I Just Want To Play Games Quietly ฉันก็แค่อยากเล่นเกมเงียบๆเท่านั้นเอง 813-829

 813 อยากเจ็บตัว


โจวเหวินใช้ผ้าคลุมล่องหนหายตัวอยู่แบบนั้นก่อนจะใช้กรงล้อแห่งโชคชะตาหายตัวสมบูรณ์3นาทีเพื่อออกจากร้านของฉินซือหยวน เขาไม่ได้เปิดกล่องโลหะนั้นออกมา


เหตุผลข้อแรกคือมันเปิดไม่ทัน ข้อที่2คือที่สัตว์อสูรผมเงินพูดมานั้นมันเป็นแค่คำพูดเท่านั้น มันไม่มีอะไรยืนยันชัดเจนได้เลย โจวเหวินเลยไม่เปิดจะดีกว่า


จนถึงตอนนี้โจวเหวินก็ยังไม่รู้ความหมายของรูปสมอเรือกับหน้าผู้หญิงนั้นมันหมายความว่ายังไง เพราะรูปนั้นมันสลักเอาไว้บนกล่องโลหะด้วยเขาเองก็ควรจะรู้ความหมายของมันได้แล้ว


ตอนแรกโจวเหวินว่าจะหาโอกาสถามสัตว์อสูรผมเงินรอบหน้า เพื่อให้มั่นใจก่อนจะเปิดกล่อง เพราะยังไงรหัสผ่านนั้นก็มีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้เป็นไปไม่ได้เลยที่คนอื่นจะเปิดมันออกได้


หลังจากที่โจวเหวินกลับหอมาแล้ว โจวเหวินก็โล่งใจที่เห็นละมั่ง3ตา หยาเอ๋อแล้วก็เจ้านกอ้วน นอนดูทีวีกันพร้อมหน้าพร้อมตา


หยาเอ๋อกับเจ้านกนั้นเคยเจอกันมาก่อนอยู่แล้ว โจวเหวินตอนแรกกลัวว่าละมั่งจะตีกับหยาเอ๋อ กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น


โจวเหวินยังไม่อยากเห็นเหตุการณ์ที่มหาลัยซีหยางโดนแมลงมหาศาลบุก แต่พอลองมาคิดๆดูแล้ว แมลงส่วนมากนั้นมาจากเขตแดนใต้ มันไม่ได้มีอยู่ทุกที่ขนาดนั้น เพราะงั้นการจะสื่อสารกับแมลงได้นั้น จะต้องมีแมลงซะก่อน แต่ที่นี้แทบไม่มีแมลงเลย เพราะงั้นถึงเธออยากจะควบคุมแมลง แต่ก็คงควบคุมแมลงจำนวนมหาศาลแบบนั้นไม่ได้แน่ๆ


พอลองคิดๆดูแล้ว โจวเหวินเองก็กลัวหยาเอ๋อจะกินละมั่งเหมือนกัน


ในทางกลับกัน โจวเหวินรู้สึกได้ว่าหยาเอ๋อนั้นดูดีกว่ามากถ้าเทียบกับ ละมั่ง3ตาที่ดูจะหงุดหงิดง่ายหน่อย โจวเหวินเลยไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไรเลย


แต่เพราะว่าละมั่งนั้นแอบๆจะเอาแน่เอานอนไม่ได้  แถมมันยังมีพลังมหาศาลด้วย โจวเหวินนั้นตอนแรกก็อยากจะไล่มันไปแต่เห็นพลังของมันแล้วก็ได้แต่ยอมๆไปก่อน


“ถ้าสัตว์อสูรผมเงินนั้นไม่ได้โกหก สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกตอนนี้ก็ยังเป็นแค่ขั้นความกลัวซินะ ถ้านอกเหนือจากนั้นคือพลังที่ผู้พิทักษ์ผสานร่างกับมนุษย์รวมกันจนทะลุขั้นความกลัวไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังต้องหาทางก้าวไปเป็นระดับเร้นลับให้ได้ก่อน ไม่งั้นก็เปล่าประโยชน์” โจวเหวินเปิดเกมส์แล้วไปฟาร์มต่อ ตอนนี้เขาอยากจะพัฒนาวิญญาณชีวิตไข่แห่งความวินาศให้เร็วที่สุด


ยิ่งบาดแผลรุนแรงมากเท่าไร ยิ่งแปลกเท่าไร ไข่แห่งความวินาศก็จะพัฒนาตัวเองเร็วขึ้นเท่านั้น โจวเหวินเลยไปสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับเร้นลับทั้งหลายแล้วเอา “ตัวเอง” ไปรับการโจมตีให้เจ็บสาหัส หลังจากนั้นก็ใช้ไข่แห่งความวินาศรักษากลับมา


โชคไม่ดีที่การบาดเจ็บแบบเดิมๆ ใช้พัฒนาไข่แห่งความวินาศได้แค่ครั้งเดียว เพราะงั้น โดนบาดแผลแบบเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ได้ โจวเหวินเลยต้องเป็นมาโซคิสต์พยายามหาอาการบาดเจ็บใหม่ๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า


ในตอนนั้นเอง ตัวละครของโจวเหวินยังงคงอยู่ในไข่ ตอนที่ไข่แห่งความวินาศกำลังจะพัฒนาการ โจวเหวินก็รู้สึกได้เลยว่าพลังงานลมปราณในไข่นั้นมันกำลังเปลี่ยนแปลงไปเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่า มันเข้มข้นมากกว่า ทำให้ร่างกายรักษาได้ดีขึ้นมากกว่า หลังจากนั้นไม่นาน พลังงานลมปราณในไข่แห่งความวินาศ  ก็เริ่มก่อตัวกันจนกลายเป็นหมอก หมอกนั้น ก่อตัวกันจนกลายเป็นหยดน้ำค้าง และหยดน้ำค้างก็กลายเป็นของเหลวค่อยๆรวมตัวกันจนท่วมเต็มไข่


ในตอนนี้เอง ที่ไข่แห่งความวินาศนั้นได้พัฒนาร่างสำเร็จกลายเป็นระดับพัฒนา


โจวเหวินที่อยู่ในไข่นั้นรู้สึกได้ชัดเจนเลยว่า ของเหลวในไข่นั้น เป็นพลังงานมหาศาลรูปแบบหนึ่ง พลังงานนั้นมันแข็งแกร่งกว่าพลังงานรูปแบบไหนๆ ในทุกด้าน


แต่พอลองอ่านข้อมูลของไข่แห่งความวินาศดูแล้ว โจวเหวินก็พบว่า มันกลายเป็นขั้นพัฒนาจริงๆ แต่ชื่อของมันก็ไม่เปลี่ยน ยังคงเป็นไข่แห่งความวินาศ ซึ่งมันต่างจากวิญญาณชีวิตอื่นๆ


โจวเหวินลองบาดเจ็บอีกครั้ง แล้วเข้าไปในไข่แห่งความวินาศเพื่อรักษา แต่การรักษานั้นเร็วกว่าปรกติเยอะมากๆ


“ไข่แห่งความวินาศนี้มันจะมีดีแค่การรักษาจริงงๆเหรอ”โจวเหวินไม่ได้ผิดหวังเท่าไร เพราะการรักษาแบบนี้มันรักษาด้วยความเร็วระดับเดียวกันกับที่หลี่ซวนทำได้เลยเพียงแค่ว่าหลี่ซวนนั้นสามารถรักษาตัวเองตอนสู้ได้ ในขณะที่ไข่แห่งความวินาศนั้นโจวเหวินสู้ไปด้วยไม่ได้ เขาทำได้แค่หดอยู่ในไข่แล้วรักษาอย่างเดียว


แต่โจวเหวินก็ไม่ได้แคร์อะไรมากอยู่แล้ว ตอนนี้เขาตั้งใจที่จะพัฒนาไข่แห่งความวินาศให้เป็นขั้นสมบูรณ์ก่อน โจวเหวินเลยเข้าไปโดนกระทืบต่างๆนานาในเกมส์ให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้


ถึงแม้ว่าเขาจะยังเป็นขั้นสมบูรณ์ไม่ได้ แต่อย่างน้อย โจวเหวินก็เข้าใจความสามารถต่างๆของสิ่งมีชีวิตต่างมิติมากขึ้นแล้วกัน


เพราะว่าการรับสกิลของสิ่งมีชีวิตต่างๆด้วยตัวเองนั้น มันต่างจากการดูด้วยตาเยอะมากๆ


ตอนนี้โจวเหวินรู้ผลของสกิลต่างๆดีเหมือนกับว่าสามารถใช้เองได้ สกิลไหนแรงที่สุดตอนไหน สกิลไหนควรหลบแบบไหน สกิลไหนรับได้สกิลไหนรับไม่ได้ โจวเหวินตอนนี้รู้อย่างละเอียดมาก


แต่ถึงอย่างนั้น ไข่แห่งความวินาศก็ยังไม่เป็นขั้นสมบูรณ์แต่ที่รู้ๆคือ เขารู้สึกแข็งแกร่งขึ้นช้าลงมาก มากเกินไป


“ความเจ็บปวดปรกติมันไม่พอแล้ว เอาไงดีวะเนี่ย จะลองไปพื้นที่ต่างมิติใหม่ๆดีไหม”โจวเหวินคิดเรื่องนี้ แต่การจะหาพื้นที่ต่างมิติใหม่นั้นหายากมากๆ


สุดท้ายโจวเหวินเลยกัดฟัน “เอาวะ สุดท้ายก็ต้องไปที่นั้นซินะ”โจวเหวินกดเกมส์เมืองหวงฉวนขึ้นมา หลังจากที่เข้ามาแล้ว เขาก็รอเวลาเข้าไปในห้องทรมาน แล้วเข้าไปในห้องทรมานแรกทันที


“โอ้ยๆๆๆๆๆ”โจวเหวินนั้นออกมาจากห้องทรมานแล้วใช้ไข่ในการรักษา จากนั้นก็เข้าห้องทรมานต่อไป แล้วร้องอีกรอบแล้วก็ออกมารักษาอีกรอบ วนไปแบบนี้เรื่อยๆ


โจวเหวินนั้นเข้าๆออกๆห้องทรมานในเมืองหวงฉวน ทนรับการบาดเจ็บทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นโซ่แส้กุญแจมือจุดไฟเผาหรืออื่นๆ บางอันก็แปลกประหลาดมากๆ ตั้งแต่เอาตัวเองไปทอดในกระทะร้อนๆ ตอกด้วยตะปู ความเจ็บปวดอื่นๆที่คนปรกติไม่มีทางทนได้


โจวเหวินนั้นอดทนมันได้จนหมด แต่ผลที่ออกมานั้นก็ดีเกินคาดมาก หลังจากที่รักษาแล้ว โจวเหวินรู้สึกได้เลยว่าไข่แห่งความวินาศนั้นพัฒนาไปเร็วมาก


โจวเหวินทั้งเจ็บทั้งดีใจ แต่ความบาดเจ็บทางร่างกายมันซ่อนความสุขในใจไว้ไม่หมด


แต่แม้แต่จะเป็นโจวเหวินเอง พอผ่านไปหลายๆการทรมานก็ทนไม่ไหว บางห้องโจวเหวินก็ข้ามไปแบบไม่ลังเลเลย อย่างเช่นห้องทรมานม้าไม้ที่โจวเหวินแนะนำให้หลิวหยุนลองก่อนหน้านี้


การลงโทษนั้นบางอันก็โหดร้ายกว่าม้าไม้ซะอีก อะไรที่โหดเกินไป โจวเหวินก็จะไม่ทน


โจวเหวินรอเข้าห้องทรมานแบบนั้นทุกวัน ไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ ลองทุกการทรมาน ไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านมา 1วัน 10วัน จนครึ่งเดือนก็ยังลองไม่หมด


“เจ้าเมืองหวงฉวนบอกมาว่า ถ้าเกิดเข้ารับการทรมานครบทุกอย่างแล้ว ฉันจะได้เห็นเมืองหวงฉวนที่แท้จริงนี้มันหมายความว่ายังไงกัน”โจวเหวินเองก็สงสัยในใจเล็กๆ แต่การทรมานบางอย่างมันเกินกว่าคนปรกติจะรับไหวจริงๆ โจวเหวินเลยยอมแพ้ไป


วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ โจวเหวินได้ทำการลองการทรมานจนเกือบจะครบเมืองหวงฉวนแล้ว แต่เขาก็รู้สึกน้อยๆเท่านั้นว่าไข่แห่งความวินาศกำลังจะพัฒนา


“ไม่ได้การละ ฉันต้องไปหาที่ใหม่แล้ว”โจวเหวินคิดแล้วคิดอีก จะให้ลองบุกไปที่พื้นที่ต่างมิติที่ไม่รู้จักก็เสี่ยงตายเกินไป ให้ใครซักคนนึงมากระทืบเขาเล่นน่าจะดูดีกว่า


“จะว่าไปแล้วช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอเฟิงชิวเยี่ยนเลยแหะ วิชาดาบของเขาเป็นไงบ้างละนะ ไปลองดูหน่อยดีกว่า”โจวเหวินติดต่อเฟิงชิวเยี่ยนทันที


814 ผู้อยากลิ้มรสความเจ็บปวด


โจวเหวินบอกว่าเขาอยากจะฝึกวิชากับเฟิงชิวเยี่ยน แต่เขาไม่ได้บอกว่าเขาอยากโดนกระทืบ เขาอยากโดนตีน อยากโดนดาบ อยากโดนไม้ มาฟาดฉันที


ตอนที่เขาไปถึงสนามซ้อม เฟิงชิวเยี่ยนก็มารออยู่แล้ว


แต่ที่น่าตกใจสำหรับโจวเหวินคือ กรีฟกับเชดี้ก็มาด้วย หลังจากที่คุยกันได้ซักพักแล้วเขาก็รู้ว่าเฟิงชิวเยี่ยนนั้นช่วงนี้ฝึกกับกรีฟและเชดี้นั้นเอง


“เฟิงชิวเยี่ยนนี้มันสุดยอดไปเลย เคยฝึกกับหมิงซู ฝึกกับหลี่ซวนแล้วตอนนี้ยังมาฝึกกับกรีฟแล้วก็เชดี้อีก”


“วิชาดาบของผมช่วงนี้พัฒนาขึ้นมาเลยครับโค้ช ผมอยากจะขอคำแนะนำจากโค้ชด้วยครับ”เฟิงชิวเยี่ยนหยิบดาบซ้อมขึ้นมาแล้วพูด


“ทำไมนายถึงไม่ใช่ดาบวิญญาณชีวิตของนายละ”โจวเหวินถามด้วยความสงสัย


ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา เฟิงชิวเยี่ยนนั้นไม่ว่าจะเป็นการซ้อมหรือการต่อสู้จริง เขาจะใช้ดาบวิญญาณชีวิตเสมอ แต่ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้เขาถึงใช้ดาบซ้อม


ถ้าเป็นปรกติแล้วเฟิงชิวเยี่ยนจะใช้ดาบอะไรก็แล้วแต่เขาแหล่ะ แต่วันนี้โจวเหวินตั้งใจจะมาโดนลุมกระทืบเป็นพิเศษ เพราะงั้น ถ้าเฟิงชิวเยี่ยนใช้ดาบซ้อม โจวเหวินก็จะไม่บาดเจ็บเท่าไรเลย”


“ก่อนหน้านี้ผมฝึกกับเชดี้ครับ แล้วผมได้เรียนรู้มาว่าการจะแก้ความสามารถของเธอได้นั้น ผมต้องแก้วิชาดาบของผม เพราะงั้นผมเลย…”เฟิงชิวเยี่ยนพยายามอธิบาย


“อ้องี้นี้เอง แต่นายน่าจะใช้ดาบวิญญาณชีวิตมากกว่านะ ฉันอยากจะได้ความรู้สึกแบบเดียวกับที่ต่อสู้จริงๆหน่ะ เพราะงั้น ยิ่งได้บาดแผลเท่าไรยิ่งดีเลย”โจวเหวินพูด


เฟิงชิวเยี่ยนมองโจวเหวินอย่างสงสัย “โค้ชจะอยากบาดเจ็บไปทำไมเหรอครับ”


โจวเหวินอธิบาย “ถ้าคนเราไม่ผิดพลาด ไม่บาดเจ็บ คนเราก็จะไม่รู้ว่าอะไรถูกสิ ก็เหมือนกันละ ถ้าเราไม่เคยบาดเจ็บมาก่อน เราจะรู้ได้ยังไงว่าเราควรจะหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บนั้นได้ไง เพราะงั้น ฉันเลยอยากได้ความเจ็บปวดนิดหน่อย ให้เหมือนลิ้มรสชาติของชีวิตไง”


เฟิงชิวเยี่ยนเหมือนจะเข้าใจแล้วพูด “จริงด้วย โค้ชพูดถูก ผมเข้าใจแล้วครับ” เขาวางดาบซ้อมลงทันทีแล้วอัญเชิญดาบวิญญาณชีวิตออกมา แต่โจวเหวินก็ดันได้ยินกรีฟกับเชดี้คุยกัน แต่พวกเขามีความคิดที่ต่างกัน


มันเป็นเรื่องปรกติในการเข้าไปในพื้นที่ต่างมิติแล้วจะบาดเจ็บออกมา ไม่งั้น มหาลัยคงไม่มีหน่วยแพทย์และทีมรักษาพิเศษแบบเดียวกับโรงพยาบาลอย่างงี้หรอก


แม้แต่เชดี้ที่มีดวงตาแห่งโอดินเอง บางครั้งก็ยังบาดเจ็บกลับมาเลย ยังไงซะ สิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่างมิตินั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้และเราไม่สามารถควบคุมได้ซะทุกอย่าง


แต่โจวเหวินบอกเหมือนกับว่า เขาไม่เคยบาดเจ็บกลับมาเลย แล้วเขาอยากจะลองรู้สึกบาดเจ็บดูซึ่งมันทำให้กรีฟกับเชดี้รู้สึกว่าเขาพูดเกินจริงเกินไปหน่อย


“ถึงโจวเหวินจะแข็งแกร่งมากก็จริงแต่วิชาดาบของเฟิงชิวเยี่ยนตอนนี้มันอยู่ในจุดที่เกินกว่าดวงตาโอดินของฉันจะมองเห็นไปแล้วนะ ถ้าโจวเหวินไม่ระวังตัวละก็ เขาอาจจะได้บาดเจ็บหนักเลยก็ได้”เชดี้พูด


กรีฟเองก็ฝึกกับเฟิงชิวเยี่ยนมาหลายวัน เขาเลยเข้าใจความน่ากลัวของวิชาดาบเฟิงชิวเยี่ยนเป็นอย่างดี เขาเลยรู้สึกว่าโจวเหวินน่าจะแพ้เฟิงชิวเยี่ยนบ้าง


แต่โจวเหวินนั้นจริงๆแล้วไม่ได้มาเพื่อฝึกดาบแบบแพ้หรือชนะ เอาจริงๆเขาไม่ได้กะหยุดดาบของเฟิงชิวเยี่ยนด้วยซ้ำ


“โค้ช ระวังตัวด้วยนะครับ”เฟิงชิวเยี่ยนพูดก่อนจะฟันดาบออกไป


ทันทีที่เห็นแสงดาบฟันเข้าใส่ โจวเหวินก็รู้สึกได้ถึงความเย็นเฉียบที่หน้าอกลากยาวจากหัวไหล่มายันเอว โจวเหวินหลบออกมาได้แบบฉิวเฉียด


“ดาบเร็วมาก”ดาบของเฟิงชิวเยี่ยนนั้นเทียบเท่าได้กับความเร็วของโจวเหวินเลยทำให้เขาตกใจมาก


เฟิงชิวเยี่ยนทันทีที่ฟันพลาดเขาจึงฟันดาบต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่าทันทีดั่งแม่น้ำที่หลั่งไหล


นี้เป็นวิชาดาบที่แม้แต่เชดี้ก็หลบไม่ได้ โจวเหวินนั้นเดิมทีใช้แต่สกิลจ้าวมังกรบินเดิมๆไม่เพียงพอแล้วตอนนี้เขาต้องทุ่มสุดแรงทั้งหมดเพื่อป้องกันและหลบดาบนี้ ถ้าเกิดพลาดแม้แต่นิดเดียวดาบนั้นจะฟันเข้าเนื้อทันที ตอนแรกโจวเหวินว่าจะรับดาบนั้นจริงๆแล้วกลับมารักษาบาดแผลด้วยไข่แห่งความวินาศ


แต่ถึงอย่างนั้น วิชาดาบของเฟิงชิวเยี่ยนนั้นทำให้เขาตกใจมาก เขาเลยอดไม่ได้ อยากดูวิชาดาบต่อจนจบ ว่าตอนนี้เฟิงชิวเยี่ยนพัฒนาไปถึงไหนแล้ว ตอนนี้เขาลืมเรื่องรับดาบไปสนิทเลย เขาอยากจะเห็นวิชาดาบของเฟิงชิวเยี่ยนมากกว่า


เชดี้เองก็ตกใจที่เห็นโจวเหวินยังสามารถหลบดาบของเฟิงชิวเยี่ยนอยู่ได้


ภายใต้สถานการณ์ปรกตินั้น มนุษย์ปรกติไม่มีทางเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าดาบนั้นแน่ๆ แต่โจวเหวินกลับสามารถหลบดาบนั้นได้ นั้นแสดงให้เห็นว่าโจวเหวินยังคงเร็วกว่าโจวเหวินอยู่


แรงระเบิดของพลังดาบเฟิงชิวเยี่ยนนั้นไม่เคยได้แตะตัวของโจวเหวินเลย แต่กำลังใจสู้ของเฟิงชิวเยี่ยนนั้นเพิ่มขึ้นมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆเขาระเบิดพลังของตัวเองออกมามหาศาล ทำให้ดาบของเขาเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ


ด้วยพลังชีวิตราชาแห่งดาบเร็วของเขา ทำให้ดาบของเขาเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่เขากลับสามารถควบคุมดาบได้เหมือนเดิม ดาบไม่หลุดจากวิถีดาบที่เขาต้องการเลยแม้แต่น้อย


แต่ความเร็วดาบมันเริ่มไปเร็วเกินกว่าที่เคยไปมาก ตอนนี้เขากลับมาเป็นเหมือนเมื่อปีก่อนแล้ว เขาทำให้ดาบของเขาเร็วขึ้นและเร็วขึ้นจนกระทั้งเขาไม่สามารถควบคุมดาบของเขาได้แล้ว ดาบของเขาเรียกได้ว่าเร็วจนตาคนมองไม่เห็นได้นานแล้ว ตอนนี้เฟิงชิวเยี่ยนไม่ได้ควบคุมมันด้วยมือแต่ใช้ความรู้สึกในการควบคุมมันตั่งหาก


ถ้าไม่ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันจริงๆ เฟิงชิวเยี่ยนจะไม่ใช้วิชาดาบแบบนี้ แต่ตอนนี้เขาเอามันออกมาใช้ เพราะว่าเขากำลังสู้อยู่กับคนที่เขาเคารพดั่งอาจารย์ของเขาเอง


แต่ถึงอย่างนั้นดาบของเฟิงชิวเยี่ยนก็ยังไม่สามารถแตะถึงตัวของโจวเหวินได้ ตั้งแต่แรกจนถึงสุดท้าย ดาบนั้นมันเร็วเกินไปจนเฟิงชิวเยี่ยนควบคุมตัวเองไม่ได้อีกแล้ว และสุดท้าย ดาบก็บินหลุดออกจากมือของเฟิงชิวเยี่ยนในที่สุด


โจวเหวินที่ตอนแรกต่อสู้อย่างตื่นเต้นนั้นเอง จู่ๆเขาก็เห็นดาบปลิวหลุดมือออกไป แต่เขายังไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกเศร้าใจขึ้นมาเล็กน้อย


เขามาที่นี้เพื่อเจ็บตัวแต่เขากลับไม่ได้เจ็บตัวกลับไปซะอย่างงั้น


ด้วยความเสียดายนั้นเอง เขาก็พุ่งเข้าไปรับดาบที่ปลิวออกไปด้วยตัวเอง ก่อนที่จะแทงเข้าปอดอย่างแรงจนกระดูกซี่โครงหัก


การกระทำของเขานั้นทำให้เฟิงชิวเยี่ยน เชดี้และกรีฟตกใจมากๆ เฟิงชิวเยี่ยนนั้นไม่สามารถควบคุมดาบได้เลยปล่อยออกไปเฉยๆ เขาไม่สามารถทำร้ายโจวเหวินได้เลยจนโจวเหวินต้องบินขึ้นไปรับดาบด้วยตัวเอง


“โค้ช เป็นอะไรรึเปล่าครับ”เฟิงชิวเยี่ยนรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของโจวเหวินทันที แล้วก็วิ่งไปเอาดาบวิญญาณกลับมาด้วย


“ไม่เป็นไรหรอก นายมีวิชาอื่นๆอยากจะลองอีกไหม ฉันอยากจะลองดูหน่ะ มีวิธีไหนที่ทำให้บาดเจ็บได้อีกไหม”โจวเหวินมองเฟิงชิวเยี่ยนแล้วพูด


“ผมใช้เป็นแค่วิชาดาบนี้ครับ”เฟิงชิวเยี่ยนโล่งใจที่เห็นโจวเหวินไม่เป็นไรมาก


“แล้วพวกนายละอยากจะลองดูไหม”โจวเหวินหันไปถามเชดี้กับกรีฟ พวกเขามาจากตระกูลทางเขตเหนือ ความสามารถและสกิลของพวกเขานั้นยังไงก็ต่างจากคนเขตตะวันออกแน่ๆ มันน่าจะได้ผลบ้างละ


“ขนาดรุ่นพี่เฟิงยังทำไมได้แบบนั้น พวกเราคงไม่ไหวหรอก”เชดี้ส่ายหัวแล้วพูด ยังไงเธอก็สู้ไม่ได้


โจวเหวินเองก็ไม่มีทางเลือก เลยต้องใช้วิญญาณชีวิตไข่แห่งความวินาศเพื่อรักษาตัวเอง


“คนๆนี้มันยังเป็นคนอยู่อีกเหรอ บินไปรับดาบด้วยตัวเองเนี่ยนะ”กรีฟพูดออกมา


เชดี้ถอนหายใจ “ก็อย่างที่เขาบอกแหล่ะ เขาอยากที่จะลิ้มลดความเจ็บปวด แต่เขาแกร่งเกินไปจนไม่มีใครทำอะไรเขาได้”


“วิชากระบวนท่าแบบนั้น ถึงจะเป็นตระกูลตู่กู๋ที่เชี่ยวชาญกระบวนท่าที่สุด ก็ยังต้องแพ้เลยมั่ง”กรีฟพูด


815 ไข่ขั้นสมบูรณ์


โจวเหวินกลับไปที่หอก่อนจะใช้ไข่แห่งความวินาศรักษาอาการบาดเจ็บ แต่เขาก็ต้องพบว่า ไข่แห่งความวินาศนั้นพัฒนาไปได้แค่นิดเดียวเท่านั้น


