หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 779-784
ตอนที่ 779
สองจอมยุทธ์ทรงพลัง
หลิ่วเหยียนยืนบนอากาศ
ขณะศพขนาดใหญ่ของสัตว์อสูรล้มลงด้านข้าง เลือดไหลเจิ่งนอง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ทว่าสายตาไม่แยแสกลับจับจ้องที่มู่เฉินราวกับกำลังมองมดตัวหนึ่ง
มู่เฉินมองหลิ่วเหยียนก็ขมวดคิ้ว เนื่องจากไม่คิดว่าจะประหน้ากับชายคนนี้ตั้งแต่จุดแรก บังเอิญเกินไปรึเปล่าเนี่ย?
“แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” หลิ่วเหยียนเหมือนมองเห็นความสงสัยในใจของมู่เฉินก็ยิ้มอ่อน “ตอนที่เราสู้กันในหอหลงเฟิ่ง ข้าทิ้งผนึกคลื่นหลิงพิเศษบนตัวแก ข้าก็เลยจับตำแหน่งของแกได้คร่าวๆ”
มู่เฉินอึ้งไป จากนั้นสีหน้าก็มืดครึ้ม เพลิงสีม่วงปะทุบบนร่าง สุดท้ายก็มีร่องรอยพลังงานประหลาดเล็กจิ๋วบางแผ่อยู่บนเส้นผมของเขา
ปุ!
เมื่อเพลิงสีม่วงกวาดผ่าน เส้นผมมู่เฉินเส้นหนึ่งก็สลายเป็นอากาศธาตุ คลื่นพลังประหลาดก็หายไป
มู่เฉินมองหลิ่วเหยียนอย่างเย็นชา ไม่คิดว่าคนที่ระมัดระวังตัวอย่างเขาจะมีร่องรอยบางอย่างถูกวางไว้โดยไม่รู้ตัวเลย ดูท่าหลิ่วเหยียนจะมีกลยุทธ์พิเศษเลยทีเดียว
แต่โชคดีที่เขาจัดการกับอันตรายซ่อนเร้นนี่ได้ก่อน มิฉะนั้นถ้าโดนเจ้านี่สัมผัสได้ตอนเขากับไฉ่เซียวค้นหาสระมังกรหงส์อื่น ไม่แน่อาจเป็นอุปสรรคต่อแผนของพวกเขา
“ดูเหมือนแกมั่นใจมากว่าจะกำจัดข้าได้นะ” มู่เฉินมองหลิ่วเหยียน
“วางใจเถอะ ข้าไม่คิดดูถูกแกหรอก ดังนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าแกจะนอนอยู่ในเขตหลงเฟิ่งตลอดกาล ข้าจึงเชิญผู้ช่วยมาด้วย” หลิ่วเหยียนยิ้มพลางปรบมือเบาๆ
ตู้ม!
เมื่อเสียงปรบมือสะท้อนออกไป คลื่นหลิงอีกสายก็พุ่งตัวขึ้นมายังภูเขากระดูกขาว เมื่อแสงจางหายก็เผยให้เห็นร่างคนคนหนึ่ง เขามีผมยาวสีแดงและมีดวงตาสีแดงฉานราวกับม่านตางู อัดแน่นด้วยความดุร้าย
เมื่อคนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น กลิ่นคาวเลือดรุนแรงก็กระจายในชั้นบรรยากาศบนยอดเขา
มู่เฉินมองผู้มาใหม่ ดวงตาก็อดหดเกร็งลงใม่ได้ เขาสัมผัสได้ชัดเจนถึงอันตรายที่มาจากอีกฝ่าย ชายคนนี้ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาอย่างแน่นอน
“คึ…หลิ่วเหยียน แค่จอมยุทธ์จื้อจุนขั้นสาม…แกยังต้องเชิญข้ามาช่วยอีก ตอนนี้เจ้าขี้ขลาดจนถึงระดับนี้เลยหรือ?” ชายผมแดงมองมู่เฉินด้วยดวงตาอสรพิษขณะที่เปล่งเสียงหัวเราะประหลาดออกมาจากปาก
“แม้แต่เสือยังทุ่มสุดพลังในการล่ากระตาย ข้าชอบทำแบบน้ำไหลผ่านไม่ได้แม้แต่หยดเดียว” หลิ่วเหยียนยิ้มให้มู่เฉินเอ่ยต่อ “เขาคือชื่อเสี่ยแห่งตำหนักเจ้าอสรพิษอันดับเก้าบนบันทึกมังกรหงส์… ข้าเชื่อว่าเป็นเกียรติของแกที่มีจอมยุทธ์ในบันทึกมังกรหงส์สองคนจัดการแกนะ”
“ชื่อเสี่ยจากตำหนักเจ้าอสรพิษ?”
หัวใจของมู่เฉินกระตุกขึ้นเล็กน้อยเมื่อมองชายหนุ่มชุดแดงด้วยการขมวดคิ้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีกลิ่นคาวเลือดรุนแรงนัก ที่แท้เขาก็คือคนชาติชั่วที่ครั้งหนึ่งเคยฆ่าล้างบางเมืองร้อยเมืองนั่นเอง
การปรากฏตัวของชายคนนั้นเหนือความคาดหมายของมู่เฉิน ชัดว่าเขาไม่คิดที่หลิ่วเหยียนจะเชิญผู้ช่วยมาแม้จะเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ตาม ความรอบคอบหลิ่วเหยียนเหนือกว่าหลิ่วหมิงหลายขุม
“ช่างเป็นเกียรติจริงๆ” มู่เฉินมองจอมยุทธ์สองคนที่ประกบซ้ายขวาขณะที่รอยยิ้มสายหนึ่งคลี่บนใบหน้า แม้จะมีท่าทางประหลาดใจ แต่ก็ไม่มีแววตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างที่หลิ่วเหยียนคาดคิดไว้เลย
“ดูเหมือนแกจะยังไม่รู้จักสถานการณ์เลยนะ” เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่มีความกลัวใดๆ ใบหน้าของหลิ่วเหยียนก็ยิ่งไม่แยแสมากขึ้น แต่ก่อนที่จะพูดจบ ม่านตาเขาก็หดเกร็ง เพราะเห็นร่างบางระหงปรากฏบนซากวานรปีศาจที่มู่เฉินเอามาด้วยตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
หญิงสาวคนนั้นงดงามสะกดใจ เรือนผมยาวปลิวไสวไปตามสายลม นางนั่งเงียบๆ อยู่บนซากวานรปีศาจ เท้าคางด้วยมือทั้งสองข้าง ในดวงตาฉายแววเกียจคร้านเมื่อจ้องมองมา
ภายใต้สายตาของนาง หลิ่วเหยียนกับชื่อเสี่ยก็มีแววตาสั่นไหวเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขาไม่รู้เลยว่าหญิงสาวคนนี้ปรากฏมาได้อย่างไร พวกเขาอดไม่ได้ที่จะระวังตัวเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
“ขอโทษด้วย แต่ข้าก็มีผู้ช่วยเหมือนกันนะ” มู่เฉินยิ้มอ่อนให้หลิ่วเหยียน
หลิ่วเหยียนจ้องมองมู่เฉินอย่างเย็นชา ก่อนจะเบนสายตาไปทางไฉ่เซียว ก่อนหน้าที่หอหลงเฟิ่งเขาสัมผัสไม่ได้ว่าหญิงสาวคนนี้มีพลังแข็งแกร่ง แต่การที่นางปรากฏแบบไร้สุ้มเสียงเมื่อสักครู่ เขาก็รู้สึกถึงไออันตรายพล่านในส่วนลึกของหัวใจ
อันตรายแบบนั้นเขาไม่ได้เพิกเฉย เพราะนิสัยที่ระวังตัวบอกให้รู้ว่านี่ไม่ใช่ความเข้าใจผิด นี่คือรูปแบบของความพึ่งพาที่เขาใช้ในการเอาชนะคู่ต่อสู้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยคิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เป็นไปได้
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงเขาจะมีพละกำลังเพียงพอที่จะจัดการมู่เฉิน แต่ก็ยังเรียกจอมยุทธ์ตัวฉกาจมาอีกด้วย เนื่องจากเขาต้องการกำจัดปัจจัยที่ไม่แน่นอนออกไปทั้งหมด
แต่เขาไม่คิดว่าแม้เขาจะมีการเตรียมการพร้อม แต่สถานการณ์ก็ยังคงหลุดจากการควบคุม
“แม่นางน้อย นี่เป็นปมแค้นระหว่างพวกข้ากับเขา หวังว่าเจ้าจะมองดูอยู่ห่างๆ ตำหนักสุดนภาจะจดจำบุญคุณนี้ไว้” หลิ่วเหยียนสูดหายใจลึกขณะประสานมือเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างสุภาพ
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเขา มุมปากของไฉ่เซียวก็โค้งขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ รอยยิ้มนี้ราวกับไม่ได้ยิ้ม “บุญคุณของตำหนักสุดนภายิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
สายตาของหลิ่วเหยียนดิ่งลง
ไฉ่เซียวไม่สนใจหลิ่วเหยียนอีก นางหันไปมองมู่เฉิน “เจ้ามีแผนอะไร?”
“ขวางไอ้งูนั่นให้ข้าได้ไหม?” มู่เฉินชี้ไปทางชื่อเสี่ยแล้วยิ้มบาง ด้วยพลังของเขาตอนนี้ หากชื่อเสี่ยกับหลิ่วเหยียนที่เป็นจอมยุทธ์มีชื่อในบันทึกมังกรหงส์จัดการเขาพร้อมกัน เขาคงไม่มีโอกาสที่จะชนะเลย แม้เขาจะมั่นใจแต่ก็ไม่อวดเก่ง
เพราะขุมพลังตอนนี้ของเขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น แต่หลิ่วเหยียนกับชื่อเสี่ยอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสี่ของแท้แล้ว!
“ไม่คิดจะให้ข้าจัดการพวกมันทั้งคู่เลยหรือ?” ไฉ่เซียวเอี้ยวหน้าคลี่ยิ้ม
“เรื่องบางอย่างข้าก็ต้องจัดการด้วยตัวเอง แม้ข้าจะไม่ถือในเรื่องให้หญิงสาวช่วยนะ โดยเฉพาะสาวงามคนนี้น่ะ” มู่เฉินยิ้ม
“เจ้าก็มีความกล้าไม่น้อยนี่ งั้นแบบนี้เจ้างูนั่นเป็นหน้าที่ข้าเอง” ไฉ่เซียวยกนิ้วหัวแม่มือพร้อมกับน้ำเสียงหยอกเย้า แต่ในดวงตากลมโตมีชีวิตชีวาเผยแววชื่นชมสายหนึ่ง นางชื่นชมความมั่นใจในตัวเองของมู่เฉินที่มีในน้ำเสียงของเขา ซึ่งความมั่นใจในตัวเองนั้นไม่ได้ไร้ซึ่งพื้นฐานและไม่ใช่เพราะการมีอยู่ของนาง แต่เป็นเพราะตัวเขาเอง
จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามที่ไม่เกรงกลัวคู่ต่อสู้ในขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่อย่างหลิ่วเหยียน นอกจากนี้ยังคงความมั่นใจไว้ได้เช่นนี้ ความกล้าหาญนี้ไม่ใช่ทุกคนจะมีหรอก
“โอหัง”
พอได้ยินคำพูดนั่น หลิ่วเหยียนก็แค่นยิ้มพร้อมกับไอเย็นเยือกวูบไหวในส่วนลึกของดวงตา แม้ว่าเขาจะเกรงกลัวไฉ่เซียวผู้ลึกลับอยู่บ้าง แต่เขาไม่มีความรู้สึกแบบเดียวกันกับมู่เฉิน ตอนแรกเขายังปวดหัวในเรื่องจะจัดการกับไฉ่เซียวอย่างไรดี แต่ใครจะคิดว่าเจ้าโง่มู่เฉินเสนอตัวถึงที่เองเลย
อีกมุมหนึ่งบนท้องฟ้า นัยน์ตาอสรพิษสีแดงของชื่อเสี่ยก็จ้องไฉ่เซียวเขม็ง ร่างจริงของเขาคืออสรพิษแดงโลหิต นับว่าได้ว่ามีสายเลือดของเทพอสูรส่วนหนึ่ง ดังนั้นพลังการต่อสู้ของเขาจึงดุดันมากกว่ามนุษย์ที่มีขุมพลังระดับเดียวกัน แต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นไฉ่เซียวตัวเล็กจิ๋วกลับมีอาการหนาวสั่นแทรกซึมเข้าไปในกระเลือดเลือดของเขา
สีหน้าของชื่อเสี่ยเปลี่ยนไป สุดท้ายไอดุร้ายในแก่นกระดูกก็พวยพุ่งออกมา เขายิ้มชั่วร้ายให้ไฉ่เซียว ฟันขาววาววับดูน่ากลัวอย่างยิ่ง เขาเปล่งหัวเราะ “นังหนูกระดูกอ่อน แต่คำพูดช่างโอหังเหลือเกิน เดี๋ยวถ้าข้าจับตัวเจ้าได้ข้าว่าร่างอ้อนแอ้นของเจ้าคงทนรับการทรมานไม่ไหวนะ”
ขณะที่ชื่อเสี่ยพล่าม สายตาก็จ้องมองร่างงดงามของไฉ่เซียวไม่วางตา ความกลัดมันวูบวาบในดวงตา ด้วยสายเลือดที่มากตัณหา เมื่อเห็นโฉมงามอย่างไฉ่เซียว หากไม่ใช่กลัวความลึกลับที่ไฉ่เซียวมี เขาคงพุ่งตัวเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงแล้ว
ไฉ่เซียวทำเพียงยิ้มบางตอบรับคำพูดน่าทุเรศ ทำเอาหัวใจชื่อเสี่ยคันคะเยอขณะที่ไฟปรารถนาลุกโชนในดวงตา
“สายเลือดงูด๊อกด๋อยก็มีประโยชน์บ้าง แม้จะด้อยกว่าสายเลือดมังกรแท้จริง แต่ก็ถือว่าดีต่อวิวัฒนาการของเสี่ยวไฉ่อยู่” ไฉ่เซียวยิ้มให้มู่เฉิน จากนั้นนางก็แตะฝ่าเท้าเบาๆ ไปปรากฏตัวเบื้องหน้าชื่อเสี่ย นิ้วเรียวชี้ไปบนอากาศ
เมื่อนิ้ววาดลง มิติก็ผันผวนไปหมด
ภายใต้ท่าทางของไฉ่เซียว ผิวหนังของชื่อเสี่ยก็เกร็งเครียด อึดใจร่างเขาก็ถอยกรูดทิ้งภาพเงาเอาไว้
ชี่!
