I Just Want To Play Games Quietly ฉันก็แค่อยากเล่นเกมเงียบๆเท่านั้นเอง 943-946
I บทที่ 943 หยา
โจวเหวินเองก็ไม่ได้รีบลองใช้อะไร เขาดูดซับผลึกและเรียนรู้สกิลระดับเร้นลับอื่นๆไปก่อน
ผลึกสกิลระดับเร้นลับที่โจวเหวินมีนั้นค่อยๆถูกโจวเหวินใช้ไปทีละอัน ทีละอัน โดยไม่ได้แคร์ถึงราคาของมันเลย
“ดูดซับผลึกวัวยักษ์ต้าเหว่ย และเรียนรู้สกิลเขาเพรชทะลวง”
“ดูดซับผลึกมังกรดำ และเรียนรู้สกิลระดับเร้นลับ กายทองคำ”
“ดูดซับผลึกเต่าเหล็กทมิฬ และเรียนรู้สกิลระดับ้เร้นลับ ลมหายใจเต่า”
“ดูดซับผลึกอสูรนภาไพลิน และเรียนรู้สกิลระดับเร้นลับ ผ่านภา”
การที่จะดูดซับสกิลลมปราณระดับเร้นลับที่หลากหลายได้นั้น โจวเหวินต้องเปลี่ยนวิชาลมปราณไปมาหลายครั้ง และในที่สุดเขาก็สามารถดูดซับสกิลทั้งหมดได้
ตอนแรกโจวเหวินคิดว่าสกิลของวัวยักษ์ต้าเหว่ยนั้นต้องดีมากแน่ๆ เพราะพลังที่แกร่งที่สุดอย่างกระดิ่งวิญญาณเองก็ยังสามารถใช้ได้ แต่กลับกลายเป็นว่ากระดิ่งวิญญาณนั้นไม่ใช่สกิลทำให้ไม่สามารถเรียนรู้ได้เลย แต่กลับกันสกิลที่ได้มาจากวัวยักษ์ต้าเหว่ยนั้นกลับเป็นสกิลสายโจมตีที่รุนแรงมากด้วย ทำให้โจวเหวินค่อนข้างสนใจทีเดียว
ความสามารถที่ว่านั้นมีชื่อว่าเขาเพรชทะลวง มันเคยถูกใช้โดยวัวยักษ์อยู่ โดยการยิงเขาของตัวเองออกไปด้วยความเร็วสูงหมุนควงเป็นสว่าน
โจวเหวินเองไม่ได้มีเขา และเขาก็ไม่ต้องมีเขาในการใช้ด้วย ที่เขาต้องมีก็แค่อาวุธที่สามารถขว้างปาออกไปได้เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหอกหรือดาบยาว ขอแค่เขวี้ยงออกไปได้ก็พอ
หลังจากที่อาวุธถูกเขวี้ยงออกไปแล้ว มันจะหมุนตัวด้วยความเร็วสูงเกิดเป็นแรงเจาะที่มหาศาล เรียกได้ว่าดีกว่ากระสุนเจาะเกราะที่โจวเหวินมีหลายเท่ามากๆ
ปัญหาหลักๆของของสกิลนี้เลยก็คือหลังจากที่เขวี้ยงอาวุธนั้นออกไปแล้ว อาวุธชิ้นนั้นจะระเบิดตัวเองทันทีหลังจากที่กระแทกเข้ากับเป้าหมายแล้ว เพื่อเป็นการเพิ่มพลังทำลายล้างได้อย่างดีที่สุด มันจะทำลายตัวอาวุธไปเองด้วย เพราะงั้นอาวุธธรรมดาเองก็เลยไม่สามารถรองรับพลังงานมหาศาลที่ปล่อยออกมาได้ ทำให้บางครั้งมันอาจจะระเบิดตัวเองก่อนที่จะชนเข้ากับเป้าหมายก็ได้
ดังนั้น อาวุธที่จะใช้กับสกิลนี้จึงต้องมีระดับพอสมควร ไม่งั้นโอกาสที่จะพลาดก็สูงมาก
ส่วนสกิลกายทองคำนั้นเรียกได้ว่าเป็นสกิลเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย แบบเดียวกับสกิลระฆังทองคำ แต่มันดียิ่งกว่านั้นซะอีก เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายคงทนมากขึ้นแล้วยังมีคุณสมบัติในการสะท้อนเวทมนตร์อีกด้วย
สกิลลมหายใจเต่านั้นเป็นอีกขั้นนึงของสกิลที่เคยกล่าวไปข้างต้น ปรกติแล้วสกิลลมหายใจเต่าปรกตินั้น จะเป็นการแกล้งตายแล้วดับสัญญาณชีพของตัวเอง เหมือนกับเป็นคนที่ตายแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น สกิลลมหายใจเต่าปรกตินั้นผู้ใช้จะขยับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่สกิลลมหายใจต่าที่โจวเหวินได้มานั้น เขาสามารถขยับเขยื้อนตัวได้อย่างอิสระ โดยมีสกิลนี้คอยปิดบังสัญญาณชีพเอาไว้ แน่นอนมันมีประโยชน์มากกับการรับมือสิ่งมีชีวิตที่มีสายตาไม่ค่อยดีหรือตาบอด ที่ใช้วิธีการตรวจจับกลิ่นหรือพลังชีวิตในการโจมตี ทำให้โจวเหวินสามารถแอบซ่อนตัวได้ดียิ่งขึ้น
ส่วนสกิลผ่านภานั้นแอบๆทำให้โจวเหวินผิดหวังอยู่เล็กน้อยเพราะว่าโจวเหวินเองนั้นอยากได้สกิลวาปมากกว่า แต่กลับกลายเป็นว่ามันเป็นสกิลโจมตีทางมิติซะอย่างงั้น
แต่พลังของมันก็ถือว่าแรงใช้ได้ มันเป็นสกิลลมปราณที่สามารถตัดผ่านมิติได้ ความรุนแรงของมันแรงกว่ากรงจักรเวทดารามากๆ แต่ถึงอย่างนั้น โจวเหวินเองก็ยังมีวิชาเทพสังหารที่รุนแรงกว่ามากอยู่กับตัวอยู่แล้ว แต่ข้อดีของสกิลนี้คือ มันใช้ตอนไหนก็ได้ และไม่จำเป็นต้องรีดพลังออกมาจากเสียงร่ำไห้ของพระราชา
สกิลดีๆมากมายพวกนี้ ทำให้ระดับความสามารถในการต่อสู้จริงเพิ่มขึ้นสูงมาก โดยเฉพาะสกิลเขาเพรชทะลวง ซึ่งเป็นสกิลโจมตีระยะไกลที่รุนแรงมากๆ แถมโจวเหวินเองก็ไมได้กลัวที่จะเสียอาวุธของตัวเองไปด้วย
