ”
ทหารนายหนึ่งถามขึ้น “บัณฑิตจาง ไม่ให้เราไปส่งจริงเหรอครับ?”
จางเย่ยิ้มมุมปาก “ไม่ต้องครับ”
นายทหารอีกคนว่า “แต่ว่าผ่านไปหลายปี โลกเปลี่ยนไปมากนะครับ”
จางเย่โบกมือปฏิเสธ “พอเถอะ ผมอยู่กับพวกคุณมาสามปี ถึงคุณไม่เบื่อผม ผมก็เบื่อคุณแล้ว ยังไงตอนนี้ผมออกมาแล้วก็ช่วยอยู่ห่างๆ กันแล้วกันนะครับ”
อีกฝ่ายยิ้มเจื่อน ก่อนจางเย่จะกระชับเสื้อผ้าแล้วเดินออกไป
ด้านหลัง เสียงของเหล่านายทหารหนุ่มดังขึ้น
“ตรง!”
“วันทยาหัตถ์!”
พรึ่บ
พรึ่บ
พรึ่บ
เหล่านายทหารยืนตรง วันทยหัตถ์เคารพจางเย่ขณะที่เขาเดินห่างออกไป แม้ผ่านไปห้าสิบเมตร ทุกคนก็ยังไม่ลดมือลง นี่ไม่ใช่การอำลาตามมารยาท แต่คือการแสดงความเคารพอย่างที่สุด เพราะทุกคนล้วนทราบว่าบัณฑิตจางท่านนี้ทำอะไรให้กับพวกเขา ให้กับประเทศ และให้กับประชาชนตลอดสามปีที่ผ่านมา
*******************
นอกฐานทัพอากาศ
เป็นพื้นที่นอกเมืองพอสมควร
จางเย่เดินตรงไปตามถนน ผ่านไปยี่สิบนาที อย่าว่าแต่แท็กซี่ แม้แต่รถก็ยังไม่มีสักคัน สุดท้ายจึงมีรถบัสนำนักท่องเที่ยวผ่านมา จางเย่รีบยื่นมือโบกรถทันที รถขับผ่านเขาไปก่อนหยุดกะทันหันอีกร้อยเมตรถัดมา
จางเย่วิ่งตามไป “คุณคนขับ ผมขอติดรถไปด้วยได้ไหม?”
คนขับรถ “เรียกกับมือถือเองสิ”
จางเย่ “เฮ้อ มือถือผมแบตหมดนี่สิ”
คนขับนั้นว่า “แถวนี้น่ะไม่มีทางหารถได้หรอก รถผ่านไปผ่านมาน้อยเหลือเกิน ฉันต้องไปส่งคนพวกนี้ที่อื่นนี่สิ ฉันว่าเธอรอรถคันอื่นแล้วกันนะ”
ด้านหลังรถนั้นคือเด็กหนุ่มสาวสิบกว่าคน ดูเหมือนอายุยังไม่ถึงยี่สิบ
เฉินฉีฉีถามขึ้น “จะไปไหนคะ?”
จางเย่ยิ้ม “ผมจะไปหาดย่าหลงน่ะ?”
เฉินเหนียนเหนียนซึ่งนั่งข้างเธอว่า “เอ๊ะ พวกเราก็จะไปหาดย่าหลงเหมือนกันเลยค่ะ”
จางเย่ยินดีอย่างยิ่ง “เยี่ยมเลย”
หั่วเอี้ยนกะพริบตาปริบ “คุณเป็นคนปักกิ่งเหรอ?”
จางเย่ยิ้ม “พวกเธอก็มาจากปักกิ่งเหมือนกันเหรอ?”
หั่วเอี้ยน “ใช่ครับ”
สุดท้ายเฉินฉีฉีพูดขึ้น “คุณคนขับคะ ให้เขาขึ้นมากับเราเลยก็ได้ค่ะ”
คนขับรถย่อมไม่ขัด เพราะรถคันนี้เป็นพวกเธอเช่าเหมามาแล้ว
ดังนั้นจางเย่จึงได้ขึ้นรถ เขาคุยกับวัยรุ่นเหล่านั้น “ขอบคุณมากนะทุกคน ผมไม่นั่งเปล่าแน่ ขอจ่ายค่ารถด้วยเถอะ” เขาเอาแบงค์ร้อยหยวนออกมา
กลุ่มเด็กวัยรุ่นตะลึงไปเมื่อได้เห็น
จางเย่เองก็ชะงักไปครู่ ว่าไงนะ? ไม่พอเหรอ?