“ดูเหมือนว่าพลังของมนุษย์มันจะอ่อนแอเกินไปซินะ ความเสียหายที่ทำได้ก็น้อยมากเกินกว่าจะพัฒนาวิญญาณชิวิตได้ ดูเหมือนว่าจะต้องไปตามหาพื้นที่ต่างมิติหรือหาพวกสิ่งมีชีวิตระดับเร้นลับซะแล้ว”โจวเหวินล้มเลิกความคิดที่จะไปสู้กับมนุษย์ ในบรรดามนุษย์ทั้งหมดนั้น มีมนุษย์ที่เป็นระดับเร้นลับอยู่แค่หยิบมือเท่านั้น ซึ่งส่วนมากก็ได้มาจากการทำสัญญากับผู้พิทักษ์ด้วย


แต่ ณ ตอนนี้ การจะหาพื้นที่ต่างมิติใหม่ๆนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โจวเหวินคิดแล้วคิดอีก แต่ทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เดี๋ยวก่อนนะ ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บที่ได้จากคำสาปมันจะนับรึเปล่า เพราะว่าถ้านับ แต่ละพื้นที่ต่างมิติมันก็มีคำสาปที่แตกต่างกัน แต่สุดท้ายมันก็นับเป็นอาการบาดเจ็บใช่ไหม”


พอคิดแบบนั้นโจวเหวินก็เข้าเกมส์ไปแล้วเข้าไปในวัดพระน้อยเพื่อลองดูทันที รอบนี้โจวเหวินเข้าไปในวัดพระน้อยโดยที่ไม่ใช้วิชาจุลปรัชญา และไม่ใช่สกิลช่วยป้องกัน จากนั้นเขาก็เริ่มเดินขึ้นไป


หลังจากเดินไปได้ไม่นาน โจวเหวินก็เริ่มรู้สึกแปลกๆกับร่างกาย เขาเริ่มกระอักเลือดแล้วล้มลงกับพื้น ตอนนั้นเองที่โจวเหวินรีบใช้วิญญาณชีวิตไข่แห่งความวินาศห่อหุ้มร่างกายของโจวเหวินไว้ด้านใน


ไข่แห่งความวินาศนั้นทำงานทันที ตอนที่โจวเหวินอยู่ในไข่นั้น คำสาปที่อยู่ด้านนอกนั้นทำอะไรเขาไม่ได้ ไข่แห่งความวินาศเริ่มซ่อมแรมร่างกายของโจวเหวินทันทีจนเขารู้สึกได้ พร้อมๆกับไข่แห่งความวินาศที่แข็งแกร่งขึ้นด้วย


“ได้จริงๆด้วย”โจวเหวินดีใจมาก หลังจากที่เขารักษาหายแล้วเขาก็เดินต่อไปเรื่อยๆ แล้วเขาก็บาดเจ็บอีกครั้ง แต่รอบนี้ถึงแม้ว่าไข่แห่งความวินาศจะรักษาเขาได้ แต่มันก็ไม่ได้พัฒนาต่อไปอีกแล้ว


“คำสาปนึงก็ใช้ได้ครั้งเดียวเหมือนกันซินะ ถ้างั้นไหนลองนับดูซิว่ามีพื้นที่ต่างมิติไหนมีคำสาปมั่ง”โจวเหวินลองคำนวณดู แต่ละพื้นที่ต่างมิตินั้นก็มีคำสาปเป็นของตัวเองแตกต่างกันออกไป


จากนั้นโจวเหวินก็เริ่มตระเวนไปเผชิญคำสาปต่างๆ ซึ่งไข่แห่งความวินาศก็พัฒนาไปได้ไวมาก คำสาปนั้นทำให้ไข่แห่งความวินาศพัฒนาไปได้เร็วกว่าตอนที่บาดเจ็บจากสิ่งมีชีวิตระดับเร้นลับซะอีก ตอนที่โจวเหวินเดินไปรอบๆเมืองหวงฉวนนั้นเอง ตอนที่คำสาปกำลังจะเริ่มทำงาน แล้วโจวเหวินกำลังจะโดนระเบิดหัว โจวเหวินก็กลับเข้ามาในไข่แห่งความวินาศแล้วรักษาร่างกายจนหาย


ขั้นตอนการรักษานั้นทำให้ไข่แห่งความวินาศเริ่มพัฒนาร่างอีกครั้ง ของเหลวภายในนั้นที่ดูคล้ายๆกับน้ำแร่ ตอนนี้เปลี่ยนไปในที่สุด


ของเหลวพวกนั้นจู่ๆก็ซึมเข้าสู่ร่างกายของโจวเหวิน ทำให้ร่างกายของโจวเหวินนั้นรู้สึกเหมือนกำลังหลอมเหลวเป็นของเหลวยังไงอย่างงั้น ความรู้สึกนี้มันชัดเจนมาก ถึงแม้ว่าของเหลวนั้นจะยังพอจับต้องได้ แต่พอเป็นของเหลวนี้แล้วโจวเหวินก็ยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ


มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอธิบายความรู้สึกของคนที่เหลวเป็นน้ำแล้วไหลกลิ้งไปมาอยู่ในไข่หิน ตอนนี้โจวเหวินรู้สึกแบบนั้นจริงๆ และมันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมสุดๆไปเลยด้วย


ตอนแรกนั้นไข่แห่งความวินาศเป็นเพียงแค่ไข่ที่มีเปลือกหนาอย่างเดียวเท่านั้น พอเป็นขั้นพัฒนา ของเหลวก็เริ่มไหลเข้ามา แต่ตอนนี้ทั้งไข่กำลังหลอมรวมกันกลายเป็นเนื้อเดียวกันจนไม่มีพื้นที่ด้านในแล้ว


ไข่แห่งความวินาศพัฒนาเป็นระดับสมบูรณ์แล้ว ข้อความในเกมส์ปรากฏขึ้นมา


“ไข่แห่งความวินาศพัฒนาเป็นขั้นสมบูรณ์ พลังงานลมปราณ +1”


โจวเหวินเห็นตัวอักษรคำว่าพลังงานลมปราณ+1 เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเปราะใหญ่มากๆ เขารีบไปอ่านค่าความสามารถของเขาทันทีแล้วพบว่าค่าพลังงานลมปราณของเขามันเพิ่มขึ้นเป็น41จริงๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงแค่นิดเดียว แต่มันก็คือก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่โจวเหวินรอคอยมาเนิ่นนาน


การที่ค่าความสามารถทะลุขีด40ได้ ไม่ได้หมายความแค่ว่าค่าความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างเดียว แต่นั้นหมายความว่าโจวเหวินสามารถดูดซับผลึกพลังงานได้ถึงระดับ41แล้ว


สกิลบางสกิลนั้นจะแรงขึ้นตามพลังงานลมปราณที่ใช้ หรือใช้ได้นานขึ้นตามพลังงานที่มี เพราะงั้น การที่มีค่าพลังงานเพิ่มขึ้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ


ไข่แห่งความวินาศ ขั้นสมบูรณ์


โจวเหวินมองดูคำอธิบายของไข่แห่งความวินาศแต่ก็ไม่พบการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่การที่เป็นขั้นสมบูรณ์นั้นทำให้การฟื้นฟูร่างกายเพิ่มขึ้น แค่นั้นเอง


“ไข่แห่งความวินาศมันทำหน้าที่ได้แค่รักษาตัวเองจริงๆเหรอ”โจวเหวินไม่ค่อยเชื่อเท่าไร เพราะเดิมทีแล้วมันเป็นวิญญาณชีวิตที่เกิดมาจากวิชาลมปราณปฐมภาคีแห่งความวินาศ ซึ่งเป็นวิชาของเทพเคอัส มันไม่น่าจะมีแค่ความสามารถเดียวดาดๆแบบนี้ แต่โจวเหวินก็ลองแล้วลองอีกตั้งหลายครั้ง เขาก็พบว่านอกจากฟื้นฟูตัวเองแล้ว เขาก็ไม่เห็นจะใช้อะไรได้อีกเลย


ยังไงก็เถอะ ตอนนี้อย่างน้อยก็ต้องหาทางพัฒนาวิญญาณชีวิตให้สำเร็จเป็นขั้นสูงสุดให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้  ตอนนี้เขารู้แล้วว่าถ้าพัฒนาวิญญาณชีวิต 2 ดวงโดยที่มีค่าความสามารถเสริมกัน จะทำให้ค่าความสามารถทะลุขีดพิกัดได้ตอนนี้โจวเหวินเองก็เรียนรู้วิชาลมปราณมาเยอะมากแล้วด้วย แถมมันน่าจะมีวิชาที่เสริมค่าเดียวกันเยอะพอสมควรเลย” โจวเหวินเริ่มคำนวณในใจ


ตอนนี้โจวเหวินสามารถตัดวิชาลมปราณ เต๋ากับปฐมภาคีแห่งความวินาศได้แล้ว เพราะมันเพิ่มค่าพลังงานไปแล้ว


ตอนนี้เหลือวิชาจุลปรัชญาปารมิตาที่เพิ่มค่าร่างกาย วิชาจักรพรรดิโบราณที่เพิ่มค่าพลัง วิชาจ้าวปีศาจที่เพิ่มค่าความเร็ว นอกเหนือจาก3วิชานี้ โจวเหวินก็ยังมีวิชาอีก เช่นวิชาขโมยดวงดาว ซึ่งพึ่งได้เรียนรู้มาไม่นานนี้เอง จนถึงตอนนี้พลังชีวิตยังไม่ได้เลย


แต่โจวเหวินรู้สึกว่าวิชาขโมยดวงดาวนั้นมันคล้ายคลึงกับวิชาจ้าวปีศาจ แปลว่ามันก็น่าจะเป็นค่าความเร็วเหมือนกัน


“ถ้างั้นลองฝึกวิชาขโมยดวงดาวไปก่อนละกัน แล้วค่อยมาตามพัฒนาวิญญาณชีวิตมิติสูญหายทีหลัง โจวเหวินตัดสินใจที่จะพัฒนาวิญญาณชีวิตมิติสูญหายกับฝึกวิชาขโมยดวงดาวให้ได้วิญญาณชีวิต


วิญญาณชีวิตของจ้าวปีศาจตอนนี้คือมิติสูญหาย ซึ่งโจวเหวินศึกษามานานมากแล้วทั้งจากหนังสือจากการลงมือตายเองจริงๆ


เพียงแค่ว่าช่วงนี้มีอะไรให้ทำเยอะเกินไปทำให้โจวเหวินไม่มีเวลาได้ไปฝึกมันมากนักทำให้มันไม่พัฒนาซักที


ขั้นตอนการพัฒนาวิญญาณชีวิตนี้เรียกได้ว่าบอกได้ยากมาก เพราะโจวเหวินนั้นเรียกได้ว่าใช้วาปทุกวัน ทุกๆครั้งที่เขาวาป มิติสูญหายจะค่อยๆพัฒนาไปทีละน้อย แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่ว่าการวาปแต่ละครั้งนั้นใช้เวลาอย่างต่ำในการรี24ชั่วโมงเต็ม เพราะงั้น มันจึงค่อยๆพัฒนาได้อย่างช้าๆ ตามที่โจวเหวินคาดการณ์ไว้ เขาต้องวาปทั้งหมดอย่างน้อย 1000ครั้ง ถึงจะพัฒนาได้


ซึ่งจากที่คำนวณมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพัฒนาเป็นขั้นพัฒนาได้ในปีนี้ แล้วจากขั้นพัฒนาไปเป็นขั้นสมบูรณ์อีก จำนวนวันที่ต้องใช้มันต้องมากกว่าเดิมหลายเท่าแน่ๆ เพราะงั้นโจวเหวินเลยไม่อยากรอแล้ว


แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางออกอื่นเสมอไป เพราะเขาได้พบแล้วว่า ถ้ามีสัตว์อสูรระดับเร้นลับที่วาปได้ละก็ถ้าสัตว์อสูรตัวนั้นเป็นสัตว์ขี่ โจวเหวินเองก็สามารถวาปไปพร้อมๆกับสัตว์อสูรตัวนั้นได้เลย


แล้ววิธีการพัฒนาวิญญาณชีวิตมิติสูญหายง่ายๆ ก็คือการวาป ซึ่งจะวาปแบบไหนก็ได้ทั้งนั้นถ้าทำแบบนั้นแล้ว วิญญาณชีวิตของเขาจะสามารถพัฒนาไปได้ไวขึ้นกว่าเดิมมาก มันจะช่วยลดเวลาลงมากเลย


สัตว์อสูรระดับเร้นลับที่โจวเหวินพูดถึงนั้นมีชื่อว่าเทพวิหกทมิฬ ว่ากันว่ามันเป็นของวีรบุรุษคนแรกของรัฐบาลกลาง ซึ่งเขาได้ยินมาว่าจะถ่ายโอนให้กับทายาทของเขา ว่ากันว่าเทพวิหกทมิฬนั้นเป็นสัตว์อสูรที่ล้ำค่าที่สุดของตระกูลฉางเลยก็ว่าได้


โจวเหวินกับตระกูลฉางนั้นไม่ได้มีสัมพันธ์อันดีอะไรกันซักเท่าไร เขารู้จักแค่ฉางหยูฉีคนเดียวเท่านั้น และจู่ๆจะให้เขาไปยืมสัตว์อสูรสุดล้ำค่านั้นมาก็คงจะเป็นเรื่องที่เกินจริงเกินไปหน่อย


“เริ่มจากการลองถามฉางหยูฉีดูดีกว่าว่าเทพวิหกทมิฬนั้นมันดรอปออกมาจากที่ไหน ถ้ามีโอกาสฉันจะได้แอบลองเข้าไปในนั้นดู แต่ถ้าไม่มีโอกาส อย่างน้อยก็ได้ลองดูละนะ”โจวเหวินเลยพยายามส่งข้อความหาฉางหยูฉี แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่านางจะเห็นหรือตอบไหม เพราะเอาเข้าจริงๆ ฉางหยูฉีอาจจะไม่เคยได้มีโอกาสใช้โทรศัพท์ด้วยซ้ำ


816 ชินกับความตาย


แต่น่าประหลาดใจตรงที่จู่ๆ ฉางหยูฉีดันตอบกลับมาซะอย่างนั้น “นายไม่รู้จักที่มาของเทพวิหกทมิฬเหรอ


“ฉันรู้แค่ว่ามันเป็นสัตว์อสูรของวีรบุรุษตระกูลเธอหน่ะ”โจวเหวินตอบ


“ไม่ใช่ว่าบ้านเกิดนายอยู่ที่กุ๋ยเต๋อเหรอ แต่นายกลับไม่รู้จักเทพวิหกทมิฬเนี่ยนะ”ฉางหยูฉีดูจะประหลาดใจเล็กน้อย


“แล้วมันแปลกเหรอ หรือว่าเทพวิหกทมิฬมันจะไปอยู่ที่แถวๆกุ๋ยเต๋อเหรอ”โจวเหวินถามด้วยความตกใจ


“เทพวิหกทมิฬมันอยู่ในเมืองโบราณของกุ๋ยเต๋อเลยละ”ฉางหยูฉีพูด


“บ้าหน่า เป็นไปไม่ได้”โจวเหวินตอบกลับทันที เมืองโบราณแห่งกุ๋ยเต๋อหรือที่เรียกกันว่าอาณาจักรโบราณในเกมส์นั้น โจวเหวินฟาร์มที่นั้นมาเป็นพันครั้งได้แล้ว ที่นั้นไม่มีระดับเร้นลับซักกะตัว อย่าว่าแต่จะเป็นถึงระดับเทพวิหกทมิฬเลย


“จะเป็นไปไม่ได้ได้ยังไงกันละ นายไม่รู้เหรอว่าเทพวิหกทมิฬนั้นจริงๆแล้วมันเป็นตัวแทนของการค้าขายหน่ะ แล้วที่กุ๋ยเต๋อเองก็มีสถานที่ ที่ชื่อว่าตลาดวิหกดำด้วยนะ แล้วแบบนี้นายจะมาบอกว่าเทพวิหกทมิฬไม่ได้อยู่ที่กุ๋ยเต๋อได้ไงกัน”ฉางหยูฉีพิมกลับมารัวมากๆ


โจวเหวินตกใจสุดๆ เขาลืมเรื่องแบบนี้ไปได้ยังไงกัน


เทพวิหกทมิฬนั้นเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลฉาง เป็นนกเทพที่ว่ากันว่าตามตำนานแล้วเทพวิหกทมิฬก่อกำเนิดพ่อค้าคนแรก แล้วพ่อค้านั้นก็กลายมาเป็นตระกูลฉางถึงปัจจุบัน ว่ากันว่าตระกูลฉางนั้นคือลูกหลานเทพวิหกทมิฬ แต่โจวเหวินไม่เคยสังเกตุเลยว่าเทพวิหกทมิฬที่ว่ากับเทพวิหกทมิฬของตระกูลฉางนั้นจะเป็นตัวเดียวกัน


“…แต่ว่าที่เมืองโบราณกุ๋ยเต๋อนั้น ฉันไปที่นั้นบ่อยมากๆเลยนะ ไม่เห็นจะมีเทพวิหกทมิฬซักตัว แค่นกสีดำยังไม่มีเลย ไม่ซิ แค่ระดับเร้นลับยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ”โจวเหวินส่งข้อความกลับ


ในเมืองโบราณกุ๋ยเต๋อนั้นยังไงก็ไม่มีแน่ๆ โจวเหวินไม่มีทางผิดพลาดได้เลย


ฉันเองก็ฟังมาจากผู้อาวุโสมาอีกทีเหมือนกัน ปู่ของฉันที่เป็นราชาวีรบุรุษนั้นพูดออกมาเองเลยว่า ครั้งนึง ตอนที่เขาเดินผ่านเมืองโบราณกุ๋ยเต๋อ เขาพาภรรยาของเขาเข้าไปในนั้น และบนแท่นนั้นเอง เขาก็ได้เจอกับเทพวิหกทมิฬ ปู่ของฉันได้เข้าปะทะกับมัน และเขาก็ได้สัตว์อสูรของมันกลับมาจนถึงทุกวันนี้เรื่อยมา แต่ฉันเองก็ได้ยินมาว่านับแต่นั้นมาก็แทบจะไม่มีคนเคยเห็นเทพวิหกทมิฬปรากฏตัวขึ้นมาแถวกุ๋ยเต๋ออีกเลย ตระกูลฉางเองก็เคยไปลองหาดูแล้วเหมือนกัน แต่ก็ไม่เจอ”ฉางหยูฉีอธิบาย


“นั้นเท่ากับว่ามันมันไม่มีถูกไหม”โจวเหวินพิมแบบกุมขมับ


“จะว่าไปแล้วทำไมถึงถามแบบนั้นละ คงไม่ได้มีความคิดว่าจะมาชิงเทพวิหกทมิฬของเราไปใช่ไหม”ฉางหยูฉีพูดหยอกเล่น


“สัตว์อสูรมันชิงเอามาไม่ได้นี้ ถึงฉันจะอยากได้มันแต่ก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี”โจวเหวินตอบ


“แล้วถ้านายบอกว่านายอยากจะได้มันน่ะ นายจะเอามันไปทำอะไรกันแน่”ฉางหยูฉีถาม


“เทพวิหกทมิฬมีความสามารถในการวาปใช่ไหมละ ฉันอยากจะขี่มันแล้ววาปหนีปัญหาหน่ะเวลาจำเป็น เธอก็น่าจะรู้นี้ว่ามีคนหมายหัวฉันเยอะจะตาย โดยเฉพาะกรมควบคุมพิเศษหน่ะ”โจวเหวินพยายามหาเหตุผลมาพูด


“ฉันคงช่วยนายไม่ได้หรอก แต่นายจะลองไปที่เมืองโบราณกุ๋ยเต๋อก็ได้นะ ไปลองเสี่ยงดวงดู บางทีนายอาจจะโชคดีก็ได้ แต่ถ้านายเจอมันขึ้นมาแล้ว นายจะสู้มันได้ยังไงละ สกิลวาปมันโกงมากเลยนะ ไม่ว่าดาบนายจะเร็วแค่ไหนแต่ถ้าฟันไม่โดนก็หมดสิทธิแล้วนะ”


“ดวงฉันไม่มีหรอกเอาจริงๆ แต่เดี๋ยวฉันจะลองหาทางอื่นดู “โจวเหวินเปลี่ยนเรื่อง “จะว่าไปแล้วเธอมีแผนว่าจะออกไปไหนไหมช่วงนี้ เธอจะมาเที่ยวที่ลั่วหยางก็ได้นะ”


“ฉัน ออกไป ไม่ได้”เธอส่งข้อความนี้มาแล้วเงียบหายไปทันทีโจวเหวินลองส่งข้อความกลับก็ไม่ตอบกลับมาแล้ว


“เทพวิหกทมิฬของตระกูลฉางได้มาจากเมืองโบราณที่กุ๋ยเต๋อจริงๆเหรอ ถ้าจริงแสดงว่าเมืองโบราณนั้นอาจจะมีดีมากกว่าที่คิดก็ได้”โจวเหวินเริ่มคิดถึงมีดหินในระเบียงเทพแห่งไฟ


เทพวิหกทมิฬเองก็ถูกพบบริเวณระเบียงเทพแห่งไฟเหมือนกัน มีดหินเองก็อยู่ในนั้นด้วย ถ้าเราดึงมีดหินออกละก็ พื้นที่ต่างมิติเมืองโบราณทั้งเมืองก็จะถูกทำลายและเชื่อมต่อกับโลกมนุษย์อย่างสมบูรณ์


โจวเหวินเองก็ตื่นเต้น ไม่ซิกลัวเรื่องที่จะดึงมีดหินออกมา


เพราะโจวเหวินลองคิดๆดูแล้ว ในกุ๋ยเต๋อเองก็มีคนเก่งๆน้อยคนมากๆ ถ้าเกิดมีดหินโดนดึงออกมา แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ ถึงตอนนั้น คนนับหมื่นคงได้โดนฆ่าตายแน่ๆ


“ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเอาเทพวิหกทมิฬมาได้เลยแหะ ช่วยไม่ได้คงต้องหาแผน2แล้วละ”โจวเหวินนั้นมีทางไปต่อเสมอ แต่ทางที่ว่านั้นมันเชื่อถือไม่ค่อยได้เท่าไร ถ้าเลือกได้โจวเหวินก็ไม่ค่อยอยากเลือกทางนี้ เพราะมันไม่รู้ว่าจะสำเร็จไหม


การวาปนั้นเป็นความสามารถในทางมิติ ในทางทฤษฎีแล้ว ดวงตากระจกของมังกรเทียนก็นับว่าเป็นการวาปเหมือนกัน แต่การวาปของที่อยู่ตรงหน้าเข้าไปในมิติกระจกของมังกรเทียน ประเด็นคือถ้าวาปเข้าไปแล้วก็จะตายในนั้น เพราะงั้นโจวเหวินเลยไม่ค่อยอยากจะลองเท่าไร


วิธีของโจวเหวินก็คือ การให้ตัวละครในเกมส์ของโจวเหวินเป็นคนตายแทนแล้วให้มังกรเทียนฉายดวงตากระจกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยใช้ตัวละครของโจวเหวินเป็นคนวาปแทนทำให้พัฒนาวิญญาณชีวิตได้เหมือนกัน


หลังจากที่เข้ามาในเกมส์แล้วโจวเหวินก็ขี้เกียจไปที่ปราสาทมังกรเทียน เขาเลยอัญเชิญมังกรเทียนออกมาดื้อแล้วให้มังกรเทียนของเขาใช้ดวงตากระจกกับตัวละครของเขาหลังจากที่มองแล้วเกมส์ก็ดำมืดทันที


โจวเหวินหยดเลือดลงไปใหม่ และฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะให้มังกรเทียนใช้ดวงตากระจก ซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าโจวเหวินเสียเลือดไปมากแค่ไหนแล้ว


แต่เขารู้สึกได้จริงๆว่าวงแหวนมิติสูญหายนั้นตอนนี้กำลังเติบโต แต่อัตราการเติบโตนั้นจัดว่าช้ากว่าการวาปด้วยตัวเองพอสมควร อาจจะต้องตายแบบนี้อีกประมาณ1000 – 2000ครั้งโดยประมาณกว่าจะได้เลื่อนเป็นระดับพัฒนาได้ซึ่งนั้นหมายความว่าโจวเหวินต้องตายอีกประมาณหมื่นกว่ารอบ


โชคยังดีที่โจวเหวินมีไข่แห่งความวินาศในการรักษาไม่งั้นละก็โจวเหวินอาจจะต้องกังวลกับปริมาณเลือดในร่างบ้างแหล่ะ


โจวเหวินนั้นเดินไปตายอย่างบ้าคลั่งอยู่ในหอ ทุกๆครั้งที่เขาตาย ความตายจะกลายเป็นเองที่เฉยชาและชินชามากๆ แต่ผลที่ออกมาก็ยังอีกยาวไกล


“ถ้าเกิดมีเทพวิหกทมิฬนะ จะดีแค่ไหนกันเชียว ทำไมเทพวิหกทมิฬถึงไม่มีในเมืองโบราณนะ”โจวเหวินแอบๆเครียด ตอนนี้โจวเหวินนั้นเริ่มเข้าใจแล้วว่าการที่มนุษยจะไปถึงระดับเร้นลับได้นั้นมันยากเย็นเสียเหลือเกิน


มันไม่มีทางเลยที่คนธรรมดาจะสามารถฝึกวิชาลมปราณ8วิชาได้ในรวดเดียว และมันก็เป็นไปไม่ได้เลยด้วยที่พวกเขาจะพัฒนาค่าความสามารถไปถึงขั้น41 เพราะงั้น พวกเขาไม่มีโอกาสเป็นระดับเร้นลับเลย


ถึงแม้ว่าคนๆนั้นจะหาทางเรียน8วิชาลมปราณได้ก็จริง แต่วิธีการฝึกของแต่ละวิชานั้นต่างกันมาก หากไม่ได้พลังของโทรศัพท์ประหลาดช่วยละก็ ยังไงก็ไม่มีทางทำได้


แบบเดียวกับที่ไข่แห่งความวินาศทำได้เหมือนกัน ที่ต้องการบาดแผลมารักษาจะได้หายเร็วขึ้น คนส่วนมากก็อาจจะตายก่อนไม่ก็ฝึกจนเป็นบ้าไปก่อนแน่ๆ


วิญญาณชีวิตฆาตกรของโจวเหวินนั่นยิ่งแล้วใหญ่เลย เขาต้องฆ่าผู้พิทักษ์ ตัวแบบนั้นคนธรรมดาที่ไหนเขาฆ่าได้กัน ถึงแม้ว่าจะมีสัตว์อสูรระดับเร้นลับแต่ถ้าเจอผู้พิทักษ์เข้าไปก็สู้ไม่ไหวเหมือนกัน