เพราะสุดท้าย เขาก็สามารถฟาร์มกลับมาได้ในเกมส์อสูร โจวเหวินลองเขวี้ยงดาบแสงด้วยสกิลนี้ ปรากฏว่าพลังทำลายล้างของมันมหาศาลมากและแรงระเบิดสุดท้ายเองก็มีผลกระทบกว้างขวางด้วย
โจวเหวินตั้งใจที่จะไปล่าบอสในเกมส์เหมือนกัน ในความเป็นจริงแล้ว คนที่จะลองดีเสี่ยงดวงกับพวกระดับเร้นลับในชีวิตจริงๆนั้น โจวเหวินยังไม่ได้เก่งถึงขั้นนั้นเลย
สกิลกายทองคำนั้นจัดได้ว่าใช้งานได้ง่ายมากๆเพราะว่ามันไม่ไปซ้ำกับสกิลกายมังกร โจวเหวินสามารถใช้สกิลกายมังกรก่อน จากนั้นก็ใช้กายทองคำต่อได้ ทำให้ร่างของโจวเหวินกลายเป็นเหมือนมังกรสีทองที่มีพลังทางกายภาพที่สูงลิ่ว สามารถรับหมัดแบบเต็มแรงของเบม่อนได้2-3หมัดโดยที่ไม่โดนฆ่าตายได้
แต่แน่นอนการใช้สกิล2อย่างนั้นพร้อมกันมันกินพลังงานมหาศาล บางครั้งโจวเหวินก็ต้องสลับวิญญาณชีวิตกลับไปเป็นฆาตกรก่อนเพื่อให้ลมปราณฟื้นฟูจนเต็ม
ส่วนสกิลผ่านภานั้นก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่โจวเหวินคิด หลังจากที่ลองมาหลายรอบแล้ว เขาก็พบว่า มันเป็นสกิลที่ไม่ได้ใช้ลมปราณเยอะและมันก็สามารถใช้ได้อย่างต่อเนื่อง ต่างจากสกิลเทพสังหารที่เป็นการโจมตีรุนแรงเพียงครั้งเดียวถ้าพลาดก็แก้อะไรไม่ได้
และสุดท้าย โจวเหวินก็ย้อนกลับมาลองสกิลพิณสะท้านเป็นสกิลสุดท้าย ฮาร์ปทองคำของเขานั้น ถูกทำลายทันทีที่เขาใช้ แต่โชคยังดีที่มันเป็นในเกมส์ ทำให้ไม่มีปัญหาอะไร
สกิลพิณสะท้านนั้นเป็นสกิลโจมตีระยะไกลและกว้างมาก ถ้าต้องการจัดการศัตรูอยู่กันเป็นหมู่คณะละก็ สกิลนี้มันใช้ได้ผลสุดๆไปเลย
“หวังว่าจะได้เจอสกิลอะไรใหม่ๆอีกในเกมนะ”โจวเหวินอยากจะอยู่บ้านฟาร์มเกมต่อ แต่วิญญาณชีวิตประกายดาวบังคับให้เขาต้องออกไปเดินทางถึงจะพัฒนาได้ ซึ่งโจวเหวินเองก็เลี่ยงไม่ได้เหมือนกัน
โจวเหวินลองอ่านแผนที่ออนไลน์แล้ววางแผนเส้นทางว่ารอบนี้เขาจะไปที่ไหนดี เขาอยากจะรีบพัฒนาวิญญาณชีวิตประกายดาวให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะมันจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเป็นระดับเร้นลับของเขา
“พึ่งกลับมาจะออกไปอีกแลล้วเหรอ”อันหลานหยางถามตอนที่โจวเหวินบอกนางว่าจะออกจากลั่วหยางอีกครั้ง
“ผมคิดว่าจะออกไปตอนยังมีโอกาสครับ ในอนาคตเราไม่มีทางรู้เลยว่าพื้นที่ต่างมิติในเขตรัฐบาลกลางจะไม่เสถียรเมื่อไร และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าในอนาคตยังจะมีโอกาสได้ออกไปอีกไหม”โจวเหวินพูด
“พูดก็พูดเถอะ ฝากหยาเอ๋อไว้กับฉันซิ เดี๋ยวฉันดูแลให้”อันหลานหยางพูด
“รอบนี้ผมว่าจะพาหยาเอ๋อไปด้วยครับ”โจวเหวินพูด
“เธอยังเด็กมากอยู่เลยนะ ไปแบบนั้นจะไม่เป็นอันตรายเหรอ”อันหลานหยางพูดอย่างไม่สบายใจ เห็นได้ชัดเลยว่าเธอชอบหยาเอ๋อเอามากๆ
“ผมจะหาเส้นทางที่ปลอดภัยครับ อีกอย่างก็น่าจะเห็นแล้วนะครับ ว่าหยาเอ๋อนั้นไม่ใช่เด็กธรรมดาเลย”โจวเหวินพูด
“โอเค ก็ได้ ระวังตัวด้วยละกันนะ อย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงละ”อันหลานหยางถอดใจอีกครั้ง
โจวเหวินออกเดินทางไปทักทายหลายๆคน ตอนที่เขากำลังจะออกเดินทางออกนั้นเอง เขาก็ได้ยินข่าวเรื่องใครบางคนไปท้าทายอันดับ1ในตารางจัดอันดับ
โจวเหวินรีบเปิดช่องข่าวถ่ายทอดสดในโทรศัพท์ทันที แล้วเขาก็เห็นผู้ท้าชิงที่อยู่บนหน้าจอ
ผู้ท้าชิงที่ว่านั้น ดูเหมือนเป็นคนแต่สวมผ้าคลุมบางอย่างเอาไว้ ทำให้มองไม่ออกว่าแท้จริงแล้วภายใต้ผ้าคลุมนั้นเป็นตัวอะไรกันแน่ๆ
แต่ถึงอย่างนั้น ที่แน่ๆชุดเกราะผ้าคลุมของเขานั้นมันไม่ใช่ผู้พิทักษ์แน่ๆ เพราะที่แผ่นหลังของผ้าคลุมนั้นสลักตัวอักษรสีขาวขนาดใหญ่เอาไว้ และตัวอักษรที่ว่านั้นเขียนคำว่า”หยา”เอาไว้
แต่ที่น่าตกใจมากกว่าคือ ชายคนนั้นถือดาบโบราณเอาไว้ในมือ ตัวอักษรหยานั้นถึงจะไม่ได้ดัง แต่ดาบโบราณนั้นในการจัดอันดับนั้นเป็นสิ่งที่โด่งดังมาก เพราะมันคือสถานะสวมใส่ของเทพดาบโบราณ ผู้ฆ่าสัตว์อสูรจากต่างแดนไปมากมายแต่ตอนนี้มันกลับอยู่ในมือของชายคนนั้น
