หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 997-1002

 บทที่ 997 การคัดออกอันโหดเหี้ยม

ภายนอกเจดีย์ฝึกพลังกาย


หน้าจอลอยอยู่เบื้องหน้า ขณะนี้จุดแสงหนึ่งกำลังกะพริบรุนแรงขณะพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่น่ากลัว ในเวลาไม่กี่นาทีก็เข้าใกล้ปราการด่านมุ่งสู่ชั้นสามแล้ว


จอมยุทธ์รอบข้างต่างตะลึงกับฉากนี้ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดจากอาการตกตะลึงเมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ หลังจากนั้นคลื่นความปั่นป่วนที่น่าตกใจก็ดังก้อง


“นี่…เกิดอะไรขึ้น? ทำไมความเร็วของมู่เฉินถึงเพิ่มขึ้นขนาดนั้น?!”


“เร็วอะไรปานนี้! ความเร็วของเขาเกินกว่าทุกคน สวรรค์… เขาไปถึงปราการเข้าสู่ชั้นสามแล้ว!”


“โอ้ เร็วจนน่าสะพรึง!”


“…”


เสียงไม่อยากจะเชื่อดังขึ้น จอมยุทธ์จากเผ่าต่างๆ ต่างตะลึงงัน เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคาดว่ามู่เฉินที่ดูเหมือนจะยอมแพ้ไปแล้วจะระเบิดการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาดังกล่าว


ฝั่งเผ่ากระเรียนฟ้าก็มีอาการตื่นตะลึงฉาบทั่วใบหน้าโดยเฉพาะหลิ่วชิง รอยยิ้มมั่นอกมั่นใจที่แขวนอยู่บนใบหน้าก็แข็งค้าง สายตานางยึดติดอยู่บนจุดแสงที่กะพริบอย่างบ้าระห่ำ ราวกับว่านางอยากจะกลืนแสงนั่นเข้าไปให้หมดจด


“ไอ้บ้านั่น! เป็นไปได้ยังไง?!”


หัวใจของหลิ่วชิงกระเด้งขึ้นพร้อมกับระลอกคลื่น นางฉายสีหน้าเขียวคล้ำขณะกัดฟันกรอด “มันต้องใช้ทักษะลับบางอย่างแน่ ซึ่งไม่สามารถคงสภาพอยู่ได้นาน แต่เป็นไปไม่ได้ที่มันจะพึ่งสิ่งนี้ฝ่าฟันปราการเข้าสู่ชั้นสามได้!”


ทว่าทันทีที่นางพูดจบ ความปั่นป่วนก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง


“เขาเข้าไปปราการชั้นสามแล้ว!”


“น่ากลัวอะไรขนาดนี้ เขายังไม่ลดความเร็วเลย!”


“ปราการไม่สามารถกีดขวางเขาได้เหรอ?”


จุดแสงบนหน้าจอที่มุ่งเข้าสู่ชั้นสามยังคงกะพริบอย่างรุนแรง นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อก็คือความจริงที่ว่าความเร็วไม่ลดลงกลับเพิ่มขึ้น!


บรรยากาศภายนอกเจดีย์ราวกับแข็งค้างไป


แม้แต่หลิ่วชิงยังอ้าปากพะงาบๆ คำพูดติดอยู่ในลำคอ รูปลักษณ์ของนางยามนี้ตลกมาก


ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อหรือไม่ พวกเขาก็ได้แต่ยอมรับความจริงที่โหดร้ายนี้…


จุดลึกสุดของชั้นสามในเจดีย์ฝึกกาย


พื้นที่ตรงนี้มืดสนิทปกคลุมไปด้วยชั้นเมฆพายุจนถึงจุดที่แม้แต่ท้องฟ้ายังถูกปกคลุมหนาแน่นไปด้วยมังกรสายฟ้าขนาดใหญ่ที่ฉีกเส้นขอบฟ้าออกจากกัน พลังอำนาจของสายฟ้าทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน


ยามนี้ขณะที่สายฟ้าทำลายล้างพุ่งลงมา เงาร่างคนกลุ่มหนึ่งก็ยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกมาจากร่างของพวกเขา สลายสายฟ้าที่ฟาดลงมาไม่ยั้ง


จงเถิง หานซันและมั่วเฟิงยืนอยู่หน้าสุดพร้อมกับจ้องมองไปเบื้องหน้า


บริเวณนั้นเมฆสายฟ้าราวกับก่อเป็นลานก้อนเมฆมหึมาขนาดหลายพันหมื่นจั้ง เบื้องหลังลานมิติเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่สามารถมองเห็นเส้นแสงนับไม่ถ้วนบินว่อนอยู่ภายในราวกับดาวหาง


แต่ละคนจ้องมองไปที่ดาวหางเหล่านั้น ดวงตาอดไม่ได้ที่หดเกร็ง นั่นเป็นเพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงหยดของเหลวที่วูบไหวด้วยประกายสายฟ้าอยู่ภายในนั้น


พลังงานบริสุทธิ์ที่มีความรุนแรงมากเล็ดลอดออกมาจากพวกมัน


“นั่นคือ…แก่นสายฟ้า?”


ความโลภพุ่งพรวดบนใบหน้าของพวกเขาทันที สิ่งที่เรียกว่าแก่นสายฟ้าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากสายฟ้าได้รับการขัดเกลาในระดับหนึ่งซึ่งมีผลในการทำความสะอาดไขกระดูกและกระดูก นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการปรับแต่งร่างกายที่ไม่ด้อยไปกว่าโคลนโลหิตเลย


แต่ละคนละฉายสายตาโลภออกมา แก่นสายฟ้าอยู่หลังลานเมฆสายฟ้า ดังนั้นพวกเขาจะต้องผ่านลานเมฆน่าสะพรึงนี้ไปก่อน ถ้าพวกเขาต้องการที่จะได้รับแก่นสายฟ้านี้


ซึ่งที่นี่เป็นปราการที่จะเข้าสู่ชั้นสี่


คนที่สามารถผ่านที่นี่ไปได้ถึงจะสามารถเข้าสู่ชั้นสี่ของเจดีย์ฝึกพลังกายได้!


เมื่อพวกเขามองไปด้านหลังลานเมฆสายฟ้าก็เห็นว่ามีเบาะห้าผืนที่วูบวาบด้วยเกลียวสายฟ้า พอมองไปดวงตาของพวกเขาก็ส่องประกาย


นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าเบาะทั้งห้าแสดงถึงจำนวนคนที่สามารถไปต่อในชั้นสี่ได้


หมายความว่าลานแห่งนี้จะกำจัดคนครึ่งหนึ่งที่นี่ออก


ช่างเป็นการกำจัดที่โหดร้ายนัก


แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งนี้ สีหน้าของจงเถิง หานซันและมั่วเฟิงก็ยังคงไม่แยแส แต่กลับมีความมั่นใจรวมตัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าตัวเองจะเป็นหนึ่งในห้านั่น


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


ขณะที่พวกเขารอคอยเสียงลมฉีกอากาศก็ดังก้องขึ้นเป็นครั้งคราวจากด้านหลัง มองเห็นร่างน่าสมเพชหลายร่างเคลื่อนเข้ามา


พวกเขาก็คือจอมยุทธ์อัจฉริยะจากเผ่าอื่นๆ ที่ตามหลังทั้งสามมา เมื่อพวกเขาเห็นเบาะทั้งห้า ม่านตาก็หดลง จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นหลายส่วน


เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้าใจถึงความยากลำบากในการยึดหนึ่งในห้าที่นั่งนี้


ขณะที่สายฟ้าสร้างหายนะไปในมิติ ร่างเงาก็ยืนกระจายตัวอยู่บนท้องฟ้าห่างไกลกันมาก พวกเขาต่างเฝ้าระแวงกันและกัน


ดวงตาจงเถิงที่หลับลงก็ลืมขึ้นพลางมองจำนวนคนที่อยู่ที่นี่ก่อนที่มุมปากจะยกขึ้น อย่างที่เขาคาดไว้มีเพียงเก้าคนที่มาถึงที่นี่


มู่เฉินจากเผ่าวิหคโลกันต์ถูกคัดออกแล้วจริงๆ


“น่าขำให้ฟันร่วง”


จงเถิงพึมพำกับตัวเองจากนั้นก็ส่ายหัว ไม่คิดจะใส่ใจกับคนที่ล้มเหลวนั่นอีกแล้ว เขากวาดสายตารอบๆ จ้องมองคู่แข่งทั้งแปดคนแล้วก็หัวเราะ “ทุกคน ได้เวลาแล้ว เราเข้าสู่ลานเมฆสายฟ้าด้วยกันเลยไหม? จากนั้นก็พึ่งพาวิธีของตนเองเพื่อให้ได้รับที่นั่งไป”


ไกลออกไป หานซัน สีคุนและคนอื่นๆ ก็พยักหน้าอย่างเฉยเมย


มีเพียงมั่วเฟิงเท่านั้นที่ขมวดคิ้วมองกลับไปด้านหลังจากนั้นก็ถอนหายใจ หากมู่เฉินยังมาไม่ถึง เขาก็จะถูกกำจัดเป็นคนแรกแล้วจริงๆ


เมื่อจงเถิงเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน เขาก็ยิ้มก้าวออกไป ทว่าขณะที่กำลังจะเข้าสู่ลานเมฆสายฟ้าสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปกะทันหัน เขาหันขวับก่อนจะมองออกไปในระยะไกลด้วยความตกใจและประหลาดใจ


ในเวลาเดียวกันดวงตาของหานซันและมั่วเฟิงก็หดลง นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังที่เปล่งออกมาจากด้านหลัง


“มีใครกำลังมาอีกเรอะ?!” เมื่อสัมผัสถึงความผันผวนนี้ ทุกคนก็ตกใจไปก่อนที่จะแลกเปลี่ยนสายตากัน


“นั่นมู่เฉิน! เขาตามมาทันแล้ว!”


แววตะลึงพรึงเพริดฉาบบนใบหน้าของหานซัน เขามองไปทางด้านหลังที่ห่างไกล เสียงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “รวดเร็วอะไรอย่างนี้ เขาไม่กลัวสายฟ้าในสถานที่นี้เหรอ?”


เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกเช่นกันว่าความผันผวนของคลื่นหลิงที่พุ่งตรงมาไม่มีความกังวลว่าจะถูกฟ้าผ่าตายเลย


ครืน!


ขณะที่หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน สายฟ้าที่ด้านหลังก็รุนแรงยิ่งขึ้น เพียงช่วงเวลาไม่กี่สิบลมหายใจทุกคนก็เห็นแสงสีทองแยกความมืดออกแล้วพุ่งเข้ามา


สายฟ้าผ่าลงมาจากท้องฟ้ากระแทกร่างแสงสีทองจังใหญ่ ทว่าเกลียวสายฟ้าเหล่านั้น ทำให้ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อยเท่านั้นโดยที่ความเร็วไม่ได้ลดลงเลย


ฟิ้ว!