ยกเว้นแต่ว่าจะเป็นแบบเสี่ยจิวชวน ที่ดูดกลืนเอาพลังของคนจำนวนมากมาใช้คนเดียว เพราะงั้นการพัฒนาขึ้นมาเป็นระดับเร้นลับได้นั้น มันเป็นเรื่องที่ยากมากๆเช่นกัน โจวเหวินคิดว่าเขาอาจจะต้องฝึกวิชาลมปราณเพิ่มมากกว่านี้ด้วย ซึ่งมันทำให้เขาปวดหัวมากยิ่งกว่านั้น วิชาลมปราณของโจวเหวินเองก็ยังไม่ครบ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีค่าความเร็วกับพลังงานลมปราณแล้ว โจวเหวินยังมีวิชาเลือดอสูรอีกด้วย ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่ามันเสริมค่าความสามารถอะไร


ถ้าเลือดอสูรเสริมค่าพลังหรือร่างกาย โจวเหวินก็ยังขาดวิชาลมปราณอีกแค่1เท่าน้น


โจวเหวินตอนนี้เริ่มชินกับการตายแล้ว โจวเหวินชินชามากๆ ตอนนี้เขาอยากพัฒนาวิญญาณชีวิตไปมากกว่านี้มากกว่า


817 อารยมิติ


บนหน้ากำแพงภูเขาแห่งภูเขาฉีซือ ดอกไม้ประหลาดดอกนึงเติบโตและเบ่งบานบนกำแพงนั้น เหมือนกับว่ามันหันก้มลงมาจ้องมองหญิงสาวที่อยู่ใต้ภูเขา


อันจิ้ง เจ้าแน่ใจกับคำตอบนั้นแล้วใช่หรือไม่”เสียงดังออกมาจากดอกไม้นั้น มันคือเสียงของจักรพรรดินี


“ใช่ ฉันตอบไปเล้ว ฉันสัญญาเลย”อันจิ้งพูด


“ตัดสินใจได้ดีมาก หากได้ฉันช่วยละก็ ไม่เพียงแต่เธอจะได้สัตว์อสูรระดับเร้นลับที่แข็งแกร่งแล้ว เธอยังได้มีโอกาสเป็นเจ้าของผู้พิทักษ์อีกด้วย และอีกไม่นาน เธอก็จะแข็งแกร่ง กว่าคนที่เธออยากจะเอาชนะได้”จักรพรรดินีพูด


“ฉันไม่คิดว่าการได้มันมาแล้วจะทำให้ฉันแกร่งกว่าเขาได้ตรงไหนเลย”อันจิ้งพูด


จักรพรรดินีถามด้วยความสนใจ “แล้วเช่นนั้นเธอจะตอบตกลงทำไมกันละ”


“ฉันแค่อยากจะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นเอง”อันจิ้งตอบ


“ถ้างั้นก็ได้ตามคำขอเลย เธอจะแข็งแกร่งขึ้น แกร่งกว่ามนุษย์ทั้งหมดทั้งปวง ทันทีที่พูดจบ กำแพงภูเขาฉีซือก็แตกออกมาเป็นทางแยก อันจิ้งเดินเข้าไปในทางแยกนั้นทันที


ในระหว่างที่อันจิ้งนั้นเผชิญหน้ากับจักรพรรดินีอยู่นั้นเอง โจวเหวินก็ยังคงกำลังตายซ้ำตายซากอย่างบ้าคลั่ง โจวเหวินไม่แน่ใจหรอกว่าตัวเองตายไปทั้งหมดกี่ครั้งแล้ว แต่ที่แน่ๆคือเขาเอาแต่ตายมาหลายวันมากๆแล้ว


ในที่สุด ครั้งนี้ หลังจากที่เขาใช้มิติสูญหาย ทันใดนั้น แหวนมิติสูญหายก็ได้ระเบิดพลังออกมา หน้าของแหวนที่เป็นหัวกระโหลกนั้น ครึ่งนึงดูโหดร้าย อีกครึ่งดูสวยงามเหมือนเทวดากับปีศาจอยู่รวมกัน


ในตอนนั้นเองพลังงานเริ่มก่อนตัวขึ้น ทำให้ดวงตาของใบหน้านั้นส่องแสงออกมา


กริ๊ก กริ๊ก กริ๊ก กริ๊ก


ทันใดนั้นเสียงก็ดังออกมาจากดวงตาของใบหน้าบนแหวน มันเป็นเสียงเหมือนกับกลไกบางอย่างกำลังหมุนและขยับอยู่นั้น แต่พอโจวเหวินมองดูดีๆที่ดวงตาของมันนั้น มีเหมือนวงล้อเสี่ยงดวงคู่นึงอยู่แทนที่ดวงตา แต่เข็มของวงล้อนั้น มันดูแปลกมากๆ มันไม่ใช่หน่วยเป็นเวลาแบบเดียวกับที่โจวเหวินคุ้นชิน แล้วก็ไม่ใช่หน่วยไหนๆที่โจวเหวินเคยเห็นด้วย


วงล้อทั้ง2วงที่ดวงตานั้นมันค่อยๆหมุนพร้อมเสียงกริ๊กที่เกิดมาจากการหมุนของวงล้อ ตอนที่วงล้อทั้ง2วงนั้นหมุนวนมาจนสุดรอบแล้ว มันก็หยุดนิ่งก่อนที่ข้อความในเกมส์จะเด้งขึ้นมา


“มิติสูญหายได้พัฒนาเป็นอารยมิติขั้นพัฒนาแล้ว “


อารยมิติ ขั้นพัฒนา มิติสูญหายคือต้นกำเนิดของอารยมิติ


ตอนที่เขาพัฒนาร่างนั้น โจวเหวินรู้สึกได้ถึงข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับอารยมิติ เขาเลยเข้าใจการทำงานของอารยมิติอย่างง่ายๆด้วย แต่ถ้าเขาอยากจะเข้าใจมากกว่านี้เขาต้องไปลองดูเอาเอง ถ้าเทียบกับมิติสูญหายแบบเก่าที่ใช้ได้24ชั่วโมงครั้งแล้ว อารยมิตินั้นถือว่าดีกว่าเดิมแบบหลายขุม หน้าปัดวงล้อที่โจวเหวินเห็นนั้นจริงๆแล้วเป็นตัวกำหนดพิกัด หลังจากที่กำหนดพิกัดเรียบร้อยแล้ว โจวเหวินสามารรถทำการวาประยะไกลได้ และจะใช้ได้วันละครั้งเท่านั้น


ส่วนการวาประยะสั้นเหมือนเมื่อก่อนนั้น ตอนนี้เขาใช้ได้เยอะขึ้นมากแล้ว เขาใช้ได้มากสุดถึง10ครั้งต่อวัน


“แบบนี้มันก็เข้าใกล้การวาปไร้ขีดจำกัดไปอีกขั้นนึงแล้วซินะ”โจวเหวินพอใจกับความสามารถนี้มากแต่เขายังไม่รู้ว่าจะปรับพิกัดยังไงเหมือนกัน


หน้าปัดบนวงล้อของดวงตานั้นมันต่างจากปรกติมากๆ


หรือว่านี่จะแทนลองติจูด ละติจูดกันนะโจวเหวินคิดหาวิธีลองปรับค่าพิกัด ถ้าปรับค่าไม่ถูกต้องแล้ว เลวร้ายที่สุดโจวเหวินอาจจะวาปไปบนกะทะที่น้ำมันร้อนๆ หรือไม่ก็วาปเข้าไปในห้องน้ำหญิงก็ได้


“ช่างมันก่อนละกัน ค่อยไปดูกันในอนาคต ยังไม่สายไปหรอกถ้าจะทำให้อารยมิติกลายมาเป็นระดับสมบูรณ์หน่ะ”โจวเหวินเริ่มใช้มังกรเทียนวาปเขาไปตายใหม่


แต่รอบนี้ การที่ตัวละครของโจวเหวินตายนั้น มันแทบไม่เพิ่มพลังงานของอารยมิติเลย ไม่ซิ ต้องเรียกว่าเพิ่มแบบน้อยนิดมากตั่งหาก


“ถ้าได้พลังงานแค่นี้จากการตาย แล้วเมื่อไรถึงจะได้ขึ้นเป็นขั้นสูงสุดวะเนี่ย ถึงมันจะเอาเลือดของฉันไปหมดตัวแต่มันก็น่าจะยังไม่พอเลยมั่ง”โจวเหวินรู้ตัวแล้วว่าทางนี้ใช้ไม่ได้อีกแล้ว เขาเลยคิดหาทางอื่น


“นายน้อยเหวินครับ ดูข่าวรึยังครับ”ในตอนที่คิดนั้นเอง อาเซิงก็โทรมา


“ข่าวไรอะ”โจวเหวินถาม


ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่ฟาร์มเกมส์ไม่ได้สนใจทีวีหรืออะไรพวกนั้นเลย นานๆทีถึงจะออกมาซื้ออาหารซื้อของใช้ให้หยาเอ๋อ เขาไม่ได้ตามข่าวเลยแม้แต่น้อย


“ไปดูพาดข่าวหน้า1ของสำนักพิมพ์ลั่วหยางซิครับ”อาเซิงพูด


โจวเหวินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาเลยเข้าไปในเน็ต จานั้นจู่ๆก็มีคนโพสรูปของนางฟ้า6ปีก ไม่ซิ ถ้าจะพูดให้ถูกคือผู้หญิงที่สวมชุดเกราะนางฟ้าตั่งหาก


“อะไรกันน่ะไม่ใช่ว่าเทวดา6ปีกแต่เดิมทีเป็นของจอห์นหรอกเหรอ หรือว่าตัวมันเจอคู่สัญญาใหม่แล้ว “โจวเหวินแอบดีใจแล้วถามอาเซิง “ที่ลั่วหยางเลยเหรอ”


โจวเหวินคิดว่าถ้าเทวด6ปีกอยู่ที่ลั่วหยางละก็ โจวเหวินอาจจะไปตามฆ่าเพื่อเอามาพัฒนาวิญญาณชีวิตให้เป็นขั้นสมบูรณ์ได้ก็ได้


“ใช่ครับ ในพื้นที่ต่างมิติใกล้ๆลั่วหยาง ตอนแรกผมเองก็คิดว่าผู้พิทักษ์เขาออกจากร่างเองแต่ไม่ใช่แบบนั้นครับ เขาคือผู้ทำสัญญาคนใหม่”อาเซิงพูด


“แล้วฉันจะไปหาเขาได้ที่ไหน”โจวเหวินถาม


“ผมส่งคนไปตรวจาสอบแล้วครับ ไว้จะแจ้งทีหลังถ้าได้ข่าวกลับมา”อาเซิงพูด “แล้วก็ คุณนายชวนนายน้อยกับหยาเอ๋อไปทานข้าวที่บ้านด้วยนะครับ”


“ได้ๆ”โจวเหวินอยู่ที่หอนานไปแล้ว ตอนนี้อารยมิติพัฒนาแล้ว แต่ก็ตันๆอยู่ เขาเลยคิดจะออกไปเดินเล่นสูดอากาศข้างนอกซักหน่อย


เขาเล่นเกมส์ทุกวัน หยาเอ๋อเองก็นั่งอยู่อย่างงั้นคนเดียวในหอมานานเกินไปแล้ว ไม่แน่ใจว่ามันมีปัญหาทางใจเหมือนคนปรกติรึเปล่า


โจวเหวินเลยให้อาเซิงนัดเวลาแล้วโจวเหวินก็พาหยาเอ๋อมาสั่งอาหาร


แต่มันน่าแปลกตรงที่โจวหลิงเฟิงพ่อของโจวเหวินอยู่ด้วยวันนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะโจวเหวินนานๆทีมาที่นี้เลยไม่ค่อยได้เจอพ่อ แต่เอาจริงโจวเหวินก็ชินแล้วละ โจวหลิงเฟิงนั้นมักจะหายออกไปจากบ้านบ่อยๆก่อนที่เขาจะแต่งงงานกับอันหลานหยาง


ตอนที่กินนั้นเอง อันหลานหยางก็คุยกับโจวหลิงเฟิง โจวเหวินรู้ว่าตอนนี้เขากำลังแปลหนังสืออยู่ และเขาทำอาชีพนี้มานานมากแล้วด้วย ตอนนี้เขาก็ใกล้จะทำเสร็จแล้ว


“หนังสืออะไรเหรอครับ”โจวเหวินถามด้วยความสงสัย


ตอนนี้เขามาอยู่กับอันหลานหยางแล้วดังนั้นโจวหลิงเฟิงจึงไม่จำเป็นต้องแปลงานปรกติธรรมดาแล้ว ทุกวันนี้เขาแปลหนังสือไม่ใช่เพราะแค่หาเงินออย่างเดียว


โจวหลิวเฟิงเลยพูด ก่อนที่จะเกิดพายุต่างมิติ หนังสือในเมืองเล็กๆในเขตแดนใต้น่ะ ภาษาของมันยังไม่สมบูรณ์และเต็มไปด้วยสัญลักษณ์เต็มไปหมด งานแปลมันเลยไม่ค่อยลื่นหน่ะ”


โจวเหวินพอฟังแบบนั้นแล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาไม่ได้สนใจเรื่องการเขียนเลยด้วยซ้ำ


818 อสูรปฐพี


ในระหว่างทางกลับนั้นเอง โจวเหวินได้พาหยาเอ๋อไปเดินเล่นบนถนนเมืองลั่วหยาง เขารู้สึกได้ชัดเจนมากๆว่าลั่วหยางนั้น ดูจะซบเซาลงจากเมื่อครั้งแรกที่เขามาที่ลั่วหยางมากๆ


ชีวิตมันยากลำบากมากขึ้น แถมยังมีสิ่งมีชีวิตหลุดจองจำออกมาอีก ในช่วงเวลาที่มีปัญหาแบบนี้ มันเป็นเรื่องยากที่จะมีบ้านที่มั่นคง ยากเข้าไปใหญ่เลยถ้าหากต้องเลี้ยงเด็กซักคน คนส่วนมากจึงเลือกที่จะไม่มีลูกกัน


ถึงแม้ว่ารัฐบาลกลางจะสนับสนุนให้คนมีลูกกันเต็มที่ แต่อัตราการเกิดใหม่ของเด็กแต่ละปีนั้นต่ำลงทุกๆปี


หยาเอ๋อนั้นมองไปรอบๆตัวอย่างอยากรู้อยากเห็น ทุกๆอย่างบนโลกนี้มันใหม่สำหรับเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่เด็กจริงๆ แต่ในใจเธอนั้นเธอเด็กกว่าเด็กบางคนซะอีก


เพราะยังไงเธอเองก็โดนกักขังอยู่ในร่างกุมารีมานานมากๆ ยกเว้นแต่เรื่องที่ให้เธอไปสู้ เสี่ยวเทียนฟางก็แทบไม่เอาเธอออกไปไหนเลย


โจวเหวินเลยคิดว่าไหนๆก็ออกมาวันนี้กันแล้ว เขาน่าจะออกมาผ่อนคลายแล้วพาหยาเอ๋อมาเดินเล่นซื้อของอะไรกันซักหน่อยบ้าง ให้เธอได้ลองใช้ชีวิตสนุกๆแบบคนปรกติดูบ้าง ถึงแม้ว่าหยาเอ๋อจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่แค่มองก็รู้ได้เลยว่าเธอมีความสุขขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด


“ถ้ามีเวลาในอนาคตฉันหาเวลาพาเธอมาเดินเล่นอีกดีกว่า”โจวเหวินพูดกับตัวเอง เขารู้สึกว่าเขาต้องดูแลหยาเอ๋อก็จริง แต่เขาไม่เคยรู้สึกตัวเองเลยว่า ถ้าไม่มีหยาเอ๋อ โจวเหวินจะกลายเป็นคนที่เคยชินกับการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมากเกินไป


แต่พอตอนที่หยาเอ๋อกำลังลองเล่นเกมส์วีอาร์อยู่นั้นเอง โทรศัพท์ของโจวเหวินก็ดังขึ้น ฉางหยูฉีโทรมาหาเขานั้นเอง


“เรื่องที่นายถามฉันเกี่ยวกับเทพวิหกทมิฬหน่ะ นายอยากได้เทพวิหกทมิฬจริงๆหรือว่าแค่อยากได้สัตว์อสูรที่ช่วยให้นายหนีรอดหน่ะ”ฉางหยูฉีถาม


“เอาจริงๆฉันอยากได้สัตว์ขี่ที่วาปได้หน่ะ พอจะคิดออกไหม”โจวเหวินถามตรงๆ


ฉางหยูฉีพูด “จริงๆก็ไม่หรอกแต่ถ้านายอยากจะหนีจริงๆหน่ะ ตระกูลฉางของเรากำลังจะมีการเปิดขายสัตว์อสูรที่สามารถหนีลงดินได้น่ะ บางทีถ้านายมาได้นายอาจจะซื้อไปได้ก็ได้นะ”


“สัตว์อสูรที่มุดดินได้เหรอ มันขี่ได้รึเล่า”โจวเหวินถามทันที


ถ้ามันเป็นสัตว์ขี่ได้ มันก็น่าสนใจมากทีเดียว เพราะว่าสำหรับโจวเหวินการที่มันพาเจ้าของหนีออกมาได้ด้วยถือว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่ามาก


นอกจากการวาปแล้ว การมุดลงดินก็เป็นสกิลหนีที่ดีมากๆเช่นกัน เพราะโจวเหวินเองก็อยากได้สัตว์ขี่ที่พาหนีได้จริงๆอยู่ด้วย ถ้ามันขี่ไม่ได้ มันก็ไม่ค่อนจะมีประโยชน์เท่าไร อย่างเช่นไท่ซุย ถึงมันจะมุดลงดินได้แต่มันขี่พาเจ้าของไปด้วยไม่ได้ก็เท่านั้น


“เป็นสัตว์ขี่ ระดับเร้นลับด้วย แต่มีคนมาแย่งซื้อกันเยอะมากเลยละรอบนี้ ฉันคิดว่าราคามันน่าจะสูงเอาเรื่องเลย”ฉางหยูฉีพูด


“ทำไมตระกูลฉางของเธอถึงขายมันละ”โจวเหวินถาม


สัตว์อสูรที่ดีขนาดนั้นใครๆก็อยากได้ ตระกูลฉางกลับขายมัน ทำให้โจวเหวินรู้สึกแปลกๆ ถ้าเป็นสัตว์อสูรของโจวเหวินละก็ เขาจะไม่ขายมันแน่ๆ


“เหตุผลมันซับซ้อนหน่ะ ฉันอธิบายยังไม่ได้หรอก แต่เอาเป็นว่ามันเป็นสัตว์อสูรที่ดีมากๆเลย ถ้านายสนใจก็มาหามาดูกันได้ ฉันจะทำหน้าที่เจ้าภาพที่ดีให้เอง”


“โอเค จะว่าไปแล้วมันคือสัตว์อสูรอะไรกันละ”โจวเหวินถาม


“มันคือ1ในอสูรปฐพี5ธาตุหน่ะ”ฉางหยูฉีคิดก่อนจะพูด “ในดินนั้นมี5ธาตุถูกไหม มีทอง มีไม้ มีไฟ มีดิน ซึงแต่ละตัวก็มีความสามารถต่างกันไป อสูรปฐพีนั้นมีความพิเศษตรงที่ว่า คนที่ได้มันมานั้นต้องได้มันมาจากพื้นที่ต่างมิติและมันจะดรอปให้คนที่มีพรสวรรค์เท่านั้น มันไม่มีประวัติเสียหายอะไรแต่ก็มีคนเยอะเหมือนกันที่อยากได้มัน เพราะงั้นราคามันเลยดีดหน่ะ”


โจวเหวินเข้าใจทันทีว่าอสูรปฐพีนั้นต้องเป็นเหมือนต้นกล้วยเซียนเลย มันเป็นไข่สัตว์อสูรจากพื้นที่ต่างมิติพิเศษเหมือนกัน


หลังจากคุยกับฉางหยูฉีซักพัก เขาก็รู้ได้ว่างานประมูลจะมีขึ้นในเดือนหน้า เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วง


“เดี๋ยวไว้ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันใหม่ด้วยกำลังของฉันตอนนี้ ฉันไม่น่าจะต้องกังวลปัญหากับกรมควบคุมพิเศษอีกแล้วละ แค่เอาแร่เงินที่มีไปขายก็พอแล้ว”พูดถึงเรื่องนี้เขาเลยโทรถามอาเซิงทันทีว่ามีวิธีแลกแร่เงินไหม


“ทางคลังของกองทัพลั่วหยางนั้นกำลังต้องการแร่เงินพิเศษจำนวนมากพอดี ถ้านายน้อยจะขาย ขายให้กับเราโดยตรงก็ได้ครับ เรื่องราคาไม่ต้องห่วงครับ ผมจัดให้นายน้อยแบบไม่ขาดทุนแน่นอน”โจวเหวินตกลงทันที


หลังจากคุยกันเรื่องราคาและรายละเอียดการจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว อาเซิงจู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า “จะว่าไปนายน้อยสนใจไปเดินชมคลังแสงไหมครับ”


“จะดีเหรอ”โจวเหวินประหลาดใจเล็กน้อย


“ไม่มีอะไรแย่ครับ สำหรับคนอื่นคลังแสงเป็นความลับก็จริงแต่นายน้อยไม่ใช่คนอื่นอยู่แล้วครับ อีกอย่าง ผมอยากให้นายน้อยไปดูอะไรอย่างนึงด้วย”


โจวเหวินไม่ได้อยากไปแต่ในเมื่ออาเซิงบอกแบบนั้น เขาเลยตกลงไปก็ได้


หลังจากนัดแนะเวลากันแล้วโจวเหวินก็พาหยาเอ๋อไปที่คลังแสง


คลังแสงนั้นจริงๆแล้วเป็นพื้นที่ต่างมิติ โดยใช้พลังของพื้นที่ต่างมิติในการป้องกันไม่ให้คนนอกเข้ามาได้ แถมคลังแสงที่ว่านี้ยังมีกล้องรักษาความปลอดภัยหนาแน่นมากอีกด้วย


ไม่เหมือนกับที่โจวเหวินคิดไว้เลย คลังแสงที่ว่านั้นมันดูทันสมัยมาก มันมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัย ซึ่งดูเหมือนกับจะเป็นแลปในหนังไซไฟซักเรื่อง ไม่ใช่ว่าชีวิตนี้จะได้เห็นแลปใหญ่ๆแบบนี้ได้ง่ายๆ


“ท่านผู้การทำการค้นหาที่นี้มานานมาก ที่นี้มีคำสาปพิเศษที่ส่งผลต่อคนนอกแต่ก็ไม่ได้รบกวนการทำงานของเครื่องมือต่างๆ


โจวเหวินมองเครื่องมือต่างๆที่แขวนเอาไว้ ทั้งกระสุนแร่เงิน โล่เงิน ดาบเงิน เกราะเงินต่างๆนานา ส่วนอันอย่างอื่นที่โจวเหวินยังไม่เคยเห็นนั้นเป็นของเล่นใหม่ที่กำลังพัฒนาอยู่ ยังไม่เปิดตัวเร็วๆนี้ โดยแบ่งพื้นที่วิจัยออกเป็นหลายๆชั้น


โจวเหวินเห็นเครื่องยนต์และเครื่องส่งสัญญาณที่มาจากแร่เงินทำให้เขาตกใจมาก


“ท่านผู้การใส่ใจกับทุกรายละเอียดของคลังแสงนี้มากครั้ง เขาหมดเงินไปมากมายในทุกๆปีและแต่ละปี ค่าใช้จ่ายในส่วนอุปกรณ์และวัตถุดิบแพงมากๆ โชคดีที่นักวิทยศาสตร์นั้นส่วนมากก็มาจากการวิจัยเหมือนกันหมด ไม่งั้นเขาก็ต้องไปเสียตังจ้างวิศวะแพงๆด้วย


“แล้วอาวุธแร่เงินสมัยนี้มันช่วยกำจัดสิ่งมีชีวิตระดับเร้นลับออกไปได้จริงๆเหรอ”โจวเหวินถาม


“แร่เงินปรกติเป็นอาวุธก็ไม่พอหรอกครั้ง แต่ก็เหมือนดาบไม้ไผ่ที่นายน้อยใช้แหล่ะครับ อาวุธแร่เงินพิเศษบางอย่างก็แข็งแกร่งพอจะสู้กับระดับเร้นลับได้ แต่ก็ยังไม่ยืนยันว่าชนะครับ ตอนนี้กำลังวิจัยกันอยู่เลย”ตอนที่อาเซิงพูดนั้นเอง สายตาของโจวเหวินก็หันไปรอบๆแล้วดู


“นั้นอะไรอะ”โจวเหวินถามด้วยความสงสัย


“ลองดูเองเลยดีกว่าครั้บ”อาเซิงไม่ตอบแต่หยิบเอาขึ้นมาให้โจวเหวินดู


เหมือนกับว่าประตูสู่การเรียนรู้ถูกเปิดออก โจวเหวินนั้นตกใจมากทันทีกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า


819 เครื่องเร่งอานุภาพลมปราณ


ภายในห้องแลปผสมโกดังขนาดใหญ่นั้นเอง มีเครื่องมือแปลกๆวางไว้ในแนวตั้ง ซึ่งดูไปดูมามันเหมือนกับจรวดยังไงชอบกลแต่ขนาดของมันใหญ่เกินไปมาก ถ้าจับเอามาวางนอนในแนวขวางละก็ความยาวของมันจะเกินโกดังไปอีก ภายในนั้นยังมีวงแหวนที่ทำมาจากคริสตอลอยู่ข้างในนั้นด้วย


“เครื่องนี้ทำมาจากแร่เงินหมดเลยเหรอ แล้วผลึกคริสตอลนั้น คือผลึกแร่เงินรึเปล่า”โจวเหวินถามด้วยความตกใจ


ถ้าเกิดทั้งหมดนี้ทำจากแร่เงินทั้งหมดละก็ ราคาค่าใช้จ่ายของมันก็จะสูงเกินกว่าจะคิดถึงได้ โจวเหวินลองคำนวณดูคร่างๆแล้ว มันเยอะมากเกินไปจริงๆ


“59%เป็นแร่เงินครับ ส่วน28%เป็นผลึกแร่เงิน ที่เหลือจะเป็นพวกอุปกรณ์เสริมแต่งนิดหน่อยครับ”อาเซิงพูด


“แล้วมันคืออะไรละ จรวดเหรอ”โจวเหวินถาม


“จะเรียกว่ามันเป็นเครื่องยิงจรวดขนาดยักษ์ก็ได้ครับมันทำงานคล้ายๆกัน แต่มันก็มีต่างกันครับ เครื่องนี้มีชื่อว่าเครื่องเร่งประจุอานุภาคลมปราณครับ”อาเซิงอธิบาย”หน้าที่หลักของมันคือการอัดควบแน่นลมปราณก่อนจะเร่งความเร็วของมันแล้วยิงออกไปครับ”


“แล้วพลังที่ทำได้ละมันขนาดไหน”โจวเหวินถาม


อาเซิงคิดซักพักก่อนจะตอบ “คำถามนี้เป็นคำถามที่ตอบยากมากครับ เพราะพลังของมันจะขึ้นอยู่กับพลังของลมปราณที่ใส่เข้ามาและความเร็วในการเร่ง ด้วยความสามารถที่ทำสูงสุดตอนนี้ คือผลึกพลังงาน 4.5ตัน พร้อมกัน พลังงงานที่อยู่ในนั้นทั้งหมด ถูกบีบอัดและยิงไปด้วยความเร็วเหนือเสียงครับ”


