I Just Want To Play Games Quietly ฉันก็แค่อยากเล่นเกมเงียบๆเท่านั้นเอง 939-942
I บทที่ 939 ได้รับพร
สิ่งก่อสร้างที่อยู่ตรงหน้านั้นแปลกประหลาดมาก ในแวบแรกมันดูเหมือนอารามหินธรรมดา แต่เมื่อประตูของอารามหินเปิดออก โจวเหวินไม่สามารถขี่มังกรเทียนเข้าไปได้ ดังนั้นตอนที่เขาไปถึงประตู เขาจึงต้องอัญเชิญมังกรเทียนกลับมาก่อน แล้วค่อยๆเดินเข้าไป
“ตี้ฉิน เขาเป็นคนยังไงกันนะ”โจวเหวินเองก็สงสัย และเพราะความสงสัยนั้นเองทำให้ความเหนื่อยล้าของเขานั้นลดลงไปเยอะมากๆ
และเพราะว่าความสามารถในการได้ยินของสดับวานรนั้นมันฟังได้จำกัดมากๆก่อนหน้านี้ แต่พอโจวเหวินเดินเข้าไปในอารามหินแล้วภาพที่ชัดเจนของอารามหินโบราณนี้ก็เริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้น
“นี้มันอะไรกันเนี่ย” โจวเหวินมองภาพของอารามหินโบราณแล้วไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
โจวเหวินเห็นอะไรแปลกๆในอารามหินเต็มไปหมด ของส่วนมากนั้นโจวเหวินไม่รู้ว่ามันมีไว้เพื่ออะไร แต่โจวเหวินจำสัญลักษณ์สีแดง2อันที่สลักไว้เหมือนกับที่ใช้ในวันแต่งงาน
ยิ่งกว่านั้นยังมีเสาหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทั้ง2ด้านของโถงใหญ่ สลักไว้ด้วยอักษรที่ดูคล้องกับตัวอักษรสีแดง รูปแบบของอารามหินนี้ดูต่างจากที่โจวเหวินคิดไว้ว่าเป็นที่จองจำมากๆ
ถ้าเขาไม่รู้ว่าตี้ฉินอยู่ที่นี้ โจวเหวินเองก็คงคิดว่านี้มันต้องเป็นโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ก็วัดเยว่เหลาเวอร์ชั่นโบราณแน่ๆ
“ขอโทษนะครับ ตี้ฉินอยู่ที่นี้รึเปล่า ผมได้รับการไหว้วานมาจากเพื่อนเก่าในหลู่ไท่เพื่อมาส่งมอบข้อความครับ”หลังจากที่โจวเหวินเข้ามาในอารามแล้วประสาทสัมผัสทั้ง5ของเขาก็กลับมาปรกติดีอีกครั้ง ตอนนี้เขาสามารถพูดและมองเห็นได้ปรกติแล้ว
โจวเหวินไม่กล้าบอกชื่อของจิ้งจอก9หางทันที เขาบอกว่าเป็นเพื่อนเก่าแทน
“เข้ามา”เสียงดังขึ้นมาจากในโถง
ตอนที่โจวเหวินได้ยินเสียงนั้น เขารู้สึกได้ถึงความมาดแมนและกำยำ เขาเลยเดินตรงเข้าไปในโถง
ไม่รู้ว่าโถงนี้มันมีพลังพิเศษอะไรรึเปล่าแต่เขารู้สึกได้เลยว่าเขาสามารถเดินเข้าไปได้อย่างง่ายดายมากๆ หลังจากที่เข้ามาในโถงแล้ว เขาก็เห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนแท่นหินในโถง
รูปร่างของเขาเหมือนกับเทพที่ประดิษสถานอยู่ แต่ที่นี้คือโลกต่างมิติ มันไม่มีเทพอยู่ที่นี่ ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้คือมนุษย์อย่างแท้จริง
“นี้เนะเหรอคือตี้ฉิน จอมทรราชผู้โด่งดังคนนั้น ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะยังอยู่มาถึงทุกวันนี้”โจวเหวินมองชายที่อยู่บนแท่นหินนั้นแล้วไม่ค่อยอยากเชื่อ
ชายคนนั้นดูต่างจากที่โจวเหวินคิดไว้มาก เขาไม่ได้ดูกล้ามโตกำยำดูแข็งแกร่ง ไม่ได้ดูแข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น เขาดูสงบมาก หล่อเหลา ดูไม่ได้ผอมซีดแต่หุ่นดีสมชาย ดูมีความสุขุมอย่างบอกไม่ถูก
ถ้าเกิดโจวเหวินเจอชายคนนี้ข้างนอก เขาคงคิดว่าชายคนนี้น่าจะเป็นนักวิชาการหรืออาจารย์หนุ่มที่อนาคตก้าวไกล คงไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะเป็นจอมทรราชตลอดการคนนั้น
ตี้ฉินนั่งอยู่บนแท่นด้วยท่าทีสบายๆ มือพาดตัก มืออีกข้างถือแก้วเหล้า ดื่มโดยที่ไม่มองโจวเหวินก่อนจะพูด “นางส่งเจ้ามาเพื่อบอกข้อความกับข้า สารนั้นคืออันใดกัน”
“ขอโทษทีนะ แต่ถามเพื่อความแน่ใจก่อน ท่านคือตี้ฉินใช่ไหม”โจวเหวินถาม
ตี้ฉินเงยหน้าขึ้นแล้วมองหน้าโจวเหวิน “ในเมื่อเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว เจ้าก็ควรจะรู้ได้แล้วนะ มีแค่ข้าคนเดียวเท่านั้นละที่ถูกจองจำอยู่ที่นี้”
“นางฝากมาบอกกับท่านว่า อย่าอ่าน”โจวเหวินพูดตามคำที่จิ้งจอกเก้าหางบอกให้พูด