โจวเหวินเองก็ตกใจมากเหมือนกัน แต่ที่เขาตกใจ ไม่ใช่เพราะเทพดาบโบราณในมือของหยา แต่คนที่กำลังถือดาบตั่งหากที่โจวเหวินรู้สึกคุ้นๆ
“อย่าบอกนะว่านั้นคือจงซือหยาหน่ะ!”โจวเหวินคิดในใจ
ถ้าเขาคือจงซือหหยาจริงๆ นั้นหมายความว่าเขากำลังเดินทางไปตามเส้นทางเดียวกันกับหวังหมิงหยวน เพราะสภาพของจงซือหยาตอนนี้นั้น ต่างไปจากผู้พิทักษ์โดยสิ้นเชิง
I บทที่ 944 เมืองกุ๋ยไห
โทรศัพท์ของโจวเหวินดังขึ้นมาทันที โจวเหวินมองโทรศัพท์แล้วพบว่าคนที่โทรมานั้น คือหุยไหเฟิง หลังจากที่รับสายแล้ว เสียงของหุยไหเฟิงก็พูดขึ้นมาทันที “โจวเหวิน นายได้ดูการประลองลูกบาศก์รึเปล่า”
“ดูอยู่”โจวเหวินพูด
“นายคิดว่าเจ้าคนที่ชื่อหยานั้นมันคุ้นๆรึเปล่า”หุยไหเฟิงถามอีกรอบ
“นายคิดว่าเขาคือจงซือหยาเหรอ”โจวเหวินพูดตรงๆ
หุยไหเฟิงเงียบอยู่ซักพักใหญ่ๆ ก่อนจะพูด “เขาดูเหมือนเป็นเงาของอาจารย์มากกว่า”
โจวเหวินตอนแรกคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเขาคิดมากเกินไป แต่ตอนนี้แม้แต่หุยไหเฟิงยังพูดแบบเดียวกัน แสดงว่าเขาไม่ได้คิดมากเกินไปแล้ว จงซือหยานั้นเลือกที่จะเดินในเส้นทางที่แตกต่างอย่างชัดเจน
“บางทีเราอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ บางทีเขาอาจจะไม่ใช่จงซือหยาก็ได้”โจวเหวินพูด
หุยไหเฟิงยิ้มแห้งๆ “โอกาสที่เรา2คนจะคิดในแบบเดียวกันนั้นมันน้อยมากๆเลยนะ เราว่าวางแผนแต่เนิ่นๆจะดีกว่า การหนีจากความจริงมันแก้ปัญหาไม่ได้หรอก”
“แล้วนายคิดว่ายังไงละ”โจวเหวินถาม ตอนนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจงซือหยาอยู่ที่ไหน เขาเลยคิดอะไรไม่ค่อยออก
“นายจำคำถามที่อาจารย์ถามเราได้ไหม”หุยไหเฟิงพูด
“จำได้ 2ตัวเลือกซินะ”โจวเหวินตอบ
“ฉันอยากจะลองทางเลือกที่1ดู”หุยไหเฟิงตอบ
“จะลองยังไงละ”โจวเหวินถามกลับ
“ในพื้นที่ต่างมิติ มีแร่ธาตุต่างๆที่ถูกค้นพบใหม่อย่างเช่นพวก แร่ปรกติที่เจอกันอย่าง แร่เงินพิเศษ หรือแร่ทองปราณ ฉันอยากจะลองตามหาแร่ธาตุพิเศษอื่นๆที่คนยังไม่เคยพบเคยเห็น หาแร่ที่สามารถใช้จัดการสู้กับพวกสิ่งมีชีวิตต่างมิติได้ ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา มนุษย์เราใช้สมองและสติปัญญาจนกระทั้งขึ้นเป็นจ้าวโลกได้ บางทีรอบนี้ เราอาจจะต้องพึ่งพาสติปัญญาของเราในการเอาชนะอีกรอบนึงก็ได้”หุยไหเฟิงพูด
“ทางนั้นมันไม่ง่ายหรอกนะ”โจวเหวินรู้ได้ว่าเส้นทางที่ว่านั้นมันยากแค่ไหน ตระกูลอันนั้นลงทุนไปเยอะมากเพื่อศึกษาวิจัย แต่มันก็ยังห่างไกลจากคำว่าใช้ได้ผลกับสิ่งมีชีวิตระดับเร้นลับ
“มันก็ต้องมีใครซักคนเดินไปให้สุดทางไง ให้รู้ว่าโลกนี้จะล้มสลายจริงรึเปล่า”หุยไหเฟิงพูดแล้วยิ้ม
“แล้วทำไมเราไม่เดินวนกลับมาละ บางทีเราอาจจะได้พบโลกใหม่ก็ได้นี้”โจวเหวินพูด
“ฉันไม่สนหรอกว่ามันจะมีโลกใหม่ที่ว่านั้นไหม ฉันอยากได้เอาสิ่งที่มีกลับคืนมามากกว่า”หุยไหเฟิงหยุดแล้วพูดกับโจวเหวิน “โจวเหวินอย่าเดินเส้นทางนั้นเลยนะ”
“โจวเหวินรู้ดีว่าหุยไหเฟิงพูดถึงเรื่องอะไร แต่เขาก็เงียบ เขาไม่รู้ว่าตัวเขาเองจะเลือกทางเดินนั้นรึเปล่า
ถ้าเส้นทางของวิชาเซียนศักดิ์สิทธิ์ใช้ไม่ได้ผล โจวเหวินก็ต้องเลือกระหว่างการมีผู้พิทักษ์กับการใช้มนต์ย้ายวิญญาณ ซึ่งโจวเหวินรู้สึกว่าเขาอาจจะใช้มนต์ย้ายวิญญาณ เขาเลยไม่ได้ตอบไป
หลังจากความเงียบที่เนิ่นนานสุดท้ายหุยไหเฟิงก็ถอนหายใจออกมา “เอานะ ถ้าวันหนึ่งนายตัดสินใจทางเลือกของตัวเองได้ อย่างน้อยฉันก็หวังว่าจะได้มาเจอกับฉันอีกละกันนะ”
โจวเหวินยิ้มแล้วพูด “อย่าบอกแบบนั้นเลย ฉันเองก็มีทางเป็นของตัวเอง ถ้าดวงฉันไม่ได้แย่จริงๆละก็ ฉันเองก็คงไม่คิดจะเลือกทางนั้นหรอก ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ถ้ามีเวลาก็มาที่กุ๋ยไหหน่อยซิ ฉันมีอะไรดีๆจะให้นายดูด้วย”
“เออ ฉันเองก็คิดว่ากำลังจะไปพอดี”
ทั้งคู่ไม่ได้คุยอะไรกันต่อ แล้วตัดสินใจไปพบกันที่กุ๋ยไหหลังจากที่ตกลงกันแล้ว
ถึงแม้ว่ากุ๋ยไหกับหวังไหจะต่างกันเพียงตัวอักษรเดียว แต่สถานที่นั้นห่างกันไกลมากๆ เมืองหวังไหนั้นอยู่ในทะเลจีนตะวันออกส่วนกุ๋ยไหนั้นอยู่แถบทะเลจีนใต้