“ไม่เข้าใจอะ ของ่ายๆหน่อยได้ไหม”โจวเหวินถาม


“เพราะว่ามันยังอยู่ในระหว่างการทดลองครับ แก้วผลึกหลายๆตัวจึงยังไม่ได้เอาออกมาใช้เพราะงั้นพลังของมันยังเป็นทางทฤษฏีเท่านั้นครับ ตามการคำนวนแล้ว ถ้าเกิดคุณยิงพลังงานทั้งหมดที่คนเรามี พลังของมันก็เพียงพอที่จะระเบิดแขนของเบม่อนที่เปิดสุดยอดพลังแล้วต่อยสวนเข้ามาเต็มแรงได้เลยครับ แต่ก็แน่นอนว่ามันเป็นแค่เรื่องทางทฤษฏีเท่านั้น เอาจริงๆแล้ว มันมีการเตรียมการเยอะแยกมากเลยครับกว่าจะได้ยิงครั้งนึง มันต้องใช้เวลาอุ่นเครื่องและเตรียมการบีบอัดพลังงานนานมากๆ ถึงแม้ว่าจะเตรียมอุปกรณ์ไว้ก่อนแล้วก็เถอะ แต่กว่าจะได้ยิงแต่ละครั้ง ต้องใช้เวลาเตรียมการนานสูงสุดมากกว่า10ชั่วโมงเลยนะครับ ถึงจะได้พลังสูงสุด”


“ดูยุ่งยากจัง”โจวเหวินพูด


ใช่ครับมันยุ่งยาก เพราะเดิมทีรากฐานของโครงการนี้มันยังอ่อนแอกมากครับ มันยังมีเทคนิคหลายๆอย่างที่พึ่งถูกค้นพบระหว่างการทำแต่ใช้ได้จริงตอนเริ่มสร้าง ถึงแม้ว่าเครื่องนี้จะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด แต่อย่างน้อยเราก็มาถูกทางแล้วครับ การบีบอัดแล้วเร่งประจุพลังงานก่อนจะยิงออกไปนั้นเป็นแนวคิดที่มีพลังทำลายสูงมากๆครับ ความเสียหายที่ทำได้กับสิ่งมีชีวิตต่างมิติก็มีมากด้วย ดีกว่ากระสุนเงินธรรมดาตั้งเยอะ


พอพูดจบแล้ว อาเซิงก็พูดต่อ “แต่ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้คือทำยังไงให้เครื่องนี้มันใช้ได้ดีกว่านี้ละก็ เราสามารถอัดลมปราณที่มีในตัวเข้าไปในนั้นเหมือนกระสุนก่อนจะบีบอัดและเร่งความเร็วจนแน่นก่อนจะยิงออกไปในขนาดที่เล็กเท่ามือคน ถึงตอนนั้นมันก็เป็นไปได้แล้วละว่าจะผลออกมายังไง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็มักจะเกิดปัญหาบ่อยมาก ซึ่งเราต้องแก้กันไปทีละจุด เพราะงั้น รุ่นแรกที่ผลิตออกมาจึงขนาดมหึมามากๆ”


“เจ้านี้มันก็ดีนะ แต่มันจะใช้ได้จริงเหรอ”โจวเหวินยังคิดไม่ออกว่าจะใช้เจ้านี้ยังไงดี


ถ้าเกิดจะใช้จัดการกับระดับเร้นลับละก็ ความเร็วของระดับเร้นลับจะมากเกินกว่าจะเล็งได้ ยกเว้นแต่ว่าเป็นระดับเร้นลับที่IQต่ำติดดินถึงขนาดยืนนั่งอยู่หน้ากระบอกเครื่องได้


แถมเครื่องยังต้องใช้เวลาเตรียมการอีกเป็น10ชชั่วโมง เพราะงั้นถ้าจะยิงใครซักคนละก็ คงต้องทำนัดเอาไว้ให้มาเข้าไปเพื่อให้ยิงโดนแล้วละ โอกาสยิงโดนมันต่ำเกินไป


“เครื่องยิงอานุภาคที่ใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้มียิงสิ่งมีชีวิตระดับเร้นลับอยู่แล้ว เดิมทีมันสร้างขึ้นมาเพื่อไว้ใช้จัดการยิงถล่มในเหตุการณ์สิ่งมีชีวิตต่างมิติหลุดจองจำครั้งใหญ่เท่านั้นครับ”


โจวเหวินทันใดนั้นก็เข้าใจอันเทียนโจทันทีว่า อันเทียนโจนั้นวางแผนและวิจัยเรื่องนี้เพื่อให้ลั่วหยางปลอดภัยในอนาคตซึ่งถ้าหากมีสิ่งมีชีวิตต่างมิติหลุดจองจำครั้งใหญ่ออกมาจริงๆในอนาคตละก็ เจ้าเครื่องนี้มันก็จะมีประโยชน์มากทีเดียว


“แต่ถึงอย่างนั้น การพัฒนาตอนนี้มุ่งเป้าไปที่ทิศทางการทำให้มันเล็กลงเบาลงครับ ผมอยากจะให้คนๆเดียวสามารถใช้งานมันได้ และจะเริ่มวิจัยในอีกไม่กี่ปีหน้า แต่ตอนนี้ปัญหาใหญ่เลยก็คือไม่ใช่แค่เรื่องเงิน เรื่องวัตถุดิบแต่รวมไปถึงเรื่องปัญหาทางเทคนิคที่ต้องรอผู้เชี่ยวชาญมากู้ ตอนนี้เราเจอปัญหาเล็กๆน้อยๆเต็มไปหมด ซึ่งอาจจะยังแก้ไม่หมดในอีก2-3ปีด้วยซ้ำ


โจวเหวินนั้นเห็นถึงความหวังของอาเซิงในเครื่องนี้จริงๆ


แน่นอนว่ามนุษยชาตินั้นไม่สามารถเป็นระดับเร้นลับได้ทุกคน พวกเขาเลยต้องพึ่งพาปัจจัยหรือพลังจากภายนอก อย่างเช่นสัตว์อสูร หรือผู้พิทักษ์ แต่อันเทียนโจกับอาเซิงนั้น ต้องการจะหาหนทางใหม่ให้เป็นตัวเลือก


“ตอนนี้เรากำลังจะศึกษาการทำงานของผลึกแร่เงินครับ การศึกษานี้ไม่เพียงแต่จะนำมาซึ่งผลของการทดลองว่ามันมีผลอะไรบ้าง แต่ในอนาคตทั้งแร่เงินและผลึกแร่เงินนั้น จะนำเราไปสู่การวิจัยเครื่องยิงอานุภาคได้อย่างประสบความสำเร็จแน่ๆ เพราะถึงแม้ว่ามนุษย์จะเป็นแค่ระดับตัวอ่อน แต่ถ้าพวกเขาสามารถใช้เครื่องนี้ได้ละก็ โอกาสที่จะเอาชนะสิ่งมีชีวิตต่างมิติที่ก้าวหน้าหรือระดับเร้นลับเลยก็ยังฆ่าได้”


“ฉันหวังว่าวันนั้นจะมาถึงเหมือนกัน”โจวเหวินรู้สึกได้ว่าถ้าสำเร็จจริงๆ มันจะกลายเป็นหลักประกันใหม่ของสังคมมวลมนุษยชาติ ทำให้มนุษย์นั้นมั่นคงมากขึ้น


ก็เหมือนกับสังคมสมัยโบราณที่มนุษยค่อยๆเรียนรู้วิธีการใช้เครื่องมือต่างๆ จนสำเร็จกลายเป็นผู้พิชิตโลก จากนั้นก็สร้างเครื่องมือเพิ่มขึ้นมาอีกเช่นรถ เรือ เครื่องบิน แล้วกลายเป็นผู้ปกครองโลกได้สำเร็จ


บางทีเกราะพลังงานหรือเครื่องยิงพลังงานลมปราณนั้นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสวนกลับของมนุษย์ชาติก็ได้ในอนาคต เพราะงั้นโจวเหวินจึงอยากสนับสนุนพวกเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้


ตอนนี้เครื่องยิงอานุภาคขนาดนั้น ใช้สู้อะไรไม่ได้เลย


“ท่านผู้การเองก็รอคอยวันนั้นเช่นกันครับ เขาบอกมาว่าถ้ามนุษย์ไม่สามารถเป็นระดับเร้นลับได้ ร่างกายของพวกเราไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนสิ่งมีชีวิตที่มาจากต่างมิติ ถ้าขืนปล่อยไว้ต่อไปยังไงพวกนั้นก็จะเข้ามายืนครองเริ่มแทนแน่ๆ แต่ถ้าเกิดเราเริ่มตอบโต้ด้วยวิธีการอื่นบ้างละก็ ไม่นานสุดท้าย เราก็จะกลับมาเป็นผู้ปกครองโลกอีกครั้งนึง


โจวเหวินมองพนักงานในห้องแล๊ปของคลังแสง พวกเขาทุกคนขยันและดูยุ่งกันมากๆ เหมือนกับว่าอนาคตของมวลมนุษยชาติอยู่ในมือพวกเขา แต่โจวเหวินตอนนี้เริ่มคิดแล้ว ว่าจริงๆแล้วมนุนยชาติก็ไม่ได้สิ้นหวังแบบที่ใครคนอื่นเขาว่านะ


ในขณะที่หลายๆคนฝึกฝนร่างกายตัวเองเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อเตรียมตัวรับมือกับการแหกจองจำครั้งใหญ่ แต่ก็มีคนอีกส่วนหนึ่งที่ทำงานอยู่เบื้องหลังคอยผลิตอาวุธลับแบบนี้อยู่ด้วย


โจวเหวินเลยขายแร่เงินทั้งหมดที่มีให้กับอาเซิง ตอนแรกเขาคิดว่าจะขายแค่นิดเดียวแล้วไปขายร้านอื่นถ้าคุ้มกว่า แต่พอเห็นแบบนี้แล้วโจวเหวินก็ยอมขายแร่เงินที่มีทั้งหมดให้เขา ส่วนจะแลกเป็นอะไรนั้นเดี๋ยวค่อยคิดเอาก็ได้


อาเซิงนั้นตั้งใจที่จะให้โจวเหวินมาดูเจ้าเครื่องเร่งอานุภาพโดยเฉพาะ สิ่งที่พวกเขาขาดตอนนี้อีกอย่าง คือแร่เงินพิเศษนั้นเอง


820 กลับมายังภูเขาฉีซืออีกครั้ง


“มีอีกอย่างนึงครับที่ผมอยากจะให้ดู”หลังจากออกจากแลปแล้ว อาเซิงก็พาโจวเหวินเข้าไปยังศูนย์ของกองทัพลั่วหยาง อาเซิงพาโจวเหวินเข้ามาที่ห้องโถง ที่นั้นมีอุปกรณ์วีอาร์(VR Visual reality แว่นความจริงเสมือน) วางไว้เต็มไปหมด


“ลองดูซิครับ”อาเซิงยื่นอุปกรณ์เครื่องนึงให้โจวเหวินก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้ม


โจวเหวินใส่แว่นนั้นด้วยความสงสัย จากนั้นก็เข้าเกมส์ ทันใดนั้นเขาก็ร้องออกมาด้วยความตกใจทันที


เกมส์นี้มันเหมือนกับเกมส์ที่หวงจี้ทำไว้มากๆ แต่หวงจี้เป็นเกมส์โทรศัพท์ แต่อันนี้มันเป็นเกมส์VRขั้นสูงเต็มรูปแบบ ภาพที่ฉายออกมานั้นเหมือนกับคุกพยัคฆ์ของจริงมากๆ แม้แต่พวกทหารเวทยังเหมือนเลย


แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องการปรับแต่งกับโหมดต่างๆยังคงเหมือนกับเวอร์ชั่นโทรศัพท์มากๆ


“เกมส์นี้มันคุ้นๆแหะ”โจวเหวินพูดหลังจากถอดแว่นออกแล้วมองอาเซิง


“เกมส์นี้ที่มีคุณเป็นหุ้นส่วนด้วยนั้นละครับ มันคือเกมส์ที่คุณหวงจี้เป็นคนสร้าง โดยท่านผู้การเป็นคนออกทุนให้หวงจี้เดินเรื่องทั้งหมด และนี้คือผลงานชิ้นล่าสุดในการฝึกทหารใหม่ครับ”อาเซิงพูด


“อย่างนี้นี่เอง นายทุนคนสำคัญที่หวงตี้พูดถึงก็คืออันเทียนโจนี้เอง”โจวเหวินไม่คิดว่าคนอย่างอันเทียนโจจะกล้ามาลงทุนอะไรกับเกมส์ที่หวงจี้ทำด้วย


โจวเหวินจำได้ว่าอันเทียนโจนั้นรังเกียจเกมส์ที่โจวเหวินเล่นด้วยซ้ำ แต่มาตอนนี้เขากลับร่วมลงทุนซะเอง


“ท่านผู้การจริงๆก็ไม่ใช่คนเลวอะไรหรอกครับ ท่านแค่เป็นคนดื้อกว่าคนอื่นนิดหน่อยเฉยๆ”อาเซิงพูด


“เขาเป็นคนยังไงมันไม่สำคัญหรอก ยังไงตาม เราก็ไม่ใช่คนแบบเดียวกันและเราก็คงไม่ได้เจอกับบ่อยๆในอนาคตแน่ๆ”โจวเหวินพูด


อาเซิงส่ายหน้าแต่ไม่พูดเรื่องนี้ต่อ โจวเหวินบอกอาเซิงเกี่ยวกับเรื่องอสูรปฐพีที่เขาอยากจะไปประมูลด้วย


“ตระกูลฉางงตั้งใจจะขายอสูรปฐพีอย่างงั้นเหรอ ข่าวนี้แน่นอนใช่ไหมครับ”อาเซิงพูดแล้วผงะ


“ก็ฉางหยูฉีเป็นคนพูดเองกับตัวอะ”โจวเหวินพูด


“ถ้าฉางหยูฉีเป็นคนพูดละก็ คงไม่น่าจะใช่เรื่องลวงแน่ๆ น่าแปลกใจจริงๆที่จู่ๆตระกูลฉางถึงเอาอสูรปฐพีมาขายแบบนี้ รอบนี้ตอนประมูล ตระกูลใหญ่ๆคงมากันหมดแน่ครับ”สีหน้าของอาเซิงเปลี่ยนไป  เขาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่


“นายรู้จักที่มาของอสูรปฐพีด้วยเหรอ”โจวเหวินมองอาเซิงเหมือนกับว่าจะถามอะไรบางอย่าง


อาเซิงพยักหน้าแล้วพูด “เอาจริงๆ อสูรปฐพีเป็นแค่1ในอสูร5ตัวที่6ตระกูลเก็บมาได้จากสุสานแห่งปฐมจักรพรรดิ มันคือตัวแรกที่ออกมาส่วนอีก4ตัวไม่รู้หายไปไหน”


“ถ้า6วีรบุรุษเป็นคนเอาขึ้นมา ตัวที่เหลือมันก็น่าจะไปอยู่อีก4ตระกูลนั้นละครับ แต่ตระกูลที่เหลือกลับอ้างว่าไม่มี มีเพียงตระกูลฉางที่มีอสูรปฐพี ทำให้ตระกูลอื่นๆไม่พอใจมากๆ แต่จนถึงตอนนี้ความจริงก็ยังไม่ปรากฏ การที่ตระกูลฉางเอาอสูรปฐพีมาขายนั้น แสดงว่ามันต้องมีเหตุผลอะไรแอบเอาไว้แน่ๆ แล้วฉางหยูฉีได้บอกอะไรไหมครับ ว่าพวกเขาจะเอาอสูรปฐพีมาขายทำไม”อาเซิงพูด


“ไม่ได้บอกหรอก”โจวเหวินส่ายหน้า


“ถ้านายน้อยสนใจ นายน้อยจะไปดูก็ได้ครับ แต่ถ้านายน้อยอยากจะได้มันมาจริงๆ ก็อาจจะยากหน่อยนะครับ การประมูลนี้อาจจะไม่ได้เป็นการประมูลปรกติด้วย”อาเซิงพูด


โจวเหวินพยักหน้า เขาสนใจมากจริงๆนั้นละ แต่เขาสนใจในพื้นที่ต่างมิติสุสานแห่งปฐมจักรพรรดิ์มากกว่า เพราะถ้าเกิดย่องเข้าไปได้ เขาจะได้ลองไปดูก็ได้ว่าข้างในมันเป็นยังไง มีรูปสลักรูปมือไหม


“ผู้กองอันครับ เทวดา6ปีกปรากฏตัวขึ้นอีกแล้วครับ” ตอนที่ทั้ง2คนคุยกันนั้นเอง ทหารก็เข้ามารายงาน


“ที่ไหน”อาเซิงถาม


“ใกล้ๆภูเขาฉีซือครับ”ทหารยื่นเอกสารประกอบ


“ใกล้ๆภูเขาฉีซือเหรอ ทำไมเธอถึงไปที่นั้นละ”อาเซิงขมวดคิ้ว


โจวเหวินเองก็ไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน เดิมทีแล้วเทวดา6ปีกทิ้งจอห์นออกมา แต่ตอนนี้คนที่ทำสัญญาใหม่กับเทวดานั้น กลับไปที่ภูเขาฉีซือซะอย่างนั้น


“มีสถานที่ชัดเจนไหมครับ ฉันอยากเห็นด้วย”โจวเหวินถาม


“จากหน่าวยสอดแนม เราได้พบเธอหลายๆครั้งใกล้แม่น้ำฉีครับ ถ้าอยากจะไปตามหาเธอ ไปตรงนั้นก็ได้ครับ น่าจะมีโอกาสเจออยู่”อาเซิงยื่นข้อมูลให้กับโจวเหวิน


“เส้นนี้เหรอ ฉันจะได้จำไว้”โจวเหวินอ่านข้อมูลแล้วจำข้อมูลทุกอย่างที่จำได้ ก่อนที่โจวเหวินจะตัดสินใจไปตรวจสอบดูก่อน


“ผมยังมีเรื่องต้องไปทำอีกนิดหน่อย เพราะงั้นผมคงไปส่งนายน้อยไม่ได้ แต่ยังไงตรงจุดนั้น รองผู้ว่าฉินหวูฟูก็ยังอยู่ นายน้อยสามารถตรงไปหาเขาได้เลยครับ”อาเซิงพูด


หลังจากที่ออกจากค่ายทหารแล้ว โจวเหวินก็ไปที่ภูเขาฉีซือทันที


ผู้พิทักษ์ส่วนมากตอนนี้ยังไม่มีคนร่วมสัญญา และพวกมันก็ไม่ค่อยมีทางเลือกเท่าไรด้วย ถ้าเจอกันฆ่าได้ก็ฆ่า แถมมันยังเป็นแค่เทวดา6ปีกที่โจวเหวินเคยจะฆ่ามันได้มาแล้ว


ปัญหาติดอย่างเดียวคือเรื่องของจักรพรรดินี ถ้าเป็นไปได้ โจวเหวินก็ไม่อยากจะไปเจอเธอเลยถ้าไม่จำเป็นจริงๆ


จักรพรรดินีนั้นไม่น่าใช่ระดับเร้นลับปรกติทั่วๆไปแล้ว โจวเหวินคิดว่ามันน่าจะเป็นระดับมหันตภัยแหล่ะ แต่ด้วยความที่นางอยู่บนโลก ทำให้พลังของนางโดนลดลงมาเหลือแค่ระดับเร้นลับปรกติเท่านั้น


แต่ถีงอย่างนั้นความแข็งแกร่งของจักรพรรดินีนั้นก็แกร่งกว่าระดับเร้นลับตัวอื่นแน่ๆนอน


โจวเหวินรอบนี้พกหยาเอ๋อไปด้วย ในภูเขาฉีซือนั้นมีตัวประหลาดๆมากมาย อย่างเช่นหนอนเลือดอย่างนี้ โจวเหวินคิดว่ามันเป็นหนอนแมลง มันก็น่าจะบังคับมันได้เหมือนกัน


“หมอโจว มาแล้วเหรอครับ เรากำลังพูดถึงคุณอยู่พอดีเลย”ก่อนที่โจวเหวินจะไปถึงภูเขาฉีซือ เขาก็ได้พบกับทหารลาดตระเวนแล้ว พวกเขาก็เข้ามาทักทายโจวเหวินอย่างประหลาดใจ


ภายในค่ายทหารที่อันจิ้งฝึกอยู่นั้นเอง เธอได้เข้ามาที่ค่ายทหารภูเขาฉีซือมานานมากแล้ว ทุกครั้งที่เธอต่อสู้ เธอเอาจริงเอาจังเสมอ


แต่ไม่ว่าเธอจะทำดีแค่ไหน หรือไม่ว่าเธอจะเอาชนะการต่อสู้ได้มากเท่าไร คนอื่นๆส่วนมากก็แค่ชมเอาเปลือกหน้าเฉยๆ เพราะว่าเธอนั้นเป็นคนในตระกูล และเป็นน้องสาวของอันเทียนโจ


แต่โจวเหวินนั้นใช้เวลาอยู่ที่นี้แค่แปปเดียวเท่านั้น แต่เขากลับได้รับความเคารพจากทั้งทหารและเจ้าหน้าที่มากมาย


เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาพูดถึงโจวเหวิน พวกเขาไม่ได้พูดถึงโจวเหวินที่เป็นลูกเลี้ยงของตระกูลอัน แต่พวกเขาพูดถึงโจวเหวินที่เป็นหมอโจวด้วยความเชิดชูและนับถือ


อันจิ้งไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย ที่เธอทำไปในภูเขาฉีซือนั้นไม่ได้น้อยไปกว่าโจวเหวินเลย แต่ทำไมทุกคนถึงยังทำตัวเหมือนกับว่าเธอเป็นน้องสาวของอันเทียนโจอยู่เลย


“ทำไมฉันถึงได้แพ้กันนะ”เธอฝึกอย่างหนักหน่วงมากๆ เพราะว่าเธออยากจะเอาชนะ เธอแพ้ไม่ได้เด็ดขาด ตอนที่เธอฝึกนั้น จู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงดังมาจากทางหน้าค่าย ตอนแรกเธอคิดว่ามีสิ่งมีชีวิตหลุดจองจำ เธอเลยวิ่งออกไปดู แต่เธอก็พบว่าเหล่าทหารนั้นกำลังห้อมล้อมชายคนนึงอยู่ คนๆนั้นคือโจวเหวิน ชายที่เธออยากจะเอาชนะให้ได้มากที่สุด


อันจิ้งกำหมัดแน่น แต่เธอรีบผ่อนคลายทันที “มันถึงเวลาแล้วซินะ มันถึงเวลาจบเรื่องนี้กันซักที”


821 นายใหม่แห่งเทวดา6ปีก


พอเห็นสายตาที่ทหารพวกนั้นมองโจวเหวินแล้ว อารมณ์ของอันจิ้งก็ยิ่งปั่นป่วนมากกว่าเดิม มันเป็นสายตาที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อน


“โจวเหวิน รอบนี้ฉันจะแสดงให้นายได้เห็นเอง”อันจิ้งคิดในใจ


เสียงนั้นทำให้ฉินหวูฟูต้องออกมาดูข้างนอก พอเห็นว่าโจวเหวินมาเขาก็เชิญโจวเหวินเข้ามาทันที


“โจวเหวิน ตัดสินใจพร้อมที่จะมาเป็นทหารได้แล้วเหรอ”ฉินหวูฟูเทน้ำใส่แก้วให้โจวเหวิน


“ผมได้ยินมาว่ามีเทวดา6ปีก ปรากฏตัวขึ้นบริเวณแม่น้ำ ผมเลยมาดูครับ คุณช่วยพาผมไปหาพยานที่เห็นเหตุการณ์ทีได้ไหมครับ”โจวเหวินพูด


“”ได้ซิ แต่พลังของเทวดา6ปีกมันแข็งแกร่งมากเลยนะ ฉันเองก็ยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นมิตรหรือศัตรู ถ้านายต้องไปปะทะกับมันเข้า ก็ระวังตัวให้ดีนะ” ฉินหวูฟูพูดกับผู้ช่วยของเขาต่อ “ไปตามอันจิ้งมาที”


“รองผู้ว่าครับ เรียกอันจิ้งมางั้นเหรอครับ”โจวเหวินถามทันที


“ใช่แล้วละ นายกับเธอเป็นครอบครัวเดียวกันนี้ ตอนนี้เธอเข้ารับตำแหน่งทำงานในค่ายนี้แล้วด้วย ฉันเลยจะให้เธอพานายไปหน่ะ”ฉินหวูฟูพูด


“ไม่ต้องลำบากถึงมือเธอก็ได้ครับ ขอแค่ทหารพาผมไปก็ได้”โจวเหวินไม่อยากจะไปมีปัญหากับอันจิ้งอีก


“ไม่มีปัญหาหรอก นี้มันเป็นงานของเธอเองเหมือนกัน”ฉินหวูฟูพูดพร้อมรอยยิ้ม


โจวเหวินพอเห็นว่านายทหารคนนั้นเดินออกไปแล้ว เขาเลยไม่พูดอะไรต่อ ยังไงซะก็แค่พาไปหาพยาน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก


โจวเหวินตอนแรกคิดไว้ด้วยว่าอันจิ้งนั้นน่าจะไม่ยอมพาเขาไป แต่ใครมันจะไปคิดว่าเธอกลับมาจริงๆ หลังจากที่ได้ยินคำสั่งของฉินหวูฟูแล้ว เธอก็ทำตามคำสั่งโดยไม่มีการอิดออดๆเหมือนทหารปรกติทั่วไปด้วยซ้ำ


“ดูเหมือนว่าการที่เธออยู่ในกองทัพ มันจะทำให้เธอโตขึ้นมามากเลยนะ ไม่ใช่เป็นเด็กเอาแต่ใจเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” อันจิ้งนั้นปฏิบัติกับโจวเหวินเหมือนกับคนปรกติ ทำให้การเดินทางนั้นเป็นไปด้วยความราบลื่นไม่น่ามีปัญหาอะไร


ทั้งคู่ออกจากค่าย แล้วอันจิ้งก็พาโจวเหวินไปที่แม่น้ำฉี


อันจิ้งนั้นพาโจวเหวินเดินไปเรื่อยๆ ซึ่งโจวเหวินก็คิดว่ามันก็ปรกติดี แต่พอหลังจากนั้นซักพัก โจวเหวินก็รู้สึกได้ถึงอะไรแปลกๆ ตามข้อมูลที่เขารู้นั้น สถานที่ ที่เทวดา6ปีกอยู่นั้นคือบริเวณแม่น้ำฉี แต่อันจิ้งนั้นกลับพาโจวเหวินมาบริเวณภูเขาซึ่งห่างจากแม่น้ำฉีพอสมควร