สุดท้ายเฉินฉีฉีก็เอ่ยปาก จางเย่ต้องตะลึงไปเมื่อเธอมองแบงค์ร้อยในมือจางเย่แล้วว่า “พี่ชาย เก่าไปหน่อยไหมแบงค์นี้น่ะ?”
จางเย่สะบัดแบงค์ในมือ “เอ๋? ไม่ได้เก่าขนาดนั้นนี่ ยังดูใหม่อยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”
เฉินเหนียนเหนียนก็พูดไม่ออก “แบงค์รุ่นนี้น่ะหยุดตีพิมพ์มาสามปีแล้ว ธนาคารเรียกคืนไปจนใช้รุ่นใหม่มาสามปีแล้ว ถ้าไปจ่ายคนอื่น ไม่รู้เขาจะรับกันรึเปล่าล่ะ ทำไมถึงยังเก็บไว้ล่ะคะ? จะสะสมของเก่าเหรอ? เป็นนักสะสมรึเปล่า?”
หา?
เปลี่ยนรุ่นแล้วเหรอ?
เชี่ย ทำไมไม่มีคนบอกฉันเลยล่ะ?
จางเย่ได้แต่เก็บเงินกลับลงไปด้วยความอับอาย “สงสัยผมต้องแบกหน้าขอนั่งเปล่าแล้วสิ”
เฉินฉีฉีว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ รถนี่อาจารย์เถียนเป็นคนเช่า พวกเราก็ไม่ได้จ่ายเงินสักหน่อย มาพักตากอากาศที่ซานย่าเหรอคะ?”
จางเย่ยิ้ม “จะว่างั้นก็ได้ พ่อแม่ฉัน ภรรยาฉัน ลูกฉันมาพักที่ซานย่า ฉันมาหาพวกเขาน่ะ แล้วพวกเธอล่ะ? มาเที่ยวกันเหรอ?”
หั่วเอี้ยน “ชมรมหมากพักร้อนน่ะครับ”
จางเย่ชะงัก “ชมรมหมาก?”
เฉินฉีฉีประกาศอย่างภาคภูมิใจ “สมาคมหมากแห่งประเทศจีนค่ะ”
จางเย่ตื่นตะลึง “มืออาชีพเหรอเนี่ย?”
หั่วเอี้ยนหัวเราะ “ใช่ครับ ผมเป็นนักเล่นหมากรุกจีน ฉีฉีกับเหนียนเหยียนเป็นนักเล่นหมากล้อม”
นักหมากล้อมมืออาชีพ?
แฝดหญิง?
จางเย่ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน “เซี่ยงหรงยังเป็นมือหนึ่งในวงการรึเปล่า?”
ทุกคนพูดไม่ออกอีกแล้ว
หั่วเอี้ยน “ปรมาจารย์เซี่ยง?”
เฉินเหนียนเหนียน “ประวัติศาสตร์ยุคไหนกันเนี่ย?”
เฉินฉีฉี “ปรมาจารย์เซี่ยงอำลาวงการไปสองปีแล้วค่ะ”
จางเย่ “หือ?”
เฉินฉีฉี “มือหนึ่งตอนนี้คืออาจารย์เถียนค่ะ”
จางเย่ “อาจารย์เถียน? ใครกันน่ะ?”
เฉินฉีฉี “เถียนเว่ยเว่ยไงคะ!”
จางเย่ตะลึงไป “เสี่ยวเถียนน่ะเหรอ?”
แน่นอนว่าเขารู้จักเถียนเว่ยเว่ย ตอนนั้นเขาถือเป็นทายาทของเซี่ยงหรง เป็นความหวังของวงการหมากล้อมจีน ปัญหาเดียวคือทักษะของเถียนเว่ยเว่ยในตอนนั้นยังไม่เติบโตเต็มที่ ยังแสดงฝีมือการเล่นได้ไม่มั่นคง ใครจะไปคิดว่าผ่านไปไม่กี่ปี เสี่ยวเถียนเด็กน้อยคนนั้นจะขึ้นสู่จุดสูงสุดได้?