ขณะที่แสงสีทองกะพริบวาบ ร่างคนคนหนึ่งก็เผยตัวนอกลานเมฆสายฟ้า ครั้นแสงสีทองกระจายออกไป ชายหนุ่มที่ดูอ่อนเยาว์ก็ปรากฏอยู่ในครรลองสายตาของทุกคน


แสงสีทองจางลง มู่เฉินก็ยืนไว้สง่าบนท้องฟ้าพลางมองคนอื่นก่อนที่จะยิ้มบาง “ทำให้พวกเจ้ารอนานซะแล้ว”


มู่เฉินยืนอยู่บนแสงสีทอง บนร่างสูงโปร่งผิวหนังไหลเวียนด้วยแสงสีทอง ทว่าเผชิญหน้ากับมู่เฉินที่มาพร้อมกับพายุสายฟ้า กระทั่งจอมยุทธ์ทรงพลังอย่างจงเถิงและหานซันยังต้องหดเกร็งดวงตา เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามคลุมเครือที่มาจากมู่เฉิน


“ทำไมเขาเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าเดิม?!” จงเถิงไม่แสดงสีหน้าใดๆ แต่ก็อดกำหมัดไม่ได้ เขาสัมผัสได้ว่ามู่เฉินตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว


หานซันจ้องมองมู่เฉินลึกล้ำก่อนจะกวาดสายตา “ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี่ เราก็เริ่มกันเถอะ ส่วนใครจะไปถึงชั้นสี่ได้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเองแล้ว”


ขณะที่พูดเขาก็ไม่ลังเลขยับตัวกลายเป็นร่างแสงพลิ้วลงบนลานเมฆสายฟ้า สองมือไพล่ไว้ด้านหลัง ปลดปล่อยรัศมีที่น่ากลัวออกมา


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


หลังจากหานซันเข้าไป คนอื่นก็พลิ้วตัวลงบนลานเมฆสายฟ้า ทว่าแต่ละคนก็ยังรักษาระยะห่างระหว่างกัน


มู่เฉินก็พลิ้วตัวลงมา จากนั้นสายตาวูบไหว ตัดสินจากมุมมองชั้นสี่คงจะเป็นการประลองกัน ไม่ว่าอย่างไรมีเพียงห้าคนเท่านั้นที่จะยืนอยู่บนลานเมฆสายฟ้าและมีคุณสมบัติเข้าสู่ชั้นสี่ได้


“ครึ่งหนึ่งจะถูกคัดออกรึ?”


มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง จากนั้นแสงก็รวมตัวกันที่ปลายนิ้ว


ขณะที่แสงค่อยๆ รวมตัวกันที่ปลายนิ้วของมู่เฉิน ดวงตาของจงเถิงก็หรี่ลง ก่อนที่เขาจะหันกลับมองไปในทิศทางหนึ่ง


ชายเสื้อคลุมดำคนหนึ่งกำลังจ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาเย็นชาเช่นกัน เขาก็คือจอมยุทธ์อัจฉริยะของเผ่าอีกาสายฟ้าที่พวกมู่เฉินเคยสู้ด้วยบนวงแหวนอุกกาบาต


ชายเสื้อคลุมสีดำแลกเปลี่ยนสายตากับจงเถิง จากนั้นก็เหมือนจะตกลงบางอย่างกัน เขายิ้มน่าขนลุกสาวเท้าตรงไปหามู่เฉิน


มั่วเฟิงรับรู้ถึงเจตนาของจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าที่มีต่อมู่เฉิน เขาขมวดคิ้วก่อนที่จะขยับตัว


ทว่าจังหวะที่มั่วเฟิงขยับ ร่างร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวเบื้องหน้า จงเถิงยืนอยู่พร้อมกับยิ้มไม่เชิงยิ้ม


“ข้าได้ยินมานานแล้วว่าพี่มั่วเป็นเสาหลักในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่าวิหคโลกันตร์ วันนี้มีโอกาสได้พบกัน ข้าหวังว่าจะได้รับคำชี้แนะบ้าง”


สายตามั่วเฟิงเย็นชาลงหลายส่วนเมื่อจ้องมองจงเถิงที่เข้ามาขวาง ชัดว่าอีกฝ่ายต้องการขัดขวางเขาเพื่อซื้อเวลาให้จอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าจัดการกับมู่เฉิน


“เจ้าคิดว่าแค่กักข้าไว้จะสามารถกำจัดมู่เฉินได้เหรอ? ไร้เดียงสาไปแล้ว” มั่วเฟิงเค้นเสียงเย็นเยือก


“จริงเหรอ?”


เมื่อจงเถิงได้ยินคำพูดนั่นก็ยิ้ม “หากไม่มีเวลาสร้างค่ายกลแค่ระดับจื้อจุนขั้นหกจะมีความหมายอะไร?”


เขาหันไปมองที่ชายเสื้อคลุมสีดำที่ปรากฏตรงหน้ามู่เฉินแล้ว รอยเยาะเย้ยก็ปรากฏในดวงตา ไอ้บ้านี้ไล่ตามมาอย่างเต็มกำลัง แต่ก็คงจะเป็นคนแรกที่ถูกกำจัด


ถ้าเป็นเช่นนั้น…ก็ตลกน่าดู


บทที่ 998 หมัดมังกรแท้จริง

ลานเมฆสายฟ้า


เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ ก้าวขึ้นลานประลองซึ่งจะนำไปสู่ชั้นสี่ ริ้วแสงก็รวมตัวกันที่ด้านนอกเจดีย์ฝึกพลังกายก่อตัวเป็นหน้าจอขนาดใหญ่ บนหน้าจอนี้กระทั่งหินทุกก้อนก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจน


ที่ด้านนอกสายตาทุกคู่ฉายแววกังวลในขณะจ้องมองไปที่หน้าจอขนาดใหญ่


ทุกคนรู้ว่าครึ่งหนึ่งของจอมยุทธ์ที่เข้าไปจะถูกกำจัดบนลานเมฆสายฟ้านี้ มีเพียงห้าคนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะก้าวเข้าสู่ชั้นสี่ของเจดีย์ฝึกพลังกายต่อไป


อัตราในการคัดออกน่ากลัวมาก


ตอนนี้ทุกคนก็ค่อยๆ ฟื้นจากความตะลึงพรึงเพริดที่เกิดจากมู่เฉิน แต่พวกเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองร่างสูงโปร่งและอ่อนเยาว์ในหน้าจอเป็นระยะพร้อมกับแสงแปลกประหลาดวูบไหวในดวงตา


ใบหน้าของหลิ่วชิงซีดขาวขณะกัดฟันกรอด นางไม่เคยจินตนาการเลยว่ามนุษย์บ้าคนนี้จะระเบิดด้วยศักยภาพที่น่ากลัวในวินาทีสุดท้ายและไล่ตามหาคนอื่นทันแม้จะตามหลังอยู่หลายโยชน์ก็ตาม


การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของมู่เฉินที่ไล่ตามจงเถิงและคนอื่นๆ ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว ตอนนี้นางต้องยอมรับว่าเหตุผลที่มู่เฉินได้รับตำแหน่งของเผ่าวิหคโลกันตร์เข้ามาในดินแดนเสินโซ่แห่งนี้เป็นเพราะเขามีความแข็งแกร่งที่เกินคาดจริงๆ


นางมองผิดพลาดทำให้ตนเองต้องอับอาย


“ไอ้เวรนี้บ้าจริงๆ ขนาดนี้ยังไล่ตามทัน” ด้านข้างหลิ่วชิงพรรคพวกคนอื่นก็ถอนหายใจด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ


ใบหน้าของหลิ่วชิงค่อยๆ กลับเป็นปกติก่อนที่จะหายใจลึกพลางเอ่ย “เป็นคนที่คาดไม่ถึงจริงๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร ต่อไปถึงเป็นการท้าทายที่แท้จริง”


“และครั้งนี้เขาได้เปิดเผยไพ่ตายไปก่อนแล้ว ดังนั้นคงไม่มีใครให้เวลาเขาในการสร้างค่ายกล การสูญเสียความสามารถที่ทรงประสิทธิภาพของค่ายกลเช่นนี้ ทำให้ทุกคนในลานเมฆสายฟ้าสามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย”


บนลานเมฆสายฟ้านอกจากมู่เฉิน จอมยุทธ์ทั้งเก้าคนล้วนอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดบวกกับอำนาจในฐานะเทพอสูร ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของพวกเขาจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น ด้วยวิธีนี้มู่เฉินจะเป็นแกะในฝูงหมาป่าอย่างไม่ต้องสงสัย


นอกจากนี้เกี่ยวกับค่ายกลที่น่ากลัว การสูญเสียโอกาสจะชี้ขาดในการต่อสู้ที่ไม่อาจนำมาข่มขู่ได้ คงไม่มีใครยืนนิ่งๆ ปล่อยให้เขาตั้งค่ายกลขึ้นมาหรอก


จอมยุทธ์เผ่ากระเรียนฟ้าก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน ไม่ว่าก่อนหน้ามู่เฉินจะใช้ทักษะลับใดจนไล่ตามคนอื่นทัน แต่การทดสอบที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเจ้าตัวเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่าหลังจากที่มู่เฉินเสียโอกาสในการใช้ค่ายกล เขาจะกลายเป็นหนึ่งในห้าที่ผ่านไปได้


“หืม?”


ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ความปั่นป่วนก็ปะทุขึ้น จากนั้นทุกคนก็เห็นจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าไปปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉิน


“นั่นลู่สุยจากเผ่าอีกาสายฟ้า?!”