“ไม่ใช่ว่าเทวดา6ปีกอยู่แถวๆริมแม่น้ำเหรอ ทำไมพามาถึงนี้เลยละ”โจวเหวินถาม


“นายกำลังตามหาเทวดา6ปีกใช่ไหมละ”อันจิ้งหันกลับมาถาม


“ใช่”โจวเหวินพยักหน้า


“ถ้างั้นก็มาถูกที่แล้วละ ตามฉันมาเถอะ ไม่ผิดทางหรอก”อันจิ้งเดินนำต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ แล้วคิด “นายนึกไม่ถึงหรอก ว่าเจ้าของเทวดา6ปีกในตอนนี้จะเป็นฉัน ถึงนายจะเคยเอาชนะจอห์นที่มีพลังของเทวดา6ปีกได้ แต่จอห์นนั้นดึงความสามารถของเทวดา6ปีกไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ฉันนั้นสามารถดึงพลังงานออกมาได้มากกว่า90% แล้ว มันพอที่จะสู้กับนายได้แน่ๆ”


โจวเหวินพอได้ยินแบบนั้นจึงตามเธอไปที่ภูเขาเรื่อยๆ


หลังจากเดินขึ้นมาบนเขาได้ซักพัก ความเงียบสงัดเริ่มปกคลุมทั้ง2คน เธอคิดว่าถึงพวกเขาจะสู้กันตรงนี้ ที่ค่ายก็ไม่มีทางได้ยินเสียงแน่ๆ


“ตรงนี้เหรอ เทวดา6ปีกปรากฏตัวขึ้นแถวนี้เหรอ”โจวเหวินมองไปรอบๆแต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววอะไร โจวเหวินใช้พลังของสดับวานรก็แล้ว แต่ไม่พบอะไรเลยจริงๆ


“ใช่แล้ว มันอยู่นี้แหล่ะ”อันจิ้งพูดอย่างสงบ


“หมายความว่าไงกัน”โจวเหวินเริ่มรู้สึกได้ว่าอันจิ้งนั้นทำตัวแปลกๆไป และทันใดนั้นเอง เขาก็เห็นแสงศักดิ์สิทธิ์เจือประกายออกมาจากร่างของอันจิ้ง พร้อมขนนกสีขาวบริสุทธ์ที่ก่อตัวขึ้นมาจนกลายเป็นปีกทั้ง6ด้านหลังของอันจิ้ง แบบเดียวกับที่โจวเหวินเคยเห็นมาก่อนเลย


“ผู้ทำสัญญาผู้พิทักษ์คนไหมก็คือเธอเองซินะ”โจวเหวินขมวดคิ้ว


โจวเหวินนั้นตอนแรกตั้งใจจะมาปราบเทวดา6ปีก แต่พอเห็นว่าเทวดา6ปีกนั้นเป็นของอันจิ้งไปแล้ว ถ้าเกิดเขาฆ่าผู้พิทักษ์ของอันจิ้งละก็ ถ้าอันหลานหยางรู้เข้าคงจะไม่ดีแน่ๆ


“ตั้งแต่ที่ฉันเข้ากองทัพมา ฉันก็ฝึกหนักมาโดยตลอด ฉันทำงานหนักกว่าคนอื่น ฝึกตอนที่คนอื่นพัก พยายามทุกวิธีที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น และตอนนี้ ฉันก็มายืนจุดเดียวกับนายแล้ว วิญญาณชีวิตขั้นสมบูรณ์ สัตว์อสูรระดับเร้นลับ และผู้พิทักษ์ ตอนนี้ฉันมี ในสิ่งที่นายมีหมดแล้ว เรามาประลองกันอย่างสมศักดิ์ศรีจะดีกว่า”อันจิ้งพูดออกมา


“เทวดา6ปีกนั้น จักรพรรดินีเป็นคนช่วยเธอทำสัญญาใช่ไหม”โจวเหวินถามอันจิ้ง


“นายรู้จักจักรพรรดินีด้วยเหรอ”อันจิ้งตกใจเล็กน้อย


โจวเหวินพอได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มแห้งๆ “ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ค่อยอยากจะรู้จักหรอก ที่จะถามก็คือ ตอนที่ทำสัญญาหน่ะ เธอมีเงื่อนไขอะไรรึเปล่า”


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายซักหน่อย”อันจิ้งพูด


“เรื่องของเธอไม่เกี่ยวกับฉันอยู่ละ แต่เธอเป็นลูกของแม่เลี้ยงฉันไง ฉันไม่อยากให้แม่เลี้ยงต้องเศร้าหรอกนะ แล้วฉันก็อยากให้เธอเข้าใจด้วย ว่าจักรพรรดินีนั้นเป็นตัวตนที่อันตรายมาก เธอก็น่าจะรู้นี้ว่าจอห์นจบชีวิตลงได้ยังไงหน่ะ”โจวเหวินพูด


อันจิ้งมองโจวเหวินแล้วพูด “ไม่ต้องห่วงเรื่องแม่ฉันหรอก โตๆกันหมดแล้ว ฉันรู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร และฉันก็ไม่ได้รับเงื่อนไขอะไรหรือสัญญาอะไรกับจักรพรรดินีด้วย นางไม่ได้ขออะไรฉันเลย มีแค่ขอให้ฉันพยายามอย่างสุดกำลังในการเอาชนะการประลองในตารางจัดอันดับครั้งหน้าแล้วเอาผลไม้เทพมาให้เธอหน่ะ”


เดี๋ยวก่อนซิ งี้หมายความว่าเธอไปเอาสัตว์อสูรระดับเร้นลับจากในเขาฉีซือมาแล้วใช่ไหมเนี่ย”โจวเหวินไม่คิดเลยว่าจักรพรรดินีจะอยากได้ผลไม้เทพขนาดที่ว่า ถ้าเธอไม่ได้จากโจวเหวิน เธอก็ไปขอให้คนอื่นทำแทนจริงๆ


“รู้ได้ไงกัน”อันจิ้งตกใจมากกว่าเดิม


“ก็เพราะว่านางเป็นคนบอกฉันก่อนหน้าเธอนี้ไง แต่ฉันปฏิเสธไป นางอันตรายเกินไป ทางที่ดีอย่าไปยุ่งอะไรด้วยเลยจะดีกว่านะ”โจวเหวินพูดจริงจัง


“แต่ถ้าฉันอยากจะเก่งขึ้น ฉันก็ต้องเสี่ยงทั้งนั้นละ ฉันรู้ดีว่าต้องเลือกยังไงไม่ต้องมาสอนอะไรฉันหรอก”อันจิ้งมองหน้าโจวเหวินแล้วพูด “ไม่ว่าผลวันนี้จะแพ้หรือชนะ แต่ความแค้นระหว่างนายกับฉันต้องจบวันนี้เท่านั้น”


“นี้จะสู้กับฉันจริงๆให้ได้ใช่ไหมเนี่ย”โจวเหวินถาม


“ใช่ ไม่งั้นฉันจะฝึกหนักแบบนี้ทำไมกันละ รอบนี้ฉันต้องชนะให้ได้”อันจิ้งพูด


“ถึงแม้ว่าเธอจะเสียผู้พิทักษ์ไปเพราะเรื่องนี้หน่ะนะ”โจวเหวินถามอีกรอบ


แต่รอบนี้อันจิ้งยังไม่ทันได้ตอบ ผู้พิทักษ์ เทวดา6ปีก พูดออกมาเอง “มีเพียงแค่ผู้พิทักษ์เท่านั้นที่สามารถเอาชนะผู้พิทักษ์ได้ ครั้งที่แล้วจอห์นอ่อนแอเกินไปทำให้ข้าใช้พลังได้ไม่เต็มที่ ยังไม่ถึง1ใน10ซะด้วยซ้ำ แต่ตอนที่ข้าอยู่กับอันจิ้ง ข้าแสดงพลังที่แท้จริงออกมา จ้าไม่มีทางชนะได้หรอก และข้าจะไม่ทรยศนางด้วย”


เทวดา6ปีกคิดผิด มันนึกว่าโจวเหวินจะคิดว่าเทวดา6ปีกทรยศอันจิ้งแบบเดียวกับที่ทรยศจอห์น


822 จบตั้งแต่ยังไม่เริ่ม


โจวเหวินไม่สนใจที่เทวดา6ปีกพูดแม้แต่น้อย แต่เขามองไปที่อันจิ้ง เหมือนกับว่าเขาอยากจะได้คำตอบจากเธอโดยตรง


“ผู้พิทักษ์ของฉันมีไว้เพื่อโค่นนาย ถ้าฉันเอาชนะนายได้ ผู้พิทักษ์ของฉันก็ไม่มีความหมา….”


อันจิ้งยังพูดไม่จบแต่โจวเหวินนั้นจริงๆแล้วรีดเค้นพลังชีวิตของเขามาตั้งนานแล้ว ก่อนที่เขาจะชักดาบออกมาตอนที่เธอยังพูดไม่จบ


วิชาเทพสังหาร!!


ในตอนแรกที่เขาสู้กับจอห์นโจวเหวินรู้พลังของเทวดา6ปีกดีอยู่แล้ว ทำให้เขาไม่ต้องลังเลอะไรอีก


สิ่งเดียวที่โจวเหวินลังเลคือเรื่องผลกระทบที่อันจิ้งจะได้รับหลังจากที่ฆ่าเทวดา6ปีกไปแล้ว เพราะว่าเธอเป็นคนพูดเองว่าถ้าเธอไม่ได้แพ้นั้นผู้พิทักษ์ของเธอก็ไม่มีความหมาย โจวเหวินเลยไม่ลังเลอะไรแม้แต่น้อย ดาบเทพสังหารนั้นเกิดขึ้นไวมากพลังงานมหาศาลไม่ใช่ว่ามองไม่เห็น แต่มันเร็วซะเกินคนจะมองเห็นทันมากกว่า


ตอนที่อันจิ้งรู้สึกได้ว่าโจวเหวินชักดาบนั้นเอง ดาบของโจวเหวินก็เก็บลงฝักเรียบร้อยแล้ว เทวดา6ปีกที่อยู่ข้างหลังของเธอดวงตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ปากเบี้ยวนิดหน่อยเหมือนกับพยายามจะพูดบางอย่าง แต่ทันทีที่ขยับ ร่างของมันก็แยกออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดายก่อนจะแตกสลายออกไปเป็นสะเก็ดสีขาวนวล


อันจิ้งนั้นยังคงปรับอารมณ์ของตัวเองไม่ทัน สีหน้าของเธอนั้นไม่ได้ตกใจ แต่แค่งง แบบงงมากๆถึงขนาดหยุดพูดไปชั่วขณะ


เธอไม่คิดว่าดาบโจวเหวินจะจู่ๆก็ฟันออกมาแบบนั้น แถมโจวเหวินยังอุ้มเด็กทารกเอาไว้ในมือข้างนึงอีกด้วย ตอนแรกเธออยากที่จะพูดว่าให้วางเด็กนั้นลงก่อนแล้วค่อยเริ่มสู้จะได้สูสี แต่โจวเหวินกลับอุ้มเด็กด้วยมือข้างเดียวแล้วฟันดาบด้วยมืออีกข้าง ผ่าเทวดา6ปีกออกเป็น2ซีก


“ฉ…ฉ…ฉันยังไม่ได้…เริ่มเลยด้วยซ้ำ” นี้คือความคิดเดียวที่เหลืออยู่ในหัวของอันจิ้งตอนนี้และเธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อหรือไม่รู้ว่าจะทำอะไรแล้ว


ทันทีที่ฟันเทวดา6ปีกตาย โจวเหวินรู้สึกได้ถึงพลังงานประหลาดก็แล่นเข้าสู่ร่างกายของเขาในทันที มันทำให้วิญญาณชีวิตฆาตกรของเขาแข็งแกร่งขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกที่อยากจะให้เกิดในความเป็นจริง


แต่จนกระทั้งพลังงานดับหายไป วิญญาณชีวิตฆาตกรกลับยังไม่เพียงพอต่อการเป็นขั้นสมบูรณ์ซักที


“ยังไม่พออีกเหรอ นี้ต้องฆ่าเพิ่มอีกกี่ตัวเนี่ย”โจวเหวินรู้สึกท้อแท้ขึ้นมา การจะหาผู้พิทักษ์ที่ฆ่าง่ายๆนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย


เอาจริงๆเทวดา6ปีกก็ไม่ใช่ผู้พิทักษ์ที่เก่งกาจตั้งแต่แรกแล้ว รวมทั้งโจวเหวินเองยังรู้จักเทวดา6ปีกเป็นอย่างดี ทำให้เขาสามารถฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย


ถ้าเกิดลองเปลี่ยนเทวดา6ปีกให้เป็นผู้พิทักษ์ตัวอื่น ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนๆกับเทวดา6ปีกก็ตาม แต่โจวเหวินก็จะฆ่ายากกว่านี้มากๆ


“วันนี้พอแค่นี้ละ ถ้าเธออยากจะเอาชนะฉันมาก ก็ใช้พลังของตัวเองซิ อย่าเอาพลังที่ได้จากคนอื่นมาใช้ ของแบบนั้นเอาชนะฉันไม่ได้หรอก”โจวเหวินหันกลับแล้วเดินกลับไปพร้อมๆกับหยาเอ๋อ


อันจิ้งนั้นยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน ก่อนหน้านี้แธอคิดมาตลอดเวลาเลยว่า จะเอาชนะยังไงหรือจะแพ้แบบไหน แต่ไม่ว่าเธอจะคิดยังไง เธอก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะแพ้มันตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มสู้ด้วยซ้ำแบบนี้


ตอนแรกเธอคิดว่าการประลองนี้จะเป็นการดวลกันที่สมศักดิ์ศรี แต่ตอนนี้เธอได้ค้นพบแล้ว ว่าเธอไม่มีสิทธิ์แม้กระทั้งมายืนบนสนามประลองด้วยซ้ำ


“ฉันหวังว่าเธอคงจะไม่ไปหาจักรพรรดินีอีกนะ”โจวเหวินพูดออกมา เขาไม่ได้อยากให้อันจิ้งไปยิ่งเกี่ยวกับจักรพรรดินีเท่านั้นเอง เพราะยังไงเธอก็เป็นลูกสาวคนเดียวของอันหลานหยาง ถึงแม้ว่าโจวเหวินจะไม่ค่อยชอบเธอเท่าไร แต่เขาก็ไม่อยากให้เธอเป็นอะไรขึ้นมาเหมือนกัน


โจวเหวินกลับมาที่ค่าย แล้วเขาก็ไปพบปะกับคนรู้จักเล็กน้อย พูดคุยกันพอประมาณแล้วก็กลับเมืองลั่วหยางในวันถัดไป


ฉินหวูฟูก็เกลี่ยกล่อมตลอดทางเลยว่าให้โจวเหวินเลิกเรียนแล้วมาเป็นทหารอยู่สังกัดกับเขา แต่โจวเหวินก็ยังคงปฏิเสธต่อไป ไม่ใช่เพราะโจวเหวินไม่อยากทุ่มเทแรงกายใจเพื่อปกป้องมนุษยชาตินะ แต่เพราะว่าเขารู้สึกว่าการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้นั้นมันสำคัญที่สุด ตราบใดที่เขาแข็งแกร่งที่สุดได้ เขาก็จะสามารถหยุดยั้งปัจจัยต่างๆที่ไม่แน่นอนได้ แทนที่จะคอยป้องกันอยู่เฉยๆ


โจวเหวินนั้นอยากจะอยู่ในมหาลัย เพราะอย่างน้อยมหาลัยก็ให้เวลาว่างกับเขามากพอและให้ทั้งทรัพยากรและความรู้มากพอจะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นได้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้


แต่การเข้ากองทัพนั้น เราจำเป็นต้องไปทำตามภารกิจ ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะได้มีส่วนช่วยเหลือคน แต่โจวเหวินไม่ได้อยากเป็นแค่ส่วนๆเดียว โจวเหวินอยากจะเป็นมากกว่านั้น


หลังจากกลับมาที่หอแล้ว โจวเหวินก็เริ่มศึกษาวิชาขโมยดวงดาวอย่างแตกฉาน เพราะว่าวิชาอารยมิตนั้นกว่าจะพัฒนาได้ต้องพึ่งพาดวงตากระจกของมังกรเทียนอย่างเดียว ซึ่งมันเป็นกระบวนการที่เสียเวลามากๆ แต่โจวเหวินก็ไม่มีทางเลือกอื่น ยกเว้นแต่ว่าโจวเหวินจะหาทางจับสัตว์อสูรเทพวิหกทมิฬได้จริงๆ แต่การจะทำแบบนั้นได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวเหวินเลยไปเรียนรู้วิชาลมปราณอื่นๆก่อนจะดีกว่า


วิชาลมปราณขโมยดวงดาวนั้นจริงๆแล้วเป็นวิชาลมปราณที่น่าสนใจมากๆ เพราะถึงแม้ว่าโจวเหวินจะพึ่งเริ่มศึกษา และมันจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมาก แต่วิธีการไหลเวียนของลมปราณนั้นมันน่าสนใจมากจริงๆ


วิชาลมปราณปรกตินั้นจะดึงเอาพลังงานลมปราณมาจากทะเลลมปราณที่อยู่ในร่างกาย แต่บางวิชาอย่างเช่นจุลปรัชญานั้นไม่ได้มีทะเลลมปราณแต่อย่างใด วิชาทะเลดวงดาวก็เหมือนกัน ทะเลลมปราณของมันนั้นมีอย่างไร้ขีดจำกัดทั่วร่างกาย


ตอนที่เปิดใช้งานวิชาลมปราณนี้ ร่างกายของโจวเหวินจะกลายเป็นเหมือนจักรวาลขนาดย่อมๆที่มีดวงดาวนับไม่ถ้วนล่องลอยไปมา แต่ละดวงดาวก็คือทะเลลมปราณ และทั้งจักรวาลนี้ ก็คือทะเลลมปราณขนาดยักษ์นั้นเอง


โจวเหวินเลยลองนึกถึงภาพของอวกาศและความลึกลับของจักรวาลตอนที่เขาพยายามจะดึงเอาพลังชีวิตออกมา ถึงแม้ว่าการจะสกัดวิญญาณชีวิตออกมานั้นจะใช้เลือดของผู้พิทักษ์ได้ก็จริง แต่การจะดึงเอาพลังชีวิตออกมาได้นั้นยังไงก็ต้องมีพื้นฐานก่อน ซึ่งมันก็ไม่ได้ยากเย็นขนาดนั้นแค่ต้องรู้วิธีเท่านั้นเอง


“จะว่าไปแล้ว จักรวาลของวิชาขโมยดวงดาวมันก็ดูคล้ายๆกับทะเลดวงดาวในทะเลทรายนั้นเหมือนกันแหะ”ตอนที่โจวเหวินรู้สึกแบบนั้น นั่นเอง เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆเกิดขึ้น


รูปแบบของดวงดาวในจักรวาลในร่างของโจวเหวินนั้นมันคล้ายคลึงกับทะเลดวงดาวมากๆ แต่ถ้าโจวเหวินไม่ได้ใช้เวลาอยู่ใกล้ๆทะเลดวงดาวมากขนาดนี้ละก็เขาอาจจะไม่รู้เลยก็ได้


“อย่าบอกนะว่า….”โจวเหวินเริ่มคิดได้ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วเข้าเกมส์ทะเลดวงดาวไปทันที


โจวเหวินมองขึ้นไปบนฟากฟ้าของทะเลดวงดาวก่อนจะมองไปซักพักก่อนที่เขาจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ว่าแล้วเชียว วิชาขโมยดวงดาวนี้มันคือทะเลดวงดาวชัดๆ”


823 แมลงกลืนดาว


จักรวาลที่เกิดขึ้นจากวิชาขโมยดวงดาวในตัวของโจวเหวินนั้นมันไม่ได้สมบูรณ์เท่ากับทะเลดวงดาว มันมีบางส่วนที่หายไป แต่ส่วนมากนั้นมันแทบจะเหมือนกันไปหมดเลย


โจวเหวินเลยลองไปฟาร์มไปสำรวจในทะเลดวงดาวมาแล้ว โจวเหวินลองสังเกตทะเลดวงดาวดีๆ เขาพยายามที่จะเข้าใจวิชาขโมยดวงดาวมากขึ้นกว่าเดิม


แต่ถึงอย่างนั้นโจวเหวินก็ยังหาอสูรกลืนดาวในทะเลดวงดาวไม่เจอ และการจะหามันนั้นก็เป็นการเสียเวลามากๆ


ก่อนหน้านี้โจวเหวินยุ่งมากเกินไปจนทำให้เขาไม่มีเวลาได้ฟาร์มสกิลสายดวงดาวเลย สกิลดวงดาวทั้ง28ดวงก็ยังขาดอีกแค่3สกิลหลักๆ สกิลที่ยังขาดนั้นไม่ดรอปออกมาซักที


และตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีในการสำรวจทะเลดวงดาว บางทีเขาอาจจะได้เจอสิ่งที่หวังก็ได้


โจวเหวินเดินทางไปเรื่อยๆในทะเลดวงดาว ทุกๆครั้งที่เขามองดูดวงดาวพาดผ่านกาแล๊กซี่ เขาจะนึกถึงจักรวาลภายในตัวของเขาที่เกิดมาจากขโมยดวงดาว


โจวเหวินรู้สึกได้ว่าทะเลดวงดาวกับจักรวาลด้านในตัวของเขานั้นมันมีความเกี่ยวข้องกันมาก และยิ่งเขารู้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าจะพัฒนาขึ้นไปทุกที


ทะเลดวงดาวนั้นไม่ได้มีแค่เขตแดนของดวงดาวทั้ง28ดวง แต่ยังมีอาณาเขตของดวงดาวอันกว้างใหญ่ไกลโพ้นอีกด้วย โจวเหวินนั้นฆ่าพวกสิ่งมีชีวิตบนดวงดาวไปตลอดทางแต่เขาก็ยังไม่เจออสูรกลืนดาวเลย


เอาจริงๆอสูรดวงดาวระดับเร้นลับนั้นแทบจะไม่เจอเลยด้วย ส่วนมากเจอตั้งแต่ระดับตัวอ่อนยันไปถึงระดับมหากาพย์


แต่ตอนที่คิดนั้นเอง เขาก็เห็นแสงวาปขึ้นมาของดวงดาวด้านหน้าไกลโพ้น เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างกระพริบขึ้นมาอย่างนั้น เขาเพ่งมองดูแต่ก็ยังไม่เจออะไร


“หลอนไปเองละมั่ง”โจวเหวินคิดในใจ ดูแล้วดูอีกก็ยังไม่เจออะไร


แต่ทันใดนั้นแสงนั้นก็วาปขึ้นมาอีกครั้ง โจวเหวินเห็นแค่แสงวาป ไม่เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น


โจวเหวินพอมองดูดีๆแล้ว ขนหัวของเขาก็ลุกขึ้นมาทันที เพราะแสงสว่างที่เกิดขึ้นแล้วดับไปนั้น จริงๆแล้วมันคือดวงดาว ที่เคยมีอยู่ แต่จู่ๆก็หายไป และเขาก็มั่นใจมากว่ามันเคยมีดวงดาวอยู่ตรงนั้น


“แมลงกลืนดาว”โจวเหวินคิดขึ้นมาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น


ตอนที่โจวเหวินไปที่ทะเลดวงดาวในความเป็นจริงก่อนหน้านี้ เขาเคยเห็นแมลงกลืนดาวมาก่อน แต่ในตอนนั้น เขาเห็นในรูปแบบแค่เป็นแมงกระพรุนว่ายๆไปมาในบึงน้ำ แล้วไล่กินดาวเหมือนกินเม็ดถั่วที่ลอยอยู่ในน้ำ ดูไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเท่าไร


แต่ตอนนี้ที่อยู่ในทะเลดวงดาวจริงๆ ความต่างมันเกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน โจวเหวินมองไปที่ดวงดาวที่โดนกลืนหายไป ถึงแม้ว่าดวงดาวนั้นจะขนาดเล็กกว่าดวงดาวจริงๆ แต่มันก็ใหญ่พอๆก็ภูเขาลูกนึงเลย เพราะงั้นการที่ภูเขาทั้งลูกโดนกลืนหายวับไปกับตานั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าตกใจทีเดียว


ที่น่ากลัวกว่านั้นคือโจวเหวินไม่เห็นตัวของแมลงกลืนดาวในเกมส์เลยด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงแค่แสงวาปตอนที่มันกันดาวเข้าไปเท่านั้น


โจวเหวินอัญเชิญเบม่อนออกมาก่อนจะใช้พลังของสดับวานรตรวจจับเสียงที่เกิดขึ้นมารอบตัว


ทันใดนั้นโจวเหวินก็พบว่าดาวที่อยู่รอบข้างของเขานั้นเริ่มโดนกลืนกินไปทีละดวง และในที่สุด เขาก็เห็นแมลงกลืนดาวในที่สุด ด้วยพลังของสดับวานรทำให้เขาสามารถกะประมาณตัวของมันได้ แต่ตาเปล่าๆของเขานั้นมันมองไม่เห็น


คล้ายๆกับที่โจวเหวินเห็นในความเป็นจริง มันเป็นแมงกระพรุนโปร่งแสงตัวขนาดมหึมา แต่ในเกมส์นั้นตัวของมันใหญ่กว่ามากๆ มากแบบที่ว่าดวงดาวขนาดใหญ่ที่สุดในทะเลดวงดาวนั้น กลายเป็นแค่เม็ดถั่วเล็กๆเลยถ้าเทียบกับตัวของมัน


“ตัวของมันใหญ่กว่าเบม่อนที่ขยายร่างเต็มที่อีกเหรอวะเนี่ย”ตอนที่โจวเหวินมองไปนั้นเอง แมลงกลืนดาวก็มุ่งหน้าตรงมาหาพวกเขาด้วย


โจวเหวินเลยสั่งการให้เบม่อนขยายร่างเต็มที่เข้าตั้งรับ เขาอยากจะรู้ว่าแมลงกลืนดาวนั้นมันมีพลังมหาศาลขนาดไหนกันแน่


หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากโจวเหวินแล้ว เบม่อนก็ใช้สุดยอดพลัง ขยายร่างใหญ่ที่สุดเท่าที่ทำได้ ก่อนจะบินตรงเข้าไปด้วยความเร็วสูง


แมลงกลืนดาวนั้นก็เหมือนกับแมงกะพรุน มีหนวดยึบยับเต็มไปหมด หนวดพวกนั้นสยายตัวก่อนจะดีดตัวของแมลงกลืนดาวให้หลบการโจมตีของเบม่อน


หลังจากที่เบม่อนต่อยไปไม่โดนแล้ว แต่เบม่อนกลับไม่ต่อยตามต่อ มันยืนอยู่นั่งเหมือนกับงงอะไรซักอย่าง


ทันใดนั้นเองที่โจวเหวินได้เข้าใจ ว่าเบม่อนนั้นจริงๆแล้วมองไม่เห็น ที่โจวเหวินเห็นแมลงกลืนดาวได้นั้นเป็นเพราะโจวเหวินใช้สดับวานร แต่เบม่อนนั้นมองไม่เห็นอะไรเลย การจะโจมตีศัตรูที่มองไม่เห็นก็คงยากไปหน่อย


โดยปรกติแล้วเป็นสัตว์อสูรที่สู้ด้วยสัญชาติญาณ เพราะงั้นถึงแม้ว่าโจวเหวินจะสั่งการเบม่อนได้ แต่การสั่งการนั้นยังไงมันก็ช้ากว่าการลงมือเองอยู่ดี


ไม่นานหลังจากนั้น แมลงกลืนดาวก็กินเบม่อนเข้าไปทั้งตัว


เขาไม่รู้หรอกว่าตัวของแมลงกลืนดาวนั้นทำมาจากอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆคือมันสามารถกินเบม่อนที่เปิดใช้สุดยอดพลังได้แบบที่ไม่มีโอกาสให้ดิ้นหนีได้เลย


 


“ปัญหาใหญ่จริงๆด้วย เบม่อนมองมันไม่เห็นเลยสู้ได้ยากมาก ถ้ามองไม่เห็นแบบนี้มังกรเทียนก็คงใช้ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเกิดอยากจะฆ่ามันจริงๆ ก็คงต้องใช้สดับวานรออย่างเดียวซินะ”โจวเหวินลองอัญเชิญดาบทองคำออกมาแล้วใช้ความสามารถของสดับวานรในการฟังเสียงเพื่อค้นหาตัวของแมลงกลืนดาว ก่อนที่โจวเหวินจะรวมรวมพลังทั้งหมด เปิดใช้เสียงร่ำไห้ของพระราชา แล้วตั้งใจจะใช้เทพสังหารดู


แต่วีนาทีต่อมา ตัวละครของโจวเหวินจู่ๆก็โดนอะไรบางอย่างลากไปอย่างเร็วเล้วหน้าจอเกมส์ก็ดำไปทันที


จบเกมส์!