เฉินฉีฉี “เสี่ยวเถียนอะไรกันคะ? ยังกะรู้จักเขางั้นแหละ”
จางเย่หัวเราะ “ทำไมฉันจะไม่รู้จักล่ะ?”
เฉินเหนียนเหนียนไม่เชื่อ “คุณเล่นหมากล้อมด้วยเหรอ?”
จางเย่ยิ้ม “นิดหน่อย”
เฉินฉีฉีปรบมืออย่างยินดี “เยี่ยมเลย! มาเล่นกันเถอะ น้องสาวฉันกับฉันยังห่วงอยู่เลยว่าระหว่างทางจะไม่มีอะไรทำน่ะ”
จางเย่เองก็ไม่มีอะไรทำ จึงว่า “ได้เลย พวกเธออยู่ขั้นไหนกันน่ะ?”
เฉินเหนียนเหนียนอวด “ฉันอยู่ห้าดั้ง พี่สาวฉันสี่ดั้ง”
เฉินฉีฉีกลอกตาใส่ “ไสหัวไปเลย ทำไมชอบย้ำเรื่องนี้จัง”
“พี่ พูดเพราะๆ หน่อยสิ เป็นมืออาชีพแล้วหัดมีมาดบ้าง” เฉินเหนียนเหนียนหัวเราะคิกคัก
เฉินฉีฉีฮึ่มใส่ “อย่าได้ใจไปนัก ปีที่แล้วลงมือไม่เต็มที่หรอก ฉันต้องได้ห้าดั้งแน่ปีนี้” จากนั้นก็เอากระดานหมากล้อมแม่เหล็กออกมา ดังนั้นแม้ถนนจะไม่ดีก็ไม่ใช่ปัญหา พอตั้งกระดานเสร็จก็บอกกับหั่วเอี้ยน “เปิดเพลงๆ ฉันจะลุยแล้ว!”
ทุกคนจนใจ
“ฉีฉี พอแล้วน่า”
“ลุยเลยอะไรกันเล่า”
“อย่าลืมว่าเธอเป็นมืออาชีพแล้วนะ”
“เธอนี่นะ หาเรื่องรังแกมือใหม่ตลอดเลย”
หั่วเอี้ยนเอามือถืออกมาเปิดเพลง
จางเย่อารมณ์ดียิ่ง อีกครู่เขาก็จะได้พบครอบครัวเขาอีกครั้งแล้ว จึงฮัมเพลงตามไปแล้วว่า “เพลงนี้ไม่เลวเลยนะ ใครร้องน่ะ?”
ทุกคนมองเหมือนเขาเป็นคนโง่
หั่วเอี้ยน “กวนจ้าวหัวครับ”
จางเย่พยักหน้า “หน้าใหม่เหรอ?”
เฉินฉีฉีแทบทรุด “หน้าใหม่?”
เฉินเหนียนเหนียนเบ้ปาก “ลุง นี่น่ะสตาร์คิงนะคะ!”
จางเย่ชะงัก “เอ๋? สตาร์คิง?”
เฉินฉีฉียกมือปิดหน้า “ไม่ได้ดูทีวีเลยเหรอคะ?”
จางเย่ “ไม่ค่อยน่ะ”
เฉินฉีฉี “ไม่ได้ดูรายการคืนส่งปีเหรอ?”
จางเย่ “สองปีนี้ผมยุ่งมากๆ เลยน่ะ เลยไม่ได้ดู”
เฉินฉีฉีถอนใจ “สมเป็นเซียนในภูเขาแล้ว ไม่รู้จักแม้แต่กวนจ้าวหัว? นี่มันไอดอลของฉันเลยนะคะ? เป็นเจ้าชายที่โด่งดังที่สุดตอนนี้ สวรรค์ มีคนในประเทศเราในทวีปเอเชียนี้ไม่รู้จักกวนจ้าวหัวด้วยเหรอ? ลุง ลุงทำฉันต้องมองโลกนี้ใหม่เลยนะเนี่ย”
จางเย่สงสัย “เขาเป็นสตาร์คิงตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?”
นักหมากรุกยอมแพ้ “สตาร์คิงสตาร์ควีนในความคิดคุณหยุดอยู่ที่รุ่นจางหย่วนฉีจางเย่เหรอ?”