“ดูเหมือนว่าเขาจะเลือกจัดการมู่เฉินแล้ว พลังของเขาทรงประสิทธิภาพมากเลยทีเดียว ซ้ำยังแข็งแกร่งกว่าจงฮั้วเผ่ากระเรียนฟ้าอีกด้วย นอกจากนี้เนื่องจากมู่เฉินหงายไพ่ลับด้านค่ายกลแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้ไม่สู้ดีแน่”


“ยังเร็วเกินไปที่จะพูดแบบนั้น ใครจะรู้มู่เฉินยังมีไพ่ใบอื่นอีกหรือไม่ จากการเคลื่อนไหวหลายครั้งของเขาดูไม่ใช่คนประมาท ในเมื่อเป็นเช่นนี้ถ้าเขากล้าเข้าไปในเจดีย์ฝึกพลังกายด้วยขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นหกทั้งที่ไม่มีไพ่สำรอง เขาก็ดูหยิ่งผยองเกินไปแล้ว”


“…”


พอลู่สุยมาปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉิน จอมยุทธ์ที่ด้านนอกเจดีย์ก็พากันซุบซิบไม่หยุด แต่หลังจากผ่านประสบการณ์มาหลายครั้งที่มู่เฉินพลิกโต๊ะไปมา ก็ไม่มีใครกล้าที่จะฟันธงอีกแล้ว


แม้ว่าลู่สุยจะทรงพลัง แต่มู่เฉินก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน


“ดูเหมือนว่าครั้งนี้แกจะไม่มีเวลาสร้างค่ายกลแล้วนะ…”


ขณะที่ผู้คนภายนอกกำลังคุยกัน ลู่สุยก็ยืนอยู่ตรงหน้ามู่เฉินเผยยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว ดูเย็นเยือกอย่างยิ่ง


มู่เฉินมองลู่สุยก็ขมวดคิ้ว อึดใจแสงในมือก็ค่อยๆ สลายหายไป ดูเหมือนว่าการเปิดเผยค่ายกลของเขา ทำให้คนเหล่านี้หวาดกลัวจนถึงจุดที่พวกเขาไม่คิดจะให้เวลาเขาเตรียมตัวเลย


แม้ว่าลู่สุยจะดูเหมือนยืนอยู่ตรงหน้าอย่างสบายๆ แต่มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงไร้ขอบเขตที่กวาดออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของอีกฝ่าย ทำลายสัญลักษณ์หลิงยิ่งจำนวนมากที่เขาฝังไว้ในพื้นดินก่อนหน้านี้


ด้วยกระกระทำนี้จะทำให้สัญลักษณ์หลิงยิ่งได้รับความเสียหายจนค่ายกลที่สร้างขึ้นไม่เสถียร ถ้ามู่เฉินยังฝืนสร้างไปอีก ก็คงยากที่จะได้ประโชน์ใดๆ ช่างป็นการเสียแรงเปล่าๆ


“ทำไม? ไม่คิดจะใช้ค่ายกลแล้วเหรอ?” เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน รอยเยาะเย้ยก็ปรากฏบนใบหน้าของลู่สุย การยอมแพ้ในการสร้างค่ายกล เท่ากับแขนขามู่เฉินถูกตัดขาดในมุมมองของเขา


“บางทีการใช้วิธีการอื่น อาจสนุกมากกว่านะ” ทว่าเผชิญหน้ากับรอยยิ้มเยาะของลู่สุย มู่เฉินกลับประสานมือเข้าด้วยกัน เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานทรงประสิทธิภาพที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายตนเอง ก็ยิ้มอ่อน


ฟังน้ำเสียงเยาะเย้ยของมู่เฉิน ใบหน้าของลู่สุยก็มืดครึ้มลง เขาชี้ไปที่ด้านนอกลานพูดอย่างน่าขนลุกว่า “ตอนนี้ไสหัวไปจากลานนี้เองยังทัน มิฉะนั้นคงไม่มีกระทั่งคนมาเก็บศพให้ถ้าแกตายที่นี่”


แต่เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเพียงแค่มองมาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า สายตาของเขาทำเอาจิตสังหารพวยพุ่งอย่างรุนแรงในหัวใจของลู่สุย เนื่องจากตอนนี้สายตาของมู่เฉินราวกับกำลังมองคนโง่อย่างไรอย่างนั้น


“วอนตายนักใช่ไหม!”


จิตสังหารพลุ่งพล่าน ลู่สุยไม่คิดจะพูดอีกต่อไป ฝ่าเท้ากระทืบลงคลื่นหลิงป่าเถื่อนก็กวาดออกจากร่าง อันที่จริงมีประกายสายฟ้าแล่นแปลบปลาบในคลื่นหลิงขนาดใหญ่ของเขาอีกด้วย เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องดูเหมือนว่าจะเกิดปฏิกิริยากับสายฟ้าในมิตินี้


แรงกดดันทรงพลังก็เปล่งออกมาจากร่างของลู่สุยในขณะนี้


เมื่อรู้สึกถึงแรงกดดัน ความประหลาดใจก็เผยในดวงตาของมู่เฉิน เผ่าอีกาสายฟ้าดูเหมือนจะมีแรงเชื่อมเกี่ยวกับพลังงานสายฟ้า คลื่นหลิงในร่างพวกเขาบรรจุไปด้วยพลังงานสายฟ้าบางอย่าง ทำให้คลื่นหลิงของพวกเขารุนแรงยิ่งขึ้น


“ข้าอยากเห็นว่าถ้าไม่มีค่ายกล จอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นหกอย่างแกจะสามารถทำอะไรได้?!”


คำพูดของลู่สุยอัดแน่นด้วยไอสังหาร ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังกึกก้อง ร่างเขากลายเป็นสายฟ้า ความเร็วนั้นเท่ากับฟ้าผ่าเลยทีเดียว พริบตาก็มาปรากฏตัวบนท้องฟ้าเบื้องหน้ามู่เฉิน


ตู้ม!


สีหน้าของลู่สุยเย็นชาลงหลายส่วนเมื่อมองลงไปที่มู่เฉิน ก่อนจะซัดฝ่ามือที่มาพร้อมกับสายฟ้าไม่มีที่สิ้นสุดรวมตัวกันลงไป ฝ่ามือกดลงมาเบาๆ แต่กลับอัดแน่นด้วยพลังทำลายล้างสูง


“ฝ่ามือผสานสายฟ้า!”


ฝ่ามือนี้ดูราวกับว่าได้รวบรวมสายฟ้าหลายหมื่นสายเอาไว้ แค่ฝ่ามือเดียวก็สามารถทำลายท้องฟ้าได้


สายฟ้าสะท้อนบนดวงตาของมู่เฉิน เขามองฝ่ามือของลู่สุยที่อัดแน่นด้วยสายฟ้าป่าเถื่อน ดวงตาก็ส่องประกายเล็กน้อย เมื่อเทียบกับจงฮั้วพลังของลู่สุยแข็งแกร่งกว่ามาก มิน่าล่ะเขาถึงได้เป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะของเผ่าอีกาสายฟ้า ไม่อาจประมาทได้จริงๆ


ทว่าเผชิญหน้ากับเพลงฝ่ามือรุนแรงของลู่สุย ไม่เพียงแต่จะไม่มีความกลัวใดบนใบหน้าของมู่เฉิน ลึกลงไปในดวงตากลับมีไฟแห่งการต่อสู้พวยพุ่งไม่หยุดยั้ง เขาสามารถรู้สึกได้ว่าตอนนี้กล้ามเนื้อในร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความกระหายในการต่อสู้


หลังจากผ่านประสบการชำระพลังกายสามด่านของเจดีย์ฝึกพลังกาย พลังที่บรรจุอยู่ในกล้ามเนื้อของเขาก็ทรงพลังขึ้นมาก ตอนนี้เขาต้องการต่อสู้อย่างถึงใจแท้จริง เพื่อให้พลังงานในเนื้อหนังของเขาหลอมรวมเข้ากับร่างกายโดยสมบูรณ์


มู่เฉินเลียริมฝีปาก แสงสีทองพร่างพราวระเบิดออกจากร่าง กระดูกในร่างกายสั่นสะท้าน เหมือนมีเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องออกมา


ตึง!


เลือดในร่างกลิ้งไปมาจนไม่สามารถระงับพลังงานไว้ได้อีกต่อไป ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่มีความคิดที่จะระงับเอาไว้ ฝ่าเท้าของเขากระแทกลงไปบนพื้นส่งแรงพุ่งใส่กระบวนท่าฝ่ามือของลู่สุย


“รนหาที่ตาย!”


เมื่อลู่สุยเห็นมู่เฉินเลือกปะทะกันซึ่งๆ หน้า ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นป่าเถื่อน ไม่ต้องพูดถึงระดับจื้อจุนขั้นหกเลย แม้แต่คนที่อยู่ในขั้นเจ็ดก็ยังไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับวิชาฝ่ามือของเขา ดังนั้นในสายตาของเขาการกระทำของมู่เฉินเป็นการเรียกร้องความตายชัดๆ


“ตายซะ!”


รอยยิ้มชั่วร้ายสายหนึ่งปรากฏขึ้น สายฟ้าไม่มีที่สิ้นสุดที่รวมตัวกันในฝ่ามือก็รุนแรงขึ้นในเวลานี้ เสียงฟ้าร้องดังก้องกังวานสั่นสะเทือนขอบฟ้า แสงไขว้พันกันและฝ่ามือก็ขยายออกไปหลายร้อยเท่า ราวกับภูเขาสายฟ้าขนาดใหญ่พุ่งเข้าหามู่เฉินอย่างดุเดือด


ฟิ้ว!


ร่างของมู่เฉินปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เขามองไปที่ฝ่ามือสายฟ้าที่กำลังกดทับลงมา จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ลวดลายมังกรสีม่วงทองก็บิดตัวไปมาเคลื่อนไปที่กำปั้นของเขา


ลวดลายมังกรแท้จริงเหยียดกรงเล็บออก ผสานกับห้านิ้วของมู่เฉิน เกล็ดมังกรสีม่วงทองเปล่งประกายวูบวาบ กำจายพลังน่าสะพรึงกลัวออกมา


ยามนี้กำปั้นและกรงเล็บมังกรของเขาได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์


พลังงานอธิบายไม่ได้ระเบิดออกมาจากมือของมู่เฉิน พลังงานนี้ทำให้ตัวเขาเองยังรู้สึกตกใจ


นอกเหนือจากพัฒนาการพลังกายในช่วงเวลานี้ มู่เฉินก็เริ่มรู้สึกได้ว่าพลังงานที่บรรจุอยู่ในกายามังกรหงส์ค่อยๆ ถูกปลดปล่อยออกมา


“หมัดนี้มีชื่อว่าหมัดมังกรแท้จริง!”


มือของมู่เฉินที่ถูกปกคลุมด้วยกรงเล็บมังกร เส้นเลือดบิดตัวราวกับมังกร เขาเงยหน้าขึ้นมองฝ่ามือสายฟ้าที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วที่เบื้องหน้าสายตา เขาเหมือนจะมองทะลุสายฟ้าเห็นใบหน้าน่ากลัวของลู่สุย


ลู่สุยดูราวกับกำลังเพลิดเพลินอยู่กับชัยชนะในการฆ่าเขาครั้งนี้แล้ว


แต่น่าเสียดายที่ความปรารถนาคงไม่สัมฤทธิ์ผล


มู่เฉินยิ้มไม่ลังเลอีกต่อไป เขาชกกำปั้นซึ่งวับวาวด้วยเกล็ดมังกรสีม่วงทองปะทะเข้ากับฝ่ามือสายฟ้าอย่างรุนแรง ปลดปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา


กระทั่งมิติยังถูกทำลายด้วยหมัดนี้


บทที่ 999 พลังอำนาจมังกรแท้จริง

ตู้ม!