แต่ไม่ว่าเขาจะรวดเร็วปานใด ก็ยังด้อยกว่าไฉ่เซียว มิติแปรปรวนขณะที่ภาพเงาแตกสลาย ท่ามกลางภาพเงาเหล่านั้น ร่างสะบักสะบอมร่างหนึ่งก็กระเด็นออกมา มือชื่อเสี่ยกุมไหล่ข้างหนึ่ง ปรากฏหลุมเลือดอยู่ตรงนั้น เลือดสดหลั่งไหล ปราการป้องกันทั้งหมดล้วนไม่ได้ผล
ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าเขาจะพยายามใช้คลื่นหลิงห้ามเลือดอย่างไรมันก็ไม่หยุด บนบาดแผลเขาเหมือนมีพลังงานลึกลับกัดกร่อนคลื่นหลิงอยู่
“เป็นไปได้ยังไง!” ความตกตะลึงอัดแน่นบนใบหน้าชื่อเสี่ย เขาไม่คิดเลยว่าจะได้รับบาดเจ็บหลังจากประมือเพียงกระบวนท่าเดียวกับโฉมงามผู้นี้
ขณะที่สายตาเขาฉายความตะลึงงันและหวาดผวา ไฉ่เซียวก็ย่างก้าวบนอากาศเคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ ทว่าตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับนางตรงๆ แววหื่นกามในดวงตาของชื่อเสี่ยก็เปลี่ยนเป็นความหวาดผวาหมดแล้ว
เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองปะทะกับจอมยุทธ์น่าสะพรึงแบบไหนกัน
ขณะที่ชื่อเสี่ยตะลึงงันไป มู่เฉินก็ทะยานเข้ามาปรากฏเบื้องหน้าหลิ่วเหยียน เสาปีศาจในมือชี้ช้าๆ ไปที่อีกฝ่าย รอยยิ้มสายหนึ่งเผยบนใบหน้าหล่อเหลา
“ประมุขน้อย ถึงตาเจ้าแล้ว”
ตอนที่ 780
สู้กับหลิ่วเหยียน
บนท้องฟ้าเหนือภูเขากระดูกขาว
หลิ่วเหยียนยืนเอามือไพล่หลัง ดวงตาเปล่งประกายแสงเย็นเยือก อึดใจเขาก็หายใจเข้าเบาๆ ขณะที่สายตาเปลี่ยนเป็นเฉยเมย
“ช่างเป็นไอ้โง่อะไรขนาดนี้…”
เขาพึมพำกับตัวเอง จากนั้นรอยยิ้มน่าขนลุกก็โค้งบนมุมปาก เขาจ้องมองมู่เฉินพลางเอ่ยเสียงเบา “แต่ข้าไม่ให้โอกาสแกที่จะเสียใจในตัดสินใจแล้ว”
“ดังนั้นข้าจะให้แกพกความเสียใจลงนรกไปด้วย”
หลิ่วเหยียนแสยะยิ้มเย็นเท้าก้าวมาข้างหน้า ทันทีที่ฝ่าเท้าเหยียบลงไป มหาสมุทรคลื่นหลิงกว้างใหญ่ก็ระเบิดออกมาจากทุกทิศทาง คลื่นหลิงสีแดงสดปกคลุมขอบฟ้า เมื่อมองจากที่ไกลก็ดูราวกับท้องฟ้ากำลังลุกไหม้
พลังของหลิ่วเหยียนเหนือกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ธรรมดา นับว่าอยู่ในระยะปลายสุดแล้ว เทียบกับฉิงเปยแดนร้อยสงคราม เขาถือว่าทรงพลังมากกว่าหลายเท่า
ภายใต้แรงกดดันนี้ หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามธรรมดาคงจะไม่ต่างจากมดตัวหนึ่งที่ไร้หนทางตอบโต้ นี่คือความมั่นใจในตัวเองของหลิ่วเหยียน
มู่เฉินมองคลื่นหลิงกว้างใหญ่สีแดงเพลิง ดวงตาก็หดเกร็งลงเล็กน้อย ในแววตาปรากฏความเคร่งเครียดเบาบาง สำหรับศัตรูอย่างหลิ่วเหยียน เขาไม่เคยคิดจะประมาทเลย
ไม่กี่เดือนก่อนหน้า มู่เฉินรู้ว่าหากสู้กับหลิ่วเหยียน โอกาสจะชนะมีน้อยนิดแน่ ดังนั้นเขาจึงอดทนต่อการท้าทายของหลิ่วเหยียนในตอนนั้นไว้
แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นที่ต้องทนอีกต่อไป สามเดือนที่ผ่านมาทำให้เขาบรรลุขุมพลังได้ แม้จะยังมีช่องว่างอยู่บ้างระหว่างขั้นสามกับขั้นสี่อย่างหลิ่วเหยียน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปที่จะเอาชนะสำหรับมู่เฉิน
เสาปีศาจลอยคว้างที่ด้านขวามือของมู่เฉินขณะรังสีชั่วร้ายกวาดออก มู่เฉินมองหลิ่วเหยียนที่มีคลื่นหลิงเชี่ยวกรากอยู่เบื้องหลัง ก็ทำท่ากอด เสาปีศาจกลายเป็นเงาสายหนึ่งฟาดใส่หลิ่วเหยียนอย่างไร้ปรานี
หลิ่วเหยียนมองเสาปีศาจที่พุ่งลงมาก็กำมือ หอกยาวสีแดงสดปรากฏขึ้นพร้อมกับเปลวไฟไหลเวียนบนตัวหอกยาว
เคร้ง!
หอกยาวสีแดงสดเสือกออกไป ปลายหอกที่ดูเล็กบางกลับหยุดเสาปีศาจเอาไว้ได้ โดยที่ตัวหอกงอลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทันทีที่โจมตี หลิ่วเหยียนก็ได้แสดงพลังน่าตกใจของจอมยุทธ์อันดับสี่บนบันทึกมังกรหงส์
ฮึ่ม!
หอกยาวสีแดงสั่นไหวขณะที่คลื่นหลิงน่าสะพรึงระเบิดออก แรงทำให้เสาปีศาจกระเด็นกลับไป อึดใจหลิ่วเหยียนก็ซัดหอกออกไปโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน
“ตู้ม!”
จังหวะที่หลิ่วเหยียนซัดหอก เสาลาวาก็ระเบิดออก คลื่นหลิงรุนแรงและแผดเผา ทำให้อุณหภูมิในบริเวณนี้พุ่งสูงขึ้นฉับพลัน
ลาวาข้ามผ่านขอบฟ้าบินฉวัดเฉวียนไปที่มู่เฉินราวกับมังกรไฟ
มวลคลื่นความร้อนกวาดออก คลื่นหลิงทรงพลังราวกับจะฉีกขาดขอบฟ้าออกจากกัน มู่เฉินมีสีหน้าเคร่งขรึม มิติเบื้องหลังบิดเบี้ยว จุดจื้อจุนไห่ปรากฏเบาบาง จากนั้นเขาก็เทคลื่นหลิงเข้าไปในเสาปีศาจ ก่อนจะฟาดลงมา
เสาปีศาจและสายลาวาปะทะกันบนท้องฟ้า ทันใดนั้นลาวาก็กระเซ็นไปทุกทิศทางราวกับฝนเพลิง จุดที่ปะทะกันแม้แต่มิติยังบิดเบี้ยว
ลาวาระเบิด มู่เฉินก็ถอยออกมาพร้อมกับเสาปีศาจ ด้านบนเสาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานด้วยอุณหภูมิสูงที่เกือบจะทำละลาย แต่สุดท้ายก็ถูกสลายไปด้วยรังสีชั่วร้ายของเสาปีศาจ
มู่เฉินรู้สึกถึงความด้านชาในมือ คิ้วขมวดเข้าหากัน หลิ่วเหยียนสมกับตำแหน่งอันดับสี่บนบันทึกมังกรหงส์ หลังจากแลกกระบวนท่ากัน มู่เฉินก็เข้าใจว่าหลิ่วเหยียนทรงพลังเพียงใด เมื่อสู้กันตัวต่อตัว อีกฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นชัด
“ถ้านี่ดีที่สุดที่แกมี ข้าก็รู้สึกผิดหวังไปเลย”
หลิ่วเหยียนแค่นเสียงขณะยืนกลางอากาศ ตราประทับวาดขึ้นในมือทั้งคู่ มหาสมุทรคลื่นหลิงสีแดงสดกวาดออก ก่อร่างเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่ตบลงบนร่างมู่เฉิน
“ฝ่ามือผลาญปีศาจ!”
ฝ่ามือเพลิงกดลงมาจากขอบฟ้าพร้อมกับลวดลายสีดำเต็มฝ่ามือ พลังทำลายล้างครอบงำกระจายออกมาเบาบาง
แม้หลิ่วเหยียนจะเยาะเย้ย แต่การโจมตีกลับไร้ปรานีอย่างสิ้นเชิง ไม่ปล่อยให้มู่เฉินมีเวลาหายใจ เห็นได้ชัดว่าหลิ่วเหยียนตั้งใจสังหารเขาด้วยความเร็วสูงสุด
มู่เฉินมองหลิ่วเหยียนที่มีพลังคมชัดมากขึ้นก็สูดหายใจลึก ม่านตาเปลี่ยนเป็นสีดำลึกล้ำพร้อมกับเส้นผมงอกยาวอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่อึดใจผมยาวก็ปลิวไสวรูปลักษณ์นี้ของมู่เฉินมองเป็นผู้ใหญ่ไร้ซึ่งขีดจำกัด สายตาไม่มีริ้วกระเพื่อมใดๆ ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าประมาท
เห็นได้ชัดว่าเขาเข้าสู่สภาวะฤทัยปีศาจแล้ว
ภายใต้สภาวะนี้ มู่เฉินจะควบคุมคลื่นหลิงได้สมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นระดับที่ปกติยากจะไปถึง
มู่เฉินแตะฝ่าเท้าไปปรากฏตัวเหนือยอดเสาปีศาจ คลื่นหลิงสองชนิดพวยพุ่งบนฝ่ามือ จากนั้นมู่เฉินก็วาดตราประทับด้วยมือทั้งสองด้วยความเร็วปานสายฟ้า
“โฮก!”