จางเย่ “ใช่เลย”
หั่วเอี้ยน “เก่าโคตรๆ เลยนะนั่น ถ้าไม่พูดชื่อจางเย่จางหย่วนฉีขึ้นมา ผมลืมทั้งคู่ไปแล้วนะเนี่ย วงการบันเทิงเคลื่อนไหวเร็วเกินไปแล้ว ผ่านไปครึ่งปีก็เปลี่ยนยุคใหม่ เวลาสองสามปีน่ะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น”
เฉินฉีฉีเรียกเขา “มาๆ เล่นกันเถอะ”
ทุกคนได้แต่ตื่นตะลึงไปกับชายหนุ่มที่ขึ้นรถของพวกเขากลางทาง
ใช้แบงค์รุ่นเก่า?
พูดเรื่องดารายุคก่อน?
หมอนี่ออกมาจากหลังเขาลูกไหนกันเนี่ย? ทำไมถึงไม่รู้อะไรเลยล่ะ?
ตอนพิเศษ : คำตาม 6
โดย
Ink Stone_Fantasy
แสงอาทิตย์
ทะเล
หาดทราย
จางเย่อารมณ์ดีขึ้นเพราะลมทะเลที่โชยมา
ตรงหน้าเขานั้น มีวิลล่าริมทะเลหลังหนึ่ง วิลล่าเดี่ยวแบบนี้ ในโรงแรมมีไม่กี่ห้องนัก ดังนั้นหาดส่วนตัวแห่งนี้จึงมีคนไม่มาก พืชพรรณเขตร้อนมีให้เห็นในสวนหน้าบ้าน กลายเป็นร่มไม้ใหญ่ บรรยากาศสบายอย่างยิ่ง
หนึ่งก้าว
สองก้าว
จางเย่ยิ่งเข้าใกล้ หัวใจเขายิ่งเต้นแรง เขาทั้งตื่นเต้น ทั้งหวาดกลัว
สามปีกว่าแล้ว คนทางบ้านเป็นอย่างไรกันบ้าง?
พ่อแม่สบายดีไหม?
หน้าคุณอู๋มีรอยเหี่ยวย่นบ้างหรือไม่?
ลูกจะจำเขาไม่ได้รึเปล่า?
แค่พริบตา จางเย่ก็เริ่มจินตนาการความเป็นไปได้มากหลาย ขณะนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยที่ทำให้เขาแทบร้องไห้
หญิงวัยกลางคนร้องขึ้น “ไปว่ายน้ำกันเถอะ”
ชายวัยกลางคนนั้นว่า “ลงน้ำหนักยังกับตะกั่ว ยังจะไปว่ายอะไรอีก?”
“เจ๋อชิงใช้เงินพาเรามาที่ซานย่าตั้งเยอะ ไม่ลงน้ำก็เสียดายเงินสิ”
“ฉันขี้เกียจขยับแล้ว จะนอนนี่แหละ เฮ้อ เมื่อไหร่เย่น้อยจะกลับบ้านมานะ? ทำไมเราเข้าเยี่ยมเขาไม่ได้แล้วล่ะ?”
“โทษจำคุกหกปี ยังเหลืออีกสามปีน่า”
“ใกล้ตรุษจีนอีกแล้ว เธอคิดถึงลูกรึเปล่า?”
หญิงวัยกลางคนนั้นฮึ่มแฮ่ “ไม่ต้องพูดถึงมัน ฉันลืมไปแล้วว่ามีมันอยู่”
ด้านนอกนั้น
จางเย่พอเห็นว่าพ่อแม่อยู่ในลานหน้าบ้าน เขาก็แทบควบคุมตนเองไม่ได้ แต่พอได้ยินเสียงที่แม่พูดถึง เขาก็ได้แต่มองบน สาวเท้าเข้าไปด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “ลืมใครไปน่ะ?”
พอเสียงของเขาดังขึ้น คู่สามีภรรยาในลานบ้านนั้นก็ตะลึงไป!
พ่อเขาหันมามองด้วยความตื่นตะลึง!
แม่หันมาด้วยความตื่นตระหนก!
จางเย่ยิ้มให้ทั้งสอง “ผมกลับมาแล้วครับ!”
พ่อยืนขึ้นทันที “ลูกพ่อ!”
แม่ตะโกนแล้ววิ่งเข้ามาทันใด “ไอ้หนู ทำไมแกมาอยู่นี่? แหกคุกออกมางั้นเรอะ?”