“พลังมันจะแกร่งไปแล้ว เบม่อนกับสดับวานรคงไม่มีทางเอาชนะมันได้แน่ๆ ตัวเดียวที่น่าจะพอสู้ได้คงมีแค่สดับวานรซินะ”โจวเหวินคิดซักพัก เขาตั้งใจจะที่จะหาทางจัดการกับแมลงกลืนดาวนี้ให้ได้


แต่ปัญหาก็คือ โจวเหวินคิดว่าการเปิดใช้นิพพานอเวจีของสดับวานรนั้นมันเสี่ยงมากเกินไป แต่ถ้าเปิดใช้แค่สองวง มันก็คงไม่มีทางฆ่ามันได้แน่ๆ


โจวเหวินเลยเข้าทะเลดวงดาวไปอีกรอบ รอบนี้โจวเหวินมุ่งหน้าผ่านไปเลย เขาคิดว่ายังไงเขาก็ไม่มีทางฆ่ามันได้ตอนนี้แน่ๆ เขาเลยเมินไม่สนใจมันแล้วออกเดินทางไปรอบๆทะเลดวงดาว หวังว่าจะได้พัฒนาพลังชีวิตของขโมยดวงดาว


แต่แมลงกลืนดาวก็ยังคงตามมาหลอกหลอน โจวเหวินนั้นเดินอ้อมมาแล้ว แต่จู่ๆมันกลับโผล่ขึ้นมาเหมือนกับทะลุมิติมาอย่างนั้น ทุกๆครั้งที่โจวเหวินคิดจะหนี เขากลับหนีไม่ได้ สุดท้ายก็โดนพลังเหมือนหลุมดำ ดูดไปตายอยู่ดี


มีรอบเดียวที่โจวเหวินสามารถหนีออกมาได้คือการใช้สกิลวาประยะไกลของอารยมิติ ซึ่งวาปไปยังพื้นที่ ที่แมลงกลืนดาวไม่มีทางมองเห็นเขาได้ แต่หนีออกมาได้ไม่นานเท่าไร มันก็วาปมาฆ่าโจวเหวินทิ้งอยู่ดี


โจวเหวินพยายามคิดหาทางแก้ปัญหา เขาเลยลองรีเกมส์แบบที่ไปเกิดตรงจุดอื่นดู เพราะทุกๆครั้งที่เกมส์รี แมลงกลืนดาวจะอยู่ที่เดิมเสมอ แต่โจวเหวินก็ต้องตายอยู่ดี ทำให้โจวเหวินรู้สึกสงสัยมาก


“ทุกๆครั้งที่ฉันเข้าทะเลดวงดาว ถ้าเกิดฉันออกนอกเขตของ28ดวงดาวไปเมื่อไร เจ้าตัวนั้นมันก็จะโผล่มาฆ่าฉันทันที มันไม่ใช่แค่ความเร็วแล้ว หรือว่าบางที แมลงกลืนดาวอาจจะมีความสามารถในการวาปได้ด้วยกัน”โจวเหวินคิดว่ามันมีความเป็นไปได้


เพราะถ้าเป็นงั้นจริงนอกเหนือจากเทพวิหกทมิฬแล้ว แมลงกลืนดาวก็มีความสามารถในการวาป ถ้าเกิดเขาหาทางฆ่ามันได้ แล้วมันดรอปไข่ออกมา ปัญหาในการพัฒนาวิญญาณชีวิตอารยมิติก็จะหมดไปทันที


824 จักรวาลน้อย


“คำถามคือ เเล้วจะเอาชนะมันได้ยังไงกัน ทั้งเบม่อน ทั้งมังกรเทียนเเพ้ทางมันสุดๆไปเลย ธิดาปีศาจตอนนี้ก็เอามาสู้ไม่ได้ เเล้วตัวไหนกันละที่ยังพอมีพลังสู้กับมันได้”


โจวเหวินคิดไปคิดมาเเล้ว มีสัตว์อสูรเเค่3ตัวเท่านั้นที่ยังพอมีพลังมากพอที่จะสู้ได้บ้าง ตัวเเรกคือสดับวานรที่ปลดนิพพานอเวจี ตัวที่2คือโจวเหวินต้องลองใช้สปอร์โบราณ


สัตว์อสูรตัวอื่นๆนั้นไม่เหมาะกับการเอาไปสู้สุดๆ เพราะด้วยขนาดตัวเเละการที่พวกมันมองไม่เห็นทำให้ไม่ว่าจะเก่งเเค่ไหนก็เปล่าประโยชน์


ส่วนตัวสุดท้ายคือโจวเหวินเองที่ใช้ผ้าคลุมล่องหน เพื่อที่เเมลงกลืนดาวจะได้ไม่เห็นตัวของเขาเเล้วเขาก็จะลองลอบฆ่ามันดู


โจวเหวินเริ่มจากวิธีที่ง่ายที่สุด เขาเตรียมตัวที่จะลองใช้ผ้าคลุมล่องหน เเละในการที่จะทำให้มันมองไม่เห็นตัวโจวเหวินจริงๆ เขาก็ต้องใช้กรงล้อเเห่งโชคชะตาด้วย เขามีเวลาเเค่3นาทีเท่านั้นในการลอบสังหารเเมลงกลืนดาว


เเต่ยังไม่ทันจะได้เห็นผล การลอบสังหารก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ร่างกายทุกส่วนของแมลงกลืนดาวนั้นเหมือนกับว่าเป็นหลุมดำที่พร้อมจะดูดโจวเหวินได้ทุกเมื่อ ตอนที่โจวเหวินล่องหนผ่านเข้าไปใกล้นั้นเอง เขาก็โดนดูดแล้วตายในทันที


โจวเหวินเลยเริ่มวิธีที่2ทันที โดยการใช้สปอร์โบราณมุดเข้าไปแฝงร่างของแมลงกลืนดาว แต่สุดท้าย สปอร์โบราณก็โดนดูดเข้าร่างของแมลงกลืนดาวแล้วหายวับขาดการติดต่อไปทันที


ในเมื่อทั้ง2วิธีใช้ไม่ได้ผล ที่โจวเหวินทำได้ตอนนี้เลยมีแค่การส่งสดับวานรออกไปเสี่ยงดูเท่านั้น เขาเลยให้สดับวานรปลดผนึกนิพพานอเวจีขั้น2 ทำให้มันดุร้ายป่าเถื่อนและพลังงานรุนแรงก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างบ้าคลั่ง มันพุ่งตรงไปหาแมลงกลืนดาวเหมือนกับจะฆ่าให้ได้ทันที


ความสามารถในการล่องหนของแมลงกลืนดาวนั้นใช้ไม่ได้ผลกับสดับวานร ทำให้สดับวานรนั้นสามารถเขาประชิดตัวของแมลงกลืนดาวได้ โดยที่ไม่โดนดูดตายไปด้วย


แต่ถึงอย่างนั้น กรงเล็บของสดับวานร กลับฟาดฟันผ่านตัวของแมลงกลืนดาวได้เหมือนกับเอามือกวักน้ำ ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บและไม่มีร่องรอยบาดแผลใดๆทั้งสิ้น


นั้นทำให้ทั้งสดับวานรและแมลงกลืนดาวนั้นไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ แมลงกลืนดาวเองก็ดูดสดับวานรเข้าไปไม่ได้เช่นกัน


สดับวานรนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงตลอดเวลาจนแมลงกลืนดาวไม่สามารถดูดเข้าไปได้ แต่ถึงอย่างนั้น การทำแบบนี้มันกินพลังงานร่างกายสูงมาก เพราะงั้นขืนปล่อยแบบนี้ต่อไป คงจะเสียท่าแมลงกลืนดาวแน่ๆ


โจวเหวินเลยกัดฟันสั่งให้สดับวานรปลดนิพพพานอเวจีขั้น3 ตุ้มหูอันที่3ของสดับวานรแตกออก ทำให้พลังของสดับวานรเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัวนึง ร่างกายของมันเปลี่ยนไป ตัวโจวเหวินมองไม่เห็นหรอกว่าสดับวานรนั้นเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง เขาแค่รู้สึกได้ถึงความโกรธ และอารมณ์ที่รุนแรงเหมือนกับว่าตัวของสดับวานรจะระเบิดออกมายังไงอย่างงั้น


ที่ตัวของมันมีไฟสีดำโพยพุ่งออกมาเหมือนกับเป็นระเบิดที่พร้อมจะทำลายทุกอย่างได้ทุกนาที


โจวเหวินสั่งการให้สดับวานรโจมตีต่อ แต่มันไม่ฟังคำสั่งแล้ว มันคำรามกึกก้อง เหมือนพยายามฝืนคำสั่งของโจวเหวิน


โจวเหวินรู้สึกได้เลยว่าสายใยระหว่างตัวเขากับสดับวานรมันขาดสบั้นลงไปแล้ว ตอนนี้มันไม่รับฟังคำสั่งอะไรของโจวเหวินอีกแล้ว


“กลับมา!”โจวเหวินพยายามเรียกสดับวานรให้กลับมา แต่ผลก็ไม่เป็นผล โชคยังดีที่ตอนนั้นแมลงกลืนดาวใช้จังหวะที่สดับวานรคุมตัวเองไม่อยู่ เขมือบสดับวานรเข้าไปทั้งตัวทันที โจวเหวินเลยออกจากเกมส์ แล้วเช็คสดับวานรทันที พอเห็นว่ายังปรกติดีอยู่เขาเองก็โล่งใจ


โจวเหวินลองอัญเชิญสดับวานรออกมาดู มันยังคงเป็นลิงสีทองเข้มตัวเล็กๆพร้อมตุ้มหู6ข้าง อยู่ที่มือของโจวเหวิน โชคยังดีที่มันไม่ได้ต่างไปจากเดิมเลย


“โอเค ห้ามเกิน3วงซินะ”โจวเหวินเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วไม่กล้าทำแบบนั้นเอง


จากนั้นเขาก็ลองคิดหาวิธีดูว่าจะทำยังไงได้บ้างถึงจะได้แมลงกลืนดาวมา แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้วิธีฆ่ามันเลย ตอนนี้ที่โจวเหวินทำได้คือแค่ใช้ผ้าคลุมล่องหนหนีออกมาเท่านั้น โจวเหวินเลยได้แต่สำรวจทะเลดวงดาวไปเรื่อยๆ แล้วหวังว่าซักวันเขาจะพัฒนาพลังชีวิตของวิชาขโมยดวงดาวได้


ถ้าเกิดเขาใช้สดับวานรยื้อแมลงกลืนดาวไว้ได้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว


โจวเหวินใช้สดับวานรยื้อเวลาของแมลงกลืนดาวเอาไว้ตอนที่เขาสำรวจทะเลดวงดาว และพอผ่านไปซักพักเขาก็เริ่มรู้สึกชินกับมัน


แต่โจวเหวินก็เริ่มรู้สึกแปลกๆขึ้นมาอีกครั้ง เพราะนอกจากแมลงกลืนดาวแล้ว ในทะเลดวงดาวแห่งนี้ โจวเหวินยังไม่เห็นระดับเร้นลับตัวอื่นๆเลย


“หรือว่าพวกระดับเร้นลับตัวอื่นๆจะโดนแมลงกลืนดาวกินไปหมดแล้วหน่ะ”โจวเหวินแอบเดา


จักรวาลเล็กๆในวิชาขโมยดวงดาวนั้นสมบูรณ์ขึ้นทุกที และทุกที โจวเหวินรู้สึกได้เลยว่ายิ่งเขาสำรวจทะเลดวงดาวมากขึ้นเท่าไร เขาก็เข้าใกล้การได้พลังชีวิตมาเท่านั้น


ซึ่งเวลานั้นก็มาถึงในอีก2วันถัดมา วิชาขโมยดวงดาวก็ได้พลังชีวิตออกมา พร้อมกับจักรวาลขนาดเล็กๆในร่างกายที่เต็มไปด้วยดวงดาวประกายแสง


โจวเหวินรีบเข้าไปดูในโทรศัพท์ทันที


พลังชีวิต จักรวาลน้อย ขั้นแรก


“กลายเป็นว่าจักรวาลในร่างของฉันคือพลังชีวิตของฉันเองเลยงั้นเหรอ”โจวเหวินยังคงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่ามันทำอะไรได้ แต่พอโจวเหวินเปลี่ยนพลังชีวิตไปเป็นจักรวาลน้อย เขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่ามันไว้ใช้ทำอะไร


“ไม่รู้ว่าพลังชีวิตของรุ่นพี่หลิวหยุนนั้นเป็นพลังชีวิตอะไรกัน”โจวเหวินเองก็อยากจะถามเหมือนกัน แต่เขาเองก็ไม่รู้จะติดต่อยังไง ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะฝึกวิชาเดียวกัน แต่พลังชีวิตกับวิญญาณชีวิตจะไม่มีทางเหมือนกัน


ถึงแม้ว่าตอนนี้โจวเหวินจะยังไม่รู้ส่วนอื่น แต่ที่แน่ๆคือตอนนี้โจวเหวินจะไม่หลงทางอีกแล้ว เพราะพลังชีวิตนี้เป็นเหมือนกับGPS ที่ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน เขาก็จะรู้ตำแหน่งของตัวเองเสมอ อย่าว่าแต่บนโลกเลย แม้แต่จักรวาลตอนนี้ยังไงเขาก็จะไม่หลงทางแน่ๆ


“อุส่าห์ทำมาตั้งนาน สุดท้ายก็เป็นแค่ตัวบอกตำแหน่งหรอกเหรอ”โจวเหวินเริ่มสงสัยในสิ่งที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้แล้วเริ่มคิดว่าสรุปแล้ววิชานี้มันช่วยเพิ่มความเร็วจริงๆเหรอ


“ขั้นต่อไปก็สกัดวิญญาณชีวิตซินะ อันดับแรกเดี๋ยวลองดูก่อนดีกว่าว่าจะเอาเลือดของผู้พิทักษ์ที่ทะเลใต้ดินได้ไหม”ถึงแม้ว่าโจวเหวินจะยังเอาชนะผู้พิทักษ์ไม่ได้แน่ๆ แต่การจะเอาเลือดกลับมานั้นตอนนี้เขาสามารถทำได้แล้ว เขาเลยไปที่ทะเลใต้ดินทันที ผู้พิทักษ์ในทะเลใต้ดินนั้นมีความสามารถสายมิติ โจวเหวินเองก็เลยคิดว่าโอกาสที่จะเข้ากันกับวิชาขโมยดวงดาวนั้นน่าจะมีสูง


โจวเหวินบุกเข้าไปอย่างรวดเร็วก่อนจะใช้หัดขวาแห่งความมืดขโมยเลือดของผู้พิทักษ์ออกมา แต่โจวเหวินก็ต้องผิดหวังเพราะเลือดนั้นใช้กับวิชาขโมยดวงดาวไม่ได้


“ไม่ได้หรอกเหรอ”โจวเหวินคิดในใจแล้วกะจะไปลองที่เมืองมดดู


รอบนี้โจวเหวินภาวนาในใจ ถ้าเกิดรอบนี้เลือดไม่เข้ากันอีก โจวเหวินก็คงต้องไปฝึกวิชาลมปราณนี้แบบดั้งเดิม ซึ่งมันเป็นอะไรที่เสียเวลามากๆ


หลังจากที่โจวเหวินลองดูแล้ว เขาก็ต้องผิดหวังอีกครั้ง เพราะแม้แต่เลือดของผู้พิทักษ์ในเมืองมดเองก็ไม่สามารถดูดซับได้


ตอนนี้เลือดของผู้พิทักษ์ทั้ง2ตัวใช้ไม่ได้กันทั้งนั้น แล้วโจวเหวินก็ไม่รู้จะไปหาเลือดของผู้พิทักษ์ตัวอื่นที่ไหนแล้วด้วย


“วุ่นวายจริงๆเลย”โจวเหวินรู้จักผู้พิทักษ์อยู่แค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น แล้วถ้าผู้พิทักษ์นั้นทำสัญญากับมนุษย์แล้วมันจะฟักออกจากรังไหมทันที ทำให้ไม่มีทางเอาเลือดมาได้เลย


825 จ้าวแห่งดวงดาว


มันจะมีผู้พิทักษ์ตัวไหนที่มันเกี่ยวกับดวงดาวอะไรพวกนี้บ้างไหมนะ”โจวเหวินพึมพีมอยู่บนโซฟาพยายามหาผู้พิทักษ์ที่เหมาะสม เเต่มันยากมาก ประเด็นหลักๆก็คือโจวเหวินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้พิทักษ์นั้นมันอยู่ที่ไหน


ตอนนี้โจวเหวินเริ่มคิดยากจะพาเจ้านกอ้วนกลับไปที่รังเดิมของมัน จากนั้นก็ลองเจรจากับพญานกเพลิงดูว่าจะขอเลือดของผู้พิทักษ์มาซักหน่อยจะได้ไหม


เเต่ตอนที่กำลังคิดๆอยู่นั้นเอง จู่ๆละมั่ง3ตาก็เดินเข้ามาฝั่งตรงข้ามกับโจวเหวิน จากนั้นก็ใช้กีบเท้าของมันลากเส้นบนพื้น


โจวเหวินเเอบตกใจเล็กน้อย เพราะเดิมทีเเล้วละมั่ง3ตานั้นจะมายุ่งอะไรกับโจวเหวินน้อยมากๆ โจวเหวินเลยไม่รู้ว่ามันเดินเข้ามาทำไมเลยรีบดูที่พื้นทันที


“ตามหาผู้พิทักษ์ที่เกี่ยวกับดวงดาวอยู่้หรอ?”ละมั่งเขียนตัวอักษรบนพื้น


“รู้ได้ไงกัน นายรู้เหรอว่ามันอยู่ไหนหน่ะ”โจวเหวินถาม


“นายเคยเจอมันไปเเล้วนี้ จะถามทำไมละ”ละมั่งเขียนต่อ


“เคยเจอตอนไหนวะเนี่ย”โจวเหวินขมวดคิ้ว เขาไม่รู้จริงๆว่าเขาไปเจอผู้พิทักษ์ตัวนั้นที่ไหนกันเเน่


“ไม่ใช่เเค่เห็นเเต่นายยังแบกมันด้วย”ละมั่งเขียนขึ้นมาเตือนความจำของโจวเหวิน


“เเล้วฉันไปแบกมัน….”โจวเหวินนึกขึ้นมาได้ทันทีก่อนจะมองหน้าละมั่งเเล้วถาม “นายกำลังจะบอกว่าในท่อนไม้นั้นมีผู้พิทักษ์อยู่งั้นเหรอ?”


ละมั่งมองหน้าโจวเหวินด้วยรอยยิ้มก่อนจะเขียน”ผู้พิทักษ์ตัวนั้นไม่เพียงเเต่จะเป็นผู้พิทักษ์เเห่งดวงดาว เเต่มันยังเป็นระดับสุดยอดของเหล่าผู้พิทักษ์ด้วย นายเองเคยมีโอกาสทำสัญญาเเล้วเเท้ๆ เเต่น่าเสียดายที่นายกลับพลาดท่าเอาเรื่องส่วนตัวมาพัวพัน จนผู้พิทักษ์ที่เคยทำสัญญาได้กลับกลายเป็นศัตรูไปเสียได้ เสียดายไหมละ”


“ก็นายไม่ได้บอกฉันก่อนหน้านี้นี่หว่า จะไปรู้ได้ไงละ”โจวเหวินพูด


“ก็ทำไมนายถึงไม่รู้ละ นายเเบกเธอมาตลอดทางเลยนะ จะให้ฉันบอกนายต่อหน้าคนอื่นหรือไง”ละมั่งเขียน


“ก็บอกล่วงหน้าก็ได้ปะ”โจวเหวินพูด “เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะนายพอจะช่วยฉันเอาเลือดของมันมาจะได้ไหม”


“จะเอาเลือดของเธอมาทำอะไรกัน”ละมั่งมองโจวเหวิน


“ฉันกำลังฝึกวิชาลมปราณอยู่หน่ะเเต่ฉันขาดคุณสมบัติที่ตรงกับวิชาลมปราณนั้น ฉันเลยอยากได้เลือดของผู้พิทักษ์ที่เป็นมีพื้นฐานสายเเบบเดียวกับวิชาลมปราณนั้นอะ”โจวเหวินพูด


วิชาลมปราณอะไรกันละ”ละมั่งเขียนถาม


“วิชาขโมยดวงดาวหน่ะ”โจวเหวินไม่ได้ปิดบังอะไร เพราะละมั่งนั้นอยู่กับเขามานานมากๆเเล้ว มันน่าจะรู้ว่าตัวโจวเหวินนั้นมีวิชาลมปราณที่หลากหลาย เพราะงั้นปิดบังไปก็เท่านั้น


“วิชาขโมยดวงดาวนี้เอง จะใช้เลือดของนางมันก็ได้อยู่หรอก…”


ละมั่งเขียนมาถึงตรงนี้ก่อนจะคิดซักพักเเล้วเขียนต่อ “เเต่ตอนนี้นางกลับไปอยู่ที่พระราชวังต้องห้ามเเล้ว กระเเสพลังในพระราชวังต้องห้ามก็เเปรปรวนไปหมด ข้างในนั้นคงเละเทะเเน่ๆ อีกอย่าง นางเองก็คงไม่ชอบขี้หน้านายเท่าไรด้วย ถึงนายจะมีสัตว์อสูรเก่งๆอย่างเบม่อนอยู่เเต่ถ้าขืนนายเข้าไปในนั้นยังไงนายก็ไม่รอดเเน่ๆ”


มันไม่มีทางอื่นเลยเหรอ?”โจวเหวินผิดหวังเล็กน้อย ถ้าถึงขนาดละมั่ง3ตาบอกว่าไม่มีหวัง เเปลว่าไม่ควรไปเสี่ยงจริงๆ


แต่ใครมันจะไปคิดว่าจู่ๆละมั่งก็หมุนตัวก่อนจะเขียนต่อ “แต่นายโชคดีนะ ที่ฉันพอจะมีเลือดนางเก็บไว้พอดีเลย”


“นายมีเลือดของนางเหรอ ไปเอามาตอนไหนวะเนี่ย”โจวเหวินไม่เชื่อละมั่ง


ผู้พิทักษ์นั้นอยู่ในไม้ตลอดเวลา และไม่ออกมาเลย ละมั่งเองก็ไม่ได้แตะไม้นั้นเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าไปได้เลือดนั้นมาจากไหน


“ฉันไม่ได้ได้มันมาเร็วๆนี้ แต่ฉันได้มันมาตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามผู้พิทักษ์ครั้งล่าสุดที่ผ่านมาตั่งหาก”ละมั่งเขียนจบก็สบัดขนของตัวเองเล็กน้อย จากนั้นโจวเหวินก็เห็นขวดหินเล็กๆ โผล่ขึ้นมาจากขนหลังคอของมัน


“ตรงนั้นมันมีที่เก็บของด้วยเหรอ”โจวเหวินมองที่คอของละมั่งอย่างตกใจ


เดิมทีแล้วขนของละมั่ง3ตานั้นสั้นมากๆ มีเพียงแค่ขนที่คอเท่านั้นที่ยาวออกมา แต่มันก็ไม่มีทางที่จะเก็บขวดได้แน่ๆ เขาเลยไม่รู้ว่ามันเก็บไว้ได้ไงกัน


โจวเหวินกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบขวดนั้น แต่แล้ว เขาก็โดนละมั่งห้ามเอาไว้ด้วยกีบเท้า


“นายจะเอาเลือดนี้ไปก็ได้ แต่ฉันมีเงื่อนไขอย่างนึง”ละมั่งเขียน


“นายนอนก็นอนบ้านฉัน กินก็กินเงินฉัน ยังจะมีเงื่อนไขอะไรอีกเหรอ”โจวเหวินขมวดคิ้ว


“จะเอาไม่เอา”ละมั่งไม่สนใจที่จะต่อรองอะไรกับโจเวหวิน


“โอเคก็ได้ มีเงื่อนไขอะไรละ”โจวเหวินถามอย่างใจเย็น


“ถ้านายมีความสามารถในอนาคต นายต้องไปที่พระราชวังต้องห้ามนั้นอีกครั้ง แล้วขอของบางอย่างมาจากนาง เอาจริงๆ ถ้าเกิดนายทำสัญญากับนางละก็ ของสิ่งนั้นก็จะเป็นของเราแหล่ะ แต่ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้แล้ว คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วละ”ละมั่งเขียน


“มันคืออะไรละ”โจวเหวินถาม


“เดี๋ยวถึงตอนนั้นนายก็รู้เองแหล่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนั้นฉันจะช่วยนายเอง อย่างที่เคยบอกตอนนั้นไง แบ่งกันแบบ80 20”


“ไม่อะ ตอนนั้นเราบอกว่า80-20เพราะว่าไม้นั้นนายเป็นคนหาเจอ แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปปแล้ว 80-20ไม่ได้แล้วละ อย่างน้อยก็ต้อง 60-40อะ ฉันเอา60 นาย40” ถึงแม้ว่าโจวเหวินจะยังไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร แต่เขาก็จะไม่ยอมเสียเปรียบอีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ดีว่าเขาต้องการเลือดของผู้พิทักษ์ดังนั้น เขาอาจจะต้องยอมรับเงื่อนไขนี้ แต่ยังไงโจวเหวินก็อยากจะต่อรองก่อน