“อย่าอ่าน… อย่าอ่านงั้นเหรอ อย่าอ่านซินะ…หึหึหึ”ตี้ฉินหัวเราะออกมาทันทีเหมือนกับมีความสุขมากๆ
เมื่อตี้ฉินหัวเราะจบ โจวเหวินก็พูด “ผมมาส่งข้อความเรียบร้อยแล้ว ถ้างั้นผมขอตัวลาแล้วกลับก่อนนะครับ”
“รอก่อน”ตี้ฉินเรียก
โจวเหวินไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องหยุดมอง แต่ตี้ฉินจู่ๆก็เอื้อมมือไปหยิบอะไรบางอย่างก่อนจะเขวี้ยงมาให้โจวเหวิน “นี้ของรางวัลแก่เจ้า ฝากข้อความไปให้นางด้วยที”
“ด้วยความยินดี”โจวเหวินมองของที่ตี้ฉินโยนให้เขามา มันเป็นแผ่นหินขนาดเท่าฝ่ามือ ด้านในมีสลักตัวอักษรสีแดงเขียนว่า “ความสุข” เอาไว้ มีแค่นั้นจริงๆและโจวเหวินก็ไม่รู้ว่ามันไว้ใช้ทำอะไรด้วย
“รอก่อน”ตี้ฉินพูด
“อะไรนะ”โจวเหวินตามไม่ทัน
“รอก่อน”ตี้ฉินทวนซ้ำอีกครั้ง
โจวเหวินมองหน้าตี้ฉินแล้วพูด “จะฝากข้อความอะไรให้นางนานกว่านี้หน่อยก็ได้นะ”
“ไม่ละ กลับไปเสียเถิด ร่างมนุษย์ของเจ้านั้นอยู่ในโลกต่างมิติได้ไม่นานหรอก”ตี้ฉินพูด
โจวเหวินเลยกลับไปอย่างไร้ทางเลือกพร้อมความรู้สึกที่แปลกสุดๆในใจ
ตี้ฉินนั้นดูต่างจากที่เขาคิดเอาไว้มากๆ สถานที่ที่คุมขังเข้าไว้นั้นก็ดูต่างจากที่โจวเหวินคิดไว้มากเช่นกัน
ถ้าตี้ฉินเป็นนักโทษจริง ที่คุมขังแบบนี้มันก็หละหลวมสุดๆไปเลย ไม่มีผู้คุม มีแค่ตัวเขาคนเดียวอยู่ในนั้น และไม่เห็นอะไรอย่างอื่นเลยที่จะกีดกันเขาออกมา
ขนาดโจวเหวินที่เป็นแค่มนุษย์ธรรมดายังเข้าออกได้ตามใจเลย ที่แบบนี้มันไม่เหมือนคุกแม้แต่นิดเดียว
“เสร็จแล้วเหรอ”สาวหิมะถามตอนที่โจวเหวินเดินออกมา
“เรียบร้อย”โจวเหวินอยากจะพูด แต่หลังจากที่โจวเหวินออกมาจากอารามหินแล้ว เขาก็กลับไปเป็นสภาพเดิมทำให้เขาส่งเสียงไม่ได้ทำได้แค่เขียนตัวอักษรออกมา
“เขาบอกว่าไง”สาวหิมะถามอีกครั้ง
“เขาไม่ได้บอกอะไร ไม่งั้นฉันคงไม่ได้กลับออกมาเร็วแบบนี้หรอก”โจวเหวินไม่อยากบอกข้อความที่ได้ฟังมาจากตี้ฉินให้นางรู้
สาวหิมะเม้มปากแล้วพูด “ไม่ต้องกังวลหรอกน่ะ ข้าไม่ได้ตามหาความลับของตี้ฉินอยู่ซักหน่อย เอาจริงๆเขาไม่ได้มีความลับอะไรเลยตั่งหาก”
“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ ใกล้จะหมดเวลาแล้วเรารีบกลับกันดีกว่า”โจวเหวินพูดแล้วอัญเชิญมังกรเทียนออกมา แต่ตอนที่เขากำลังจะเก็บแผ่นหินแล้วนั่งลงไปที่มังกรเทียนนั้น สาวหิมะก็จับมือของเขา
“นี้มันอะไรกัน”สาวหิมะถามโจวเหวินก่อนจะดึงมือที่ถือแผ่นหินของโจวเหวินขึ้น เพื่อดูแผ่นหินนั้นดีๆ
“แผ่นหินไง มันจะเป็นอะไรได้อีกละ”โจวเหวินดูตกใจ เขาไม่คิดว่าสาวหิมะจะออกอาการมากขนาดนี้
“ตี้ฉินมอบมันให้กับเจ้าเหรอ”สาวหิมะมอง
“ใช่ รู้หรอว่ามันคืออะไรหน่ะ”โจวเหวินเริ่มคิดในใจ “ดูเหมือนว่าแผ่นหินที่ตี้ฉินจะให้นี้มันเป็นของดีแหะ นางคงไม่ได้คิดอยากจะขโมยมันไปหลอกใช่ไหม”
ตอนที่โจวเหวินคิดแบบนั้นเอง สาวหิมะก็ปล่อยมือแล้ววมองโจวเหวินด้วยสีหน้าประหลาด ก่อนจะพูด “แน่นอนซิว่าข้ารู้ ในโลกต่างมิตินี้ ไม่มีใครไม่รู้จักหรอกนะ”
“อ้อ เจ้านี้ดูมีประวัติเยอะจังเลยแหะ มันใช้ทำอะไรละ”โจวเหวินถามทันที
สาวหิมะยิ้มแล้วพูด “ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย ถ้าเจ้าอยากรู้ก็ต้องแลกเปลี่ยนกันซิ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับราคาที่เจ้าจะจ่ายมานะ”
“ช่างมันเถอะ”โจวเหวินเก็บหินนั้นแล้วขี่มังกรเทียน
ในเมื่อมีหลายๆคนในโลกต่างมิติที่รู้ เขาไม่จำเป็นต้องถามสาวหิมะก็ได้ บางทีเขาค่อยกลับไปถามจักรพรรดินีตอนขากลับยังได้เลย
“นายได้รับพรแล้วละ”สาวหิมะไม่สนใจ เธอจู่ๆก็พูดขึ้นมาแล้วนำทางกลับไปยังปราสาทน้ำแข็ง
โจวเหวินเองก็เริ่มคิด ว่า”ได้รับพร”ที่ว่ามันหมายถึงอะไร แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
I บทที่ 940 คุมขังสาวหิมะ
พอกลับมายังปราสาทน้ำแข็ง สาวหิมะก็ใช้ระฆังนภาอีกครั้ง แต่หลังจากครั้งนี้ เธอดูอ่อนแอลงอย่างมาก