จางเย่จนถ้อยคำ “ผมจะไปแหกคุกทำไมเล่า!”
พ่อตื่นเต้นขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
จางเย่ยิ้ม “ผมสร้างความดีความชอบให้กับประเทศชาติเลยได้ลดหย่อนโทษน่ะครับ”
“แปลว่าแกได้ปล่อยตัวก่อนกำหนด?” แม่ถามขึ้น
จางเย่ตอบกลับ “ครับ”
แม่ “เอกสารเสร็จเรียบร้อยแล้ว?”
จางเย่กลอกตา “แน่นอนสิ”
พ่อร้องขึ้นมา “เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยมไปเลย!”
แม่จับมือเขาไม่ยอมปล่อย “เร็วๆ มาให้ฉันดูแกให้ดีหน่อยสิ ในคุกเป็นยังไงบ้าง? ลำบากไหม? ต้องไปใช้แรงงานรึเปล่า?”
จางเย่พูดอย่างยินดี “ไม่เลยแม่”
“แกคงลำบากแน่ๆ ดูหน่อยสิว่าแกผอมลงไหม” แม่จับแก้มจับไหล่เขาก่อนพูดไม่ออกขึ้นมาจริงๆ “ทำไมดูเหมือนแกอ้วนขึ้นล่ะเนี่ย?”
จางเย่ “อาหารข้างในนั้นอร่อยนะ”
แม่ “แกรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่นี่น่ะ?”
จางเย่ “ผมมีวิธีของผมน่ะสิ”
พ่อถามขึ้น “จะยังไงก็เถอะ แกกลับมาก็ดีแล้ว! กลับมาก็ดีแล้ว!”
แม่เขายิ้มแล้วก็ว่า “เจ๋อชิงก็ต้องดีใจแน่ๆ พวกเธอกำลังจะกลับมาแล้ว แกยังไม่ได้เจอลูกสาวแกใช่ไหม?”
จางเย่ “ผมเห็นแต่รูปตอนคลอดนั่นแหละ”
“แม่หนูนั่นน่ารักมากนะ” พ่อพูดยิ้มๆ
แม่เองก็ดีใจ “ฉันบอกได้แค่ว่าสำหรับแกแล้วถือเป็นโชคดีของคนบ้าอย่างแกเลยล่ะ”
จางเย่เองก็ทนรอไม่ไหว
ขณะนั้นเอง บอลชายหาดเป่าลมกระเด้งกระดอนหลายครั้ง ก่อนมาที่หน้าลานของวิลล่า เด็กหญิงวัยราวสามขวบวิ่งดุ๊กดิ๊กเข้ามาหยิบบอล ก่อนมองจางเย่ซึ่งยืนอยู่อย่างสงสัยใคร่รู้
จางเย่ตะลึงไป!
น่ารัก!
น่ารักจริงๆ!
น้ำตาแทบไหลอาบสองแก้ม ก่อนเขาจะรีบปรี่เข้าไปอุ้มเด็กน้อยขึ้น “ลูกสาวของฉัน แม่สาวน้อยของพ่อ ให้พ่อดูให้ชัดๆ หน่อยสิ คิดถึงพ่อไหม? คิดถึงไหม? ไอ้หยา คิดถึงหนูจังเลย! มาๆ ให้พ่อหยิกแก้มยุ้ยๆ ของหนูหน่อยน้า”
ก่อนจะมีคนสะกิดเขาจากด้านข้าง
จางเย่หันไปมองก็เห็นผู้หญิงวัยยี่สิบกว่ายืนข้างเขา
เธอไม่ทราบควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ ได้แต่บอกว่า “พี่ชาย นั่นลูกฉันนะ”
จางเย่งุนงงไป “เอ๋?”
ผู้หญิงคนนั้นก้มตัวลงอุ้มลูกสาวของตนก่อนรีบจากไป
จางเย่แทบเป็นลมไปบนพื้นทราย
ด้านหลังเขานั้น แม่กำลังกุมขมับ “น่าขายหน้าเกินไปไหมเนี่ย?”
จางเย่โมโห “ทำไมไม่บอกผมก่อนเล่า?”
พ่อว่า “แกวิ่งไปนั่นพวกเรายังห้ามไม่ทันเลย”
จางเย่อายอยู่หน่อยๆ
ขณะนั้นก็มีเด็กหญิงอีกคนเดินมาจากหาดทราย
จางเย่มองเธอเขม็งในทันที “ลูก!”