“ไม่เอาอะ”ละมั่งปฏิเสธทันที


โจวเหวินมองก่อนจะพูดอย่างหนักแน่น “ไม่งั้นก็ 50/50 ไม่ต่ำกว่านี้แล้ว”


“ไม่อยากได้เลือดเหรอ”ละมั่งชี้ไปที่ขวด


“60-40ก็ได้ นาย6ฉัน4 สุดท้ายแล้ว แล้วนายต้องมาช่วยฉันด้วย อย่าให้ฉันต้องทำทุกอย่างคนเดียวเหมือนรอบที่แล้วอีก”โจวเหวินพูด


“ตกลง”ละมั่งให้ขวดเลือดกับโจวเหวิน


โจวเหวินรับขวดลือดมาแล้วเปิดออกมาดู เขาพบว่าด้านในนั้นมีเลือดสีม่วงประหลาดที่ส่องประกายระยิบระยับเหมือนมีดวงดาวนับพันอยู่ด้านใน มันทั้งดูสวยงามและดูลึกลับไปพร้อมๆกัน


โจวเหวินลองใช้เลือดของผู้พิทักษ์มามากมายแล้ว แต่รอบนี้เขารู้ได้ตั้งแต่แรกเห็นเลยว่า นี้เป็นเลือดของผู้พิทักษ์ของจริง และมันมีคุณสมบัติที่ต่างออกไปจากผู้พิทักษ์ตัวอื่นๆอย่างชัดเจน กลิ่นอายของมันคล้ายกับที่อยู่ในไม้นั้นเลย


โจวเหวินเอาขวดเลือดนี้ไปที่ห้องฝึก ก่อนจะลองซึมซับเลือดจากขวดนี้เข้าสู่วิชาลมปราณขโมยดวงดาว


โจวเหวินรู้สึกได้ทันทีว่าจักรวาลน้อยๆในร่างกายของเขานั้นระเบิดออกมา เลือดสีม่วงนั้นมอบพลังงานมหาศาลให้กับจักรวาลอย่างไม่น่าเชื่อ  โจวเหวินรู้สึกได้เลยว่าพลังงานที่เกิดขึ้นนั้นกำลังจะทำให้เขาได้วิญญาณชีวิตมาอีกครั้ง


บางทีอาจจะเป็นเพราะว่ารอบนี้เขาได้เลือดมาซึมซับเยอะกว่าเดิม ปรกติแล้วเขาใชช้เลือดแค่หยดเดียวเท่านั้น แต่รอบนี้ใช้มากถึง7-8หยด ทำให้พลังงานที่ดูดซับเข้ามานั้นมันรุนแรงและมากกว่าเก่า ขั้นตอนการสกัดวิญญาณจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากๆ


และตอนนั้นเองที่คิ้วของโจวเหวินมีดวงดาวสีม่วงส่องประกายแสงขึ้นมา


826 ธุลีดาว


มันเป็นดวงดาวสีม่วงขนาดเล็กๆเหมือนฝุ่นผงที่สะท้อนแสงเรือนรางลอยอยู่บริเวณคิ้วของโจวเหวิน เหมือนเศษผลึก


วิญญาณชีวิต ธุลีดวงดาว ขั้นแรก


ธุลีดวงดาว ดวงดาวนับร้อยล้านบนจักรวาลอันกว้างใหญ่นั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่ฝุ่นผงธุลี แต่ธุลีเหล่านั้นคือสิ่งที่เหยียบอยู่เช่นกัน


โจวเหวินมองวิญญาณชีวิตธุลีดวงดาวแล้วรู้สึกได้ถึงพลังงานสายมิติที่แรงกล้าและข้อมมูลจำนวนหนึ่งที่ไหลเข้ามาในหัวของโจวเหวิน ทำให้โจวเหวินพอจะรู้ข้อมูลของมันอยู่บ้าง วิญญาณชีวิตธุลีดวงดาวนั้น จริงๆแล้วมันคือดวงดาวขนาดเล็กๆจริงๆ และความสามารถของมันนั้นคือการเคลื่อนย้ายข้ามมิติไปยังดวงดาวในจักรวาลแห่งนี้


ซึ่งเอาจริงๆมันก็คล้ายๆกับความสามารถของวิญญาณชีวิตอารยมิติมากๆ แต่ต่างกันตรงที่วิญญาณชีวิตธุลีดาวนั้นจะวาปไปได้แค่ระหว่างดวงดาวเท่านั้น ขอแค่มันเป็นดวงดาวที่มีอยู่จริงในจักรวาลน้อย หรือจักรวาลจริงๆ โจวเหวินก็สามารถวาปไปที่ไหนก็ได้


ยกตัวอย่างเช่น ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดวงจันทร์ ที่อยู่ใกล้ๆกับโลก รวมไปถึงดวงดาวทั้ง28กลุ่มดาว หรือดวงดาวที่ไกลกว่านั้น ขอแค่อยู่ในทะเลดวงดาวหรือจักรวาลน้อยของโจวเหวิน เขาก็สามารถวาปไปที่ไหนก็ได้


แต่ถึงอย่างนั้น คูลดาวน์ของสกิลนี้มันนานมากๆ การใช้ครั้งนึงกว่าจะใช้ได้อีกครั้งก็ต้องใช้เวลา1เดือนเต็มๆ


โจวเหวินตอนแรกก็อยากจะลองวาปไปดวงจันทร์ดู แต่พอลองมาคิดๆดูแล้ว เขาก็ยกเลิกแผนการของตัวเอง สภาพร่างกายของเขาในตอนนี้มันไม่มีทางอยู่รอดในอวกาศได้ แถมการจะไปนั้นเป็นเหมือนตั๋วเที่ยวเดียว กว่าจะกลับได้ก็อีก1เดือนเต็มๆ ถ้าเกิดเขาไปตอนนี้ก็อย่าหวังที่จะได้กลับมาเลย คงได้ขาดอากาศตายอยู่กลางอวกาศแน่ๆ


“ความสามารถนี้มันดูแกร่งมากก็จริง แต่เอาเข้าจริงแม่งโคตรไร้ประโยชน์เลยวะ มันมีความสามารถในการข้ามมิติระหว่างดวงดาวก็จริง แต่มันก็ไม่สามารถวาปไปมาภายในดวงดาวได้ จนถึงตอนนี้มนุษย์เองก็ยังหาดวงดาวที่เหมาะสมกับการไปอยู่นอกเหนือจากโลกไม่ได้ ถ้าขืนไปสดๆละได้ตายจริงๆแน่ๆ”โจวเหวินคิดเครียดๆ


โชคยังดีที่นอกจากความสามารถในการเคลื่อนย้ายระหว่างดาวได้ ธุลีดวงดาวยังเสริมพลังทั้งในด้านความเร็ว พลัง และพลังงานลมปราณอีกด้วย โดยเฉพาะยิ่งตอนกลางคืนเหมือนกับว่าได้รับพลังจากพรแห่งดวงดาวยังไงอย่างงั้น


เอาจริงๆตอนกลางวันก็ได้เหมือนกันแหล่ะ แต่เพราะว่าแสงอาทิตย์นั้นมันแรงเกินไปตอนกลางวันทำให้พรแห่งดวงดาวนั้นอ่อนแอลงมาก แต่พรที่ได้รับส่วนมากนั้นมาจากดวงอาทิตย์แทน


ว่ากันว่าหลังจากกลายเป็นระดับเร้นลับแล้ว เราจะมีความสามารถมากพอในการอยู่รอดในอวกาศได้ ซึ่งความสามารถนี้จะมีประโยชน์มากๆในอนาคตเลย


เท่าที่โจวเหวินรู้มันมีแค่นี้ ส่วนวิธีการใช้หรือความสามารถอื่นๆนั้นโจวเหวินต้องไปลองดูเอาเองอีกที


“จะว่าไปแล้วเราจะพัฒนาวิญญาณชีวิตนี้ยังไงละเนี่ย”โจวเหวินลองศึกษาหาวิธีการพัฒนาวิญญาณชีวิตธุลีดวงดาว


หลังจากเข้าเกมส์ไปแล้วโจวเหวินก็ลองใช้สกิลวาปข้ามดวงดาวของธุลีดวงดาว ฝุ่นผงที่คิ้วของเขาส่องประกายแสงทันทีก่อนที่ลำแสงจากตัวเขาจะส่งตัวของเขาพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ทะลุข้ามมิติ ไปอีกฝากนึงของจักรวาลลงบนดาวดวงหนึ่ง


จากนั้นธุลีดวงดาวก็เข้าสู่ช่วงคูลดาว และจะใช้ได้อีกทีในอีก1เดือนข้างหน้า


“คูลดาวมันนานเกินไปจริงๆ”โจวเหวินรู้สึกว่าสกิลนี้มันดีมากๆก็จริง แต่การใช้ได้แค่เดือนละครั้งมันน่าเสียดายเกินไปหน่อย แต่ก็ดีหน่อยตรงที่โจวเหวินไม่เคยคิดจะใช้มันในโลกความเป็นจริงอยู่แล้ว ไม่งั้นถ้าต้องใช้ฉุกเฉินขึ้นมาแล้วใช้ได้เดือนละครั้งนี้มันก็โหดร้ายเกินไปหน่อย


โจวเหวินลองศึกษามาพักใหญ่ๆแล้ว แต่เขายังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงวิญญาณชีวิตธุลีดาวถึงจะพัฒนามาได้ เขาลองมาหลายวิธีแล้วแต่ก็ยังไม่มีวิธีไหนได้ผลเลยซักอย่าง


“โจวเหวิน ไปงานประมูลกันไหม”ฉางหยูฉีส่งข้อความมาหาโจวเหวิน


“ไปซิ”โจวเหวินตอบ


ถึงแม้ว่าวิญญาณชีวิตอารยมิติจะสามารถใช้ได้บ่อยขึ้นมากแล้วตอนนี้ แต่จำนวนครั้งในการวาปกว่าจะเลื่อนระดับก็มากขึ้นเหมือนกัน โจวเหวินต้องใช้เวลามหาศาลกว่าจะสามารถพัฒนามันได้สำเร็จ


แต่ภาพที่คนจาก6ตระกูลวีรบุรุษจะมารวมตัวกันได้นั้น เป็นภาพที่น้อยครั้งจะได้เห็น


“อย่าลืมบอกฉันก่อนล่วงหน้าก่อนที่นายจะมาถึงด้วยละ ฉันจะได้จัดแจงเรื่องต่างๆให้ รอบนี้มันมีคนมาเข้าร่วมการประมูลเต็มไปหมดเลย อาจจะไม่ค่อยสะดวกกับการพักข้างนอกเท่าไร ฉันเลยจะให้นายไปอยู่ในอีกบ้านนึงของคฤหาสต์ฉันหน่ะ”ฉางหยูฉีพูด


“ดีเลย”โจวเหวินเองก็ไม่เกรงใจ


ฉางหยูฉีนั้นจะติดต่อเขามาน้อยครั้งมากต่อวัน และจะติดต่อมมาแค่ไม่เกิน10นาทีเท่านั้น หลังจากนั้นจะไม่ตอบกลับอะไรมาอีกเลยเหมือนกับทิ้งโทรศัพท์ไปเลย


“หรือว่านางกำลังแอบตระกูลของนางเล่นโทรศัพท์กัน”โจวเหวินคิดว่าเป็นไปได้


สำหรับตระกูลฉางแล้ว ฉางหยูฉีเป็นบุคคลที่สำคัญมากๆ ทุกๆการเคลื่อนไหวของเธอจะถูกตระกูลฉางจับตาดูไว้เสมอ


“การเป็นคนพิเศษบางทีก็ไม่ใช่เรื่องดีซินะ คนอย่างฉางหยูฉีหรือหวางลู่ต่างก็มีความสามารถที่ใครๆก็ฝันหาทั้งนั้น แต่พวกเธออาจจะไม่ได้ดีใจที่มีมันก็ได้”โจวเหวินคิด


ในตอนเช้า โจวเหวินพาหยาเอ๋อออกไปสูดอากาศข้างนอก ตั้งแต่ได้เธอมา โจวเหวินพยายามพาเธอออกไปข้างนอกทุกเช้าเพื่อให้เธอชินกับสังคมมนุษย์ปกติ ในมหาลัยซีหยางมีนักศึกษาที่มีลูกแล้วอยู่หลายคน แต่ส่วนมากนั้นเป็นปีโตใกล้จบหรือจบการศึกษาไปแล้ว เด็กปี2ที่หิ้วกระเตงเด็กไปมาแบบโจวเหวินนั้นนับได้ว่าเป็นคนแรกก็ได้


แต่โชคดีที่ทุกคนในมหาลัยรู้เรื่องของโจวเหวินและอันหลานหยาง เลยไม่มีใครมาตัดสินหรือนินทาอะไร


“โจวเหวิน เสื้อผ้าที่ซื้อให้หยาเอ๋อมมันเล็กเกินไปนะ ได้เวลาไปซื้อให้ใหม่แล้วละ”โจวเหวินพาหยาเอ๋อไปที่ห้องชมรมของกลุ่มซวนเหวิน ฟางหลัวซีก็ชี้ไปที่เสื้อของหยาเอ๋อแล้วพูดขึ้นมา


โจวเหวินเองก็พบว่าเสื้อผ้าของหยาเอ๋อนั้นเล็กลงจริงๆ และตัวของเธอก็โตขึ้นอย่างไวมากด้วย หลังจากผ่านไปแค่เดือนกว่าๆเธอก็โตขึ้นมาเร็วมาก


“นายยังเป็นแค่นักศึกษาอยู่เลย จะดูแลอะไรเธอไหวเนี่ย ไปจ้างพี่เลี้ยงเล็กให้กับเธอไม”ฟางหลัวซีแนะนำ


“ไม่เอาอะ เดี๋ยวฉันจะค่อยๆเลี้ยงดูเธอเอง” แน่นอนละโจวเหวินจะให้ใครมาดูแลหยาเอ๋อไม่ได้เด็ดขาด เพราะคนๆนั้นอาจจะตายไม่รู้ตัวก็ได้


“นี้โจวเหวินนั้นลูกของนายเหรอ”เทียนเฉียงตงพูด


“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีซิ”โจวเหวินพูด ถ้าเกิดเธอเป็นลูกสาวของเขาจริงๆ เขาคงจะขอให้อันหลานหยางเลี้ยงดู ไม่ต้องมาลำบากทำอะไรเองแบบนี้หรอก แต่ตอนนี้มีแค่โจวเหวินคนเดียวเท่านั้นที่ดูแลนางได้


“เด็กคนนี้อายุเท่าไรละ ลูกของญาติของฉันเองอายุน้อยกว่าเธออีก แต่เรียกพ่อเรียกแม่ได้แล้วนะ แต่ทำไมเธอถึงยังไม่เคยพูดอะไรเลยละ นายไม่สอนเธอบ้างเหรอ”เทียนเฉียงตงพูด ก่อนจะหยอกเย้าหยาเอ๋อ “หยาเอ๋อ เรียกลุงซิลูก เรียกลุงซิ”


แต่หยาเอ๋อนั้นทำหน้าตายใส่แล้วไม่ตอบโต้อะไรซักอย่างทำให้เขารู้สึกโง่อยู่คนเดียว เขาหัวเราะกลบเกลื่อนก็จะเลิกหยอกเธออีกเลย


“หยาเอ๋อ เธอรอฉันอยู่ที่นี้ซักพักนะเข้าใจไหม”โจวเหวินเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วไม่ได้พาหยาเอ๋อไปด้วย เขาคิดว่าปล่อยเธอไว้ตรงนี้ซักพักก็คงไม่เป็นอะไร ก่อนที่จะไปเขาเองก็ได้บอกกับฟางหลัวซีว่าให้ช่วยดูแลหยาเอ๋อด้วย แถมยังบอกอีกด้วยว่าอย่าให้ใครมาแกล้งเธอ


หลังจากที่โจวเหวินออกไปได้ไม่นานก็มีใครบางคนเข้ามาในห้องชมรมแล้วเห็นเด็กทารกคนนึงนั่งอยู่ ทำให้อดตกใจไม่ได้


“ทำไมถึงได้มีเด็กอยู่ตรงนี้ได้วะเนี่ย”ชายคนนั้นถามแล้วมองหยาเอ๋อ


827 หยุนหนิว


“เด็กคนนี้คือลูกเลี้ยงของโจวเหวินหน่ะ”เทียนเฉียงตงพูดกับหยุนหนิว


หยุนหนิวนั้นเป็นเด็กปี1ที่พึ่งจะเข้ากลุ่มซวนเหวินมาได้ไม่นาน โจวเหวินเลยยังไม่เคยเห็นเขา


“อ้อ ลูกของโจวเหวินผู้โด่งดังคนนั้นนี่เอง นึกว่ารุ่นพี่โจวเหวินเขาจะเอาแต่ฝึกหนักอย่างเดียวซะอีก ที่ไหนได้เรื่องความรักก็ใช่ย่อยนะครับเนี่ย”หยุนหนิวพูด ก่อนจะเดินเข้าไปหาหยาเอ๋อพยายามจะหยิกแก้มของนาง “เด็กอะไรน่ารักน่าชังจัง ชื่ออะไรครับเนี่ย”


หยาเอ๋อกระเถิบถอยหลังออกห่างจากมือของหยุนหนิว


“เด็กมันกลัวหน่ะ อย่าไปแกล้งเลย”ฟางหลัวซีอุ้มหยาเอ๋อแล้วพูดกับหยุนหนิว


“เด็กหน่ะควรจะสดใสนะครับ ถ้าเกิดปล่อยเด็กมาเจอคนเยอะๆเเบบนี้เดี๋ยวอนาคตก็ไม่กลัวเองละครับ”หยุนหนิวพูดก่อนจะเเตะกระเป๋าเสื้อ เเล้วหยิบเอาลูกกวาดออกมา “มานี้มา ลูกกวาดพวกนี้ของดีมากเลยนะ อร่อยสุดๆไปเลย มามะเดี๋ยวลุงให้


หยาเอ๋อมองหน้าหยุนหนิวไม่พูดอะไรพอเห็นหยาเอ๋อไม่ขยับ หยุนหนิวจึงเเกะเปลือกลูกกวาดเเล้วโยนเข้าปากก่อนจะอมเเล้วเคี้ยว “หื้มมมม อาโหร่ยยย หวานหอมมมมากเลยนะ อะ อันนี้ลุงให้เอาไปลองดูซิ”


หยาเอ๋อไม่เอื้อมไปรับ เเต่นังคงมองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์


“เอ๋เด็กคนนี้มันยังไงกันน้าา?”หยุนหนิวขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเองก็เคยเจอเด็กมาตั้งเยอะเเยะ เเต่เขาไม่เคยเจอเด็กคนไหนเหมือนหยาเอ๋อเลย


เเม้เเต่เด็กบางคนที่ขี้อายหรือไม่ชอบเขาก็อาจจะทำท่าทีไม่กล้าหรือร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว เเต่ยังไงก็ไม่มีทางมองด้วยสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์เเบบนี้เเน่ๆ


หยาเอ๋อนั้นเห็นชัดๆว่าไม่ได้กลัวเขาเลย เธอมองเเต่ก็เมินเขาไปเลย


“ไม่ชอบลูกกวาดเหรอ ไม่เป็นไร ฉันยังมีของให้ลองอีกเยอะเเยะเลย ลองดูมาว่าชอบไหม”หยุนหนิวเปิดกระเป๋าของเขาเเล้วหยิบเอาตุ๊กตาผ้ามีเสียงกรุ๊งกริ้งเเละกระดิ่ง พร้อมกับของเล่นอย่างอื่นออกมาวางบนโต๊ะ


“ดูซิว่าน่าสนุกขนาดไหน อะนี้ของเธอนะ”หยุนหนิวสั่นของเล่นล่อตรงหน้าของเธอ


เเต่หยาเอ๋อยังคงมองเขาอยู่เเบบนั้นเเล้วไม่ยื่นมือออกมา


“หรือว่าเด็กคนนี้ หูหนวกกันนะ”หลิวหยุนเริ่มถาม


“หูหนวกบ้าอะไรกันละ เธอยังเด็กอยู่เลยนะ เธอเเค่ยังพูดไม่ได้เฉยๆเถอะ จะว่าก็ว่าเถอะ ทำไมนายถึงเอาของเล่นเด็กเยอะเเยะพวกนี้พกใส่กระเป๋ามามหาลัยด้วยวะเนี่ย ไปเอามาจากไหนกันเนี่ย”ที๋เฉียงตงพูด


“ตอนเเรกผมคิดว่าจะซื้อมาเล่นกับหลานของผมหน่ะครับ เเต่ดูเหมือนจะล่อความสนใจอะไรเด็กคนนี้ไม่ได้้เลย”หยุนหนิวพูดเเบบหงุดหงิดนิดหน่อย


“เป็นคนดีเหมือนกันนะเนี่ยรู้จักซื้อของเล่นไปฝากหลานซะด้วย”ที๋เฉียงตงพูด


“ผมไม่รู้นี้ครับว่าจะซื้ออะไร ผมเลยซื้อมันซะทั้งหมดเลย เเต่มันก็ยังไม่ได้ผลเลย”ตอนที่เขาพูดนั้นเอง เขาก็ยื่นของเล่นเเล้วยื่นให้หยาเอ๋อทีละอัน “ชอบอันนี้ไหม ชอบอันนี้เปล่า”


หยุนหนิวลองเเล้วลองอีกทีละอัน เเต่ก็ไม่มีอันไหนได้ผลเลย


เเต่จู่ๆ ตอนที่หยุนหนิวกำลังจะหมดหวังนั้นเอง หยาเอ๋อจู่ๆก็ชี้ไปที่กระเป๋าของหยุนหนิว


หยุนหนิวพูด “อยากได้อันไหนละเดี๋ยวลุงให้”


หยาเอ๋อยังคงชี้ในกระเป๋านั้นด้วยนิ้วเล็กๆของนาง หยุนหนิวเลยเททุกอย่างออกมาจากกระเป๋าเเล้วพูด “อะ อยากได้อันไหนหยิบไปได้เลย”


หยาเอ๋อเอื้อมมือไปหยิบอะไรบางอย่างมาจากกองพวกนั้น หยุนหนิวพอเห็นว่าหยาเอ๋อหยิบอะไรออกมาเเล้วก็อดตกใจไม่ได้ “เเปลกเเหะ ฉันได้เคยใส่ของเเบบนั้นลงไปในกระเป๋าตั้งเเต่เมื่อไรกันหรือว่ามันมีอะไรที่ฉันเผลอทำตกลงไปในกระเป๋าเหรอ?”


“…นั้นมัน….”หยุนหนิวตอนเเรกอยากจะหยึดหยาเอ๋อ เเต่ไม่ทันเเล้วหยาเอ๋อหยิบของนั้นมาได้เเล้ว


มันเป็นสร้อยคอที่เต็มไปด้วนทับทิมมากมายดูสวยงามมาก


ถึงเเม้ว่าราคาอัญมณีสมัยนี้จะไม่ได้เเพงเหมือนเมื่อก่อน เเต่สร้อยคอนี้เห็นชัดๆเลยว่าเป็นของดีมากๆตั้งเเต่เเวบเเรกที่เห็น ถ้าเป็นยุคก่อนพายุมิติละก็ สร้อยคอดีๆเเบบนี้คงจะมีมูลค่าหลายร้อยล้านดอลล่าเเน่นอน


เเม้จะเป็นตอนนี้ สร้อยคอเเบบนี้ก็ยังคงมีมูลค่ามหาศาลอยู่ดี เพราะยังไงทับทิมที่สีสวยงามเเบบนี้มันหายากมากอยู่เเล้ว


“ผู้หญิงก็คือผู้หญิงวันยันค่ำซินะ รู้ว่าอะไรสวยไม่สวยตั้งเเต่เด็กเลย เจ้าเด็กนี้มันตาถึงนะเลือกสร้อยคอสวยๆเเบบนั้นจากหยุนหนิวด้วย เห้ย สร้อยนั้นของจริงรึเปล่า”ที๋เฉียงตงพูด


“จะเป็นของจริงได้ไงละครับ เธออยากได้ก็ให้ไปก็ได้ครับ”หยุนหนิวพูด


“งั้นก็ดีเเล้วละ”ฟางหลัวซีพูดเเล้วอุ้มหยาเอ๋อ “มานี้มา เดี๋ยวพี่ใส่ให้นะ”


หยาเอ๋อปล่อยมือจากสร้อยอย่างว่าง่่ายก่อนจะให้สร้อยที่ฟางหลัวซีใส่คอของหยาเอ๋อ ก่อนจะพูด”ว้าว หยาเอ๋อ สวยมากเลยจ้ะ”


เเต่หยาเอ๋อยังคงทำหน้านิ่ง เธอสวมสร้อยทำหน้าตายเหมืินกับทำสีหน้าอื่นไม่เป็น


“สร้อยสวยใช่ไหมละ อยากได้มันไหม ลุงมีสร้อยสวยกว่าอันนั้นอีกนะ ให้ลุงกอดก่อนซิเเล้วเดี๋ยวลุงจะให้สร้อยสวยๆกว่านั้นอีกนะ”หลิวหยุนหยิบเอาสร้อยมุกออกมาจากกองของเล่น


เเต่หยาเอ๋อยังคงไม่ขยับ เธอเบี่ยงหน้าออกเหมือนกับไม่อยากคุยด้วยเเล้ว


หยุนหนิวตากระตุกเเล้วคิด “โอเคได้เลย ยัยเด็กหมาเนรคุณ พอได้ของที่ตัวเองต้องการเเล้วก็เบี่ยงหน้าหนีทำเป็นไม่รู้จักกันเลยซินะ”


เเต่ไม่ว่าหยุนหนิวจะพยายามเท่าไร เเต่หยาเอ๋อก็ยังไม่สนใจอยู่ดี


“หยุนหนิว ดูเหมือนว่านายจะเข้ากับเด็กไม่ได้เลยนะ หยุดเเกล้งเด็กได้เเล้วน่า”ที๋เฉียงตงพูด


“ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วซินะ” หยุนหนิวพยักหน้า แต่ทันใดนั้นเขาก็เข้าไปอุ้มหยาเอ๋อทันที


“หยุนหนิว อย่าทำแบบนั้นนะ นายจะทำให้หยาเอ๋อกลัวนะ”ฟางหลัวซีขมวดคิ้ว เธออยากจะให้เขาวางหยาเอ๋อลง


แต่จู่ๆหยุนหนิวก็ถอยไป2ก้าวก่อนที่จะมีควันโพยพุ่งออกมาพร้อมกับเสียงระเบิด พอควันหายไป หยุนหนิวกับหยาเอ๋อก็หายตัวไปทั้งคู่แล้ว


“ไปบอกโจวเหวินว่าถ้าอยากให้เด็กนี้รอด ให้ไปที่ภูเขาหลงหูคนเดียว” เสียงนั้นลอยออกมาจากความว่างเปล่า แต่ทั้ง2คนนั้นหายไปแล้ว


ฟางหลัวซีกับที๋เฉียงตงหน้าซีดแล้ววิ่งไล่ตามไปทันที แต่ข้างนอกห้องก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของหยุนหนิวและหยาเอ๋อแล้ว


โจวเหวินเองก็เดินกลับมาพอดี ที๋เฉียงตงก็วิ่งเข้าไปหาโจวเหวินทันที “โจวเหวิน ชิบหายแล้ว หยาเอ๋อโดนจับตัวไป!”