โจวเหวินจำได้ว่าเฟิงชิวเยี่ยนเองก็มาจากเมืองกุ๋ยไหเหมือนกัน ตระกูลเฟิงเองก็โด่งดังที่นั้นพอสมควร
โจวเหวินเองก็คิดอยู่เหมือนกัน ไหนๆเขาก็กลับมาแล้วเขาก็คิดว่าจะไปทักทายเฟิงชิวเยี่ยนซักหน่อย บางทีเขาอาจจะได้กลับบ้านเกิดของเฟิงชิวเยี่ยนพร้อมกันแล้วให้เขาอาสาเป็นไกด์ให้
แต่ตอนนี้เวลาไม่ค่อยมีให้คิดแล้ว โจวเหวินดูถ่ายทอดสดอีกครั้งแล้วพบว่าตอนนี้มารสวรรค์ยังไม่ตอบรับคำท้าเลย การนับเวลาถอยหลังท้าประลองเองก็เหลือเวลาอีกแค่24ชั่วโมงแล้วด้วย
หลังจากที่รอไปได้ครึ่งชั่วโมง ก็ยังคงไม่มีวี่แววของมารสวรรค์ที่จะเข้ารับคำท้าประลอง โจวเหวินเลยโทรไปหาเฟิงชิวเยี่ยน แล้วบอกกับเขาว่าเขาจะไปที่เมืองกุ๋ยไห ก่อนจะถามว่าจะกลับไปด้วยกันไหม
“โค้ชครับ ทางฝั่งของกุ๋ยไหตอนนี้สถานการณ์ไม่ค่อยจะดีเท่าไรนะครับ มักจะมีสิ่งมีชีวิตต่างมิติจากท้องทะเลโผล่มาบุกอยู่เรื่อยๆเลยครับ ตอนนี้คนส่วนมากย้ายจากกุ๋ยไหเข้าแผ่นดินใหญ่มาหมดแล้ว โค้ชจะไปที่นั้นทำไมกันละครับ”เฟิงชิวเยี่ยนถามด้วยความแปลกใจ
“ฉันมีรุ่นพี่อยู่ที่นั้นน่ะ อยากจะไปหาเขาซักหน่อย”โจวเหวินพูด
“ตอนนี้คนที่อยู่ในเมืองกุ๋ยไหส่วนใหญ่เหลือแต่คนตระกูลใหญ่แล้วครับ รุ่นพี่ที่โค้ชว่าคงไม่ใช่คนธรรมดาใช่ไหมครับ”เฟิงชิวเยี่ยนถาม
“หุยไหเฟิงน่ะ”โจวเหวินบอกชื่อตรงๆ
“อย่างงี้นี่เอง ตระกูลหุยเองก็ครองที่ดินและสินแร่ในเมืองกุ๋ยไหอยู่เยอะเลยครับ ก็ไม่แปลกที่พวกเขาตั้งใจที่จะปกป้องเมืองขนาดนั้น”เฟิงชิวเยี่ยนอธิบายสถานการณ์ของเมืองกุ๋ยไหให้โจวเหวินฟัง
สถานการณ์ที่ว่านั้นมันแย่กว่าที่โจวเหวินคิดไว้มาก นอกจากเมืองที่มนุษย์เป็นคนดูแลแล้ว พื้นที่ส่วนมากของเมืองกุ๋ยไหยังเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตหลุดจองจำ ทำให้แยกแทบไม่ได้เลยระหว่างพื้นที่ต่างมิติกับส่วนที่ไม่ใช่พื้นที่ต่างมิติ
มีสิ่งมีชีวิตหลุดจองจำจำนวนมากหลุดออกมาจากใต้ท้องทะเล ทำให้เป็นปัญหาที่ยากจะจัดการได้ เมืองกุ๋ยไหนั้นมี3ตระกูลใหญ่ที่คอยเป็นผู้นำอยู่ บวกกับตระกูลเล็กๆอีกเป็น10 ตอนนี้รวมตัวกันเพื่อต่อต้านและสู้กับสิ่งมีชีวิตหลุดจองจำโดยเฉพาะ
ตระกูลหุยกับตระกูลเฟิงเองก็เป็น2ตระกูลใหญ่เหมือนกัน ซึ่งเฟิงชิวเยี่ยนก็เป็นคนของตระกูลเฟิงด้วย
เฟิงชิวเยี่ยนบอกโจวเหวินว่าให้รออีกหน่อย เพราะเขาต้องทำเรื่องออกจากมหาลัยก่อนที่จะตามโจวเหวินกลับไปที่เมืองกุ๋ยไหได้
ในตอนที่ทั้ง2คนคุยกันอยู่นั้นเอง จู่ๆลูกบาศก์ก็ได้มีการเคลื่อนไหวอีกครั้ง มารสวรรค์เองได้ตอบรับคำท้าของหยาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่เข้ามาอยู่ในสนามประลองเดียวกันพร้อมเข้าปะทะ
หยายืนอยู่กลางสนามประลองง มองมารสวรรค์อย่างสงบนิ่งเหมือนกับว่าไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย
นาโอะในร่างมารสวรรค์นั้นช่วงนี้อารมณ์เสียสุดๆ เพราะเหตุการณ์ที่ลั่วหยางนั้นไม่เป็นที่พอใจเอาซะเลย เธอลองคิดหาหลายๆวิธีก็แล้ว แต่เธอก็ยังสืบข้อมูลเรื่องอาวุธลมปราณของตระกูลอันไม่ได้เลย
ถึงแม้ว่าเธอจะได้เจอกับอันเทียนโจวอยู่หลายครั้ง ตอนที่เขาอยู่ที่บ้าน แต่เธอก็ไม่เคยได้คุยกับเขาอย่างเป็นทางการเลยแม้แต่ครั้งเดียว
อีกอย่างตอนที่อันเทียนโจอยู่บ้าน เขาก็ไม่ได้แบกรับภาระตำนานเหมือนที่เคยทำตอนทำงาน ตอนเขาอยู่บ้าน เขาแทบไม่ต่างอะไรจากผู้ชายธรรมดาๆที่รักครอบครัวคนนึงเลย
นอกจากเรื่องที่งานสืบไม่เดินแล้ว การโดนท้าทายอย่างต่อเนื่องก็ทำให้เธอแอบตึงเครียดอยู่ไม้น้อย
เพราะถึงแม้ว่านาโอะจะรู้ว่าตัวเองเหนือกว่าแต่นางก็ไม่เคยปรานีหรือออมมือให้ใคร
ก่อนหน้านี้เธอได้เห็นพลังของเทพดาบโบราณไปแล้ว มันเป็นพลังที่มากกว่างูยักษ์บาฉีซะอีก คนที่ครอบครองเทพดาบโบราณปรากฏตัวออกมาในตารางจัดอันดับแบบนี้ เธอเลยอนุมานไปว่าคนๆนี้ต้องเป็นคนที่ทำสัญญากับผู้พิทักษ์แบบเดียวกับเธอแน่ๆ
แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่านาโอะจะมองยังไง ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นก็ดูไม่เหมือนทำสัญญากับผู้พิทักษ์แม้แต่น้อย ถ้าให้พูดกันตามตรง ปรกติแล้วเวลาผู้พิทักษ์จะเข้าต่อสู้ ผู้พิทักษ์นั้นจะผสานร่างของตัวเองรวมกันกับร่างต้นมนุษย์ และกลายเป็นชุดเกราะผู้พิทักษ์ แต่จากที่ หยา ชายตรงหน้าของเธอใส่นั้น มองยังไงมันก็เป็นแค่ชุดเกราะสัตว์อสูรธรรมดาแท้ๆ
เหตุผลที่ว่าทำไมนาโอะถึงรับคำท้าอีกเหตุผลนึงก็เป็นเพราะ เธอเองอยากจะรู้ว่าหยาคนนี้เป็นใครกันแน่เหมือนกัน
I บทที่ 945 เพลิงมารล้างผลาญ
เพราะว่านาโอะนั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหยาเลย ยกเว้ยแต่ว่าเขาเป็นศัตรู และเป็นเจ้าของเทพดาบโบราณเพียงเท่านั้น เธอเองก็ไม่คิดจะประมาท เรียกดาบคุซานางิออกมาในทันที ภายใต้พลังของมารสวรรค์ที่แข็งแกร่ง ปราณมารไหลเวียนวนไปทั่วดาบคุซานางิ หยาเองก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง จับดาบเทพโบราณไว้แน่นก่อนจะชักดาบออกมาจากฝั่งแล้วพุ่งตรงเข้าใส่นาโอะในทันที
นาโอะเองก็ฟันดาบเข้าปะทะอย่างแรง
เพล้ง
ดาบทั้ง2ปะทะกันทำให้เกิดแรงกระแทกมหาศาล กลายเป็นแรงระเบิดขนาดย่อมๆ แต่ทั้งคู่กลับไม่ได้กระเด็นออกไป พวกเขาฟันดาบเข้าใส่กันอีกหลายยก
ถ้าให้อธิบาย คงอธิบายได้แค่ว่า เร็ว มันเร็วเกินไปมากๆ ความเร็วของทั้งคู่นั้นไปถึงระดับสุดยอดของระดับเร้นลับกันทั้งคู่ เร็วขนาดที่ว่าคนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นการโจมตีของพวกเขาได้แล้ว
สิ่งที่เห็นนั้นมีเพียงแค่เส้นแสงที่วิ้งวับไปมาเหมือนสายฟ้าแลบ ที่กระพริบขึ้นมาจากแรงปะทะของดาบ ก่อนจะดับไป อย่างว่าแต่วิถีดาบเลย ตอนนี้ตัวของทั้ง2คนก็เร็วเกินจะมองเห็นแล้ว
มีเพียงระดับมหากาพย์ไม่กี่คนที่มีความสามารถหรือของวิเศษ หรือไม่ก็คนที่มีสัตว์อสูรพิเศษเท่านั้นถึงจะสามารถมองเห็นการประลองนี้ได้ชัดๆ
โจวเหวินยิ่งมองวิชาดาบของหยาคนนั้นแล้ว เขาก็ยิ่งมั่นใจ ชายที่สู้อยู่ตรงนั้นคือจงซือหยาแน่ๆ ไม่ผิดเลย วิชาดาบของเขายังคงดุดัน บ้าคลั่งและไร้กฏเกณฑ์เหมือนเดิม เป็นวิชาดาบแบบที่มีแค่จงซือหยาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถฝึกได้ไปถึงขั้นสุดยอด
วิชาดาบของนาโอะเองนั้นโจวเหวินเองก็คุ้นๆอยู่ มันทั้งเร็วและแม่นยำ ถึงแม้ว่าโจวเหวินจะเคยสู้กับนางมาก่อน แต่นั้นไม่ใช่การต่อสู้ที่แท้จจริง ทำให้โจวเหวินไม่รู้เลยว่าความสามารถที่แท้จริงของนางนั้นจะเหนือกว่าขนาดไหน ตอนนี้เห็นชัดๆเลยว่าเป็นระดับสุดยอดของเร้นลับแล้ว
แต่ก็แน่นอนพลังทั้งหมดนั้นเป็นของมารสวรรค์ ถ้าไม่มีมารสวรรค์ นาโอะเองก็เป็นได้แค่ระดับมหากาพย์แบบเดียวกับเขา
ตัวของผู้พิทักษ์เองนั้น เป็นเหมือนกระสุน มันมีพลังมหาศาลก็จริง แต่มนุษย์ที่เชื่อมต่อนั้นก็เป็นเหมือนกระบอกปืนเหมือนกัน ถ้าวิชาดาบดีคนใช้เก่ง ก็สามารถรีดพลังของผู้พิทักษ์ออกมาได้อย่างเต็มที่
หลักการของผู้พิทักษ์กับสัตว์อสูรนั้นจะคล้ายๆกัน ถึงแม้ว่าพลังของมันจะต่างกันมากๆก็ตาม แต่สุดท้ายมันก็เป็นพลังที่ผสานกับร่างกายของผู้ใช้ เพราะงั้น ตราบใดที่ผู้ใช้สามารถควบคุมและใช้พลังนั้นได้อย่างดี พลังก็จะออกมาได้เต็มที่ที่สุด
นาโอะเองก็สามารถควบคุมพลังของมารสวรรค์ได้เป็นอย่างดีมากๆ นั้นทำให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตัวเธอเอง
ดาบคุซานางิกับดาบเทพโบราณนั้นฟันตัดกันไปปมา ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ พวกเขาใช้กลยุทธเชิงบุกกันทั้งคู่ ไม่มีท่าป้องกันแม้แต่น้อย การโจมตีทุกครั้งแฝงไปด้วยแรงอาฆาตและจิตสังหารที่พร้อมจะโจมตีสวนกลับฆ่าให้ตาย ไม่ฝ่ายใดฝ่ายนึงต้องตายและอีกฝั่งรอด
หลังจากผ่านไปได้ซักพัก นาโอะก็เริ่มรู้สึกได้ว่าเธอนั้นกำลังเสียเปรียบอยู่ ไม่ใช่เพราะว่าพลังหรือทักษะของเธอด้อยกว่าหยา แต่มันเป็นเพราะความเร็วและความแรงของหยานั้นเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ใช้พลังงานร่างกายของตัวเองเลย