แม่รั้งเขาไว้ทันที “ไม่ใช่คนนี้เหมือนกัน!”
บนชายหาดนั้น
จางเย่เรียกเด็กหญิงทุกคนที่พบว่าเป็นลูกสาวตนเอง
พ่อแม่เขารีบพาจางเย่เข้าไปในวิลล่า “เจ๋อชิงพาหลานไปเล่นน้ำ เห็นว่าจะขึ้นสปีดโบ๊ทกัน แต่ฉันกับพ่อแกเมาคลื่นเลยไม่ได้ไป อีกเดี๋ยวคงกลับมานั่นแหละ ไอ้หนู แกอย่าไปก่อเรื่องบนชายหาดอีกล่ะ คนอื่นจะคิดว่าแกเป็นแก๊งลักเด็กเอานะ!”
พ่อเขาว่า “ผ่านไปสามปี อยู่ในคุกคิดว่าแกจะดีขึ้น รู้จักสงบจิตสงบใจลงบ้าง ดูสิ แกยังเหมือนเดิมไม่มีผิด”
จางเย่โวย “ก็แค่ผมกระวนกระวายอยากเจอลูกเจอเมียผมเองนี่นา?”
พ่อ “จะกระวนกระวายไปแล้วได้อะไรกัน?”
จางเย่เร่ง “รีบๆ โทรหาเจ๋อชิงน่าพ่อ”
พ่อเขาว่า “แต่เจ๋อชิงไม่ได้เอามือถือไปด้วยน่ะสิ”
จางเย่จึงได้แต่เดินวนเวียนรอบห้อง มองไปด้านนอกเป็นพักๆ “พ่อกับแม่ว่าผมจะอู๋เจอลูกแล้วจะพูดอะไรดี?”
แม่เขาตะลึง “แกถามพวกเราเรอะ?”
จางเย่สับสนใจอย่างยิ่ง
มีหลายอย่างที่อยากจะพูด แต่พอถึงเวลาจริงๆ เขากลับกระวนกระวายถึงขีดสุด สามปีที่ผ่านมา จางเย่รอวันนี้ รอวันที่เขาได้กลับบ้านใจจดใจจ่อ เขานึกถึงวันเวลาเหล่านี้นับครั้งไม่ถ้วน คิดว่าจะพูดคำแรกกับคุณอู๋อย่างไรดีเมื่อได้เจอหน้ากันอีกครั้ง
ผมกลับมาแล้ว?
ขอบคุณครับ?
เป็นยังไงบ้าง?
เขาจะพูดออกไปว่าอะไร?
เขาจะพูดออกไปอย่างไร?
ทันใด จางเย่ก็เหลือบมองไปที่มุมห้อง
“เอ๋ วิลล่ามีเปียโนด้วยเหรอ?”
“ทางโรงแรมคงตั้งไว้ให้น่ะ เห็นมีทุกหลังเลย”
“เฮ้อ ผมไม่ได้เล่นมานานแล้วนะเนี่ย”
……
ผ่านไปสามสิบนาที
ริมหาด
หญิงงามคนหนึ่ง กำลังจูงมือเด็กหญิงวัยสามขวบเดินมาช้าๆ
พ่อแม่คนอื่นๆ ก็พาลูกของตนไปเล่นน้ำเช่นกัน พอเห็นเด็กสาวคนนี้เข้า ทุกคนก็ชื่นชอบ
“โอ๊ะ แม่หนูคนนี้สวยจริงๆ”
“นั่นสิ ยังกะตุ๊กตากระเบื้องเคลือบแน่ะ”
“พี่สาว ลูกคุณเหรอ?”