เมื่อกำปั้นที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกรสีม่วงทองปะทะกับฝ่ามือสายฟ้าที่พุ่งลงมา เสียงกัมปนาทก็ดังก้อง ราวกับว่าท้องฟ้าจะพังทลายลงมาได้ทุกเมื่อ รอยแตกสีดำจำนวนมากกระจายออกไปในมิติ


แสงสีทองวาวโรจน์และสายฟ้ากระจายออกไปราวกับงูนับหมื่นตัว กลืนกินพื้นที่มิติที่อยู่ใกล้ ทำเอาจอมยุทธ์ที่อยู่โดยรอบรีบถอยออกไป ขณะที่จ้องมองจุดปะทะกันระหว่างมู่เฉินและลู่สุยด้วยสายตาตกตะลึง


“มู่เฉินเผชิญหน้ากับลู่สุยได้ด้วยเหรอเนี่ย?” ทุกคนผงะไป เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่าหลังจากสูญเสียค่ายกลไป มู่เฉินจะยังสามารถเผชิญหน้ากับลู่สุยได้


“หืม?”


ทว่าความตกตะลึงก็กลายเป็นเคร่งเครียดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพวกเขาพบว่าสายฟ้าที่รุนแรงในมิติไม่ได้เป็นเหมือนใบมีดร้อนตัดผ่านเต้าหู้อย่างที่คาดไว้ แสงสีทองที่ดูอ่อนแอก็ไม่ได้พังทลายลงอย่างที่คิดไว้เช่นกัน


“มู่เฉินรับการโจมตีของลู่สุยไว้ได้เรอะ?” ดวงตาบางคนกะพริบตาวูบไหวขณะที่สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งขึ้น อาการเหยียดหยามที่พวกเขามีต่อมู่เฉินในตอนแรกสลายหายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว


ที่ไกลออกไปจงเถิงที่เผชิญหน้ากับมั่วเฟิงก็สีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย สายตาเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม ดูเหมือนมู่เฉินจะรับมือยากจริงๆ


“ข้าบอกแล้ว เจ้าไร้เดียงสาเกินที่คิดว่ามู่เฉินจัดการได้ง่าย” มั่วเฟิงพูดเบาๆ


เมื่อจงเถิงได้ยินก็ไม่แยแส “พี่มั่วดีใจเร็วเกินไปรึเปล่า ลู่สุยไม่อ่อนแออย่างที่เจ้าคิด เมื่อเปรียบเทียบกับเขา มู่เฉินยังมีระยะห่างอยู่ไม่น้อย”


มั่วเฟิงไม่แสดงความคิดเห็นใด มือทั้งสองทิ้งลงแนบตัวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เขาไม่ได้เคลื่อนไหวในการเผชิญหน้ากับจงเถิง นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ดีว่าถ้าต่อสู้กันยากที่จะหาผู้ชนะ มิหนำซ้ำคนอื่นๆ ที่เฝ้าดูอยู่รอบๆ ก็จะโผล่ออกมาทันทีที่พวกเขาได้รับบาดเจ็บหนัก


เป้าหมายของจงเถิงคือการทำให้มั่วเฟิงไม่เข้าไปยุ่งเท่านั้น เพื่อให้ลู่สุยมีเวลาจัดการกับมู่เฉิน ส่วนมั่วเฟิงที่มีความมั่นใจในตัวมู่เฉินก็ตัดสินใจที่จะเฝ้าระวังจงเถิงเช่นกัน ไม่ให้สามารถลอบโจมตีกับมู่เฉินได้ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะมีไพ่ตายอยู่ในมือ ก็ยากที่เขาจะจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสองคนได้


ทั้งสองยืนอยู่บนท้องฟ้าไม่ขยับเขยื้อน แต่แสงเย็นวับวาบในดวงตา แสดงให้เห็นเจตนาฆ่าของกันและกัน


ตึง!


ขณะที่จงเถิงและมั่วเฟิงยืนเผชิญหน้ากัน สายฟ้าป่าเถื่อนและแสงสีทองก็กวาดอาละวาดในระยะไกลทำให้มิติแตกออกเป็นเสี่ยงๆ


เบื้องหลังฝ่ามือสายฟ้าใบหน้าของลู่สุยก็บิดเบี้ยวไปเล็กน้อย ขณะที่มองดูฉากตรงหน้าด้วยความโกรธแค้นในสายตา


เขาไม่คิดเลยว่าวิชาฝ่ามือที่ตนเองมั่นใจจะไม่สามารถทำลายมู่เฉินได้


“ไม่ประมาณตัวเองเลย!” ลู่สุยกัดฟันพลางคำราม คลื่นหลิงในร่างกายพวยพุ่งออกมาราวกับน้ำท่วม สายฟ้าใต้ฝ่ามือระเบิดอย่างรุนแรง ทำให้อากาศโดยรอบระเบิดออก


กำปั้นสายฟ้าเพิ่มพลังอย่างรุนแรง มีแววจะทำลายล้างแสงสีทองลง


ลู่สุยรู้ชัดว่าลานเมฆสายฟ้าวุ่นวายมาก ดังนั้นการต่อสู้จะลากยาวออกไปไม่ได้ เขาต้องจัดการมู่เฉินให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ลดการสูญเสียของคลื่นหลิง มิฉะนั้นถ้าเขาหมดแรงไป แม้ว่าเขาจะชนะการต่อสู้ ก็จะถูกคนอื่นเล็งเข้าได้


ดังนั้นเขาต้องรีบจัดการมู่เฉิน


สายฟ้ากวาดออก ดวงตาของมู่เฉินก็หดลง ทว่าเขาก็ไม่ได้ถอย กลับกันเขาก้าวมาข้างหน้าแทน บนแขนขวาเส้นเลือดดำบิดเกลียวอย่างต่อเนื่องราวกับมังกรทะยาน ทุกการบิดเกลียวจะปล่อยพลังงานที่น่ากลัวออกมา


ลวดลายมังกรแท้จริงบนแขนชัดเจนขึ้น กรงเล็บมังกรปกคลุมนิ้วมือก็แข็งแกร่งขึ้นด้วยรัศมีไร้ขอบเขตที่ค่อยๆ เล็ดลอดออกมาจากมัน


ฮา


นัยน์ตาของมู่เฉินสั่นวูบไหวด้วยแสงสีทองพลางหายใจเข้าลึก เขาสัมผัสได้ว่ามีกระแสพลังทรงประสิทธิภาพไหลผ่านร่างกายพล่านเข้าไปในกำปั้นของเขาอย่างต่อเนื่อง


เมื่อพลังงานเดือดพล่านในกำปั้นของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แสงสีทองที่ถูกปล่อยออกมาก็ค่อยๆ หดตัวลง


เมื่อลู่สุยเห็นภาพนี้ดวงตาก็เปล่งประกายด้วยความดีใจ เพราะเขาคิดว่ามู่เฉินไม่สามารถยืดเวลาได้อีกต่อไป


ทว่าความสุขก็คงอยู่ชั่วคราว ก่อนที่ดวงตาเขาจะหดลง จากนั้นเขาก็เห็นมู่เฉินเหวี่ยงกำปั้นอย่างช้าๆ


หมัดนี้หนักหน่วงราวกับว่ามีมังกรตัวโตสถิตอยู่


ตึง!


หมัดของมู่เฉินปกคลุมไปด้วยกรงเล็บมังกรสีม่วงทองปะทะกับฝ่ามือสายฟ้าอีกครั้ง ใบหน้าลู่สุยก็เปลี่ยนไปรุนแรงในขณะนี้


นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานน่ากลัวที่บรรจุอยู่ในหมัดของมู่เฉิน


แคร็ก


รอยแตกปรากฏขึ้นบนฝ่ามือสายฟ้าแทบจะในทันที ยิ่งไปกว่านั้นพลังงานนี้ยังดุร้ายจนถึงจุดที่ลู่สุยยังไม่ทันตอบโต้ ฝ่ามือสายฟ้าก็สลายลงจากหมัดเดียวที่ถูกห่อหุ้มด้วยกรงเล็บมังกรและกำจายแสงสีทองออกมา!


แสงสีทองพุ่งออกมา สายฟ้าก็สลายตัวลง ร่างของลู่สุยถลาถอยหลังออกไปในสภาพที่น่าสมเพช ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาระหว่างสีเขียวและสีขาว ดวงตาฉายแววขวัญหนีดีฝ่อเมื่อมองเบื้องหน้า


เขาไม่คิดเลยว่าหมัดของมู่เฉินจะทรงพลังขนาดนี้


ความแข็งแกร่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกจะมีได้!


หมัดของมู่เฉินไม่เพียงแต่ทำลายฝ่ามือผสานสายฟ้าของเขา พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่เจาะทะลุมายังทำให้คลื่นหลิงในร่างกายของเขาแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ


“นรก พลังของเจ้านี่…” ลู่สุยกัดฟันขณะแสงเย็นกะพริบในดวงตา เขาถอยหลังกลับ ขณะเดียวกันก็หมุนวนคลื่นหลิงในร่างอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถใช้กำลังอย่างเดียวในการรับมือกับมู่เฉิน ก่อนหน้าเขาดูถูกมู่เฉินเกินไป


ฟิ้ว!


ทว่าขณะที่ลู่สุยตัดสินใจที่จะล่าถอยเพื่อหาวิธีการอื่นมาจัดการ มู่เฉินก็ไม่ได้ให้โอกาส เมื่อแสงสีทองกะพริบ ร่างของมู่เฉินก็มาปรากฏตัวที่เบื้องหน้าเขาอย่างลึกลับ ก่อนที่จะปล่อยกำปั้นมังกรสีม่วงทองออกไป


สีหน้าลู่สุยเปลี่ยนไป ไขว้แขนไว้กลางหน้าอกเพื่อป้องกันอย่างรวดเร็ว คลื่นหลิงสายฟ้ารุนแรงพัวพันรอบๆ แขนของเขาก่อตัวเป็นโล่สายฟ้า


ปัง!


ภายใต้หมัดมังกรทองโล่สายฟ้าแตกออก ร่างของลู่สุยถูกซัดออกไป


ขณะที่เขาหน้าหงายออกไป มู่เฉินก็ไล่ตามไม่ลดละ หมัดมังกรทองกระแทกเข้าใส่ ไม่ให้โอกาสลู่สุยได้หายใจเลยสักนิด


ปัง! ปัง! ปัง!


ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจ มู่เฉินก็เหวี่ยงหมัดไปสิบกว่าครั้ง ทุกครั้งที่ซัดลงไปลู่สุยก็จะถลาออกไปไกลขึ้น ความผันผวนของคลื่นหลิงซึ่งในตอนแรกไร้ขอบเขตก็สลายลงด้วยหมัดมังกรนี้


ทุกคนบอกได้เลยว่าลู่สุยเสียความได้เปรียบเพราะประมาท ทำให้ถูกมู่เฉินบังคับให้อยู่ในสถานะน่าสมเพช ถ้าเขาแข็งแกร่งไม่พอ เขาคงได้รับบาดเจ็บหนักจากการโจมตีเป็นชุดแบบนี้ไปนานแล้ว


แต่ถึงอย่างนั้นขณะที่เขาพยายามหลบเลี่ยงจากระยะโจมตีของมู่เฉิน ใบหน้าก็ซีดเผือด เลือดไหลออกมาจากมุมปาก


สายตาเขาที่มองมู่เฉินอัดแน่นด้วยความหวาดผวา หลังจากรับหมัดสิบกว่าครั้ง ความภาคภูมิใจที่มีก็ลดฮวบลงอย่างสมบูรณ์จากฝีมือของมู่เฉิน


บนลานเมฆสายฟ้าเหล่าจอมยุทธ์ที่ให้ความสนใจกับการต่อสู้ครั้งนี้ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองมู่เฉินปรากฏแววหวาดเกรง


ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามู่เฉินได้แต่พึ่งพาค่ายกลเพื่อเข้าสู่เจดีย์ แต่ในเวลานี้พวกเขารู้ว่าพลังกายของมู่เฉินเข้าขั้นน่าสะพรึงกลัวและไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าร่างกายของเทพอสูรเลย!


ชายคนนี้คือเทพอสูรในร่างมนุษย์!


บนท้องฟ้าลู่สุยมีสีหน้าน่าเกลียดขณะจ้องมองมู่เฉินที่อยู่เบื้องหน้าที่ไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ อยู่บนใบหน้า ทว่ารัศมีเฉียบคมที่มาจากมู่เฉินทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว


ภายใต้ดวงตาสีดำสนิทของมู่เฉิน ลู่สุยรู้สึกราวกับว่าตนเองโดนจับจ้องจากเทพอสูรร้ายกาจยุคดึกดำบรรพ์ที่เขาไม่ทางหนีรอดได้


ยามนี้มู่เฉินคือคนที่รับมือยากมากที่สุด


ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำจากนั้นก็กัดฟันกรอด “มู่เฉิน ทุกอย่างถือว่าแล้วกัน แต่หากเจ้ายังต้องการจะลงมือต่อก็อย่าโทษข้าที่ไร้ปรานี ในเวลานั้นข้าจะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกัน แม้ว่าข้าจะบาดเจ็บหนักก็ตาม!”


ลู่สุยเป็นคนเหี้ยมโหด ดังนั้นแม้ว่าสถานการณ์จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่เขาก็ไม่แสดงความกลัว นอกจากนี้เขามั่นใจว่าแม้มู่เฉินจะมีทักษะน่าตกใจ แต่หากพวกเขาต้องต่อสู้กันจริง เขาก็สามารถลากมู่เฉินลงนรกไปกับเขาได้


ทว่ามู่เฉินเพียงแค่ยกสายตาขึ้นเผชิญกับคำพูดโหดเหี้ยมของลู่สุย ท่าทางที่จ้องมองไม่ได้ลดละ ในทางตรงกันข้ามกลับแข็งกร้าวขึ้นแทน


บนใบหน้าไม่มีริ้วความรู้สึกใดๆ ร่างกายจวนเจียนจะเดือดหลังจากการแลกกระบวนท่าก่อนหน้า กระแสพลังงานทรงศักยภาพราวกับว่าต้องการที่จะทำลายมิติที่รวมตัวกันอยู่ในร่างกายของเขา


หากเขาไม่ระบายพลังงานนี้ออกไป มันจะทำร้ายตัวเองแทน


ดังนั้นขณะนี้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพักเรื่องไว้แล้ว


“ถ้าเจ้ารับการโจมตีกระบวนท่านี้จากข้าได้ ข้าจะปล่อยเจ้าไป” มู่เฉินกล่าวอย่างไม่แยแส


“ไอ้ยโส!”


เผชิญหน้ากับคำพูดของมู่เฉิน ลู่สุยเกือบจะระเบิดโทสะออกมาเพราะเขาถูกบังคับให้ต้องอยู่ในสถานะที่น่าสมเพชจากมนุษย์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัวอย่างยิ่ง สายตาที่มองมู่เฉินก็ราวกับต้องการจะฉีกเนื้อเถือหนังมู่เฉินออกมาทีละชิ้น…ละชิ้น


“ในเมื่อแกต้องการตาย ข้าจะทำตามคำขอของแกเอง!”


ลู่สุยตะเบ็งเสียงลั่น สายฟ้าระเบิดรุนแรงรอบตัวเขา เสียงฟ้าร้องดังก้องไปทั่วขอบฟ้า แรงคุกคามแพร่กระจาย


มู่เฉินไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาสูดหายใจเข้าลึก แสงสีทองก็รวมตัวกันในจุดลึกของดวงตาก่อเงามังกรและหงส์ฟ้าเลือนราง เขากำมืออย่างช้าๆ พร้อมกับอาการสั่นไหว


นั่นเป็นเพราะเขาสามารถสัมผัสได้ว่าลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนร่างกายกำลังดิ้นพล่าน พลังงานที่น่ากลัวพวยพุ่งราวกับต้องการจะฉีกร่างกายเขาออกจากกัน


หากเขาไม่ปลดปล่อยพลังงานนี้อีกครั้ง สิ่งแรกที่จะระเบิดคือร่างกายของเขาเอง!


มู่เฉินไม่อยากให้ร่างที่เพิ่งเสริมสร้างถูกทำลายย่อยยับ ดังนั้นเขาต้องให้ลู่สุยที่อยู่เบื้องหน้าได้ลิ้มรสพลังทำลายล้างนี้ซะ


บทที่ 1000 ยืนหนึ่งในนั้นแน่นอน

ครืน!


เสียงฟ้าคำรนระเบิดดังกึกก้องที่ขอบฟ้า ขณะที่ลู่สุยจ้องมองมู่เฉินอย่างน่าขนพองสยองเกล้าพร้อมกับแขนงสายฟ้ากระจายออกไปจากร่าง ทุกแขนงสายฟ้าทำให้มิติถึงกับบิดเบือน


แม้ว่าเขาจะเสียใจที่ตนเองถูกหลอกโดยจงเถิงให้มาจัดการมู่เฉิน แต่เขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไปในเมื่อถูกบีบให้จนตรอกจนต้องทำแบบนี้ ดังนั้นเขาตัดสินใจแล้วว่าแม้จะเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บหนัก เขาก็ต้องฆ่ามู่เฉินที่นี่ให้ได้


มิฉะนั้นชื่อเสียงของเผ่าพันธุ์คงป่นปี้หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป!


“ในเมื่อแกไม่ยอมรับข้อเสนอของข้า ก็ตายที่นี่ซะเถอะ!”


เสียงคำรามของลู่สุยดังก้อง สายฟ้าแล่นแปลบปลาบออกมาจากดวงตา มือประสานกันก่อร่างตราประทับเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ภายใต้สายฟ้า พร้อมกับตราประทับเปลี่ยนไป คลื่นหลิงที่เต็มไปด้วยสายฟ้าน่าตื่นตาก็พวยพุ่งออกมาจากร่างเขาอย่างรุนแรง ก่อนที่จะกลายเป็นเกลียวสายฟ้าจำนวนมากลอยอยู่ข้างหน้า


ทุกเกลียวอัดแน่นด้วยคลื่นหลิงที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ซึ่งได้รับการกลั่นจนถึงขีดจำกัดจากพลังงานในร่างกายของลู่สุย


เกลียวสายฟ้าที่ลอยอยู่เบื้องหน้ามารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นสายฟ้าก็เข้าครอบครองขอบฟ้าแล้วระเบิดออก ตราประทับสายฟ้ายิ่งใหญ่ขนาดประมาณพันจั้งก็ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว


ตราประทับสายฟ้าลอยอยู่บนท้องฟ้าเมื่อปรากฏขึ้น สายฟ้าทั่วบริเวณก็ส่งเสียงเปรี้ยงปร้างไม่มีที่สิ้นสุด แรงกดดันที่น่ากลัวกระจายออกไปพร้อมกัน


บนลานเมฆสายฟ้า จอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็ตกใจไปเช่นกันเมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนนี้ ดวงตาแต่ละคู่หดลงก่อนที่จะพูดด้วยเสียงต่ำพร่า “นี่คือตราประทับสายฟ้าทำลายปฐพี วิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็ม ลู่สุยถูกบีบให้มาถึงระดับนี้จริงๆ…”


วิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็มถือได้ว่าเป็นไพ่ตายทรงพลังกระทั่งกับเหล่าอัจฉริยะที่อยู่ที่นี่ แต่ไม่มีใครคิดว่าลู่สุยจะถูกบีบให้ต้องปลดปล่อยไพ่ตายเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกแบบมู่เฉิน


ไกลออกไปสายตาจงเถิงที่จ้องมองมาก็มีรู้สึกอึ้งตีกวนขึ้น แต่อึดใจเขาก็ยิ้มบางการโจมตีครั้งนี้ที่ทรงพลังจากลู่สุยน่าจะเปลี่ยนสถานการณ์ได้แล้ว


ลู่สุยที่มีขุมพลังจื้อจุนขึ้นเจ็ดบวกกับการใช้วิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็ม กระทั่งเขายังต้องระมัดระวังเมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่านี้ แม้ว่าพลังของมู่เฉินจะอยู่เหนือความคาด แต่ก็ไม่มีทางรับการโจมตีดุเดือดจากลู่สุยได้แน่นอน


มั่วเฟิงที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับจงเถิง สีหน้าก็เคร่งขรึมลงหลายส่วน แต่ไม่มีริ้วความตื่นตระหนกใดบนใบหน้า เพราะเขาทราบดีว่าตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาสามารถช่วยมู่เฉินได้ก็คือจับตามองจงเถิงไว้ สำหรับลู่สุย มู่เฉินจะต้องพึ่งพาพลังของตัวเองในการจัดการ ถ้ามู่เฉินไม่สามารถต้านทานได้ ก็ต้องยอมออกจากเจดีย์ฝึกพลังกายนี้ไปเท่านั้น


“มู่เฉิน หวังว่าเจ้าจะทำได้…ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้”


ครืน!