“แม้แต่ระดับความกลัวยังใช้พลังงานมหาศาลในการใช้ระฆังนภาเลยเหรอ ไม่รู้ว่าจักรพรรดินีจะเอาระฆังนภาไปทำไมกันนะ”โจวเหวินตอนนี้มั่นใจแล้วว่าเขาไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายข้ามมิติมายังสถานที่ที่จักรพรรดินีบอกไว้ตั้งแต่แรกแต่ระฆังนภานั้นเป็นระฆังที่เหมือนและเป็นแบบเดียวกับที่จักรพรรดินีอธิบายไว้เป๊ะๆ บางทีมันอาจจะเป็นระฆังเดียวกันก็ได้
ปราสาทน้ำแข็งถูกวาปเคลื่อนย้ายกลับมายังเขตภูเขาไฟอีกครั้ง พอนางมาถึง นางก็ออกจากปราสาทน้ำแข็งแล้วลดขนาดของปราสาทลงเหลือแค่ขนาดเท่าแหวนเพื่อเก็บปราสาทเอาไว้
โจวเหวินพาสาวหิมะลงไปยังเขตภูเขาไฟแล้วพูด “เอาละทีนี้ลงไปในน้ำเต้าได้แล้ว”
สาวหิมะขมวดคิ้วแล้วพูด “เจ้าเปิดประตูมิติก่อนซิ แล้วค่อยให้ข้าเข้าไปข้างในก็ยังได้”
“ถึงฉันจะไม่ค่อยฉลาดแต่ฉันก็ไม่ได้โง่นะ ถ้าฉันเปิดประตูมิติแล้วเธอเข้าไปในนั้น ฉันก็จะโดนทิ้งไว้ให้ตายที่นี้หน่ะซิ”โจวเหวินส่ายหัวทันที
สาวหิมะคิดซักพักก่อนจะพูด “ถ้างั้นก็เอาน้ำเต้ามาซิ”
สาวหิมะมั่นใจว่านางเองนั้นจะไม่โดนขังอยู่ในน้ำเต้าแน่นอน นางเลยไม่ได้ขัดขืนอะไรมาก
โจวเหวินมอบน้ำเต้าให้กับสาวหิมะ แล้วนางก็เข้าไปข้างในทันที
“โอเค งั้นฉันจะเปิดประตูมิติแล้วนะ รอซักแปปนะ เดี๋ยวฉันจะกลับไปที่โลกเดี๋ยวนี้ละ”โจวเหวินพูดแล้วหยิบน้ำเต้าขึ้นมาก่อนจะเก็บน้ำเต้านั้นกลับเข้าไปยังห้วงมิติแห่งความวินาศทันที
น้ำเต้านั้นอาจจะแตกได้แต่ห้วงมิติแห่งความวินาศเป็นสมบัติของเทพเคอัสในตำนาน โจวเหวินคิดว่าไม่ว่าสาวหิมะจะมีพลังมากแค่ไหน ยังไงก็คงทำลายห้วงมิติออกมาไม่ได้ง่ายๆอยู่แล้วว
สาวหิมะเองก็เหมือนจะไม่รู้ตัวเลยด้วยว่าตัวเองโดนย้ายเข้าไปอยู่ในห้วงมิติแห่งความวินาศแล้ว โจวเหวินเองก็ไม่ได้บอกด้วย โจวเหวินคิดว่าไว้ปล่อยเธอออกมาก่อนแล้วค่อยบอกก็ยังไม่สาย
แน่นอนที่โจวเหวินบอกว่าปล่อยนั้นคือปล่อยออกมาจากน้ำเต้า นางยังคงอยู่ในห้วงมิติต่อไป
โจวเหวินไม่รู้ว่าเขามาทันเวลา36ชั่วโมงไหม แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะช้าอีกต่อไปแล้ว เขารีบตรงไปยังปล่องภูเขาไฟที่เขาจากมาทันที
โจวเหวินนั้นหลอกสาวหิมะได้อย่างอยู่หมัด ตัวของเขาเองนั้นเปิดประตูมิติเองได้ซะที่ไหนละ ความจริงแล้วประตูมิติจะเปิดค้างเอาไว้36ชั่วโมงตั่งหาก ตอนที่โจวเหวินไปถึงที่นั้น โชคดีที่ประตูมิติยังคงเปิดคาเอาไว้อยู่ที่ โจวเหวินเลยรีบเข้าประตูมิติไปทันที แต่ในใจของเขา เขาก็ยังกังวลอยู่ ว่าถ้าเกิดการวาปขัดข้องหรือผิดพลาดขึ้นมา เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปโผล่ที่ไหนหรือจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
หลังจากการวาปที่ยาวนาน ในที่สุดโจวเหวินก็กลับมายังแท่นทองแดงประตูมิติต้นทาง โดยมีจิ้งจอกเก้าหางมองเขาอยู่ทำให้เขาดีใจมากๆ
“เรื่องที่ข้าไหว้วานเจ้าไป ได้นำส่งเรียบร้อยดีไหม”จิ้งจอก9หางถามกับโจวเหวิน
“ถึงจะมีเรื่องตะกุกตะกักไปบ้าง แต่สุดท้ายฉันก็ได้พบกับตี้ฉินและส่งมอบข้อความเรียบร้อยแล้ว”โจวเหวินพูดพร้อมคืนลูกแก้วจิ้งจอก9หาง
“เขาได้พูดอะไรไหม”จิ้งจอกเก้าหางถามอย่างลังเล
“เขาฝากให้ตอบกลับมาด้วย มีแค่คำเดียวเท่านั้น” โจวเหวินพูดคำที่ตี้ฉินบอกให้กับจิ้งจอก9หาง
จิ้งจอก9หางเองก็ดูตกใจมาก สีหน้าของมันนั้นแสดงความเป็นมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นซักพักใหญ่ๆมันก็อ้าปากแล้วกลืนลูกแก้วจิ้งจอก9หางกลับเข้าปากไป
“ไปซะเถอะ”จิ้งจอก9หางไม่ได้มีทีท่าจะฆ่าโจวเหวิน และไม่ได้ติดใจหรือสงสัยในคำพูดของโจวเหวินเลยว่ามันจะเป็นจริงหรือเท็จ
บางทีแล้วนางอาจจะยังขัดใจอยู่นิดๆ แต่พอได้ยินที่โจวเหวินพูดมา นางก็ไม่สงสัยอีกเลย เพราะว่าภายในคำนั้นมันมีความหมายมากกว่าที่คิด เป็นระดับของภาษาที่คนนอกไม่อาจเข้าใจได้เลย คำง่ายๆแค่นั้นก็ทำให้จิ้งจอก9หางเข้าใจได้มากมายเลยทีเดียว