ฟางหลัวซีเองก็ดูลนลานมาก “รีบตามเขาไปกันเถอะ เขาน่าจะยังไปไหนได้ไม่ไกล”


“ไม่ต้องตามหรอก ตามไปก็ไม่ทัน คนที่เอาไปชื่อหยุนหนิวใช่ไหม”โจวเหวินเห็นไปแล้ว จริงๆ เขาไม่ได้ไปเข้าห้องน้ำนานอะไรหรอก เพราะเขากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหยาเอ๋อเลยจับตาดูหยาเอ๋อเอาไว้


โจวเหวินเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องชมรมอบ่างชัดเจน แต่เขาไม่คิดว่าหยุนหนิวจะทำเรื่องโฉ่งฉ่างแบบนี้เหมือนกัน


“ใช่ เขาชื่อหยุนหนิว เขาเป็นเด็กปี1ที่เข้ามาใหม่แล้วพึ่งเข้ากลุ่มมา แต่ฉันไม่คิดเลยว่า….โจวเหวินฉันขอโทษ…. ฉันจะไปที่ภูเขาหลงหูเพื่อไปเอาหยาเอ๋อกลับมาให้ได้เลย”ฟางหลัวซีรู้สึกผิดมากๆ เพราะโจวเหวินเป็นคนบอกให้เธอเป็นคนดูแลหยาเอ๋อ แต่สุดท้าย หยาเอ๋อกลับโดนลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตาเธอซะงั้น


“ไม่ต้องไปหรอก ฉันรู้ตัวคนที่ขโมยเด็กนั้นไปแล้ว ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องโทษตัวเองนะ อย่าว่าแต่เธอเลย ต่อให้เป็นคนของ6ตระกูลก็หยุดหมอนั้นขโมยของไม่ได้หรอก”โจวเหวินพูด


828 ของขวัญแห่งเอียรอส


หลิวหยุนลักพาตัวหยาเอ๋อออกมาจากลั่วหยาง แล้วขี่นกอินทรีตัวใหญ่บินเข้าไปปในป่า ตอนนี้ถึงแม้จะเป็นอันเทียนโจมาตามจับ มันก็สายเกินไปแล้ว


“เห้ย แม่สาวน้อย เธออยู่ในกำมือของฉันแล้ว เจ้าโจวเหวินนั่นคงไม่กล้ามาที่ภูเขาหลงหูหรอก”หลิวหยุนมองหยาเอ๋อที่นั่งอยู่ข้างๆเขา


แต่เขาก็ต้องตกใจ ถ้าเป็นเด็กปรกติเจอแบบนี้ก็ต้องร้องไห้ออกมาแล้ว


แต่ใบหน้าของหยาเอ๋อกลับไร้อารมณ์ เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หน้าตาของเธอไม่ต่างอะไรจากก่อนหน้านี้เลย เธอแค่นั่งอยู่บนหลังอินทรีอย่างว่าง่าย ไม่กลัวความสูงแม้แต่นิดเดียว


“หรือว่ายัยเด็กนี้จะเพี้ยนไปแล้ววะ” หลิวหยุนคิดว่าหยาเอ๋อนั้นอาจจะพิการทางสมอง


เด็กปรกติไม่มีทางใจเย็นกับสถานการณ์แบบนี้ได้แน่นอน อย่าว่าแต่เด็กอายุขวบกว่าๆเลย ถึงจะเป็นเด็กอายุ11-12 เจอแบบนี้เข้าไปก็มีร้องเหมือนกัน


“เอามานี้เลย เอาสร้อยของฉันกลับมาได้แล้วเดี๋ยวฉันเปลี่ยนสร้อยใหม่ให้”พอหลิวหยุนเห็นว่าหยาเอ๋อนั้นเอ๋อๆ เขาเลยไม่มีอารมณ์จะมาพูดกับเธอมากนัก เขายื่นมือออกมาตั้งใจจะถอดสร้อยออกจากคอของหยาเอ๋อ


สร้อยนั้นไม่ใช่สร้อยธรรมดา มันเป็นสมบัติตกทอดมาจากตระกูลเคป ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ของจากต่างมิติ แต่ก่อนจะเกิดพายุมิติ สร้อยนี้เป็นสร้อยที่โด่งดังมาก


มันมีชื่อว่า “ของขวัญแห่งเอียรอส”ตั้งชื่อตามเทพเอียรอส บุตรแห่งแอเรสและอโพรไดต์ หรือในอีกนามนึงคือคิวปิด เทพแห่งความรัก ก่อนที่จะเกิดพายุต่างมิติ ราชินีจากหลายๆแคว้นครอบครองมัน และเคยใส่มัน ถือว่าเป็นสมบัติที่โด่งดังมากๆ


แต่ถึงอย่างนั้น สร้อยคอนี้ยังรู้จักกันในนาม “ราชินีหม่าย”อีกด้วย เพราะตอนแรก สร้อยคอนี้คือของขวัญจากราชาองค์หนึ่งให้กับราชีนีเพื่อแสดงถึงความรักอันยิ่งใหญ่ มันถูกสร้างขึ้นมาจากทับทิมน้ำงาม โดยช่างทำที่มากฝีมือที่สุดคนหนึ่งของยุคสมัยนั้นและตั้งชื่อขึ้นมมา ว่าของขวัญแห่งเอียรอส


แต่ใครมันจะไปคิดละว่าช่วงเวลาที่มีความสุขนั้นจะผ่านไปไวเสมอ หลังจากที่มอบสร้อยคอนี้ให้กับราชินีแล้ว พระราชาก็ตายเพราะโรคร้าย ทำให้ราชินีคนนั้นกลายเป็นแม่หม้าย


หลังจากนั้น สร้อยคอนี้ก็เปลี่ยนเจ้าของอีกหลายครั้ง เจ้าของทุกคนนั้นล้วนแต่เป็นราชินีแล้วสามีของพวกนางก็ต้องตายทั้งหมด


ตอนที่หลิวหยุนไปขโมยของที่บ้านตระกูลเคป เขาบังเอิญไปหยิบได้ของขวัญแห่งเอียรอสพอดีเขาเลยขโมยมมันกลับมาด้วย


ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ของจากต่างมิติ แต่สาวๆหลายๆคนก็ชอบสร้อยแบบนี้มากๆ โดยเฉพาะพวกผู้หญิงแรงๆที่แต่งงานแล้ว ต่างอยากได้หมายปองสร้อยนี้ด้วยราคาที่สูงริ้ว


หลิวหยุนรู้ดีว่ามีผู้หญิงหลายคนหมายตาสร้อยนี้เพราะถ้าเธอได้มันมาละก็ เธอก็จะได้หลายๆอย่างที่เธอต้องการจากสามี(หลังจากที่ตายไปแล้ว)


หลิวหยุนตอนแรกตั้งใจที่จะเอาสร้อยนี้ไปประมูลต่อในอนาคต เขาไม่เคยคิดจะให้สร้อยนี้กับหยาเอ๋ออยู่แล้ว หลิวหยุนเลยพยายามถอดสร้อยนั้น แต่หยาเอ๋อไม่ยอมให้ หลิวหยุนจะแย่งมันมาตอนนี้ก็ไม่ได้เพราะว่าตอนนี้พวกเขาอยู่บนหลังนกอินทรี ถ้าแย่ง หยาเอ๋ออาจจะตกลงไปได้ หลิวหยุนเลยได้แต่หักห้ามใจ


“ก็ได้ เธอใส่ไปก่อนกัน”หลิวหยุนคิด ยังไงซะสร้อยนั้นก็อยู่ในกำมือของเขาอยู่แล้ว หยาเอ๋อเองก็หนีไปไหนไม่ได้ เพราะเธอเองก็อยู่ในกำมือของเขาเช่นกัน มันไม่จำเป็นต้องบังคับให้เธอถอดออกเลย


“ไอ้เจ้าโจวเหวินนั้น รอบที่แล้วทำฉันเจ็บแสบมากนะ ดูซิรอบนี้นายจะทำอะไรได้”หลิวหยุนวางแผนนี้มานานมากแล้ว


เขาปลอมตัวเข้าไปเป็นนักศึกษา ปะปนอยู่ในมหาลัยซีหยาง ก่อนจะแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มซวนเหวินเพื่อหาทางชิงตัวประกันออกมาแล้วบังคับโจวเหวินให้ไปที่ภูเขาหลงหู


ที่ภูเขาหลงหูนั้นเป็นที่ตั้งของงานประมูลตระกูลฉาง หลิวหยุนนั้นสนใจในสัตว์อสูรของงานประมูลนั้นมากๆ แต่เขาไม่อยากใช้เงินเลยแม้แต่แดงเดียว เขาอยากขโมยอสูรปฐพีออกมาก่อนที่งานประมูลจะเริ่มมากกว่า


หลิวหยุนนั้นเคยลองมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ครั้งสุดท้ายที่เขาเข้าไปขโมยของในตระกูลฉาง ตระกูลฉางก็เฝ้าระวังเขาเป็นอย่างดีจนคราวที่แล้วเขาเกือบเอาตัวเองไม่รอด


หลิวหยุนนั้นรู้ดีว่ารอบนี้เขาคงจะขโมยอสูรปฐพีออกมาไม่ง่ายแน่ๆ เขาเลยวางแผนว่าจะให้มีคนมาช่วยเขา เขาเลยเลือกเอาโจวเหวินมา และวางแผนว่าจะใช้หยาเอ๋อเป็นตัวประกัน


“ไอ้บ้านั้นคราวที่เล้วทำฉันเจ็บแสบมมากนะ รอบนี้จะเอาคืนให้สาสมเลย ฉันจะให้มันทำเรื่องชั่วๆ และสุดท้าย พอฉันได้อสูรปฐพีมา ฉันก็จะ หุหุหุ …”หลิวหยุนอดหัวเราะออกมาไม่ได้


“5555 55555 55555”หลิวหยุนหัวเราะออกมา


แต่เขากลับหยุดหัวเราะไม่ได้ แล้วหัวเราะค้างอยู่แบบนั้น


“ฉันน5555555ทำไม5555555เป็นไป55555ได้ไงกัน55555 เกิดเรื่องบ้าอะ5555ไรขึ้นวะ5555”หลิวหยุนหัวเราะไม่หยุด กรามแทบจะค้างแล้วก็ยังหยุดไม่ได้


เขาพยายามอุดปากตัวเอง แต่เขาก็ยังกลั้นขำไม่อยู่


หลังจากนั้นซักพัก หลิวหยุนก็หยุดหัวเราะลง


“เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นวะ หรือว่าเจ้าโจวเหวินจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วเลยแอบแฝงคำสาปเอาไว้กับตัวของหยาเอ๋องั้นเหรอ”หลิวหยุนลองเช็คร่างกายของตัวเอง แต่ก็ไม่มีร่องรอยของคำสาปอยู่เลย


“ไม่มีคำสาป หรือว่าฉันดีใจเกินเหตุไปเองวะ”แหวนที่มมือของหลิวหยุนไม่ตอบสนองอะไร ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้


ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เขาโดนโจวเหวินเล่นงานแบบนั้น ทำให้หลิวหยุนต้องไปหาวิธีการมากมายมาป้องกันตัวเองจากคำสาป เขาหาสัตว์อสูรที่แก้คำสาปได้มา แล้วก็ยังไปหาแหวนแก้คำสาปมาอีกด้วย


ถึงแม้ว่าแหวนแก้คำสาปจะไม่ได้แก้คำสาปได้ทุกอย่าง แต่ถ้ามีคำสาปอยู่ในร่างกายของเขา อย่างน้อยแหวนนี้ก็จะตอบสนอง มันเป็นเครื่องมือตรวจจับคำสาปชั้นยอด


แต่ตอนนี้แหวนนั้นกลับไม่ตอบสนอง หมายความว่าหลิวหยุนไม่ได้โดนคำสาปอะไร


เขาตรวจเช็คร่างกายอีกรอบ แล้วพบว่าไม่มีปัญหาอะไร เขาเองก็ไม่ได้หัวเราะแล้วด้วย


“ดูเหมือนว่าฉันจะแค่ดีใจเกินเหตุไปเองซินะ”หลิวหยุนคิด เขาเองก็เคยเห็นคนที่หยุดหัวเราะไม่ได้เหมือนกัน


“หิว”หลังจากที่บินไปได้ซักพักหยาเอ๋อก็พูดขึ้นมา


“อ้าวพูดได้เหรอ”หลิวหยุนมองหยาเอ๋อด้วยความตกใจ


แต่หยาเอ๋อไม่พูดอะไรต่อ เธอแค่มองหน้าหลิวหยุน


“โอเค ก็ได้ ถ้าถึงเมืองข้างหน้าเมื่อไรฉันจะพาเธอไปกินนะ”หลิวหยุนควบคุมนกอินทรีให้บินไปจอดที่เมืองใกล้ๆ


หลังจากที่มาถึงเมืองแล้วหลิวหยุนก็อุ้มหยาเอ๋อเดินเข้าเมืองไป


หยาเอ๋อมาหยุดตรงหน้าร้านขายเค้กและขนมหวานแล้วชี้ไปที่ร้าน เหมือนกับจะอยากกินร้านนี้


แต่หลิวหยุนกลับเม้มปาก “เด็กอะไรกินแต่ของไม่มีประโยชน์ทั้งนั้นเลยเธออยากกินนี้มีตังจ่ายรึไง หื้ม…. มานี้มา ฉันจะพาเธอไปกินข้าวฟรี”


หยาเอ๋อเดินตามหลิวหยุนไปต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย ที่นี้เป็นที่ๆหลิวหยุนชอบที่สุด ถึงแม้ว่าหยาเอ๋อจะดูแปลกๆ แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่ร้องไห้ทำให้หลิวหยุนต้องกังวล


หลังจากที่เดินมาไม่นาน หลิวหยุนก็พาหยาเอ๋อไปที่โรงแรมใหญ่ๆแห่งหนึ่ง ที่ดูทันสมัยและหน้าอยู่


แต่ที่โรงแรมแห่งนั้นเหมือนกับจะจัดงานอะไรซักอย่างที่ดูอึมครึมและเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย เหมือนกับมีใครตายหรืองานศพใครซักคน


829 อย่าทำอะไรเลย


“หยาเอ๋อ อย่าบอกว่าฉันไม่สอนเลยนะ ชีวิตของคนเราหน่ะ มันมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นละ เพราะงั้นการใช้ชีวิตเนี่ยละคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เราต้องให้คุณค่ากับชีวิตตัวเองมากๆ ไม่งั้นก็จะเกิดมาสูญเปล่า ถึงแม้ว่าเมืองนี้จะเป็นแค่เมืองเล็กๆไม่ได้เด่นอะไร แต่ที่นี้มีอาหารแปดอย่างที่ไม่เหมือนใครและหากินที่อื่นที่ไหนได้ยากมากเลย เดี๋ยววันนี้ฉันจะพาเธอไปลองนะ”หลิวหยุนเดินเข้ามาข้างในโรงแรมแห่งหนึ่ง


ที่โรงแรมแห่งนั้นเหมือนกับว่ามีจัดงานอะไรซักอย่าง คนที่งานนั้นไม่มีใครรู้จักหลิวหยุน แต่ที่นั้นมีการจัดวางโต๊ะจีนเตรียมไว้มากกว่า100โต๊ะ คนธรรมดาสามารถเข้าไปนั่งร่วมงานด้วยได้ถ้าเกิดมาไว เพราะงั้น หลิวหยุนจึงได้ไปนั่งโต๊ะในที่สุด


“เดี๋ยวอีกซักพักจะมีอาหารอร่อยๆออกมาให้เธอกินละนะ เธอคงลำบากมากละซิอยู่กับโจวเหวิน คงไม่ได้กินอะไรอร่อยๆแน่ๆ แต่ถ้ามากับฉันมันต่างกันเลยนะ เราจะไปขึ้นเขา ว่ายน้ำทะเล เดินทางไปทั่ว แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหนเธอก็จะได้กินแต่ของดีๆ ขอแค่เธอตามฉันมาอย่างเชื่อฟัง ฉันรับรองได้เลยว่าไม่มีอดแน่นอน”หลิวหยุนพูด


คนข้างๆโต๊ะที่ได้ยินหลิวหยุนพูดแบบนั้น ถึงจะไม่รู้จัก แต่ก็ทักขึ้นมา “เห้ย ไอ้หนุ่ม พูดแบบนี้ไปมาหลายที่แล้วจริงๆเรอะ”


“แน่นอนอยู่แล้วซิ อย่าหาว่าโม้เลยนะ แต่ใน4เขตของรัฐบาลกลางเนี่ย ทั้งเมืองเล็กเมืองใหญ่ขอแค่มีชื่อ ฉันก็ไปมาหมดแล้วละ”หลิวหยุนพูดคุยกับคนข้างๆ เขาต้องอยู่ร่วมโต๊ะแบบนี้ไปอีกซักพัก เพราะงั้น การพูดคุยกันจึงเป็นเรื่องปรกติ แต่คนที่มานั่งร่วมโต๊ะทั้งหลายในวันนี้นั้นแต่งตัวกันในชุดดำ สุภาพเหมือนกับว่าเป็นงานศพ แถมไม่ใช่งานศพของคนธรรมดา ยังเป็นงานศพของตระกูลดังในเมืองนี้ เรียกว่าตระกูลเฉิน โดยมี3พี่น้องตระกูลเฉินเป็นเจ้าภาพ พวกเขาเป็นระดับมหากาพย์ที่เรียกได้ว่าเป็นคนใหญ่คนโตของเมืองๆนี้


ไม่นานมานี้ปู่ของตระกูลเฉินพึ่งตายไป ทำให้คนมากหน้าหลายตาจึงเข้ามาในงานนี้


ในตอนที่มีชีวิต คุณปู่นั้นมีเพื่อนฝูงมิตรสหายมากมาย จึงทำให้คนที่มาร่วมงานเยอะมาก โต๊ะที่นั่ง100กว่าโต๊ะนั้นเต็มหมดจนต้องต่อโต๊ะเสริม ส่วนคนที่มีบัตรเชิญนั้นก็จะได้นั่งหน้าๆ


หลังจากที่รอมาซักพักใหญ่ๆ ประธานในพิธีก็ขึ้นมากล่าวบนเวที


“พี่น้อง สหาย และแขกทุกๆท่าน วันนี้เรามาร่วมเป็นสักขีพยานการจากไปอย่างอาลัยของคุณเฉิ……..”


“55555” ประธานพูดด้วยความเสียใจบิ้วมากๆอยู่บนเวที ทำให้ทุกๆคนนั้นนิ่งเงียบ แต่จู่ๆเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมา


ทันทีที่ได้ยิน ทุกคนก็หันมาที่ต้นเสียงทันที


หลิวหยุนหน้าเจื่อน เขาไม่รู้ว่าจู่ๆเขาถึงขำขึ้นมาได้ เขาไม่ได้อยากขำเลยด้วยซ้ำ เขาพยายามปิดปากแล้วทำหน้าสำนึกผิดที่สุดเท่าที่ทำได้


หัวหน้าตระกูลเฉินส่งสัญญาณให้ประธานพูดต่อ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะไปมีเรื่องกับใคร หรืออย่างน้อยก็รอให้งานนี้จบก่อนแล้วค่อยไปจัดการก็ยังได้


“คุณปู่เฉินของเรานั้น เป็นคนที่จริงใจ ช่วยเหลือทุกคน เป็นผู้นำที่ดี หัวหน้าครอบครัวที่ดี เป็นสามีและพ่อที่…”


“5555555”เสียงหัวเราะดังขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้สายตาของทุกๆคนจับจ้องมาที่หลิวหยุนด้วยความอาฆาตเหมือนจะฆ่าให้ตายให้ได้ โดยเฉพาะพวกตระกูลเฉิน


หลิวหยุนแทบอยากจะร้อง ไม่ได้อยากหัวเราะจริงๆ แต่ขาห้ามตัวเองไม่ได้ เขาพยายามปิดปากให้แน่นที่สุด แต่เขาก็ยังไม่หยุดขำ ภาพที่ออกมามันเลยเหมือนคนที่พยายามกลั้นขำ แต่กลั้นไม่อยู่ ขำคิกคักออกมาทั้งๆที่ปิดปาก


“มึงเป็นบ้าอะไรของมึงวะ”3พี่น้องตระกูลเฉินเริ่มทนไม่ไหว เหล่าคนในงานก็ดูจะเหลืออดแล้ว ตอนนี้คนนับร้อยในงานลึกขึ้นล้อมหลิวหยุนเหมือนกับพร้อมกระทืบให้จมคาตีน


“ฉัน55555 ไม่ได้อยาก555ห55หัวเราะ555555 ฉัน5555”หลิวหยุนหัวเราะเบบหยุดไม่ได้


“หัวเราะทำเหี้ยอะไรละ!”พี่น้องตระกูลเฉินเปิดฉากด้วยกำปั้นเข้าหน้าของหลิวหยุนจังๆ


“โอ้ย”หลิวหยุนโดนต่อยเต็มก่อนที่เขาจะพยายามวิ่งหนีออกมา


หน้าของหลิวหยุนบวมเป่ง เขาอุ้มหยาเอ๋อแล้ววิ่งออกมาจากนอกโรงแรมอย่างสุดฤทธิ์ เหมือนกับว่าพยายามหนีออกมาให้รอดจากความตาย


“55555 โอ้ย555555 จู่ๆก็ต่อยๆกันแบบนี้ 55555 อะไรวะ55555ไม่เข้าใจเลย5555”หลังจากหนีตายออกมาได้ หน้าบวมๆของหลิวหยุนก็ยังคงหัวเราะไม่หยุด การยิ้มหัวเราะของเขานั้นทำให้แผลที่หน้าของเขามันปวดไปมากกว่าเดิมอีก


“ไอ้เวรเอ้ย เจ็บชิบหาย ทำไมถึงได้หัวเราะออกมาได้วะ” หลิวหยุนพูด แต่จู่ๆเขาก็พบว่าเขาไม่หัวเราะออกมาแล้ว


“เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย”หลิวหยุนมองหยาเอ๋อที่ชี้ไปที่ร้านเค้กตรงนั้น แล้วจู่ๆเธอก็พูด “หิว”


“ไอ้เด็กนี้มันอายุเท่าไรวะเนี่ย เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่น่าจะเป็นเพราะเธอนะ หรือว่าฉันโดนคำสาปมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่มหาลัยแล้วแต่ฉันไม่รู้กัน”หลิวหยุนคิดกับตัวเอง


แต่มันมาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้คิดอะไรต่อก็เปล่าประโยชน์ หลิวหยุนจึงพาหยาเอ๋อเข้าร้านเค้กหาขนมกิน


หยาเอ๋อมองแผลที่หน้าของหลิวหยุนไปกินเค้กไป หลิวหยุนำก็แตะที่แผลของเขาเบาๆ ก่อนจะพูด “มองอะไรละ คิดว่าฉันสู้ไอ้พวกนั้นไม่ได้เหรอ เหอะ ใช้เค่นิ้วเดียวฉันก็ฆ่ามันได้หมดแล้วเถอะ พวกนั้นสู้ฉันไม่ได้หรอก แต่ฉันเป็นมืออาชีพไง ไม่ใช่ฆาตกร ฉันเลยไม่ทำ โอเคไหม”


หยาเอ๋อก้มหน้ากินเค้กต่อ ไม่รู้ว่าเข้าใจไหม


….


โจวเหวินรู้ดีว่าหลิวหยุนเป็นคนลักพาตัวหยาเอ๋อไป แล้วบังคับให้เขาต้องไปที่ภูเขาหลงหู เขาไม่ได้กังวลว่าหลิวหยุนจะทำอะไรหยาเอ๋อหรอก เขากลัวว่าหลิวหยุนจะตายก่อนมาถึงนี้มากว่า


ยิ่งกว่านั้น ยังไงโจวเหวินก็ต้องมาที่ภูเขาหลงหูนี้อยู่แล้ว เพราะงั้น การมาก่อนเวลาก็ไม่เสียหายอะไร


“หลิวหยุนบอกให้ฉันมาที่ภูเขาหลงหู แสดงว่าเขาเองก็คงคิดอยากจะได้อสูรปฐพีเหมือนกันงั้นเหรอ”โจวเหวินกังวลเล็กน้อย เขาไม่ได้กังวลเรื่องหยาเอ๋อ แต่เขากลัวว่าเขาจะเจอหลิวหยุนอีกทีในสภาพเป็นศพมากกว่า


เพราะเดิมทีหลิวหยุนไม่ได้รู้ที่มาของหยาเอ๋อ และทำกับหยาเอ๋อเหมือนเป็นเด็กคนนึง เขาอาจจะทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังได้ แต่หยาเอ๋อไม่ใช่เด็กธรรมดา ถ้าเกิดไปมีเรื่องกับนางละก็ไม่ได้ตายดีแน่ๆ


ซึ่งเอาจริงๆ โจวเหวินก็คิดไม่ผิดหรอก เพราะถ้าไม่มีคำสั่งของโจวเหวินที่ตั้งกฎไว้ให้หยาเอ๋อว่าไม่ให้ฆ่าคนละก็ ป่านนี้หลิวหยุนคงจะตายไปแล้ว


แต่ถึงแม้หลิวหยุนไม่ตาย แต่สถานการณ์ในตอนนี้ของเขาก็ย่ำแย่มากๆ


เดิมทีหลิวหยุนคิดเอาไว้ว่าจะรีบมุ่งหน้าไปที่ภูเขาหลงหู เพื่อไปรอโจวเหวินที่นั้น แต่ใครจะไปคิดละว่าระหว่างทางจะมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้


ในเมื่อครั้งที่แล้วไปแล้วเจอเรื่อง หลิวหยุนก็ยังไม่ยอมแพ้ พอมาถึงอีกเมืองเขาเลยคิดว่าจะไปหาของกินในโต๊ะจีนงานแต่ง


หลิวหยุนคิด “เอาวะ รอบนี้ถ้าฉันหัวเราะขึ้นมากลางงานแต่งก็คงไม่เป็นไรหรอก”


ซึ่งหลิวหยุนก็คิดถูกแหล่ะ แต่ในงานแต่งนั้น ตอนที่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวกำลังแลกแหวนกันนั้นเอง จู่น้ำตาของเขาก็ไหลพรากออกมาแล้วร้องไห้ฟูมฟายเหมือนกับเป็นคนอกหัก คนที่ไม่รู้จักเห็นแบบนั้นก็คิดว่า หลิวหยุนนั้นเคยเป็นแฟนเก่าเจ้าสาว แล้วไม่อยากให้เจ้าสาวได้แต่งงาน


ในตอนนั้น สายตาทุกคู่ก็มองงหลิวหยุนอีกครั้ง


“ฮืออออ ไม่ ไม่ ฉันไม่ได้อยากร้อง ฮือออ อย่าทำอะไรฉันเลย”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)