“ระวังหน่อยนะ ช่วงนี้ชายหาดน่ากลัวหน่อยๆ”
“นั่นสิๆ มีคนเกือบอุ้มลูกสาวฉันไปแล้ว กลางวันแสกๆ เลยนะ”
“ไอ้หยา ฉันก็เจอคนบ้าเหมือนกัน เห็นลูกฉันก็บอกว่าเป็นลูกสาวตัวเอง ฉันกลัวจริงๆ นะ สุดท้ายพ่อเด็กได้ยินเข้าถึงกับถามฉันว่านี่ลูกใครกันแน่ จะตรวจดีเอ็นเออีกแน่ะ นี่ฉันจะเถียงอะไรได้อีกเนี่ย? เกิดอะไรขึ้นยังไม่รู้เรื่องเลย”
“ฮ่าๆๆ”
อู๋เจ๋อชิงสวมแว่นกันแดด ยิ้มให้แล้วว่า “ขอบคุณค่ะ พวกเราจะระวังตัวนะคะ”
เด็กหญิงถือโอกาสปล่อยมือจากอู๋เจ๋อชิง นั่งยองๆ ลงใช้มือน้อยๆ วาดไปบนพื้นทรายอย่างเชื่องช้า ดูเหมือนกำลังเขียนชื่อตนเอง ดูแล้วเพิ่งจะเรียนการคัดหนังสือเป็นแน่ คำว่า ‘จาง’ นั้นเขียนโย้เย้ไปมาดูน่าเกลียดอย่างยิ่ง
อู๋เจ๋อชิงลูบศีรษะของเธอ “ไปกันเถอะจ้ะ ปู่กับย่าคอยเราอยู่นะ”
เด็กหญิงไม่สนใจ ยังคงขีดเขียนต่อ
อู๋เจ๋อชิงยิ้มแล้วว่า “ไว้ค่อยให้ปาป๊าสอนหนูเขียนหนังสือนะคะ”
เด็กหญิงจึงค่อยเงยหน้าขึ้น “ปาป๊าหนูเขียนหนังสือเป็นด้วยเหรอคะ?”
อู๋เจ๋อชิงยิ้มให้ “เขียนหนังสือเป็นรึเปล่าน่ะเหรอ? แน่นอนสิคะ ปาป๊าหนูน่ะ ลายมือสวยที่สุดในประเทศนี้เลยนะ เขียนลายมือสิงซูก็ถือว่าเป็นอันดับหนึ่ง หม่าม้าสู้ไม่ได้เลยสักนิด เดี๋ยวปาป๊ากลับมา หม่าม้าจะให้เขาสอนหนูดีๆ เขาต้องสอนได้ดีกว่าที่หม่าม้าสอนหนูแน่เลย”
เด็กหญิงจึงว่า “แล้วเมื่อไหร่ปาป๊าจะกลับบ้านล่ะคะ?”
อู๋เจ๋อชิงจับมือเธอไว้ “อีกไม่นานหรอกจ้ะ”
เด็กหญิงถามอีกครั้ง “ปาป๊าเก่งมากๆ เลยเหรอคะ?”
อู๋เจ๋อชิงยิ้มกว้าง “ใช่แล้วจ้ะ ปาป๊าน่ะ เป็นพิธีกรที่เยี่ยมที่สุดในประเทศ เป็นลิปิกร นักคณิตศาสตร์ เป็นนักหมากล้อมที่เก่งที่สุดในโลกด้วย”
เด็กหญิงพูดด้วยน้ำเสียงสดใส “คุณครูที่โรงเรียนก็พูดถึงปาป๊าเยอะแยะเลย”
อู๋เจ๋อชิงพาเด็กหญิงไปทางวิลล่า “ปาป๊าน่ะ ทิ้งตำนานเอาไว้เต็มไปหมด พิธีกรเอย เพลงเอย คัดลายมือ คณิตศาสตร์ หมากล้อมก็ด้วย ปาป๊าน่ะ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังมีคนพูดถึง ถ้าอยากฟังเรื่องที่ปาป๊าทำเอาไว้ล่ะก็ หม่าม้าเล่าให้หนูฟังทั้งปีก็ไม่หมดเลยนะ”
ตรงหน้านั้น พวกเธอกำลังจะถึงวิลล่าแล้ว
ทันใดก็มีเสียงเปียโนดังขึ้น
ชายหญิงที่กำลังอาบแดดอยู่ริมหาดหลายคนก็หันมองไปทางต้นเสียง
“เอ๋ ใครเล่นเพลง ‘ตำนาน’ น่ะ?”
“ยังมีคนฟังเพลงเก่าแบบนี้อยู่อีกเหรอ?