ขณะที่จงเถิงและมั่วหลิงพูดขึ้น สายฟ้าที่เบื้องหน้าลู่ซุยก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ตราประทับสายฟ้าขนาดพันจั้งถักทอขึ้นอย่างรวดเร็ว ระลอกคลื่นสายฟ้าดันตัวถล่มมิติไปทั่ว


ลู่สุยยืนอยู่เบื้องหลังตราประทับสายฟ้า ขณะมองลงมาที่เฉินด้วยสายตาเย็นชา ตอนแรกเขาคิดใช้กระบวนท่านี้จัดการกับอัจฉริยะเพื่อชิงหนึ่งในห้าที่นั่ง แต่ตอนนี้กลับถูกบีบให้เปิดเผยกระบวนท่านี้โดยมู่เฉิน นี่จะต้องทำให้คนอื่นๆ ตั้งระวัง จนยากจะเกิดประโยชน์ที่ชัดเจน


ดังนั้นเขาต้องสังหารมู่เฉินที่นี่!


ที่เบื้องล่างของตราประทับสายฟ้า แสงสีทองไม่มีสิ้นสุดพวยพุ่งจากร่างกายของมู่เฉิน ม่านตาสีดำสนิทในตอนแรกเปลี่ยนเป็นสีทองในขณะนี้ ราวกับว่าหลอมขึ้นจากทองคำเต็มไปด้วยเกียรติภูมิที่ไม่อาจบรรยายได้


มู่เฉินไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองตราประทับสายฟ้าขนาดใหญ่ เขากลับก้มหัวมองไปที่ท่อนแขนของตัวเอง เนื่องจากตอนนี้บนแขนเส้นเลือดเต้นตุบตับอย่างต่อเนื่องราวกับมังกรเลื้อยพัน เลือดเนื้อเหมือนกับกำลังเดือดพล่านจนเหมือนกำลังจะละลาย


เขากำมือขึ้นช้าๆ สัมผัสได้ถึงลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงในร่างกายสั่นเทาขึ้นในเวลาเดียวกัน ราวกับว่าไม่สามารถรอคอยที่จะปลดปล่อยพลังงานที่น่ากลัวแล้ว


ฮา


มู่เฉินสูดหายใจลึกจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ตราประทับสายฟ้าขนาดใหญ่ที่ฉายอยู่ในสายตา แววตาของเขาค่อยๆ คมชัดขึ้น


โฮก!


เสียงคำรามลึกของมังกรดังสะท้อนออกมาจากร่างกายมู่เฉินกล้ามเนื้อเต้นระริก จากนั้นลวดลายมังกรแท้จริงพล่านเข้าไปห่อหุ่มแขนขวาเอาไว้ ช่างเหมือนกรงเล็บมังกรของจริงอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็ยืดออกอย่างช้าๆ หลอมรวมอย่างสมบูรณ์แบบกับนิ้วทั้งห้าของเขา


ในเวลาเดียวกันลวดลายหงส์ฟ้าแท้จริงที่อยู่ด้านหลังก็ขยับวูบไหว บินผ่านผิวหนังมาถึงแขนซ้ายของเขา


หงส์ฟ้าค่อยๆ กางปีกออกมา ปีกสีม่วงทองหลอมรวมเข้ากับแขนซ้ายของมู่เฉินอย่างสมบูรณ์แบบ


มังกรขวา-หงส์ฟ้าซ้าย!


ท่อนแขนของมู่เฉินเปล่งประกายด้วยแสงสีม่วงทองซึ่งดูราวกับว่าถูกสร้างขึ้นด้วยทองคำสีม่วงมีพลังอำนาจที่ทำลายไม่ได้ แขนทั้งสองของเขาสั่นอย่างต่อเนื่องในเวลานี้


ครืน!


เมื่อเทพอสูรแท้จริงทั้งสองปรากฏขึ้นบนแขนของมู่เฉิน ลู่สุยก็รวบรวมกำลังภายในบนท้องฟ้าเสร็จเรียบร้อยเช่นกัน สายตาจ้องมองมู่เฉินอย่างโหดเหี้ยมก่อนที่จะสะบัดมือลงโดยไม่ลังเล


“ตราประทับสายฟ้าทำลายปฐพี!”


ครืนนนน!


เมื่อเขาฟาดฝ่ามือลง ตราประทับสายฟ้าก็ส่งเสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ทำให้เสียงฟ้าร้องที่ดังกึกก้องอยู่บนท้องฟ้าถูกระงับ จากนั้นตราประทับก็กลายเป็นแสงสายฟ้าฉีกขาดมิติว่างเปล่า บดขยี้ไปที่มู่เฉินอย่างรวดเร็ว


จอมยุทธ์โดยรอบที่ล่าถอยกันแล้วก็ยิ่งถอยมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ว่าการโจมตีครั้งนี้ของลู่สุยน่ากลัวอย่างไร พวกเขาไม่ต้องการโดนลูกหลง


ตราประทับขนาดใหญ่กดลงมาพร้อมกับเงามหึมากางออกเต็ม มู่เฉินที่อยู่ศูนย์กลางของตราประทับขนาดใหญ่ก็ดูไม่มีนัยสำคัญเลย…


ภายใต้สายตาที่จ้องมองของทุกคน มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่ตราประทับสายฟ้าที่กดอัดลงมาก่อนที่จะปิดตาลง แสงสีม่วงทองบนแขนของเขาก็แพรวพราวยิ่งขึ้น


โฮก!


เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องอยู่ในร่างของมู่เฉิน กล้ามเนื้อและกระดูกลั่นเปรียะ…ส่งผลให้รัศมีรอบตัวมู่เฉินพุ่งขึ้นอย่างดุเดือดจนถึงขีดจำกัด


แสงสีทองดูเหมือนจะยิงออกมาจากดวงตาของมู่เฉิน จากนั้นเขาก็ยกแขนขวาขึ้นแล้วชกหมัดออกไป!


หมัดมังกรแท้จริง!


แสงสีทองพรั่งพรูออกมา กลายเป็นมังกรสีม่วงทองปลดปล่อยเสียงคำรามที่สั่นสะเทือนสวรรค์และโลก


หมัดหงส์ฟ้าแท้จริง!


หลังจากที่หมัดขวาพุ่งออกไป มู่เฉินก็ส่งหมัดซ้ายตามมา เสียงหงส์ฟ้าดังก้องกังวาน แสงสีทองพุ่งออกมาอีกครั้ง หงส์ฟ้าสีทองกระพือปีกกวาดพายุสีทองออกมา


มังกรและหงส์ฟ้าสีทองกลายเป็นลำแสงสองสาย บินเข้าหาขอบฟ้าเกี่ยวพันกันและกันราวกับหลอมระหว่างเทพอสูรทั้งสอง เมื่อแสงสีทองแปรปรวนก็ทำลายมิติลง


บนลานเมฆสายฟ้าทุกคนต่างตกตะลึง ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดผวา พวกเขามองมังกรและหงส์ฟ้าที่พันกันก็รู้สึกถึงการกดขี่ที่น่าตกใจถูกปล่อยออกมาจากพวกมัน ซึ่งทำให้กระแสเลือดในร่างกายของพวกเขาปั่นป่วนไปหมด


เทพอสูรทั้งสองที่ถูกสร้างขึ้นจากแสงสีทองดูเหมือนว่าจะมีรัศมีของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงอยู่!


“ทำไมการโจมตีของมู่เฉินถึงมีรัศมีของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง?!” มีคนอุทานพร้อมกับความไม่เชื่อเขียนบนใบหน้า มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงคือเทพอสูรชั้นสูงสุด แม้แต่ในเผ่ามังกรและหงส์ฟ้าก็เป็นระดับจักรพรรดิของเผ่า เป็นไปไม่ได้ที่สมาชิกธรรมดาจะได้ครอบครอง ไม่ต้องพูดถึงมนุษย์เลย!


ลู่สุยก็ตกตะลึงเช่นกัน ทว่าจากนั้นแสงโหดเหี้ยมก็พวยพุ่งขึ้นในดวงตา ไม่ว่าการโจมตีของมู่เฉินจะมีร่องรอยรัศมีมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงได้อย่างไร แต่ก็ไม่สามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้ ในทางกลับกันยิ่งทำให้เขาตัดสินใจฆ่ามู่เฉินอย่างเด็ดขาด


ในเมื่อเป็นศัตรูกันแล้ว เขาก็ต้องฆ่าอีกฝ่ายให้เร็วที่สุดโดยไม่ทิ้งสิ่งใดไว้ข้างหลัง


“ตายซะ!”


ลู่สุยคำราม ตราประทับสายฟ้าซึ่งกดลงบนตัวมู่เฉินก็ขยายใหญ่อย่างยิ่งใหญ่ สายฟ้าป่าเถื่อนระเบิดอย่างรุนแรง ทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือนไปหมด


ภายใต้สายตาตกตะลึงจำนวนมาก ตราประทับสายฟ้าก็กระแทกลงมาขณะที่มังกรทองและหงส์ฟ้ากลายเป็นแสงสีทองพุ่งทะยานขึ้นไป สุดท้ายคลื่นพลังทั้งสองสายก็ปะทะกันจังใหญ่บนท้องฟ้า!


เปรี้ยง!


ทันทีที่เกิดการชนกัน ประกายแสงก็ระเบิดออก ทำให้ทุกคนต้องหยีตาจากแสงจ้า


จังหวะที่เกิดการปะทะกันนั้น ใบหน้าของลู่สุยก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด นั่นเป็นเพราะเขาเห็นตราประทับสายฟ้าที่กดลงมาชะลอตัวลง ก่อนที่จะหยุดชะงัก


“เขาสกัดได้รึ?!” ลู่สุยหดเกร็งม่านตา


ตู้ม!


แต่ในขณะที่เขารู้สึกไม่อยากเชื่อ ตราประทับสายฟ้าก็สั่นไหวส่งเสียงแตกดังลั่น ก่อนที่รอยแตกหนาจะปกคลุมไปทั่วอย่างรวดเร็วบนพื้นผิวของตราประทับ


ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ รอยแตกก็กระจายออกไปบนตราประทับสายฟ้า แสงสีทองพุ่งออกมาจากร่องรอยแตก


ใบหน้าของลู่สุยซีดลงทันที จากนั้นก็ถอยกลับทันที


ครืน!


ในช่วงเวลาที่เขาถอยกลับ ตราประทับขนาดใหญ่ก็ระเบิด แสงสายฟ้าแผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง แนวเส้นสีทองก็พุ่งออกมาล้อมรอบลู่สุยที่กำลังถอยออกไป


ในแสงสีทองมังกรทองและหงส์ฟ้าทองแผดเสียงคำราม รัศมีเทพอสูรแท้จริงทำให้เลือดของซู่ซุยแข็งตัวทันที


ปัง!