โจวเหวินเองก็ไม่กล้าที่จะอยู่ตรงนั้นนาน ภายในภูเขาฉีซือนั้นมีระดับความกลัวมากมายไปหมด นอกเหนือจากจิ้งจอก9หางแล้ว มันต้องมีระดับความกลัวตัวอื่นแน่ๆ อย่างเช่นรูปปั้นเทพปีศาจที่โจวเหวินเคยเห็นก่อนหน้านี้ โจวเหวินเองก็สงสัยว่าบางทีพวกมันเองก็อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตต่างมิติด้วยเหมือนกัน
หลังจากออกมาแล้วโจวเหวินก็รีบออกมาจากหลูไท่ทันที
“เขาทำอะไรอยู่นะ ไม่ใช่ว่าเราวาปมาที่โลกแล้วเหรอ” สาวหิมะที่อยู่ในน้ำเต้าไม่ได้รู้สถานการณ์ภายนอกเลยแม้แต่น้อย แต่พอเวลาผ่านไปโจวเหวินยังไม่ถึงที่หมายอีกทำให้นางเริ่มสงสัย
“เอ้า ออกมาได้แล้ว”โจวเหวินเปิดปากน้ำเต้า
สาวหิมะตอนแรกก็ลังเลเล็กน้อยเพราะด้วยความที่นางเป็นระดับความกลัวในต่างมิติ การที่จะลงมาอยู่บนโลกนั้นพลังของนางจะโดนโลกนี้จำกัดพลังเอาไว้ ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรักษาระดับพลังโดยปรกติของนางไว้ได้
แต่ตอนนี้นางกลับไม่รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายโดนจำกัดพลังแม้แต่น้อย นางเลยไม่คิดว่าตัวเองมาอยู่ที่โลกแล้ว
แต่ในเมื่อโจวเหวินปล่อยเธอออกมาแล้ว เธอเลยไม่ทำลายน้ำเต้าแล้วออกมาจากน้ำเต้าแต่โดยดี
ทันทีที่เธอออกมาจากน้ำเต้า เธอก็พบว่ารอบตัวของเธอนั้นกลับกลายเป็นพื้นที่มิติว่างเปล่าที่ไร้พรมแดน และไม่เจอตัวโจวเหวินเลยแม้แต่น้อย ไม่เห็นโลกด้ววย ทำให้นางรู้ได้ทันทีว่านี้มันผิดปรกติแล้ว
“เจ้าทำอะไรน่ะ”สาวหิมะเปลี่ยนร่างกลายเป็นร่างความกลัวทันทีก่อนจะยิงลำแสงขึ้นฟ้า เพื่อให้รู้ก่อนว่านางอยู่ที่ไหนกันแน่
แต่แสงเยือกแข็งนั้นถูกยิงออกไปโดยไม่มีเป้าหมาย รอบตัวของนางนั้นไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆทั้งนั้น แสงเยือกแข็งเองก็พุ่งตรงไปอย่างไร้จุดหมาย มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น ทำให้สาวหิมะหน้าเสียเข้าไปใหญ่
“ที่นี้ละคือโลก เรามาถึงโลกแล้ว แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เธอโดนพลังของโลกกดทับ ทำให้ฉันต้องหาที่อยู่ชั่วคราวให้กับเธอ เพื่อให้เธออยู่ในนั้นชั่วคราวได้อย่างสงบยังไงละ”โจวเหวินพูด
“เจ้ารู้ตัวใช่ไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่ ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นถ้าข้าออกไปได้เมื่อไร เจ้าก็คงรู้ว่ามันจะจบยังไง”สาวหิมะพูดด้วยความโกรธหน้าตาย
โจวเหวินเองก็ไม่ได้โกรธ เขาพูด “โถ่ ฉันอุส่าห์หาที่ดีๆให้ เธอก็ควรจะจ่ายค่าเช่าสถานที่ฉันบ้างนะไม่ใช่จะฆ่าแกงกันอย่างเดียว”
“เจ้าตายแน่”สาวหิมะอัญเชิญปราสาทน้ำแข็งออกมาทันที
ปราสาทน้ำแข็งนั้นค่อยๆใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆในห้วงมิตินั้นแล้วกลับกลายเป็นขนาดปรกติ จากนั้นนางก็เดินเข้าไปในปราสาทแล้วหยิบระฆังนภาออกมา
โจวเหวินเองก็ไม่ได้กลัวอะไร เพราะถึงนางจะเคลื่อนย้ายมิติไปมาในห้วงมิติได้แต่ยังไงเธอก็ออกมาจากที่นี้ไม่ได้อยู่ดี ตอนนี้ระฆังอยู่ในมือของเขาแล้ว โจวเหวินสามารถเอาตัวของนางไปให้จักรพรรดินีแล้วให้จักรพรรดินีจัดการด้วยตัวเองเลยก็ได้
สาวหิมะลั่นระฆัง พยายามจะวาปออกจากห้วงมิติให้ได้ แต่หลังจากสั่นแล้วสั่นอีก เธอก็พบว่าปราสาทน้ำแข็งนั้นยังคงอยู่ที่เดิมวาปออกไปไม่ได้นั้นทำให้เธอตกใจและโกรธมากทันที
เธอไม่รู้จักห้วงมิติของโจวเหวินมาก่อน และเธอก็ไม่สามารถออกไปจากที่นี้ได้ด้วย ตอนนี้เธอเลยโดนขังอยู่ในนี้ต่อไป
พอเห็นว่าเธอออกมาไมได้โจวเหวินก็เริงร่าแล้วพูด “อื้ม คิดอีกทีแล้วถ้าเกิดเอาระฆังนภามาให้ฉันก่อนละก็ บางทีฉันอาจจะอารมณ์ดีปล่อยเธอไปก็ได้นะ”
“ฝันไปเถอะ”สาวหิมะโกรธจัดๆ เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมาลงเอยอยู่ในเงื้อมมือของโจวเหวิน
I บทที่ 941 ผลไม้สุก