“อีกฝ่ายเก่งเรื่องการบุกน่าดูเลยแหะ”นาโอะตอนนี้เริ่มรู้สึกได้แล้วว่าเธอเองไม่ควรจะยื้อไปมากกว่านี้ คนที่มีความสามารถด้านการบุกแบบนี้ ยิ่งยื้อมากเท่าไร เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งได้มากขึ้นเท่านั้น และมันจะเป็นผลเสียของเธอต่อไป
นาโอเลยรวบรวมกำลังทั้งหมด เตรียมการโจมตีสุดท้ายด้วยท่าที่มีชื่อว่า ดาบพันอสูรเป็นสกิลของมารสวรรค์ ที่จะรวมเอาปราณมารทั้งหมดของร่างกาย โจมตีฟันเป็นคลื่นตรงเข้าหาหยา
เมื่อปราณมารพวกนั้นถูกฟันออกไปแล้ว มันจะไปกัดกินแสงสว่างรอบข้างทั้งหมดจนในพริบตาเดียวนั้น พื้นที่ทั้งหมดบนลูกบาศก็เหลือแต่ความมืด ไม่เห็นอะไรเลยซักอย่าง
โจวเหวินรีบวิ่งไปที่ลูกบาศก์ในเมืองทันที เพราะตอนนี้หน้าจอโทรศัพท์ของเขามันไม่เพียงพอที่จะทำให้เขามองเห็นในความมืดได้ เขาต้องมองผ่านเข้าไปในลูกบาศก์โดยตรงถึงจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น
พื้นที่ต่อสู้ทั้งหมดตอนนี้กลายเป็นสีดำมืด ตัดทั้งการได้ยิน กลิ่น เสียง และสายตาทั้งหมด แม้แต่ความรู้สึกก็โดนตัดทิ้งไปด้วยเช่นกัน เพราะงั้น ถึงโดนดาบฟันก็จะไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
พอเห็นนว่าหยายังคงยืนนิ่งอยู่บนลานประลอง นาโอะจึงพุ่งเข้าไปฟันซ้ำอย่าเต็มกำลังทันที
นางรู้ดีว่าสกิลพันอสูรนั้น จะตัดประสาทสัมผัสทั้งหมดของงศัตรู แต่เธอเองก็ยังไม่มั่นใจว่า หยานั้นจะมีความสามารถในการทำลายสกิลพันอสูรได้รึเปล่า เพราะงั้น นางจึงอยากจะปิดฉากให้ไวที่สุดที่ทำได้
ชริ้ง!!
หยาขยับในความมืด และดาบเทพโบราณก็ป้องกันดาบของนาโอะได้อย่างแม่นยำ ดาบทั้ง2นั้นปะทะและสู้กันท่ามกลางความมืดของพันอสูร แต่หยาเองกลับเหมือนไม่ได้รับผลของสกิลนั้นเลย การโจมตีและการป้องกันยังคงไร้ข้อผิดพลาด
“หรือว่าความสามารถของมันจะก้าวข้ามประสาทสัมผัสทั้ง7ไปแล้วกัน” นาโอะเดาเหตุผล เพราะสกิลพันอสูรนั้นมีเพียงแค่คนที่สามารถควบคุมประสาทที่8เท่านั้นที่จะไม่ได้รับผล
ยกเว้นแต่ว่านาโอะจะใช้มารสวรรค์ในการกลายเป็นระดับความกลัวแล้ว สกิลพันอสูรก็จะมีผลกับคนที่มีสัมผัสที่8น้อยมากๆ
นาโอะพอรู้แบบนี้แล้ว นางก็ปลดสกิลพันอสูรทันทีเพื่อเป็นการไม่สิ้นเปลืองพลังงานลมปปราณ
ตอนที่โจวเหวินวิ่งไปถึงลูกบาศก์ นาโอะก็ปปลดสกิลพอดี ภาพทั้งคู่จึงปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอลูกบาศก์อีกครั้ง
โจวเหวินตอนนี้สวมผ้าคลุมล่องหนแล้วยืนอยู่บนอากาศมองดูการต่อสู้อยู่ การต่อสู้ตอนนี้กลายเป็นจุดสนใจของมวลมนุษยชาติ แต่ที่น่าสมเพชคือ คนที่สู้อยู่นั้น ไม่ได้พึ่งพาพลังของมนุษย์เลย
หยานั้นโจมตีถาโถมขึ้นมาเหมือนคลื่นซัด เขาไม่ได้ใช้กระบวนท่าหรือเทคนิคอะไรที่ซับซ้อน เขาใช้แค่เพลงดาบ ความเร็วและความรุนแรงในการโจมตีอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับว่าคำว่าถอยไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของเขา
นาโอะเองพอเห็นว่าสกิลพันอสูรใช้ไม่ได้ผล จึงไม่ลังเลที่จะใช้สกิล เพลิงมารล้างผลาญแทน
ทันใดนั้นเองเปลวเพลิงก็ระเบิดออกมาจากรอบตัวของมารสวรรค์ มันเป็นท่าเดียวกับที่นาโอะใช้ฆ่ายักฆ์น้ำแข็ง
“มาแล้ว”โจวเหวินมองการโจมตีของนาโอะ แล้วเขาก็รู้ทันทีว่าท่านั้นมันคืออะไร
เพียงแค่ว่าตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าท่านั้นมันทำงานยังไงกันแน่ เลยยังหาวิธีทำลายมันไม่ได้
ถ้าเป็นโจวเหวินละก็เขาคงจะใช้กระบวนท่าและสกิลทั้งหมดในการหนีออกมา เขาไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง ก็แค่หลบให้พ้นแล้วรอสวนกลับ เพื่อที่นาโอะจะได้ไม่มีโอกาสโจมตีโดนเขา แต่หยานั้นไม่ใช่คนแบบเดียวกับโจวเหวิน เขาเป็นคนที่ไม่รู้จักคำว่าถอยแต่แรกอยู่แล้ว เขาจึงใช้ดาบพุ่งตรงเข้าฟันสวนเข้าไป
ทั้ง6ตระกูลและเหล่าตระกูลใหญ่ๆทั้งหลายต่างก็มองดูการบุกเข้าไปครั้งนี้ แม้แต่คนใหญ่คนโตจากต่างแดนยังกังวลเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ทุกๆคนตอนนี้อยากรู้ว่าท่าที่สามารถฆ่ายักฆ์น้ำแข็งได้ในครั้งเดียวนั้นจะฆ่าหยาได้ไหม
ชริ้ง!!