ความเร็วของมังกรและหงส์ฟ้าเร็วอย่างอธิบายไม่ได้จนถึงจุดที่ลู่สุยไม่สามารถหลบหลีกได้ เขาทำได้เพียงมองดูแสงสีทองพุ่งเข้าใส่ในร่างกายของตนเอง


ปุ!


ทันทีที่เกิดการกระแทก เลือดสดก็พุ่งออกมาจากปากลู่สุย หน้าอกทรุดลงก่อนที่เขาจะถลาออกไปในสภาพที่น่าสมเพช ความผันผวนของพลังงานรอบตัวก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสชัดเจน


เมื่อลู่สุยได้รับบาดเจ็บสาหัส แสงสีทองก็จางลงกลายเป็นแสงระยิบระยับกระจายออก


ใบหน้าของซู่ซุยซีดเซียว เขามองริ้วแสงซึ่งปกคลุมท้องฟ้าด้วยสีหน้าว่างเปล่า


วาบ!


ทว่าขณะที่เขาเสียสติ ร่างลึกลับก็จู่โจมเข้ามาพร้อมกับมวลลมคลั่ง พุ่งเป้ามาที่ศีรษะของลู่สุยด้วยเจตนาสังหาร


เมื่อรับรู้ถึงไอสังหาร หัวใจของลู่สุยก็เย็นยะเยือก เพราะเขารู้ว่านี่ต้องเป็นมู่เฉิน ไม่คิดว่ามนุษย์คนนี้จะโหดเหี้ยมเช่นนี้ ไม่ให้โอกาสเขาได้สูดลมหายใจเลย


ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส มีโอกาสที่เขาจะถูกสังหารโดยมู่เฉิน ถ้าเขายังต่อสู้ต่อ


“ไอ้เลว!”


ร่างกายของลู่สุยสั่นสะท้านด้วยความกลัวและโกรธแค้น ทว่าเขาทำได้เพียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ด้วยความไม่เต็มใจพลางถอยกลับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ออกจากลานเมฆสายฟ้าไป


ฮึ่ม!


เมื่อเขาก้าวออกจากลานเมฆสายฟ้า แสงไฟก็กะพริบรอบตัวเขาทันที เงาร่างหายวับ เห็นได้ชัดว่าเขาถูกขับออกจากเจดีย์ฝึกพลังกาย สูญเสียโอกาสที่จะไปต่อแล้ว


“มู่เฉิน ข้าจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ แน่!”


ก่อนที่ลู่สุยจะถูกขับออกจากเจดีย์ เสียงคำรามซึ่งเต็มไปด้วยความกลัวและความโกรธก็ดังสะท้อนก้อง


มู่เฉินยืนอยู่มองจุดที่ลู่สุยหายตัวไปด้วยความเฉยเมย เขาไม่สนใจคำพูดนั่นสักนิด เขาหันกลับมาร่อนลงบนลานเมฆสายฟ้า


เมื่อมู่เฉินพลิ้วตัวลงมา ทั่วบริเวณก็เงียบกริบ ความหวาดกลัวอัดแน่นในแววตาของคนอื่นๆ


มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นกวาดมองคนหล่านั้นอย่างไม่แยแส ก่อนจะจับจ้องไปที่จงเถิงซึ่งเผชิญหน้ากับมั่วเฟิงอยู่ขณะนี้ใบหน้าอีกฝ่ายสลับไปมาระหว่างสีเขียวกับสีขาว จากนั้นเสียงเงียบสงบของมู่เฉินก็ดังก้อง


“ยังมีใครต้องการจะประลองอีกไหม?”


มู่เฉินยืนเอามือไพล่หลังขณะที่เสียงกระจายไปทั่วลานเมฆสายฟ้า เสียงไม่ดังแต่ทำให้ความหวั่นกลัวกระจายออกไป


จอมยุทธ์หลายคนที่ใช้สายตาพรานล่าเหยื่อก็กะพริบตาเล็กน้อย ก่อนที่จะขยับตัวถอยออกไป นั่นเป็นเพราะในตอนนี้มู่เฉินดูเหมือนจะยังไม่หมดพลังในการต่อสู้ ตรงกันข้ามเขายิ่งดูอันตรายมากขึ้น


พวกเขารู้ว่าในเวลานี้รัศมีของมู่เฉินที่เกิดขึ้น ยากสำหรับทุกคนที่จะปะทะกับเขา…


ในบรรดาห้าที่นั่งนี้ ชายคนนี้ได้รับตำแหน่งแน่นอนแล้ว!


บทที่ 1001 ที่นั่งทั้งห้า

บนลานเมฆสายฟ้า


เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…


ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้


ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป


ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน


พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว


ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก


มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป


ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน


ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา


“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร


“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า


หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง


ฟิ้ว!


ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น


เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก


สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที


ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน


ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”


ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก


สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ


จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง


เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง


เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง


ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ


เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้


“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”


จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน


ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด


บนลานเมฆสายฟ้า


ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้


ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา


เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก


ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม


ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน


ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง


“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”


แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย


มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก


สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน


แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม


เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง


ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง


“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย


มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้


ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่


เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า


พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้


สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน


มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง


ครืน!


เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด


บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง


แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?


ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้


ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้


หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป


จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา


ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา


เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง


ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า


สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก


ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


บทที่ 1002 สายฟ้าชำระล้าง

ด้านหลังลานเมฆสายฟ้า


คลื่นมิติกระเพื่อมไหวขณะที่เส้นแสงนับไม่ถ้วนพุ่งผ่านราวกับดาวหาง ฉากนี้ช่างงดงามนัก


ภายในทุกเส้นแสงมีแก่นสายฟ้าหนึ่งหยดซึ่งทำให้ดวงตาคนมองฉายโลภ ในสมัยโบราณว่ากันว่าเทพอสูรจำนวนมากใช้แก่นสายฟ้าเพื่อปรับสภาพพลังกายที่ฝึกฝน ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งราวกับเพชรที่ไม่สามารถทำลายได้


ทว่าแก่นสายฟ้าไม่ได้หาเจอได้ง่าย ในมหาพันภพปัจจุบันแม้ว่าจะมีแก่นสายฟ้าถูกนำเสนอในการประมูลขนาดใหญ่บ้าง แต่ราคาก็แพงระยับ มิหนำซ้ำเพียงแค่ปรากฏก็จะถูกประมูลไปทันที ยากสำหรับจอมยุทธ์ธรรมดาจะหาซื้อมาได้


แต่ตอนนี้วัตถุล้ำค่าฉวัดเฉวียนอยู่เบื้องหน้าสายตาแบบนับไม่หวาดไหว ดังนั้นพวกเขาจะไม่รู้สึกถึงแรงกระเพื่อมในหัวใจได้อย่างไร?


“นี่คือโชคสำหรับคนที่ได้รับที่นั่งทั้งห้ามาเรอะ…” มู่เฉินเลียริมฝีปาก หากเขาสามารถผ่านพื้นที่นี้ได้สำเร็จ ก็เหมือนได้ชำระล้างจากแก่นสายฟ้ามากมายมหาศาลนี้ ซึ่งถือเป็นการชำระที่ไม่สามารถจินตนาการได้สำหรับร่างกาย


เจดีย์ฝึกพลังกายเต็มไปด้วยโอกาสในการชำระร่างกายอย่างแท้จริง


แค่เวลาเพียงครึ่งวันนับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้าสู่เจดีย์ พัฒนาการที่มีต่อพลังกายก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้กับการฝึกฝนภายนอกหนึ่งปี


“มิน่าล่ะดินแดนเสินโซ่จึงเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญมากมายในสมัยนั้นซึ่งเป็นจำนวนหนึ่งในสามของโลกสัตว์อสูร…” มู่เฉินถอนหายใจ ด้วยสภาพเหมาะสมในการเพาะบ่มพลังที่ยอดเยี่ยมดังกล่าว จึงไม่แปลกใจว่าทำไมจำนวนจอมยุทธ์ดินแดนเสินโซ่จึงมีจำนวนและประสิทธิภาพมากทั้งคู่


ฮึ่ม!


ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจ เบาะสายฟ้าที่อยู่เบื้องล่างก็สั่นสะเทือนและบินไปอย่างช้าๆ นำพาพวกเขาเข้าไปในมิติที่เต็มไปด้วยดาวหางนับไม่ถ้วน


เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ เห็นสิ่งนี้หัวใจก็สั่นระรัวรีบปรับสภาพสายตาจ้องมองไป


ฟิ้ว!


เบาะสายฟ้านำพวกเขาเข้าไปในห้วงมิติ เส้นแสงบินฉวัดเฉวียนมาจากทุกทิศทาง ทำให้ดวงตาทั้งห้าคู่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ


หานซันว่องไวมาก เขางุ้มมือทำเป็นกรงเล็บคว้าไปที่เบื้องหน้า ทันใดนั้นแรงดูดก็ระเบิดออกเล็งไปที่เส้นแสงหนึ่งแล้วกระชากกลับมาอย่างแรง


เส้นแสงเปลี่ยนวิถีโคจร พุ่งเข้ามาราวกับดาวตก


หานซันฉีกยิ้มเปิดแขนกว้างโดยไม่ใช้พลังงานใดๆ เนื่องจากเขาทราบดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่คลื่นหลิงจะเชื่อมโยงกับแก่นสายฟ้า ในโลกนี้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถจับมันได้ก็คือร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อ


ดังนั้นหากเขาต้องการดูดซับแก่นสายฟ้า เขาก็ต้องรับมันมาด้วยร่างกายของตนเอง


ปัง!