“ก็คลาสสิกนี่”
“ก็จริง เพลงอมตะมาก”
“ใช่เลย อมตะมาก”
เสียงเพลงลอยล่องออกมา
“เพียงแค่พบคุณกลางฝูงชนแค่แวบเดียว”
“ก็ไม่อาจลืมเลือนเงาร่างของคุณได้”
“เฝ้าฝันว่าคงมีสักวันบังเอิญได้พบเจอกันอีกครั้ง”
“นับแต่นั้นผมเริ่มคะนึงหาอย่างเดียวดาย”
อู๋เจ๋อชิงสีหน้าหวนอาลัย
เด็กหญิงร้องขึ้น “เพลงของปาป๊า! เพลงของปาป๊านี่!”
อู๋เจ๋อชิงยิ้ม “ใช่แล้ว นี่เพลงที่ปาป๊าร้องให้หม่าม้าวันแต่งงาน เขาร้องเพลงนี้แค่ครั้งเดียว แต่ว่าหม่าม้ายังจำได้แม่นยำ เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นปาป๊าร้องไห้ หม่าม้าเองก็ร้องไห้เหมือนกัน” เธอจูงมือบุตรสาวเข้าไปในลานบ้าน “ปู่กับย่าต้องคิดถึงปาป๊าเหมือนกันแน่ๆ ถึงได้เล่นเพลงนี้ขึ้นมาน่ะ”
เธอเปิดประตู
พ่อแม่ของจางเย่ยืนอยู่
อู๋เจ๋อชิง “พ่อคะ แม่คะ ใครเล่นเพลงนี้น่ะ?”
แม่ของจางเย่ยิ้ม
พอเธอพูดจบ อู๋เจ๋อชิงก็ชะงักไป เพราะเธอพบว่าเสียงเปียโนนั้นไม่ได้มาจากทีวีหรือคอมพิวเตอร์ ทั้งสองเครื่องยังไม่ได้เปิดเลยด้วยซ้ำ เปียโนอยู่ใกล้ๆ เธอนี่เอง ใกล้ ใกล้มากๆ
อู๋เจ๋อชิงชะงัก เบือนหน้าไปมองที่มุมห้อง
เด็กหญิงตัวน้อยก็ชะงักไป เธอยืนซึมเซ่อ มองดูชายหนุ่มที่นั่งเล่นเปียโนอยู่ตรงนั้น
“ตอนที่คิดถึงคุณ คุณอยู่ ณ ขอบฟ้า”
“ตอนที่คิดถึงคุณ คุณอยู่ตรงเบื้องหน้า”
“ตอนที่คิดถึงคุณ คุณอยู่ในความคิด”
“ตอนที่คิดถึงคุณ คุณอยู่ในหัวใจ”
จางเย่เล่นเพลงนี้พลางร้องไปด้วย นัยน์ตาเขาแดงก่ำ
“ปรารถนาจะเชื่อว่าพวกเรามีวาสนาผูกพันในชาติก่อน”
“เรื่องราวความรักในชาติจึงไม่มีทางเปลี่ยนแปลง”
“ยินยอมรอคุณปรากฏตัวชั่วชาติภพ”
“ผมจะไม่ห่างกายคุณไปไกลอีก”
อู๋เจ๋อชิงยิ้ม ก่อนร้องไห้ออกมา
มือของจางเย่ที่กำลังเล่นเปียโนนั้นสั่นเทิ้มด้วยความตื่นเต้น
“ปรารถนาจะเชื่อว่าพวกเรามีวาสนาผูกพันในชาติก่อน”
“เรื่องราวความรักในชาติจึงไม่มีทางเปลี่ยนแปลง”
“ยินยอมรอคุณปรากฏตัวชั่วชาติภพ”
“ผมจะไม่ห่างกายคุณไปไกลอีก”
เขาเคยร้องเพลงนี้มาแค่ครั้งเดียวในชีวิต นั่นคือวันแต่งงานของเขากับอู๋เจ๋อชิง เพลงนี้คือเรื่องราวระหว่างจางเย่และอู๋เจ๋อชิง คือความรู้สึกระหว่างกันนั้น วันนี้คือครั้งที่สองที่จางเย่ร้องเพลงนี้ ทุกอยากที่เขาต้องการพูด ถูกเพลงนี้พูดออกมาแทนแล้ว
ในคุก
ที่สถาบันวิจัย
ที่ฐานทัพอากาศ
ไม่ว่าจางเย่อยู่ที่ใด หัวใจของเขาก็ไม่เคยไปจากเธอ ไม่เคยห่างไปจากเธอ…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น