“ระฆังอยู่ที่ไหน?”ตอนแรกโจวเหวินว่าจะพูดอะไรบางอย่างกับสาวหิมะต่อ แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงจักรพรรดินีดังขึ้นมาในหัว
“จักรพรรดินี มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นนิดหน่อยน่ะ ตอนฉันโดนย้ายมิติมันส่งฉันไปผิดที่ แล้ววฉันก็ไม่ได้เจอหอคอยที่บอกด้วย”โจวเหวินตอบ
“เป็นไปไม่ได้ แท่นทองแดงนั้นสามารถวาปไปได้แค่สถานที่เดียวนี้ นายต้องได้เจอหอคอยสูงแน่ๆ”ถึงแม้ว่าจักรพรรดิจะบอกแบบนั้น แต่เธอเองก็คิดเผื่อไว้ด้วย
เพราะว่าเธอไม่เห็นแพทย์ปีศาจถือระฆังออกมา และระฆังนั้นต้องถือโดยคนที่เป็นระดับความกลัวหรือสัตว์อสูรที่กินผลไม้เทพไปเท่านั้น กระเป๋าหรือที่จัดเก็บธรรมดานั้นไม่สามารถใช้กับระฆังได้
“นี้ฉันพูดความจริงนะ”โจวเหวินทวนความจำของตัวเองทันที
ตอนที่จักรพรรดินีได้ยินคำบอกเล่าถึงสภาพแวดล้อมบริเวณภูเขาไฟ นางเองก็เชื่อขึ้นมานิดนึง การที่จะเดินทางไปที่นั้นจากโลกหรือแม้แต่ต่างมิติเข้าไปได้นั้นมันยากมากๆ ถ้าโจวเหวินไม่เคยไปจริงๆ เขาก็ไม่มีทางอธิบายลายละเอียดได้ถูกต้องขนาดนี้แน่นอน”
“แปลกแหะ แล้วทำไมถึงวาปไปอยู่ที่นั้นละ”ในถ้ำแห่งหนึ่ง จักรพรรดินีพึมพัมอยู่คนเดียว ตอนนี้เธอคิดไปเองแล้วว่าโจวเหวินนั้นเอาระฆังกลับมาไม่ได้
สถานที่ที่เธอขอให้โจวเหวินไปนั้นอยู่ในโลกต่างมิติ แต่ที่โจวเหวินไปนั้นมันอยู่อีกที่นึงเลย ซึ่งก็ถูกแล้วที่จะไม่เจอหอคอยสูงแล้วเอาระฆังกลับมาไม่ได้
“ไม่ซิ ถ้านายเข้าไปในนั้นไม่ได้ แล้วทำไมนายถึงช่วยส่งข้อความให้จิ้งจอก9หางได้ละ”จักรพรรดินีตตอบทันที
ตอนที่โจวเหวินได้ยินจักรพรรดินีพูดแบบนั้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในภูเขาฉีซือนั้น ไม่อาจปิดบังจากนางได้ โชคยังดีที่ตอนที่โจวเหวินคุยกับสาวหิมะนั้น มันเกิดขึ้นภายในจิตใจของเขาเอง มันไม่น่าจะโดนจักรพรรดินีจับได้หรอก เขาเลยพูดต่อ “ฉันยังพูดไม่จบเลย คืองี้ หลังจากที่ฉันเข้าไปในเขตภูเขาไฟแล้วฉันก็เห็นยอดเขาขนาดใหญ่มากๆ เหมือนเสาค้ำยันสวรรค์เลย สูงขึ้นไปเสียดฟ้า ฉันเลยนึกว่ามันคือหอคอยที่เธอพูดถึง ฉันเลยปีนขึ้นไป แต่ใครมันจะไปคิดละว่าฉันจะไม่เจอหอคอย แต่ไปเจอปราสาทน้ำแข็งแทน…”
โจวเหวินพูดจริงเพียงครึ่งเดียว แล้วปรับแก้นิดๆหน่อยๆ เขาไม่ได้บอกเรื่องของระฆังนภาแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่ได้บอกด้วยว่าเขาจับตัวราชินีเหมันต์กลับมาที่โลกนี้ด้วย
“สิ่งที่นางต้องการคือระฆังในหอคอยแต่นี้มันไม่ใช่ระฆังในหอคอย ดังนั้น ถ้าเกิดอะไรขึ้นยังไงมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการแน่นอน”โจวเหวินคิดในใจ เขาคิดจะเก็บระฆังนภาไว้กับตัวเองคนเดียว
จักรพรรดินีมองโจวเหวินเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียดแล้วก็รู้ว่าโจวเหวินนั้นน่าจะเดินทางข้ามมิติผิดพลาดจริงๆ และความเป็นไปได้ที่เขาจะพูดจริงมันก็มีสูง
“ไม่คิดมาก่อนเลยว่าแท่นทองแดงจะวาปผิดพลาดได้ด้วย น่าแปลกจริงๆ ได้ทำอะไรระหว่างการวาปรึเปล่า”จักรพรรดินีถามหยั่งๆ
“จะให้ทำอะไรได้ละ ทำได้แค่รอเท่านั้นละ”โจวเหวินพูด
จักรพรรดินีเองก็คิดซักพัก แล้วรู้สึกด้วยกำลังของโจวเหวินตอนนี้ยังไงก็คงไม่พอจะไปป่วนกระแสของมิติทำให้การวาปขัดข้องได้ แถมเขาเองก็ไม่น่าจะโง่ทำการวาปพังซะเองด้วย
ในเมื่อหาเหตุผลไม่ได้จักรพรรดินีจึงไม่พูดอะไร รอให้โจวเหวินเดินออกไปจนถึงด้านนอกของภูเขาฉีซือ ต่อหน้าดอกไม้จักรพรรดินี ก่อนที่นางจะพูด “สาบานกับดอกไม้มาซิว่านายไม่ได้ระฆังนั้นมา”
ถึงแม้ว่าจักรพรรดินีจะรู้สึกว่าโจวเหวินพูดความจริงแล้ว แต่นางก็ยังไม่วางใจโจวเหวินขนาดนั้น
โจวเหวินเองก็ไม่ลังเล เขายกมือขึ้นแล้วสาบาน “ฉันสาบานเลย รอบนี้ฉันไม่เห็นหอคอยแม้แต่นิดเดียว แล้วก็ไม่ได้ระฆังในหอคอยมาด้วย ถ้าฉันโกหกละก็ ขอให้ชีวิตฉันมีอันเป็นไปเลย”
ตู้ม!