ดาบคุซานางิกับดาบเทพโบราณนั้นกระแทกเข้าใส่กันอย่างรุนแรง เปลวเพลิงจากดาบนั้นแพร่กระจายเข้าใส่ตัวของดาบเทพโบราณและไม่ใช่แค่ดาบเทพโบราณด้วย ทั้งชุดเกราะและตัวของหยาเริ่มเผาไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงรุนแรงนั้น
I บทที่ 946 ติดกับ
“เห้ย แลกกันแบบนั้นเลยงั้นเหรอ” โจวเหวินตกใจมาก
“นี้มันอยากจะทำให้อดีตซ้ำรอยพลาดซ้ำ2งั้นเหรอ” ฉางชุนชิวขมวดคิ้วแล้วพูดกับตัวเอง เขามองไปที่หยาที่ตอนนี้ไฟลุกท่วมตัว
ตอนนี้ในหมู่6ตระกูล หลายๆคนเริ่มผิดหวังมากๆแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าหยาเป็นใครแต่ เห็นชัดๆเลยว่าอุเอซึกินาโอะนั้นเป็นคนจากต่างแดนแน่ๆ ทำให้คนส่วนมากแอบเชียร์หยากัน
แต่ถึงอย่างนั้น ร่างของหยากลับไม่ระเบิดออกมาแบบที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าเขาจะโดนเผาด้วยไฟที่ร้อนแรง แต่เขาก็ยังสามารถใช้ดาบฟันโจมตีอย่างต่อเนื่องได้ เขาทำเหมือนกับว่าไฟที่เผาไหม้อยู่รอบตัวเขานั้นเป็นภาพลวงตา ไม่มีอยู่จริง และไม่ได้เผาตัวของเขาอยู่
หลังจากที่ป้องกันดาบได้หลายครั้งรวด แต่นาโอะก็ยังไม่เห็นว่าร่างของหยาจะระเบิดออกมา แม้แต่ชุดเกราะผ้าเองก็ยังไม่โดนเผาไหม้ ใจของเธอเองก็เริ่มเต็มไปด้วยคำถาม
“ทำไมเขาถึงไม่เป็นอะไรเลยละ มันจะมีเหรอคนที่บริสุทธิ์ขนาดเพลิงมารทำอะไรไม่ได้หน่ะ ไม่ซิ เขาต้องมีความสามารถอะไรบางอย่างคอยป้องกันเพลิงมารล้างผลาญแน่นอนเลย”นาโอะคิดในใจ
เพลิงมารล้างผลาญนั้นเป็นสกิลที่มีความรุนแรงสูง แต่เงื่อนไขในการใช้มันมีข้อเดียว คือคนๆนั้นต้องเคยกระทำบาปดั้งเดิมอะไรบางอย่างมา เพลิงมารล้างผลาญถึงจะใช้ได้ผล
ความหยิ่งพยอง ความอิจฉา ความโกรธ ความเกียจคร้าน ความตระกละ ความละโมบโลภมาก และราคะ ทั้งหมดนั้นคือบาปดั้งเดิม ไม่มีใครคนไหนบนโลกที่ปราศจากบาปพวกนี้ ดังนั้น สกิลเพลิงมารล้างผลาญจึงเป็นสกิลที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานสำหรับมนุษย์ที่ยังตัดจากบาปไม่ได้
ในตอนแรกยักษ์น้ำแข็งนั้นโดนเพลิงล้างผลาญระเบิดไปเพราะว่าเจ้าของสัตว์อสูรนั้น เคยกระทำความผิดบาป ฆ่าคนไปมากมาย ด้วยความโกรธและความตระกละ
แต่หยานั้นกลับไม่ได้รับผลอะไรเลย ทำให้นาโอะรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้
หลังจากนั้นไม่นาน คนในรัฐบาลกลางและต่างแดนต่างก็เริ่มเห็นว่าการโจมตีของมารสวรรค์นั้นไม่ได้ผลกับหยา ทำให้คนในรัฐบาลกลางนั้นดูคึกครื้นขึ้นมา ในขณะที่คนในต่างแดนนั้นเริ่มตึงเครียดมากขึ้น
การต่อสู้นั้นดำเนินต่อไป แต่สถานการณ์ตอนนี้นาโอะกำลังเสียเปรียบอยู่นิดหน่อย นางรู้ดีกว่านางต้องจัดการกับหยาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะตอนนี้เวลาดูเหมือนจะไม่ได้เข้าข้างเธอแล้ว
“ดูเหมือนว่าคงต้องใช้กงล้อแห่งโชคชะตาของมารสวรรค์แล้วซินะ”นาโอะคิดแล้วตัดสินใจ เธอมองหยาผ่านทางแว่นตาของเธอก่อนที่พลังงานมหาศาลจะแล่นผ่านร่างของเธอไป ทันใดนั้นร่างของนาโอะก็หายวับไปก่อนจะปรากฏตัวอีกทีด้านหลังหยา
กริ๊ก
ร่างของหยานั้นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร โดนฟันผ่าครึ่งตัวทั้งอย่างงั้น
ทุกๆคนต่างหวาดกลัว ตอนนั้นแม้แต่โจวเหวินเองก็ยังไม่เห็นเลยว่านาโอะฆ่าหยาได้ยังไงกัน มันไม่ใช่เรื่องความเร็วอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าระดับเร้นลับจะเร็วแค่ไหน แต่ยังไงมันก็ไม่มีทางเร็วไปกว่าสกิลเนตรไปได้แน่ๆ ไม่มีทางที่โจวเหวินจะมองไม่ทันเลยแบบนี้
แต่รอบนี้โจวเหวินมองไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ ตอนที่นาโอะโจมตีปิดฉาก ร่างของนางหายวับไปทันทีเลย
มันไม่ใช่การวาปด้วย เพราะการวาปปรกติแล้วจะต้องออกมาจากการวาปก่อนถึงจะโจมตีได้แต่ การโจมตีของนาโอะนั้นมันไร้รอยต่อเกินไป ขั้นตอนการออกจากวาปนั้นมันหายไปเลย
เหล่าคนในรัฐบาลกลางหลายๆคนก็เริ่มเกิดความกลัวจนหนาวสั่น พวกเขาเสียวสันหลังมากๆ เมื่อคิดว่าถ้านาโอะใช้ท่าแบบนั้นกับพวกเขา ไม่มีใครบอกได้เต็มปากเลยว่าจะหลบได้พ้น
แต่ทันทีที่ร่างของหยานั้นขาดครึ่งไป สีหน้าของนาโอะนั้นก็ซีดขึ้นมาทันที เพราะตอนที่เธอสังหารนั้น เธอรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างผิดปรกติ เธอจึงรีบหนีออกมา
ทันใดนั้นเอง ร่างศพของหยาก็เปลี่ยนไปเป็นหุ่นเชิด ส่วนหยาอีกคนนึงนั้นปรากฏขึ้นมาตรงจุดที่เขายืนอยู่ตอนที่เขาเข้ามาในลานประลอง