เสียงมังกรและคชสารคำรามลั่นในทันที ลำแสงสองสายพุ่งออกมาจากจุดจื้อจุนไห่เบื้องหลัง แล้วไขว้พันกัน เปลี่ยนเป็นจานแสงมังกรคชสารพุ่งเข้าห้ำหั่นกับฝ่ามือปีศาจที่กดลงมาอย่างหนักหน่วง
ตึง!
ประกายไฟระเบิดบนท้องฟ้า ราวกับภาพดอกไม้ไฟตระการตาที่เจิดจ้าและอันตราย
เมื่อกลุ่มควันลุกโชน ร่างร่างหนึ่งก็ทะยานออกมาปรากฏตัวเบื้องหน้าหลิ่วเหยียนในพริบตา ผมยาวสีดำปลิวไปตามสายลม ฝ่ามือข้างขวาของมู่เฉินที่มาพร้อมกับสายฟ้าไร้รูปร่างพุ่งเป้าไปที่อีกฝ่าย
ตู้มมม!
สายฟ้าสว่างวาบขณะที่หลิ่วเหยียนกระตุกตัวทันที เสียงสายฟ้าครางฮึ่มฮั่มกรีดแทงในหัวใจ เมื่อสายฟ้าแผดเสียง ก็ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายของเขาสั่นกระเพื่อม
“นี่คือ…สายฟ้าฤทัยปีศาจดำรึ?!” สายตาของหลิ่วเหยียนเปลี่ยนไป เขาสมกับเป็นนายน้อยตำหนักสุดนภาจริงๆ มีความรู้ลึกซึ้ง สามารถรู้ถึงพลังการโจมตีของมู่เฉินได้ในทันที
ตู้มๆๆๆ!
ใบหน้าของมู่เฉินสงบนิ่งไร้ริ้วอารมณ์ เวลาเดียวกันเมื่อมือขวาพุ่งไปที่หลิ่วเหยียนพร้อมกับสายฟ้าฤทัยปีศาจดำพวยพุ่ง เพลิงสีม่วงก็ลุกโชนบนมือซ้าย พุ่งตรงไปที่หน้าอกของหลิ่วเหยียนปานสายฟ้าฟาด
นี่เป็นการโจมตีที่สมบูรณ์แบบที่บีบให้หลิ่วเหยียนต้องล่าถอยแบบทุลักทุเล เนื่องจากคลื่นหลิงในร่างสั่นสะท้านด้วยสายฟ้าฤทัยปีศาจดำ มิหนำซ้ำมู่เฉินยังใช้โอกาสนี้ซัดการโจมตีอีกชุดด้วย
หลิ่วเหยียนไขว้แขนตรงหน้าปล่อยปราการคลื่นหลิง ต้านทานคลื่นหลิงที่แทรกเพลิงสีม่วงไว้ แต่ราคาที่เขาต้องจ่ายก็คือแขนเสื้อไหม้เป็นผุยผง แม้แต่ท่อนแขนก็ยังไหม้เกรียมอีกด้วย ถึงเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็มีสภาพดูไม่จืดเลย
หลิ่วเหยียนถอยออกไปหลายร้อยจั้ง ข่มเสียงฟ้าคำรามในใจไว้ แต่เมื่อมองแขนที่มีรอยไหม้ดำ สีหน้าของเขาก็อดคล้ำลงไม่ได้
ขณะที่มู่เฉินแลกกระบวนท่ากับหลิ่วเหยียน ก็มีร่างแสงจากด้านนอกภูเขากระดูกขาวเริ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง คนเหล่านั้นก็คือจอมยุทธ์ที่ฝ่าด่านป้องกันของเหล่าวานรขาวมาได้
เมื่อพวกเขามาถึงบริเวณนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเมื่อเห็นมู่เฉินกับหลิ่วเหยียนห้ำหั่นกันด้วยความกลัวพล่านในดวงตา แต่ละคนไม่กล้าก้าวเข้าไปใกล้ทั้งคู่
เพราะสถานะของหลิ่วเหยียนที่เป็นจอมยุทธ์อันดับสี่บนบันทึกมังกรหงส์ทำให้พวกเขาเกรงขามอยู่ไม่น้อย
ทว่าพวกเขาก็มีไหวพริบ ชัดว่าต้องการแค่มองดูเฉยๆ แต่ตอนแรกพวกเขาคิดว่าการดวลครั้งนี้คงอยู่ไม่นาน เนื่องจากมู่เฉินกับหลิ่วเหยียนไม่ได้มีพลังระดับเดียวกันเลย
อย่างไรก็ตามความคิดนี้คงอยู่เพียงครู่หนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะเห็นหลิ่วเหยียนตกอยู่ในสภาพน่าอนาถ เหล่าจอมยุทธ์ที่เฝ้ามองอดไม่ได้ที่จะม่านตาหดลงด้วยความตกตะลึงในใจ พวกเขาไม่กล้าสบประมาทมู่เฉินอีกต่อไป
ใบหน้าของหลิ่วเหยียนเขียวคล้ำเมื่อมองมู่เฉิน ทว่ามู่เฉินที่เข้าสู่สสภาวะฤทัยปีศาจก็ไม่สนใจสายตาน่าขนลุกนั่นสักนิด เขาเคลื่อนตัวพุ่งออกไป มือขวาที่เป็นประกายสายฟ้าไร้รูปร่างยกขึ้นอีกครั้ง
เห็นดังนี้แล้ว หลิ่วเหยียนก็ตกใจรีบตั้งสมาธิเตรียมข่มสายฟ้าฤทัยปีศาจดำประหลาดนั่นอีกครั้ง
โฮก!
แต่ขณะที่เขาเตรียมรับมือกับเสียงฟ้ากัดกร่อนในร่าง ฝ่ามือมู่เฉินก็วาดกระบวนท่าอย่างรวดเร็ว ลำแสงสี่สายยิงออกจากทะเลพลังจากทางด้านหลัง ก่อตัวเป็นมังกรและคชสารอย่างละสองตัว
“วิชาเก้ามังกรคชสาร!”
เสียงที่ไม่แยแสดังออกมาจากปากของมู่เฉินเบาๆ อึดใจตราประทับในมือก็เปลี่ยนแปลงวูบไหว มังกรและคชสารกลายเป็นจานแสงขนาดใหญ่
วาบ!
จานแสงมังกรคชสายปรากฏเหนือร่างหลิ่วเหยียนในพริบตา ก่อนที่จะซัดลงมาอย่างไม่ปรานี
เส้นเลือดบนหนังหัวหลิ่วเหยียนเต้นตุบๆ เนื่องจากเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะเล่นลูกไม้นี้ ร่างเขาเคลื่อนไหวเตรียมล่าถอยทันที
ทว่าจังหวะที่เขาถอย มู่เฉินก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง
ตู้ม!
ครั้งนี้เสียงฟ้าคำรามกลับดังในใจของหลิ่วเหยียนตามคาด เสียงกรีดแหลมของสายฟ้าทำให้ร่างของเขาหยุดชะงัก แม้เขาจะชะงักไปในช่วงสั้นๆ แต่ก็เป็นอันตรายอย่างยิ่งในการเผชิญหน้าครั้งนี้
ภายใต้สายตาตกตะลึงจำนวนมากรอบด้าน จานแสงมังกรคชสารก็กวาดลงมาพร้อมกับความผันผวนคมกริบ หากใครถูกซัดด้วยพลังการโจมตีนี้ละก็ แม้แต่จอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างหลิ่วเหยียนก็ได้รับบาดเจ็บแน่นอน
ตึง!
คลื่นหลิงรุนแรงระเบิดบนท้องฟ้าขณะที่คลื่นหลิงสีแดงสดม้วนตัวเป็นเกลียวราวกับเปลวไฟ ดึงดูดความสนใจของทุกคน
สายตาว่างเปล่าของมู่เฉินจับจ้องที่จุดระเบิด อึดใจขนตาเขาก็เหมือนจะกะพริบเบาๆ
คลื่นหลิงสีแดงสดไร้ขอบเขตค่อยๆ สลายตัว ม่านตาของจอมยุทธ์รอบๆ ก็ต้องหดลงกับฉากนี้
บริเวณที่คลื่นหลิงสีแดงสดสลายตัว ร่างใหญ่โตก็ปรากฏจากที่ใดไม่ทราบได้ ร่างนี้มีสีแดงพวยพุ่งด้วยเพลิงสีต่างๆ รอบกาย เมื่อมองไกลๆ ก็ดูเหมือนกับเทพแห่งไฟยาตราเข้ามา
อุณหภูมิในบริเวณนี้พุ่งสูงขึ้น แม้แต่ชั้นบรรยากาศก็เหมือนจะลุกไหม้
สายตาว่างเปล่าของมู่เฉินมองร่างลุกโชนด้วยเปลวไฟหลากสีพร้อมกับพึมพำออกมา “ร่างมหาเพลิงนภา…”
ตอนที่ 781
ขนนกโหมสวรรค์
ร่างใหญ่โตดูราวกับเทพไฟยืนตระหง่านบนท้องฟ้า
ขณะที่เพลิงหลากสีสันโชติช่วงบนพื้นผิวกาย อุณหภูมิน่ากลัวทำให้บริเวณนี้ลุกไหม้จนเกิดกลิ่นไหม้ในชั้นบรรยากาศ
มู่เฉินหรี่ตาลงมองร่างเพลิงนั่น มีความเปลี่ยนแปลงเบาบางบนสีหน้าไร้อารมณ์ เห็นได้ชัดว่าแม้แต่เขาที่อยู่ในสภาวะฤทัยปีศาจก็ยังรู้สึกถึงภัยคุกคามข้นคลั่กที่มาจากร่างเพลิงนั้น
“ร่างมหาเพลิงนภา สมกับชื่อเสียงจริงๆ”
บนยอดเขากระดูกขาว จอมยุทธ์คนอื่นๆ มีสีหน้าตกตะลึงไปและอดไม่ได้ที่จะชื่นชม ร่างมหาเพลิงนภาเป็นร่างมีอันดับไม่ต่ำในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง ยิ่งกว่านั้นความยากลำบากในการฝึกร่างนับว่าสูงมาก แค่ความต้องการเพลิงหลากหลายชนิดก็ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลแล้ว หากเป็นจอมยุทธ์ธรรมดาได้ร่างเทห์สวรรค์นี้ไป ก็คงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะชำระได้สำเร็จ
โชคดีที่หลิ่วเหยียนคือประมุขน้อยแห่งตำหนักสุดนภา ไม่อย่างนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะชำระร่างมหาเพลิงนภาได้หรอก
บนหัวของร่างมหาเพลิงนภา เปลวไฟพวยพุ่ง หลิ่วเหยียนก็ปรากฏตัวในพริบตา สายตามืดครึ้มจับจ้องมู่เฉินพร้อมกับรังสีสังหารแรงกล้าวาบขึ้นในส่วนลึกของดวงตา
เขาไม่คิดว่าตนเองจะถูกบีบให้ต้องใช้ร่างเทห์สวรรค์ก่อนคนแรก!
“เจ้าเล่ห์จริงๆ” หลิ่วเหยียนกัดฟันแววตาอัดแน่นด้วยความเกลียดชัง หากไม่ใช่เพราะสายฟ้าฤทัยปีศาจดำทำให้เขาไม่ทันตั้งตัว เขาก็ไม่มีทางเปิดช่องโหว่ให้มู่เฉิน แล้วถูกบีบให้ถอยจนสุดท้ายต้องเร้าร่างเทห์สวรรค์มาปกป้องตัวด้วย
แม้จะโกรธเคือง แต่ในใจหลิ่วเหยียนกลับเพิ่มข้อควรระวังขึ้น ถอนการประเมินต่ำทั้งหมดที่มีต่อมู่เฉิน
ฮา
หลิ่วเหยียนที่ยืนอยู่บนหัวร่างมหาเพลิงนภาสูดหายใจลึกพร้อมกับโทสะบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย…ละน้อย สายตากลับคืนสู่ความไม่แยแส
เมื่อเห็นภาพนี้ มู่เฉินก็ขมวดคิ้วเบาๆ หลิ่วเหยียนที่คืนความสงบย่อมไม่เปิดช่องโหว่ให้ บวกกับการที่เขาเตรียมป้องกันสายฟ้าฤทัยปีศาจดำ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะเป็นฝ่ายได้เปรียบเหมือนก่อนหน้าอีก
“ถ้าแกอยากชนะข้า ก็เอาความสามารถที่แท้จริงออกมา อย่าใช้วิธีลอบกัดพวกนั้นให้ขายขี้หน้าเลย!”