สายฟ้าผ่าลงมากลางอากาศ ดูเหมือนพลังของคำมั่นสัญญากำลังจะเกิดผล แต่โจวเหวินกลับปลอดภัยดี จักรพรรดินีเลยเชื่อเขา
“ถ้างั้น ท่านจักรพรรดินี ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำแล้วฉันกลับก่อนนะ”โจวเหวินออกจากภูเขาฉีซือไปแล้วกลับไปที่มหาลัย
ถึงแม้ว่าจักรพรรดินีจะยังรู้สึกตะงิดๆใจอยู่นิดหน่อย แต่นางเองก็ยังหาไม่เจอว่ามันผิดพลาดตรงไหน
โจวเหวินออกจากภูเขาฉีซือ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่มาก ถึงแม้ว่าการเดินทางไปยังโลกต่างมิติครั้งนี้ของเขาจะเฉียดเป็นเฉียดตายอยู่หลายครั้ง แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้กลับออกมามือเปล่า ตอนนี้เขามีราชินีเหมันต์(สาวหิมะ) อยู่ในกำมือและอีกไม่นาน เขาก็จะได้กระดิ่งนภามาด้วยเหมือนกัน
แต่ที่โจวเหวินตกใจก็คือ สาวหิมะนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลจากการจำกัดพลังของโลกในห้วงมิติแห่งความว่างเปล่าเลยแม้แต่น้อย
จนถึงตอนนี้สาวหิมะก็ยังไม่ออกมาจากปราสาทน้ำแข็งดูเหมือนเธอกำลังหาทางหนีออกมาจากห้วงมิติอยู่ แต่แม้แต่ระฆังนภายังใช้ไม่ได้ โอกาสที่เธอจะหนีออกมาได้ก็แทบจะเป็น0 โจวเหวินเองไม่ต้องห่วงอะไรมาก
ก่อนที่จะถึงมหาลัยโจวเหวินได้รับข้อความจำนวนมากจากทั้งหลี่ซวน หวางลู่ แม้แต่ฉางหยูฉีก็ด้วย ตอนที่โทรศัพท์เขากลับมามีสัญญาณ
โจวเหวินต้องข้อความกลับไปบ้างแล้วพบว่าตอนที่เขาไม่อยู่นั้นเกิดเรื่องหลายๆอย่างขึ้นเหมือนกัน แต่ที่สำคัญมากที่สุดนั้น ตอนนี้ในตารางจัดอันดับ มีผู้พิทักษ์อีกตัวปรากฏกายขึ้นมาแล้ว ที่น่าตกใจมากกว่านั้น ผู้พิทักษ์ตัวนั้นมีรูปร่างและชื่อของมันคือเทพบุพผาอีกตั่งหาก
“ดูเหมือนเจียงหยานเองจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้วซินะ”โจวเหวินคิดกับตัวเอง
แต่ถึงอย่างนั้นอันดับของเทพบุพผาเองก็ยังสู้กับผู้พิทักษ์อีก2ตัวที่อยู่นำหน้าไม่ได้ เพราะยังไงตอนนี้มันยังไม่มีการประลองระหว่างผู้พิทักษ์เกิดขึ้นเลย
แต่โจวเหวินเองก็รู้ดีว่าจริงๆแล้วการประลองระหว่างผู้พิทักษ์นั้น มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะยังไง ไม่ช้าก็เร็วสงครามก็จะปะทุขึ้นอยู่ดี
ในช่วงท่านมานั้นโจวเหวินเองก็อยากจะเข้าใจอะไรหลายๆอย่างเหมือนกัน ผู้พิทักษ์ส่งมาที่โลกเพื่อเป็นตัวแทนของเผ่าพันธ์จากต่างมิติ เข้าห่ำหั่นกันเพื่อแย่งชิงอำนาจในการควบคุมโลก พวกมันไม่ได้อยากมาเพื่อทำลายโลกนี้ทิ้ง และอื่นๆอีกมากมายที่ยังคงเป็นปริศนาในลูกบาศนั้น
โจวเหวินตอนนี้เริ่มรู้สึกแล้วว่าการปะทะกันในลูกบาศนั้นแท้จริงแล้วมันเป็นของผู้พิทักษ์หาใช่สัตว์อสูรไม่
“น่าเสียดายที่ฉันยังไม่เป็นระดับเร้นลับ ฉันยังเข้าร่วมการประลองไม่ได้ ถ้าฉันอยากจะฆ่าพวกผู้พิทักษ์คงต้องไปตามหาแล้วฆ่าในชีวิตจริงเอาเอง”โจวเหวินคิดในใจ
“กลับรึยัง”ข้อความเด้งขึ้นมา คนที่ส่งมานั้นคือหยาเอ๋อ ที่น่าจะเห็นว่าโจวเหวินกำลังออนไลน์อยู่ เลยรู้ได้ว่าโจวเหวินกำลังกลับมาแล้ว
โจวเหวินรีบตอบข้อความ “กำลังจะกลับแต่ยังไม่ถึงเมืองเลยเดี๋ยวจะไปรับเดี๋ยวนี้ละ”
“หนูรออยู่นะ”หยาเอ๋อตอบ
โจวเหวินเดินทางกลับไปที่คฤหาสต์ตระกูลอันก่อน เขาอยากจะไปรับตัวของหยาเอ๋อกลับก่อน
แต่ตอนที่เขาเดินอยู่นั้นเอง จู่ๆโทรศัพท์ปริศนาของเขาก็สั่นขึ้นมา โจวเหวินตกใจนึกว่ามีพื้นที่ต่างมิติใหม่ปรากฏขึ้นมาในแถบนี้ แต่ตอนที่เขาเอาโทรศัพท์ออกมาดู ปรากฏว่าต้นไม้แห่งความตายตอนนี้ผลของมันได้สุกงอมแล้ว
“เสี่ยจิวหวงได้ที่แล้วเหรอ”โจวเหวินคาดหวังกับผลไม้ของเสี่ยจิวหวงมาก
ยังไงเสี่ยจิวหวงตอนที่ตายก็กลายเป็นระดับเร้นลับไปแล้วหลังจากที่กลืนกินและรวมพลังและวิญญาณชีวิตทั้ง9เข้าด้วยกัน เป็นวิธีการที่คนธรรมดาไม่อาจทำได้แน่นอน
เสี่ยจิวหวงเองก็มีสกิลหลากหลายมมากๆ ถ้าเกิดว่าทุกอย่างนั้นถูกผสานกันกลายเป็นสัตว์อสูรตัวเดียวละก็ พลังของมันคงต้องสุดยอดแน่ๆ