ทุกๆคนงงแตก และไม่เชื่อว่าหยาที่สู้กับนาโอะทั้งหมดที่ผ่านมานั้นเป็นตัวปลอม เป็นหุ่นเชิดไปซะได้
หน้าของนาโอะเองก็เสียหนักมากท่าโจมตีที่รุนแรงที่สุดของเธอถูกใช้ไปแล้ว และมันคงใช้ไม่ได้ไปอีกซักพักแน่ๆ ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมสกิลเพลิงมารล้างผลาญถึงใช้ไม่ผลกับหยา เพราะที่สู้อยู่นั้นไม่ใช่ตัวจริงซะด้วยซ้ำ เป็นแค่หุ่นเชิด
ดาบเทพโบราณกลับมาอยู่ในมือของหยาตัวจริง ที่ยืนจังก้ามองนาโอะอยู่
ในตอนนั้นเอง ทุกๆคนรู้สึกแบบเดียวกันเลยว่าหยานั้นเป็นคนที่แกร่งมากๆ ความแข็งแกร่งที่แพร่กระจายออกมานั้นไม่ใช่ในด้านพลัง แต่มันเป็นแรงกดดันทางจิตวิทยามากกว่า
นี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่หยานั้นจะเอาชนะนาโอะได้ไหม แต่แค่การที่เขาสามารถเล่นกับอีกฝ่ายเหมือนชีวิตของนาโอะอยู่ในกำมือของเขา มันก็น่ากลัวเกินพอแล้ว มันทำให้เห็นว่าพลังมันต่างกันเกินไป
ความไม่รู้นั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัว เมื่อเรารู้ว่าพลังนั้นคืออะไรแล้ว ความน่ากลัวทางจิตวิทยาของพลังนั้นก็จะน้อยลง เราสามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รู้ว่าจะโดนอะไร แต่หยาตอนนี้ทำให้ทุกคนเริ่มรู้สึกไว้ใจไม่ได้และหวาดกลัว
นาโอะเองก็ไม่ลังเลรีบยอมแพ้ทันที ตอนนี้เธอรู้ตัวดีแล้วว่ายังไงสู้ไปเธอก็แพ้ เพราะข้อมูลที่อีกฝ่ายรู้นั้นมันมากกว่าที่เธอรู้อีกฝ่ายมาก ขืนสู้ต่อไปยังไงก็มีแต่ตายกับตาย
การจะเอาชนะอีกฝ่ายได้นั้น จะต้องรู้ความสามารถของอีกฝ่ายก่อน แต่รอบนี้นางไม่มีโอกาสชนะได้เลยแม้แต่นิดเดียว
การยอมแพ้ของนาโอะในครั้งนี้ทำให้อันดับ1ของตารางจัดอันดับกลายเป็นของหยา ส่วนมารสวรรค์ก็ร่วงลงไปเหลือที่2 และผู้พิทักษ์กับสัตว์อสูรทุกตัวที่อยู่ในรายชื่อก็ลดระดับลงมา1โดยอัตโนมัติ
ส่วนร่างของหยาเองก็หายวับไป ไม่มีการแสดงท่าทางดีใจใดๆทั้งสิ้น หลังจากที่ชนะแล้วก็ถอนตัวออกจากสนามประลองทันที
“แกร่งเกินไปแล้ว สมแล้วที่เป็นเจ้าของเทพดาบโบราณ ตัวเจ้าของเองก็แกร่งกว่าซะอีก รอบนี้เราคงไม่ได้เห็นอะไรเซอร์ไพส์ในการประลองอีกแล้วละ”
คนจากรัฐบาลกลางต่างอึ้งในพลังของหยา ชื่อของหยานั้นแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว บางคนเรียกเขาว่าเป็นฮีโร่ซะด้วยซ้ำ
แต่โจวเหวินไม่ได้คิดแบบนั้น หยานั้นแกร่งก็จริง แต่นาโอะเองก็มีพลังทำลายที่แกร่งมากเหมือนกัน จะบอกว่าที่หยาชนะมาได้ก็เพราะเล่ห์กลของหยาเองก็เป็นได้
แต่ถึงอย่างนั้น แผนแบบนี้ก็ใช้ไม่ได้อีกเป็นครั้งที่2แล้ว ทำให้บอกได้ยากว่าเขาจะยังอยู่อันดับ1ได้อีกนานแค่ไหน
หลังจากกลับมาที่มหาลัยแล้ว โจวเหวินก็เห็นรายงานข่าวเกี่ยวกับหยาเต็มไปหมด เพราะว่าหยานั้นอาจจะเป็นคนจากรัฐบาลกลาง ทำให้สื่อกระแสหลักในรัฐบาลกลางนั้นต่างยกย่องเขาเป็นฮีโร่และได้รับความเคารพอย่างมาก คนจากรัฐบาลกลางเองก็เห็นด้วยและสนับสนุน และอยากจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของหยากันทั้งนั้น
โจวเหวินพออ่านแล้วก็แอบยิ้ม “ถ้าหยาคนนั้นคือจงซือหยาจริงๆละก็ สำหรับรัฐบาลกลางแล้ว ถ้าความจริงถูกเปิดเผยออกมาบางทีเขาอาจจะเป็นทั้งฮีโร่ทั้งจอมมารในคนๆเดียวกันเลยก็ได้ ใครจะไปรู้”
การประลองนั้นทำให้โจวเหวินรู้สึกกระตือรือร้นมากขึ้นกว่าเดิม เขาเลือดร้อนอยากจะไปสู้บ้าง
แต่หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมสติของตัวเอง แล้วรู้สึกว่าในเกมส์ของเขานั้นมันน่าเสียดายที่ไม่มีศัตรูอย่างหยาหรือมารสวรรค์
“ถ้าเกิดพวกมันสามารถแสกนเข้าไปในเกมส์ได้นะ”โจวเหวินคิดกับตัวเอง
หลังจากที่เฟิงชิวเยี่ยนทำเรื่องออกจากมหาลัยแล้ว ทั้ง3คน โจวเหวิน เฟิงชิวเยี่ยน และหยาเอ๋อก็กำลังจะออกเดินทาง แต่จู่ๆพอหลี่ซวนได้ยินว่าพวกเขากำลังจะเดินทางกัน เขาเลยขอไปด้วย ทำให้การเดินทางครั้งนี้มี4คน
“พอดูการประลองระหว่างหยากับมารสวรรค์แล้ว ฉันเองก็เริ่มอยากเอาผู้พิทักษ์มาใช้บ้างแล้วแหะ”ระหว่างทางหลี่ซวนพูดขึ้นมา
“ผู้พิทักษ์มันเป็นแค่ปัจจัยภายนอกหน่ะ มันไม่คุ้มกันหรอก”เฟิงชิวเยี่ยนบอกชัดเจนว่าตัวเขาไม่ยอมรับในผู้พิทักษ์เพราะเขาอยากจะแกร่งขึ้นด้วยตัวเอง
“โจวเหวิน แล้วนายละคิดยังไง”หลี่ซวนถาม
“ไม่รู้ซิ ฉันเคยแต่ฆ่าผู้พิทักษ์หน่ะ แต่ไม่เคยมีมันเลย”โจวเหวินพูด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น