หลิ่วเหยียนมองมู่เฉินอย่างเย็นชา จากนั้นก็ไม่ลังเลประสานมือเข้าด้วยกัน ทันใดนั้นเพลิงหลากสีก็โชติช่วงบนร่างมหาเพลิงนภา
มือประสานเข้าด้วยกัน เพลิงหลากหลายก็กวาดออก ก่อร่างเป็นนกเพลิงสีแดงส้มบนท้องฟ้า นกเพลิงสีแดงส้มช่างน่าตื่นตา ด้วยสีหลากหลายที่ลุกโชน ทำให้ดูงดงามนัก
“วิญญาณมหาเพลิง!”
หลิ่วเหยียนส่งเสียงคำรามต่ำขณะที่นกเพลิงสีแดงส้มงดงามกางปีก เมื่อปีกกระพือ ก็ราวกับวาดผ่านเป็นเส้นเกลียวเพลิง ทว่าภายใต้ความงามกลับเต็มไปด้วยอันตรายร้ายแรง
นกเพลิงสีแดงส้มขยายอย่างรวดเร็วในนัยน์ตาของมู่เฉิน เขาวาดตราประทับเร็วรี่เช่นกัน แสงสีทองเจิดจ้าก็ระเบิดออกทุกทิศทาง ร่างทองคำปรากฏตัวยืนอยู่ในบริเวณนี้
ทันทีที่ร่างทองคำเผยออกมา ดวงตะวันสีทองเจิดจ้าก็กำจายออกจากหว่างคิ้ว จากนั้นฝ่ามือใหญ่เหยียดออก แสงเรืองรองราวกับทองคำพวยพุ่งออกมา ทำให้ร่างนั้นดูราวกับหลอมมาจากทองคำปะทะกับนกเพลิงสีแดงส้ม
ตู้ม!
เปลวเพลิงงดงามระเบิดราวกับดอกไม้ไฟ มิติในจุดปะทะกันบิดเบี้ยวรุนแรงจากแรงกระทบน่ากลัว พลังระเบิดคลื่นหลิงกวาดตัวออกทำให้เหล่าจอมยุทธ์รอบด้านถอยหนีกันจ้าละหวั่นด้วยสีหน้าเปลี่ยนไป ด้วยหวาดกลัวว่าจะถูกลูกหลง
“นี่คือร่างเทห์สวรรค์ที่เขาฝึกงั้นหรือ?”
ม่านตาหลิ่วเหยียนหดลงเมื่อมองร่างทองคำที่ดูเหมือนพระพุทธรูปองค์ใหญ่ มิหนำซ้ำยังอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าเปลี่ยนไป เนื่องจากเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันคุกคามที่ไม่อาจอธิบายได้จากอีกฝ่าย
ความกดดันบีบคั้นทำให้เขารู้สึกไม่อยากเชื่อ ร่างมหาเพลิงนภาที่เขาฝึกอยู่ในอันดับหกสิบเก้าบนทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง ซึ่งไม่ใช่อันดับต่ำเลย แต่ตอนนี้ร่างเทห์สวรรค์ที่มู่เฉินฝึกฝนกลับทำให้ร่างมหาเพลิงนภาของเขารู้สึกถูกกดดันได้?
หรือว่าร่างเทห์สวรรค์นั่นเป็นสุดยอดในสามสิบอันดับแรก?!
หลิ่วเหยียนจ้องมองดวงตะวันสีทองเจิดจ้าที่ลอยอยู่เบื้องหลังร่างเทพสุริยะ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถระบุได้ ในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างที่เขารู้มา รู้สึกจะไม่มีวิชาไหนที่เหมือนกับร่างตรงหน้าเขาเลย
“หรือจะเป็นร่างเทห์สวรรค์ลึกลับที่ไม่ได้ถูกจัดอันดับไว้?”
หลิ่วเหยียนขมวดคิ้ว แต่สุดท้ายเขาที่ไม่มีคำตอบก็ทำได้เพียงส่ายหัวด้วยสายตามืดครึ้ม ต่อให้ร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินจะลึกลับ แต่ร่างเทห์สวรรค์ทรงพลังก็ต้องการพลังมาสนับสนุน เขาไม่เชื่อว่าในขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่บวกกับร่างมหาเพลิงนภา เขาจะไม่สามารถจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามได้!
“ตู้ม!”
ขณะที่เค้นเสียง แสงสีทองก็กวาดออกมาจากเบื้องหน้า ร่างเทพสุริยะคว้าเสาปีศาจ สีเสาแต่เดิมที่เป็นสีดำก็ราวกับหลอมทองคำไว้ เมื่อเคลื่อนตัวผ่าน แม้แต่ท้องฟ้ายังฉีกขาดออกจากกัน
“ฮึ่ม!”
เมื่อเห็นมู่เฉินเป็นฝ่ายเริ่มเปิดโจมตีก่อน หลิ่วเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงพร้อมกับมือสองข้างของร่างมหาเพลิงนภากำเป็นหมัด ขณะที่เพลิงพวยพุ่ง หอกเพลิงยาวก็ก่อตัวขึ้นพร้อมกับภาพหอกกวาดออกมาทุกทิศทาง
ปัง! ปัง!
ขณะที่ร่างใหญ่ยักษ์ทั้งสองปะทะกันบนท้องฟ้า ความปั่นป่วนก็ทำให้แม้แต่ฟ้าดินยังสั่นสะเทือน มากจนเกิดรอยแตกร้าวบนภูเขากระดูกขาว คลื่นหลิงที่กวาดออกมาราวกับพายุครางกระหึ่มกวาดอาละวาดออกไป ภายในรัศมีหมื่นเมตร ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้แม้แต่คนเดียว
จอมยุทธ์โดยรอบตะลึงลานไปกับการปะทะกันกระบวนท่านี้ พวกเขาไม่อยากเชื่อว่ามู่เฉินจะสามารถสู้กับหลิ่วเหยียนได้ถึงระดับนี้
ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ภูมิภาคทางเหนือ หลิ่วเหยียนมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในอันดับสี่ของบันทึกมังกรหงส์ ส่วนมู่เฉินล่ะ? เขาเป็นจอมยุทธ์ไร้ชื่อเท่านั้น แม้จะมีอาณาเขตกงเวทสวรรค์หนุนหลังทำให้เขามีสถานะบางอย่างขึ้นมา แต่ก็ยังห่างไกลเมื่อเทียบกับชนชั้นสูงที่โดดเด่นในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่อย่างหลิ่วเหยียน
แต่ตอนนี้จอมยุทธ์ไร้ชื่อตรงหน้าพวกเขากลับสู้กับหลิ่วเหยียนจนผืนฟ้าผืนดินมืดครึ้มไปหมด แม้เขาจะไม่ได้เป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ไม่ง่ายเลยที่เขาจะต้านทานไว้ได้นานขนาดนี้
ตู้ม!
เสาปีศาจฟาดใส่หอกเพลิง ตรงจุดปะทะเกิดรอยร้าวมากมายบนมิติ จากนั้นก็มีคลื่นระเบิดที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายตัวออก
ทั้งสองถอยออกไป แต่เห็นชัดว่าหลิ่วเหยียนยังเป็นฝ่ายได้เปรียบจากกระบวนท่านี้ แต่ใบหน้าของหลิ่วเหยียนกลับดูน่าเกลียด เพราะเขาไม่ต้องการเป็นฝ่ายเหนือกว่าแค่กระผีกลิ้นเท่านี้
พลังร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก
“ร่างเทห์สวรรค์ของเจ้านั่นไม่ธรรมดาเลย” สายตาของหลิ่วเหยียนเปลี่ยนไปเมื่อจ้องมู่เฉินด้วยสายตาเย็นเยือก เขานั่งบนศีรษะร่างมหาเพลิงนภา เริ่มวาดตราประทับวูบไหวด้วยมือทั้งสองข้าง
ฟู่วๆๆๆ!
ขณะที่ตราประทับของหลิ่วเหยียนเปลี่ยนไป เพลิงรอบร่างมหาเพลิงนภาก็ลุกโชน เปลวไฟหลากสีก็พวยพุ่ง สุดท้ายไปรวมตัวกันเหนือร่างหลิ่วเหยียน
ความร้อนไร้รูปร่างผันผวนไปในบริเวณนี้
เมื่อจอมยุทธ์คนอื่นๆ มองจากที่ไกลสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป เพราะพวกเขารู้สึกว่าคลื่นหลิงในร่างกายของตนเองกำลังเดือดพล่าน ทั้งยังแสดงสัญญาณเผาไหม้อีกด้วย
สีหน้าแต่ะคนเปลี่ยนแปรถอยหนีกันอย่างรวดเร็ว พวกเขารู้สึกได้ว่าหลิ่วเหยียนไม่ทนอีกต่อไปแล้ว การโรมรันพันตูแบบนี้กับมู่เฉินทำให้เขาหมดความอดทน
เขาตั้งใจจบศึกนี้แล้ว
มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้น เพลิงงดงามสะท้อนในม่านตาสีดำขณะที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมมากขึ้น
“ไม่ว่าแกจะมีร่างเทห์สวรรค์อะไร ข้าก็จะเผาให้เป็นจุณเลย!”
หลิ่วเหยียนยิ้มน่าขนลุกให้มู่เฉินพลันตบมือ เพลิงงดงามนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้ารวมตัวกัน ก่อตัวเป็นหม้อกลั่นขนาดใหญ่ที่มีขนาดหลายพันจั้ง
หม้อกลั่นนี้งดงามมาก ทว่าแผ่รังสีน่ากลัวออกมา
หลิ่วเหยียนมองมู่เฉินอย่างน่าขนลุก จากนั้นก็โบกมือ หม้อกลั่นหายไปทันที
ทันทีที่หม้อกลั่นหายไป มู่เฉินก็รู้สึกว่าท้องฟ้ารอบด้านมืดมนลง ทว่าไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่าไม่ใช่ท้องฟ้าที่มืด เป็นเพราะเขาถูกหม้อกลั่นครอบคลุมเอาไว้ต่างหาก
หลิ่วเหยียนมองมู่เฉินและร่างเทพสุริยะที่ถูกหม้อกลั่นครอบไว้ก็รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมบนมุมปาก จากนั้นมือทั้งคู่ประสานมือเข้าด้วยกัน ตะโกนเสียงเย็นดังก้องไปทั่วบริเวณ
“เตามหาเพลิง ขนนกโหมสวรรค์!”
ตู้ม!
ทันทีที่หลิ่วเหยียนตะโกนออกมา เพลิงหลากสีก็ลุกโชนในหม้อกลั่น พริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงมโหฬาร
เปลวไฟลุกโชนอยู่ในทะเลเพลิงก่อตัวเป็นหลุมวนขนาดใหญ่ เพลิงเจิดจ้าเปลี่ยนเป็นเส้นเพลิงเล็กๆ รวมตัวกัน เส้นเพลิงเล็กๆ เหล่านั้นคือแก่นของเปลวเพลิง เพียงเส้นเดียวก็สามารถเผาทั้งเทือกเขาให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านได้
เส้นเพลิงเหล่านี้รวมตัวกันก่อร่างเป็นขนนกสายรุ้งขนาดหนึ่งจั้ง
ขนนกเต็มไปด้วยลวดลายเพลิงทุกชนิด ลอยตัวเงียบๆ บนอากาศ แม้จะดูอ่อนโยน แต่อุณหภูมิน่ากลัวที่แผ่ออกมาก็ทำให้เกิดรอยร้าวบนมิติ
พลังงานที่อยู่ในขนนกสายรุ้งนั่นทำให้แม้แต่ร่างกายของมู่เฉินที่เข้าสู่สภาวะฤทัยปีศาจยังเกร็งเครียด ชัดว่ารู้สึกได้ถึงอันตรายถึงชีวิตอย่างชัดเจน
หลิ่วเหยียนเป็นศู่ต่อสู้ที่โค่นยากจริงๆ
“ต่อไปข้าจะให้แกดูว่าข้าจะเผาร่างเทห์สวรรค์ของแกให้เป็นเถ้าถ่านได้ยังไง!”