กุญแจที่สำคัญจริงๆคือ สัตว์อสูรทุกตัวที่เกิดจากต้นไม้แห่งความตายนั้น มีความโดดเด่นที่ต่างกันทุกตัว โจวเหวินเองก็รู้สึกได้เหมือนกันว่าต้นไม้แห่งความตายคงไม่ทำให้เขาผิดหวังแน่ๆรอบนี้ เขาเลยเดินตรงเข้าไปที่ผลไม้บนต้นแห่งความตายทันที
I บทที่ 942 ราชมาร
ผลไม้แห่งความตายผลนี้ก็ดูต่างออกไปเช่นกัน ผลนี้เป็นสีดำถ่าน โจวเหวินเด็ดผลไม้ออกมาทันทีแล้วดูค่าความสามารถ
ราชมาร : ระดับตัวอ่อน (พัฒนาได้)
พลัง 11
ความเร็ว 11
ร่างกาย 11
พลังงานลมปราณ 11
สกิล กลืนวิญญาณ
สถานะสวมใส่วิญญาณ
“สถานะสวมใส่วิญญาณแบบเดียวกับแพทย์ปีศาจเลย หรือก็คือ ถ้าเกิดเชื่อมต่อกับฉันแล้ว ค่าความสามารถของฉันก็จะแกร่งขึ้นแล้วทำให้ฉันใช้สกิลของสัตว์อสูรได้ด้วยซินะ น่าเสียดายที่มันเป็นแค่ระดับตัวอ่อน ถึงจะพัฒนาได้ก็เถอะ แต่มันก็ต้องเสียเวลากว่าจะเป็นระดับเร้นลับได้ก็ใช้เวลานานโขเลย”โจวเหวินลองศึกษาสกิลที่มีเพียงสกิลเดียวดู สกิลกลืนวิญญาณนั้นพอลองดูไปดูมา สกิลนี้มันใช้งานจริงๆไม่ค่อยได้เท่าไร แต่ถ้าใช้ได้มันโคตรโกงเลย
สกิลกลืนวิญญาณนั้นจะใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับเดียวกัน และอัตราความสำเร็จก็ต่ำสุดๆด้วย โอกาสสำเร็จไม่ถึง1ใน10 แต่ถึงแม้ว่าจะอยากเสี่ยงดวงขนาดไหน มันก็ใช้ได้กับแค่ระดับเดียวกัน แถมยังอาจจะมีผลข้างเคียงอีกด้วย
ถ้าเกิดไปใช้กับสิ่งมีชีวิตที่ระดับสูงกว่าละก็โอกาสพลาด100%แน่นอน
แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าเกิดสำเร็จขึ้นมา สกิลกลืนวิญญาณก็เป็นสกิลที่น่ากลัวและโคตรโกงมากๆสกิลนึงเลย
ถ้าเกิดใช้สกิลกลืนวิญญาณติดละก็ เราจะมีโอกาสได้รับสกิลของอีกฝ่ายมา1สกิล หรือง่ายๆก็คือการมีสกิลกลืนวิญญาณแค่สกิลเดียว เท่ากับการมีสกิลไม่จำกัด ถ้าเกิดอยากได้สกิลไหนก็แค่ไปนั่งฟาร์มนั่งกินสิ่งมีชีวิตต่างมิติที่อยากได้สกิลจนได้สกิลนั้นมา
ถ้าเกิดทำให้มันกลายเป็นระดับเร้นลับได้แล้วผสมกับสกิลที่ไร้ขีดจำกัดของมันละก็ มันจะกลายเป็นตัวที่น่ากลัวมากๆเลย
“ไม่รู้ว่าพลังชีวิตกับวิญญาณชีวิตแล้วก็กงล้อแห่งโชคชะตาของมันจะออกมาเป็นยังไงนะ มันจะทำให้โอกาสกลืนวิญญาณสำเร็จเยอะขึ้นรึเปล่า”โจวเหวินคิด แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
โจวเหวินฟังผลไม้ของราชมารออกมาแล้วเห็นปีศาจเสื้อสีดำสวมหน้ากากสีขาวปรากฏตัวต่อหน้าโจวเหวิน
เสื้อของมันนั้นเหมือนกับชุดผ้าคลุมของปีศาจ หน้ากากที่มันใส่นั้นเป็นสีขาวนวล เหมือนกับกระดูกหรืองาช้างแกะสลักดูแปลกตามากๆ โจวเหวินลองให้มันกินไข่สัตว์อสูรดู ราชมารเองก็ใช้สกิลกลืนวิญญาณเข้าไปทันที มันจับไข่สัตว์อสูรระดับตำนานแล้วยัดเข้าปาก
ตู้ม!
ราชมารตัวระเบิดออกทันที ร่างกายของมันตอนนี้ยังรับแรงกดดันลลมปราณของไข่ระดับตำนานไม่ไหว
“โชคดีนะเนี่ยที่มาลองในเกมส์ ถ้าเป็นนอกเกมส์แล้วจู่ๆมันตายแบบนี้คงได้เสียดายตายเลย ช่วงนี้คงต้องให้ไข่สัตว์อสูรระดับตัวอ่อนให้มันกินไปก่อนละนะ รอให้มันกลายเป็นระดับตำนานก่อนแล้วค่อยๆให้มันกินไป”โจวเหวินเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมานิดหน่อย
ไข่สัตว์อสูรระดับตำนานหรือมหากาพย์นั้น มันไม่ได้หายากเลยจริงๆ แต่ไข่ระดับตัวอ่อนนั้นมันหายากมากๆ โอกาสที่ไข่สัตว์อสูรระดับตัวอ่อนจะดรอปนั้นมันต่ำมากๆถ้าเกิดจะซื้อมันด้วยราคาเงินจริง ราคาที่ต้องจ่ายก็จะสูงมากและไม่ใช่ว่าจะซื้อได้ง่ายๆ
“หวังว่าจะไม่ต้องใช้ไข่เยอะนะกว่าจะเลื่อนเป็นระดับตำนานหน่ะ”โจวเหวินเลิกให้อาหารราชมารแล้ว เพราะว่าเขาไม่ได้มีไข่สัตว์อสูรระดับตัวอ่อนอยู่อีกแล้ว เขาเลยคิดว่าจะไปหาซื้อมาเพิ่มทีหลังหรือไม่ก็ไปฟาร์มหามา
หลังจากที่เข้ามาในคฤหาสต์ตระกูลอัน อันเทียนโจกับอาเซิงไม่ได้อยู่ที่นี้ โจวเหวินเห็นแค่อันหลานหยางกับหยาเอ๋อ ตอนที่เขาเห็นหยาเอ๋อครั้งนี้เขาแทบจะจำหยาเอ๋อไม่ได้