เส้นแสงกระแทกหน้าอกของหานซัน ทำให้เกิดเสียงดังลึกต่ำ หลุมเลือดปรากฏบนหน้าอกของเขา สามารถมองเห็นสายฟ้าแล่นแปลบปลาบในรอยแผล มีร่องรอยของสายฟ้าเหลวรวมเข้ากับร่างกายของเขาผ่านหลุมเลือดอย่างรวดเร็ว


ใบหน้าของหายซันบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าเขาเจ็บปวดอย่างรุนแรง เมื่อแก่นสายฟ้าเข้าสู่ร่างกาย มันจะค่อยๆ ละลายและชำระเลือดเนื้อ


อาการบิดเบี้ยวคงอยู่บนใบหน้าเป็นเวลานาน ก่อนที่จะค่อยๆ จางหายไป เมื่อเขาฟื้นสติร่างก็ปกคลุมไปด้วยเหงื่อ ความโลภในดวงตาก็จางลงมากถูกแทนที่ด้วยความกลัว เห็นได้ชัดว่าความเจ็บปวดที่เกิดจากแก่นสายฟ้าชำระร่างกายไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ธรรมดาจะทนได้


อัจฉริยะอย่างหานซันมีจิตใจแน่วแน่อยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องพักตัวไปนานกว่าจะกล้าดึงแก่นสายฟ้าอีกครั้ง


ในเวลาเดียวกันคนอื่นก็พยายามซึมซับแก่นสายฟ้าเข้าไป สุดท้ายทุกคนก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับหานซัน ใบหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ร่างกายสั่นไหวตลอดเวลาเมื่อแก่นสายฟ้าเข้ามาในร่างกาย


หลังจากรับความเจ็บปวดรุนแรง ทั้งสี่คนต่างก็ฉายความกลัวบนใบหน้า ยกเว้นมู่เฉิน เมื่อเขาลืมตาม่านตาสีดำก็สว่างวาบด้วยแสงประหลาด


เขาก้มศีรษะลงมองดูหน้าอกของตน หลุมเลือดกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ผิวหนังกะพริบแผ่วเบาด้วยแสงสีเงิน ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากแก่นสายฟ้า


มู่เฉินสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าจุดที่ร่างกายซับแก่นสายฟ้าเข้าไปแข็งแกร่งและมีพลังมากกว่าส่วนอื่นๆ


ทว่าสิ่งที่ทำให้มู่เฉินครุ่นคิดไม่ใช่เรื่องการเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อแก่นสายฟ้าเข้าสู่ร่างกาย เขาสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังงานส่วนใหญ่จากแก่นสายฟ้าถูกดูดซับโดยลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่อยู่ใต้ผิวหนัง


มู่เฉินมองที่แขนสองข้างซึ่งลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงสถิตอยู่ เขารู้สึกได้เลือนรางว่าเทพอสูรทั้งสองยามนี้กระฉับกระเฉงขึ้นมากพร้อมกับความกระหายอยากแผ่ซ่านออกมา หากมู่เฉินเดาถูกต้องแล้ว พวกมันคงจะหิวโหยพลังงานในแก่นสายฟ้า


“หิวอะไรกันขนาดนั้น…”


มู่เฉินพึมพำในใจ ในที่สุดเขาก็ได้รับประสบการณ์ความยากลำบากในการฝึกฝนคัมภีร์หลงเฟิ่ง ตั้งแต่เขาเริ่มฝึกวิชานี้ก็ไม่เคยหย่อนยานเลย แม้ว่าจะใช้ทรัพยากรไปมากมายก็ยังไปไม่ถึงขั้นสองสักที


ตามการคาดการณ์ของมู่เฉิน ถ้าเขาไม่สามารถบรรลุวิชานี้ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้ เขาอาจจะต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปีเพื่อบรรลุซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่มู่เฉินทนรับไม่ได้


ตอนนี้สิ่งที่เขาขาดมากที่สุดก็คือเวลา!


ดังนั้นในเมื่อมีทรัพยากรมากมายบินว่อนอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่สามารถมองพวกมันอย่างสูญเปล่าได้


เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ดวงตาเขาเปล่งประกายด้วยความเด็ดเดี่ยว พลังใจปะทุขึ้น คลื่นหลิงเพิ่มขึ้นก่อตัวเป็นพลังดูดทรงประสิทธิภาพดึงเอาเส้นแสงทั้งหมดที่อยู่ใกล้เคียงเข้ามา


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็มีเส้นแสงเกือบสิบสายที่บินเข้ามา ทั้งหมดเปล่งประกายด้วยหยดแก่นสายฟ้า


ที่ใกล้เคียงอีกสี่คนก็ตกตะลึงอย่างมากกับการเคลื่อนไหวของมู่เฉิน พวกเขาผงะออกไปทันที ด้วยกลัวว่าจะถูกลูกหลง


พวกเขารับรู้ชัดเจนเกี่ยวกับความเจ็บปวดที่เกิดจากการดูดซับแก่นสายฟ้า ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะค่อยเป็นค่อยไป หากรีบเร่งขึ้นมา ร่างกายของพวกเขาอาจเป็นสิ่งแรกที่ไม่สามารถทนได้


ในเวลานั้นแก่นสายฟ้าจะมีพลังมากเกินไป ร่างกายของพวกเขาก็จะถูกทำลาย


ครืน!


เส้นแสงพุ่งเข้ามาราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ ระดมยิงเข้าใส่ร่างของมู่เฉิน ทันใดนั้นหลายหลุมเลือดก็ปรากฏบนร่างของเขา ทำให้ร่างพร่ามัวชุ่มโชกไปด้วยเลือด


ขณะที่เลือดสดไหลหลั่ง แก่นสายฟ้าสีเงินเหล่านั้นก็หลอมรวมเข้ากับร่างกาย ความเจ็บปวดรุนแรงที่เกิดขึ้น ทำให้ดวงตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที


เขากัดฟันเม็ดเหงื่อไหลลงมาจากหน้าผาก ใบหน้าของมู่เฉินก็บิดเบี้ยวจนน่ากลัว เสียงคำรามเจ็บปวดดังสะท้อนจากลำคอซึ่งฟังราวกับสัตว์ป่าบ้าคลั่ง


ชี่! ชี่!


เขายังสามารถได้ยินเสียงนาบของร้อนเมื่อแก่นสายฟ้าหลอมรวมเข้ากับร่างกาย ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังละลาย


ความเจ็บปวดเกินบรรยายเกือบทำให้เขาหมดสติ


ทว่าขณะที่มู่เฉินกำลังจะทนแบกรับความเจ็บปวดหนักหน่วงไม่ไหว ลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ขยับตัว ทันใดนั้นเสียงคำรามก็ดังก้องออกมาจากร่างของมู่เฉิน


ฮึ่ม!


เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้อง เสียงดังกล่าวทำให้รัศมีและกระแสเลือดของมู่เฉินพุ่งสูงขึ้น แต่ความเจ็บปวดรุนแรงในร่างกายกลับถูกระงับอย่างรวดเร็ว


เมื่อความเจ็บปวดหายไปมู่เฉินก็รู้สึกโล่งสบาย ถ้าลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าไม่เคลื่อนไหวอีก เขาคงต้องปล่อยโอกาสไป


ขณะที่เขารู้สึกผ่อนคลายลง แก่นสายฟ้าในร่างก็เริ่มเปลี่ยนเป็นแสงสีเงิน สุดท้ายก็ถูกดูดซับโดยลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าที่อยู่บนแขนของเขา


มู่เฉินเปิดตา แสงสีเงินวาววับในรูม่านตา ร่างสะบักสะบอมก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับแสงสีเงินอ่อนๆ พล่านบนผิวหนังเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงจากการชำระ


“เขายังไม่ตายเหรอ?!” เมื่อจงเถิง หานซัน มั่วเฟิงและสีคุนเห็นว่ามู่เฉินฟื้นตัวขึ้น ม่านตาก็หดเกร็ง หากพวกเขาเป็นมู่เฉินแล้วละก็ พวกเขาจะต้องได้รับผลกระทบหนักหน่วงตอนนี้แน่นอน แล้วนี่มู่เฉินฟื้นตัวรวดเร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน?


“ทำไมร่างกายของเขาแข็งแกร่งกว่าพวกเราอีก?!” สีคุนรู้สึกว่ายากที่จะเชื่อ พวกเขาเป็นเทพอสูรที่มีร่างกายที่ทรงพลังตั้งแต่กำเนิด แล้วมนุษย์อย่างมู่เฉินทำไมถึงมีพลังกายเหนือกว่าพวกเขา?


ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับความตกใจของพวกเขา ศีรษะก้มลงมองที่แขน ไม่เพียงแต่ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าจะมีสีสันชัดเจนยิ่งขึ้น ริ้วแสงสีทองก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างตระการตา เกล็ดมังกรชูชันและปีกหงส์ฟ้าเปล่งพลังอันทรงประสิทธิภาพออกมา


ความรู้สึกนั้นราวกับว่าลวดลายกำลังจะมีชีวิตขึ้น


เมื่อรับรู้ถึงพัฒนาการบนลวดลายเทพอสูรทั้งสอง ดวงตาของมู่เฉินก็เบิกกว้างอย่างมีความสุข เขาเลียริมฝีปากก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเส้นแสง


ในระยะไกลรัศมีแสงสามารถมองเห็นได้เลือนราง ซึ่งน่าจะเป็นทางผ่านเข้าสู่ชั้นสี่


ขณะนี้เบาะสายฟ้าที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไป ซึ่งไม่มีใครสามารถควบคุมได้ ดังนั้นหากพวกเขาต้องการได้รับการชำระล้างของแก่นสายฟ้ามากขึ้น พวกเขาก็จะต้องทำให้เสร็จก่อนที่เบาะจะส่งถึงจุดหมายปลายทาง


ทั้งสี่คนก็รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ดี ดังนั้นดวงตาของพวกเขาจึงเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อเห็นมู่เฉินดูดซับแก่นสายฟ้าอย่างเมามัน ตอนนี้ทุกคนราวกับผีหิวโหยที่มีเครื่องเซ่นวางไว้ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าพวกเขาโหยหิวจนถึงจุดที่ท้องไปติดกับหลัง แต่พวกเขาก็ต้องกินช้าๆ ในขณะที่มู่เฉินกวาดอาหารเรียบ ไม่ว่าจะวางไว้ตรงหน้าก็จะกินก่อนแล้วถึงพูด


อาหารรสเลิศบนโต๊ะกำลังเดินเข้าไปในท้องของมู่เฉินอย่างรวดเร็ว


ดังนั้นจึงกระตุ้นต่อมพวกเขาอย่างมาก


หลังจากต่อสู้ดิ้นรนในใจ ในที่สุดพวกเขาก็กัดฟัน คลื่นหลิงระเบิดขึ้นเพิ่มความเร็วในการดูดซับ


ส่วนราคาสำหรับการเพิ่มความเร็วนี้เป็นเสียงกรีดร้องคร่ำครวญ…


เมื่อมู่เฉินได้ยินเสียงเหล่านั้น มุมปากก็ยกขึ้นก่อนที่เขาจะหลับตาและกางแขนกว้าง จากนั้นคลื่นหลิงในร่างกายก็เพิ่มขึ้นพร้อมกับแรงดูดระเบิดออกมา ทันใดนั้นเส้นแสงโดยรอบก็ราวกับได้พบกับแม่เหล็ก ส่งเสียงหวีดหวิวพุ่งมายังร่างของมู่เฉินอย่างต่อเนื่อง


เมื่อพวกเขาเห็นมู่เฉินเพิ่มแรงดูดขึ้นไปอีก ทั้งสี่คนก็ร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด หนังตาถึงกับกระตุก พวกเขาอดไม่ได้ที่จะด่าเสียงต่ำ


“เขาไม่ใช่มนุษย์!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)