มองภาพนี้แล้ว รอยยิ้มที่แขวนบนมุมปากของหลิ่วเหยียนก็ดูเหี้ยมเกรียมลงหลายส่วน
ตอนที่ 782
ตราประทับทองคำพันแสงสวรรค์
ในหม้อกลั่นเต็มไปด้วยเพลิงอันงดงาม
ทะเลเพลิงพุ่งพวย ทำให้อุณหภูมิภายในสูงจนถึงระดับที่น่ากลัว หากมู่เฉินไม่ได้เข้าสภาวะฤทัยปีศาจ เขาคงสูญเสียการควบคุมคลื่นหลิงไปแล้ว
ทว่าตอนนี้มู่เฉินไม่ได้สนใจกับอุณหภูมิโดยรอบ ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่ขนนกแสนสวยที่ลอยขึ้นจากทะเลเพลิง
แม้ว่าขนนกนี้จะมีขนาดยาวจั้งเดียวพร้อมกับสีรุ้งทำให้ดูงดงาม แต่มู่เฉินก็รู้สึกถึงอันตรายที่อยู่ภายใต้ภาพลักษณ์อันงดงาม
ชัดว่าเขาบีบหลิ่วเหยียนให้ปล่อยกระบวนท่าไม้ตายออกมาแล้ว
ขนนกนี้มีพลังน่ากลัวที่สามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ได้แน่นอน!
แสงเจิดจ้าเปล่งออกมาจากร่างเทพสุริยะอย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องตัวเองจากอุณหภูมิน่ากลัวที่คอยกัดกร่อน มู่เฉินยืนอยู่บนศีรษะของร่างเทพสุริยะ ม่านตาสีดำลึกซึ้งวูบไหวเบาๆ ครู่ต่อมาเขาก็สูดอากาศร้อนผ่าวราวกับลาวา ใบหน้าหล่อเหลาดูเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม
กระบวนท่านี้จากหลิ่วเหยียนอยู่เหนือความคาดหมายของมู่เฉิน ความคิดหลากหลายวาบขึ้นมาในใจไม่หยุด ทว่าเขาก็ตระหนักได้ว่าคลื่นหนึ่งตะวันของร่างเทพสุริยะยังไม่สามารถต้านทานได้
มู่เฉินขมวดคิ้ว อึดใจก็นั่งลงบนศีรษะร่างเทพสุริยะ เมื่อแสงสีทองพวยพุ่ง ร่างเขาก็จมลงไปในร่างเทพสุริยะอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ กระแสพลังยิ่งใหญ่ไหลออกมา ภายในกระแสมีความผันผวนของคลื่นหลิงบริสุทธิ์อย่างยิ่งอยู่ นี่เป็นกระแสธารของของเหลวจื้อจุน
มู่เฉินจ้องมองกระแสธาร ของเหลวจื้อจุนในนั้นมีปริมาณราวสองแสนหยด ทั้งหมดนี่มั่นถัวหลัวมอบให้เขา ซึ่งได้ถูกนำออกมาใช้ในคราวนี้แล้ว
“เท่านี้ก็เพียงพอแล้วมั้ง?”
มู่เฉินมองกระแสคลื่นหลิง แม้เขาจะอยู่ในสภาวะฤทัยปีศาจ แต่มุมปากก็อดกระตุกไม่ได้ การเทของเหลวจื้อจุนทั้งหมดสองแสนหยดออกมาใช้จนเกลี้ยงเป็นเรื่องน่าปวดใจอย่างยิ่ง
แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถใส่ใจกับเรื่องนี้มากแล้ว
แสงหลิงวูบไหวในม่านตาสีดำของมู่เฉิน จากนั้นมือทั้งสองก็วาดตราประทับฉับพลัน ทันใดนั้นแสงสีทองเปล่งปลั่งก็กำจายออกมาจากหน้าอกของร่างเทพสุริยะ ซึ่งเหมือนจะมีเมล็ดสีทองปรากฏอยู่ภายใน
ด้วยการดีดนิ้วครั้งเดียว กระแสธารที่เกิดจากของเหลวจื้อจุนสองแสนหยดก็พุ่งออกไป ปะทะกับแสงสีทองอย่างไม่รู้จบ
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ในแสงสีทอง เมล็ดสีทองก็ราวกับหลุมไร้ก้นดูดเอาของเหลวจื้อจุนลงไปจนหมด
เมื่อสายธารคลื่นหลิงถูกเทเข้าอย่างต่อเนื่อง เมล็ดสีทองก็ค่อยๆ สว่างขึ้นราวกับดวงอาทิตย์โชติช่วงซึ่งกำลังจะกะเทาะออกจากเปลือกในไม่ช้า
ขณะที่มู่เฉินซ่อนอยู่ในร่างเทพสุริยะ ขนนกเพลิงที่อยู่ภายนอกก็ควบแน่นจนถึงขีดสุด มองภาพนี้จากด้านนอกหม้อกลั่น หลิ่วเหยียนก็มีท่าทางผ่อนคลายลงพร้อมกับรอยยิ้มเย็นโค้งขึ้นที่มุมปาก
“แกคิดว่าซ่อนตัวอยู่ในร่างเทห์สวรรค์แล้วจะหนีพ้นได้เรอะ?” หลิ่วเหยียนเยาะเย้ย อึดใจก็เหยียดมือออกมาแล้วชี้ลงไปที่ท้องฟ้าเบาๆ
ด้านนอกภูเขากระดูกขาว เหล่าจอมยุทธ์มองภาพนี้ก็อดม่านตาหดเกร็งไม่ได้ เห็นชัดว่าพวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานน่ากลัวที่ก่อตัวอยู่ในหม้อกลั่น
ภายใต้พลังงานนั้น แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ก็คงหลบหนีได้ยาก
“บีบให้หลิ่วเหยียนใช้ทักษะเทห์สวรรค์ได้ มู่เฉินไม่ธรรมดาจริงๆ แต่การดวลนี้ก็คงถึงจุดจบแล้วแหละ” บางคนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา ดูเหมือนพวกเขาจะเข้าใจดีว่ากระบวนท่าโจมตีนี้ของหลิ่วเหยียนน่ากลัวเพียงใด ว่ากันว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ เป็นเรื่องจริงที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่กลายเป็นเถ้าถ่านภายใต้พลังโจมตีนี้ของหลิ่วเหยียน
คนจำนวนมากเห็นด้วยและรู้สึกเสียดายขึ้นมาในเวลาเดียวกัน มู่เฉินยังอายุน้อย แต่กลับมีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ หากเขามีเวลาฝึกยุทธ์นานกว่านี้อีกสองสามปี เขาคงจะเติบโตเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงแท้จริงในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ ในเวลานั้นเขาอาจมีพลังเพียงพอที่จะสู้กับฟังยี่อันดับหนึ่งของบันทึกมังกรหงส์เลยก็เป็นได้
แต่น่าเสียดายที่บนโลกนี้อัจฉริยชนมักตายได้ง่ายที่สุด
ฮึ่ม!
ขณะที่จอมยุทธ์ทุกคนรู้สึกสงสารกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น หม้อกลั่นก็ส่งเสียงฮึ่มฮั่มบนท้องฟ้า อุณหภูมิสูงที่ปล่อยออกมา ทำให้มิติบิดเบี้ยวจนจะแตกเป็นเสี่ยง
ทุกคนเห็นว่าขนนกงดงามลอยผ่านเบาๆ จากนั้นก็พุ่งไปหาร่างเทห์สวรรค์ที่แผ่แสงสีทองจ้าตาออกมา
มันช่างรวดเร็วอย่างยิ่ง จนสุดท้ายได้เปลี่ยนเป็นอุกกาบาตลุกโชติช่วง เมื่ออุกกาบาตพุ่งผ่าน มิติก็แตกเป็นเสี่ยง เกิดรอยร้าวมิติที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกไป
แสงสีทองบนร่างเทพสุริยะมืดมนอย่างรวดเร็ว แม้แต่ร่างเปล่งประกายก็เริ่มแสดงสัญญาณหลอมเหลว
อุกกาบาตงดงามพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว
ทว่าขณะที่อุกกาบาตกำลังจะตกลงมา ดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินในร่างเทพสุริยะก็ค่อยๆ ลืมขึ้นในตอนนี้
เปรียะ!
ทันทีที่เขาลืมตา รอยร้าวก็ปรากฏบนเมล็ดสีทองที่อยู่ตรงกลางอกของร่างเทพสุริยะ
ชี่! ชี่!
แสงสีทองพร่างพราวพุ่งออกจากรอยแตก จากนั้นเมล็ดก็ระเบิดตัวออก ทันใดนั้นแสงสีทองเจิดจ้าก็กระจายไปทั่วทั้งร่างเทพสุริยะ
ดวงตะวันสีทองสว่างโชติช่วงโชนขึ้นจากแผ่นอกของร่างเทพสุริยะ เวลาเดียวกันก็มีดวงตะวันอีกดวงพุ่งออกมาจากหว่างคิ้ว
ดวงตะวันสีทองโชติช่วงสองดวงลอยอยู่ในอากาศ แสงสีทองสุกใสแผ่ออกมา ทันใดนั้นสภาพร่างเทพสุริยะที่กำลังหลอมละลายก็หยุดลง นอกจากนี้ประกายทองคำยังเริ่มเข้มข้นขึ้น ราวกับมีเส้นใยแสงสีม่วงจางๆ เจืออยู่
ที่ด้านนอก สายตาของหลิ่วเหยียนที่มองสถานการณ์ในหม้อกลั่นอยู่ตลอดก็ชะงักค้างไป เห็นได้ว่าเขาสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างเทพสุริยะเช่นกัน
“คิดจะดิ้นรนสุดชีวิตเรอะ?”
หลิ่วเหยียนหัวเราะเยาะ เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างเทพสุริยะคือการหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ว่ามู่เฉินจะใช้วิธีใด ก็ไม่อาจหนีรอดจากความตายภายใต้การโจมตีเช่นนี้ของเขาได้หรอก
ในหม้อกลั่น มู่เฉินปรากฏตัวบนศีรษะของร่างเทพสุริยะอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นมองอุกกาบาตที่พุ่งเข้ามา อุณหภูมิสูงทำลายล้างเป็นสิ่งที่แม้แต่มิติก็รองรับไม่ได้
แต่ครั้งนี้กลับไม่มีริ้วความกลัวบนใบหน้าของมู่เฉินอีก เขาประสานมือเข้าหากันอย่างช้าๆ พลางวาดตราประทับพร้อมกับเสียงพึมพำเปล่งจากปาก
“คลื่นเก้าตะวัน ตราประทับทองคำพันแสงสวรรค์!”
มือร่างเทพสุริยะวาดตราประทับฉับพลันในเวลานี้ ขณะที่แสงสีทองเปล่งปลั่งรวมตัวกัน ราวกับตราประทับแสงสีทองก่อตัวขึ้นภายใต้ฝ่ามือ ตราประทับแสงนั่นดูราวกับดวงตะวันทองคำสองดวงไขว้กัน ลวดลายโบราณลึกลับอยู่ภายใน ประหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ก่อตัวขึ้นจากการกำเนิดดวงตะวัน
ตราประทับทองคำพันแสงสวรรค์คือทักษะหนึ่งของคลื่นเก้าตะวัน แต่เงื่อนไขในการสร้างก็คือต้องมีพลังคลื่นสองตะวันเป็นอย่างน้อย ในอดีตมู่เฉินทำสิ่งนี้ไม่ได้ แต่ตอนนี้คลื่นเก้าตะวันของเขาพัฒนาการอีกครั้ง ทำให้สามารถสร้างออกมาได้ในที่สุด
“ตู้ม!”
ตราประทับแสงสีทองรวมตัวกันบนฝ่ามือร่างเทพสุริยะ ก่อนจะทะยานออกไปพร้อมกับแสงสีทองเจิดจ้าและมวลลมฝ่ามือ ปะทะกับอุกกาบาตเพลิงแบบไม่มีถอย
ทันทีที่ปะทะกัน ทุกสรรพเสียงบนโลกก็เหมือนนิ่งสนิทลง
ทว่าความเงียบคงอยู่เพียงชั่วขณะก่อนที่ทุกคนจะเห็นแสงสีทองระเบิดออกมาจากหม้อกลั่นในทุกทิศทาง
ทั้งบริเวณราวกับเจือด้วยแสงสีทอง
คลื่นระเบิดที่ไม่อาจบรรยายได้ผันผวนรุนแรง หม้อกลั่นก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ยากที่จะจินตนาการได้ว่าพลังงานน่ากลัวชนิดใดที่มันกำลังต้านไว้
เคร้ง! เคร้ง!