ตอนนี้เธอใส่เสื้อเหมือนเจ้าหญิงสีชมพูมีปิ่นปีกผีเสื้อขนาดใหญ่ติดอยู่บนผม กำลังถือตุ๊กตาบาร์บี้เด็กเล่นในมือแล้วนั่งอยู่บนโซฟาแบบไร้สีหน้าตามปรกติ
“เป็นไงละจ้ะ น่ารักไหม ฉันทุ่มสุดตัวในการแต่งให้กับแม่หนูน้อยจนสวยสดเลยนะ น่ารักจนพูดไม่ออกเลยละซิ”อันหลานหยางพูดอย่างภูมิใจ
“งั้นผมขอเธอกลับเลยนะครับ”ถึงแม้ว่าโจวเหวินจะไม่ได้มีความเห็นอะไรกับเรื่องนี้แต่มันก็ดูต่างจากเสื้อผ้าที่หยาเอ๋อใส่อยู่ประจำอยู่แล้ว อีกอย่างเขาเองเหมือนจะรู้เหตุผลแล้วว่าทำไมหยาเอ๋อถึงส่งข้อความมาหาเขาทันทีที่เห็นเขาออนไลน์
“ทำไมรีบจังละจ้ะ ให้หนูหยาเอ๋ออยู่ที่นี้ต่ออีกหน่อยซิ ฉันวางแผนที่จะพาเธอไปเที่ยวสวนสนุกด้วยนะ”อันหลานหยางพูด
ก่อนที่โจวเหวินจะได้พูดอะไร หยาเอ๋อก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากโซฟา ตรงมาหาโจวเหวินด้วยตัวเองเหมือนกับว่าจะกลับกับโจวเหวินให้ได้
“ไว้ครั้งหน้านะครับ”โจวเหวินพูด
พอเห็นหยาเอ๋ออยากจะกลับขนาดนั้น อันหลานหยางเองก็ไมได้บังคับให้เธออยู่ต่อ แต่เธอก็สั่งให้คนขนของทั้งหมดที่เธอซื้อให้หยาเอ๋อแล้วสั่งให้คนขับรถไปส่งพวกเขาถึงหอพัก
โจวเหวินเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากล่องเล็กกล่องใหญ่ที่ซื้อมานั้นมันคืออะไร เพราะว่ามันเป็นของๆหยาเอ๋อเขาเลยไม่พูดอะไรแล้วพวกเขาก็พากันกลับ
หลังจากที่กลับมาที่หอแล้วหยาเอ๋อก็เปลี่ยนชุดกลับไปเป็นชุดปรกติที่เธอใส่
“มีเรื่องอะไรกับตระกูลอันรึเปล่า”โจวเหวินถามหยาเอ๋อ
หยาเอ๋อส่ายหัว “ไม่มี พี่หลานหยางดูแลหนูดีมาก”
“ก็ดีแล้ว”โจวเหวินถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่พอได้ยินว่าหยาเอ๋อเรียกอันหลานหยางว่าพี่หลานหยางแล้วเขาก็ขนลึกขึ้นมานิดหน่อย “อันหลานหยางคงบังคับให้เรียกแบบนั้นแน่ๆเลย คนอะไรไม่ยอมแก่ไม่พอ ไม่ยอมรับว่าตัวเองแก่ด้วย”
โจวเหวินวางแผนว่าจะพาหยาเอ๋อไปเดินเล่นอีกรอบ วิญญาณชีวิตประกายดาวนั้นจำเป็นต้องให้โจวเหวินออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆเพื่อให้เลื่อนเป็นขั้นสมบูรณ์ ส่วนวิชาการเลื่อนขั้นของยาดาบนั้น โจวเหวินเองก็ยังคิดไม่ออก แต่ตอนนี้เขาเองก็กำลังฟาร์มผลึกพลังงานต่อไป ก่อนที่จะออกจากลั่วหยาง โจวเหวินวางแผนที่จะเรียนรู้สกิลเพิ่มก่อน เพราะว่าหลังจากที่วิญญาณชีวิตของวิชาเลือดอสูรพึ่งจะพัฒนาเป็นขั้นสมบูรณ์ ทำให้ค่าร่างกายของโจวเหวินนั้นเพิ่มเป็น41 และทำให้เขาสามารถเรียนรู้สกิลระดับเร้นลับได้เยอะเลย
โจวเหวินลองไล่สกิลระดับเร้นลับที่เรียนรู้ได้ออกมา
ผลึกของผีผาหยก ค่าร่างกาย 41 ค่ามิติ 21
ผลึกของวัวยักฆ์ต้าเหว่ย ค่าร่างกาย 41 ค่าพลังงาน 41
ผลึกเต่าเหล็กทมิฬ ค่าพลังงาน 41 ค่าร่างกาย 41
ผลึกอสูรนภาไพลิน ค่าร่างกาย 41 ค่ามิติ 21
ผลึกมังกรดำ ค่าร่างกาย41 ค่าพลังงาน 41
โจวเหวินคาดหวังมากๆ ผลึกสกิลระดับเร้นลับทั้ง5ลูกนั้นสามารถดูดซับได้ในโลกความเป็นจริง สกิลระดับเทพพวกนี้ ถ้าเกิดดรอปในเกมส์ละก็มันจะโดนรีเซตทิ้งทันที เพราะว่าตอนนั้นยังดูดซับไม่ได้
แต่ผลึกที่เขามีในโลกความเป็นจริงนั้น ขอแค่รอค่าความสามารถึงเขาก็สามารถใชได้แล้ว
โจวเหวินคิดอยู่ซักพักก่อนจะเริ่มดูดซับผลึกของผีผาหยกเพราะว่าค่าความสามารถของมันนั้นถึงแล้วทำให้การดูดซับเป็นไปได้อย่างง่ายดาย ผลึกของผีผาหยกกลายไปเป็นลมปราณแล้วเริ่มไหลเวียนในร่างของโจวเหวิน
“ดูดซับผลึกผีผาหยก ทำการเรียนรู้สกิลระดับเร้นลับ เสียงพิณสะท้าน
โจวเหวินได้ข้อมูลมานิดหน่อย ซึ่งจากที่โจวเหวินรู้ และคิดเอาไว้ มันเป็นสกิลสายมิติไม่ใช่สายเสียงดนตรี แต่ถึงอย่างนั้น การจะใช้สกิลนี้ได้จำเป็นต้องมีอาวุธเป็นเครื่องสายซะก่อน ถ้าไม่มีก็ใช้สกิลนี้ไม่ได้ เครื่องดนตรีปรกติก็ใช้ไม่ได้ เพราะว่าเครื่องดนตรีพวกนั้นรับแรงกระแทกของลมปราณระดับเร้นลับไม่ได้ สายพิณจะขาดทันทีที่ใช้ แต่โชคยังดีที่โจวเหวินมีฮาร์ปทองคำให้ลองดูได้อยู่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น