เสียงกัมปนาทดังอย่างต่อเนื่อง จากนั้นทุกคนที่มองภาพนี้ก็ดวงตาหดเกร็ง เพราะพวกเขาเห็นรอยร้าวปรากฏบนหม้อกลั่น
“หม้อกลั่นจะต้านไว้ไม่ไหวแล้ว!”
บางคนอุทานออกมาพร้อมกับถอยกรูดตอบสนอง
ตู้ม!
ชั่วขณะที่พวกเขาถอยหนี หม้อกลั่นก็ระเบิด แสงสีทองน่ากลัวแผ่กระจายออกมา พร้อมกับเพลิงสีทองงดงามตระการตา ทุกคนในรัศมีพันลี้ได้รับผลกระทบจากคลื่นระเบิดกันถ้วนทั่ว
พรูด!
จอมยุทธ์โดยรอบที่ตั้งใจจะหนีได้รับผลกระแทก แต่ละคนเลือดกระอักออกจากปาก ร่างกระเด็นใส่ยอดเขา ทำให้ยอดเขาทั้งยอดพังทลายจากแรงปะทะ
ทั่วบริเวณตกอยู่ในความโกลาหลโดยสิ้นเชิง
คลื่นระเบิดทำลายล้างคงอยู่ประมาณสิบกว่านาที ก่อนจะค่อยๆ สลายตัวไป ท่ามกลางซากยอดเขา ร่างสะบักสะบอมจำนวนมากก็ทะยานออกมา ดวงตาแต่ละคนมองภูเขากระดูกขาวด้วยความหวาดผวา
พวกเขาอยากรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายจากการดวลเดือดนี้
ขณะที่สายตาทุกคู่พุ่งตรงไปที่ภูเขากระดูกขาว ม่านตาของพวกเขาก็ต้องหดลงพลางสูดอากาศเย็นเข้าไปเต็มปอด
บนยอดเขาร่างเทห์สวรรค์สองร่างยืนประจันหน้ากัน ทว่าร่างใหญ่โตทั้งสองอยู่ในสภาพใกล้สลายตัว แสงหม่นลงจนถึงจุดที่จะสลายตัวไปได้ทุกเมื่อ บนศีรษะร่างจอมยุทธ์สองคนก็มีคลื่นหลิงรอบตัวอ่อนกำลังลงอย่างยิ่ง
พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากัน ใบหน้าก็แดงก่ำในเวลาเดียวกัน รอยเลือดไหลออกจากมุมปากก่อนที่จะถูกปาดทิ้งเบาๆ
ปัง!
ในที่สุดร่างเทห์สวรรค์ทั้งสองก็มาถึงขีดสุดระเบิดอนุภาคออก
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการปะทะน่าทึ่งนี้ คือจบลงด้วยบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย!
ตอนที่ 783
แย่งอาหาร
ปัง!
ขณะที่ร่างเทห์สวรรค์ใหญ่ระเบิดและแตกออกเป็นละอองบนท้องฟ้า ร่างของมู่เฉินกับหลิ่วเหยียนก็สั่นสะท้านขณะถอยหลังออกไป แต่ละคนดูสะบักสะบอมเลยทีเดียว
มู่เฉินพยายามทรงตัวไว้ จากนั้นก็ค่อยๆ ปาดคราบเลือดตรงมุมปากออก ผมยาวสีดำกับดวงตาล้ำลึกก็กลับคืนสู่ปกติ ชัดว่าเขาได้ออกจากสภาวะฤทัยปีศาจแล้ว
สายตาของเขาสงบนิ่งขณะมองหลิ่วเหยียน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจอยู่ในใจ พลังของอีกฝ่ายทำให้เขาตกตะลึงไปเล็กน้อย ตอนแรกเขาคิดว่าหลังจากชำระคลื่นสองตะวันโดยใช้ของเหลวจื้อจุนสองแสนหยดแล้วก็น่าจะเพียงพอที่จะจัดการหลิ่วเหยียน แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่จอมยุทธ์ที่จะจัดการได้ง่ายขนาดนี้ เขาสามารถต้านทานตราประทับทองคำพันแสงสวรรค์ที่เกิดจากคลื่นสองตะวันได้ด้วย
แต่ขณะที่มู่เฉินหวั่นใจ เขากลับไม่รู้ถึงความปั่นป่วนในหัวใจของหลิ่วเหยียน ร่างของเขาสั่นเทิ้มพร้อมกับสายตาเปี่ยมด้วยแววตกตะลึงและไม่อยากเชื่อ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้เกินขอบเขตที่เขาจะยอมรับได้
ในอดีตตอนที่เขาสู้กับคนอื่น การต่อสู้จะจบลงทันทีที่เขาใช้กระบวนท่าขนนกโหมสวรรค์แม้จะเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่
ดังนั้นครั้งนี้เมื่อเขาใช้ขนนกโหมสวรรค์ ในความคิดของเขาแล้วมู่เฉินจะต้องตายอย่างแน่นอน
ทว่าผลลัพธ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคาดไว้ มู่เฉินที่น่าจะตายกลับตีโต้กลับมาในตอนท้าย การโจมตีน่าสะพรึงกลัวนั้นทำให้แม้แต่หลิ่วเหยียนยังรู้สึกหวาดกลัว เขาต้องใช้พลังงานทั้งหมดของขนนกโหมสวรรค์เพื่อต้านรับไว้ เขารู้ดีว่าหากเขาอดทนไม่ได้เพิ่มมาอีกครู่หนึ่ง ผลลัพธ์ก็จะไม่ได้ลงเอยด้วยการที่ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บ แต่จะเป็นบาดเจ็บหนึ่งตายหนึ่ง
“เป็นไปได้ยังไง?!”
ใบหน้าของหลิ่วเหยียนซีดขาวขณะพึมพำพร้อมกับมุมปากกระตุก ครู่ต่อมาเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองมู่เฉินอย่างน่าขนลุก รังสีสังหารแรงกล้าพวยพุ่งในหัวใจ
การแสดงพลังของมู่เฉินทำให้เขารู้สึกถูกคุกคามอย่างหนัก ชายหนุ่มไม่ได้มีอายุในรุ่นราวคราวเดียวกับเขา แต่พลังต่อสู้อันน่าตกใจที่มีกลับไม่ด้อยกว่ากันเลย หากมู่เฉินได้ฝึกยุทธ์อีกสักสองปี คงจะแซงหน้าเขาไปแบบไม่เห็นฝุ่นแน่
ถึงตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ถึงส่งจอมยุทธ์น้อยที่มีแค่ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามมาร่วมศึกมังกรหงส์ ด้วยพลังระดับนี้ของอีกฝ่าย แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ยังเป็นเรื่องยากที่จะสั่นสะเทือนเขาได้
“ตอนนี้ยังอยากฆ่าข้าอยู่ไหม?”
รังสีสังหารแรงกล้าในดวงตาของหลิ่วเหยียนถูกมู่เฉินสังเกตเห็น เขาจึงยิ้มบาง “แต่ตอนนี้แกยังมีพลังพอจะทำหรือ?”
แม้เขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่ชัดว่าหลิ่วเหยียนก็ถึงขีดจำกัดแล้วเช่นกันในตอนนี้
สายตาของหลิ่วเหยียนเย็นเยือกขณะที่ขบฟันพร้อมกับดวงตาวูบไหว เขาอดไม่ได้ที่จะกำหมัดช้าๆ
“ปัง!”
ขณะที่สายตาของหลิ่วเหยียนเปล่งประกายเตรียมจะเคลื่อน ฉับพลันก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น ร่างขนาดใหญ่ร่วงลงจากท้องฟ้าดิ่งลงบนยอดเขากระดูกขาว
หลิ่วเหยียนมองไปทางนั้นก็ต้องม่านตาหดเกร็งพร้อมกับแววหวาดผวาควบคุมไม่ได้พล่านบนใบหน้า
ร่างนั้นเป็นงูใหญ่สีแดงปกคลุมไปด้วยเกล็ดที่มีรังสีชั่วร้ายน่าสะพรึงกลัวกำจายออกมา แสดงให้เห็นชัดเจนว่านี่เป็นสัตว์อสูรร้ายกาจตัวหนึ่ง
แต่ตอนนี้เกล็ดบนตัวมันกลับแตกละเอียดเลือดไหลนอง ย้อมยอดเขาจนเป็นสีแดง นอกจากนี้ยังไม่มีสัญญาณชีวิตบนตัวมันอีกแล้วด้วย
ซื้ดดด!
เมื่อจอมยุทธ์ด้านนอกภูเขากระดูกขาวที่เห็นภาพนี้ ก็สูดหายใจลึกเอาอากาศเย็นเข้าไปสุดปอด ร่างแต่ละคนสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ เพราะพวกเขาบอกได้ว่างูสีแดงนี้ก็คืออสรพิษแดงโลหิต!
ในสถานที่แห่งนี้ มีอสรพิษแดงโลหิตตัวเดียว ก็คืออันดับเก้าบนบันทึกมังกรหงส์ ชื่อเสี่ยจากตำหนักเจ้าอสรพิษ!
นั่นก็หมายความว่า… อสรพิษแดงโลหิตที่ไร้พลังชีวิตบนยอดเขาก็คือชื่อเสี่ย!
ชื่อเสี่ยตายแล้ว?!
ภาพเหตุการณ์น่าทึ่งนี้ไม่เพียงทำให้หลิ่วเหยียนหนาวเยือกไปทั้งสรรพางค์กาย แม้แต่จอมยุทธ์ที่อยู่ด้านนอกภูเขากระดูกขาวยังรู้สึกขนลุกชันไปหมด แม้ว่าชื่อเสี่ยจะอยู่แค่อันดับเก้าของบันทึกมังกรหงส์ แต่กระทั่งหลิ่วเหยียนยังเกร็งๆ เล็กน้อยหากต้องสู้กัน บางทีหลิ่วเหยียนอาจเอาชนะชื่อเสี่ยได้ แต่การสังหารนับว่าเป็นเรื่องยากยิ่ง
จอมยุทธ์ที่ทรงพลังระดับนี้ ถ้าตอบโต้สุดชีวิตขึ้นมา ก็จะน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
มู่เฉินก็อึ้งไปเช่นกันเมื่อมองซากงูยักษ์ แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมา เขาก็เห็นร่างเล็กพลิ้วกายลงบนซากงู
เท้าเปลือยเปล่าขาวราวหิมะของไฉ่เซียวแตะลงบนหัวงูอย่างนุ่มนวล ก่อนที่นางจะก้มลงด้วยท่วงท่างดงามแตะที่หัวงูเบาๆ จากนั้นงูเจ็ดสีก็เลื้อยออกมาจากแขนเสื้อ งับเข้าที่หัวงูยักษ์
ชี่ ชี่!
ร่างงูยักษ์แห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ เพียงสิบกว่าอึดใจก็เหลือแต่ซากศพแห้งกรังทิ้งไว้ต่างหน้า ราวกับถูกตากแห้ง
คนนับไม่ถ้วนตกตะลึงสุดขีดกับภาพนี้
งูเจ็ดสีชูคอขึ้นอย่างพึงพอใจ แลบลิ้นใส่ไฉ่เซียว หญิงสาวยิ้มตาหยีเอื้อมมือลูบหัวงูน้อยเบาๆ ก่อนที่มันจะเลื้อยกลับเข้าไปในแขนเสื้อ
ภายใต้ความสนใจของทุกคนนที่เห็นฉากน่าสยดสยอง ไฉ่เซียวก็เหยียดเอว ส่วนโค้งเว้าบนเอวงดงามน่าดึงดูดใจนัก แต่ตอนนี้ไม่มีใครกล้ามองแบบนั้นอีก เพราะพวกเขาซึ้งแล้วว่าสถานที่แห่งนี้ คนที่น่ากลัวที่สุดก็คือหญิงสาวงดงามลึกลับคนนั้น
“สู้เสร็จแล้วเหรอ?”
ไฉ่เซียวเงยหน้าขึ้นเหลือบมองไปทางมู่เฉินและหลิ่วเหยียน จากนั้นก็เม้มปากส่งรอยยิ้มให้มู่เฉิน “ที่จริงข้าก็ไม่อยากฆ่าเขาหรอก แต่มันดันปากมอม ข้าก็เลยสติหลุดไปหน่อยน่ะ…”
มุมปากของมู่เฉินกระตุกพลางหัวเราะแห้งๆ ชื่อเสี่ยโชคร้ายจริงๆ จะไม่เป็นไรตอนที่ปากเสียในเวลาปกติ แต่เขากลับรนหาที่ตายที่กล้าทำตัวกักขฬะต่อหน้าหญิงสาวงดงามคนนี้
“เจ้ายังจัดการมันไม่ได้อีกหรือ?” ไฉ่เซียวเบนสายตาไปทางหลิ่วเหยียน แค่ปรายตามองวูบเดียว แต่อีกฝ่ายกลับถอยหลังไปในทันทีพร้อมกับร่างกายเกร็งเครียดขึ้น สายตาอัดแน่นด้วยความระมัดระวังและตื่นตัว
“ข้าช่วยไหม?” ไฉ่เซียวหัวเราะเสียงหวาน
วาบ!
ทันทีที่นางพูดจบ ก่อนที่มู่เฉินจะตอบอะไร ร่างหลิ่วเหยียนก็ระเบิดออกพุ่งตัวหลบหนีไปทันควัน เหาะออกจากเขตภูเขากระดูกขาวในพริบตา ความเด็ดขาดในการหลบหนีนั่นทำเอามู่เฉินอึ้งไป จากนั้นก็เบ้ปาก ที่แท้ไอ้นั่นก็กลัวตายมากเหมือนกัน
แม้เขาจะอยากฝังหลิ่วเหยียนไว้ที่นี่ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำด้วยสภาพตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ขัดขวาง ปล่อยให้หลิ่วเหยียนหนีไป
“มู่เฉิน ฝากไว้ก่อนเถอะ ความแค้นนี้ยังไม่จบหรอกนะ!” หลิ่วเหยียนตะโกนมาจากที่ไกล ทิ้งประโยคเกรี้ยวกราดไว้เบื้องหลัง จากนั้นก็ไม่กล้าชักช้า ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงเปิดหนีไปอย่างรวดเร็ว
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เขาเบนสายตาไปยังจอมยุทธ์คนอื่นๆ ที่มุงดูอยู่ เมื่อเหล่าจอมยุทธ์เห็นสายตาแบบนั้นสาดใส่ แต่ละคนก็ถอยกรูด แววหวาดกลัวอัดแน่นในดวงตา
หลังจากได้เห็นการต่อสู้ที่น่าตกใจด้วยตาของมู่เฉินกับหลิ่วเหยียน ก็ไม่มีใครกล้าคิดว่าอีกฝ่ายเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามธรรมดาอีกแล้ว
“ทุกคนมีใครอยากแย่งสระมังกรหงส์นี้ไปจากพวกข้าอีกไหม?” มู่เฉินกวาดสายตาเอ่ยด้วยเสียงต่ำ
จอมยุทธ์แต่ละคนสบตากัน สุดท้ายก็ทำได้เพียงถอยหนีพร้อมขบฟันแน่น แม้ตอนนี้มู่เฉินจะอ่อนกำลังอย่างมากหลังจากประสบกับการต่อสู้ใหญ่กับหลิ่วเหยียน แต่ข้างเขายังมีหญิงสาวลึกลับที่น่ากลัวยิ่งกว่า การฆ่าชื่อเสี่ยได้อย่างง่ายดาย ทำให้นางขึ้นเป็นบุคคลน่าสะพรึงอย่างยิ่ง
ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจในการจากสระมังกรหงส์ไปแค่ไหน แต่สุดท้ายสติก็เหนือกว่าความละโมบ ไม่ว่าสระมังกรหงส์จะมหัศจรรย์เพียงใด ก็เทียบไม่ได้กับชีวิตของพวกเขา
พอเห็นเหล่าจอมยุทธ์ล่าถอยไปแล้ว มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ คนที่มาที่นี่ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา หากพวกเขาไม่สนใจหลับหูหลับตาลุย เขากับไฉ่เซียวมีปัญหาแน่ ตอนนี้คนพวกนั้นถอยด้วยสติ ก็ถือเป็นเรื่องดีกับทั้งสองฝ่าย
“ไปเปิดสระมังกรหงส์กันเถอะ” พอเห็นภาพนี้ไฉ่เซียวก็ปัดมือเบาๆ
มู่เฉินพยักหน้าจากนั้นก็กำมือ วานรปีศาจที่ถูกสังหารเมื่อก่อนหน้าก็ลอยมา ภายใต้ฝ่ามือมีด เขาก็เฉือนทำลายหลอดเลือดจนเลือดสดไหลลงไปในสระมังกรหงส์ราวกับลำธารสายหนึ่ง
ซู่! ซู่!
เลือดสีแดงเข้มกระจายอย่างรวดเร็วในสระมังกรหงส์ หนึ่งนาทีเลือดสดก็นองไปทั่วสระ กลิ่นคาวเลือดตลบอบอวลไปหมด
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เมื่อเลือดสดไหลเต็มสระมังกรหงส์ ก็เกิดเสียงครางกระหึ่มในทันที ภายในสระกระดูกขาวเย็นเยือกที่มีอักขระโบราณจำนวนมากปรากฏขึ้น
เสียงมังกรและหงส์ฟ้าคำรามก้องก้นสระ สะท้อนไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก
ครืน!
เลือดสดเริ่มเดือดพล่าน ฟองเดือดปุดขึ้นมา เหมือนจะมีภาพบางจางของมังกรและหงส์ฟ้าก็บินขึ้นจากสระ
เมื่อพวกมันบินฉวัดเฉวียน เลือดสดข้นคลั่กก็เปลี่ยนเป็นใสกระจ่างอย่างรวดเร็ว มีร่องรอยสิ่งเจือปนระเหยอยู่ตลอดเวลา กลิ่นคาวเลือดก็จางหายไปเช่นกัน
ชั่วอึดใจสระเลือดก็ถูกกรองกลางเป็นสระเซียนที่กำจายรัศมีเซียนออกมา พลังงานลึกลับแผ่ออกมาเงียบๆ สร้างความผันผวนในมิติ
“เจ้าอยากลองหน่อยไหม?” ไฉ่เซียวยืนตรงขอบสระมังกรหงส์ยิ้มหวานให้มู่เฉิน
“เจ้าไม่ไปพร้อมกันหรือ?” มู่เฉินอึ้งไป ตอนนี้สระมังกรหงส์ก่อตัวแล้ว พวกเขาจะได้รับโอกาสใหญ่หลวงทันทีที่ก้าวลงไป
“ข้าต้องการแค่แก่นโลหิตมังกรแท้จริง แต่ที่นี่มีน้อยนิดเหลือเกิน” ไฉ่เซียวเอ่ยเสียงเรียบแล้วโบกมือ “เจ้าเป็นผู้ชายนะ หยุดทำตัวเป็นยายแก่ รีบๆ ลงไปเถอะ”
“ขอบใจนะ”
มู่เฉินประสานมือคำนับซึ้งใจ เขาไม่พูดมากความเคลื่อนกายเตรียมตัวพุ่งลงไปในสระมังกรหงส์ที่เพิ่งเปิด
ปัง!
ทว่าทันทีที่เขาเคลื่อนไหว กองกระดูกขาวก็ระเบิดออกบนยอดเขา ชิ้นส่วนพุ่งออกมาทุกทิศทาง ภายในเศษซากมีร่างเลือนรางทะลวงผ่านมิติพุ่งตรงมายังสระมังกรหงส์ตรงหน้ามู่เฉิน
ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปทันที รังสีสังหารวาววับในดวงตา
มีคนบังอาจคิดชุบมือเปิบกับของที่เป็นของเขา!
ตอนที่ 784
องค์ชายโยวหมิง
วาบ!
แสงสีดำทะยานไปที่สระมังกรหงส์ราวกับวิญญาณ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลันทำให้มู่เฉินตกตะลึงมาก ทว่าเขาก็มีปฏิกิริยาตอบสนองทันท่วงที หลังจากเห็นร่างแสง เขาก็ออกกระบวนท่าโต้ตอบ สายฟ้าไร้รูปส่องประกายบนฝ่ามือ ขณะที่สายฟ้าฤทัยปีศาจดำระเบิดออกทันที
หลายปีที่ผ่านมา มู่เฉินพบกับการต่อสู้เป็นตายนับไม่ถ้วน ประสบการณ์ต่อสู้เข้มข้นสลักลึกลงไปในกระดูก ดังนั้นภายในเวลาสั้นๆ เขาไม่ใช้คลื่นหลิงขัดขวางร่างที่เข้ามา แต่กลับเลือกใช้สายฟ้าฤทัยปีศาจดำที่เร็วและประหลาดที่สุดในการโจมตี
ตู้ม!
ขณะที่เสียงสายฟ้าคำรามแหลมคมดังก้อง แสงสีดำก็กวาดออกจากร่างสีดำ ก่อนจะดูดกลืนเสียงฟ้ารนไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น ร่างเขาก็ยังชะงักไปชั่วขณะ
จังหวะที่ร่างชะงักนั้นก็ทำให้เขาสูญเสียโอกาสดีที่สุด ไฉ่เซียวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หายวับไป ก่อนจะปรากฏตัวต่อหน้าแสงสีดำในพริบตา นิ้วเรียวชี้ออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า
แสงสีขาวนวลตากำจายออกมาจากนิ้วเรียว มิติผันผวนเบาๆ แล้วฉีกออกจากกัน
เผชิญกับการโจมตีของไฉ่เซียว แม้แต่ร่างสีดำก็ไม่กล้าประมาท เขางอนิ้วทั้งคู่ แสงสีดำกวาดออกพร้อมรัศมีเยือกเย็น
ปัง!
พลังดัชนีปะทะกัน ทำให้คลื่นพลังที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าผันผวนออกมา คลื่นมหึมากวาดออกจากสระมังกรหงส์เบื้องล่าง ไฉ่เซียวตัวสั่นสะท้านวูบหนึ่งก่อนจะก้าวถอยไปหนึ่งก้าว
ฟิ้ว!
ส่วนร่างแสงสีดำก็กระเด็นออกไป เท้าแตะอากาศแล้วลอยอยู่ในอากาศ เมื่อแสงสีดำสลายไปก็เผยภาพชัดเจนออกมา
สายตาที่อยู่รอบภูเขากระดูกขาวก็รีบมองมา อึดใจเสียงอุทานก็ดังขึ้น
“นั่น…องค์ชายโยวหมิงจากจวนยมโลก!”
เมื่อได้ยินเสียงฮือฮาด้านนอก สายตามู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหดลงแล้วเบนสายตาไป เขาเห็นร่างสีดำยืนอยู่บนท้องฟ้า ผมสีดำยาวปะบ่าหน้าตาหล่อเหลาอย่างยิ่ง เพียงแค่ดูค่อนข้างเย็นชา สายตาดูราวกับคมมีด ทำให้ผู้อื่นรู้สึกราวกับถูกทิ่มแทงด้วยสายตานั่น
เขายืนอยู่บนท้องฟ้าด้วยสายตาไม่แยแส แม้จะเผชิญหน้ากับไฉ่เซียว สีหน้าก็ไม่ปรากฏแววตื่นตะลึงแต่อย่างใด กลับดูสงบอย่างยิ่ง เทียบกับหลิ่วเหยียน เขาช่างสูงล้ำกว่ามาก
“ที่แท้ก็องค์ชายโยวหมิง อันดับสองของบันทึกมังกรหงส์นี่เอง” มู่เฉินมองชายชุดดำพลางขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเบา “ด้วยสถานะของเจ้า ไม่เห็นต้องทำตัวหลบซ่อนอะไรแบบนี้เลย”
“ในเมื่อสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ใหญ่ที่สุดได้ด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุด ทำไมจะไม่ทำล่ะ?” โยวหมิงยิ้ม สายตาคมกริบราวใบมีดจ้องมองมู่เฉิน “หลิ่วเหยียนไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เคี้ยวง่ายๆ ข้าเต็มใจที่จะเห็นสถานการณ์ที่บาดเจ็บทั้งสองฝ่ายน่ะ”
“แต่เสียดายที่แผนคิดชุบมือเปิบของแกล้มเหลวแล้ว” มู่เฉินยิ้ม ทว่าในสายตากลับมีแววระมัดระวังอยู่ เนื่องจากเขารู้สึกถึงไอเย็นเยือกอย่างยิ่งแผ่ออกมาจากโยวหมิง ชายผู้นี้ราวกับอสรพิษร้ายในมุมมืด จะไม่เกิดอะไรหากไม่โจมตี แต่ทันทีที่โจมตี ก็จะเป็นศึกความตายอย่างแน่นอน
“น่าเสียดายจริงๆ” โยวหมิงพยักหน้าไม่ได้โต้แย้ง เขาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ด้วยวิธีลับ คิดจะสังหารมู่เฉินกับหลิ่วเหยียนขณะที่คนทั้งคู่บาดเจ็บก่อนจะเข้าสระมังกรหงส์ แต่ไม่คิดว่าไฉ่เซียวที่น่าจะสะพรึงจะปรากฏตัวจากที่ใดไม่ทราบ ทำลายแผนการของเขาจนหมด
สายตาเขาเลื่อนไปทางไฉ่เซียวเอ่ยถามช้าๆ “เจ้าเป็นใครกันแน่? ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ภูมิภาคทางเหนือไม่มีคนอย่างเจ้า”
ไฉ่เซียวขี้เกียจที่จะตอบคำถาม นางชี้ไปที่ด้านนอก “ถ้าเจ้ายังไม่ออกไปอีก ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะออกไปแล้วนะ”
ดวงตาโยวหมิงหดลงเล็กน้อย เขาจ้องมองไฉ่เซียวขณะที่แสงมืดมนพวยพุ่งในส่วนลึกของดวงตา มิติรอบตัวค่อยๆ บิดเบี้ยวไป
เมื่อเห็นภาพนี้ คิ้วไฉ่เซียวก็เลิกขึ้นเล็กน้อย
จอมยุทธ์รอบนอกมองด้วยหัวใจเต้นรุนแรง หากโยวหมิงกับหญิงสาวลึกลับจะปะทะกันอีก พวกเขาก็คงมีโอกาสบ้างแล้ว
แม้ว่าหญิงสาวลึกลับจะมีฝีมือน่าสะพรึง แต่โยวหมิงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่โค่นลงได้ง่ายๆ หากพวกเขาเปิดศึก ก็จะเป็นการต่อสู้สะเทือนเลื่อนลั่น ความดุเดือดจะต้องยิ่งกว่าการดวลระหว่างมู่เฉินกับหลิ่วเหยียนอย่างแน่นอน
บรรยากาศเกือบจะเยือกแข็งปกคลุมยอดเขากระดูกขาว แต่ขณะที่ทุกคนคิดว่าการต่อสู้จะเกิดขึ้นอีกครั้ง คลื่นพลังรอบตัวของโยวหมิงก็หดหายพร้อมกับถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
โยวหมิงไม่ได้สูญเสียสติเนื่องจากสระมังกรหงส์ ดังนั้นเขาเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องยากที่จะยึดสระที่อยู่ในการควบคุมของไฉ่เซียว ความลึกลับของหญิงสาวเป็นสิ่งที่แม้แต่เขาก็มองได้ไม่ทะลุปรุโปร่ง
สำหรับมู่เฉิน เขาไม่ได้ให้ความสนใจต่ออีกฝ่ายมากนัก ต่อให้การต่อสู้กับหลิ่วเหยียนจะน่าทึ่ง แต่คนอย่างโยวหมิงก็ไม่ได้กลัวในจุดนั้น
ในเมื่อเขาไม่มีความมั่นใจเต็มร้อยที่ยึดสระ ก็ไม่จำเป็นที่ต้องยันกัน ตอนนี้เวลาเป็นสิ่งมีค่า เพราะสระมังกรหงส์ไม่ได้มีแค่บ่อเดียวในเขตหลงเฟิ่ง
ดังนั้นโยวหมิงจึงเลือกที่จะล่าถอย แม้ว่านี่จะสร้างความประหลาดใจในสายตาบางคู่ แต่ปัจจัยภายนอกชนิดนี้ไม่อาจสั่นไหวหัวใจของโยวหมิงได้แม้แต่น้อย
ทว่าตอนที่จะจากไป เขาก็กวาดสายตาราวใบมีดไปทางมู่เฉิน แววเย็นเยือกทำให้มู่เฉินรู้สึกหนาวสะท้านไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ตอบโต้อะไรกับเรื่องนี้ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างอาณาเขตกงเวทสวรรค์กับจวนยมโลกย่ำแย่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทุกครั้งที่ศึกมังกรหงส์เปิด อัจฉริยชนจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะถูกคนจวนยมโลกฆ่า ทำให้อาณาเขตกงเวทสวรรค์สูญเสียชื่อเสียง ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองสำนักเรียกว่าดิ่งลงเหว
ดังนั้นต่อให้ไม่มีเรื่องวันนี้ มู่เฉินก็รู้ว่าหากเผชิญหน้ากันภายหลัง โยวหมิงก็ไม่ลังเลที่จะลงมือทันทีที่โอกาสหล่นใส่มือหรอก
“ดูเหมือนจะมีปัญหาเพิ่มอีกเรื่องหนึ่งแล้ว” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง เขาเพิ่งจะบีบให้หลิ่วเหยียนถอยไปได้ แต่โยวหมิงดันปรากฏตัวขึ้นอีก บวกกับฟังยี่จากหมู่ตึกเทวะที่เจอตอนอยู่ในเมืองโบราณหลงเฟิ่ง เขาถือว่าท้าทายเหล่าจอมยุทธ์อันดับต้นในบันทึกมังกรหงส์จนจะครบแล้ว
แต่มู่เฉินก็ทำเพียงยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ อุปสงค์ย่อมมากกว่าอุปทาน หากใครต้องการคว้าโอกาส ก็ต้องสร้างศัตรูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากนี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์
มู่เฉินมองไปทิศทางที่โยวหมิงหายตัวไป ก่อนจะมองออกไปด้านนอกภูเขา ซึ่งผู้คนกำลังถูกปลุกปั่นจากการปรากฏตัวของโยวหมิง เมื่อพวกเขาเห็นสายตาของมู่เฉินก็ได้แต่ไม่พอใจพลางถอยจากไป
มู่เฉินไม่สนใจกับคนเหล่านั้นที่เตรียมตัวจะชุบมือเปิบ เขาพยักหน้าเบาๆ ให้ไฉ่เซียว จากนั้นก็ไม่ลังเลเคลื่อนตัวก้าวลงไปในสระมังกรหงส์ที่ปล่อยรังสีอมตะออกมาท่ามกลางสายตาอิจฉามากมาย
ฮึ่ม!
ร่างมู่เฉินลงไปในสระมังกรหงส์อย่างรวดเร็ว จากนั้นกลุ่มหมอกขาวหนาแน่นก็ลอยขึ้นท้องฟ้า ขณะที่หมอกขาวกระจายตัว ก็ได้ปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขา
ภายในหมอกขาว สามารถมองเห็นเงามังกรและหงส์ฟ้าวูบไหวพร้อมกับเสียงคำรามสองเสียงสะท้อนออกมา
กลิ่นหอมประหลาดโชยออกมาจากภูเขากระดูกขาว ผู้คนที่สูดดมกลิ่นนั้นเข้าไปต่างรู้สึกถึงคลื่นหลิงในร่างพวยพุ่ง ซึ่งเป็นการล่อลวงที่เกิดจากความลึกล้ำของสายเลือด ล่อลวงให้ผู้อื่นคิดอยากหลอมรวมเข้ากับมัน
จอมยุทธ์จำนวนมากดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ก็ไม่กล้าก้าวเท้าเข้าไปในภูเขากระดูกขาว เพราะพวกเขารู้วาทันทีที่พุ่งเข้าไป ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกหญิงสาวลึกลับผู้นั้นฆ่าตาย
พวกเขาเชื่ออย่างไม่สงสัยว่าหญิงสาวที่ฆ่าชื่อเสี่ยโดยไม่ลังเล คงไม่มีความเมตตาใดๆ อยู่แล้ว
ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงมองภูเขากระดูกขาวด้วยดวงตาลุกโชน ในสระมังกรหงส์ มู่เฉินได้นั่งลงอยู่ในจุดลึกสุด ปล่อยให้เลือดใสของวานรปีศาจอาบทั่วร่าง ความรู้สึกอ่อนโยนทำให้อาการบาดเจ็บที่ได้จากการต่อสู้กับหลิ่วเหยียนหายไป แม้แต่คลื่นหลิงที่อ่อนล้าในร่างกายก็ฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
กระดูกแวววาวของมังกรและหงส์ฟ้าแท้จริงในส่วนลึกของสระมังกรหงส์เปล่งประกายด้วยอักขระโบราณ อักขระเหล่านี้แยกตัวจากกระดูกแหวกว่ายออกมาราวกับลูกปลาน้อยก่อนจะปกคลุมร่างของมู่เฉินอย่างไม่สิ้นสุด
ในอักขระโบราณมีริ้วเลือดสีทองเข้มจางๆ ที่บรรจุด้วยความมีชีวิตชีวาน่าตกใจ ริ้วเลือดนี้คือแก่นเลือดที่หลงเหลืออยู่ของมังกรและหงส์ฟ้าแท้จริง!
เส้นแสงปกคลุมร่างมู่เฉิน ทำให้ร่างของเขาค่อยๆ เปล่งรัศมีออกมา
ที่ด้านนอกสระมังกรหงส์ ไฉ่เซียวมองดูแสงสีทองที่แผ่ออกมาก็พยักหน้าเบาๆ ดูท่าจะมีเลือดมังกรแท้และหงส์แท้ในสระมังกรหงส์จริงด้วย
“แต่นี่มีน้อยเกินไป”
ไฉ่เซียวกวักมือ อักขระโบราณสายหนี่งก็ถูกเรียกออกจากสระโบราณลอยคว้างมาอยู่ตรงหน้า นางวาดตราประทับด้วยความเร็วปานฟ้าแลบ สุดท้ายก็ก่อตัวเป็นเข็มทิศโปร่งแสงขนาดเท่าฝ่ามือ
ส่วนอักขระโบราณก็ถูกนางใส่เข้าในเข็มทิศ
เข็มทิศโปร่งแสงสั่นสะเทือนเบาบาง ก่อนที่ลูกศรจะชี้ไปยังสระมังกรหงส์ตรงหน้าพร้อมกับแสงสีขาวเบ่งบานราวกับว่ากำลังประเมินพลังของสระอยู่
“ดูเหมือนจะมีประโยชน์นะ” ไฉ่เซียวยิ้มบางเมื่อเห็นภาพนี้ เข็มทิศนี้ถูกชำระโดยใช้เกล็ดมังกรแท้จริง ดังนั้นจึงมีสัมผัสแรงกล้าต่อสายเลือดเดียวกันในโลกนี้ ต่อให้แยกห่างกันไกลมากแค่ไหน ก็ยังรับรู้ได้ถึงตำแหน่งอย่างง่ายดาย
“งั้นตอนนี้ลองตรวจสอบตำแหน่งที่มีเลือดแท้จริงของมังกรกับหงส์ฟ้ามารวมกันอยู่มากที่สุดดีกว่า”
ไฉ่เซียววาดตราประทับขณะมือลูบเข็มทิศโปร่งแสงเบาๆ ทันใดนั้นเสียงครางกระหึ่มก็ดังออกมาจากเข็มทิศขณะที่ลูกศรหมุนติ้วอย่างบ้าคลั่ง หลายนาทีต่อมา ในที่สุดลูกศรก็หมุนช้าลงก่อนจะชี้ไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ในเวลาเดียวกันกับที่ลูกศรชี้ไปยังทิศนั้น เสาแสงโชติช่วงก็ระเบิดออกมาจากเข็มทิศ ความเข้มแสงของสระมังกรหงส์ตรงนั้นมีมากกว่าหลายเท่า!
“เจอเป้าหมายใหญ่แล้ว”
แววตกตะลึงวูบไหวไปทั่วดวงตาของไฉ่เซียว จากนั้นนางก็ยิ้มหวาน รอยยิ้มช่างงดงามยิ่งนัก มากจนทำให้ผู้คนมึนเมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น